Categories
HEALTH

รมว.สาธารณสุข ห่วงโควิด เพิ่มมาตรการป้องกันกลุ่มเปราะบาง

รัฐมนตรีสมศักดิ์ห่วงสถานการณ์โควิด 19 หลังผู้ป่วยเพิ่มช่วงฤดูฝนและเปิดเทอม แนะป้องกันเข้มข้น ย้ำความรุนแรงลดลง-รักษาได้

ประเทศไทย, 3 มิถุนายน 2568 – ท่ามกลางบรรยากาศฤดูฝนที่มาเยือนพร้อมกับการเปิดภาคเรียนใหม่ ประเทศไทยต้องเผชิญหน้ากับการระบาดของโรคโควิด 19 ระลอกใหม่อีกครั้ง โดยมีแนวโน้มผู้ป่วยเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ท่ามกลางความห่วงใยของรัฐบาลและหน่วยงานสาธารณสุขที่ต้องเร่งสร้างความเข้าใจและความตระหนักรู้ให้ประชาชนทุกกลุ่ม

เริ่มต้นด้วยความห่วงใยจากรัฐมนตรี

นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ได้แสดงความห่วงใยต่อสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 หลังได้รับรายงานผู้ป่วยเพิ่มสูงขึ้นในช่วงฤดูฝน ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่โรคติดเชื้อทางเดินหายใจ เช่น ไข้หวัดใหญ่ และโควิด 19 มักจะแพร่กระจายได้ง่าย โดยเฉพาะในกลุ่มนักเรียน นักศึกษา และประชาชนที่อยู่ในพื้นที่แออัด

ในวันที่ 3 มิถุนายน 2568 ที่กระทรวงสาธารณสุข จังหวัดนนทบุรี นพ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน อธิบดีกรมการแพทย์ พร้อมด้วย นพ.สกานต์ บุนนาค รองอธิบดีกรมการแพทย์ และ นพ.สุทัศน์ โชตนะพันธ์ รองอธิบดีกรมควบคุมโรค ร่วมกันแถลงข่าวสถานการณ์โรคโควิด 19 และแนวทางการรักษา

สถานการณ์ล่าสุด อัตราการป่วยสูงขึ้นแต่รุนแรงลดลง

นพ.ทวีศิลป์ เปิดเผยข้อมูลว่า ปี 2568 นี้ ประเทศไทยพบผู้เสียชีวิตจากโรคโควิด 19 รวม 69 ราย โดยส่วนใหญ่เป็นกลุ่มเสี่ยง 608 (ผู้สูงอายุและผู้มีโรคประจำตัว) และกระจุกตัวในเมืองใหญ่หรือแหล่งท่องเที่ยวสำคัญ เช่น กรุงเทพมหานคร 22 ราย, ชลบุรี 8 ราย, จันทบุรี 7 ราย, เชียงใหม่ 3 ราย อัตราเสียชีวิตอยู่ที่ 0.106 ต่อประชากรแสนคน สะท้อนให้เห็นว่าโรคไม่ได้มีความรุนแรงมากขึ้น

สำหรับยอดผู้ป่วยสะสมตั้งแต่ต้นปีจนถึง 3 มิถุนายน 2568 อยู่ที่ 324,692 ราย หรือคิดเป็นอัตราป่วย 500.20 ต่อประชากรแสนคน โดยจังหวัดที่พบอัตราป่วยสูงสุด ได้แก่ กรุงเทพมหานคร, ชลบุรี, ระยอง, ภูเก็ต และนครปฐม มีการระบาดเป็นกลุ่มก้อนในสถานศึกษา 12 เหตุการณ์ เรือนจำ 6 เหตุการณ์ ค่ายทหาร 4 เหตุการณ์ และโรงพยาบาล 2 เหตุการณ์

ปัจจัยเร่งการระบาด ฝนตก-เปิดเทอม

นพ.สุทัศน์ รองอธิบดีกรมควบคุมโรค อธิบายว่า ช่วงฤดูฝนและเปิดเทอมเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้โรคติดเชื้อทางเดินหายใจ รวมถึงโควิด 19 แพร่ระบาดได้ง่าย โดยเฉพาะในโรงเรียนที่นักเรียนอยู่รวมกลุ่มกันมาก จึงพบผู้ป่วยเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน ตั้งแต่สัปดาห์ที่ 16 ของปีเป็นต้นมา โดยสัปดาห์ที่ 22 มีผู้ป่วยสูงถึง 93,621 ราย และล่าสุดในสัปดาห์นี้พบอีก 28,392 ราย

