
ผลสำรวจเลือกตั้งเทศบาลสะท้อนปัญหาทุจริต ประชาชนต้องการผู้นำโปร่งใส
ผลสำรวจล่าสุดจากมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย
ประเทศไทย,2 พฤษภาคม 2568 – มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ร่วมกับองค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน เปิดผลสำรวจการเลือกตั้งระดับเทศบาล วันที่ 2 พฤษภาคม 2568 โดยสำรวจประชาชน 1,020 คน ทั่วประเทศ ช่วงวันที่ 16-25 เมษายน 2568 กลุ่มตัวอย่างแบ่งเป็นผู้มีสิทธิเลือกตั้ง 711 คน เยาวชนอายุ 15 ปี จำนวน 309 คน
ประชาชนย้ำชัด “ไม่เลือกคนโกง”
จากผลสำรวจ ประชาชนส่วนใหญ่เห็นว่าการคอร์รัปชันคือปัญหาใหญ่ ต้องการผู้นำที่โปร่งใส ผลสำรวจระบุชัดเจน หากรู้ว่าผู้สมัครทุจริตหรือมีประวัติไม่ดี ประชาชนจะปฏิเสธทันที แม้ในอดีตมีการซื้อเสียงอย่างหนัก พบการซื้อเสียงขั้นต่ำ 1,100 บาท สูงสุดถึง 2,000 บาทต่อคนในบางพื้นที่
เยาวชนไทยเน้นความโปร่งใสเป็นอันดับหนึ่ง
เยาวชนอายุ 15-17 ปี ยังไม่มีสิทธิเลือกตั้ง ให้ความสำคัญกับความโปร่งใสมากที่สุด กลุ่มนี้ถือเป็นความหวังสำคัญของการเมืองไทยในอนาคต ขณะที่ประชาชนวัยผู้ใหญ่ยังมองความโปร่งใสเป็นเรื่องรอง
ทุจริตท้องถิ่นส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจชาติ
ดร.ธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดีมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ชี้ว่า ปัญหาคอร์รัปชันในระดับท้องถิ่น ส่งผลเสียต่อภาพลักษณ์ของประเทศอย่างมาก ดัชนีการคอร์รัปชันของไทย (CPI) อยู่ที่อันดับ 108 ได้คะแนนเพียง 34 คะแนนเท่านั้น ในรอบ 20 ปีที่ผ่านมา ไทยไม่เคยทำได้เกิน 40 คะแนนเลย ต่างจากเวียดนามที่คะแนนสูงกว่าอย่างชัดเจน
ประชาชนต้องการร่วมตรวจสอบการทุจริต
นายวิเชียร พงศธร ประธานมูลนิธิเพื่อคนไทย ระบุชัดจากผลสำรวจ ประชาชนไม่ยอมรับการโกง แม้จะมีการซื้อเสียงอยู่ แต่ประชาชนยืนยันว่าจะไม่เลือกคนโกง ส่วนใหญ่แสดงความไม่พอใจต่อการบริหารของผู้นำท้องถิ่นที่ผ่านมา มีประชาชนพอใจผลงานเพียง 10% เท่านั้น
เม็ดเงินสะพัดในการซื้อเสียงสูงถึง 4 หมื่นล้านบาท
ดร.ธนวรรธน์ ระบุว่า เม็ดเงินที่หมุนเวียนในการเลือกตั้งเทศบาลอยู่ที่ประมาณ 2-4 หมื่นล้านบาท เทียบได้กับการเลือกตั้ง อบจ. และใกล้เคียงกับระดับประเทศที่ 3-5 หมื่นล้านบาท หากสถานการณ์การเมืองเปลี่ยนแปลงหลังเดือนพฤษภาคม เงินสะพัดอาจสูงขึ้นอีก
ท้องถิ่นเข้มข้นขึ้นกับการต่อต้านคอร์รัปชัน
ดร.มานะ นิมิตรมงคล ประธานองค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน เผยว่า ประชาชนต้องการเห็นการเปลี่ยนแปลงในพื้นที่จริง การเลือกตั้งครั้งนี้สำคัญมาก หากประชาชนปฏิเสธเงินซื้อเสียง และตัดสินใจเลือกผู้นำด้วยความโปร่งใส การเมืองระดับท้องถิ่นจะมีแนวโน้มดีขึ้นอย่างแน่นอน
กกต. ถูกตั้งคำถามกับบทบาทจับทุจริต
การดำเนินคดีจากการซื้อเสียงที่ผ่านมา มีการจับกุมน้อยมาก หน่วยงาน กกต. ไม่สามารถนำคนผิดมาลงโทษได้มากนัก ประชาชนจึงต้องการให้ กกต. ทำงานเชิงรุกมากขึ้น พร้อมกระตุ้นให้ประชาชนช่วยเฝ้าระวังผ่านช่องทางโซเชียลมีเดีย เพื่อเป็นหลักฐานในการจัดการกับปัญหานี้
แนวทางอนาคตของประชาธิปไตยไทย
ผู้ร่วมแถลงข่าวเห็นร่วมกันว่า คนรุ่นใหม่จะเป็นกำลังสำคัญในอนาคตของประชาธิปไตยไทย เยาวชนอายุ 15-17 ปี จะเป็นกลุ่มที่นำความเปลี่ยนแปลงมาสู่ระบบการเมือง แม้ผลลัพธ์อาจไม่ทันใจ แต่พัฒนาการด้านประชาธิปไตยไทยจะดีขึ้นแน่นอน
ข้อเสนอแนะสำคัญจากผลสำรวจ
ประชาชนเสนอให้ กกต. ปรับปรุงกระบวนการคัดกรองผู้สมัครให้เข้มงวดขึ้น และมีมาตรการติดตามตรวจสอบที่โปร่งใสมากขึ้น เพื่อให้ได้ผู้นำท้องถิ่นที่ดีในอนาคต ประชาชนส่วนใหญ่ยังเชื่อมั่นในการไปใช้สิทธิ์เลือกตั้ง แม้บางพื้นที่จะไม่มีตัวเลือกที่ถูกใจ แต่ประชาชนยังพร้อมออกไปเลือก “โนโหวต” แทนที่จะสนับสนุนคนโกง
สรุปทิศทางการเลือกตั้งระดับท้องถิ่น
ผลสำรวจครั้งนี้สะท้อนชัดว่าประชาชนไทยต้องการเปลี่ยนแปลงจริงจังในระดับท้องถิ่น มองการทุจริตเป็นปัญหาสำคัญที่สุด หากแก้ไขปัญหานี้ได้ เศรษฐกิจและการเมืองไทยจะมั่นคงและโปร่งใสมากขึ้นในอนาคตอย่างแน่นอน
เครดิตภาพและข้อมูลจาก :
ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย
องค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย)
Transparency International (Corruption Perception Index – CPI 2024)
สถิติการซื้อเสียงจาก กกต. และ ACT Ai (องค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน)