Categories
AROUND CHIANG RAI NEWS UPDATE

โรงพยาบาลกรุงเทพเชียงราย ผ่าน EIA ขยายสู่ 237 เตียง พร้อมยกระดับบริการเฉพาะทาง

เชียงรายเดินหน้าศูนย์แพทย์มาตรฐานสากล “โรงพยาบาลกรุงเทพเชียงราย (ส่วนต่อขยาย)” ผ่าน EIA ยกระดับบริการ-คุมผลกระทบสิ่งแวดล้อม ภายใต้กระบวนการมีส่วนร่วมของประชาชน

เชียงราย, 21 พฤศจิกายน 2568 – โครงการ “โรงพยาบาลกรุงเทพเชียงราย (ส่วนต่อขยาย)” เดินหน้าสู่หมุดหมายสำคัญของจังหวัด หลังมีหนังสือจากสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (สผ.) แจ้งผลการพิจารณารายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) โดยมีมติ “ให้ความเห็นชอบรายงาน” พร้อมกำชับให้ผู้พัฒนาโครงการถือปฏิบัติตามเงื่อนไขและกฎหมายที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด เพื่อคุ้มครองสิ่งแวดล้อม สุขภาพ และคุณภาพชีวิตของชุมชนรอบพื้นที่โครงการ (หนังสือ สผ. ลงวันที่ 25 กันยายน 2568)

หนังสือแจ้งมติ 

การขยายศักยภาพครั้งนี้มีเป้าหมายชัดเจน จากโรงพยาบาลเอกชนขนาดกลางบนถนนพหลโยธิน ตำบลนางแล อำเภอเมืองเชียงราย ที่ให้บริการผู้ป่วยในได้ 57 เตียง สู่โรงพยาบาลขนาดใหญ่ที่รองรับผู้ป่วยได้ 237 เตียง เพิ่มขีดความสามารถด้านบริการเฉพาะทาง พร้อมยกระดับมาตรฐานความปลอดภัยและการจัดการสิ่งแวดล้อมให้สอดคล้องกฎหมายสิ่งแวดล้อมสมัยใหม่

บริบทโครงการ จาก “ความต้องการรักษา” สู่ “สาธารณูปโภคสุขภาพของเมือง”

เชียงรายเป็นประตูเศรษฐกิจภาคเหนือตอนบน เชื่อมต่อประเทศเพื่อนบ้าน การเติบโตทางเศรษฐกิจ การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ และโครงสร้างประชากรที่เริ่มเข้าสู่สังคมสูงวัย ล้วนกดดัน “อุปทานบริการแพทย์คุณภาพ” ให้ต้องขยายตัว โครงการส่วนต่อขยายของโรงพยาบาลกรุงเทพเชียงรายจึงถูกออกแบบเพื่อรองรับความต้องการที่เพิ่มขึ้นทั้งจากคนในจังหวัด นักท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ และผู้ป่วยชายแดน โดยยังคงหลักคิดสำคัญ “ขยายบริการไปพร้อมมาตรการปกป้องสิ่งแวดล้อมและคุณภาพชีวิตชุมชน”

สาระสำคัญของโครงการตามเอกสารประชาสัมพันธ์ EIA และรายละเอียดจากผู้พัฒนา

  • ที่ตั้ง  เลขที่ 369 หมู่ที่ 13 ถนนพหลโยธิน ตำบลนางแล อำเภอเมืองเชียงราย
  • ขอบเขตการก่อสร้าง
    • ปรับปรุงอาคารเดิม คสล. สูง 7 ชั้น เพิ่มเตียงผู้ป่วยในรวม 28 เตียง (ชั้น 4 และ 6)
    • ก่อสร้างอาคารใหม่ คสล. สูง 8 ชั้น พร้อมชั้นใต้ดิน 1 ชั้น เพิ่มเตียงอีก 152 เตียง
    • องค์ประกอบสนับสนุน อาคารพักแพทย์ 3 ชั้น, อาคารห้องพักมูลฝอยรวม 1 ชั้น, อาคารห้องผ้า 1 ชั้น, พื้นที่ให้เช่า
    • พื้นที่ใช้สอยรวม  33,860.37 ตร.ม.
    • ที่จอดรถ  รถยนต์ 144 คัน รถจักรยานยนต์ 23 คัน
  • ระยะเวลาก่อสร้างประมาณ  24 เดือน (เริ่มจากงานรื้อถอนอาคารเดิมจนแล้วเสร็จ)