สายพันธุ์หลักที่ระบาดในปัจจุบันคือ XEC ซึ่งแม้จะติดเชื้อได้ง่าย แต่อาการโดยรวมไม่รุนแรง ผู้ป่วยส่วนใหญ่อาการคล้ายไข้หวัดทั่วไป อัตราการนอนรักษาในโรงพยาบาลต่ำมาก และส่วนใหญ่หายได้เองโดยไม่ต้องใช้ยาต้านไวรัส

แนวทางการป้องกันและรักษาเน้นมาตรการส่วนบุคคล

นพ.สกานต์ รองอธิบดีกรมการแพทย์ เน้นย้ำว่า แนวทางการดูแลรักษาในกรณีที่มีอาการเล็กน้อย โดยเฉพาะในผู้ที่ไม่ใช่กลุ่มเสี่ยง สามารถรักษาตามอาการ เช่น ใช้ยาลดไข้ แก้ไอ ลดน้ำมูกได้เหมือนไข้หวัดทั่วไป ไม่จำเป็นต้องใช้ยาต้านไวรัส ยกเว้นในกลุ่มเสี่ยง 608 หรือเด็กอายุต่ำกว่า 1 ปี ที่ควรรีบพบแพทย์ทันที

"รัฐมนตรีสมศักดิ์" ห่วงสถานการณ์โควิด 19 หลังผู้ป่วยเพิ่มขึ้นช่วงฤดูฝนและเปิดเทอม มอบกรมการแพทย์-กรมควบคุมโรค แจงแนวทางปฏิบัติตัวและการรักษา แนะยกระดับป้องกันเข้ม ทั้งเว้นระยะห่าง ล้างมือ เลี่ยงสถานที่แออัด

สำหรับประชาชนทั่วไป หากป่วยควรสวมหน้ากากอนามัยตลอดเวลาอย่างน้อย 5 วัน ล้างมือบ่อยๆ และหลีกเลี่ยงสถานที่แออัด เพื่อลดการแพร่เชื้อสู่ผู้อื่น โดยเฉพาะผู้สูงอายุในบ้าน และกลุ่มเปราะบาง สำหรับโรงเรียน หากพบเด็กนักเรียนป่วยหลายราย ให้หยุดเรียนเฉพาะบุคคล ไม่จำเป็นต้องปิดทั้งชั้นหรือทั้งโรงเรียน

มาตรการเสริมที่แนะนำคือ การเข้ารับวัคซีนไข้หวัดใหญ่ตามฤดูกาลควบคู่ไปกับมาตรการป้องกันโควิด 19 เพื่อเสริมภูมิคุ้มกัน ลดโอกาสเกิดอาการรุนแรง

มั่นใจยารักษา-เตียงพร้อมรองรับผู้ป่วย

นพ.สกานต์กล่าวว่า ปัจจุบันระบบสาธารณสุขมีเตียงและยารักษาเพียงพอ ทั้งยาเรมดิซีเวียร์ แพกซ์โลวิด และยาโมลนูพิราเวียร์สำหรับกลุ่มอาการปานกลางหรือมีแนวโน้มรุนแรง หากอาการไม่มากหรือไม่ใช่กลุ่มเสี่ยง แพทย์จะเป็นผู้พิจารณาการให้ยาหรือรับไว้ในโรงพยาบาลตามความเหมาะสม

วิเคราะห์แนวโน้มและข้อควรระวัง

แม้สถานการณ์จะดูผ่อนคลายกว่าในอดีต แต่ภาครัฐยังคงจับตาอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบางและผู้สูงอายุที่ยังคงเป็นกลุ่มเสี่ยงที่ต้องได้รับการปกป้องอย่างเข้มข้น หากร่วมมือกันทั้งภาครัฐ โรงเรียน สถานประกอบการ และประชาชน จะสามารถลดจำนวนผู้ป่วยและควบคุมการระบาดได้

ข้อควรระวังสำคัญ

  • ผู้ป่วยโควิด 19 ที่ไม่ใช่กลุ่มเสี่ยง สามารถใช้ชีวิตและทำงานได้ตามปกติ
  • หากป่วยควรใส่หน้ากาก 5-7 วัน หลีกเลี่ยงสถานที่แออัด
  • กลุ่มเสี่ยง ควรรีบพบแพทย์หากมีอาการ
  • เน้นการป้องกันส่วนบุคคล เว้นระยะห่าง ล้างมือบ่อยๆ
  • เข้ารับวัคซีนไข้หวัดใหญ่เสริมภูมิคุ้มกัน

สรุป

สถานการณ์โควิด 19 ระลอกใหม่ในฤดูฝนและช่วงเปิดภาคเรียนปีนี้ แม้จะมีผู้ป่วยเพิ่มขึ้นแต่ระดับความรุนแรงของโรคลดลงอย่างชัดเจน ระบบสาธารณสุขยังคงควบคุมและดูแลสถานการณ์ได้ดี การร่วมมือของประชาชนในการป้องกันส่วนบุคคลจะเป็นกุญแจสำคัญที่ช่วยลดการแพร่ระบาดและสร้างความมั่นใจให้กับสังคมไทย

นพ.สกานต์กล่าวว่า หากมีอาการป่วยเพียงเล็กน้อยจะแยกว่าเป็นไข้หวัดใหญ่ ไข้หวัด หรือโควิด 19 ได้ยาก แต่แนวทางการดูแลรักษาเบื้องต้นเหมือนกัน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : 

  • กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข
  • กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข
  • ศูนย์ข้อมูลโควิด-19 กระทรวงสาธารณสุข
  • ข่าวสำนักงานประชาสัมพันธ์ กระทรวงสาธารณสุข
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

เชียงรายลุยป้องกันปี๋ใหม่เมือง ปลอดโรค ปลอดภัย

เชียงรายประชุมคณะกรรมการโรคติดต่อ ยกระดับมาตรการรับมือโรคระบาดปี 2568

สาธารณสุขจังหวัดเชียงรายจัดประชุมคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัด เตรียมความพร้อมรับมือโรคติดต่อสำคัญ

เชียงราย – วันที่ 4 เมษายน 2568 เวลา 09.00 น. ณ ห้องประชุมธรรมลังกา ชั้น 3 ศาลากลางจังหวัดเชียงราย สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงราย ได้จัดการประชุมคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดเชียงราย ครั้งที่ 1/2568 โดยมีนายประสงค์ หล้าอ่อน รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เป็นประธานการประชุม พร้อมด้วยนายแพทย์คงศักดิ์ ชัยชนะ รองนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดเชียงราย ตลอดจนหัวหน้าส่วนราชการ เจ้าหน้าที่จากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมอย่างพร้อมเพรียง

สถานการณ์ไข้หวัดใหญ่ในปี 2568 พบการระบาดเร็วและกระจายกว้าง

ในการประชุม มีการรายงานสถานการณ์โรคไข้หวัดใหญ่ ซึ่งพบแนวโน้มการแพร่ระบาดเร็วกว่าปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะในกลุ่มเด็กอายุ 0–9 ปี ที่พบอัตราป่วยสูงที่สุดในพื้นที่โรงเรียน ค่ายทหาร และเรือนจำ โดยมีการระบาดเป็นกลุ่มก้อน และมีจำนวนผู้ป่วยเพิ่มขึ้นกว่า 2 เท่าจากปี 2567

ทั้งนี้ สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ได้จัดหาวัคซีนไข้หวัดใหญ่ครอบคลุมจำนวนกว่า 12 ล้านคนทั่วประเทศ โดยในปีที่ผ่านมา มีอัตราครอบคลุมการฉีดวัคซีนมากกว่าร้อยละ 95 สำหรับในจังหวัดเชียงราย ยังมีการเสนอแนวทางให้ องค์การบริหารส่วนจังหวัดสนับสนุนวัคซีนเพิ่มเติมกรณีที่ไม่เพียงพอต่อความต้องการ โดยเฉพาะบุคลากรทางการแพทย์ และประชาชนในกลุ่มเสี่ยง 7 กลุ่ม เช่น เด็กเล็ก ผู้สูงอายุ ผู้มีโรคประจำตัว เป็นต้น

