Categories
ECONOMY

ส่งออกสินค้าเกษตรไทยไตรมาส 2 แข็งแกร่ง นำโดยตลาดสหรัฐฯ-ยุโรป

ส่งออกเกษตรไทย Q2/68 โต 4.2% แรงหนุน “US–EU” ก่อนภาษีสหรัฐฯ มีผล ขณะจีนโตช้า–ข้าวทรุดหนัก รัฐ–เอกชนถูกจี้เร่งยกระดับคุณภาพและกระจายความเสี่ยง

กรุงเทพฯ, 31 สิงหาคม 2568 — ในราคาเช้าตรู่ของปลายไตรมาส 2 รถห้องเย็นบรรทุกไก่แปรรูปและอาหารสัตว์เลี้ยงทะยานออกจากคลังสินค้าอย่างต่อเนื่อง ปลายทางคือ “ผู้บริโภคโลก” ที่ยังต้องการโปรตีนและสินค้าอุปโภคบริโภค—ภาพนี้คือฉากหน้าของสถิติส่งออกเกษตรไทยที่ “เขียวสด” ช่วงเมษายน–มิถุนายน 2568 แม้หลายตัวแปรรายตลาดยังขรุขระและบางหมวดสินค้ากลับหดแรงจนน่ากังวล

รายงานของ Krungthai COMPASS ชี้ว่า การส่งออกสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตรไทยในไตรมาส 2 ปี 2568 ขยายตัว 4.2% (YoY) เร่งขึ้นจากไตรมาสแรก โดยได้แรงส่งจาก สหรัฐอเมริกา และ สหภาพยุโรป ที่นำเข้าล่วงหน้าก่อน มาตรการภาษีตอบโต้ของสหรัฐฯ จะมีผลในเดือนสิงหาคม ขณะที่ จีน ตลาดใหญ่สุดของไทยยังโตน้อย และ อาเซียน เริ่มฟื้นจากฐานต่ำ

ตลาดหลัก โตไม่เท่ากัน—US–EU เร่งเครื่อง จีนประคองตัว อาเซียนเริ่มหายใจ

  • สหรัฐฯ (สัดส่วน ~10%) โต 18.1% YoY เป็น “แรงขับหลัก” จากดีมานด์ อาหารสัตว์เลี้ยง และ ถุงมือยางจากยางพารา ที่เร่งนำเข้าก่อนภาษีมีผล
  • สหภาพยุโรป (EU) (สัดส่วน ~8%) โต 13.3% YoY โดดเด่นด้วย ไก่สด/แปรรูป ที่ยังแข่งขันได้ด้านคุณภาพและมาตรฐาน
  • จีน (สัดส่วน ~24%) โตเพียง 2% YoY การนำเข้าเด่นไปที่ วัตถุดิบ เพื่อการผลิตสินค้าเพื่อส่งออก สะท้อนอุปสงค์ปลายน้ำที่ยังเปราะบาง
  • อาเซียน (สัดส่วน ~23%) ฟื้น 3.8% YoY โดยมี น้ำตาลทราย เป็นหัวลากสำคัญ

สัญญาณนี้แปลว่า “การเร่งซื้อก่อนภาษี” มีบทบาทจริง และตลาดที่เน้นมาตรฐาน–การตรวจสอบคุณภาพสูง (อย่าง EU) ยังเปิดโอกาสให้สินค้าไทยที่ปรับตัวทัน ส่วนจีนแม้ยังเป็นตลาดหมายเลข 1 แต่ “ความเร็วในการเติบโต” ช้าลงอย่างเห็นได้ชัด

ภาพสินค้า อุตสาหกรรมเกษตรฉุดขึ้น—เกษตรดิบยังอ่อน ข้าวติดลบแรง ผลไม้ชะงัก

โครงสร้างการเติบโตสะท้อนความต่างในเชิงคุณค่า (value-add)

  • กลุ่มเกษตรดิบ (สัดส่วน ~55%): -1.2% YoY
  • กลุ่มอุตสาหกรรมเกษตร (สัดส่วน ~45%): +12.1% YoY

ดาวเด่นที่ฉุดรวมให้บวก

  • ไก่สด/แปรรูป: +11.2% YoY ได้แรงหนุนตลาด EU และจีน
  • น้ำตาลทราย: +22.7% YoY จากผลผลิตอ้อยที่เพิ่มขึ้น
  • มันสำปะหลัง: กลับมาเป็นบวกครั้งแรกในรอบ 2 ปี +4.9% YoY ตามการนำเข้าของจีน
  • อาหารสัตว์เลี้ยง: +9.1% YoY แรงซื้อชัดในสหรัฐฯ–ยุโรป
  • ยางพารา: +4.3% YoY โดยเฉพาะ น้ำยางข้น ที่จีนเร่งนำเข้า เพิ่มกว่า 100% เพื่อผลิตถุงมือยางส่งออกไปสหรัฐฯ ก่อนมาตรการภาษีบังคับใช้

ตัวที่น่าห่วง

  • ข้าว: หดแรง -34.1% YoY โดยเฉพาะ ข้าวขาว 5% ร่วงถึง -58% เมื่อ อินเดีย กลับมาส่งออกและกดการแข่งขันด้านราคา
  • ผลไม้: โตเพียง +2.2% YoY โดย ทุเรียน ซึ่งเป็น “เรือธง” หด -6.5% จาก มาตรการตรวจคุณภาพเข้มของจีน และประเด็นการจัดการหลังการเก็บเกี่ยว

เมื่อนำภาพนี้มาวางบนแผนที่โลจิสติกส์ชายแดน จะยิ่งเห็น “ความเปราะบางแบบพื้นที่” ชัดขึ้น: ทิศเหนือ–อีสาน ที่พึ่งพาด่านบกไปจีนและเพื่อนบ้าน ได้อานิสงส์จากสินค้าแปรรูป/วัตถุดิบบางตัว แต่ในช่วงที่ด่านมีข้อจำกัดหรือความตึงเครียดทางการเมือง ปริมาณเคลื่อนย้ายผลไม้สดและเกษตรดิบจะสะดุดเป็นพิเศษ

สงครามการค้า + จีนชะลอ = สองแรงกดในครึ่งหลังปี 2568–ปี 2569

Krungthai COMPASS ประเมิน “แรงกด” ที่ต้องรับมือสองด้านพร้อมกัน

  1. มาตรการภาษีตอบโต้ของสหรัฐฯ (อัตรา 19%) ที่เริ่มมีผลในเดือนสิงหาคม มีแนวโน้มฉุดหมวดที่พึ่งพาตลาดสหรัฐฯ สูง โดยเฉพาะห่วงโซ่ ยาง–น้ำยางข้น–ถุงมือยาง หลังพ้นช่วง “เร่งซื้อก่อนภาษี”
  2. เศรษฐกิจจีนชะลอตัว ทำให้ดีมานด์สินค้าบริโภคและวัตถุดิบเติบโตช้าลง พร้อมกฎระเบียบคุณภาพ–สุขอนามัยพืช (SPS) เข้มขึ้น ส่งผลโดยตรงต่อ ผลไม้ และ ข้าว

ภาพรวมปี 2568–2569 จึงมีความเสี่ยงที่ ยางพารา อาจกลับไปหดตัวต่อเนื่อง และ ข้าว อาจลดลงแรงถึง -48% ในปี 2568 หากไม่มีมาตรการเสริมความสามารถแข่งขันด้านราคา–คุณภาพ ส่วน ไก่ แม้ยังโตได้ แต่ต้องประคองมาร์จินท่ามกลางคู่แข่งอย่าง บราซิล ที่ได้เปรียบด้านต้นทุน ขณะที่ ผลไม้ไทย มีโอกาสกลับมาขยายตัวในปี 2569 หาก “ด่านคุณภาพ” ผ่านได้ราบรื่นกว่าเดิม

เชื่อมโยงเศรษฐกิจชายแดน เมื่อหน้าด่านสะดุด ผลรวมประเทศก็สั่น

แม้รายไตรมาสของเกษตรรวมจะบวก แต่เส้นเลือด “หน้าด่าน” ยังบอบบาง—โดยเฉพาะช่วงเดือนกรกฎาคมที่ภาพรวม การค้าชายแดน ลดลงหนัก เพราะการเมืองชายแดนฝั่งกัมพูชาและข้อจำกัดการเปิด–ปิดจุดผ่านแดน ขณะที่ “การค้าผ่านแดน” ไปจีนกลับยังแรงจากวัฏจักรผลไม้และอุปสงค์เฉพาะทาง จุดนี้สะท้อนว่า นโยบายด่าน และ มาตรการคุณภาพ มีน้ำหนักพอ ๆ กัน: หากหน้าด่านนิ่ง—สินค้าสดเดินทางได้เร็ว และถ้าคุณภาพ–เอกสารครบ—ตลาดปลายทางก็เปิดรับอย่างต่อเนื่อง

กลยุทธ์ “อยู่เป็น–อยู่รอด–อยู่ยั่งยืน”: 7 ข้อทำได้จริง

1) ล็อกมาตรฐานคุณภาพผลไม้–โปรตีน:
เร่งขยายระบบ Pre-clearance / Pre-inspection กับประเทศคู่ค้า และสนับสนุน ระบบตรวจย้อนกลับ (traceability) ระดับฟาร์ม–ล้ง–โรงงาน ให้เชื่อมกับแพลตฟอร์มดิจิทัลของรัฐ ช่วยให้ผลไม้และเนื้อสัตว์ผ่านด่าน SPS/TBT ได้เร็วขึ้น ลดความเสี่ยง “ถูกสุ่มตรวจ–ถูกตีกลับ”

2) ยกระดับสินค้าดิบสู่แปรรูปคุณค่าเพิ่ม:
ตั้งเป้าหมวดที่มี value-add สูง—เช่น แปรรูปยางพารา (ยางทางการแพทย์, ยางกันสั่น), มันสำปะหลัง (modified starch), และโปรตีนแปรรูป—เพื่อกันกระสุนในช่วงราคาโภคภัณฑ์ผันผวน

3) กระจายตลาดและหน้าต่างเวลา:
จัดพอร์ตส่งออกแบบ “กระจายฤดูกาล–กระจายประเทศ” ลดการกระจุกตัวในจีนช่วงผลไม้พีก และเพิ่มสัดส่วนตลาดกำลังซื้อสูงใน ตะวันออกกลาง–สหรัฐฯ–ยุโรปตะวันออก ผ่านข้อตกลงความร่วมมือด้านมาตรฐานอาหารฮาลาล–สุขอนามัยสัตว์

4) โลจิสติกส์คอขวดเป็นต้นทุนเงียบ—ต้องแก้แบบแพ็กเกจ:
ทดลอง ช่องตรวจเฉพาะกิจช่วงฤดูผลไม้, ขยายเวลาทำการด่านแบบกำหนดช่วง และพัฒนา คลังเย็น–ศูนย์รวบรวม ใกล้ด่านบก/ด่านราง ควบคู่การผลักดัน Single Window เอกสารข้ามแดน

5) คุ้มครองความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยน–ราคาโภคภัณฑ์:
ผลักดันการใช้เครื่องมือ hedging อย่างจริงจังใน SMEs ผ่านสถาบันการเงินรัฐ–เอกชน และให้สิทธิประโยชน์ภาษีกับผู้ใช้เครื่องมือบริหารความเสี่ยงอย่างมีวินัย

6) สื่อสาร–แจ้งเตือนล่วงหน้าเรื่องภาษี/กำแพงการค้า:
ตั้ง War room การค้า ประสานหน่วยงานเศรษฐกิจและการทูตเชิงพาณิชย์ แจ้งเตือน “มาตรการใหม่–โควตา–มาตรฐานสุขอนามัย” ให้ผู้ส่งออกทราบล่วงหน้าพร้อมคู่มือปฏิบัติในรูปแบบ checklists

7) ข้าวต้อง “เกมใหม่”:
ยกเครื่องยุทธศาสตร์จาก “ปริมาณ–ราคา” เป็น “ความต่าง–คุณภาพ–เรื่องราว” เร่งพัฒนา ข้าวพรีเมียม/ข้าวสุขภาพ ปรับแพ็กจิ้ง–แบรนด์ และสร้างความร่วมมือกับห้าง–แพลตฟอร์มออนไลน์ต่างประเทศ เปลี่ยนสมรภูมิแข่งขันออกจากสงครามราคาที่อินเดีย-เวียดนามถนัด

คำเตือนจากตัวเลข จุดแข็ง–จุดอ่อนในคำเดียวกัน

  • การโตของ อุตสาหกรรมเกษตร แปลว่าผู้ประกอบการไทย “เดินมาถูกทาง” ในการเพิ่มมูลค่า
  • แต่การหดตัวของ ข้าว และการโตช้าของ ผลไม้ สื่อว่าการบ้านเรื่อง “คุณภาพ–มาตรฐาน–ต้นทุน” ยังรอการแก้เชิงระบบ
  • ดีมานด์ US–EU ที่ดีขึ้น อาจ “ผ่อนแรง” หลังภาษีสหรัฐฯ มีผล หากไม่มีการบริหารความเสี่ยง–เจรจาทางการค้าเสริม
  • จีน ยังเป็น “เสือหลับ”—หากเศรษฐกิจฟื้นและไทยแก้คอขวดคุณภาพ-โลจิสติกส์ได้ทัน ผลไม้–แปรรูปไทยยังมีพื้นที่เติบโต

สรุปย่อตัวเลขสำคัญ (ไตรมาส 2/2568)

  • ส่งออก เกษตร+อุตสาหกรรมเกษตร: +4.2% YoY
  • ตลาด: US +18.1%, EU +13.3%, จีน +2%, อาเซียน +3.8%
  • กลุ่มสินค้า: เกษตรดิบ -1.2%, อุตสาหกรรมเกษตร +12.1%
  • รายสินค้าเด่น: ไก่ +11.2%, น้ำตาล +22.7%, มันสำปะหลัง +4.9%, อาหารสัตว์เลี้ยง +9.1%, ยางพารา +4.3% (น้ำยางข้นที่จีนเร่งนำเข้า >100%)
  • รายสินค้าน่าห่วง: ข้าว -34.1% (ข้าวขาว 5% -58%), ผลไม้ +2.2%, ทุเรียน -6.5%

จาก “เร่งซื้อก่อนภาษี” สู่ “แข่งขันจริงบนมาตรฐาน”

ตัวเลขสวยในไตรมาส 2 ไม่ได้บอกว่าทางข้างหน้าจะราบรื่น—ครึ่งหลังปี 2568 คือบททดสอบจริงหลังมาตรการภาษีสหรัฐฯ มีผล และเมื่อจีนยังชะลอ ไทยจำเป็นต้อง “คุมคุณภาพให้เป๊ะ–ลดต้นทุนให้คม–เปิดตลาดให้กว้าง” ควบคู่กับการทำให้ “ด่าน” เดินได้อย่างคาดเดาได้ หากปรับตัวทัน ชุดสินค้าที่ไทยถนัด—ตั้งแต่โปรตีนแปรรูปถึงแป้งมันดัดแปร—จะยังสร้างมูลค่าเพิ่ม และผลไม้ไทยก็มีพื้นที่กลับมา “เฉิดฉาย” ในปี 2569 เมื่อมาตรฐานคือภาษาเดียวกันระหว่างเรากับโลก

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • Krungthai COMPASS (ธนาคารกรุงไทย): รายงานวิเคราะห์ “การส่งออกสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตรไทย ไตรมาส 2/2568” (เผยแพร่ปลายส.ค. 2568) – ตัวเลขอัตราการเติบโตรายหมวดสินค้า/รายตลาด, สมมติฐานความเสี่ยงภาษีสหรัฐฯ, แนวโน้ม H2/2568–ปี 2569
  • กรมการค้าต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์: ข่าวเผยแพร่/สรุปสถานการณ์ “การค้าชายแดน–การค้าผ่านแดน” เดือนกรกฎาคม 2568 และช่วง 7 เดือนแรก – ใช้ประกอบบริบทความเสี่ยงหน้าด่านและการเติบโตของการค้าผ่านแดนไปจีน
  • สำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) กระทรวงพาณิชย์: ชุดข้อมูลสถิติการส่งออกสินค้าเกษตร–อุตสาหกรรมเกษตร (รายตลาด/รายหมวด) เพื่อเทียบเคียงแนวโน้มไตรมาส
  •  
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI TOP STORIES

‘เชียงราย’ ติดเมืองรองยอดฮิต นักท่องเที่ยวสูงก่อนโควิดบวก 130%

 

เมื่อวันที่ 30 ก.ค. 67 ศูนย์วิจัย Krungthai COMPASS ประเมินนักท่องเที่ยวต่างชาติมีแนวโน้มพื้นตัวต่อเนื่อง มีโอกาสแตะ 40 ล้านคน เท่ากับช่วงก่อนเกิดโควิด-19 หนุนให้รายได้ภาคท่องเที่ยวไทยแตะ 3 ล้านล้านบาท ในปี 2568 เปิด 6 เทรนด์การท่องเที่ยวยุคใหม่ ดึงดูดนักท่องเที่ยวศักยภาพ มีการใช้จ่ายสูง ช่วยสร้างมูลค่าเพิ่มภาคการท่องเที่ยวไทยไม่ต่ำกว่า 1.35 แสนล้านบาท แนะผู้ประกอบการปรับรูปแบบบริการ สร้างโอกาสการเติบโตจากเทรนด์ท่องเที่ยวยุคใหม่

นายพชรพจน์ นันทรามาศ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ภาคการท่องเที่ยวที่เป็นเครื่องยนต์สำคัญของเศรษฐกิจไทย มีสัญญาณฟื้นตัวชัดเจน โดยคาดว่าในปี 2567 จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติมีโอกาสขึ้นไปแตะระดับ 36.5 ล้านคน และในปี 2568 มีโอกาสเข้าสู่ระดับเดียวกับช่วงก่อนโควิดที่ 40 ล้านคน แม้นักท่องเที่ยวจีนจะพื้นตัวได้ต่ำกว่าช่วงก่อนโควิดที่ระดับ 65%-90% โดยได้รับแรงสนับสนุนจากการเติบโตของ นักท่องเที่ยวกลุ่มหลักอย่างมาเลเซีย อินเดีย รัสเซีย และเกาหลีใต้ รวมถึงนักท่องเที่ยวกลุ่มยุโรป และตะวันออกกลาง ส่งผลให้รายได้รวมจากการท่องเที่ยวในปี 2567-2568 มีมูลค่าราว 2.65-3 ล้านล้านบาท

จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติในช่วง 5 เดือนแรกฟื้นตัว 88% เทียบกับก่อนโควิด อยู่ในระดับใกล้เคียงค่าเฉลี่ยภูมิภาค แต่ยังต่ำกว่าญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และเวียดนาม ส่วน Top5 นักท่องเที่ยวต่างชาติครึ่งปีแรก ได้แก่ จีน 3.44 ล้านคน ฟื้นตัว 61% เทียบกับปี 62, มาเลเซีย 2.44 ล้านคน ฟื้นตัว 126%, อินเดีย 1.04 ล้านคน ฟื้นตัว 106%, เกาหลี 930,000 คน ฟื้นตัว 103% และรัสเซีย 920,000 คน ฟื้นตัว 112%…..นายพชรพจน์กล่าว

ภาพรวมการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวต่างชาติในช่วงครึ่งปีแรก 2567 เฉลี่ยอยู่ที่ 45,568 บาท/คน/ทริป ยังต่ำกว่าช่วงก่อนโควิด-19 (ปี 2562) อยู่เล็กน้อยราว 4.9% แต่สูงกว่าปี 2566 ที่มีค่าใช้จ่ายเฉลี่ยอยู่ที่ 43,743 บาท/คน/ทริป ซึ่งต่ำกว่าช่วงก่อนโควิด-19 ถึง 8.7%

Top 10 จังหวัดที่ต่างชาตินิยมเดินทางไปท่องเที่ยวมากที่สุด คือ กรุงเทพ ชลบุรี ภูเก็ต สุราษฎร์ธานี สงขลา เชียงใหม่ กระบี่ พังงา อยุธยา และหนองคาย

โดยนักท่องเที่ยวใช้จ่ายไปกับค่าที่พักเพิ่มขึ้น 15% และค่ารักษาพยาบาลเพิ่มขึ้น 5.3% สวนทางกับค่าช้อปปิ้งที่ลดลง สะท้อนให้เห็นรูปแบบการท่องเที่ยวที่เปลี่ยนไป

สำหรับจำนวนนักท่องเที่ยวชาวไทยไทยสูงกว่าช่วงก่อนโควิด แต่การใช้จ่ายยังไม่ฟื้นตัว เฉลี่ยอยู่ที่ 3,503-4,708 บาท/คน/ทริป สะท้อนกำลังซื้อในประเทศยังอ่อนแอ อย่างไรก็ตามการกระจายรายได้สู่จังหวัดเมืองรองเริ่มมีสัญญาณที่ดีขึ้น โดยในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2567 มีสัดส่วนราว 13.4% ของรายได้จากภาคการท่องเที่ยวโดยรวม ปรับเพิ่มขึ้นจากช่วงก่อนโควิด ที่มีสัดส่วนเพียง 9.2%

โดยเมืองรองยอดฮิต 5 อันดับแรก คือ สุพรรณบุรี สมุทรสงคราม เชียงราย จันทบุรี และอุดรธานี้ มีจำนวนนักท่องเที่ยวฟื้นตัวได้สูงกว่าช่วงก่อนโควิด ที่ระดับ 130%-343% สะท้อนให้เห็นว่านักท่องเที่ยวทั้งไทยและต่างชาติมีความสนใจที่จะเดินทางท่องเที่ยวในจังหวัดเมืองรองมากขึ้น

นายธนา ตุลยกิจวัตร นักวิเคราะห์ ศูนย์วิจัย Krungthai COMPASS กล่าวว่า พฤติกรรมของนักท่องเที่ยวเปลี่ยนแปลงไปจากช่วงก่อนโควิด ที่เน้นท่องเที่ยวแบบ Mass Tourism ไปสู่การท่องเที่ยวแบบเฉพาะเจาะจงมากขึ้น ผนวกรวมกับนโยบายด้าน Soft Power ที่ภาครัฐพยายามผลักดันอย่างต่อเนื่อง ทั้งด้านอาหารไทย และการท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์ เกิดเป็นเทรนด์การท่องเที่ยวยุคใหม่ที่มีโอกาสสร้างมูลค่าเพิ่มให้ภาคการท่องเที่ยวไทยได้กว่า 1.35 แสนล้านบาท ประกอบด้วย

1.การท่องเที่ยวเชิงอาหาร (Gastronomy Tourism) โดยเฉพาะ Street Food ที่ได้รับความนิยมจาก นักท่องเที่ยวต่างชาติเพิ่มขึ้นถึง 18.1% เมื่อเทียบกับช่วงก่อนโควิด

2.การท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม (Cultural Tourism) เช่น เทศกาลสงกรานต์ที่ผ่านมา มีนักท่องเที่ยวเข้าร่วมงานกว่า 7.8 แสนคน สร้างรายได้มากถึง 2,880 ล้านบาท

3.การท่องเที่ยวตามรอยภาพยนตร์ ซีรีส์ หรือมิวสิกวิดีโอ (Film Tourism) ล่าสุดหลังจากที่มีการปล่อย MV เพลง “ROCKSTAR” ของ Lisa มีนักท่องเที่ยวตามไปถ่ายรูปเช็กอินที่ถนนเยาวราชจำนวนมาก รวมถึงละครเรื่องบุพเพสันนิวาส ที่ทำให้มีนักท่องเที่ยวสนใจเยี่ยมชมสถานที่ถ่ายทำต่าง ๆ เช่น วัดไชยวัฒนาราม เพิ่มขึ้น 3-4 เท่าตัว

4.การท่องเที่ยวแบบยั่งยืน (Sustainable Tourism) ซึ่งจากผลสำรวจโดย Booking.com พบว่า 3 ใน 4 ของนักท่องเที่ยวยุคใหม่ต้องการเดินทางท่องเที่ยวแบบอย่างยั่งยืนในอีก 12 เดือนข้างหน้า

5.กลุ่ม Digial Nomad Tourism เป็นกลุ่มที่มีศักยภาพที่เติบโตขึ้นตามกระแส “Workcation” รูปแบบการทำงานในโลกยุคใหม่ที่มีบทบาทมากขึ้นเรื่อย ๆ และมีการค่าใช้จ่ายเฉลี่ยต่อคนที่สูงกว่านักท่องเที่ยวทั่วไปเกือบเท่าตัว ซึ่งกรุงเทพติดอันดับจุดหมายปลายทางยอดนิยมของนักท่องเที่ยวกลุ่ม Digial Nomad Tourism อันดับที่ 3 ของโลก และอันดับ 1 ของเอเชีย

6.การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ (Wellness Tourism) ที่มีโอกาสเติบโตไปพร้อมกับจำนวนผู้สูงอายุ และพฤติกรรมของคนทั่วโลกที่หันมาดูแลสุขภาพมากขึ้น

อย่างไรก็ตามยังมีโจทย์ท้าทายคือนักท่องเที่ยวจีนที่ยังฟื้นตัวไม่เต็มที่ในระยะ 1-2 ปีข้างหน้า จากภาวะเศรษฐกิจ รวมถึงต้องจับตาประเด็นเรื่องความปลอดภัยในการเดินทางท่องเที่ยวในไทย เนื่องจากเป็นเรื่องที่ชาวจีนยังมีความกังวลค่อนข้างมาก โดยความเชื่อมั่นต่ำกว่าเพื่อนบ้านอย่างฮ่องกง สิงคโปร์ และญี่ปุ่น

ผลสำรวจความเชื่อมั่นด้านความปลอดภัยในการท่องเที่ยวต่างประเทศชองชาวจีน พบว่า 24% บอกว่าเที่ยวไทยปลอดภัย 39% บอกว่าไม่แน่ใจ และ 38% บอกว่าไม่ปลอดภัย นอกจากนี้ยังมีปัจจัยท้าทายจากต้นทุนภาคธุรกิจที่เพิ่มสูงขึ้น และปัญหาความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ที่ยังมีความไม่แน่นอนสูง…..นายธนากล่าว

ด้านนางสาววีระยา ทองเสือ นักวิเคราะห์ ศูนย์วิจัย Krungthai COMPASS เสริมว่า ผู้ประกอบการไทยควรปรับตัวเพื่อคว้าโอกาสจากเทรนด์การท่องเที่ยวยุคใหม่ ดังนี้

1.ปรับรูปแบบผลิตภัณฑ์และบริการให้ตอบโจทย์ความ ต้องการของนักท่องเที่ยวที่มีความเฉพาะเจาะจงมากขึ้น เช่น ธุรกิจโรงแรมปรับปรุงที่พักให้สอดรับมาตรฐาน Green Hotel หรือเข้าร่วมโครงการ Sustainable Tourism Acceleration Rating (STAR) เพื่อรองรับนักท่องเที่ยวสายรักษ์ธรรมชาติ

2.นำเทคโนโลยีเข้ามาใช้ในการดำเนินธุรกิจ เช่น ธุรกิจร้านอาหาร อาจนำหุ่นยนต์อัตโนมัติเข้ามาช่วยเสิร์ฟอาหาร เพื่อลดผลกระทบจากปัญหาขาดแคลนแรงงาน นอกจากนี้เสนอให้ภาครัฐพิจารณาแนวนโยบายส่งเสริมการท่องเที่ยว โดยมุ่งเน้นไปที่

 

  • เจาะตลาดนักท่องเที่ยวกลุ่มศักยภาพสูง โดยอาจเพิ่มทางเลือกในส่วนของประกันสุขภาพให้กับกลุ่ม Digital Nomad ที่มาขอ Destination Thailand Visa Revealed (DTV)
  • ผลักดันให้เกิดกระแสการเดินทางเที่ยวตลอดทั้งปี โดยเฉพาะในเมืองรอง โดยเชื่อมโยงกับกลุ่ม Welness Tourism ที่ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มผู้สูงวัยที่สามารถท่องเที่ยวในวันธรรมดาได้
  • เร่งพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน เพื่อให้เกิดการเชื่อมโยงเส้นทางท่องเที่ยวทั้งในประเทศ และระหว่างประเทศ รวมถึงสร้างระบบด้านความปลอดภัย ซึ่งเป็นเรื่องเร่งด่วนที่จะช่วยสร้างความเชื่อมั่นและดึงดูดนักท่องเที่ยวให้มาเที่ยวไทยมากขึ้น

ภาคธุรกิจที่จะได้ประโยชน์จากการท่องเที่ยวที่ฟื้นตัว ได้แก่

1.ธุรกิจโรงแรม เป็นธุรกิจแรก ๆ ที่ได้รับประโยชน์โดยตรงจากการฟื้นตัวของภาคท่องเที่ยว โดยเฉพาะโรงแรมที่ตั้งอยู่ในจังหวัดท่องเที่ยวหลัก เช่น กรุงเทพฯ ชลบุรี ภูเก็ต โดยโรงแรมระดับ 4-5 ดาวมีแนวโน้มฟื้นตัวได้ดีกว่าโรงแรมทั่วไป และมีอัตราการเข้าพักแรมเฉลี่ยกลับสู่ระดับเดียวกับช่วง Pre-Covid แล้ว

2.ธุรกิจสายการบิน โดย AOT ประเมินว่าในปี 2572 จะมีจำนวนผู้โดยสารสูงถึง 170 ล้านคน และในอีก 10 ปีข้างหน้า หรือปี 2577 จำนวนผู้โดยสารอาจแตะระดับ 210 ล้านคน ส่งผลให้ธุรกิจสายการบินยังมี้แนวโน้มที่จะขยายตัวได้อีกมาก

3.ธุรกิจร้านอาหาร อาหารกลุ่ม Street Food, Local Food, Fine Dining Thai Cuisine รวมถึงร้านอาหารประเภท Cafe ยังคงได้รับความนิยมุจากนักท่องเที่ยวต่างชาติอย่างต่อเนื่อง สอดคล้องตามคาดการณ์ของสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) ที่ประเมินว่าตลาดบริการอาหารของไทยในปี 2566-2571 จะเติบโตเฉลี่ยปีละ 6.72%

4.ธุรกิจค้าปลีก ได้รับอานิสงส์จากการใช้จ่ายในการซื้อสินค้าของนักท่องเที่ยวต่างชาติมีสัดส่วนกว่า 18.4% ของค่าใช้จ่ายทั้งหมดโดยสินค้ายอดนิยม 3 อันดับแรกที่นักท่องเที่ยวซื้อเป็นของฝากของที่ระลึก ได้แก่ เสื้อผ้า ผลิตภัณฑ์อาหารไทย และของที่ระลึกตามลำดับ มีการใช้จ่ายเฉลี่ยสูงถึง 2,621-5,331 บาท/คน/ทริป

5.ธุรกิจ Healthcare เป็นหนึ่งในธุรกิจที่จะได้รับประโยชน์จากการฟื้นตัวของนักท่องเที่ยวต่างชาติ และแนวโน้มการเติบโตของ Wellness Tourism สะท้อนจากสัดส่วนรายได้จากผู้ป่วยชาวต่างชาติ และรายได้ในธุรกิจ Wellness ของผู้ประกอบการรายใหญ่ที่มีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้น

ทั้งนี้ Krungthai COMPASS คาดการณ์ GDP ปีนี้จะเติบโตที่ 2.3% โดยยังไม่รวมผลของมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างดิจิทัลวอลเล็ต โดยมีปัจจัยหลักการการบริโภคในประเทศ การลงทุน และการท่องเที่ยว ส่วนภาคการส่งออกยังท้าทาย จากภาวะเศรษฐกิจโลกชะลอตัว ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ มาตรการกีดกันทางการค้าและกำแพงภาษี โดบคาดว่าส่งออกปีนี้จะเติบโตที่ 0.5-1%

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : Krungthai COMPASS

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News