Categories
FEATURED NEWS

ข่าวดีผู้ใช้ Samsung จอเขียว! สภาผู้บริโภคเปิดให้ยื่นขอคืนเงินค่าซ่อมแล้ววันนี้

ซัมซุงจอเขียวสะเทือนวงการ! สภาผู้บริโภคเปิดศึกคดีกลุ่ม จุดชนวน ‘เลมอน ลอว์’ ยุคใหม่ของการทวงคืนสิทธิ

กรุงเทพฯ, 8 สิงหาคม 2568 – การฟ้องคดีแบบกลุ่ม (Class Action) ของผู้บริโภคกว่า 100 รายต่อบริษัทซัมซุง อิเลคโทรนิคส์ ประเทศไทย สะท้อนภาพใหม่ของการลุกขึ้นสู้เพื่อสิทธิผู้บริโภคในสังคมไทย ยิ่งไปกว่านั้น การต่อสู้ในครั้งนี้ยังเป็นการเปิดเวทีผลักดันกฎหมายใหม่ “เลมอน ลอว์” หรือ พระราชบัญญัติความรับผิดชอบต่อความชำรุดบกพร่องของสินค้า ที่จะปฏิวัติความสัมพันธ์ระหว่างผู้ซื้อกับผู้ขายอย่างมีนัยสำคัญ

ปัญหาจากเส้นสีเขียวในจอ สู่คลื่นพลังของผู้บริโภคยุคใหม่

เริ่มต้นจากผู้ใช้โทรศัพท์มือถือ Samsung Galaxy หลายรุ่นพบปัญหาหน้าจอมีเส้นสีเขียวหรือสีชมพูหลังจากอัปเดตซอฟต์แวร์ ซึ่งไม่เพียงสร้างความไม่สะดวกในการใช้งาน แต่ยังเป็นภาระทางการเงินมหาศาลให้กับผู้บริโภคที่ต้องเสียเงินค่าซ่อมจอใหม่ในราคาตั้งแต่ 7,000–15,000 บาท โดยที่บริษัทปฏิเสธความรับผิดชอบ อ้างว่าเป็นปัญหาที่ไม่อยู่ในประกันหรือเกิดจากการใช้งานของผู้ใช้เอง

เมื่อจำนวนผู้ร้องเรียนเพิ่มขึ้นกว่า 250 ราย สภาองค์กรของผู้บริโภค หรือ “สภาผู้บริโภค” จึงเริ่มลงมือรวบรวมหลักฐาน และในที่สุด ได้ยื่นฟ้องศาลแพ่งกรุงเทพใต้เมื่อวันที่ 29 สิงหาคม 2567 โดยมีผู้เสียหาย 119 รายเป็นตัวแทนในการฟ้องคดีแบบกลุ่มต่อบริษัท ซัมซุง อิเลคโทรนิคส์ จำกัด และ บริษัท ไทยซัมซุง อิเลคโทรนิคส์ จำกัด

เมื่อ “คดีกลุ่ม” กลายเป็นเครื่องมือสร้างความยุติธรรม

นายโสภณ หนูรัตน์ หัวหน้าฝ่ายคุ้มครองและพิทักษ์สิทธิผู้บริโภค สภาผู้บริโภค อธิบายว่า คดีแบบกลุ่มเป็นกลไกทางกฎหมายที่ทรงพลัง โดยช่วยลดต้นทุนการฟ้องของแต่ละบุคคล และยังส่งผลให้ผู้เสียหายทั้งหมดได้รับการเยียวยาเมื่อคำพิพากษาถึงที่สุดโดยไม่ต้องแยกยื่นฟ้องใหม่ ซึ่งถือเป็นการสร้างความเป็นธรรมอย่างทั่วถึงในระบบกฎหมาย

“การฟ้องคดีกลุ่มครั้งนี้ไม่เพียงเพื่อซ่อมมือถือ แต่เป็นการซ่อมแซมระบบความยุติธรรมที่ผู้บริโภคไทยควรได้รับมานานแล้ว” นายโสภณกล่าว

จากความเสียหายเฉพาะราย สู่กฎหมายแห่งความเท่าเทียม “เลมอน ลอว์”

การฟ้องคดีซัมซุงจึงไม่ใช่เพียงเรื่องของสินค้าเสียหาย แต่ยังเปิดโปงช่องโหว่ของกฎหมายคุ้มครองผู้บริโภคในประเทศไทยที่ไม่ครอบคลุม และเปิดช่องให้ผู้ประกอบการปฏิเสธความรับผิดชอบอย่างง่ายดาย

สภาผู้บริโภคจึงเดินหน้าผลักดัน ร่าง พ.ร.บ.ความรับผิดเพื่อความชำรุดบกพร่องของสินค้า หรือที่เรียกกันว่า เลมอน ลอว์” ซึ่งจะให้อำนาจผู้บริโภคในกรณีที่ซื้อสินค้ามีปัญหา โดยสามารถเลือกได้ 5 แนวทาง ได้แก่:

  1. ขอซ่อม
  2. ขอเปลี่ยน
  3. ขอลดราคา
  4. ขอเลิกสัญญาและคืนเงิน
  5. ขอปฏิเสธการชำระเงินงวด (หากเป็นสินค้าที่ผ่อนชำระ)

กฎหมายนี้ได้ถูกใช้ในหลายประเทศ เช่น สหรัฐอเมริกา ฟิลิปปินส์ และสิงคโปร์ และกำลังถูกบรรจุเข้าสู่กระบวนการพิจารณาของรัฐสภาไทย เพื่อสร้างการปกป้องสิทธิอย่างรอบด้านในสังคมที่เทคโนโลยีและการซื้อขายออนไลน์เติบโตอย่างรวดเร็ว

ประโยชน์ของประชาชน ไม่ใช่แค่คดี แต่คือระบบที่ดีกว่า

การฟ้องคดีกลุ่มในกรณีซัมซุงกลายเป็น “ต้นแบบ” ที่สำคัญของการรวมตัวของผู้บริโภคเพื่อปกป้องสิทธิของตนเองอย่างมีระบบ และยังแสดงให้เห็นถึงพลังขององค์กรกลางอย่างสภาผู้บริโภคในการเป็นสื่อกลางและผู้ผลักดันการเปลี่ยนแปลงเชิงนโยบาย

นางสารี อ๋องสมหวัง เลขาธิการสำนักงานสภาผู้บริโภค กล่าวย้ำว่า “นี่เป็นเพียงก้าวแรกของการสร้างเมืองที่ผู้บริโภคอยู่ได้อย่างเป็นธรรม ผู้บริโภคต้องได้รับสิทธิอย่างเต็มที่ และไม่ควรถูกมองว่าเป็นผู้ที่ไม่มีทางเลือก”

จากข้อมูลสถิติปี 2567 (ต.ค. 2566 – ก.ย. 2567) สภาผู้บริโภคได้รับเรื่องร้องเรียนจำนวน 17,028 เรื่อง โดยสามารถดำเนินการช่วยเหลือสำเร็จ 80.10% รวมเป็นเงินชดเชยมากกว่า 236 ล้านบาท ซึ่งสะท้อนถึงบทบาทขององค์กรภาคประชาชนที่กำลังเติบโตและกลายเป็นเสาหลักของความยุติธรรมในสังคมยุคใหม่

ซัมซุงไม่ใช่รายแรก และจะไม่ใช่รายสุดท้าย

กรณีของซัมซุงอาจจบลงด้วยคำพิพากษาในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า แต่ผลกระทบเชิงโครงสร้างของคดีนี้จะยังคงสั่นสะเทือนตลาดและวงการธุรกิจไปอีกนาน เพราะสิ่งที่ผู้บริโภคเรียกร้องไม่ใช่แค่เงินคืน แต่คือการยอมรับความผิดและการเปลี่ยนแปลงของระบบ

ผู้ประกอบการในอนาคตจะต้องคำนึงถึงคุณภาพสินค้าอย่างแท้จริง เพราะเมื่อเสียงของผู้บริโภครวมพลังกัน เสียงนั้นจะดังเกินกว่าจะเพิกเฉยได้ และผู้บริโภคเองก็ต้องเรียนรู้ว่าตนมีสิทธิมากกว่าที่คิด — หากมีเครื่องมือและองค์กรที่พร้อมยืนเคียงข้างพวกเขา

ประชาชนได้อะไร?

  1. สิทธิตามกฎหมายชัดเจนขึ้น หากเลมอน ลอว์ผ่าน พ.ร.บ. นี้จะกลายเป็นหมุดหมายใหม่ของสิทธิขั้นพื้นฐานในการซื้อสินค้า
  2. เยียวยารวดเร็วขึ้น จากการใช้คดีแบบกลุ่มแทนการฟ้องร้องเดี่ยว
  3. ลดภาระค่าใช้จ่ายทางกฎหมาย โดยเฉพาะในกรณีที่ต้องรวมตัวต่อสู้กับบริษัทขนาดใหญ่
  4. เสริมสร้างวินัยให้ผู้ผลิต เพราะทุกการละเลยความรับผิดชอบอาจนำไปสู่การเสียชื่อเสียงและผลกระทบทางธุรกิจในวงกว้าง

สรุป

ในโลกที่เทคโนโลยีเติบโตเร็ว ปัญหาสินค้าอิเล็กทรอนิกส์เสียหายไม่ใช่เรื่องไกลตัวอีกต่อไป แต่สิ่งสำคัญกว่าคือ ระบบ” ที่รองรับและเยียวยาอย่างยุติธรรม ซึ่งกรณีซัมซุงจอเขียวครั้งนี้ได้จุดประกายให้เห็นว่า เสียงของประชาชน เมื่อรวมกันอย่างมีพลังและอยู่ภายใต้การนำที่ถูกต้อง ย่อมสามารถผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงได้จริง

ใครก็ตามที่ใช้งานโทรศัพท์มือถือ Samsung 11 รุ่นที่ระบุ และมีปัญหาหน้าจอขึ้นเส้นแนวตั้ง ซึ่งได้นำไปซ่อมและชำระเงินค่าซ่อมเองก่อนวันที่ 7 กรกฎาคม 2568 มีสิทธิยื่นขอคืนเงินค่าซ่อมได้ โดยต้องยื่นเอกสารภายในวันที่ 19 สิงหาคม 2568 เท่านั้น

รุ่นโทรศัพท์ที่เข้าข่าย

มีทั้งหมด 11 รุ่นดังนี้:

  • Note 20 / Note 20 5G
  • Note 20 Ultra / Note 20 Ultra 5G
  • S20 Plus / S20 Ultra
  • S21 FE / S21 Ultra
  • S22 / S22 Plus / S22 Ultra

วิธีการยื่นขอคืนเงิน

ผู้ที่มีสิทธิตามเงื่อนไขสามารถยื่นเอกสารได้ 2 ช่องทาง คือ:

  1. ออนไลน์: ผ่านเว็บไซต์สภาผู้บริโภคที่ลิงก์ https://www.tcc.or.th/samsung-greenline/
  2. ออฟไลน์: (ไม่มีระบุไว้ในข้อมูล)

เอกสารที่ต้องใช้

ในการยื่นเรื่องขอคืนเงิน ต้องแนบเอกสารดังต่อไปนี้:

  • สำเนาบัตรประชาชน (พร้อมรับรองสำเนาถูกต้อง)
  • ภาพถ่ายหน้าจอโทรศัพท์ที่ขึ้นเส้นและหน้าจอ “About phone”
  • ใบเสร็จค่าซ่อมหรือใบสั่งซ่อมจากศูนย์บริการ
  • ภาพหรือข้อมูลหมายเลข Serial Number หรือ IMEI
  • ข้อมูลติดต่อ (ชื่อ-นามสกุล, เบอร์โทรศัพท์, อีเมล)

การยื่นเอกสารต้องทำภายในวันที่ 19 สิงหาคม 2568 หากพ้นกำหนดจะไม่สามารถพิจารณาสิทธิได้

 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สภาองค์กรของผู้บริโภค (สภาผู้บริโภค)
  • สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.)
  • ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET)
  • ศูนย์วิจัยกสิกรไทย
  • Statista
  • เว็บไซต์: www.tcc.or.th
  • สายด่วนผู้บริโภค: 1502
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI NEWS UPDATE

‘เชียงราย’ ทดสอบเตือนภัยมือถือ Cell Broadcast ครั้งแรกไทย

เชียงรายนำร่องทดสอบระบบเตือนภัย Cell Broadcast ครั้งแรกในประเทศไทย

เชียงราย 3 พฤษภาคม 2568 – จังหวัดเชียงรายร่วมมือกับกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) และผู้ให้บริการโทรคมนาคม จัดทดสอบระบบแจ้งเตือนภัยผ่านโทรศัพท์เคลื่อนที่ (Cell Broadcast) ครั้งแรกในประเทศไทย เมื่อวันที่ 2 พฤษภาคม 2568 ณ ศาลากลางจังหวัดเชียงราย

จุดเริ่มต้นของระบบเตือนภัยแห่งอนาคต

นายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เป็นประธานเปิดการทดสอบระบบ Cell Broadcast อย่างเป็นทางการ ที่ห้องประชุมธรรมลังกา ชั้น 3 ศาลากลางจังหวัดเชียงราย โดยมีนางสินีนาฏ ทองสุข นายกเหล่ากาชาดจังหวัดเชียงราย รองผู้ว่าราชการจังหวัด หัวหน้าส่วนราชการ และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องร่วมงานอย่างพร้อมเพรียง

การทดสอบครั้งนี้ดำเนินการโดยความร่วมมือจากกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.), กรมประชาสัมพันธ์ และบริษัทผู้ให้บริการเครือข่ายโทรศัพท์ ได้แก่ บริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ จำกัด (NT), บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด และ บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (AIS)

จังหวัดเชียงรายได้รับคัดเลือกให้เป็นหนึ่งในสี่จังหวัดที่ร่วมทดสอบระบบในครั้งนี้ ร่วมกับจังหวัดสุพรรณบุรี อุบลราชธานี และสงขลา ซึ่งดำเนินการพร้อมกันเวลา 13.00 น.

Cell Broadcast สู่ความปลอดภัยอย่างแท้จริง

การทดสอบส่งข้อความแจ้งเตือนประเภท “National Alert” จำนวน 1 ครั้ง ระยะเวลาแสดงผลบนหน้าจอโทรศัพท์มือถือ 10 นาที ครอบคลุมรัศมี 2 กิโลเมตรรอบศาลากลางจังหวัดเชียงราย ข้อความที่ส่งระบุว่า:

“ทดสอบแจ้งเตือนภัย Cell Broadcast จากกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) โปรดอย่าตื่นตระหนก This is a test message from Department of Disaster Prevention and Mitigation (DDPM). No action required.”

จากการรายงานผล พบว่าโทรศัพท์มือถือที่ใช้เครือข่าย AIS ได้รับข้อความเป็นลำดับแรก ตามมาด้วย True และ NT ตามลำดับ โดยใช้เวลาส่งไม่ถึง 1 นาที ถือว่าการทดสอบผ่านไปได้ด้วยดี

ประชาชนเชียงรายรับทราบอย่างทั่วถึง

จากการสอบถามประชาชนในชุมชนน้ำลัด และเจ้าหน้าที่ในพื้นที่ศาลากลางเชียงราย ทุกฝ่ายได้รับข้อความแจ้งเตือนตามที่กำหนดไว้ ประชาชนส่วนใหญ่รับทราบล่วงหน้าว่าจะมีการทดสอบ เพราะมีการประชาสัมพันธ์อย่างต่อเนอื่อตั้งแต่สัปดาห์ก่อน ผ่านช่องทางต่าง ๆ เช่น กลุ่มไลน์ หน่วยงานราชการ และใบปลิวที่แจกในพื้นที่ ทำให้ไม่มีความตื่นตระหนกเกิดขึ้น

ปัญหาเล็กน้อยที่ต้องปรับปรุง

นายชรินทร์ ทองสุข เปิดเผยเพิ่มเติมว่า จากการทดสอบพบปัญหาบางประการ เช่น โทรศัพท์บางรุ่นไม่สามารถเก็บข้อความแจ้งเตือนไว้ได้ บางเครื่องที่เก่าหรือไม่ได้อัปเดตระบบ ก็ไม่สามารถรับข้อความได้ ซึ่งปัญหาดังกล่าวจะถูกส่งไปให้กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแก้ไขในขั้นตอนต่อไป

กรมปภ.พร้อมเดินหน้าขยายผล

นายภาสกร บุญญลักษม์ อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กล่าวว่า ผลการทดสอบระบบ Cell Broadcast ครั้งแรกนี้ถือว่าน่าพอใจมาก เพราะสามารถส่งข้อความถึงประชาชนได้รวดเร็วและมีประสิทธิภาพ ในอนาคตกรมฯ จะมีการทดสอบเพิ่มอีกในพื้นที่ขนาดกลางและใหญ่ เพื่อให้ระบบมีความพร้อมใช้งานจริงในสถานการณ์ฉุกเฉินทุกรูปแบบ เช่น น้ำท่วม แผ่นดินไหว และโรคระบาด

Cell Broadcast เทคโนโลยีเพื่ออนาคต

ระบบ Cell Broadcast เป็นระบบส่งข้อความแจ้งเตือนภัยแบบเรียลไทม์ถึงโทรศัพท์เคลื่อนที่ โดยไม่จำเป็นต้องทราบหมายเลขโทรศัพท์ผู้รับ แตกต่างจากระบบ SMS ที่ต้องส่งรายบุคคล ระบบนี้เหมาะสมสำหรับสถานการณ์ที่ต้องแจ้งเตือนประชาชนอย่างเร่งด่วนในพื้นที่เสี่ยง

จุดแข็งของระบบ Cell Broadcast คือการส่งข้อความที่รวดเร็ว เข้าถึงผู้คนจำนวนมากได้ในเวลาเดียวกัน มีประสิทธิภาพสูง เหมาะกับการเตือนภัยธรรมชาติร้ายแรง เช่น แผ่นดินไหว น้ำป่าไหลหลาก พายุ และเหตุฉุกเฉินอื่นๆ

การวิเคราะห์ความพร้อมใช้ของระบบ

อย่างไรก็ตาม การทดสอบในครั้งนี้เผยให้เห็นปัญหาเกี่ยวกับความเข้ากันได้ของโทรศัพท์มือถือบางรุ่น ซึ่งอาจกลายเป็นจุดอ่อนสำคัญได้หากนำไปใช้งานจริง รัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรเร่งแก้ไขปัญหานี้โดยเร็ว รวมถึงปรับปรุงการประชาสัมพันธ์ เพื่อให้ประชาชนทั่วไปและนักท่องเที่ยวเข้าใจระบบนี้อย่างชัดเจน และสามารถใช้ประโยชน์ได้สูงสุด

สถิติที่เกี่ยวข้องกับระบบแจ้งเตือนภัย

จากข้อมูลของ International Telecommunication Union (ITU) และสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียงกิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ระบุว่า การใช้ระบบ Cell Broadcast ช่วยลดเวลาการแจ้งเตือนภัยจากเดิมที่ใช้ระบบ SMS จาก 10-15 นาที เหลือเพียงไม่ถึง 1 นาที ซึ่งเพิ่มโอกาสรอดชีวิตของประชาชนในพื้นที่เสี่ยงได้มากถึง 50% นอกจากนี้ รายงานจาก ITU ในปี 2024 ยังระบุว่า ประเทศที่มีระบบ Cell Broadcast ครอบคลุมพื้นที่กว่า 90% มีอัตราการเสียชีวิตจากภัยธรรมชาติลดลงอย่างมีนัยสำคัญถึง 30-40%

จังหวัดเชียงรายจะเป็นต้นแบบสำคัญในการใช้เทคโนโลยี Cell Broadcast เพื่อนำไปสู่ความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนชาวไทยอย่างแท้จริงในอนาคตอันใกล้นี้

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
  • กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.)
  • สำนักงาน กสทช.
  • International Telecommunication Union (ITU) Report 2024
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
HEALTH

อย่าแชร์! วางโทรศัพท์มือถือไว้หัวนอน ทำให้เป็นมะเร็งสมอง

 
เมื่อวันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2024 เวลา 13:30 น. หน่วยงานที่ตรวจสอบ สถาบันมะเร็งแห่งชาติ กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข ได้ตรวจตามที่มีข้อมูลในสื่อต่าง ๆ ในประเด็นเรื่องวางโทรศัพท์มือถือไว้หัวนอน ทำให้เป็นมะเร็งสมอง ทางศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมได้ตรวจสอบข้อเท็จจริง โดยสถาบันมะเร็งแห่งชาติ กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข พบว่าข้อมูลดังกล่าวนั้น เป็นข้อมูลเท็จ
 
จากกรณีที่มีการส่งต่อข้อมูลเตือนให้ระวังสำหรับผู้ที่ชอบวางโทรศัพท์มือถือไว้ตรงหัวนอน เพราะโทรศัพท์มือถือมีคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าเป็นตัวการหลัก ทำให้เกิดมะเร็งสมอง ทางสถาบันมะเร็งแห่งชาติ กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข ได้ตรวจสอบข้อมูลและชี้แจงว่า ปัจจุบันมีการศึกษาในหลายงานวิจัย แต่ยังไม่มีหลักฐานชัดเจนที่แสดงว่า การใช้โทรศัพท์มือถือ หรือการวางโทรศัพท์มือถือใกล้บริเวณศีรษะ จะทำให้เพิ่มความเสี่ยงในการเกิดมะเร็งสมองทั้งในผู้ใหญ่และเด็ก อย่างไรก็ตาม ความสัมพันธ์นี้ยังคงต้องมีการศึกษาต่อเนื่อง และติดตามในระยะยาวในอนาคต
 
 

ดังนั้นขอให้ประชาชนอย่าหลงเชื่อข้อมูลดังกล่าว และขอความร่วมมือไม่ส่ง หรือแชร์ข้อมูลดังกล่าวต่อในช่องทางสื่อสังคมออนไลน์ต่าง ๆ และเพื่อให้ประชาชนได้รับข้อมูลข่าวสารจากสถาบันมะเร็งแห่งชาติ กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข สามารถติดตามได้ที่เว็บไซต์ http://thaicancernews.nci.go.th/_v2/ หรือ www.nci.go.th หรือโทร. 02-202-6800

 

บทสรุปของเรื่องนี้คือ : ยังไม่มีหลักฐานชัดเจนที่แสดงว่า การใช้โทรศัพท์มือถือ หรือการวางโทรศัพท์มือถือใกล้บริเวณศีรษะ จะทำให้เพิ่มความเสี่ยงในการเกิดมะเร็งสมองทั้งในผู้ใหญ่และเด็ก

 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สถาบันมะเร็งแห่งชาติ กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News