สถานการณ์ไข้เลือดออกยังต้องเฝ้าระวัง แม้แนวโน้มลดลง

รายงานจากฝ่ายระบาดวิทยาระบุว่า แม้ในระดับประเทศแนวโน้มของโรคไข้เลือดออกจะลดลง แต่ในระดับจังหวัดยังจำเป็นต้องติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด กลุ่มอายุ 10–14 ปี เป็นกลุ่มที่มีอัตราป่วยสูงสุด ขณะที่กลุ่มอายุ 40–59 ปี มีอัตราการเสียชีวิตสูงที่สุด โดยสายพันธุ์ DENV-1 เป็นสายพันธุ์ที่พบมากที่สุด ขณะที่ผู้เสียชีวิตส่วนใหญ่ติดเชื้อสายพันธุ์ DENV-2 ซึ่งเป็นสายพันธุ์ที่มีความรุนแรง

จังหวัดเชียงรายได้ดำเนินมาตรการเชิงรุก โดยการสำรวจและทำลายแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลาย การรณรงค์ให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการป้องกันโรค และมีการติดตามการทดลองวัคซีนป้องกันไข้เลือดออกในโครงการนำร่อง ที่จะเริ่มต้นในจังหวัดนครพนมในวันที่ 4 เมษายน 2568

โรคพิษสุนัขบ้ายังคงเป็นประเด็นสำคัญในพื้นที่

ด้านสำนักงานปศุสัตว์จังหวัดเชียงราย ได้รายงานความคืบหน้าการฉีดวัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้าในปีงบประมาณ 2568 โดยจะดำเนินการฉีดวัคซีนในสุนัขและแมวทั่วประเทศ ระหว่างวันที่ 1 กุมภาพันธ์ – 31 สิงหาคม 2568 เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันป้องกันโรคในสัตว์เลี้ยง และลดความเสี่ยงในการแพร่เชื้อสู่คน

พิจารณาแต่งตั้งคณะทำงานควบคุมโรค ณ ช่องทางเข้าออกระหว่างประเทศ

ที่ประชุมยังได้หารือเรื่องการแต่งตั้งคณะทำงานประจำด่านพรมแดนสามเหลี่ยมทองคำ ซึ่งตั้งอยู่ที่บ้านสบรวก อำเภอเชียงแสน เป็นด่านผ่านแดนถาวรตามประกาศของกระทรวงมหาดไทย โดยมีผู้เดินทางเข้า-ออกเฉลี่ยวันละ 900–1,000 คน รวมถึงนักเดินทางจากประเทศที่อยู่ในเขตติดโรคไข้เหลืองเฉลี่ยวันละ 800 คน จึงมีมติให้จัดตั้งด่านควบคุมโรคติดต่อระหว่างประเทศ เพื่อเสริมความมั่นคงด้านสาธารณสุข

พร้อมกันนี้ ได้มีการเสนอปรับปรุงคำสั่งแต่งตั้งคณะทำงานประจำด่านควบคุมโรคติดต่อ ณ ท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวงเชียงราย เพื่อให้สอดคล้องกับแนวทางการประเมินสมรรถนะตามกฎอนามัยระหว่างประเทศ (IHR-JEE)

ขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหา HIV/AIDS อย่างยั่งยืนในระดับจังหวัด

การประชุมยังมีการทบทวนคณะอนุกรรมการป้องกันและแก้ไขปัญหาเอดส์จังหวัดเชียงราย และเสนอให้บรรจุประเด็น HIV/AIDS ไว้ในวาระของคณะกรรมการฯ เพื่อผลักดันให้การดำเนินงานระดับจังหวัดมีความต่อเนื่อง และบรรลุเป้าหมายการยุติปัญหาเอดส์ในระยะยาว โดยเฉพาะการรณรงค์การเข้าถึงการตรวจคัดกรองในกลุ่มเป้าหมาย และการป้องกันการตีตราผู้ติดเชื้อในสังคม

Kick Off แคมเปญปีใหม่เมืองเพื่อสุขภาพคนเชียงราย

จังหวัดเชียงรายเตรียมจัดกิจกรรม Kick Off “ปี๋ใหม่เมือง เพี้ยวบ้านเพี้ยวจอง ปลอดฝุ่น ปลอดยุง ปลอดภัย จาวเจียงฮายสุขภาพดี” ในวันศุกร์ที่ 11 เมษายน 2568 ณ ลานพระบรมราชานุสาวรีย์รัชกาลที่ 5 (ศาลากลางหลังเก่า) เพื่อรณรงค์ให้ประชาชนร่วมกันดูแลสิ่งแวดล้อม ลดฝุ่น PM 2.5 ป้องกันยุงลาย และสร้างความปลอดภัยในช่วงเทศกาลสงกรานต์

กิจกรรมประกอบด้วยการแสดงวัฒนธรรมล้านนา นิทรรศการให้ความรู้ด้านสุขภาพ บูธบริการฉีดวัคซีน การแจกหน้ากากอนามัย รวมถึงการสาธิตการทำลายแหล่งเพาะพันธุ์ยุง ซึ่งถือเป็นแนวทางหนึ่งในการสร้างความตระหนักรู้แก่ประชาชน

มุมมองจากภาครัฐและภาคประชาชนต่อมาตรการควบคุมโรค

จากฝ่ายผู้มีหน้าที่กำหนดนโยบาย เห็นว่าการยกระดับมาตรการควบคุมโรคเป็นสิ่งจำเป็น โดยเฉพาะในพื้นที่เสี่ยง เพื่อรักษาความมั่นคงทางสาธารณสุขและความเชื่อมั่นของประชาชน ทั้งในและต่างประเทศ

ขณะที่ภาคประชาชนบางส่วนแสดงความห่วงใยต่อภาระของการเข้ารับบริการสาธารณสุข โดยเฉพาะในพื้นที่ห่างไกล และยังมีข้อเสนอให้ภาครัฐส่งเสริมระบบสุขภาพปฐมภูมิอย่างจริงจัง รวมถึงเร่งรัดการจัดสรรวัคซีนให้ทั่วถึงทุกพื้นที่

สรุปและข้อเสนอแนะ

การประชุมคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดเชียงรายในครั้งนี้ ถือเป็นการบูรณาการความร่วมมือจากทุกภาคส่วน เพื่อยกระดับความพร้อมในการรับมือโรคติดต่อที่สำคัญ และสร้างแนวทางป้องกันอย่างเป็นระบบ โดยเฉพาะการเตรียมความพร้อมก่อนเข้าสู่ฤดูฝน ซึ่งมักเป็นช่วงระบาดของไข้เลือดออกและโรคทางเดินหายใจ

อย่างไรก็ตาม การดำเนินการดังกล่าวควรคำนึงถึงความเท่าเทียมในการเข้าถึงบริการของประชาชน และสร้างกลไกการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพ เพื่อให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการป้องกันโรคอย่างยั่งยืน

สถิติที่เกี่ยวข้อง

  • อัตราป่วยโรคไข้หวัดใหญ่ในไทย ปี 2567: 162.9 ต่อประชากรแสนคน
  • จำนวนวัคซีนไข้หวัดใหญ่ที่ สปสช. จัดสรร ปี 2567: 4.5 ล้านโดส (ครอบคลุมร้อยละ 95)
  • จำนวนผู้ป่วยไข้เลือดออก ปี 2567: 136,655 ราย ทั่วประเทศ (กรมควบคุมโรค)
  • สุนัขและแมวที่ได้รับวัคซีนพิษสุนัขบ้า ปี 2566: กว่า 7 ล้านตัว (กรมปศุสัตว์)

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
  • กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข
  • สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.)
  • กรมปศุสัตว์
  • สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงราย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
HEALTH

สธ. แจงไวรัส HKU5 ในค้างคาว แค่งานวิจัย ย้ำไทยเฝ้าระวังเข้มแข็ง

กระทรวงสาธารณสุขไทยยัน HKU5-CoV-2 ยังไม่มีการระบาดในคน

ปลัด สธ. ย้ำไทยมีระบบเฝ้าระวังเข้มแข็ง ป้องกันการแพร่ระบาดของไวรัสสายพันธุ์ใหม่

กรุงเทพฯ, 22 กุมภาพันธ์ 2568กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ยืนยันว่า ขณะนี้ยังไม่มีรายงานการระบาดของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ HKU5-CoV-2 ในคน แม้จะมีรายงานจากการวิจัยในห้องปฏิบัติการของจีนเมื่อปี 2566 ว่าไวรัสนี้สามารถเกาะกับตัวรับในเซลล์ของมนุษย์และสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมได้ดีเช่นเดียวกับโควิด-19

นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า รายงานดังกล่าวเป็นเพียงผลการทดลองในห้องแล็บ ยังไม่มีหลักฐานทางระบาดวิทยาที่ชี้ว่าไวรัสนี้สามารถแพร่ระบาดสู่คนได้จริง และไม่มีรายงานผู้ป่วยติดเชื้อจากสายพันธุ์นี้แต่อย่างใด

“ข้อมูลที่มีในขณะนี้เป็นเพียงรายงานทางวิทยาศาสตร์ที่ได้จากการศึกษาในห้องปฏิบัติการเท่านั้น ยังไม่มีหลักฐานว่ามีการแพร่กระจายสู่คนหรือเกิดการระบาดจริงในประชากรทั่วไป ดังนั้นประชาชนไม่ควรตื่นตระหนก” นพ.โอภาสกล่าว

HKU5-CoV-2 คืออะไร?

HKU5-CoV-2 เป็นไวรัสที่ถูกค้นพบในค้างคาว และจัดอยู่ในตระกูล Merbecovirus ซึ่งเป็นกลุ่มย่อยของไวรัสโคโรนา นักวิจัยพบว่าไวรัสนี้มีความสามารถในการจับกับเอนไซม์ ACE2 ซึ่งเป็นตัวรับบนเยื่อหุ้มเซลล์ของมนุษย์ แต่ยังไม่มีหลักฐานยืนยันว่ามันสามารถก่อโรคในมนุษย์ได้

นักวิทยาศาสตร์จากสถาบันไวรัสวิทยาหวู่ฮั่น ประเทศจีน ได้ทดสอบ HKU5-CoV-2 ในเซลล์ตัวอย่างของระบบทางเดินหายใจและลำไส้ของมนุษย์ และพบว่าโปรตีนหนามของไวรัสสามารถจับกับเยื่อหุ้มเซลล์ได้ อย่างไรก็ตาม ความสามารถในการเข้าสู่เซลล์มนุษย์ยังต่ำกว่า SARS-CoV-2 หรือไวรัสโควิด-19 อย่างมีนัยสำคัญ

นักวิทยาศาสตร์เตือนว่า ไม่ควร “ตีความเกินจริง” เกี่ยวกับความเสี่ยงของ HKU5-CoV-2 ต่อมนุษย์ เนื่องจากยังไม่มีหลักฐานว่ามันสามารถติดต่อจากสัตว์สู่คนได้จริง

ไทยติดตามไวรัสสายพันธุ์ใหม่อย่างใกล้ชิด

นพ.โอภาส ยืนยันว่า ประเทศไทยมีระบบเฝ้าระวังโรคระบาดที่เข้มแข็ง โดยกรมควบคุมโรคและกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ทำงานร่วมกับทีมวิจัยจากมหาวิทยาลัยต่างๆ เพื่อ ติดตามการกลายพันธุ์ของไวรัสโคโรนาอย่างต่อเนื่อง

ปัจจุบัน สายพันธุ์ที่พบในไทยยังคงเป็น โอมิครอน JN.1 ซึ่งเป็นสายพันธุ์หลักที่แพร่ระบาดอยู่ในขณะนี้ และไม่มีหลักฐานว่ามีไวรัสสายพันธุ์ใหม่เข้ามาในประเทศ

นอกจากนี้ ไทยยังคงมีมาตรการควบคุมโรคที่เข้มงวดสำหรับนักเดินทางขาเข้า โดยเฉพาะผู้ที่เดินทางจากพื้นที่ที่มีรายงานการระบาดของโรคทางเดินหายใจ

มาตรการป้องกันไวรัส: ใช้ได้กับทุกสายพันธุ์

แม้จะยังไม่มีหลักฐานว่า HKU5-CoV-2 สามารถระบาดในมนุษย์ได้ แต่ปลัดกระทรวงสาธารณสุขระบุว่า มาตรการป้องกันโรคทางเดินหายใจที่ใช้ในปัจจุบันสามารถลดความเสี่ยงของการติดเชื้อจากไวรัสทุกชนิดได้ ได้แก่:

  • สวมหน้ากากอนามัย โดยเฉพาะเมื่ออยู่ในพื้นที่แออัด
  • ล้างมือบ่อยๆ ด้วยสบู่หรือแอลกอฮอล์
  • หลีกเลี่ยงการสัมผัสสัตว์ป่าโดยไม่จำเป็น
  • หลีกเลี่ยงพื้นที่แออัดหรือระบบระบายอากาศไม่ดี
  • ฉีดวัคซีนป้องกันโรคทางเดินหายใจ เช่น วัคซีนไข้หวัดใหญ่และวัคซีนโควิด-19

ผลกระทบต่ออุตสาหกรรมยาและวัคซีน

หลังจากมีรายงานเกี่ยวกับ HKU5-CoV-2 หุ้นของบริษัทยาผลิตวัคซีนต้านโควิด-19 เช่น Pfizer, Moderna และ Novavax ปรับตัวสูงขึ้น สะท้อนถึงความกังวลของนักลงทุนเกี่ยวกับความเป็นไปได้ของการแพร่ระบาดของไวรัสสายพันธุ์ใหม่

อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคติดเชื้อ เช่น ดร.ไมเคิล ออสเตอร์โฮล์ม จากมหาวิทยาลัยมินนิโซตา กล่าวกับ Reuters ว่า ปฏิกิริยาของตลาดและสื่อบางส่วนอาจเกินจริง เพราะยังไม่มีหลักฐานว่าไวรัสนี้มีความเสี่ยงต่อมนุษย์ในระดับที่ควรกังวล

แนวทางการรักษาหาก HKU5-CoV-2 แพร่สู่คน

หาก HKU5-CoV-2 สามารถแพร่เชื้อสู่มนุษย์ได้จริง นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่าแนวทางการรักษาที่อาจใช้ได้ ได้แก่:

  • แอนติบอดีโมโนโคลนอล (Monoclonal Antibodies) – เป็นโปรตีนที่สร้างขึ้นในห้องปฏิบัติการเพื่อช่วยให้ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายต่อสู้กับไวรัส
  • ยาต้านไวรัส (Antiviral Drugs) – ออกฤทธิ์ยับยั้งการแบ่งตัวของไวรัส ลดความรุนแรงของอาการ เช่นเดียวกับยาต้านไวรัสที่ใช้รักษาโควิด-19

อย่างไรก็ตาม ประสิทธิภาพของการรักษาจะขึ้นอยู่กับความสามารถของไวรัสในการแพร่เชื้อและอัตราการกลายพันธุ์ นักวิทยาศาสตร์จึงจำเป็นต้องศึกษาเพิ่มเติมหาก HKU5-CoV-2 สามารถแพร่ระบาดในคนได้ในอนาคต

สรุป

  • HKU5-CoV-2 เป็นไวรัสที่พบในค้างคาว และเป็นส่วนหนึ่งของตระกูลไวรัสโคโรนา
  • ขณะนี้ยังไม่มีหลักฐานว่ามันสามารถแพร่ระบาดสู่คนได้จริง
  • ไทยมีระบบเฝ้าระวังโรคที่เข้มแข็ง และติดตามการกลายพันธุ์ของไวรัสโคโรนาอย่างต่อเนื่อง
  • มาตรการป้องกัน เช่น สวมหน้ากาก ล้างมือ และเว้นระยะห่าง ยังคงมีประสิทธิภาพในการป้องกันไวรัสทุกสายพันธุ์
  • ตลาดหุ้นบริษัทยาผลิตวัคซีนปรับตัวสูงขึ้น จากความกังวลเกี่ยวกับไวรัสสายพันธุ์ใหม่

แม้ว่าจะยังไม่มีหลักฐานว่า HKU5-CoV-2 จะเป็นภัยคุกคามต่อสุขภาพของมนุษย์ในขณะนี้ แต่การเฝ้าระวังและการศึกษาต่อเนื่องจะเป็นกุญแจสำคัญในการป้องกันและรับมือกับความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กระทรวงสาธารณสุข / forbes

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE