Categories
AROUND CHIANG RAI NEWS UPDATE

ผู้สูงอายุ 114 คนต่อ 1 เตียง! วิกฤตสุขภาพจิต-เตียงตึงตัวในเชียงราย เร่งใช้ Universal Design และธนาคารเวลาแก้ปัญหา

เชียงรายเผชิญสังคมสูงวัยบนสมรภูมิใหม่ ภาคเหนือ “เปราะบางสุด” ด้านสุขภาพผู้สูงอายุ ระบบเตียง–จิตเวชตึงตัว แข่งกับเวลาออกแบบเมืองที่ไม่ทิ้งคนแก่ไว้ข้างหลัง

เชียงราย, 16 ธันวาคม 2568 – ในขณะที่โลกทั้งใบกำลังก้าวเข้าสู่ยุคที่ “หนึ่งในห้าของประชากรโลกอายุเกิน 65 ปี” ตามการคาดการณ์ขององค์การอนามัยโลก (WHO) ภายในปี 2593 ประเทศไทยเองก็ไม่ได้อยู่ไกลจากภาพนั้นมากนัก ตรงกันข้าม ไทยถูกจัดว่าเป็น “สังคมผู้สูงอายุโดยสมบูรณ์” ไปแล้วอย่างเป็นทางการ เมื่อปี 2567 ที่ผ่านมา จากตัวเลขผู้สูงอายุอายุ 60 ปีขึ้นไปกว่า 14 ล้านคน หรือคิดเป็นร้อยละ 20 ของประชากรทั้งประเทศ

เบื้องหลังตัวเลขระดับชาติที่ดูเป็น “ภาพใหญ่ของประเทศ” หากซูมลงมาที่ภาคเหนือ และลึกลงมาที่เชียงราย เมืองชายแดนที่กำลังผลักดันตัวเองสู่ศูนย์กลางโลจิสติกส์ การท่องเที่ยว และเศรษฐกิจสร้างสรรค์ จะพบภาพอีกด้านหนึ่งที่สำคัญไม่แพ้กัน นั่นคือ “ความเปราะบางของผู้สูงอายุ” ที่กำลังก่อตัวและรอวันปะทุ หากทุกภาคส่วนไม่เร่งปรับตัวทันการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างประชากรในครั้งนี้

สังคมสูงวัย จากนิยามระดับโลกสู่โจทย์ใหญ่ของประเทศไทย

องค์การสหประชาชาติให้นิยาม “ผู้สูงอายุ” ว่าคือประชากรทั้งเพศชายและหญิงที่มีอายุมากกว่า 60 ปีขึ้นไป และจัดระดับ “สังคมผู้สูงอายุ” ออกเป็น 3 ระดับ ได้แก่

  1. การก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ (Aging Society) – เมื่อประชากรอายุ 60 ปีขึ้นไปเกินร้อยละ 10 ของทั้งประเทศ หรืออายุ 65 ปีขึ้นไปเกินร้อยละ 7
  2. สังคมผู้สูงอายุโดยสมบูรณ์ (Complete Aged Society) – เมื่อประชากรอายุ 60 ปีขึ้นไปเพิ่มเป็นร้อยละ 20 หรือประชากรอายุ 65 ปีขึ้นไปเพิ่มเป็นร้อยละ 14
  3. สังคมผู้สูงอายุระดับสุดยอด (Super-Aged Society) – เมื่อประชากรอายุ 65 ปีขึ้นไปมากกว่าร้อยละ 20 ของประชากรทั้งประเทศ

ปัจจุบัน ประเทศไทยอยู่ในขั้น “สังคมผู้สูงอายุโดยสมบูรณ์” แล้วเรียบร้อย โดยในปี 2567 มีผู้สูงอายุ 14,027,411 คน คิดเป็น 20% ของประชากรทั้งประเทศ และยังมีแนวโน้มจะเพิ่มเป็นราว 28% ภายในปี 2578 นั่นหมายความว่า “เกือบหนึ่งในสามของคนไทยจะเป็นผู้สูงอายุ” ในเวลาไม่ถึง 10 ปีข้างหน้า

คำถามสำคัญไม่ใช่เพียงว่า “คนแก่จะมีมากขึ้นเท่าไร” แต่คือ “ผู้สูงอายุเหล่านี้อยู่ที่ไหน สุขภาพเป็นอย่างไร มีรายได้พอหรือไม่ และบ้านที่อยู่ปลอดภัยแค่ไหน” ข้อมูลที่ Rocket Media Lab ร่วมกับสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) รวบรวมและวิเคราะห์ในระดับจังหวัดทั่วประเทศ จึงกลายเป็น “สัญญาณเตือนเชิงพื้นที่” ที่สำคัญอย่างยิ่งสำหรับการวางนโยบายท้องถิ่น โดยเฉพาะจังหวัดปลายทางอย่างเชียงราย

ภาคเหนือ แชมป์เปราะบาง “สุขภาพกาย–สุขภาพจิต” ผู้สูงอายุ

จากการวิเคราะห์ข้อมูลระดับจังหวัดทั้งด้านโรคไม่ติดต่อ (NCDs) และทรัพยากรสาธารณสุข พบว่า ภาคเหนือคือภาคที่ผู้สูงอายุมี “ความเปราะบางด้านสุขภาพกาย” สูงที่สุดของประเทศ เมื่อผูกรวมทั้งภาระโรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง โรคหัวใจและหลอดเลือด โรคระบบทางเดินหายใจ รวมถึงศักยภาพของระบบบริการ ทั้งจำนวนอายุรแพทย์ พยาบาล และเตียง

ตัวเลขที่สะท้อนสถานการณ์ได้ชัดคือ

  • ผู้สูงอายุไทยที่ป่วยเป็นโรคเบาหวานประมาณ 2.33 ล้านคน หรือ 16.61% ของผู้สูงอายุทั้งหมด โดยภาคเหนือมีสัดส่วนอยู่ที่ 17.60% สูงกว่าค่าเฉลี่ยประเทศ
  • ผู้สูงอายุที่ป่วยเป็นโรคความดันโลหิตสูงรวม 4.89 ล้านคน หรือ 34.92% ของผู้สูงอายุทั้งหมด โดยภาคเหนือขึ้นอันดับหนึ่งด้วยสัดส่วนสูงถึง 44.63%
  • เมื่อรวมโรคไม่ติดต่อหลัก 5 โรค และเปรียบเทียบกับทรัพยากรสาธารณสุข ภาคเหนือได้คะแนน “ความเปราะบางด้านสุขภาพกาย” ต่ำที่สุด คือราว 61.85 คะแนน ต่ำกว่าภาคอื่นทั้งหมด

ในด้านสุขภาพจิต ภาคเหนือก็ยังเป็นภาคที่ผู้สูงอายุมีความเปราะบางสูงที่สุดเช่นกัน โดย

  • ผู้สูงอายุที่ป่วยเป็นโรคจิตเวช 13 กลุ่มโรค มีจำนวนรวม 271,499 คน หรือ 1.94% ของผู้สูงอายุทั้งหมด แต่ในภาคเหนือสัดส่วนนี้สูงถึง 2.79%
  • เมื่อประเมินร่วมกับทรัพยากรด้านจิตเวช ได้แก่ จำนวนจิตแพทย์ นักจิตวิทยา และเตียงจิตเวช พบว่าภาคเหนือได้คะแนน “ความเปราะบางด้านสุขภาพจิต” ต่ำที่สุดเช่นกัน คือราว 69.95 คะแนน

เมื่อนำสองมิตินี้มารวมกัน ภาคเหนือจึงถูกจัดให้เป็นภาคที่ผู้สูงอายุมีความเปราะบางด้านสุขภาพ “ทั้งกายและจิต” สูงที่สุดของประเทศ โดยมีหลายจังหวัดในภาคเหนือ เช่น แพร่ พะเยา ลำปาง สุโขทัย และกำแพงเพชร ติดอันดับจังหวัดที่มีสัดส่วนผู้สูงอายุต่อประชากรสูง และเผชิญทั้งภาระโรค NCDs สูงและทรัพยากรสาธารณสุขตึงตัว

เชียงราย เมืองชายแดนที่ผู้สูงอายุเกินร้อยคนต้องแบ่งกันใช้เตียงหนึ่งเตียง

แม้ชื่อ “เชียงราย” จะไม่ได้ปรากฏในอันดับหนึ่งของจังหวัดเปราะบางด้านสุขภาพกายเหมือนกำแพงเพชร หรือด้านสุขภาพจิตเหมือนแพร่ แต่ข้อมูลเชิงโครงสร้างกลับสะท้อนสัญญาณเตือนชัดเจนว่า จังหวัดชายแดนแห่งนี้กำลังอยู่ในจุดเสี่ยงที่ต้องจับตาอย่างใกล้ชิด

จากข้อมูลทรัพยากรสาธารณสุขปี 2567 ของกระทรวงสาธารณสุข เมื่อเปรียบเทียบจำนวนผู้สูงอายุกับจำนวนเตียงโรงพยาบาล พบว่า

  • เชียงรายมีผู้สูงอายุเฉลี่ยประมาณ 114 คนต่อเตียงโรงพยาบาล 1 เตียง
  • ตัวเลขนี้จัดให้เชียงรายเป็นหนึ่งใน 10 จังหวัดที่ผู้สูงอายุต่อเตียงสูงที่สุดของประเทศ

ในทางปฏิบัติ หมายความว่า หากเกิดสถานการณ์โรคระบาดรอบใหม่ หรือมีภาระโรคเรื้อรังสะสมมากขึ้น ผู้สูงอายุเชียงรายจำนวนมากอาจต้องรอเตียงนานขึ้น หรือจำเป็นต้องเดินทางออกนอกจังหวัดเพื่อรับการรักษาในบางกรณี โดยเฉพาะผู้สูงอายุในอำเภอห่างไกลที่ต้องเดินทางเป็นชั่วโมงกว่าจะถึงโรงพยาบาลศูนย์หรือโรงพยาบาลทั่วไป

ยิ่งไปกว่านั้น ในมิติสุขภาพจิต ข้อมูลด้าน “เตียงจิตเวชสำหรับผู้สูงอายุ” ชี้ให้เห็นว่าจังหวัดเชียงรายอยู่ในกลุ่มจังหวัดที่มีผู้สูงอายุเฉลี่ย เกือบ 30,000 คนต่อเตียงผู้ป่วยจิตเวช 1 เตียง ซึ่งเป็นหนึ่งในสัดส่วนที่สูงที่สุดของประเทศ สะท้อนให้เห็น “ช่องว่างขนาดใหญ่” ระหว่างความต้องการดูแลด้านสุขภาพจิตของผู้สูงวัย กับทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจำกัดในระบบ

เมื่อเชื่อมกับตัวเลขระดับประเทศที่ระบุว่า ไทยมีแพทย์จิตเวชศาสตร์ผู้สูงอายุเฉพาะทางเพียง 8 คน กระจุกตัวในกรุงเทพฯ ราชบุรี และนครราชสีมา จังหวัดชายแดนภาคเหนืออย่างเชียงรายจึงแทบไม่มีโอกาสเข้าถึงผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านนี้โดยตรง จำเป็นต้องพึ่งพาแพทย์จิตเวชทั่วไป พยาบาล และเครือข่ายชุมชนเป็นหลัก

ตัวเลข “ต่ำ” ที่ชวนตั้งคำถาม ทำไมเชียงรายมีผู้สูงอายุที่ “ต้องการผู้ดูแล” เพียง 2.06%?

ท่ามกลางตัวเลขเตียงที่ตึงตัว ทั้งด้านกายและจิต อีกหนึ่งตัวเลขที่น่าคิดคือ ข้อมูลจากการสำรวจประชากรสูงอายุระดับจังหวัดปี 2567 ของสำนักงานสถิติแห่งชาติ ซึ่งพบว่า

  • จังหวัดที่มีสัดส่วนผู้สูงอายุที่ “ต้องการผู้ดูแล” สูงที่สุดคือสกลนคร (18.32%)
  • ขณะที่ “เชียงราย” เป็นจังหวัดที่มีสัดส่วนผู้สูงอายุที่ต้องการผู้ดูแล “ต่ำที่สุด” ของประเทศ เพียง 2.06% หรือราว 6,062 คนของผู้สูงอายุทั้งหมดในจังหวัด

ตัวเลขนี้อาจตีความได้สองทาง

  1. เชียงรายอาจมีโครงสร้างครอบครัวและชุมชนที่ยังแข็งแรง ญาติพี่น้องช่วยดูแลกันเอง ผู้สูงอายุจำนวนมากยังช่วยตัวเองได้ในระดับหนึ่ง
  2. หรืออีกด้านหนึ่ง อาจสะท้อนปัญหา “การประเมินและการเข้าถึงระบบคัดกรอง” ที่ยังไม่ทั่วถึง ผู้สูงอายุจำนวนไม่น้อยอาจมีข้อจำกัดในการเดิน เห็น หรือทำกิจวัตรประจำวัน แต่ยังไม่ถูกจัดอยู่ในกลุ่มที่ “ต้องการผู้ดูแล” ในเชิงระบบ

สำหรับเชียงราย ซึ่งมีทั้งพื้นที่ภูเขา ชุมชนชนเผ่าพื้นเมือง และบ้านเรือนที่อยู่ห่างจากหน่วยบริการ การสำรวจและคัดกรองผู้สูงอายุให้ครอบคลุมจึงไม่ใช่เรื่องง่าย นี่คือโจทย์ท้องถิ่นที่ต้องอาศัยทั้ง องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น หน่วยงานสาธารณสุข และเครือข่ายภาคประชาสังคมลงพื้นที่ร่วมกันอย่างจริงจัง

เศรษฐกิจและรายได้ เมื่อผู้สูงอายุภาคเหนือ (รวมเชียงราย) มีรายได้ต่ำกว่า 30,000 บาทต่อปีมากที่สุดในประเทศ

แม้ข้อมูลด้านเศรษฐกิจของผู้สูงอายุจะไม่ได้ระบุเฉพาะเจาะจงถึงเชียงราย แต่หากมองในระดับภาค ภาคเหนือซึ่งรวมเชียงรายอยู่ด้วย กลับเป็นภาคที่ผู้สูงอายุมีรายได้น้อยกว่า 30,000 บาทต่อปีสูงที่สุดของประเทศ

จากการสำรวจของสำนักงานสถิติแห่งชาติปี 2567 พบว่า

  • ผู้สูงอายุไทยที่มีรายได้น้อยกว่า 30,000 บาทต่อปี มีจำนวน 2,793,351 คน หรือ 19.91% ของผู้สูงอายุทั้งหมด
  • ภาคเหนือมีสัดส่วนผู้สูงอายุรายได้น้อยกว่าปีละ 30,000 บาทสูงที่สุด คือ 25.52%
  • ในขณะที่ค่าจ้างเฉลี่ยต่อเดือนของผู้สูงอายุที่ยังทำงาน ภาคเหนือเป็นภาคที่ “ค่าจ้างเฉลี่ยต่ำสุด” ของประเทศ ราว 9,413 บาทต่อเดือน

หากเชื่อมตัวเลขเหล่านี้กับโครงสร้างเศรษฐกิจของเชียงราย ซึ่งมีผู้สูงอายุจำนวนมากอยู่ในภาคเกษตรและแรงงานรับจ้างทั่วไป รายได้ที่ไม่แน่นอน และการออมที่จำกัด ย่อมทำให้ผู้สูงวัยจำนวนไม่น้อยเสี่ยงต่อการ “แก่ตัวไปพร้อมหนี้และรายได้ไม่พอเลี้ยงชีวิต”

แม้จะมีระบบบำนาญและเบี้ยยังชีพ เช่น เบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ 600–1,000 บาทต่อเดือน หรือบำนาญจากประกันสังคมที่มีผู้ได้รับเพียงราว 7–8% ของผู้สูงอายุทั้งหมด แต่เมื่อเทียบกับค่าครองชีพจริงในจังหวัดท่องเที่ยวชายแดนที่ค่าครองชีพปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง รายได้เหล่านี้แทบไม่เพียงพอ หากไม่มีรายได้เสริมจากการทำงานต่อ หรือการอุดหนุนจากลูกหลาน

บ้านที่ไม่พร้อม เมืองที่ยังไม่ทัน ความท้าทายด้านที่อยู่อาศัยของผู้สูงอายุเชียงราย

ระดับประเทศ ข้อมูลชี้ชัดว่า ผู้สูงอายุไทยกว่า 92.89% อาศัยอยู่ในบ้านที่ “ไม่เหมาะสม” กับสภาพร่างกายและความปลอดภัย ไม่ว่าจะเป็นพื้นต่างระดับ บันไดชัน ห้องน้ำลื่น หรือการขาดราวจับและสิ่งอำนวยความสะดวกพื้นฐาน ทำให้ในช่วง 6 เดือนก่อนการสำรวจ มีผู้สูงอายุหกล้มนับ เกือบ 800,000 คน ทั่วประเทศ โดยมากกว่า 80% ของการหกล้มเกิดขึ้น “ในบ้านของตนเอง”

แม้เชียงรายจะไม่ใช่จังหวัดที่มีสัดส่วนบ้านผู้สูงอายุไม่เหมาะสมสูงที่สุด แต่การเป็นจังหวัดที่มีสัดส่วนผู้สูงอายุต่อเตียงสูง และต้องดูแลผู้สูงอายุจำนวนมากในพื้นที่ชนบทและชุมชนบนดอย ยิ่งทำให้ “บ้านที่ไม่ปลอดภัย” กลายเป็นความเสี่ยงสำคัญ เพราะทุกครั้งที่ผู้สูงอายุหกล้ม กระดูกสะโพกหัก หรือบาดเจ็บรุนแรง ระบบโรงพยาบาลและเตียงที่มีอยู่จำกัดจะต้องรับภาระเพิ่มทันที

ในมุมกลับกัน ข้อมูลด้านโครงการปรับสภาพบ้านผู้สูงอายุโดยหน่วยงานรัฐกลับสะท้อนว่า หลายจังหวัด รวมถึงบางจังหวัดในภาคเหนือ ได้รับการปรับปรุงบ้านของผู้สูงอายุน้อยมากเมื่อเทียบกับจำนวนผู้สูงอายุทั้งหมด นั่นหมายความว่า “ช่องว่างระหว่างปัญหาและการตอบสนองเชิงนโยบาย” ยังมีอยู่มาก และเชียงรายในฐานะจังหวัดใหญ่ของภาคเหนือ จำเป็นต้องเร่งวางระบบการปรับปรุงที่อยู่อาศัยที่สอดคล้องกับแนวคิดการออกแบบเพื่อทุกคน (Universal Design) ให้ชัดเจนยิ่งขึ้น

จากข้อมูลสู่การลงมือ บทบาทของ สสส. และโมเดลที่เชียงรายสามารถนำมาปรับใช้

ภายใต้วิกฤตสังคมสูงวัยที่กำลังก่อตัว สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ได้พัฒนาโครงการและกลไกต้นแบบหลายด้าน ซึ่งแม้ยังไม่ปูพรมครอบคลุมทุกจังหวัด แต่ก็เป็น “แบบเรียนสำคัญ” ที่เชียงรายสามารถนำมาปรับใช้ในระดับพื้นที่ได้ เช่น

  1. โครงการ “สูงวัยให้พร้อม ต้องเตรียมก่อน 40”
    เน้นสร้างความตระหนักให้คนทำงานเริ่มดูแลสุขภาพกาย–ใจ และวางแผนการเงินก่อนอายุ 40 ปี เพื่อลดภาระโรค NCDs และปัญหาเศรษฐกิจยามชรา
  2. โครงการ ‘เดินดีไปด้วยกัน’
    พัฒนาระบบเฝ้าระวังและป้องกันกระดูกหักจากการหกล้มในผู้สูงอายุ โดยใช้โมเดล “น่านโมเดล” และขยายผลไป 11 จังหวัด พบว่าอัตราการล้มใหม่–ล้มซ้ำลดลง 10% และผู้สูงอายุ 70% ในพื้นที่นำร่องได้รับการประเมินความเสี่ยง
  3. หลักสูตร “สูงวัยรู้ทันสื่อ” และอาสาสูงวัยเฝ้าระวังสื่อ
    ทำงานใน 10 พื้นที่นำร่อง เช่น พะเยา เลย กระบี่ ตรัง และพื้นที่เมืองบางส่วน เพื่อให้ผู้สูงอายุแยกแยะข่าวปลอม รู้เท่าทันมิจฉาชีพในโลกออนไลน์ ทักษะนี้สำคัญอย่างยิ่งสำหรับผู้สูงอายุในเชียงรายที่ใช้โซเชียลมีเดียติดต่อครอบครัวต่างจังหวัดหรือต่างประเทศ
  4. ชมรมผู้สูงอายุเข้มแข็ง และ “ธนาคารเวลา”
    ใช้กลไกชุมชน–ชมรมผู้สูงอายุ เป็นศูนย์กลางดูแลกันเอง ทั้งด้านสุขภาพ เศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม พร้อมทดลองใช้แนวคิด “ธนาคารเวลา” ให้คนในชุมชนช่วยดูแลผู้สูงอายุแล้วสะสมชั่วโมง เพื่อแลกกลับเมื่อถึงเวลาที่ตนเองหรือครอบครัวต้องการความช่วยเหลือ
  5. การสนับสนุน Universal Design และเมืองที่เป็นมิตรกับผู้สูงอายุ
    ผ่านศูนย์การออกแบบเพื่อทุกคน (UDC) ในมหาวิทยาลัย 16 แห่ง โครงการขยายขนส่งมวลชนที่เข้าถึงได้ และการพัฒนาเส้นทางท่องเที่ยวเพื่อคนทั้งมวลในหลายจังหวัด

แม้บางโครงการจะยังไม่ลงลึกถึงเชียงรายโดยตรง แต่ในฐานะจังหวัดที่กำลังพัฒนาตนเองเป็นเมืองท่องเที่ยวและศูนย์กลางโลจิสติกส์ การนำหลักคิดจากโครงการเหล่านี้มาปรับใช้ ทั้งในระดับเทศบาล อบจ. อบต. และภาคเอกชน จะช่วยให้การเตรียมความพร้อมรับมือสังคมสูงวัยมีทิศทางที่ชัดเจนมากขึ้น

เชียงรายและภาคเหนือจะเดินอย่างไรในสังคมสูงวัยที่เปราะบางที่สุดด้านสุขภาพ

เมื่อรวบรวมทุกมิติ ไม่ว่าจะเป็น

  • สัดส่วนผู้สูงอายุที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง
  • ภาระโรคไม่ติดต่อและความดันโลหิตที่สูงกว่าภาคอื่น
  • สัดส่วนผู้สูงอายุต่อเตียงโรงพยาบาลและเตียงจิตเวชที่ตึงตัว
  • รายได้และการออมของผู้สูงอายุในภาคเหนือที่ต่ำที่สุดของประเทศ
  • บ้านและสภาพแวดล้อมที่ยังไม่เหมาะสมกับร่างกายผู้สูงวัย

ภาพรวมชัดเจนว่า “เชียงรายและภาคเหนือไม่ได้มีเวลาเหลือมากนัก” ในการปรับตัวรับสังคมสูงวัย

แนวทางเชิงระบบที่ควรถูกหยิบขึ้นมาพิจารณาอย่างจริงจัง อาทิ

  1. เสริมกำลังระบบสาธารณสุขระดับจังหวัดและอำเภอ
    • เพิ่มสัดส่วนเตียงและบุคลากรที่มีทักษะดูแลผู้สูงอายุโดยเฉพาะ
    • พัฒนาคลินิก NCDs และคลินิกผู้สูงอายุให้ครอบคลุมทุกอำเภอ
    • สนับสนุน telemedicine สำหรับหมู่บ้านห่างไกลในเชียงราย
  2. ลงทุนในสุขภาพจิตผู้สูงอายุอย่างเป็นระบบ
    • ขยายบริการปรึกษาทางจิตวิทยาและกิจกรรมกลุ่มในโรงพยาบาลชุมชน
    • เชื่อมโยงกับเครือข่ายวัด อสม. และผู้นำชุมชน เพื่อสังเกตสัญญาณซึมเศร้าและความเครียดในผู้สูงวัย
  3. ลดความเปราะบางทางเศรษฐกิจ
    • พัฒนางานและอาชีพเสริมที่เหมาะกับผู้สูงอายุ เช่น งานชุมชน งานท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม งานฝีมือ
    • ส่งเสริมระบบออมสมัครใจในระดับตำบล และโครงการ “ธนาคารเวลา” แบบต้นแบบของ สสส.
  4. เร่งยกระดับที่อยู่อาศัยให้เป็นมิตรกับผู้สูงอายุ
    • ตั้งเป้าปรับสภาพบ้านผู้สูงอายุในเชียงรายอย่างต่อเนื่องทุกปี โดยร่วมมือกับวิชาชีพช่างในพื้นที่และมหาวิทยาลัย
    • บูรณาการกับการพัฒนาเมือง เช่น ทางเท้า, ทางลาด, ขนส่งสาธารณะ เพื่อให้ผู้สูงอายุเดินทางได้อย่างปลอดภัย

ท้ายที่สุด การเป็น “เมืองที่พร้อมรับสังคมสูงวัย” ไม่ได้วัดที่จำนวนเตียงหรือจำนวนโครงการที่ถูกเขียนไว้ในแผนเท่านั้น แต่สะท้อนผ่านคำถามง่าย ๆ ว่า

เมื่อผู้สูงอายุคนหนึ่งในเชียงรายล้มป่วย เขาจะเข้าถึงหมอ เตียง และการดูแลได้เร็วแค่ไหน
เมื่อผู้สูงอายุคนหนึ่งเครียด ซึมเศร้า หรือถูกหลอกผ่านสื่อออนไลน์ เขาจะมีใครให้พึ่งพา
และเมื่อผู้สูงอายุคนหนึ่งต้องใช้ชีวิตในบ้านของตัวเองไปจนวันสุดท้าย บ้านหลังนั้น “ปลอดภัยและเป็นมิตร” แค่ไหน

คำตอบเหล่านี้จะเป็นตัวชี้วัดว่า เชียงรายและภาคเหนือ จะก้าวพ้นจากคำว่า “พื้นที่เปราะบางที่สุดด้านสุขภาพผู้สูงอายุ” ไปสู่การเป็น “พื้นที่ต้นแบบที่ไม่ทิ้งผู้สูงอายุไว้ข้างหลัง” ได้จริงหรือไม่

สำนักข่าวนครเชียงรายนิวส์

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • การศึกษาพื้นที่เปราะบางต่อผู้สูงอายุในประเทศไทย โดย Rocket Media Lab ร่วมกับสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)
  • สำนักบริหารการทะเบียน กรมการปกครอง
  • ระบบคลังข้อมูลด้านการแพทย์และสุขภาพ (Health Data Center – HDC) กระทรวงสาธารณสุข
  • รายงานข้อมูลทรัพยากรสาธารณสุข ประจำปี 2567 สำนักปลัดกระทรวงสาธารณสุข
  • การสำรวจประชากรสูงอายุในประเทศไทย พ.ศ. 2567 ระดับจังหวัด สำนักงานสถิติแห่งชาติ
  • รายงานสถานการณ์ผู้สูงอายุไทย ปี 2566 กรมกิจการผู้สูงอายุ และข้อมูลสนับสนุนจากสำนักงานประกันสังคม
  • เอกสารเผยแพร่ขององค์การสหประชาชาติ (UN) และองค์การอนามัยโลก (WHO) ว่าด้วยนิยามสังคมผู้สูงอายุและการคาดการณ์สัดส่วนผู้สูงอายุของประชากรโลกถึงปี 2593
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
MOST POPULAR
FOLLOW ME
Categories
AROUND CHIANG RAI HEALTH

ปิดช่องโหว่ DM Control! นครเชียงรายยกระดับระบบดูแลผู้ป่วย NCDs ผสานดิจิทัล-ชุมชนเข้มแข็งสู้โรคเรื้อรัง

เทศบาลนครเชียงรายลุกทั้งเมือง คัดกรอง 63 ชุมชน สู้โรคไม่ติดต่อเรื้อรัง ผสาน “ดิจิทัล–ชุมชนเข้มแข็ง” ปูทางสู่เมืองสุขภาพยุคใหม่

เชียงราย, 9 ธันวาคม 2568 – ท่ามกลางภาระโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) ที่ยังเป็น “ตัวการเงียบ” ทำให้คนไทยล้มป่วยและเสียชีวิตในสัดส่วนสูงต่อเนื่อง เทศบาลนครเชียงรายประกาศเดินเกมเชิงรุก เปิดปฏิบัติการคัดกรองสุขภาพครั้งใหญ่ครอบคลุมทั้ง 63 ชุมชนในเขตเทศบาล มุ่งลดความเสี่ยงโรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง และไขมันในเลือดสูง พร้อมยกเครื่องระบบดูแลผู้ป่วยผ่านแพลตฟอร์มดิจิทัล AIDERY Connect และเครือข่ายอสม.ที่เข้มแข็ง หวังยกระดับเมืองสู่ “Digital Health Chiangrai Wellness City” อย่างเป็นรูปธรรม

การขยับตัวในครั้งนี้ไม่ใช่มาตรการเฉพาะกิจ แต่สะท้อนถึงความพยายามเชื่อม “นโยบายระดับชาติ–ยุทธศาสตร์ระดับจังหวัด–การลงมือจริงระดับชุมชน” เข้าด้วยกัน เพื่อปิดช่องว่างสำคัญในระบบ คือการควบคุมโรคเบาหวานที่ยังทำได้ต่ำกว่าที่ควร แม้จังหวัดจะโดดเด่นด้านความดันโลหิตและการจัดการภาวะวิกฤตอย่างโรคหลอดเลือดสมองก็ตาม

ภาระโรคระดับชาติ–แรงกดดันระดับพื้นที่ NCDs ปัญหาเรื้อรังที่มองไม่เห็น

รายงานการวิเคราะห์สถานการณ์โรคไม่ติดต่อเรื้อรังชี้ให้เห็นตรงกันว่า โรคในกลุ่ม NCDs เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดสูง และโรคหลอดเลือดสมอง เป็นภาระโรคสำคัญของประเทศ ทั้งจากจำนวนผู้ป่วย ค่าใช้จ่ายในการรักษา และผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตในระยะยาว

ระดับนโยบาย ประเทศไทยกำหนด “แผนปฏิบัติการด้านการป้องกันและควบคุมโรคไม่ติดต่อ พ.ศ. 2566–2570” เป็นกรอบยุทธศาสตร์หลัก 3 ด้าน ได้แก่ การบูรณาการเครือข่าย Smart NCD Network การสร้างความรอบรู้ด้านสุขภาพ (Health Literacy) และการพัฒนาระบบนิเวศ (NCD Ecosystem) ที่เอื้อต่อการลดปัจจัยเสี่ยง ตั้งแต่พฤติกรรมบริโภคเค็ม มัน หวาน การขาดการออกกำลังกาย ไปจนถึงการใช้ผลิตภัณฑ์ยาสูบและบุหรี่ไฟฟ้า

สำหรับจังหวัดเชียงราย ซึ่งมีทั้งเขตเมืองและชนบทผสมผสานกัน ภาระโรค NCDs สะท้อนผ่านตัวเลขทางระบาดวิทยาที่น่ากังวล โดยเฉพาะในเขตเมืองที่รูปแบบการใช้ชีวิตเร่งรีบ การเดินทาง การบริโภคอาหารสำเร็จรูป และสภาวะแวดล้อมเอื้อต่อการเกิดโรคเรื้อรังมากขึ้น ขณะเดียวกันจังหวัดก็ต้องรับมือกับปัจจัยเสี่ยงด้านสิ่งแวดล้อม เช่น ฝุ่น PM 2.5 ที่กระทบต่อผู้ป่วยโรคหัวใจและหลอดเลือด ซึ่งซ้อนทับกับ NCDs อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

นครเชียงรายไม่รอให้ป่วยก่อนรักษา” – คัดกรองเชิงรุก 63 ชุมชนฟรี

จากสถานการณ์ดังกล่าว เทศบาลนครเชียงรายจึงเลือกเดินหน้าด้วยมาตรการเชิงรุกในระดับพื้นที่ นำโดยนายวันชัย จงสุทธามณี นายกเทศมนตรีนครเชียงราย ร่วมกับคณะผู้บริหาร สมาชิกสภาเทศบาล ข้าราชการและเจ้าหน้าที่กองการแพทย์ พร้อมเครือข่ายพันธมิตรสำคัญ ได้แก่ โรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์ ศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ที่ 1/1 เชียงราย มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง ศูนย์ควบคุมโรคติดต่อนำโดยแมลงที่ 1.3 เชียงราย และคณะกรรมการกองทุนหลักประกันสุขภาพเทศบาลนครเชียงราย

โครงการคัดกรองลดเสี่ยง NCDs จัดขึ้นครอบคลุมทั้ง 4 เขตบริการ รวม 63 ชุมชน โดยกำหนดพื้นที่จัดกิจกรรมเป็นจุดศูนย์กลาง ได้แก่

  • เขต 1 วันอาทิตย์ที่ 7 ธันวาคม 2568 ณ โรงเรียนเทศบาล 8 บ้านใหม่
  • เขต 2 วันจันทร์ที่ 8 ธันวาคม 2568 ณ โรงเรียนเทศบาล 8 บ้านใหม่
  • เขต 3 วันอังคารที่ 9 ธันวาคม 2568 ณ ศูนย์บริการสาธารณสุขเทศบาล 2 สันหนอง
  • เขต 4 วันพุธที่ 10 ธันวาคม 2568 ณ โรงเรียนเทศบาล 5 เด่นห้า

ความโดดเด่นของโครงการไม่ได้อยู่เพียงการตรวจคัดกรองโรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง และไขมันในเลือดฟรีสำหรับประชาชนอายุ 15 ปีขึ้นไปเท่านั้น แต่ยังขยายขอบเขตการดูแลไปถึงมิติสุขภาพอื่น ๆ ที่มักถูกละเลยในโครงการคัดกรองทั่วไป ไม่ว่าจะเป็น

  • การตรวจสุขภาพช่องปากและมวลไขมันในร่างกาย
  • การตรวจสารพิษตกค้างในร่างกาย
  • การประเมินสุขภาพจิตและภาวะเครียด
  • การตรวจคัดกรองมะเร็งเต้านมและมะเร็งปากมดลูก

ภายในงาน ประชาชนยังได้รับความรู้จากวิทยากรและทีมสาธารณสุขที่มีความเชี่ยวชาญทั้งด้านโภชนาการ การปรับเปลี่ยนพฤติกรรม และการเฝ้าระวังอาการเตือนของโรค NCDs ต่าง ๆ จุดมุ่งหมายไม่ใช่เพียง “รู้ผลตรวจ” แต่คือ “รู้เท่าทันโรคและรู้วิธีดูแลตัวเอง” เพื่อให้ข้อมูลที่ได้รับกลับไปต่อยอดในระดับครอบครัวและชุมชน

ภาพใหญ่ของเชียงราย ความสำเร็จ–ช่องโหว่ในสมรภูมิ NCDs

เมื่อมองลึกลงไปในตัวเลขผลลัพธ์ด้านคลินิกของจังหวัดเชียงราย ภาพที่ปรากฏสะท้อน “ทั้งจุดแข็งและจุดอ่อนในเวลาเดียวกัน”

ในด้านความดันโลหิตสูง (HTN) จังหวัดสามารถควบคุมความดันของผู้ป่วยได้ดีถึง 67.41% แสดงถึงประสิทธิภาพของระบบการรักษา การจัดการยา และการติดตามผู้ป่วยอย่างต่อเนื่อง ขณะเดียวกัน ในมิติการจัดการภาวะหลอดเลือดสมอง ซึ่งเป็นภาวะแทรกซ้อนร้ายแรงของ NCDs จังหวัดเชียงรายมีร้อยละของผู้ป่วยที่มีอาการไม่เกิน 72 ชั่วโมงและได้รับการรักษาใน Stroke Unit สูงถึง 84.15% สูงกว่าเกณฑ์มาตรฐานที่ตั้งไว้ที่ไม่น้อยกว่า 80% สะท้อนศักยภาพระบบบริการตติยภูมิที่เข้มแข็ง

อย่างไรก็ตาม เมื่อมองไปที่โรคเบาหวาน ภาพกลับไม่สวยเท่าที่ควร อัตราผู้ป่วยที่สามารถควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้ดีอยู่ที่ประมาณ 45.75% ต่ำกว่าความดันโลหิตสูงอย่างมีนัยสำคัญ ขณะที่อัตราการเข้าสู่ภาวะสงบของผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 (Remission) อยู่เพียง 0.27% จากผู้ป่วยทั้งหมดราว 76,000 คน ต่ำกว่าเป้าหมายที่คาดหวังไว้ที่ 1% อย่างมาก แม้จะมีการตั้ง “NCD Remission Clinic” ที่โรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์แล้วก็ตาม

รายงานวิเคราะห์ของจังหวัดชี้ให้เห็นว่า ปัจจัยสำคัญหนึ่งคือ “ข้อจำกัดเชิงระบบ” โดยเฉพาะงบประมาณในการตรวจ HbA1c ซึ่งเป็นตัวชี้วัดสำคัญสำหรับการประเมินการควบคุมระดับน้ำตาลระยะยาว การตรวจที่ไม่ครอบคลุมทำให้แพทย์ไม่สามารถประเมินภาพรวมและปรับแผนการรักษาได้อย่างแม่นยำ อีกทั้งยังมีปัญหาการบันทึกข้อมูลที่ไม่สมบูรณ์ ทำให้ตัวเลขผลลัพธ์บางส่วนต่ำกว่าความเป็นจริง และกระทบต่อการตัดสินใจเชิงนโยบาย

น่าสังเกตว่า การประเมินองค์ประกอบการพัฒนาคุณภาพคลินิก NCD ภายในโรงพยาบาล (องค์ประกอบ 1–5) พบว่า “ไม่สัมพันธ์โดยตรงกับผลลัพธ์การควบคุม DM/HTN” ขณะที่องค์ประกอบเดียวที่แสดงความสัมพันธ์อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติกับการควบคุมระดับน้ำตาลและความดันกลับเป็น “การจัดบริการเชื่อมโยงชุมชน” หรือการออกแบบบริการให้ไปถึงบ้านและชุมชน ผ่านอสม.และเครือข่ายท้องถิ่น

ดิจิทัลไม่ใช่แค่แอปฯ AIDERY Connect – เมื่อหมอ–คนไข้–อสม. เชื่อมถึงกัน

ในสมรภูมิ NCDs ที่ซับซ้อน จังหวัดเชียงรายเลือกใช้นวัตกรรมดิจิทัลเป็น “ตัวเร่ง” ให้ระบบบริการสุขภาพเข้าถึงประชาชนได้จริง แอปพลิเคชัน AIDERY Connect ซึ่งพัฒนาร่วมกับเครือข่ายสุขภาพในจังหวัด ถูกนำมาใช้เป็นแพลตฟอร์มหลักในการดูแลผู้ป่วยเบาหวานและความดันโลหิตสูง โดยเฉพาะในกลุ่มวัยทำงาน

แอปฯ ทำหน้าที่เชื่อมโยงข้อมูลสุขภาพของผู้ป่วย ทั้งค่าความดันโลหิต ระดับน้ำตาล ข้อมูลอาการและประวัติการรักษา เข้ากับทีมแพทย์และพยาบาล ผู้ป่วยสามารถวัดค่าที่บ้านแล้วส่งเข้าไปในระบบ ขณะที่เจ้าหน้าที่สาธารณสุขและแพทย์สามารถติดตามแนวโน้มค่าสุขภาพผ่าน Dashboard กลาง หากพบความผิดปกติ ระบบจะส่งสัญญาณเตือนไปยัง Caregiver เพื่อเร่งประเมินและสั่งการรักษา

การดำเนินงานนำร่องใน 6 อำเภอแรกของจังหวัดแสดงผลลัพธ์ที่ชัดเจน จนเชียงรายได้รับรางวัลชนะเลิศระดับประเทศด้านนวัตกรรมสุขภาพดิจิทัล และกำลังมีแผนขยายไปครบทั้ง 18 อำเภอ เพื่อผลักดันให้ภาพ “Digital Health Chiangrai Wellness City” ไม่ใช่เพียงคำขวัญแต่เป็นระบบการดูแลจริงในชีวิตประจำวันของผู้ป่วย

ควบคู่กันนั้น โครงการ NCDs@Home และ Telemedicine ก็ทำให้บทบาทของอสม.มีความหมายมากกว่าการเป็นเพียง “ผู้ช่วยแจ้งข่าวสาร” อสม.จำนวนมากได้รับการฝึกอบรมให้ใช้เทคโนโลยีดิจิทัล สามารถวัดความดัน เจาะเลือดปลายนิ้ว และบันทึกข้อมูลผ่านระบบออนไลน์ ส่งต่อให้แพทย์และทีมสาธารณสุขประเมิน หากจำเป็นจึงมีการนัดพบแพทย์ผ่านระบบ Telemedicine และจัดส่งยาถึงบ้าน ลดภาระการเดินทางของผู้ป่วย โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบางและผู้สูงอายุ

ข้อมูลล่าสุดสะท้อนพลังของฐานชุมชนอย่างชัดเจน แกนนำสุขภาพมีศักยภาพในการคัดกรอง NCDs สูงถึง 93.70% ขณะที่อสม.เกือบ 100% สามารถใช้ระบบนับคาร์โบไฮเดรตและบันทึกข้อมูลผ่านแอปพลิเคชันได้ การมี “ชุมชนที่อ่านข้อมูลสุขภาพเป็น” ทำให้ยุทธศาสตร์ดิจิทัลไม่หยุดอยู่ที่หน้าจอ แต่ลงรากถึงครัวเรือนจริง ๆ

จากตัวเลขสู่ชีวิตจริง ทำไม “เบาหวาน” ต้องได้รับความสำคัญมากกว่านี้

แม้เชียงรายจะมีตัวอย่างความสำเร็จเชิงระบบหลายด้าน แต่ตัวเลข DM Control Rate ที่ยังอยู่เพียง 45.75% และอัตรา Remission 0.27% ทำให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องกลับมาทบทวนอย่างจริงจัง

ผู้เชี่ยวชาญด้านสาธารณสุขที่ร่วมจัดทำรายงานเชิงยุทธศาสตร์เสนอว่า การจัดการเบาหวานต้อง “ขยับแรงกว่าที่เป็นอยู่” ทั้งในมิติการแพทย์และพฤติกรรม โดยมีข้อเสนอสำคัญอย่างน้อย 3 ด้าน คือ

หนึ่ง การจัดสรรงบประมาณเฉพาะสำหรับการตรวจ HbA1c ให้ครอบคลุมประชากรกลุ่มเสี่ยงและผู้ป่วยเบาหวานอย่างเพียงพอ เนื่องจากตัวเลขดังกล่าวเป็นเสมือน “ภาพถ่ายระยะยาว” ของการควบคุมโรค การขาดข้อมูลชุดนี้ทำให้แพทย์ตัดสินใจได้ไม่เต็มที่

สอง การขยายศักยภาพของ AIDERY Connect และระบบ Dashboard ให้ใช้ติดตามผลลัพธ์ทางคลินิกแบบรายพื้นที่อย่างต่อเนื่อง ไม่เพียงมองจำนวนผู้ป่วย แต่เห็นแนวโน้มว่าพื้นที่ใดควบคุมโรคได้ดีหรือมีความเสี่ยงสูงกว่าปกติ เพื่อนำไปสู่การจัดสรรทรัพยากรอย่างแม่นยำ

สาม การยกระดับ Health Literacy โดยเฉพาะทักษะ “นับคาร์บ” ของผู้ป่วยและครอบครัว ซึ่งเชียงรายเริ่มนำร่องมาแล้วผ่านการอบรมอสม.และการจัด “Carb Counting Station” ในคลินิก NCDs Remission แนวคิด “โปรตีนอย่าให้ขาด คาร์บอย่าให้เกิน เพิ่มเติมด้วยไขมันดี” หากขยายผลอย่างจริงจัง ควบคู่กับการติดตามผ่านดิจิทัลและการสนับสนุนเชิงจิตสังคม อาจทำให้เป้าหมาย Remission 1% เข้าใกล้ความเป็นจริงมากขึ้นในระยะกลาง

เทศบาลนครเชียงราย พื้นที่เมืองแนวหน้าในสมรภูมิ NCDs

บทบาทของเทศบาลนครเชียงรายในครั้งนี้จึงไม่ใช่เพียงเจ้าภาพจัดกิจกรรมคัดกรองเชิงพิธีการ หากแต่เป็น “แนวหน้าของระบบสุขภาพระดับจังหวัด” ในการทดสอบรูปแบบการจัดการ NCDs ในบริบทเมือง

การคัดกรองฟรีใน 63 ชุมชน ที่รวมทั้งการตรวจโรคเรื้อรังหลัก การประเมินสุขภาพจิต การตรวจคัดกรองมะเร็งเต้านมและมะเร็งปากมดลูก และการให้ความรู้ด้านโภชนาการและพฤติกรรมสุขภาพ ถูกเชื่อมต่อเข้ากับระบบหลังบ้านของจังหวัด ทั้ง AIDERY Connect, NCDs@Home, Telemedicine และ NCD Remission Clinic

ในมุมของประชาชน สิ่งที่ได้รับคือ “โอกาสรู้ทันโรคก่อนป่วยหนัก” และช่องทางในการเข้าสู่ระบบดูแลที่ต่อเนื่องและเป็นมิตร ขณะที่ในมุมของผู้กำหนดนโยบาย โครงการนี้คือฐานข้อมูลเชิงพื้นที่ที่มีคุณค่าอย่างยิ่งต่อการออกแบบมาตรการระยะยาว ทั้งด้านงบประมาณ การพัฒนาบุคลากร และการสร้างระบบนิเวศสุขภาพเมืองที่สอดคล้องกับวิถีชีวิตจริง

หากจังหวัดสามารถต่อยอดจากความสำเร็จในระดับเทศบาลนครเชียงราย กระจายรูปแบบคัดกรองเชิงรุกและบริการเชื่อมโยงชุมชนไปสู่พื้นที่อื่น ๆ พร้อมอุดช่องว่างสำคัญเรื่องงบประมาณตรวจ HbA1c และคุณภาพข้อมูล เชียงรายอาจกลายเป็นหนึ่งในจังหวัดต้นแบบของประเทศในการจัดการ NCDs ยุคดิจิทัล ที่ผสาน “เทคโนโลยี–ชุมชน–ท้องถิ่น” เข้าด้วยกันอย่างกลมกลืน

ในขณะที่โรคไม่ติดต่อเรื้อรังยังเดินหน้าอย่างเงียบงันในทุกชุมชน การเลือก “ไม่ยอมจำนนต่อสถิติเดิม” แต่ลุกขึ้นมาคัดกรองทั้งเมือง เชื่อมระบบดิจิทัลเข้ากับกำลังของอสม.และชุมชน อาจเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้คำว่า “สุขภาพดีวิถีเชียงราย” ไม่ได้เป็นเพียงคำขวัญบนป้ายโครงการ แต่กลายเป็นความจริงในชีวิตประจำวันของประชาชนในระยะยาว

สำนักข่าวนครเชียงรายนิวส์

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • รายงานการวิเคราะห์สถานการณ์และยุทธศาสตร์การจัดการโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) จังหวัดเชียงรายและเขตเทศบาลนครเชียงราย
  • สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงราย (สสจ.เชียงราย)
  • เทศบาลนครเชียงราย
  • โรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
MOST POPULAR
FOLLOW ME