Categories
NEWS UPDATE

องค์กรไทยเผชิญความเสี่ยง! Jobsdb เตือนเมิน Gen Z พลาดรถด่วนเศรษฐกิจดิจิทัล

Jobsdb by SEEK เตือนองค์กรไทย “อย่าเมิน Gen Z” – เสี่ยงขาดนวัตกรรมและมุมมองใหม่ พลาดรถด่วนตลาดแรงงานยุคดิจิทัล

ประเทศไทย, 13 กันยายน 2568 – ในช่วงเวลาที่เศรษฐกิจดิจิทัลเร่งสปีดและการแข่งขันระหว่างประเทศดุเดือดที่สุดรอบทศวรรษ สัญญาณเตือนสำคัญดังขึ้นจาก Jobsdb by SEEK แพลตฟอร์มหางานชั้นนำของไทย: องค์กรที่มองข้ามหรือกีดกันแรงงาน Gen Z กำลังยืนอยู่บน “จุดเสี่ยง” ที่จะเสียเปรียบคู่แข่งทั้งในด้าน นวัตกรรม และ มุมมองสดใหม่ ซึ่งเป็นเชื้อเพลิงหลักของการเติบโตในเศรษฐกิจยุคใหม่

สัญญาณนี้อาจไม่ใช่เรื่องใหม่สำหรับผู้บริหารที่ติดตามแนวโน้มแรงงาน แต่ความคมชัดของข้อสรุป—และจังหวะเวลา—ทำให้สารดังกล่าวดังเป็นพิเศษในวันนี้ เพราะขณะที่หลายองค์กรยังพยายามดึงพนักงานกลับออฟฟิศแบบเต็มรูปแบบ และใช้เกณฑ์ประเมินผลแบบเดิมกับโจทย์ธุรกิจชุดใหม่ Gen Z กลับเดินเข้ามาพร้อมชุดความคาดหวังที่ต่างออกไปโดยสิ้นเชิง

ดวงพร พรหมอ่อน กรรมการผู้จัดการ Jobsdb by SEEK ประเทศไทย ย้ำในบทสัมภาษณ์ว่า “องค์กรไทยต้องเปิดใจว่า Gen Z ไม่ได้ทำงานเพื่อค่าตอบแทนอย่างเดียว พวกเขาให้ความสำคัญกับ โอกาสพัฒนาในสายอาชีพอย่างต่อเนื่อง ความยืดหยุ่นในการทำงาน คุณภาพชีวิต และค่านิยมองค์กรที่สอดคล้อง หากเราสร้างวัฒนธรรมที่ตอบโจทย์ได้ จะได้เปรียบชัดเจนในการดึงดูด–รักษาคนเก่งกลุ่มนี้”

Gen Z ไม่ได้ขอแค่ “ข้อเสนอเงินเดือน” แต่ขอ “ข้อเสนอการเติบโตของชีวิต”

ภาพใหญ่ที่ Jobsdb by SEEK ถ่ายทอดคือ Gen Z โตมากับเทคโนโลยีและการเปลี่ยนแปลงรวดเร็ว พวกเขามักคาดหวังว่าองค์กรจะก้าวทันทั้งเครื่องมือและแนวโน้มใหม่ อยู่กับข้อมูล (data) ได้ คล่องกับแพลตฟอร์ม และพร้อมทดลองแนวทางที่ไม่คุ้นชินกับวิถีเดิม หากองค์กรยังเชื่อว่า “ทำอย่างที่เคยทำมา” แล้วจะได้ผลเช่นเดิม นั่นเท่ากับมองข้าม “ความพิเศษ” ของแรงงานรุ่นนี้ไปโดยไม่ตั้งใจ

สิ่งที่ Gen Z ให้ความสำคัญเป็นลำดับต้น ได้แก่

  • เส้นทางเติบโต: งานที่เปิดพื้นที่ให้เรียนรู้ทักษะใหม่ มีโค้ชหรือพี่เลี้ยงชัดเจน เห็นภาพอนาคตใน 12–24 เดือนข้างหน้า
  • ความยืดหยุ่นและคุณภาพชีวิต: โหมดทำงานแบบรีโมต/ไฮบริดตามลักษณะงาน สนับสนุนสุขภาพจิต เวลาทำงานที่เน้นผลลัพธ์มากกว่า “การนั่งเฝ้าเวลา”
  • ค่านิยมองค์กร: ความรับผิดชอบต่อสังคม–สิ่งแวดล้อม ความโปร่งใส ความเท่าเทียม และบรรยากาศทำงานที่ “ปลอดภัยทางจิตใจ” (psychological safety)
  • เทคโนโลยีทันสมัย: แพลตฟอร์มงานที่คล่องตัว เครื่องมือดิจิทัลที่ช่วยให้ทำงานฉลาดขึ้น ไม่ใช่หนักขึ้น

นี่คือ “ข้อเสนอคุณค่า” ที่แตกต่างจากยุคที่งานถูกกำหนดด้วยสถานที่และเวลามากกว่าผลลัพธ์ การพูดคุยกับ Gen Z จึงไม่ใช่แค่เรื่องแพ็กเกจค่าตอบแทน แต่คือบทสนทนาว่าพวกเขาจะ เติบโตไปกับองค์กรอย่างไร

2 มิติความเสี่ยง หากองค์กรยัง “ปิดประตู” ใส่ Gen Z

Jobsdb by SEEK ระบุชัดว่าการกีดกันหรือมองข้าม Gen Z ทำให้องค์กรเสียเปรียบอย่างน้อยสองมิติ

  1. นวัตกรรมและมุมมองใหม่หายไป – Gen Z คล่องกับสื่อดิจิทัล เข้าใจผู้ใช้รุ่นใหม่ รู้จังหวะและภาษาแพลตฟอร์ม หากไม่มีคนกลุ่มนี้ องค์กรจะช้าลงในการปรับตัวทั้งผลิตภัณฑ์ การตลาด และบริการลูกค้า
  2. วิกฤตคนเก่งในระยะยาว – เมื่อ Gen Z กำลังขึ้นมาเป็นสัดส่วนหลักในตลาดแรงงาน การไม่รองรับความคาดหวังของพวกเขาเท่ากับปฏิเสธฐาน talent ขนาดใหญ่ องค์กรจะเผชิญ ช่องว่างกำลังคน ที่เติมเท่าไรก็ไม่เต็ม

ในทางกลับกัน Jobsdb by SEEK ก็ชี้ว่า Gen Z เองต้องปรับตัว: เปิดใจเรียนรู้การทำงานร่วมกับรุ่นพี่ พัฒนาทักษะเทคโนโลยีไปพร้อมกับ soft skills เช่น การสื่อสาร การทำงานเป็นทีม และวุฒิภาวะเมื่อรับ feedback

จาก “ความต่าง” สู่ “ความร่วมมือ” แนวทางปฏิบัติสำหรับองค์กรไทย

เพื่อไม่ให้พลาดรอบใหญ่ของตลาดแรงงานยุคดิจิทัล Jobsdb by SEEK แนะนำ สามแกนปรับตัว ที่ทำได้ทันทีและเห็นผลในทางปฏิบัติ

1) สร้างวัฒนธรรมการเรียนรู้ร่วมรุ่น

  • Reverse mentoring: ให้คนรุ่นใหม่ถ่ายทอดความรู้ด้านดิจิทัล/วิธีคิดแบบแพลตฟอร์ม ขณะคนรุ่นพี่ถ่ายทอดบริบทธุรกิจ เครือข่าย และการตัดสินใจเชิงกลยุทธ์
  • เส้นทางทักษะ (skills pathway): ทำแผนพัฒนารายบุคคล (IDP) ที่ผูกกับเป้าหมายงานจริง มี checkpoint ชัดเจนทุกไตรมาส
  • พื้นที่ทดลอง (sandbox): อนุญาตให้ทีม cross-function ทดลองไอเดียเล็กๆ บนงบประมาณและขอบเขตที่ควบคุมได้ เพื่อเร่งวงจร “คิด–ทำ–เรียนรู้”

2) ทำงานแบบยืดหยุ่นแต่ชัดเจนเรื่องผลลัพธ์

  • Hybrid by design: กำหนดหลักเกณฑ์กะทัดรัดว่า งานประเภทใดต้องออนไซต์/ทำรีโมตได้แค่ไหน ลดการตีความส่วนบุคคล
  • วัดผลด้วย OKR/KPI ที่สะท้อนคุณค่าจริง มากกว่าตัวชี้วัดเชิงเวลา
  • สนับสนุนสุขภาวะ: จัดบริการดูแลสุขภาพจิต/โค้ชชิ่งผู้จัดการ เพื่อสร้างสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัยทางจิตใจ

3) สื่อสารโปร่งใส เปิดพื้นที่เสียงของทุกเจเนอเรชัน

  • ฟอรัมภายในรายเดือน ให้ถาม–ตอบแบบตรงไปตรงมา
  • Surveys สั้นแต่ถี่ เพื่อติดตามอุณหภูมิทีม และสื่อสารผล–แนวทางแก้ไขกลับไปเสมอ
  • นโยบายต่อต้านอคติข้ามรุ่น (age bias) พร้อมตัวอย่างพฤติกรรมที่คาดหวัง

ผลลัพธ์ที่มักเกิดขึ้นจากโมเดลนี้คือองค์กรไม่ต้อง “เลือกข้างรุ่น” แต่ได้ ประโยชน์จากทุกรุ่น: ประสบการณ์เชิงลึกของ Gen X, พลังบริหารจัดการของ Gen Y และความสดใหม่คล่องดิจิทัลของ Gen Z

 “Gen Z เปลี่ยนงานบ่อย เอาแน่เอานอนไม่ได้?”

Jobsdb by SEEK ชี้ว่าปรากฏการณ์เปลี่ยนงานเร็วในบางตำแหน่ง เป็นผลจากแรงกดดันของตลาดดิจิทัล ที่จังหวะเรียนรู้และเติบโตก้าวกระโดด ความคาดหวังเรื่อง “เส้นทางเติบโต” และ “โอกาสลองของจริง” จึงสูง ถ้าองค์กรทำให้เห็นทางชัดเจน มีคำมั่นเรื่องทักษะ–บทบาท–ค่าตอบแทนตามผลงาน Gen Z พร้อมผูกพัน ไม่ต่างจากรุ่นใด การมองด้วย “เลนส์ปัจเจก” (ดูคนเป็นรายคน) แทน “เลนส์เหมารวมรุ่น” จะทำให้ได้ภาพที่ยุติธรรมกว่า

ภาพใหญ่ตลาดแรงงานไทย ทำไมต้องเร่งตอนนี้

ภูมิทัศน์แรงงานไทยกำลังเผชิญ หลายคลื่นเปลี่ยนผ่านพร้อมกัน—ดิจิทัลทรานส์ฟอร์มเมชัน, การใช้งาน AI/ระบบอัตโนมัติ, การแข่งขันดึงตัวคนเก่งระดับภูมิภาค, โครงสร้างประชากรสูงวัย และความคาดหวังเรื่อง ESG/ความยั่งยืน—เมื่อรวมกันแล้ว องค์กรต้องการ ทักษะผสม ที่ได้ทั้ง “คิดธุรกิจเป็น” และ “คล่องเทคโนโลยี” โดยธรรมชาติของทักษะผสมนี้ Gen Z มีแต้มต่อ เพราะเติบโตมากับแพลตฟอร์มและการเรียนรู้ด้วยตนเองบนโลกออนไลน์

การตัดสินใจวันนี้จึงไม่ใช่แค่ “จะจ้าง Gen Z มากน้อยแค่ไหน” แต่คือจะ ออกแบบระบบนิเวศงาน ให้ทุกเจเนอเรชันทำงานร่วมกันได้ดีแค่ไหน—เพราะ ความเร็วของนวัตกรรม จะขึ้นอยู่กับ “ความเร็วในการเรียนรู้ร่วมกัน” ของทั้งองค์กร

เปิดพื้นที่ให้รุ่นใหม่—ได้มากกว่าคน ทำได้มากกว่าภาพลักษณ์

สารจาก Jobsdb by SEEK ไม่ได้มุ่งตำหนิองค์กรที่ยังลังเลกับการเปลี่ยนแปลง แต่ชี้ชัดว่าการเมิน Gen Z มีต้นทุนแฝง ที่อาจไม่เห็นทันที: ความคิดสร้างสรรค์ถดถอย ผลิตภัณฑ์ล้าจังหวะลูกค้า การตลาดไม่เข้าแพลตฟอร์ม และรอยรั่วบุคลากรในอีก 2–3 ปีข้างหน้า ในมุมกลับ เพียงองค์กรยอม เปิดพื้นที่–เปิดใจ–เปิดระบบ ให้การทำงานร่วมรุ่นเกิดขึ้นจริง แรงงานรุ่นใหม่จะไม่ใช่ “ตัวแปรเสี่ยง” แต่เป็น ตัวเร่ง ให้ธุรกิจเดินเร็วขึ้น ฉลาดขึ้น และยั่งยืนขึ้น

“ท้ายที่สุด เป้าหมายไม่ใช่จะเอาใจรุ่นไหนเป็นพิเศษ แต่คือการสร้างวัฒนธรรมที่คนทุกเจเนอเรชันรู้สึกว่าตนเอง เติบโต และ มีคุณค่า กับงาน” ดวงพร พรหมอ่อน ทิ้งท้าย “เมื่อเราทำได้ องค์กรก็จะมีทั้ง คนเก่ง และ อนาคต ไปพร้อมกัน”

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • Jobsdb by SEEK ประเทศไทย
  • SEEK Asia – Employer/Jobseeker Insights
  • สำนักงานสถิติแห่งชาติ (สสช.)
  • องค์การแรงงานระหว่างประเทศ (ILO) ประเทศไทย
  • World Economic Forum – Future of Jobs Report
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
NEWS UPDATE

E-commerce ไทย Gen Z ขับเคลื่อนตลาด

Gen Z พลิกเกมตลาดอีคอมเมิร์ซไทยปี 2568 คอนเทนต์-ความคุ้มค่า-ไลฟ์สไตล์ คือคำตอบ

ประเทศไทย, 30 พฤษภาคม 2568 – ท่ามกลางสภาพเศรษฐกิจที่แข่งขันกันดุเดือดในโลกออนไลน์ รายงาน Thailand E-Commerce Trends 2025 คาดการณ์ว่า ตลาดอีคอมเมิร์ซของประเทศไทยในปี 2568 จะมีมูลค่าสูงถึง 1.07 ล้านล้านบาท สะท้อนโอกาสทางเศรษฐกิจที่นักการตลาดไม่ควรมองข้าม โดยเฉพาะการเจาะตลาดกลุ่มผู้บริโภค Gen Z ซึ่งมีสัดส่วนประชากรกว่า 20% ของประเทศ และเป็นกลุ่มผู้ใช้ดิจิทัลที่มีพฤติกรรมและแรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจเฉพาะตัว

พฤติกรรมผู้บริโภค Gen Z คอนเทนต์สั้นกระชับ-อินฟลูเอนเซอร์น่าเชื่อถือ-แพลตฟอร์มต้องหลากหลาย

บริษัท Kantar (คันทาร์) เผยผลวิจัยล่าสุดในหัวข้อ “From Watching to Buying: Why Gen Z Are Embracing Content-Driven Shopping” ซึ่งศึกษาเชิงลึกเกี่ยวกับพฤติกรรมผู้บริโภค Gen Z อายุระหว่าง 18-24 ปี ในประเทศไทย ชี้ให้เห็นแนวโน้มสำคัญของการเลือกซื้อสินค้าในยุคที่ “คอนเทนต์” คือหัวใจหลัก

ผู้บริโภค Gen Z นิยมคอนเทนต์วิดีโอสั้นแนวตั้ง (Vertical Short Video) ถึง 71% ตามมาด้วยวิดีโอยาว เช่น Vlog หรือคลิปรีวิวสินค้าลึก ๆ ถึง 56% โดยแพลตฟอร์มที่ได้รับความนิยมสูงสุดในการเสพคอนเทนต์คือ YouTube (78%) TikTok Instagram และ Facebook ตามลำดับ

นอกจากนี้ 97% ของกลุ่มตัวอย่างระบุว่า “ครีเอเตอร์ที่น่าเชื่อถือ” มีผลต่อการตัดสินใจซื้อสินค้าอย่างมาก โดยเน้นการรีวิวจากผู้ที่ใช้สินค้าจริง พร้อมการให้ข้อมูลลึกและตรงไปตรงมา

ไลฟ์สไตล์คืออัตลักษณ์ สินค้าต้อง ‘ใช่ฉัน’ ถึงจะขายได้

พฤติกรรมการซื้อของกลุ่ม Gen Z แสดงออกถึงการเลือกสินค้าที่สะท้อนอัตลักษณ์ของตนเอง สินค้าที่ได้รับความนิยมสูงได้แก่ ผลิตภัณฑ์ดูแลตัวเอง อาหารและเครื่องดื่ม แฟชั่นผู้หญิง ความงาม และเครื่องประดับแฟชั่น

กลุ่มผู้บริโภคหญิงแสดงความสนใจในสินค้าได้หลากหลายมากกว่าเพศชาย ขณะที่ผู้ชาย Gen Z ให้ความสนใจกับสินค้าแฟชั่นผู้ชาย และอุปกรณ์เสริมอิเล็กทรอนิกส์

ช่องทางในการค้นหาข้อมูลและตัดสินใจซื้อสินค้า เรียงลำดับจาก Shopee เป็นอันดับหนึ่ง ตามด้วย TikTok Shop และ Lazada ซึ่งสะท้อนถึงพฤติกรรม ‘เสิร์ชก่อนซื้อ’ และเชื่อมโยงกับคอนเทนต์ที่พวกเขาเห็นบนแพลตฟอร์มต่าง ๆ

คุ้มค่ามาก่อนราคาถูก ‘ส่งฟรี’ คือคำตอบสุดท้ายของ Gen Z

แม้เศรษฐกิจจะยังท้าทาย แต่ Gen Z ไม่ได้เลือกซื้อของเพราะ ‘ถูก’ อย่างเดียว 40% ระบุว่า ‘ส่งฟรี’ คือปัจจัยหลักในการตัดสินใจ รองลงมาคือ โปรโมชั่นที่น่าสนใจ (29%) และส่วนลดที่คุ้มค่า (28%)

พฤติกรรมนี้สะท้อนว่า นักการตลาดต้องให้ความสำคัญกับประสบการณ์และคุณค่าที่ลูกค้าได้รับ ไม่ใช่แค่แข่งขันด้านราคาเพียงอย่างเดียว

แพลตฟอร์มยอดนิยมของ Gen Z  Shopee ครองอันดับหนึ่ง

ในแง่ของการจับจ่ายผ่านอีคอมเมิร์ซ พบว่า Shopee ได้รับความนิยมสูงสุดจาก Gen Z คิดเป็น 52% ตามด้วย Lazada (22%) TikTok (16%) และ Facebook (8%) โดยปัจจัยที่ทำให้ Shopee ครองใจผู้ใช้คือ UX/UI ที่ใช้งานง่าย ระบบขนส่งที่เชื่อถือได้ และโปรโมชั่นที่ตอบโจทย์กลุ่มเป้าหมาย

ความคุ้มค่า + คอนเทนต์ + ครีเอเตอร์ = สูตรสำเร็จบนโลกออนไลน์

ผลวิจัยฉบับนี้ชี้ชัดว่า หากแบรนด์และนักการตลาดต้องการเข้าถึง Gen Z ได้อย่างแท้จริง ต้องปรับวิธีคิดจาก ‘ขายของ’ เป็น ‘สร้างประสบการณ์’ โดยคำนึงถึงจุดตัดระหว่างแพลตฟอร์ม คอนเทนต์ อินฟลูเอนเซอร์ และความคุ้มค่าอย่างสมดุล

แบรนด์ไม่ควรมองว่า Gen Z เป็นเพียงกลุ่มวัยรุ่นที่จ่ายน้อย แต่ต้องเข้าใจว่าพวกเขาคือผู้บริโภคยุคใหม่ที่มีพลังต่อรองสูง และหากสามารถสร้าง Brand Loyalty ได้ ก็จะเกิดความยั่งยืนทางธุรกิจในระยะยาว

เชียงรายกับโอกาสในอีคอมเมิร์ซภูมิภาค

เชียงรายเป็นจังหวัดที่มีโครงสร้างพื้นฐานด้านเทคโนโลยีและสื่อออนไลน์เติบโตต่อเนื่องในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา มีร้านค้าออนไลน์และกลุ่มครีเอเตอร์ท้องถิ่นเพิ่มขึ้นเฉลี่ยปีละ 15% ตามข้อมูลจากสำนักงานพาณิชย์จังหวัดเชียงราย (2567)

ความสามารถในการใช้แพลตฟอร์มดิจิทัลของกลุ่มคนรุ่นใหม่ในเชียงราย โดยเฉพาะนักศึกษามหาวิทยาลัยและนักค้าขายอิสระ ช่วยผลักดันให้เชียงรายกลายเป็นศูนย์กลางอีคอมเมิร์ซระดับภูมิภาคตอนบนของประเทศ นักการตลาดจึงควรพิจารณาขยายแคมเปญเจาะกลุ่ม Gen Z ในภูมิภาคควบคู่กับเมืองใหญ่

สถิติที่เกี่ยวข้อง

  • มูลค่าตลาดอีคอมเมิร์ซไทยปี 2568: 1.07 ล้านล้านบาท (ที่มา: Thailand E-Commerce Trends 2025)
  • กลุ่ม Gen Z คิดเป็น 20% ของประชากรไทย (ที่มา: สำนักงานสถิติแห่งชาติ)
  • แพลตฟอร์มวิดีโอที่ Gen Z นิยม: YouTube (78%), TikTok, Instagram, Facebook (ที่มา: Kantar)
  • ปัจจัยกระตุ้นการซื้อสูงสุด: ส่งฟรี (40%), โปรโมชั่น (29%), ส่วนลดคุ้มค่า (28%)
  • แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซยอดนิยม: Shopee (52%), Lazada (22%), TikTok (16%), Facebook (8%)
  • การเติบโตของร้านค้าออนไลน์ในเชียงราย: เฉลี่ย 15% ต่อปี (ที่มา: สำนักงานพาณิชย์จังหวัดเชียงราย)

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : 

  • รายงาน “From Watching to Buying” โดย Kantar (25 กุมภาพันธ์ – 4 มีนาคม 2568)
  • รายงาน Thailand E-Commerce Trends 2025
  • สำนักงานสถิติแห่งชาติ
  • สำนักงานพาณิชย์จังหวัดเชียงราย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
HEALTH

ศัลยกรรมไทยโต! Gen Z-LGBTQIA+ ลูกค้ากลุ่มใหม่

ตลาดศัลยกรรมความงามไทยโตต่อเนื่อง คนไทยนิยมศัลยกรรมใบหน้า LGBTQIA+ และ Gen Z เป็นกลุ่มลูกค้าใหม่

ธุรกิจศัลยกรรมและเสริมความงามเติบโตต่อเนื่องแม้การแข่งขันสูง

ประเทศไทย, 3 มีนาคม 2568 – การทำศัลยกรรมและเสริมความงามได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในประเทศไทย โดยเฉพาะการทำตา จมูก หน้าอก และฉีดโบท็อกซ์ ข้อมูลจาก ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดการณ์ว่า ในปี 2568 มูลค่าตลาดศัลยกรรมและเสริมความงามของไทยจะอยู่ที่ 76,500 ล้านบาท เติบโต 2.8% จากปีก่อน แม้ว่าอัตราการเติบโตจะใกล้เคียงกับปีที่ผ่านมา เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจและการแข่งขันที่รุนแรง

คลินิกยังครองตลาด แต่โรงพยาบาลมีแนวโน้มเติบโต

โครงสร้างตลาดศัลยกรรมและเสริมความงามของไทยแบ่งออกเป็น คลินิกและโรงพยาบาล ซึ่งปัจจุบัน คลินิกความงามยังคงมีสัดส่วนมากถึง 85% แม้ว่าจะลดลงจาก 90% ในปี 2564 เนื่องจากการแข่งขันด้านราคาที่สูงขึ้น ในขณะที่ โรงพยาบาลมีสัดส่วนเพิ่มขึ้นเป็น 15% อันเป็นผลมาจาก จำนวนนักท่องเที่ยวทางการแพทย์ (Medical Tourism) ที่เข้ามาใช้บริการมากขึ้น และความน่าเชื่อถือของมาตรฐานการรักษาและศัลยแพทย์ไทย

พฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนไป การศัลยกรรมได้รับความนิยมมากขึ้น

ปัจจุบัน คนรุ่นใหม่มีทัศนคติที่เปิดกว้างต่อการทำศัลยกรรมมากขึ้น ส่งผลให้การทำศัลยกรรมแบบผ่าตัดเพิ่มขึ้นจาก 75% ในปี 2562 เป็น 79% ในปี 2566 ซึ่งเป็นผลจากเทคโนโลยีที่ทันสมัยขึ้น มีความปลอดภัยสูงขึ้น และใช้เวลาฟื้นตัวที่น้อยลง

ศัลยกรรมยอดนิยมที่คนไทยเลือกทำมากที่สุด

  • แบบผ่าตัด: ตา, จมูก, หน้าอก
  • แบบไม่ผ่าตัด: ฉีดโบท็อกซ์, ไฮยาลูรอน, ยกกระชับใบหน้าและลำคอ

เทรนด์ศัลยกรรมที่กำลังมาแรง

จากการสำรวจพบว่า กลุ่มลูกค้าศักยภาพใหม่ ที่มีแนวโน้มเข้ามาใช้บริการมากขึ้น ได้แก่:

  • กลุ่มเพศทางเลือก (LGBTQIA+)
  • กลุ่ม Gen Z
  • กลุ่มผู้ชาย

โดยการทำศัลยกรรมบน ใบหน้า เป็นที่นิยมมากที่สุด คิดเป็น 47% ของการใช้บริการทั้งหมด

ตลาดผู้สูงอายุ หนุนการทำศัลยกรรมชะลอวัย

ภายในปี 2571 ประเทศไทยจะมีผู้สูงอายุประมาณ 14 ล้านคน โดย 22% ของกลุ่มนี้มีรายได้สูงและอาศัยอยู่ในกรุงเทพฯ และปริมณฑล ซึ่งคาดว่าจะเป็นกลุ่มลูกค้าที่มีกำลังซื้อสูงสำหรับ ศัลยกรรมดึงหน้า, ทำหน้าอก, ดูดไขมัน และลดริ้วรอย

Medical Tourism หนุนธุรกิจศัลยกรรมไทย

ธุรกิจศัลยกรรมในไทยได้รับความนิยมจากชาวต่างชาติ โดยมี อัตราการเติบโตเฉลี่ย 5% ต่อปี สำหรับกลุ่มลูกค้า Medical Tourism ซึ่งกลุ่มลูกค้าหลัก ได้แก่:

  • จีน
  • มาเลเซีย
  • ญี่ปุ่น
  • กลุ่มอาเซียน (CLMV+I) ที่กำลังเติบโต

การทำศัลยกรรมเป็นหนึ่งใน บริการทางการแพทย์ที่ชาวต่างชาตินิยมเข้ามาใช้บริการมากเป็นอันดับ 2 ของไทย เนื่องจากไทยมี มาตรฐานการรักษาสูง แต่มีค่าใช้จ่ายต่ำกว่าเมื่อเทียบกับประเทศอื่น ๆ เช่น เกาหลีใต้

ความท้าทายและความเสี่ยงของธุรกิจศัลยกรรมในไทย

  1. บุคลากรทางการแพทย์มีจำกัด

ปัจจุบัน ไทยมีศัลยแพทย์ตกแต่งเพียง 500 คน เมื่อเทียบกับ เกาหลีใต้ที่มีศัลยแพทย์มากถึง 2,739 คน ทำให้เกิดการแข่งขันเพื่อดึงบุคลากรทางการแพทย์ ส่งผลต่อต้นทุนธุรกิจที่สูงขึ้น โดยเฉพาะ ศัลยแพทย์ตกแต่งใบหน้าในไทยที่มีเพียง 100 คน

  1. การแข่งขันรุนแรง ทั้งในประเทศและต่างประเทศ
  • ในประเทศไทยมี คลินิกศัลยกรรมกว่า 2,500 ราย และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะคลินิกขนาดเล็ก
  • ต่างชาติเริ่มเข้ามาแข่งขัน เช่น คลินิกจากเกาหลีใต้ที่เข้ามาเปิดสาขาในไทย หรือการที่ชาวไทยนิยมเดินทางไปทำศัลยกรรมในต่างประเทศโดยเฉพาะเกาหลีใต้
  1. ธุรกิจต้องลงทุนด้านเทคโนโลยีเพื่อตอบสนองเทรนด์ความงามที่เปลี่ยนแปลงรวดเร็ว

การพัฒนาเครื่องมือและเทคโนโลยีใหม่ ๆ มีต้นทุนสูง หากลูกค้ามีจำนวนลดลงอาจกระทบต่อรายได้ของธุรกิจ โดยเฉพาะ กลุ่มลูกค้าที่เน้นความคุ้มค่าและเปรียบเทียบราคา

ข้อคิดเห็นจากทั้งสองฝ่าย

  • ฝ่ายที่สนับสนุน: เห็นว่าธุรกิจศัลยกรรมความงามของไทย มีศักยภาพในการแข่งขันระดับโลก และช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยเฉพาะในกลุ่ม Medical Tourism ซึ่งเป็นแหล่งรายได้สำคัญของประเทศ
  • ฝ่ายที่กังวล: มองว่าการขาดแคลนบุคลากรทางการแพทย์และการแข่งขันที่สูงอาจส่งผลกระทบต่อคุณภาพการให้บริการ รวมถึงความเสี่ยงจากการลงทุนในเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงรวดเร็ว

สถิติที่เกี่ยวข้องกับข่าว

จากข้อมูลของ ศูนย์วิจัยกสิกรไทย และกระทรวงสาธารณสุข พบว่า:

  • ปี 2568 มูลค่าตลาดศัลยกรรมและเสริมความงามไทยจะอยู่ที่ 76,500 ล้านบาท โต 2.8%
  • คลินิกความงามครองตลาด 85% ส่วนโรงพยาบาลมีแนวโน้มเติบโตขึ้นเป็น 15%
  • Medical Tourism คาดว่าจะเติบโตเฉลี่ยปีละ 5%
  • ศัลยแพทย์ตกแต่งในไทยมีเพียง 500 คน เทียบกับเกาหลีใต้ที่มี 2,739 คน
  • ประเทศไทยเป็นจุดหมายปลายทางอันดับ 2 ของชาวต่างชาติที่ต้องการศัลยกรรมความงาม

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ศูนย์วิจัยกสิกรไทย / กระทรวงสาธารณสุข / สมาคมศัลยแพทย์ตกแต่งแห่งประเทศไทย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
WORLD PULSE

วิกฤตแรงงานฝีมือสหรัฐฯ สร้างโอกาสใหม่ Gen Z และกลุ่มแรงงานฝีมือ

สหรัฐฯ เผชิญวิกฤตแรงงานฝีมือ ขาดแคลนหนัก กลุ่มอาชีพรายได้สูงเริ่มเป็นที่สนใจ

รายงานเมื่อวันที่ 27 พฤศจิกายน 2567
ผลการวิจัยล่าสุดจาก McKinsey & Co. เผยว่าสหรัฐฯ กำลังประสบกับวิกฤตการขาดแคลนแรงงานที่มีฝีมืออย่างหนัก โดยเฉพาะในกลุ่มที่ไม่ได้เน้นการศึกษาระดับปริญญาตรี เนื่องจากแรงงานรุ่นเก่าเริ่มเข้าสู่วัยเกษียณ และกลุ่มคนรุ่นใหม่ทั้งชายและหญิงมีแนวโน้มเลือกอาชีพสายแรงงานลดลง เช่น งานก่อสร้าง การประปา และการขนส่ง วิกฤตนี้รุนแรงขึ้นหลังการแพร่ระบาดของโควิด-19 ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงต่อภาคธุรกิจและอัตราค่าจ้างแรงงานที่มีทักษะสูง ซึ่งเพิ่มขึ้นกว่า 20%

ความต้องการแรงงานเพิ่มสูง

ข้อมูลจากสำนักงานสถิติแรงงานของสหรัฐฯ ระบุว่า ตั้งแต่ปี 2024 ถึง 2032 จะมีตำแหน่งงานใหม่ในตลาดแรงงานกว่า 1.5 ล้านตำแหน่ง โดย 35% ของงานที่เติบโตเร็วที่สุดอยู่ในสายแรงงานที่เน้นทักษะ ไม่เน้นวุฒิปริญญาตรี Nathan Soto ผู้เชี่ยวชาญด้านอาชีพจาก Resume Genius ระบุว่า “คนรุ่นใหม่มองหางานที่รายได้ดีโดยไม่ต้องมีปริญญา” ส่งผลให้สายงานด้านการผลิต การบิน และพลังงาน กลายเป็นตัวเลือกที่ได้รับความนิยม

5 อาชีพรายได้สูงที่ตลาดต้องการ

มีการเปิดเผย 5 สาขาอาชีพที่ตลาดแรงงานในสหรัฐฯ ต้องการสูง โดยบางอาชีพไม่จำเป็นต้องใช้วุฒิปริญญาตรี แต่สามารถมีรายได้สูงถึง 100,000 เหรียญสหรัฐฯ ต่อปี ได้แก่:

  1. ช่างเทคนิคลิฟต์และบันไดเลื่อน

    • ดูแลและซ่อมแซมอุปกรณ์ลิฟต์และบันไดเลื่อน
    • วุฒิการศึกษาระดับมัธยมปลายและใบอนุญาต
    • รายได้เฉลี่ย 102,420 เหรียญสหรัฐฯ (ประมาณ 3.5 ล้านบาทต่อปี)
  2. พนักงานโรงไฟฟ้า

    • ควบคุมหม้อไอน้ำและเครื่องกำเนิดไฟฟ้า
    • วุฒิการศึกษาระดับมัธยมปลายและใบอนุญาต
    • รายได้เฉลี่ย 100,890 เหรียญสหรัฐฯ (ประมาณ 3.4 ล้านบาทต่อปี)
  3. พนักงานควบคุมการจราจรทางอากาศ

    • ควบคุมการจราจรเครื่องบินทั้งบนอากาศและพื้นดิน
    • ต้องมีวุฒิปริญญาตรีหรือใบรับรอง AT-CTI และผ่านการฝึกอบรม FAA
    • รายได้เฉลี่ย 137,380 เหรียญสหรัฐฯ (ประมาณ 4.7 ล้านบาทต่อปี)
  4. ช่างเทคนิคนิวเคลียร์

    • ทำงานร่วมกับนักฟิสิกส์และวิศวกรเพื่อผลิตพลังงานนิวเคลียร์
    • วุฒิการศึกษาด้านวิทยาศาสตร์นิวเคลียร์และฝึกงาน
    • รายได้เฉลี่ย 101,740 เหรียญสหรัฐฯ (ประมาณ 3.5 ล้านบาทต่อปี)
  5. ผู้บังคับบัญชาแนวหน้าตำรวจและนักสืบ

    • จัดการงานและประสานงานสืบสวน
    • ต้องมีประสบการณ์ด้านตำรวจหรือการสืบสวน
    • รายได้เฉลี่ย 101,750 เหรียญสหรัฐฯ (ประมาณ 3.5 ล้านบาทต่อปี)

แรงงาน Gen Z ปรับตัว

กลุ่มคนรุ่นใหม่เริ่มหันมามองอาชีพที่ให้รายได้สูงโดยไม่เน้นปริญญาตรีมากขึ้น สายงานที่เกี่ยวข้องกับการผลิต พลังงาน และการบิน ถูกมองว่าให้ผลตอบแทนคุ้มค่าเทียบเท่ากับงานออฟฟิศ โดย Nathan Soto เสริมว่า “การพัฒนาทักษะและการปรับตัวของแรงงานในสายอาชีพเหล่านี้ ถือเป็นอนาคตของตลาดแรงงานสหรัฐฯ ที่ต้องการแรงงานคุณภาพสูง”

วิกฤตแรงงานฝีมือในสหรัฐฯ ไม่เพียงสะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงในตลาดแรงงาน แต่ยังชี้ให้เห็นถึงโอกาสที่กลุ่ม Gen Z จะเข้ามามีบทบาทสำคัญในการพัฒนาเศรษฐกิจในอนาคตอีกด้วย

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : McKinsey & Co.

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
NEWS UPDATE

อินไซต์นักช้อปครึ่งปีแรก ‘ร้านค้าหรู’ โต 4 เท่าเมื่อเทียบกับปีก่อนโควิด จับตาตลาดบิวตี้

 

เมื่อวันที่ 8 สิงหาคม 2567 The 1 Insight เผยผลวิเคราะห์พฤติกรรมการใช้จ่ายกลุ่มสินค้า Luxury ในช่วงครึ่งปีแรก 2567 แม้ในสภาพเศรษฐกิจผันผวน ภาพรวมกำลังซื้อตลาด Luxury Retail ยังเติบโตสูง 4 เท่าเมื่อเทียบกับปีก่อนโควิด โดยสินค้าบิวตี้เติบโตแรงกว่าสินค้าแฟชั่น โดยเฉพาะในกลุ่มคนรุ่นใหม่

ผลการวิเคราะห์ภาพรวมการใช้จ่ายกลุ่มสินค้า Luxury จาก The 1 Insight ในช่วงเดือนมกราคม – มิถุนายน 2567 พบว่า การใช้จ่ายสินค้าบิวตี้มีการเติบโตสูงกว่าสินค้าแฟชั่น 10%  ซึ่งตรงกับทฤษฎี “Lipstick Effect” ที่ใช้อธิบายปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นทั่วโลกในช่วงที่กำลังซื้อภาพรวมลดลง

ทว่ายอดการใช้จ่ายสินค้าบิวตี้กลับเติบโตสวนทาง เนื่องจากเป็นสินค้าที่ชุบชูจิตใจได้ไม่แพ้สินค้าแฟชั่นแบรนด์หรู แต่มาในงบประมาณที่เข้าถึงได้สำหรับคนส่วนใหญ่นั่นเอง โดยสินค้าที่ยอดขายเติบโตสูงสุดในหมวดบิวตี้ ได้แก่ ลิปสติก พาเลตต์แต่งหน้า น้ำหอม ส่วนในหมวดแฟชั่น สินค้าที่มียอดขายเติบโตสูงสุด ได้แก่ กระเป๋าถือ แอ็กเซสเซอรี่ รองเท้า

การใช้จ่ายกับสินค้าแต่ละประเภทในสัดส่วนที่ต่างกันอย่างมีนัยสำคัญ

  • กลุ่ม Gen Z” ใช้จ่ายกับเครื่องสำอาง น้ำหอม และสกินแคร์
  • กลุ่ม Gen Y” ใช้จ่ายกับสินค้าแฟชั่น สกินแคร์ และน้ำหอม
  • กลุ่ม Gen X” ใช้จ่ายกับสกินแคร์และสินค้าแฟชั่น เมกอัพ และน้ำหอม
  • กลุ่ม Baby Boomers” ใช้จ่ายกับสกินแคร์ สินค้าแฟชั่น และเมกอัพ

สอดคล้องกับพฤติกรรมและความสนใจของคนแต่ละช่วงวัยอย่างเห็นได้ชัด

สิ่งที่น่าจับตาคือ “กลุ่ม Gen Z” มีการใช้จ่ายในกลุ่มสินค้า Luxury เติบโตสูงสุดจากทุกช่วงวัย เป็นผลให้แบรนด์ระดับโลกที่เล็งเห็นโอกาสเริ่มดำเนินกลยุทธ์ในการดึงดูดกลุ่ม Gen Z มากขึ้น ชัดเจนในช่วง 2-3 ปีให้หลังนี้ อาทิเช่น การใช้ดาราและอินฟลูเอนเซอร์ที่กลุ่ม Gen Z ติดตาม รวมถึง Storytelling ของแบรนด์ต่างๆ ที่เน้นการแสดงตัวตนที่ authentic และมุมมองต่อ sustainability ซึ่งเป็นเรื่องหลักที่กลุ่มช่วงวัยดังกล่าวให้ความสำคัญ

อย่างไรก็ดี กลุ่มลูกค้าอื่นๆ ก็มีความสำคัญไม่แพ้กัน เนื่องจากกำลังซื้อส่วนใหญ่ยังอยู่ที่ Gen Y, Gen X และ Baby Boomer ตามลำดับ

โดยทั้ง 3 ช่วงวัยนั้นยังถือว่าเป็นลูกค้ากลุ่มสำคัญของแบรนด์ นอกจากจะมีสัดส่วนการใช้จ่ายสูงแล้ว โดยเฉพาะในกลุ่ม Gen Y พบว่าคนกลุ่มนี้มีความภักดีต่อแบรนด์ (Brand Loyalty) สูงกว่ากลุ่ม Gen Z ที่เปิดกว้างมากกว่าและพร้อมเปลี่ยนแบรนด์ที่ชื่นชอบตลอดเวลา

“ช่องทางออนไลน์” ที่เติบโตขึ้นไม่ว่าจะเป็น E-Commerce หรือ Social Commerce ช่องทางหน้าร้านก็ยังคงมีความสำคัญอย่างมาก ไม่เพียงในกลุ่ม Gen X และ Baby Boomer ที่นิยมการใช้จ่ายที่หน้าร้านมากกว่าเท่านั้น

ผลสำรวจจาก CRC VoiceShare ในเดือนพฤษภาคม-มิถุนายน 2567 พบว่า 50% ของผู้ตอบแบบสอบถาม ซื้อสินค้าในหมวดแฟชั่นและบิวตี้อย่างน้อย 1 รายการในช่วงเวลา 1 เดือน และนักช้อปสายลักชัวรี่ส่วนใหญ่ยังคงนิยมใช้จ่ายที่หน้าร้าน เนื่องจากสามารถมอบ Customer Experience ที่สะดวกสบายและมอบความรู้สึกพิเศษให้ได้มากกว่า

ซึ่งแบรนด์และห้างสรรพสินค้าต่างๆ ทราบในจุดนี้ดี ล่าสุด เห็นได้ชัดจากการเปิดตัว Luxe Galerie พื้นที่แฟชั่นแห่งใหม่ใจกลางกรุง ณ ห้างเซ็นทรัล ชิดลม ที่นำเสนอแบรนด์ชั้นนำระดับโลกในรูปแบบบูทีค พร้อมไฮไลท์สำคัญอย่าง ‘Shoes Avenue’ ครั้งแรกในประเทศไทยด้วย

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : The 1 Insight

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News