
เชียงราย “หยอดปุ๊บ ปลอดภัยปั๊บ” — อบจ.เชียงรายเปิดปฏิบัติการวัคซีนโปลิโอเชิงรุก 2 รอบ สกัดความเสี่ยงข้ามพรมแดน ย้ำบทบาทท้องถิ่นเป็นด่านหน้าคุ้มครองเด็กเล็ก
เชียงราย, 21 สิงหาคม 2568 — บ่ายวันทำงานกลางฤดูฝนที่ รพ.สต.บ้านดู่ เงียบสงบได้ถูกแทนที่ด้วยเสียงเรียกชื่อเด็ก ๆ ให้ขึ้นรับหยดวัคซีนทีละคน “หยอดปุ๊บ ปลอดภัยปั๊บ” ไม่ใช่เพียงสโลแกน แต่คือยุทธการป้องกันโรคร้ายที่ องค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) เชียงราย เดินหน้า “คิกออฟ” เมื่อ 20 สิงหาคม 2568 เพื่อยกระดับเกราะคุ้มกันโรคโปลิโอในเด็กเล็กอย่างเป็นรูปธรรม โดยมุ่งหวังสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ให้ครอบคลุมทั้งเด็กไทยอายุต่ำกว่า 5 ปี และเด็กต่างชาติในพื้นที่ชายแดนบางกลุ่มอายุต่ำกว่า 15 ปี ผ่านการรณรงค์ 2 รอบ (20 สิงหาคม และ 20 กันยายน 2568) ตามหลักเวชปฏิบัติที่เน้นการให้วัคซีนห่างกันอย่างน้อย 4 สัปดาห์
พิธีเปิดซึ่งมี นางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายก อบจ.เชียงราย เป็นประธาน พร้อมผู้บริหารและเครือข่ายสาธารณสุขในพื้นที่ สะท้อนภาพการบูรณาการที่ลงมือทำจริง—ตั้งแต่งานให้ความรู้โดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญจากโรงพยาบาลจังหวัด การเตรียมระบบขนส่งและเก็บรักษาวัคซีน (cold chain) ไปจนถึงการระดม อสม. เคาะประตูบ้านติดตามเด็กเป้าหมายให้มารับวัคซีนจนครบถ้วน
“โปลิโอ” โรคเก่าในโลกใหม่
โปลิโอ ถูกจัดว่าเป็นหนึ่งในโรคติดเชื้อที่ทำให้เกิดความพิการถาวรได้มากที่สุด หากปล่อยให้ไวรัสลุกลามโดยไม่มีภูมิคุ้มกันรองรับ ข้อมูลองค์การอนามัยโลก (WHO) ระบุว่า ประมาณ 1 ใน 200 รายของผู้ติดเชื้อ จะเกิดอัมพาตถาวร และในบรรดาผู้ที่เป็นอัมพาต ราว 5–10% อาจเสียชีวิต เมื่อกล้ามเนื้อหายใจเป็นอัมพาต—ตัวเลขที่ชวนให้ตั้งคำถามว่า เราพร้อมแล้วหรือยังที่จะไม่ให้ความประมาทกลับมามีราคาแพงกับชีวิตเด็ก ๆ ของเราอีกครั้ง
ในเชิงภูมิภาค เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ได้รับการรับรอง “ปลอดโปลิโอ” เมื่อปี 2557 แสดงถึงความสำเร็จด้านสาธารณสุขของประเทศสมาชิก รวมถึงไทย ทว่าการรับรองดังกล่าวไม่ใช่ “ใบเบิกทางให้วางใจได้ตลอดกาล” หากครอบคลุมวัคซีนในเด็กเล็กลดลง หรือเกิดช่องโหว่บริการในพื้นที่เปราะบาง โปลิโอก็ยังสามารถหวนคืนในรูปของการระบาดได้ โดยเฉพาะผ่านกลไกที่เรียกว่า ไวรัสโปลิโอสายพันธุ์วัคซีนกลายพันธุ์ หรือ cVDPV ซึ่งพบได้ในชุมชนที่มีการรับวัคซีนไม่ทั่วถึงและการสุขาภิบาลอ่อนแอ WHO และเครือข่ายกำจัดโปลิโอ (GPEI) จึงเน้นย้ำให้ทุกประเทศ “ยืนระวัง” ด้วยการคงความครอบคลุมวัคซีนในระดับสูงอย่างต่อเนื่อง
ทำไม “เชียงราย” ต้องขยับก่อนภูมิศาสตร์ชายแดนและความเสี่ยงที่เดินทางเร็วกว่าเรา
เชียงราย คือด่านหน้าทางภูมิศาสตร์ ทั้งเชื่อมเมียนมาที่อำเภอแม่สาย และเชื่อมสปป.ลาวที่อำเภอเวียงแก่น ท่ามกลางการเดินทางข้ามแดนของแรงงาน–การค้า–การท่องเที่ยวที่คึกคัก ความเสี่ยงจากโรคติดต่อจึงเดินทางเร็วและไกลกว่าที่เราคิด ข้อมูลจากการประชุมคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดเมื่อ 13 สิงหาคมที่ผ่านมา ระบุถึงการพบ ผู้ป่วยโปลิโอสายพันธุ์วัคซีนกลายพันธุ์ (cVDPV1) ในเมียนมา แม้จุดตรวจพบจะห่างจากชายแดนไทยราว 270 กิโลเมตร แต่บทเรียนจากโรคติดเชื้ออุบัติใหม่บอกเราว่า “ระยะทางไม่ใช่ระยะเวลา”—หากรอให้พบผู้ป่วยฝั่งไทยก่อนจึงค่อยเริ่มฉีด ย่อมสายเกินไป การตัดสินใจของ อบจ. เชียงราย ที่เปิดปฏิบัติการวัคซีนจึงเป็นการชิงจังหวะ ปิดช่องโหว่ก่อนที่โรคจะเปิดเกมบุก
มุมหนึ่งของเวชปฏิบัติยังสนับสนุนการตัดสินใจเช่นนี้ มาตรการรับมือการระบาดโปลิโอ (outbreak response) ของ WHO/GPEI แนะนำให้ดำเนิน กิจกรรมสร้างเสริมภูมิคุ้มกัน (SIAs) หลายรอบในช่วงเวลาใกล้กัน เพื่อดันความครอบคลุมให้สูงที่สุดโดยเร็ว—หลักคิดที่ “เวลา” คือวัสดุสิ้นเปลือง และ “ความเร็ว” คืออาวุธสำคัญของสาธารณสุขภาคสนาม
แผนปฏิบัติการ “2 รอบ 2 ระดับ” จากสถานบริการสู่ทุกครัวเรือน
จากคำชี้แจงของผู้บริหาร อบจ.เชียงราย การรณรงค์ถูกออกแบบให้ทำงาน สองระดับ ควบคู่กัน
- ระดับสถานบริการ — รพ.สต.และสถานีอนามัยเฉลิมพระเกียรติในสังกัด อบจ.เชียงราย ทำหน้าที่ “จุดบริการประจำ” ตามตาราง รอบที่ 1 วันที่ 20 สิงหาคม และ รอบที่ 2 วันที่ 20 กันยายน 2568 เพื่อให้เด็กเป้าหมายมารับ OPV (Oral Polio Vaccine) ครบตามเกณฑ์อย่างสะดวก โดยเชื่อมต่อการให้ความรู้จากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญโรงพยาบาลจังหวัดสู่การปฏิบัติในระดับปฐมภูมิอย่างไร้รอยต่อ
- ระดับชุมชน — อสม. ทำแผนเดินดอร์ทูดอร์ เก็บรายชื่อ ตรวจสอบสมุดวัคซีน ติดตามเด็กที่ “ตกหล่น” และจัดจุดบริการเคลื่อนที่ในชุมชนที่เข้าถึงยาก ภายใต้ระบบบันทึกข้อมูลหน้างาน เพื่อ “รู้ภาพจริง” รายวัน–รายสัปดาห์ ลดความเสี่ยงเด็กหลุดเป้า
แนวทาง “สองขยัก” ของเชียงรายสอดรับกับหลักสากลที่เน้น หลายรอบภายในช่วงสั้น ๆ และการเข้าถึงเด็กทุกคนโดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง—แกนกลางคือ “ครอบคลุมให้เร็ว ครบให้ไว” ซึ่งเป็นกลยุทธ์ที่ WHO ใช้นำการตอบโต้การระบาดในหลายประเทศ และย้ำเสมอว่าการเร่งรอบและปิดช่องว่างคือหัวใจของความสำเร็จ
วัคซีนที่ใช้ และเหตุผลเชิงวิทยาศาสตร์
OPV ที่ใช้ในแคมเปญลักษณะนี้เป็นวัคซีนชนิดหยอด ออกฤทธิ์กระตุ้นภูมิคุ้มกันทั้งระบบเลือดและเยื่อบุลำไส้ ทำให้ลดการแพร่กระจายของไวรัสในชุมชนได้ดี จึงเหมาะกับสถานการณ์ที่ต้องการ “หยุดยั้งการแพร่เชื้อ” อย่างเร่งด่วน ขณะที่ IPV (ชนิดฉีด) ให้ภูมิคุ้มกันเด่นด้านป้องกันโรคในระดับบุคคล แต่มิได้ลดการขับไวรัสในลำไส้เทียบเท่า OPV การเลือกใช้ OPV ในแคมเปญเสริมเชิงรุกจึงสอดคล้องกับแนวทางของหลายประเทศและข้อแนะนำเชิงหลักการของหน่วยงานสาธารณสุขสากล โดยเฉพาะในพื้นที่เสี่ยงหรือชายแดนที่ต้อง ทำให้ภูมิคุ้มกันของชุมชนสูงขึ้นอย่างฉับไว
เราจะวัดความสำเร็จอย่างไร?
- ครอบคลุมครบหรือไม่? — แคมเปญ SIAs ทั่วโลกตั้งเป้าครอบคลุม “สูงมาก” ในทุกชุมชน เป้าหมายเชิงปฏิบัติการคือ “เด็กทุกคนในกลุ่มอายุเป้าหมายต้องได้วัคซีน” มากกว่ามองเพียงค่าเฉลี่ยทั้งจังหวัด เพราะไวรัสต้องการ “ช่องว่างเล็ก ๆ” เพียงจุดเดียวก็เพียงพอให้เกิดคลัสเตอร์การแพร่เชื้อได้
- เร็วพอหรือยัง? — การทำสองรอบห่างกันราว 4 สัปดาห์ ช่วยบูสต์ภูมิคุ้มกันให้แน่นขึ้น และเปิดโอกาส “เก็บตก” เด็กที่พลาดรอบแรกในรอบถัดไป หลักคิดนี้อยู่บนฐานข้อมูลวิทยาศาสตร์ด้านภูมิคุ้มกันวิทยาและบทเรียนการควบคุมโรคหลายทศวรรษ
- สื่อสารถึงทุกครัวเรือนแล้วหรือยัง? — ในพื้นที่ชายแดนที่มีแรงงานเคลื่อนย้ายสูง การสื่อสารหลายภาษาและการใช้เครือข่ายชุมชน (ผู้นำท้องถิ่น โรงเรียน ศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก) คือกุญแจสำคัญที่จะทำให้ “รู้และมา” มากกว่า “รู้แต่ยังไม่มา”
บทบาทท้องถิ่น เมื่อ “ความปลอดภัยด้านสุขภาพ” เริ่มต้นที่อำเภอ–ตำบล–หมู่บ้าน
การที่ อบจ. เชียงราย ขยับเป็น “แม่งาน” ครั้งนี้ สะท้อนบทเรียนจากโรคระบาดใหญ่ที่ผ่านมาอย่างชัดเจนว่า ระบบสุขภาพที่แกร่งเริ่มต้นจากท้องถิ่น การระดมทรัพยากร ปรับระบบงาน และตัดสินใจแบบทันเวลาในระดับจังหวัด สามารถชิงจังหวะที่สำคัญกว่าการรอคำสั่งจากส่วนกลาง ภาพที่เกิดขึ้นใน รพ.สต.เล็ก ๆ วันคิกออฟจึงไม่ใช่ภาพพิธีการ แต่คือภาพของ “ความพร้อมจริง”—บุคลากรชัด คนพร้อม วัคซีนพร้อม ระบบข้อมูลพร้อม
ด้านคลินิกและการสื่อสารความเสี่ยง ผู้เชี่ยวชาญจากโรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์—ที่เข้ามาทำหน้าที่วิทยากร—ได้ถ่ายทอดสาระสำคัญที่ครอบครัวควรรู้ อาทิ ความปลอดภัยของวัคซีน OPV, อาการไม่พึงประสงค์ที่พบได้น้อยและมักเป็นเพียงชั่วคราว, วิธีดูแลหลังรับวัคซีน รวมถึงการย้ำว่าความเสี่ยงจากโรค สูงกว่าความเสี่ยงจากวัคซีนอย่างเทียบกันไม่ได้ ในบริบทสาธารณสุข—กรอบคิดที่ WHO และเครือข่ายผู้เชี่ยวชาญยืนยันอย่างสม่ำเสมอในทุกเวทีวิชาการ
จาก “รายงานสถานการณ์” สู่ “สถาปนาความปกติใหม่” ด้านภูมิคุ้มกัน
สิ่งที่เชียงรายกำลังทำคือการส่งสัญญาณเชิงนโยบายไปพร้อมกันสองทิศทาง
- เชิงรับมือเหตุการณ์ (event-driven) — ปิดช่องโหว่ด้วยการฉีดเสริม 2 รอบตามปฏิทินเฉพาะกิจ เพื่อลดความเสี่ยงหากมีเชื้อเล็ดลอดมาจากภายนอก
- เชิงสร้างระบบ (system-driven) — ใช้โอกาสนี้ ทบทวนทะเบียนเด็กตกหล่น, ตรวจคุณภาพการบันทึกวัคซีน, อัปเดตช่องทางสื่อสารหลายภาษา, และฝึกซ้อมสายงานปฏิบัติการเคลื่อนที่ (mobile teams) ซึ่งทั้งหมดคือองค์ประกอบของ “ความปกติใหม่” ที่ควรยืนระยะในจังหวัดชายแดน
ในภาพใหญ่กว่านั้น โลกยังเดินหน้าแผน “กำจัดโปลิโอให้หมดไป” ตามยุทธศาสตร์ของ WHO/GPEI ปี 2022–2026 ซึ่งวางน้ำหนักทั้งการป้องกันไม่ให้โรคหวนกลับมา (prevent re-emergence) และการตอบโต้การระบาดอย่างเร็วและครอบคลุม (rapid, high-quality SIAs) ความเคลื่อนไหวในเชียงรายจึงอยู่ในจังหวะเดียวกับแนวโน้มสากล—ยึดหลักวิทยาศาสตร์ ใช้ความเร็ว และขยายความร่วมมือ I
สิ่งที่ครอบครัวควรรู้—และควรทำตอนนี้
- ตรวจสมุดวัคซีน ของบุตรหลาน หากมีรอบที่ขาดหาย ให้ติดต่อ รพ.สต. หรือสถานบริการใกล้บ้าน
- มารับวัคซีนตามนัดทั้งสองรอบ แม้เด็กจะเคยได้รับวัคซีนตามปกติมาแล้ว การรับ “วัคซีนเสริม” ในสถานการณ์เสี่ยงช่วยเติมภูมิให้แน่นขึ้นทั้งระดับบุคคลและชุมชน
- หากมีข้อกังวล เรื่องอาการหลังรับวัคซีน ให้ปรึกษาเจ้าหน้าที่—ส่วนใหญ่อาการเป็นเพียงชั่วคราว เช่น ไข้ต่ำ ๆ อาเจียนเล็กน้อย และหายเอง
- ร่วมสื่อสาร–ชวนกันมา โดยเฉพาะครอบครัวแรงงานข้ามแดน ครัวเรือนที่ย้ายถิ่นบ่อย หรือบ้านที่มีภาษาต่างจากไทย
วัคซีนคือความไว้วางใจร่วมกัน
การรณรงค์ครั้งนี้ไม่ได้ตอกย้ำแค่ความพร้อมของเชียงรายในฐานะจังหวัดชายแดน แต่ยังย้ำว่า ความมั่นคงด้านสุขภาพ เป็น “งานร่วม” ของทุกคน—รัฐ ท้องถิ่น บุคลากรแพทย์ อสม. และครอบครัว ความสำเร็จของแคมเปญวัดจากจำนวนแขนเสื้อเด็กเล็กที่พับขึ้น รับหยดวัคซีนตามกำหนดครบถ้วน ยิ่งมาก โปลิโอยิ่งไม่มีที่ยืน
ประวัติศาสตร์เคยบอกเราว่า เราสามารถผลักโปลิโอจนพ้นทวีป ภูมิภาค และประเทศได้จริง—แต่ประวัติศาสตร์บทนั้นจะยืนยงได้ ก็ด้วยการไม่ปล่อยให้ความประมาทกลับมาเป็นรูรั่วบนกำแพงภูมิคุ้มกันของเราเอง
เครดิตภาพและข้อมูลจาก :
องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย
สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงราย
โรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์
ข้อมูลจากคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดเชียงราย