Categories
NEWS UPDATE

นายกฯ สั่งด่วน แก้ปัญหา สารพิษแม่น้ำกก เร่งเจรจาเมียนมา

นายกฯ สั่งด่วนแก้วิกฤตมลพิษแม่น้ำกก สางปัญหาสารปนเปื้อนข้ามแดน ร่วมมือทุกภาคส่วนปกป้องลุ่มน้ำ

เชียงราย, 20 พฤษภาคม 2568 – จากสถานการณ์มลพิษในแม่น้ำกกที่ทวีความรุนแรงจากการปนเปื้อนของสารหนูและโลหะหนักเกินค่ามาตรฐาน นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้สั่งการด่วนให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งแก้ไขปัญหาในทุกมิติ เพื่อสร้างความมั่นใจให้ประชาชนในจังหวัดเชียงรายและเชียงใหม่ และลดผลกระทบต่อสุขภาพ ระบบนิเวศ และวิถีชีวิตของชุมชน การสั่งการครั้งนี้เน้นย้ำถึงการจัดการต้นตอของปัญหา ซึ่งมีสาเหตุหลักจากการทำเหมืองแร่ในรัฐฉาน ประเทศเมียนมา พร้อมผลักดันการเจรจาข้ามแดนเพื่อหยุดยั้งการปล่อยสารพิษลงสู่ลุ่มน้ำกก การดำเนินการนี้ได้รับความร่วมมือจากหน่วยงานต่างๆ รวมถึงกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (GISTDA) และกรมควบคุมมลพิษ เพื่อฟื้นฟูแม่น้ำกกให้กลับมาเป็นเส้นเลือดใหญ่ที่หล่อเลี้ยงชุมชนอย่างยั่งยืน

แม่น้ำกกในภาวะวิกฤต

แม่น้ำกกเป็นมากกว่าแหล่งน้ำธรรมชาติสำหรับชาวเชียงรายและเชียงใหม่ มันคือสายน้ำแห่งชีวิตที่หล่อเลี้ยงเกษตรกรรม การประมง และการท่องเที่ยวของชุมชนในพื้นที่ ตั้งแต่ตำบลท่าตอน อำเภอแม่อาย จังหวัดเชียงใหม่ ไปจนถึงอำเภอเมืองเชียงรายและอำเภอเชียงแสน แม่น้ำกกไหลจากเทือกเขาสูงในรัฐฉาน ประเทศเมียนมา ผ่านพื้นที่ชายแดนไทย-เมียนมา ก่อนบรรจบกับแม่น้ำโขงที่บริเวณสามเหลี่ยมทองคำ ชาวบ้านในพื้นที่พึ่งพาแม่น้ำสายนี้ในการดำรงชีวิตมานานนับศตวรรษ ตั้งแต่การเพาะปลูกข้าว การเลี้ยงสัตว์น้ำ ไปจนถึงการต้อนรับนักท่องเที่ยวที่มาเยือนค่ายช้างและสถานที่ท่องเที่ยวริมน้ำ

อย่างไรก็ตาม ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา แม่น้ำกกเริ่มส่งสัญญาณแห่งความผิดปกติ ชาวบ้านในตำบลท่าตอนสังเกตว่าน้ำในแม่น้ำขุ่นข้นผิดปกติ โดยเฉพาะหลังเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่ในเดือนกันยายน 2567 ซึ่งพัดพาโคลนและตะกอนจำนวนมากลงสู่ท้ายน้ำ เด็กที่ลงเล่นน้ำเริ่มมีอาการผื่นคันรุนแรง ปลาในแม่น้ำตายเป็นจำนวนมาก และพืชผลเกษตรที่ใช้น้ำจากแม่น้ำเริ่มมีสภาพผิดปกติ ความกังวลของชุมชนทวีคูณเมื่อผลการตรวจคุณภาพน้ำในช่วงต้นปี 2568 ระบุว่ามีสารหนูและตะกั่วปนเปื้อนเกินค่ามาตรฐานในหลายจุด โดยเฉพาะบริเวณชายแดนไทย-เมียนมา

ข้อมูลจากสำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (GISTDA) ซึ่งใช้ภาพถ่ายดาวเทียมย้อนหลังตั้งแต่ปี 2560–2568 เผยให้เห็นการขยายตัวของการทำเหมืองแร่ในรัฐฉาน โดยเฉพาะในช่วงปี 2567–2568 พบการเปิดหน้าดินขนาดใหญ่ในหลายพื้นที่ ซึ่งสอดคล้องกับการเพิ่มขึ้นของความขุ่น (turbidity) ในแม่น้ำกก การค้นพบนี้ชี้ชัดว่าต้นตอของมลพิษมาจากการทำเหมืองทองและแรร์เอิร์ธ (แร่หายาก) ในเขตเมืองยอนและเมืองสาด รัฐฉาน ซึ่งอยู่ภายใต้การควบคุมของกองทัพสหรัฐว้า (United Wa State Army – UWSA) และมีบริษัทจากจีนเข้ามาลงทุนอย่างต่อเนื่อง

วิกฤตครั้งนี้ไม่เพียงกระทบต่อชุมชนในฝั่งไทย แต่ยังส่งผลถึงชุมชนในฝั่งเมียนมา โดยเฉพาะหมู่บ้านเปียงคำที่ชาวบ้านรายงานว่าปลาตายและน้ำไม่สามารถใช้ได้ ชาวบ้านบางส่วนที่สัมผัสน้ำปนเปื้อนมีอาการระคายเคืองผิวหนังอย่างรุนแรง ความเปราะบางของระบบนิเวศในลุ่มน้ำกกกลายเป็นประเด็นที่ไม่อาจมองข้ามได้อีกต่อไป

คำสั่งนายกฯ และการเคลื่อนไหวของภาครัฐ

เมื่อวันที่ 20 พฤษภาคม 2568 ณ ทำเนียบรัฐบาล นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี มีความห่วงใยอย่างยิ่งต่อสถานการณ์มลพิษในแม่น้ำกก และได้สั่งการให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการแก้ไขปัญหาอย่างครอบคลุม โดยมุ่งเน้นสี่ด้านหลัก ได้แก่ การจัดการแหล่งที่มาของมลพิษ การแก้ไขปัญหาการปนเปื้อนในแหล่งน้ำ การเฝ้าระวังคุณภาพสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ และการบริหารจัดการเชิงนโยบาย

นายกรัฐมนตรีมอบหมายให้ นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ซึ่งกำกับดูแลกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สั่งการต่อไปยัง นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรฯ และนายจตุพร บุรุษพัฒน์ ปลัดกระทรวงฯ เพื่อติดตามและจัดการแหล่งที่มาของมลพิษ โดยเฉพาะการเจรจากับเมียนมาเพื่อควบคุมหรือปรับปรุงวิธีการทำเหมืองที่ปล่อยสารพิษลงสู่แม่น้ำกก

การดำเนินการของภาครัฐในช่วงที่ผ่านมามีความคืบหน้าอย่างต่อเนื่อง โดยเมื่อวันที่ 13 พฤษภาคม 2568 สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) ได้จัดการประชุมคณะทำงานขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาคุณภาพน้ำแม่น้ำระหว่างประเทศ ลุ่มน้ำโขงเหนือ ครั้งที่ 1/2568 โดยมีผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงรายเป็นประธาน ในการประชุมครั้งนี้ GISTDA ได้นำเสนอข้อมูลจากการวิเคราะห์ภาพถ่ายดาวเทียม ซึ่งยืนยันการขยายตัวของเหมืองในรัฐฉาน และส่งข้อมูลดังกล่าวให้กรมกิจการชายแดนทหารและกรมควบคุมมลพิษเพื่อดำเนินการต่อ

นอกจากนี้ เมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม 2568 กรมควบคุมมลพิษได้จัดการประชุมร่วมกับกรมกิจการชายแดนทหาร กรมเอเชียตะวันออก GISTDA และกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ (กพร.) เพื่อเตรียมข้อมูลสำหรับการเจรจาข้ามแดน โดยกรมควบคุมมลพิษได้รับมอบหมายให้เป็นหน่วยงานหลักในการประมวลผลข้อมูลในสามด้าน ได้แก่ การบ่งชี้ปัญหาทางสิ่งแวดล้อม ผลกระทบต่อสุขภาพและระบบนิเวศ และแนวทางการให้ความช่วยเหลือเมียนมาในการทำเหมืองที่ถูกต้องตามหลักวิชาการ ข้อมูลเหล่านี้จะถูกส่งต่อให้กรมกิจการชายแดนทหารและกรมเอเชียตะวันออกเพื่อใช้ในการเจรจากับเมียนมา

ในด้านการแก้ไขมลพิษในแหล่งน้ำ หน่วยทหารช่างมีแผนขุดลอกแม่น้ำกกเป็นระยะทาง 3 กิโลเมตร บริเวณหมู่บ้านธนารักษ์-สะพานย่องลี อำเภอเมืองเชียงราย เพื่อลดการสะสมของตะกอน กรมควบคุมมลพิษกำลังศึกษาวิธีการจัดการตะกอน เช่น การปรับสภาพน้ำ ระบบตักตะกอน และการเบี่ยงกระแสน้ำ ขณะที่การประปาส่วนภูมิภาคได้จัดเตรียมแผนบริหารจัดการน้ำในกรณีที่แหล่งน้ำผิวดินปนเปื้อนในระยะยาว เพื่อให้ประชาชนมีน้ำสะอาดสำหรับอุปโภคและบริโภค

ด้านการเฝ้าระวัง กรมควบคุมมลพิษจะเพิ่มความถี่ในการเก็บตัวอย่างน้ำและตะกอนดินในแม่น้ำกก แม่น้ำสาย และลำน้ำสาขาเป็น 2 ครั้งต่อเดือน ตั้งแต่เดือนพฤษภาคมถึงกันยายน 2568 กรมประมงได้ตรวจวิเคราะห์โลหะหนักในสัตว์น้ำ 3 ครั้ง ในวันที่ 11 เมษายน 28 เมษายน และ 2 พฤษภาคม 2568 โดยผลการตรวจไม่พบแคดเมียมและตะกั่วเกินมาตรฐาน ส่วนกรณีปลาที่มีตุ่มแดงเกิดจากปรสิต กรมอนามัยได้ตรวจคุณภาพน้ำประปาและปัสสาวะของประชาชนในเดือนเมษายน 2568 พบว่าน้ำประปาไม่มีสารหนูและตะกั่วเกินมาตรฐาน และผลตรวจปัสสาวะอยู่ในเกณฑ์ปกติ

ด้านการบริหารจัดการ รองนายกรัฐมนตรี นายประเสริฐ จันทรรวงทอง ได้รับแต่งตั้งเป็นประธานคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาคุณภาพน้ำในแหล่งน้ำผิวดิน เพื่อประสานงานระหว่างหน่วยงานและผลักดันนโยบายอย่างเป็นระบบ

แผนปฏิบัติการข้ามแดนและความหวังในการฟื้นฟู

คำสั่งของนายกรัฐมนตรีได้จุดประกายความหวังในการแก้ไขวิกฤตแม่น้ำกก โดยเฉพาะการผลักดันให้มีการเจรจากับเมียนมาในระดับทวิภาคี ในการประชุมคณะกรรมการชายแดนส่วนภูมิภาค (Regional Border Committee: RBC) ซึ่งจะจัดขึ้นที่เมืองเชียงตุง รัฐฉาน ระหว่างวันที่ 17–20 มิถุนายน 2568 กรมกิจการชายแดนทหารจะหยิบยกประเด็นมลพิษในแม่น้ำกกและแม่น้ำสายเป็นวาระสำคัญ นอกจากนี้ กระทรวงการต่างประเทศ โดยกรมเอเชียตะวันออก ได้ส่งหนังสือผ่านสถานทูตไทยในเมียนมาและเชิญผู้แทนสถานทูตเมียนมาประจำประเทศไทยเพื่อหารือแนวทางแก้ไขปัญหา

การดำเนินการในระดับท้องถิ่นก็มีความคืบหน้าเช่นกัน หน่วยงานในจังหวัดเชียงรายและเชียงใหม่ได้เพิ่มการตรวจสอบคุณภาพน้ำ ดิน และผลิตผลเกษตรอย่างต่อเนื่อง เพื่อป้องกันผลกระทบต่อสุขภาพประชาชน การขุดลอกแม่น้ำและการจัดหาน้ำสะอาดเป็นมาตรการเร่งด่วนที่ช่วยบรรเทาความเดือดร้อนของชุมชนในระยะสั้น ขณะที่การใช้ข้อมูลจากดาวเทียมของ GISTDA ช่วยให้หน่วยงานสามารถระบุแหล่งที่มาของมลพิษได้แม่นยำยิ่งขึ้น ซึ่งจะเป็นประโยชน์ในการเจรจากับเมียนมาและกองทัพสหรัฐว้า

ดร.สืบสกุล กิจนุกร อาจารย์ประจำสำนักวิชานวัตกรรมสังคม มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง วิจารณ์ว่าการสั่งการของนายกรัฐมนตรีส่วนใหญ่เป็นการดำเนินงานตามกลไกปกติของหน่วยงานราชการ ซึ่งอาจไม่เพียงพอต่อความซับซ้อนของปัญหา เขาเสนอให้ตั้งคณะทำงานเฉพาะกิจเพื่อประสานงานระหว่างหน่วยงานทั้งในและต่างประเทศ และเชิญผู้แทนจากเมียนมาและจีนที่ประจำอยู่ในประเทศไทยมาร่วมหารือ “วิกฤตนี้เกี่ยวข้องกับหลายภาคส่วน การจัดตั้งกลไกเฉพาะกิจและการเจรจาจะช่วยให้การแก้ปัญหามีประสิทธิภาพมากขึ้น” ดร.สืบสกุลกล่าว

ข้อมูลจากมูลนิธิสิทธิมนุษยชนไทใหญ่และสมาคมแม่น้ำเพื่อชีวิตยืนยันถึงความรุนแรงของปัญหา โดยพบว่าการทำเหมืองแรร์เอิร์ธในเมืองยอน รัฐฉาน ซึ่งเริ่มตั้งแต่กลางปี 2566 มีลักษณะเป็นบ่อวงกลมคลุมด้วยผ้าใบสีดำ ตั้งอยู่ห่างจากแม่น้ำกกเพียง 3.6 กิโลเมตร การทำเหมืองเหล่านี้ใช้สารเคมีที่เป็นพิษสูง ส่งผลให้ระบบนิเวศในแม่น้ำกกและแม่น้ำโขงเสียหายอย่างหนัก สมาคมแม่น้ำเพื่อชีวิตยังรายงานการพบปลาติดเชื้อใน 6 จุดของแม่น้ำกกและแม่น้ำโขงตั้งแต่ปี 2567 ถึงพฤษภาคม 2568 ซึ่งบ่งชี้ถึงการเสื่อมโทรมของระบบนิเวศอย่างต่อเนื่อง

ผลลัพธ์และความท้าทายในการแก้ไขวิกฤต

คำสั่งของนายกรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 20 พฤษภาคม 2568 ได้สร้างแรงผลักดันสำคัญในการแก้ไขปัญหามลพิษในแม่น้ำกก ผลลัพธ์ที่โดดเด่น ได้แก่

  1. การบูรณาการหน่วยงาน: การมอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรีเป็นประธานคณะอนุกรรมการช่วยให้มีการประสานงานระหว่างหน่วยงานอย่างเป็นระบบ การประชุมเมื่อวันที่ 13 และ 15 พฤษภาคม 2568 แสดงถึงความพยายามในการรวบรวมข้อมูลและวางแผนปฏิบัติการ
  2. การใช้เทคโนโลยี: การวิเคราะห์ภาพถ่ายดาวเทียมของ GISTDA ช่วยระบุแหล่งที่มาของมลพิษได้อย่างแม่นยำ ซึ่งเป็นเครื่องมือสำคัญในการเจรจาข้ามแดน
  3. การเจรจาระดับนานาชาติ: การบรรจุประเด็นมลพิษในแม่น้ำกกเป็นวาระในการประชุม RBC และการดำเนินการผ่านกระทรวงการต่างประเทศแสดงถึงความมุ่งมั่นในการแก้ปัญหาข้ามแดน
  4. การบรรเทาผลกระทบในพื้นที่: การขุดลอกแม่น้ำ การจัดหาน้ำสะอาด และการเพิ่มความถี่ในการตรวจสอบคุณภาพน้ำช่วยลดความเดือดร้อนของประชาชนในระยะสั้น

อย่างไรก็ตาม การแก้ไขวิกฤตนี้ยังเผชิญกับความท้าทายหลายประการ

  1. ความซับซ้อนของการเมืองข้ามแดน: การเจรจากับกองทัพสหรัฐว้าและรัฐบาลเมียนมาเป็นเรื่องท้าทาย เนื่องจากความขัดแย้งภายในเมียนมาและอิทธิพลของบริษัทจีนในพื้นที่
  2. ข้อจำกัดด้านทรัพยากร: การขุดลอกแม่น้ำ การจัดการตะกอน และการตั้งศูนย์ตรวจสอบคุณภาพน้ำต้องใช้เงินทุนและบุคลากรจำนวนมาก ซึ่งอาจเกินขีดความสามารถของหน่วยงานท้องถิ่น
  3. ผลกระทบระยะยาว: สารโลหะหนัก เช่น สารหนูและตะกั่ว สามารถสะสมในดินและร่างกายมนุษย์ได้นานหลายสิบปี การแก้ไขต้องครอบคลุมทั้งการหยุดยั้งมลพิษที่ต้นตอและการฟื้นฟูระบบนิเวศ
  4. การมีส่วนร่วมของประชาชน: แม้ว่าภาครัฐจะดำเนินการอย่างต่อเนื่อง แต่การสื่อสารกับประชาชนยังไม่เพียงพอ ส่งผลให้เกิดความตื่นตระหนกและความไม่มั่นใจในบางชุมชน

เพื่อรับมือกับความท้าทายเหล่านี้ ควรมีการดำเนินการเพิ่มเติมดังนี้

  • จัดตั้งคณะทำงานเฉพาะกิจ: เพื่อประสานงานระหว่างหน่วยงานในและต่างประเทศ และเร่งรัดการเจรจากับเมียนมาและจีน
  • เพิ่มการสื่อสารสาธารณะ: ใช้สื่อท้องถิ่นและสื่อสังคมออนไลน์เพื่อให้ข้อมูลที่ชัดเจนแก่ประชาชน และลดความตื่นตระหนก
  • ลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน: สนับสนุนงบประมาณให้มหาวิทยาลัยในเชียงรายจัดตั้งศูนย์ตรวจสอบคุณภาพน้ำ และพัฒนานวัตกรรมในการจัดการตะกอน
  • ยกระดับสู่เวทีนานาชาติ: ร่วมมือกับองค์กรระหว่างประเทศ เช่น คณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง (MRC) หรือ UNEP เพื่อกดดันให้มีการแก้ไขปัญหาข้ามแดน

สถิติและแหล่งอ้างอิง

เพื่อให้เห็นภาพความรุนแรงของปัญหามลพิษในแม่น้ำกก ข้อมูลต่อไปนี้รวบรวมจากแหล่งที่น่าเชื่อถือ:

  1. ผลการตรวจคุณภาพน้ำ:
    • แม่น้ำกก (ตำบลเวียง อำเภอเชียงแสน): สารหนู 0.031 mg/L (มาตรฐานไม่เกิน 0.01 mg/L)
    • แม่น้ำกก (บ้านแซว อำเภอเชียงแสน): สารหนู 0.036 mg/L
    • แหล่งอ้างอิง: สำนักงานสิ่งแวดล้อมและควบคุมมลพิษ (สคพ.) ที่ 1 เชียงใหม่. (2568). รายงานผลการตรวจคุณภาพน้ำผิวดิน.
  2. การขยายตัวของเหมืองในรัฐฉาน:
    • การเปิดหน้าดินในรัฐฉานเพิ่มขึ้นในช่วงปี 2567–2568 โดยเฉพาะในเมืองยอนและเมืองสาด
    • แหล่งอ้างอิง: สำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (GISTDA). (2568). รายงานการวิเคราะห์ภาพถ่ายดาวเทียมย้อนหลัง 2560–2568.
  3. การผลิตแรร์เอิร์ธในเมียนมา:
    • ปี 2566: เมียนมาผลิตแรร์เอิร์ธ 41,700 ตัน มูลค่า 1.4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ
    • การผลิตเพิ่มขึ้น 40% ในช่วงปี 2564–2566
    • แหล่งอ้างอิง: Global Witness. (2568). รายงานการผลิตแร่หายากในเมียนมา.
  4. การพบปลาติดเชื้อ:
    • พบปลาติดเชื้อในแม่น้ำกกและแม่น้ำโขง 6 จุด ตั้งแต่ปี 2567 ถึงพฤษภาคม 2568
    • แหล่งอ้างอิง: สมาคมแม่น้ำเพื่อชีวิต. (2568). รายงานการพบปลาติดเชื้อในลุ่มน้ำกกและโขง.

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : 

  • สำนักนายกรัฐมนตรี
  • กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
  • สำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (GISTDA)
  • กรมควบคุมมลพิษ
  • สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ
  • กรมกิจการชายแดนทหาร
  • กรมเอเชียตะวันออก
  • กรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่
  • กรมประมง
  • กรมอนามัย
  • การประปาส่วนภูมิภาค
  • มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง
  • มูลนิธิสิทธิมนุษยชนไทใหญ่
  • สมาคมแม่น้ำเพื่อชีวิต
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
WORLD PULSE

เมียนมาไหวซ้ำ 169 อาฟเตอร์ช็อก ภาพดาวเทียมเสียหาย

แผ่นดินไหวเมียนมาเผยความเสียหายหนัก GISTDA เปิดภาพดาวเทียม THEOS-2 อาฟเตอร์ช็อกพุ่ง 169 ครั้ง

ประเทศไทย, 30 มีนาคม 2568 – ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน) หรือ GISTDA ได้เผยแพร่ภาพถ่ายจากดาวเทียม THEOS-2 ซึ่งบันทึกเมื่อเวลา 10:05 น. ของวันที่ 29 มีนาคม 2568 โดยเปรียบเทียบกับภาพถ่ายก่อนเกิดเหตุการณ์แผ่นดินไหวครั้งใหญ่ในประเทศเมียนมา ผลการวิเคราะห์ภาพถ่ายดาวเทียมแสดงให้เห็นถึงความเสียหายรุนแรงในหลายพื้นที่ของเมืองมัณฑะเลย์ เมืองสำคัญอันดับสองของเมียนมา โดยพบรอยแยกบนถนน สะพานเส้นทางด่วนสายย่างกุ้ง-มัณฑะเลย์พังถล่ม สะพานอังวะ (Ava Bridge) ซึ่งเป็นสะพานประวัติศาสตร์พังทลายลง รวมถึงการทรุดตัวของสิ่งปลูกสร้าง และรอยแยกตามพื้นที่ต่าง ๆ โดยเฉพาะบริเวณริมแม่น้ำสายหลักอย่างแม่น้ำอิรวดีและแม่น้ำมิตเงะ

เหตุการณ์แผ่นดินไหวครั้งนี้เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2568 โดยมีศูนย์กลางอยู่ในประเทศเมียนมา ด้วยขนาด 8.2 ริกเตอร์ ที่ระดับความลึกเพียง 10 กิโลเมตร ซึ่งถือเป็นหนึ่งในเหตุการณ์แผ่นดินไหวครั้งรุนแรงที่สุดในรอบหลายทศวรรษของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ความรุนแรงของแผ่นดินไหวส่งผลกระทบเป็นวงกว้าง ไม่เพียงแต่ในเมียนมาเท่านั้น แต่ยังรวมถึงประเทศไทยและประเทศเพื่อนบ้านอื่น ๆ ที่สามารถรับรู้ถึงแรงสั่นสะเทือนได้

สถานการณ์อาฟเตอร์ช็อกและการติดตาม

กรมอุตุนิยมวิทยาของประเทศไทยรายงานว่า หลังจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวหลัก เกิดอาฟเตอร์ช็อกตามมาอย่างต่อเนื่อง โดยล่าสุดจนถึงวันที่ 30 มีนาคม 2568 มีรายงานการเกิดอาฟเตอร์ช็อกแล้วถึง 169 ครั้ง แม้ว่าขนาดของอาฟเตอร์ช็อกจะค่อย ๆ ลดระดับความรุนแรงลงจนถึงจุดที่ไม่สามารถรับรู้ถึงการสั่นไหวได้ในหลายพื้นที่ แต่ยังคงต้องเฝ้าระวังสถานการณ์อย่างใกล้ชิด โดยเหตุการณ์ล่าสุดเมื่อเวลา 14:08 น. ตามเวลาประเทศไทย เกิดแผ่นดินไหวขนาด 5.9 ริกเตอร์ บริเวณทิศตะวันตกเฉียงเหนือของอำเภอปางมะผ้า จังหวัดแม่ฮ่องสอน ห่างจากจุดศูนย์กลางแผ่นดินไหวหลักประมาณ 332 กิโลเมตร ซึ่งบางจุดในประเทศไทยยังคงรับรู้ถึงแรงสั่นสะเทือนได้

กรมอุตุนิยมวิทยาคาดการณ์ว่า สถานการณ์แผ่นดินไหวและอาฟเตอร์ช็อกจะเริ่มคลี่คลายและเข้าสู่ภาวะปกติภายในระยะเวลาประมาณ 1 สัปดาห์นับจากนี้ โดยได้มีการเฝ้าติดตามข้อมูลจากเครื่องมือวัดแผ่นดินไหวอย่างต่อเนื่อง เพื่อประเมินความเสี่ยงและแจ้งเตือนประชาชนให้ทราบถึงพัฒนาการของสถานการณ์

ความเสียหายในเมืองมัณฑะเลย์จากภาพถ่ายดาวเทียม

ภาพถ่ายจากดาวเทียม THEOS-2 ซึ่งเป็นดาวเทียมสำรวจทรัพยากรของประเทศไทยที่มีความละเอียดสูง ได้บันทึกภาพความเสียหายในเมืองมัณฑะเลย์อย่างชัดเจน โดย GISTDA ระบุว่า ความเสียหายที่ปรากฏในภาพประกอบด้วยรอยแยกขนาดใหญ่บนถนนสายหลักที่เชื่อมต่อเมืองต่าง ๆ สะพานเส้นทางด่วนสายย่างกุ้ง-มัณฑะเลย์ ซึ่งเป็นโครงสร้างพื้นฐานสำคัญในการคมนาคมของเมียนมา พังถล่มลงอย่างสิ้นเชิง นอกจากนี้ สะพานอังวะ ซึ่งสร้างขึ้นในสมัยอาณานิคมและมีอายุกว่า 90 ปี ก็พังทลายลงจากแรงสั่นสะเทือน ส่งผลให้การสัญจรข้ามแม่น้ำอิรวดีหยุดชะงัก

นอกเหนือจากโครงสร้างพื้นฐาน ภาพถ่ายดาวเทียมยังเผยให้เห็นการพังทลายของอาคารบ้านเรือนและสิ่งปลูกสร้างอื่น ๆ รวมถึงรอยแยกขนาดใหญ่ตามแนวชายฝั่งแม่น้ำอิรวดีและแม่น้ำมิตเงะ ซึ่งเป็นแม่น้ำสายสำคัญที่ไหลผ่านเมืองมัณฑะเลย์ ความเสียหายในบริเวณนี้บ่งชี้ถึงผลกระทบรุนแรงต่อชุมชนที่อยู่อาศัยริมน้ำ ซึ่งอาจนำไปสู่ปัญหาการอพยพและความต้องการความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมในระยะยาว

การตอบสนองของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

ในประเทศไทย กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) ได้รับรายงานว่า แผ่นดินไหวครั้งนี้ส่งผลกระทบเป็นวงกว้าง โดยมีถึง 57 จังหวัดที่รับรู้ถึงแรงสั่นสะเทือน หน่วยงานได้ประสานงานกับจังหวัดต่าง ๆ เพื่อสำรวจความเสียหายและให้ความช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบ โดยเฉพาะในจังหวัดภาคเหนือ เช่น แม่ฮ่องสอน เชียงราย และเชียงใหม่ ซึ่งอยู่ใกล้กับจุดศูนย์กลางแผ่นดินไหวมากที่สุด

ในส่วนของเมียนมา รัฐบาลทหารของประเทศได้ประกาศภาวะฉุกเฉินในหลายพื้นที่ รวมถึงเมืองมัณฑะเลย์ และเมืองเนปยีดอ ซึ่งเป็นเมืองหลวง และได้ร้องขอความช่วยเหลือจากนานาชาติเพื่อรับมือกับวิกฤตครั้งนี้ องค์การสหประชาชาติ (UN) และหน่วยงานบรรเทาทุกข์ระหว่างประเทศได้เริ่มส่งทีมกู้ภัยและสิ่งของบรรเทาทุกข์เข้าไปยังพื้นที่ประสบภัยแล้ว อย่างไรก็ตาม การเข้าถึงบางพื้นที่ยังคงเป็นไปได้ยาก เนื่องจากถนนและสะพานที่เสียหาย รวมถึงสถานการณ์ความขัดแย้งภายในประเทศที่ยังคงดำเนินอยู่นับตั้งแต่การรัฐประหารในปี 2564

ผลกระทบต่อประชาชนและโครงสร้างพื้นฐาน

จากรายงานเบื้องต้นในเมียนมา ความเสียหายจากแผ่นดินไหวครั้งนี้ครอบคลุมทั้งบ้านเรือนประชาชน วัด โรงพยาบาล และอาคารราชการ โดยเฉพาะในเมืองมัณฑะเลย์ ซึ่งเป็นศูนย์กลางทางวัฒนธรรมและเศรษฐกิจของเมียนมา ความสูญเสียทางชีวิตยังคงอยู่ในระหว่างการประเมิน แต่คาดว่ามีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บจำนวนมาก เนื่องจากความหนาแน่นของประชากรและสภาพอาคารที่ไม่ได้รับการออกแบบให้ทนต่อแผ่นดินไหวขนาดใหญ่

ในประเทศไทย แม้ว่าจะไม่มีรายงานความเสียหายรุนแรงเทียบเท่ากับในเมียนมา แต่ประชาชนในหลายจังหวัด โดยเฉพาะในภาคเหนือและกรุงเทพมหานคร รายงานว่ารับรู้ถึงแรงสั่นสะเทือนอย่างชัดเจน บางพื้นที่ เช่น เขตจตุจักร กรุงเทพฯ มีรายงานอาคารสูงที่อยู่ระหว่างการก่อสร้างพังถล่มลงมา ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตและสูญหาย ซึ่งหน่วยงานท้องถิ่นกำลังเร่งดำเนินการกู้ภัยและประเมินความปลอดภัยของอาคารต่าง ๆ

ทัศนคติเป็นกลางต่อความเห็นทั้งสองฝ่าย

เหตุการณ์แผ่นดินไหวครั้งนี้ได้นำไปสู่การถกเถียงในสองมุมมองหลัก ฝ่ายหนึ่งมองว่า ความเสียหายที่เกิดขึ้น โดยเฉพาะในเมียนมา อาจมีสาเหตุมาจากการขาดการเตรียมพร้อมและมาตรฐานการก่อสร้างที่ไม่เพียงพอต่อการรับมือภัยพิบัติทางธรรมชาติ โดยชี้ว่าโครงสร้างพื้นฐาน เช่น สะพานและอาคารต่าง ๆ ไม่ได้รับการออกแบบให้ทนต่อแผ่นดินไหวขนาดใหญ่ ซึ่งอาจสะท้อนถึงปัญหาการบริหารจัดการและการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานของรัฐบาลทหารเมียนมา

ในทางกลับกัน อีกฝ่ายหนึ่งให้เหตุผลว่า แผ่นดินไหวขนาด 8.2 ริกเตอร์ เป็นเหตุการณ์ที่รุนแรงเกินกว่าที่โครงสร้างส่วนใหญ่ในภูมิภาคนี้จะรับไหวได้ ไม่ว่าจะมีการเตรียมพร้อมดีเพียงใด โดยเฉพาะเมื่อพิจารณาว่าเหตุการณ์แผ่นดินไหวขนาดนี้เกิดขึ้นไม่บ่อยในบริเวณนี้ และความลึกของจุดศูนย์กลางที่เพียง 10 กิโลเมตรยิ่งเพิ่มความรุนแรงของแรงสั่นสะเทือน

จากมุมมองที่เป็นกลาง ข้อสังเกตของทั้งสองฝ่ายมีน้ำหนักในตัวเอง การขาดการเตรียมพร้อมและมาตรฐานการก่อสร้างอาจเป็นปัจจัยที่ทำให้ความเสียหายทวีความรุนแรงขึ้นจริง อย่างไรก็ตาม ความใหญ่ของแผ่นดินไหวครั้งนี้ก็เป็นสิ่งที่อยู่นอกเหนือการควบคุม และอาจเกินขีดความสามารถของโครงสร้างทั่วไปในภูมิภาคนี้ การหาข้อสรุปที่ชัดเจนจึงต้องรอผลการวิเคราะห์จากผู้เชี่ยวชาญด้านธรณีวิทยาและวิศวกรรม เพื่อชี้ชัดถึงสาเหตุและแนวทางป้องกันในอนาคต โดยไม่ควรตัดสินว่าเป็นความผิดของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเพียงด้านเดียวในขณะนี้

สถิติที่เกี่ยวข้อง

  1. จำนวนครั้งของแผ่นดินไหวในเมียนมา: จากข้อมูลของ United States Geological Survey (USGS) ตั้งแต่ปี 2550-2567 มีเหตุการณ์แผ่นดินไหวขนาดเกิน 5.0 ริกเตอร์ ในเมียนมาและบริเวณใกล้เคียงรวม 45 ครั้ง โดยครั้งนี้ (2568) เป็นเหตุการณ์ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในรอบเกือบศตวรรษ (ที่มา: USGS Earthquake Catalog, 2567)
  2. ความเสียหายจากแผ่นดินไหวในประเทศไทย: กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) รายงานว่า แผ่นดินไหวที่มีผลกระทบในประเทศไทยตั้งแต่ปี 2550-2567 เกิดขึ้น 12 ครั้ง โดยเหตุการณ์ที่รุนแรงที่สุดก่อนหน้านี้คือแผ่นดินไหวขนาด 6.3 ริกเตอร์ ที่จังหวัดเชียงราย เมื่อปี 2557 ซึ่งสร้างความเสียหายแก่บ้านเรือน 1,200 หลัง (ที่มา: รายงานภัยพิบัติ ปภ., 2567)
  3. โครงสร้างพื้นฐานที่เสียหายในเมียนมา: ตามรายงานของ UN Office for the Coordination of Humanitarian Affairs (OCHA) ณ ปี 2566 โครงสร้างพื้นฐานในเมียนมามีความเปราะบางจากความขัดแย้งภายใน โดยร้อยละ 30 ของถนนและสะพานอยู่ในสภาพที่ไม่พร้อมรับภัยพิบัติ (ที่มา: OCHA Myanmar Humanitarian Update, 2566)

สรุป

เหตุการณ์แผ่นดินไหวขนาด 8.2 ริกเตอร์ในเมียนมาได้สร้างความเสียหายอย่างมหาศาล โดยเฉพาะในเมืองมัณฑะเลย์ ซึ่งภาพถ่ายจากดาวเทียม THEOS-2 ของ GISTDA ได้เผยให้เห็นถึงความรุนแรงของผลกระทบ ขณะที่อาฟเตอร์ช็อกยังคงเกิดขึ้นต่อเนื่องถึง 169 ครั้ง หน่วยงานทั้งในเมียนมาและประเทศไทยกำลังเร่งดำเนินการเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนและฟื้นฟูพื้นที่ประสบภัย การค้นหาความจริงและแนวทางป้องกันในอนาคตจะเป็นสิ่งสำคัญเพื่อลดความสูญเสียจากภัยพิบัติครั้งต่อไป

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : 

  • GISTDA
  • กรมอุตุนิยมวิทยา
  • กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย
  • USGS
  • UN OCHA
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI TOP STORIES

‘เชียงราย’ วิกฤตฝุ่น PM 2.5 เกินค่า เตือนภัยหนัก

เชียงรายเตือนภัยหมอกควัน ฝุ่น PM 2.5 พุ่งสูง หน่วยงานเร่งรับมือ

เชียงราย, 16 มีนาคม 2568 – รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงรายออกหนังสือแจ้งด่วน เตือนประชาชนในพื้นที่เฝ้าระวังสถานการณ์คุณภาพอากาศ โดยเฉพาะในพื้นที่อำเภอชายแดน (แม่สาย, แม่ฟ้าหลวง, แม่จัน, เชียงแสน, เวียงแก่น, เทิง และเชียงของ) หลังจากค่าฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5 มีแนวโน้มสูงขึ้นและอาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพ

สถานการณ์จุดความร้อนในพื้นที่

ข้อมูลจาก GISTDA และกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) รายงานว่า เมื่อวันที่ 15 มีนาคม 2568 พบจุดความร้อนในประเทศไทยรวม 1,288 จุด โดยกระจายอยู่ในพื้นที่ต่าง ๆ ดังนี้:

  • พื้นที่ป่าอนุรักษ์ – 550 จุด
  • พื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ – 420 จุด
  • พื้นที่เกษตรกรรม – 146 จุด
  • พื้นที่เขตปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม (ส.ป.ก.) – 96 จุด
  • พื้นที่ชุมชนและอื่น ๆ – 75 จุด
  • พื้นที่ริมทางหลวง – 1 จุด

ขณะที่ จุดความร้อนในประเทศเพื่อนบ้านสูงกว่าประเทศไทยหลายเท่า โดยพบใน เมียนมา 9,949 จุด, ลาว 2,023 จุด, กัมพูชา 707 จุด และเวียดนาม 550 จุด ส่งผลให้ มลพิษทางอากาศข้ามแดนไหลเข้าสู่ภาคเหนือของไทย

คุณภาพอากาศในเชียงรายอยู่ในระดับส่งผลกระทบต่อสุขภาพ

ผลการตรวจวัดคุณภาพอากาศของจังหวัดเชียงราย วันที่ 16 มีนาคม 2568 พบว่า ค่าฝุ่นละออง PM 2.5 เกินค่ามาตรฐาน ทำให้คุณภาพอากาศโดยรวมอยู่ในระดับ ปานกลางถึงมีผลกระทบต่อสุขภาพ” โดยเฉพาะกลุ่มเสี่ยง ได้แก่ เด็ก, ผู้สูงอายุ, สตรีมีครรภ์ และผู้ป่วยโรคทางเดินหายใจ จำเป็นต้องหลีกเลี่ยงกิจกรรมกลางแจ้ง และสวมใส่หน้ากากป้องกันฝุ่นอย่างเคร่งครัด

มาตรการเร่งด่วนของจังหวัดเชียงราย

เพื่อบรรเทาผลกระทบและควบคุมสถานการณ์ กองอำนวยการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดเชียงราย (กอปภ.จ.ชร.) ได้ออกมาตรการเร่งด่วนดังนี้:

  1. ควบคุมการเผาในที่โล่งอย่างเข้มงวด
  • ห้ามเผาในที่โล่งทุกชนิดอย่างเด็ดขาด
  • ดำเนินมาตรการ “92 วันปลอดการเผา” ตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม – 31 พฤษภาคม 2568
  1. ฉีดพ่นละอองน้ำและเพิ่มความชุ่มชื้นในอากาศ
  • ขอให้หน่วยงานที่มีเครื่องจักรกลสาธารณภัย ฉีดพ่นละอองน้ำ และฉีดล้างถนน ในพื้นที่ที่มีปริมาณฝุ่นสะสมสูง
  • ขอความร่วมมือประชาชน รดน้ำต้นไม้, ฉีดพ่นละอองน้ำบนหลังคาและรอบบริเวณบ้าน เพื่อลดปริมาณฝุ่นในอากาศ
  1. จัดเตรียมสถานพยาบาลรองรับผู้ป่วยจากมลพิษอากาศ
  • เปิด คลินิกมลพิษ และห้องปลอดฝุ่น ในโรงพยาบาลทุกระดับ ตั้งแต่ โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.), โรงพยาบาลชุมชน, โรงพยาบาลศูนย์, โรงพยาบาลเอกชน และศูนย์แพทย์มหาวิทยาลัย
  • ประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากฝุ่นสามารถเข้ารับการรักษาได้ทันที

เสียงสะท้อนจากประชาชนและผู้เชี่ยวชาญ

ฝ่ายที่สนับสนุนมาตรการเข้มงวด

  • นักอนามัยสิ่งแวดล้อมและผู้เชี่ยวชาญเห็นว่า มาตรการห้ามเผา 92 วัน จะช่วยลดมลพิษได้ในระยะยาว
  • ประชาชนบางส่วนสนับสนุนให้ รัฐบาลร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้านในการแก้ไขปัญหาหมอกควันข้ามแดน

ฝ่ายที่มีข้อกังวล

  • เกษตรกรบางกลุ่มมองว่า มาตรการห้ามเผาอย่างเข้มงวดอาจส่งผลกระทบต่อการเตรียมพื้นที่เพาะปลูก
  • นักเศรษฐศาสตร์บางส่วนชี้ว่า มลพิษทางอากาศอาจส่งผลกระทบต่อภาคการท่องเที่ยวและเศรษฐกิจของเชียงราย หากสถานการณ์ยังยืดเยื้อ

สถิติและข้อมูลอ้างอิง

  • จำนวนจุดความร้อนในประเทศไทย (15 มีนาคม 2568): 1,288 จุด (ข้อมูลจาก GISTDA)
  • จำนวนจุดความร้อนในประเทศเพื่อนบ้าน: เมียนมา 9,949 จุด, ลาว 2,023 จุด, กัมพูชา 707 จุด, เวียดนาม 550 จุด (ข้อมูลจากดาวเทียม Suomi NPP)
  • ค่าฝุ่น PM 2.5 ในเชียงราย: เกินค่ามาตรฐานและอยู่ในระดับที่อาจมีผลกระทบต่อสุขภาพ (ข้อมูลจากสถานีตรวจวัดคุณภาพอากาศเชียงราย)
  • มาตรการห้ามเผาในพื้นที่เชียงราย: ระหว่างวันที่ 1 มีนาคม – 31 พฤษภาคม 2568 (ข้อมูลจาก กอปภ.จ.ชร.)

สรุป

ปัญหาหมอกควันและมลพิษทางอากาศจาก จุดความร้อนทั้งในประเทศและประเทศเพื่อนบ้าน กำลังส่งผลกระทบต่อคุณภาพอากาศในจังหวัดเชียงราย โดยเฉพาะฝุ่น PM 2.5 ที่เกินค่ามาตรฐาน ทำให้ประชาชนโดยเฉพาะกลุ่มเสี่ยงต้องเพิ่มความระมัดระวังในการดูแลสุขภาพ

ภาครัฐและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ดำเนินมาตรการเร่งด่วนในการ ควบคุมการเผา, ฉีดพ่นละอองน้ำ, และเตรียมสถานพยาบาลรับมือ อย่างไรก็ตาม การแก้ปัญหาในระยะยาวจำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน รวมถึงการหารือกับประเทศเพื่อนบ้าน เพื่อหาทางออกที่ยั่งยืนในการลดมลพิษข้ามแดน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย / GISTDA  / กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.)

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
FEATURED NEWS

ม.มหิดล สร้างสรรค์‘โดรน 6 ใบพัดสมอง AI’เพื่องานเกษตรอัจฉริยะ

 
ยุคแห่ง “เกษตรอัจฉริยะ” (Smart Farmer) เช่นปัจจุบันที่แข่งขันกันด้วยเทคโนโลยี ทำให้อากาศยานไร้คนขับ หรือ “โดรน” (Drone) กลายเป็นหัวใจสำคัญของเกษตรอัจฉริยะ

ที่ผ่านมา ได้มีการใช้ “โดรน” เพื่อประโยชน์ในด้านต่างๆ อย่างกว้างขวาง ปัจจุบันได้พัฒนาสู่ “โดรน 6 ใบพัด” ที่ช่วยให้สามารถพยุงตัว และรับน้ำหนักบรรทุกได้มากขึ้น

โดยนับเป็นความท้าทายของมหาวิทยาลัยมหิดล ที่ได้สร้างสรรค์พัฒนา “โดรน 6 ใบพัด“ ต้นแบบให้มีความเป็นอัจฉริยะมากขึ้น ด้วยระบบการบินที่ควบคุมโดยปัญญาประดิษฐ์ (AI) ทำให้สามารถกะระยะได้แม่นยำมากขึ้นในระยะไกล ผ่านระบบดาวเทียมของ สำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน) หรือ GISTDA

อาจารย์ ดร.รัตนะ บุญประเสริฐ อาจารย์ประจำคณะสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ได้ทำให้ “โดรน 6 ใบพัดสมอง AI“ ตอบโจทย์การทำเกษตรอัจฉริยะแนวใหม่ ให้เป็นไปในทิศทางที่ตรงจุด แบบ “เกษตรแม่นยำ“ (Precision Agriculture) ที่ทำให้โลกประหยัดทรัพยากรได้มากขึ้น

จากการประดิษฐ์และทดลองจนเห็นผล โดยใช้ประโยชน์จาก “โดรน 6 ใบพัดสมอง AI“ ในการพ่นปุ๋ยน้ำแบบแยกกระบอกปุ๋ยอินทรีย์ที่ช่วยในการเจริญเติบโตของพืชเกษตรโดยองค์รวม และปุ๋ยเคมีที่ช่วยเร่งการเจริญเติบโตเฉพาะส่วน ทั้งราก-ผล-ดอก-ใบของพืชเกษตรได้ในคราวเดียว โดยไม่เปลืองแรงงานมนุษย์ ต้นทุน และเวลาเช่นในอดีตที่ผ่านมาต้องพ่นถึง 2 รอบ โดยได้ออกแบบให้ใช้ปริมาณเท่าที่จำเป็น เพื่อลดการสิ้นเปลืองและตกค้างในสิ่งแวดล้อม

จากคุณสมบัติพิเศษของ “โดรน 6 ใบพัดสมอง AI“ ที่สามารถบินแบบกะระยะได้อย่างแม่นยำ พร้อมควบคุมผ่านดาวเทียมแม้จากข้ามทวีป ทำให้การดูแลพืชเกษตรเป็นไปโดยตรงจุด และทั่วถึงมากยิ่งขึ้น

นอกจากนี้ ยังสามารถใช้ช่วยในการผสมเกสรพืชเกษตร อาทิ ข้าวโพด และยังสามารถใช้ลมใต้ปีกของ “โดรน 6 ใบพัดสมอง AI“ ในการปัดเป่าความชื้นที่ก่อให้เกิดเชื้อราบนใบพืช ซึ่งเป็นปัญหาสำคัญที่ชาวสวนยางพาราต้องเผชิญได้ต่อไป ปรับเปลี่ยนได้ตามมุมมองของโจทย์ปัญหา ตามความมุ่งหมายของผู้วิจัยได้ต่อไปอีกด้วย

โดยนับเป็นหนึ่งในความภาคภูมิใจของ “มหาวิทยาลัยมหิดล” ในฐานะ “ปัญญาของแผ่นดิน” ตามปณิธานฯ ที่จะทำให้โลกได้มีนวัตกรรมใหม่เพื่อเกษตรอัจฉริยะใช้กันต่อไปอย่างแพร่หลาย

ติดตามข่าวสารที่น่าสนใจจากมหาวิทยาลัยมหิดลได้ที่ www.mahidol.ac.th
 
 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : คณะสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
NEWS UPDATE

ไฟป่า 2 จังหวัด แม่ฮ่องสอน เชียงใหม่ สร้างเสียหายแล้วกว่า 450,000 ไร่

 
เมื่อวันที่ 1 เมษายน 2567 รายงานข่าวจาก GISTDA สำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน) ระบุว่า จากสถานการณ์ไฟป่าที่มีความรุนแรงในหลายพื้นที่ทางภาคเหนือ โดยเฉพาะพื้นที่ของจังหวัดแม่ฮ่องสอนและจังหวัดเชียงใหม่ ถือเป็นอีก 2 พื้นที่ ไฟป่า แม่ฮ่องสอน เชียงใหม่ เสียหายแล้วกว่า 450,000 ไร่
 
 
จากสถานการณ์ไฟป่าที่มีความรุนแรงในหลายพื้นที่ทางภาคเหนือ โดยเฉพาะพื้นที่ของจังหวัดแม่ฮ่องสอนและจังหวัดเชียงใหม่ ถือเป็นอีก 2 พื้นที่ที่พบว่ามีจุดความร้อนติดอันดับต้นๆ ของประเทศในช่วง 2-3 วันที่ผ่านมา ล่าสุดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดยสำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน) หรือ GISTDA เผยข้อมูลภาพถ่ายจากดาวเทียม Landsat-8 ของวันที่ 31 มีนาคม 2567 เวลา 10.48 น. แสดงพื้นที่เผาไหม้ที่เกิดขึ้นบริเวณพื้นที่ของอำเภอ แม่ลาน้อย แม่สะเรียง สบเมย ของจังหวัดแม่ฮ่องสอน ซึ่งพบพื้นที่ความเสียหายทั้งสิ้น 251,037 ไร่ และ ในพื้นที่ของอำเภอ แม่แจ่ม จอมทอง ฮอด อมก๋อย ดอยเต่า ของจังหวัดเชียงใหม่ที่มีความเสียหายทั้งสิ้น 203,573 ไร่ โดยรวมพื้นที่ความเสียหายทั้งหมด 454,610 ไร่ สำหรับสาเหตุการเกิดไฟป่ายังคงมาจากการจุดไฟเผาเพื่อหาของป่า ล่าสัตว์ รวมถึงการเผาพื้นที่เกษตรก่อนเตรียมการเพาะปลูก และการเผาหลังเก็บเกี่ยวผลผลิต เป็นต้น
 
 
ข้อมูลดังกล่าวจะใช้เป็นข้อมูลพื้นฐานให้กับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการเข้าตรวจสอบในพื้นที่จริงร่วมกับจังหวัด เพื่อนำไปสู่การวางแผนฟื้นฟู ป้องกัน และสร้างความเข้าใจให้กับประชาชนในพื้นที่ในการสนับสนุนการมีส่วนร่วมของชุมชนและสังคมอย่างยั่งยืน อันจะส่งผลต่อภาวะเศรษฐกิจ ความเชื่อมั่นด้านการท่องเที่ยว และการรักษาทรัพยากรธรรมชาติให้ยั่งยืน
 
 
ดาวเทียม Landsat 8 เป็นดาวเทียมสำรวจทรัพยากรธรรมชาติของประเทศสหรัฐอเมริกา ได้รับการพัฒนาโดยความร่วมมือ ระหว่างองค์การ NASA และ USGS (U.S. Geological Survey) มีการโคจรซ้ำตำแหน่งเดิมทุก ๆ 16 วัน ความกว้างของแนวถ่ายภาพ 185 กิโลเมตร ประกอบด้วยระบบบันทึกภาพ 2 ชนิด คือ Operation land Image (OIL) และ The Thermal Infrared Sensor (TIRS) จำนวน 11 ช่วงคลื่น ให้รายละเอียดจุดภาพช่วงคลื่น visible, NIR, SWIR  30 เมตร ช่วงคลื่น thermal 100 เมตร และ panchromatic 15 เมตร

ประโยชน์ของภาพที่จะนำไปใช้ : 

  • การจัดทำแผนที่ scale ใหญ่
  • การจำแนกการใช้ประโยชน์ที่ดิน
  • การวิเคราะห์การเปลี่ยนแปลงพื้นที่
  • การวิเคราะห์ดินและพืชพรรณ – Soil/vegetative analysis
  • การศึกษาด้านธรณีวิทยา อาทิ น้ำมัน ก๊าซ เหมืองแร่ เป็นต้น
  • การติดตามพื้นที่ด้านสิ่งแวดล้อม
  • การวัดปริมาณน้ำ การเปลี่ยนแปลงพื้นที่ชายฝั่ง
  • การวิเคราะห์มลภาวะ และหมอกควัน 
 
 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : GISTDA สำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน)

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News