สาระดังกล่าวสะท้อนทิศทาง “ยกระดับโครงสร้างพื้นฐานสุขภาพ” ของเมือง ผ่านการเสริมเตียงผู้ป่วย การเพิ่มบริการเฉพาะทาง และการสร้างระบบสนับสนุนบุคลากรแพทย์ (เช่น อาคารพักแพทย์) เพื่อลดข้อจำกัดการดึงดูดแพทย์ผู้เชี่ยวชาญให้อยู่ปฏิบัติงานในภูมิภาค

เส้นทาง EIA  ผ่านด่านสำคัญ พร้อมเงื่อนไขคุ้มครองสิ่งแวดล้อม

หนังสือ สผ. ที่ส่งถึงผู้พัฒนาและที่ปรึกษาโครงการ ระบุชัดเจนว่าคณะผู้ชำนาญการได้ “พิจารณาและให้ความเห็นชอบรายงาน EIA” ของโครงการ โดยมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องใช้ผลรายงานเป็นฐานประกอบการอนุญาตต่าง ๆ และให้ผู้พัฒนาปฏิบัติตาม มาตรการป้องกัน-แก้ไข-ติดตามตรวจสอบผลกระทบ ตามที่ระบุไว้ในรายงานอย่างเข้มงวด (หนังสือ สผ. ลงวันที่ 25 กันยายน 2568, หน้า 1–2)

เหตุผลเชิงนโยบายของกระบวนการ EIA

ในทางปฏิบัติ โครงการโรงพยาบาลขนาดใหญ่ต้องพิสูจน์ว่า “ประโยชน์สาธารณะ” (การเข้าถึงบริการรักษาคุณภาพสูง) จะเกิดขึ้นควบคู่กับ “การบริหารความเสี่ยงด้านสิ่งแวดล้อม” (ฝุ่น เสียง น้ำเสีย มูลฝอยติดเชื้อ จราจร และความปลอดภัยชุมชน) เอกสาร EIA จึงทำหน้าที่เป็น “สัญญาทางสังคม” กำหนดมาตรการคุ้มครองที่ตรวจสอบได้ ทั้งในระยะก่อสร้างและระยะดำเนินการ

สาระสำคัญที่ สผ. เน้นย้ำในหนังสือ

  • โครงการต้องปฏิบัติตามมาตรการและเงื่อนไขตามรายงาน EIA ที่ได้รับความเห็นชอบ
  • ให้ถือเป็นฐานประกอบการขออนุญาตจากหน่วยงานอื่น (เช่น ผังเมือง สิ่งปลูกสร้าง ระบบบำบัด ฯลฯ)
  • เมื่อได้รับใบอนุญาตจากหน่วยงานปลายทาง ต้องแจ้งกลับเพื่อให้ สผ. ติดตามในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป (หน้า 2)

เสียงสะท้อนจากรั้วชุมชน กังวลอะไร และโครงการจะตอบอย่างไร

โรงพยาบาลขยาย…ชุมชนต้องอยู่สบายกว่าเดิม” คือประโยคสั้น ๆ ที่สะท้อนความคาดหวังของคนรอบพื้นที่ เมื่อโครงการประกาศแผนเพิ่มเตียงและก่อสร้างอาคาร 8 ชั้น ทุกสายตาจึงจับจ้อง “มาตรการดูแลสิ่งแวดล้อม” ที่จะทำให้การอยู่ร่วมกันเป็นไปอย่างราบรื่น

ระยะก่อสร้าง  ฝุ่น-เสียง-จราจร ต้อง “ชัด-เช็ค-โชว์”

  • ฝุ่น PM และดินโคลน  ควบคุมด้วยผ้าใบคลุมกองวัสดุ ฉีดพ่นน้ำเป็นรอบเวลา กำหนดจุดล้างล้อรถบรรทุกก่อนออกถนนสาธารณะ และทำความสะอาดผิวทางอย่างสม่ำเสมอ
  • เสียงและแรงสั่นสะเทือน  กำหนดเวลาใช้เครื่องจักรเสียงดังในช่วงกลางวัน ติดตั้งแผงกั้นเสียงชั่วคราวตามแนวเขตก่อสร้าง ตรวจวัดระดับเสียง/สั่นสะเทือนเป็นระยะ และแจ้งชุมชนหากมีงานที่ต้องใช้วิธีการก่อสร้างพิเศษ
  • ความปลอดภัยไซต์งาน  กำหนดทางเข้า-ออกเฉพาะรถงานก่อสร้าง ติดตั้งป้ายเตือน ไฟส่องสว่าง กล้องวงจรปิด และผู้ควบคุมการจราจรช่วงเวลาเร่งด่วน เพื่อลดผลกระทบต่อผู้ใช้ถนนพหลโยธินและซอยเชื่อม
  • สื่อสารเชิงรุก  เปิดช่องทางร้องเรียน-แจ้งเหตุ 24 ชั่วโมง พร้อมกลไกตอบสนองภายในเวลาที่กำหนด และรายงานผลการดำเนินมาตรการบนบอร์ดข้อมูลหน้าไซต์/สื่อออนไลน์ของโครงการ

ผลลัพธ์ที่คาดหวัง  การก่อสร้างเดินหน้าตามเวลา ขณะที่ผู้พักอาศัยและสถานประกอบการรอบข้างสามารถประกอบกิจวัตรได้โดยไม่ถูกรบกวนเกินมาตรฐาน

ระยะดำเนินการ น้ำเสีย-มูลฝอยติดเชื้อ-จราจรผู้มาใช้บริการ ต้อง “ออกแบบไว้ก่อน”

  • น้ำเสียโรงพยาบาล  แยกเส้นทางน้ำเสียหอผู้ป่วย ห้องผ่าตัด ห้องแลบ ไปบำบัดในระบบเฉพาะของโรงพยาบาล ก่อนระบายต้องผ่านค่ามาตรฐานตามกฎหมาย และติดตั้ง “ระบบเฝ้าระวัง” (Monitoring) รายงานผลต่อหน่วยงานกำกับเป็นระยะ
  • มูลฝอยทั่วไป-ติดเชื้อ  จัดห้องพักมูลฝอยรวมแบบควบคุมอุณหภูมิ/การปนเปื้อน แยกถังสีตามประเภท (ทั่วไป/อันตราย/ติดเชื้อ) และทำสัญญา “ผู้รับกำจัดที่ได้รับอนุญาต” ขนส่งตามเส้นทาง-รอบเวลาเฉพาะ ลดการรบกวนพื้นที่ชุมชน
  • คุณภาพอากาศ-กลิ่น  ห้องเก็บสารเคมี/ยา และระบบกรองอากาศในพื้นที่เสี่ยงใช้ HEPA/ถ่านกัมมันต์ตามหลักวิศวกรรม มีแผนบำรุงรักษาระบบอย่างเคร่งครัด และตรวจวัดคุณภาพอากาศโดยรอบเป็นระยะ
  • พลังงานและคาร์บอน  ใช้แนวคิดอาคารเขียว (ความหนาผนัง ฉนวน กันความร้อน/รั่วอากาศ) จัดสรรแสงสว่างธรรมชาติ ผสานระบบปรับอากาศประสิทธิภาพสูง และบริหารพลังงานสำรอง (เครื่องปั่นไฟ) ให้เหมาะสมเพื่อลดมลพิษทางเสียง/ไอเสีย
  • การจราจรผู้รับบริการ  วางผังทางเข้า-ออกแยกประเภทผู้มาใช้บริการ รถฉุกเฉิน รถส่งของ-ขยะติดเชื้อ และบุคลากร พร้อมที่จอดรถเพียงพอ (รถยนต์ 144 คัน จยย. 23 คัน) และแผนจัดระเบียบจราจรช่วงพีก เช่น คลินิกยอดนิยม/วันตรวจสุขภาพองค์กร

เป้าหมายสูงสุด  โรงพยาบาลที่ “รักษาได้มากขึ้น” แต่ “รบกวนน้อยลง” กับผู้คนรอบข้าง

โครงสร้างกายภาพรองรับบริการเฉพาะทาง และเหตุผลที่ต้องมี “อาคารพักแพทย์”

องค์ประกอบสำคัญของโครงการคือ อาคารพักแพทย์สูง 3 ชั้น โครงสร้างนี้อาจดูเป็นรายละเอียดเล็ก ๆ แต่มีนัยสำคัญเชิงคุณภาพ โรงพยาบาลภูมิภาคที่ต้องการยกระดับสู่การรักษา “หัตถการซับซ้อน” จำเป็นต้องมี แพทย์เฉพาะทาง ประจำการอย่างเพียงพอ การมีที่อยู่อาศัยคุณภาพในรั้วโรงพยาบาลช่วยดึงดูดและรักษาบุคลากรฝีมือให้อยู่กับระบบบริการนอกเมืองใหญ่ได้อย่างยั่งยืน ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อ “ความต่อเนื่องของบริการ” และ “ความเร็วของการตอบสนองภาวะฉุกเฉิน”

เหตุผลเชิงสังคม-เศรษฐกิจ  โรงพยาบาลที่ดี “ประหยัดต้นทุนสังคม” ได้อย่างไร

แม้โครงการมุ่งยกระดับบริการเชิงพาณิชย์ แต่ในเชิงสังคม โรงพยาบาลขนาดใหญ่ที่มีระบบส่งต่อผู้ป่วยและการแพทย์เฉพาะทางครบวงจร เปรียบเสมือน “โครงสร้างพื้นฐานของเมือง” ที่ช่วย ลดต้นทุนการเดินทางรักษา ของผู้ป่วย/ญาติ และ ลดภาระโรงพยาบาลรัฐ ในบางกลุ่มโรคที่สามารถร่วมบริการได้ นอกจากนี้ ความพร้อมของบริการแพทย์คุณภาพยังเป็นหนึ่งในปัจจัยดึงดูดการลงทุน/การท่องเที่ยว และยกระดับความเชื่อมั่นของเมืองในฐานะจุดหมายปลายทางอยู่อาศัย-ทำงาน-ท่องเที่ยว

ประเด็นที่ชุมชน-หน่วยงานควร “ติดตามต่อ” หลัง EIA ผ่าน

การ “ให้ความเห็นชอบ EIA” เป็นเพียง จุดเริ่มต้นของความรับผิดชอบ โครงการยังต้องเดินหน้าปฏิบัติตามมาตรการและเปิดเผยข้อมูลให้ตรวจสอบได้อย่างต่อเนื่อง ประเด็นที่ควรจับตา ได้แก่

  1. แผนจัดการฝุ่น-เสียง ระยะก่อสร้าง – รายงานผลการตรวจวัดถี่แค่ไหน? วิธีตอบสนองเมื่อเกินค่ามาตรฐานเป็นอย่างไร?
  2. การเดินรถบรรทุกวัสดุ – กำหนดช่วงเวลา/เส้นทางหลีกเลี่ยงชุมชนหรือโรงเรียนแล้วหรือไม่?
  3. ระบบจัดการมูลฝอยติดเชื้อ – ห้องพักมูลฝอยรวมมีการควบคุมการปนเปื้อน/กลิ่นและบันทึกการขนส่งด้วยระบบติดตาม (tracking) หรือไม่?
  4. น้ำเสียสถานพยาบาล – ผลตรวจ BOD, COD, ค่ามาตรฐานอื่น ๆ หลังบำบัดเปิดเผยต่อสาธารณะอย่างสม่ำเสมอหรือไม่?
  5. ความปลอดภัยชุมชน – การซ้อมแผนอัคคีภัย/สารเคมีรั่วไหล และช่องทางแจ้งเหตุฉุกเฉินของโรงพยาบาลกับชุมชนรอบข้างเชื่อมกันแล้วหรือยัง?
  6. การสื่อสารสาธารณะ – ช่องทางร้องเรียน 24 ชม. ผู้รับผิดชอบ และ SLA ในการแก้ไขข้อร้องเรียน ถูกนำมาใช้จริงและรายงานผลแบบโปร่งใสหรือไม่?

หากคำตอบของทั้ง 6 ข้อ “ชัด-มีหลักฐาน-ตรวจสอบได้” ความเชื่อมั่นของชุมชนย่อมสูงขึ้นตามลำดับ

ไทม์ไลน์และขั้นตอนอนุญาต  จาก EIA สู่ใบอนุญาตปลายทาง

หลังได้รับความเห็นชอบ EIA โครงการต้องเดินหน้าขอใบอนุญาตเฉพาะจากหน่วยงานเกี่ยวข้อง (เช่น ใบอนุญาตก่อสร้างอาคารตามกฎหมายควบคุมอาคาร ระบบบำบัดน้ำเสีย มาตรฐานห้องเก็บมูลฝอยติดเชื้อ และการเชื่อมต่อสาธารณูปโภค) เมื่อเอกสารอนุญาตครบถ้วนจึงเข้าสู่การก่อสร้างระยะเวลา ประมาณ 24 เดือน ก่อนทดสอบระบบและเปิดให้บริการเชิงพาณิชย์ ทั้งนี้ สผ. ระบุในหนังสือให้โครงการแจ้งกลับเมื่อได้รับอนุญาตจากหน่วยงานปลายทาง เพื่อประสานการติดตามในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป 

มุมมองบรรณาธิการ  “อาสาสมัครข้อมูล” คือหัวใจของการอยู่ร่วมกัน

โครงการโรงพยาบาลไม่ใช่อาคารคอนกรีต แต่คือ “ระบบนิเวศของความไว้วางใจ” ระหว่างผู้พัฒนา แพทย์ บุคลากร คนไข้ และชุมชน การทำให้ข้อมูลมาตรการสิ่งแวดล้อม “อยู่ในที่เดียวกัน อ่านง่าย อัปเดตได้” จะลดความกังวลใจและทำให้การรับฟังข้อเสนอจากชุมชนเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง

ข้อเสนอเชิงรูปธรรมที่โครงการสามารถทำได้ทันที ได้แก่

  • Dashboard สิ่งแวดล้อมสาธารณะ  สรุปค่าฝุ่น-เสียง-น้ำทิ้ง-ข้อร้องเรียนแบบเรียลไทม์/รายเดือน พร้อมคำอธิบายมาตรการแก้ไข
  • Community Walk & Talk  นัดหมายเดินดูไซต์ก่อสร้างร่วมกับตัวแทนชุมชนทุกไตรมาส รับข้อเสนอแนะและสรุป “สิ่งที่แก้แล้ว/กำลังดำเนินการ/กำหนดเสร็จ”
  • Hotline & SLA  ระบุเวลาตอบสนองและเวลาปิดงานร้องเรียนอย่างชัดเจน พร้อมเผยแพร่สถิติการให้บริการประชาชน

หากทำได้ครบ วงจร “รับฟัง-ปรับปรุง-รายงานผล” จะช่วยให้โครงการกลายเป็นส่วนหนึ่งของชุมชนอย่างแท้จริง

“ขยายบริการสุขภาพ” กับ “คุ้มครองสิ่งแวดล้อม” ต้องเดินไปพร้อมกัน

การที่โครงการส่วนต่อขยายโรงพยาบาลกรุงเทพเชียงราย ผ่านความเห็นชอบรายงาน EIA คือสัญญาณเชิงสถาบันว่า การขยายบริการสุขภาพของเมืองสามารถทำได้โดย ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง ทั้งในมิติสิ่งแวดล้อม ความปลอดภัย และคุณภาพชีวิตของผู้คนรอบพื้นที่

ก้าวถัดไปจึงอยู่ที่ วินัยของการปฏิบัติตามมาตรการ, ความโปร่งใสของข้อมูล, และ ความร่วมมือของทุกภาคส่วน หากสามเสาหลักนี้ยืนมั่นคง เชียงรายจะได้ทั้งโรงพยาบาลคุณภาพระดับภูมิภาค และแบบอย่างการพัฒนาเมืองที่เคารพสิ่งแวดล้อมและชุมชนไปพร้อมกัน

ข้อมูลโครงการโดยสรุป

  • ชื่อโครงการ  โรงพยาบาลกรุงเทพเชียงราย (ส่วนต่อขยาย)
  • ที่ตั้ง  369 หมู่ 13 ถ.พหลโยธิน ต.นางแล อ.เมืองเชียงราย จ.เชียงราย
  • สถานะ EIA  ให้ความเห็นชอบรายงาน (เลขที่รายงาน 256806-49; หนังสือแจ้งผลจาก สผ. ลงวันที่ 25 กันยายน 2568)
  • ขนาดโครงการ  เพิ่มจำนวนเตียงจาก 57 เป็น 237 เตียง; อาคารใหม่สูง 8 ชั้น + ชั้นใต้ดิน 1; ปรับปรุงอาคารเดิม 7 ชั้น; พื้นที่ใช้สอยรวม 33,860.37 ตร.ม.; จอดรถยนต์ 144 คัน จยย. 23 คัน
  • ระยะเวลาก่อสร้าง  ประมาณ 24 เดือ

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • หนังสือ สผ. แจ้งผลการพิจารณารายงาน EIA โครงการโรงพยาบาลกรุงเทพเชียงราย (ส่วนต่อขยาย) ลงวันที่ 25 กันยายน 2568  
  • ภาพสถานะระบบฐานข้อมูลโครงการ EIA
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

เชียงรายจับมือ! เร่งเสริมพัฒนาการเด็กเล็ก มุ่งสู่อนาคตที่สดใส

อบจ.เชียงราย ผนึกกำลัง รพ.เชียงรายประชานุเคราะห์ เดินหน้าพัฒนาศักยภาพเด็กปฐมวัย เตรียมจัดเวทีวิชาการ 18 กรกฎาคม 2568 สร้างอนาคต “เด็กเชียงรายสุขภาพดี-พัฒนาการสมวัย”

เชียงราย, 13 มิถุนายน 2568 –การพัฒนาเด็กปฐมวัยในปัจจุบันได้กลายเป็นประเด็นสำคัญยิ่งที่ทุกภาคส่วนให้ความสนใจ เนื่องจากช่วงวัยแรกเกิดถึง 5 ขวบ ถือเป็น “หน้าต่างแห่งโอกาส” ที่จะวางรากฐานชีวิตให้กับเด็กทั้งในด้านร่างกาย สติปัญญา อารมณ์ และสังคม การพัฒนาศักยภาพเด็กปฐมวัยจึงต้องอาศัยความร่วมมืออย่างใกล้ชิดของทุกฝ่ายในสังคม ไม่เพียงแต่ครอบครัว แต่ยังรวมถึงหน่วยงานภาครัฐ ภาคสาธารณสุข และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น

ความร่วมมือเพื่ออนาคตของชาติ

เมื่อวันที่ 12 มิถุนายน 2568 ที่ผ่านมา คณะผู้แทนจากโรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์ นำโดยทีมสหวิชาชีพได้เข้าพบนางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย (อบจ.เชียงราย) ณ ห้องรับรองนายก อบจ. เพื่อหารือแนวทางขับเคลื่อนยุทธศาสตร์การส่งเสริมและพัฒนาศักยภาพเด็กปฐมวัยในจังหวัดเชียงราย โดยมีนายไพรัช มหาวงศนันท์ ผู้อำนวยการกองสาธารณสุข และบุคลากร อบจ. ร่วมแลกเปลี่ยนความคิดเห็น

จุดเน้นสำคัญของการหารือคือ การเชื่อมโยงและบูรณาการข้อมูล ตลอดจนแนวทางการดำเนินงานร่วมกันระหว่างโรงพยาบาลกับ อบจ. เพื่อช่วยเหลือเด็กกลุ่มเสี่ยงที่มีปัญหาพัฒนาการล่าช้า หรือปัญหาด้านสุขภาพที่ต้องได้รับการดูแลอย่างต่อเนื่อง
ฝ่ายโรงพยาบาลได้ถ่ายทอดประสบการณ์เชิงลึกเกี่ยวกับการตรวจคัดกรองพัฒนาการในเด็ก พร้อมทั้งให้ข้อเสนอแนะในการจัดตั้ง “ศูนย์เครือข่ายพัฒนาศักยภาพเด็กปฐมวัย” ระดับจังหวัด ให้มีระบบติดตามและประเมินผลแบบองค์รวม พร้อมแนวทางการบูรณาการกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น โรงเรียน ศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก และองค์กรชุมชน

เดินหน้าสู่เวทีวิชาการ – เปิดเวทีเรียนรู้เพื่อเด็กเชียงราย

ในโอกาสนี้ โรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์ได้เรียนเชิญนางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ ให้ร่วมเป็นวิทยากรในเวทีสัมมนาวิชาการหัวข้อ “อนาคตเด็กเชียงรายมีสุขภาพดีและมีพัฒนาการสมวัย” ที่จะจัดขึ้นในวันที่ 18 กรกฎาคม 2568 ณ ห้องประชุมใหญ่โรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์

เวทีดังกล่าวมุ่งเน้นการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้และประสบการณ์ระหว่างทีมสหวิชาชีพ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ผู้ปกครอง และชุมชน เพื่อ

  • วิเคราะห์ปัญหาและความท้าทายที่เด็กปฐมวัยในจังหวัดเชียงรายเผชิญ
  • กำหนดแนวทางเชิงนโยบายและมาตรการสนับสนุนการพัฒนาเด็กให้มีคุณภาพ
  • สร้างกลไกเครือข่ายดูแลช่วยเหลือเด็กกลุ่มเปราะบางและกลุ่มเสี่ยง
  • ผลักดันการใช้เครื่องมือและเทคโนโลยีร่วมกับภูมิปัญญาท้องถิ่น เพื่อเสริมสร้างทักษะพื้นฐานที่สำคัญในศตวรรษที่ 21

เครือข่ายเข้มแข็ง สู่พัฒนาการเด็กยั่งยืน

การผลักดันประเด็นพัฒนาเด็กปฐมวัยให้เป็นวาระสำคัญของจังหวัดเชียงรายนั้น เป็นตัวอย่างของความร่วมมือระหว่างองค์กรภาครัฐและภาคสุขภาพในระดับพื้นที่ ที่สามารถขยายผลไปสู่จังหวัดอื่นทั่วประเทศได้อย่างเป็นรูปธรรม
นางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายก อบจ.เชียงราย ได้เน้นย้ำว่า ความสำเร็จในการส่งเสริมและพัฒนาศักยภาพเด็กจะเกิดขึ้นได้ ต้องอาศัยการมีส่วนร่วมของทุกฝ่าย โดยเฉพาะผู้ปกครองและชุมชนท้องถิ่น ที่ต้องให้ความใส่ใจต่อสัญญาณความเสี่ยงต่างๆ ของเด็ก ไม่ว่าจะเป็นพฤติกรรม สุขภาพ หรือภาวะบกพร่องทางพัฒนาการ พร้อมทั้งเรียกร้องให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมมือกันในการพัฒนาเครื่องมือคัดกรอง การอบรมครูพี่เลี้ยง และการสร้างระบบติดตามผลอย่างต่อเนื่อง

การเดินหน้าสู่อนาคต

เวทีวิชาการที่กำลังจะเกิดขึ้นในวันที่ 18 กรกฎาคมนี้ จึงเป็นจุดเริ่มต้นสำคัญของการสร้างพลังขับเคลื่อนเครือข่ายพัฒนาศักยภาพเด็กปฐมวัยอย่างเป็นระบบในจังหวัดเชียงราย ไม่เพียงแต่เพิ่มโอกาสในการเข้าถึงบริการทางสุขภาพและการศึกษา หากยังเป็นเวทีสร้างแรงบันดาลใจให้กับทุกภาคส่วนในการร่วมสร้าง “อนาคตเด็กเชียงรายที่มีสุขภาพดีและพัฒนาการสมวัย” อย่างแท้จริง

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย
  • โรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์
  • กองสาธารณสุข อบจ.เชียงราย (13 มิถุนายน 2568)
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
HEALTH

“มะเร็งรักษาทุกที่” กลับสู่แนวทางเดิม ไม่ต้องใช้ใบส่งตัว

“มะเร็งรักษาทุกที่” กลับสู่แนวทางเดิม ผู้ป่วยไม่ต้องใช้ใบส่งตัว

กุมภาพันธ์ 2568 –  นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เปิดเผยว่า สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ได้ยกเลิกประกาศหลักเกณฑ์ “มะเร็งรักษาทุกที่” ฉบับใหม่แล้ว และกลับไปใช้ประกาศฉบับเดิม ทำให้ผู้ป่วยมะเร็งสามารถเข้ารับการรักษาได้ที่โรงพยาบาลที่มีศักยภาพ โดยไม่จำเป็นต้องมีใบส่งตัว

การแก้ไขปัญหา “มะเร็งรักษาทุกที่”

จากกรณีที่นายสมศักดิ์ เทพสุทิน ได้สั่งการให้ สปสช. ดำเนินการแก้ไขปัญหากรณีการเข้ารับบริการตามนโยบาย “มะเร็งรักษาทุกที่” นั้น ล่าสุด นพ.จเด็จ ธรรมธัชอารี เลขาธิการ สปสช. ได้รายงานว่าได้ดำเนินการแก้ไขปัญหานี้เรียบร้อยแล้ว

ผู้ป่วยมะเร็งรับบริการได้ตามแนวทางเดิม

ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป รวมถึงวันที่ 1 เมษายน 2568 ผู้ป่วยมะเร็งสามารถเข้ารับบริการตามนโยบาย “มะเร็งรักษาทุกที่” ได้ตามแนวทางบริการเดิมที่โรงพยาบาลที่มีศักยภาพดูแลผู้ป่วยมะเร็ง โดยไม่จำเป็นต้องใช้ใบส่งตัวรับรองสิทธิในการเรียกเก็บค่าใช้จ่ายจากหน่วยบริการประจำ

สปสช. รับผิดชอบค่าใช้จ่ายเช่นเดิม

สปสช. ยังคงรับผิดชอบดูแลการเบิกจ่ายค่าใช้จ่ายตามนโยบายเช่นเดิม หน่วยบริการสามารถเบิกได้ทั้งค่ารังสีรักษา ยาเคมีบำบัด การผ่าตัด โรคแทรกซ้อนของมะเร็ง และโรคอื่นที่คนไข้มะเร็งเป็นร่วม

ระบบส่งข้อมูลผู้ป่วย

สำหรับการส่งข้อมูลผู้ป่วยนั้น มีระบบอิเล็กทรอนิกส์ TCB Plus ของสถาบันมะเร็ง กรมการแพทย์ และ Health Link ของกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เพื่อใช้ลงทะเบียน รับส่งต่อและดูข้อมูลผู้ป่วยอยู่แล้ว โดยทางโรงพยาบาลรับส่งต่อสามารถดูข้อมูลผู้ป่วยผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ดังกล่าวนี้ได้

ยกเลิกประกาศฉบับใหม่ กลับไปใช้ฉบับเดิม

เลขาธิการ สปสช. ได้ลงนามคำสั่งยกเลิกประกาศหลักเกณฑ์ “มะเร็งรักษาทุกที่” ฉบับใหม่ ที่จะบังคับใช้ 1 เมษายน 2568 แล้ว ซึ่งจะมีผลทำให้กลับไปใช้ประกาศหลักเกณฑ์ฯ ฉบับเดิม ปี 2566-2567 และได้ส่งหนังสือแจ้งเวียนหน่วยบริการทั่วประเทศรับทราบแล้ว

รัฐบาลใส่ใจสุขภาพประชาชน

นายสมศักดิ์ กล่าวว่า รัฐบาลมีความใส่ใจอย่างยิ่งต่อภาวะเจ็บป่วยของประชาชน โดยมะเร็งเป็นโรคที่มีภาวะร้ายแรงต่อสุขภาพ การเข้ารับการรักษาโดยเร็วที่สุดจึงเป็นสิ่งจำเป็น เพื่อเพิ่มโอกาสการรักษาและลดความรุนแรงของโรค รวมถึงลดการเสียชีวิตลงได้ จึงนำมาสู่นโยบายมะเร็งรักษาทุกที่ โดยมอบให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการให้มีประสิทธิภาพ ซึ่งยืนยันว่า ณ วันนี้รัฐบาลและหน่วยงานต่างๆ ซึ่งรวมถึง สปสช. ยังคงยืนยันหลักการนี้เช่นเดิม

สรุป

การกลับไปใช้ประกาศหลักเกณฑ์ “มะเร็งรักษาทุกที่” ฉบับเดิม ทำให้ผู้ป่วยมะเร็งสามารถเข้าถึงการรักษาได้ง่ายยิ่งขึ้น และได้รับการดูแลอย่างต่อเนื่องจากโรงพยาบาลที่มีศักยภาพ

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
FEATURED NEWS

“ชลน่าน” เผย มกราคมนี้ 4 จังหวัดพร้อมใช้ “บัตรประชาชนใบเดียวรักษาได้ทุกที่”

 
เมื่อวันศุกร์ที่ 24 พฤศจิกายน 2566 ที่ผ่านมา ที่ โรงแรม ดิเอมเมอรัลด์ กรุงเทพมหานคร นายแพทย์ชลน่าน ศรีแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ภายหลังเป็นประธานการประชุมระดับชาติด้านเวชสารสนเทศ ครั้งที่ 12 และการประชุมวิชาการสมาคมเวชสารสนเทศไทย ครั้งที่ 32 ประจำปี พ.ศ. 2566 ภายใต้แนวคิด “สุขภาพดิจิทัลเพื่อชาวไทย คลื่นลูกใหม่ของการขยายบริการสุขภาพถ้วนหน้า” ว่า เรื่องดิจิทัลสุขภาพ เป็น 1 ในนโยบายกระทรวงสาธารณสุขที่ตอบสนองนโยบายยกระดับ 30 บาท เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตประชาชนของรัฐบาล ถือเป็นหัวใจหลักในการพัฒนาระบบบริการให้ประชาชนเข้าถึงได้อย่างสะดวก รวดเร็ว ครอบคลุมมิติด้านสุขภาพ ทั้งการรักษาพยาบาล การส่งเสริมสุขภาพ ป้องกันโรค และฟื้นฟูสุขภาพ ซึ่งงานเวชสารสนเทศจะมีส่วนช่วยให้สามารถนำข้อมูลทางสุขภาพมาใช้วางแผนการจัดการและปรับปรุงบริการสุขภาพได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น อาทิ การเข้ารับการรักษาด้วยบัตรประชาชนใบเดียว โดยเชื่อมโยงข้อมูลสุขภาพจากหน่วยบริการทุกระดับ ทั้งภาครัฐและเอกชน การดูแลผู้สูงอายุที่บ้าน การจัดทำ Home Ward หรือสถานชีวาภิบาล เพื่อรองรับความต้องการบริการจากการเข้าสู่สังคมสูงอายุอย่างเต็มรูปแบบของประเทศไทย เป็นต้น          
 
โดยกระทรวงสาธารณสุข จะประกาศนำร่องการใช้บัตรประชาชนใบเดียวรักษาทุกที่ ระยะที่ 1 ในต้นเดือนมกราคมนี้ 4 จังหวัด คือแพร่ เพชรบุรี ร้อยเอ็ด และนราธิวาส สามารถใช้ได้ทุกสิทธิการรักษาทั้งโรงพยาบาลรัฐทุกสังกัด โรงพยาบาลเอกชน คลินิกและร้านยาที่เข้าร่วมโครงการ ส่วน เดือนเมษายน 2567 ทุกจังหวัดในเขตสุขภาพที่ 1, 4, 9 และ 12 จะสามารถใช้บัตรประชาชนใบเดียวรับบริการในโรงพยาบาลสังกัดกระทรวงสาธารณสุขได้ทุกแห่ง และจะขยายผลครอบคลุมทั้งประเทศให้ได้ภายใน 1 ปี
 
 
 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : รัฐบาล / กทม.

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News