Categories
WORLD PULSE

ออสเตรเลียแบนโซเชียลเด็กต่ำกว่า 16 ควบคุมด้วยค่าปรับมหาศาล”

รัฐบาลออสเตรเลียเสนอกฎหมายแบนโซเชียลมีเดียเด็กอายุต่ำกว่า 16 ปี พร้อมค่าปรับสูงถึง 49.5 ล้านดอลลาร์

เมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายน 2567 สำนักข่าวต่างประเทศ Reuters รายงานว่า รัฐบาลฝ่ายซ้ายกลางของออสเตรเลียได้เสนอร่างกฎหมายใหม่ต่อรัฐสภา ซึ่งมีเป้าหมายเพื่อจำกัดการใช้งานโซเชียลมีเดียสำหรับเด็กอายุต่ำกว่า 16 ปี โดยมีบทลงโทษสำหรับแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียที่ละเมิดกฎหมาย ด้วยค่าปรับสูงสุดถึง 49.5 ล้านดอลลาร์ออสเตรเลีย หรือประมาณ 1,100 ล้านบาท

แผนการยืนยันอายุที่เข้มงวดที่สุด

รัฐบาลออสเตรเลียมีแผนทดลองใช้ ระบบยืนยันอายุ ที่อาจรวมถึงการใช้ข้อมูลทางชีวภาพ เช่น การสแกนนิ้ว หรือ การยืนยันด้วยข้อมูลจากรัฐบาล เพื่อป้องกันไม่ให้เด็กอายุต่ำกว่าเกณฑ์สามารถเข้าถึงโซเชียลมีเดียได้ ซึ่งถือว่าเป็นมาตรการควบคุมการใช้งานโซเชียลมีเดียที่เข้มงวดที่สุดเท่าที่เคยมีมา

ที่สำคัญ กฎหมายดังกล่าวกำหนดเกณฑ์อายุไว้ที่ 16 ปี โดยไม่มีข้อยกเว้นสำหรับเยาวชนที่ได้รับความยินยอมจากผู้ปกครองหรือเยาวชนที่มีบัญชีใช้งานอยู่ก่อนแล้ว

ส่งผลกระทบต่อแพลตฟอร์มหลัก

มาตรการใหม่นี้จะส่งผลกระทบโดยตรงต่อแพลตฟอร์มยอดนิยม เช่น อินสตาแกรม (Instagram) และ เฟซบุ๊ก (Facebook) ของบริษัทเมตา (Meta) รวมถึง ติ๊กต็อก (TikTok) ของไบต์แดนซ์ (ByteDance), X ของอีลอน มัสก์ และ สแนปแชท (Snapchat) โดยกฎหมายจะกำหนดให้แพลตฟอร์มเหล่านี้ต้องมีมาตรการยืนยันอายุและป้องกันการเข้าถึงของเด็กที่อายุต่ำกว่า 16 ปี

ผลกระทบต่อสุขภาพจิตและความปลอดภัย

นายกรัฐมนตรี แอนโทนี อัลบาเนซี กล่าวว่า การใช้โซเชียลมีเดียมากเกินไปสร้างความเสี่ยงต่อสุขภาพกายและสุขภาพจิตของเยาวชน โดยเฉพาะเด็กผู้หญิงที่อาจได้รับผลกระทบจากเนื้อหาเกี่ยวกับรูปร่างและความงามที่เป็นอันตราย และเด็กผู้ชายที่อาจเผชิญกับเนื้อหาที่สร้างความเกลียดชังต่อเพศหญิง

อย่างไรก็ตาม นายกรัฐมนตรียืนยันว่า เด็ก ๆ ยังคงสามารถใช้งานแอปพลิเคชันส่งข้อความ เกมออนไลน์ และบริการเพื่อการศึกษา เช่น Headspace, Google Classroom และ YouTube ได้ตามปกติ

กฎหมายที่ยุติธรรมและปกป้องความเป็นส่วนตัว

รัฐบาลเน้นย้ำว่ากฎหมายนี้ไม่ได้มุ่งลงโทษเด็กหรือผู้ปกครอง แต่เป็นการกำหนดมาตรฐานสำหรับแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย เพื่อให้มีมาตรการยืนยันอายุที่เหมาะสม พร้อมทั้งกำหนดข้อบังคับด้านความเป็นส่วนตัวอย่างเข้มงวด เช่น การกำหนดให้แพลตฟอร์มทำลายข้อมูลที่รวบรวมไว้เพื่อปกป้องข้อมูลส่วนบุคคลของผู้ใช้

เปรียบเทียบกับประเทศอื่น ๆ

การเสนอกฎหมายของออสเตรเลียครั้งนี้ถือว่าเข้มงวดที่สุดในโลก โดยกำหนดอายุขั้นต่ำที่ 16 ปี ซึ่งสูงกว่าประเทศอื่น ๆ เช่น ฝรั่งเศส ที่เคยเสนอจำกัดอายุการใช้งานโซเชียลมีเดียไว้ที่ 15 ปีเมื่อปีที่ผ่านมา และ สหรัฐอเมริกา ที่มีการขอความยินยอมจากผู้ปกครองสำหรับเด็กอายุต่ำกว่า 13 ปีมานานหลายทศวรรษ

เสียงสะท้อนและความร่วมมือจากฝ่ายต่าง ๆ

พรรคฝ่ายค้านในออสเตรเลียสนับสนุนร่างกฎหมายนี้อย่างเต็มที่ ในขณะที่พรรคกรีนและกลุ่มอิสระเรียกร้องให้รัฐบาลให้ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับผลกระทบของกฎหมาย

ในส่วนของผู้ประกอบการ นาย นีล ฟาร์มิโล เจ้าของร้านอาหาร Kiwi Kitchen ในเมืองวังเวียง ประเทศลาว ซึ่งเป็นจุดท่องเที่ยวยอดนิยม กล่าวว่า แม้การใช้มาตรการเหล่านี้อาจสร้างความกังวลในช่วงแรก แต่เขาหวังว่าจะช่วยปกป้องเยาวชนในระยะยาว

สรุป

การเสนอกฎหมายแบนโซเชียลมีเดียสำหรับเด็กอายุต่ำกว่า 16 ปีของออสเตรเลียเป็นก้าวสำคัญในการปกป้องเยาวชนจากผลกระทบด้านลบของการใช้งานโซเชียลมีเดีย แม้จะมีความท้าทายในการดำเนินการ แต่เป้าหมายของรัฐบาลคือการสร้างความปลอดภัยและความมั่นคงทางจิตใจสำหรับเด็กและเยาวชนในอนาคต

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : Reuters

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
FOLLOW ME
MOST POPULAR
Categories
FEATURED NEWS

Amex เผยคนไทยนิยมโซเชียลมีเดีย ใช้ค้นหาอาหารและแบรนด์เนม

“Amex เผยโซเชียลมีเดียครองใจคนไทย ใช้ค้นหาร้านดัง-เลือกซื้อแบรนด์เนม”

เมื่อวันที่ 31 ตุลาคม 2567 American Express (อเมริกัน เอ็กซ์เพรส) ได้เปิดเผยผลสำรวจเรื่องแนวโน้มการท่องเที่ยว การรับประทานอาหาร และไลฟ์สไตล์ระดับพรีเมียมสำหรับผู้บริโภคชาวไทย ซึ่งพบว่าชาวไทย โดยเฉพาะในกลุ่มมิลเลนเนียลและเจน Z มีพฤติกรรมการใช้สื่อสังคมออนไลน์ (โซเชียลมีเดีย) เพื่อการค้นหาร้านอาหารและตัดสินใจซื้อสินค้าลักเซอรี่ต่าง ๆ สูงขึ้น โดยพบว่า 85% ของผู้ตอบแบบสำรวจใช้โซเชียลมีเดียเพื่อค้นหาร้านอาหารใหม่ ๆ และ 67% ใช้ตัดสินใจเลือกซื้อสินค้าลักเซอรี่ นับเป็นช่องทางการค้นหาข้อมูลที่มีอิทธิพลอันดับหนึ่งในหมู่ผู้บริโภคชาวไทย

ในส่วนของช่องทางอื่นที่คนไทยนิยมใช้ในการค้นหาข้อมูล 3 อันดับแรกนอกเหนือจากโซเชียลมีเดีย คือ การบอกต่อ (46%) และรีวิวออนไลน์ (43%) ขณะเดียวกันการเลือกซื้อสินค้าลักเซอรี่ คนไทยมักจะเลือกอ้างอิงคำแนะนำจากคนในครอบครัว (41%) และโฆษณาจากสื่อต่าง ๆ (38%)

การทานอาหารนอกบ้านและสิทธิพิเศษส่งเสริมการตัดสินใจ 

จากการสำรวจพบว่าคนไทยยังคงนิยมการรับประทานอาหารนอกบ้านเป็นอย่างมาก โดย 73% ของผู้ตอบแบบสอบถามระบุว่ามักไปรับประทานอาหารนอกบ้านอย่างน้อยสัปดาห์ละหนึ่งครั้ง ซึ่งมีสัดส่วนเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับปี 2566 โดยเฉพาะในกลุ่มมิลเลนเนียลและเจน Z นอกจากนี้ เกือบ 8 ใน 10 ของผู้ตอบแบบสอบถามมักไปรับประทานอาหารกับครอบครัว โดยเทคนิคที่นิยมใช้มากที่สุดคือการไปรับประทานอาหารในช่วงเวลาที่คนไม่เยอะ (45%) เพื่อเพิ่มโอกาสในการจองโต๊ะได้ง่ายขึ้น สำหรับกลุ่มลูกค้าของอเมริกัน เอ็กซ์เพรส การจองร้านอาหารผ่าน Concierge ของบัตรเครดิตก็เป็นที่นิยมในกลุ่มมิลเลนเนียลและเจน Z

นอกจากนี้ 8 ใน 10 ของผู้ตอบแบบสอบถามยังให้ความสนใจสิทธิพิเศษในการเลือกร้านอาหาร ทำให้หลายคนมองหาร้านที่มีโปรโมชั่นพิเศษเพื่อตัดสินใจเลือก ซึ่งตรงกับนโยบายของอเมริกัน เอ็กซ์เพรส ที่มอบสิทธิพิเศษให้สมาชิกบัตรหลากหลาย อาทิ เครดิตเงินคืนสำหรับการรับประทานอาหารมูลค่า 14,000 บาท และโปรโมชั่น “1 for 1” สำหรับ Sunday Brunch ที่โรงแรมชั้นนำในกรุงเทพฯ

พฤติกรรมการเลือกซื้อสินค้าลักเซอรี่

จากผลสำรวจพบว่า ชาวไทยให้ความสำคัญกับคุณภาพและฝีมือการผลิต (86%) รองลงมาคือค่านิยมของแบรนด์ที่ตรงกับค่านิยมส่วนบุคคล (80%) ซึ่งแสดงให้เห็นว่าคนไทยที่เลือกซื้อสินค้าลักเซอรี่คำนึงถึงคุณภาพที่ยั่งยืนมากกว่าราคาถูก โดยมีแนวโน้มที่จะเลือกแบรนด์ที่มีคุณภาพสูง เช่น รองเท้าและกระเป๋าถือในกลุ่มผู้หญิง และนาฬิกาในกลุ่มผู้ชาย สำหรับผู้ถือบัตร American Express ยังได้รับสิทธิพิเศษเช่น การเข้าถึงสินค้าคอลเลกชันใหม่ก่อนใคร รวมถึงข้อเสนอพิเศษจากแบรนด์ชั้นนำที่มีการร่วมมือกับแบรนด์ระดับโลก

นายพร้อม สิริสันต์ ผู้จัดการใหญ่ American Express ประเทศไทย กล่าวว่า “บริษัทต้องการมอบประสบการณ์การรับประทานอาหารนอกบ้านที่มีคุณภาพให้กับคนไทยโดยการร่วมมือกับร้านอาหารชั้นนำหลายแห่งและแสวงหาพาร์ตเนอร์ใหม่ ๆ อย่างต่อเนื่อง”

สถิติผู้ตอบแบบสอบถามและแนวโน้มการซื้อสินค้าพรีเมียม

การสำรวจครั้งนี้จัดทำขึ้นระหว่างวันที่ 2-16 พฤษภาคม 2567 โดยบริษัท Kantar โดยสำรวจกลุ่มตัวอย่างจำนวน 363 คน ซึ่งเป็นชาวไทยที่มีอายุ 21 ปีขึ้นไป และมีรายได้เฉลี่ยต่อเดือน 140,000 บาท ขึ้นไป

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : American Express (อเมริกัน เอ็กซ์เพรส)

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
ENVIRONMENT

อีเมล TikTok ทำลายสิ่งแวดล้อมโดยไม่รู้ตัว

การใช้เทคโนโลยีดิจิทัลอย่างเมามัน เพิ่มปัญหาสิ่งแวดล้อมอย่างไม่รู้ตัว

เมื่อวันที่ 29 ตุลาคม 2567 Julia Musto นักข่าวด้านวิทยาศาสตร์และสภาพอากาศของสำนักข่าว Independent ในอังกฤษ รายงานว่า การส่งอีเมล การเลื่อนดู TikTok และการส่งข้อความต่างๆ กำลังทำลายสิ่งแวดล้อมโดยไม่รู้ตัว ปริมาณการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) จากกิจกรรมในโลกดิจิทัลอย่างการใช้ Facebook หรือ Instagram กำลังเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล รายงานของ CloudZero พบว่าอีเมลทำงานที่พนักงานส่งในหนึ่งปี สามารถสร้างก๊าซ CO2 เทียบเท่ากับการขับรถน้ำมันเป็นระยะทาง 5 ไมล์ คิดเป็นปริมาณ 2,028 กรัมต่อปี ขณะที่การเลื่อนดูโซเชียลมีเดียเพียงวันเดียว สามารถผลิต CO2 ถึง 968 กรัม หรือเทียบเท่ากับการขับรถ 2.4 ไมล์

การเติบโตของปริมาณการปล่อยคาร์บอนในวงการเทคโนโลยี

ข้อมูลจาก The Shift Project แห่งฝรั่งเศสชี้ว่า ภาคเทคโนโลยีในปี 2019 คิดเป็น 3.7% ของการปล่อยคาร์บอนทั่วโลก และคาดว่าตัวเลขนี้จะเพิ่มเป็นสองเท่าในปี 2025 ปริมาณการใช้แพลตฟอร์มโซเชียลที่เพิ่มสูงขึ้น รวมถึง TikTok ที่ปล่อยคาร์บอนเฉลี่ย 2.63 กรัมต่อนาที ขณะที่ Facebook และ YouTube ปล่อยต่ำกว่า 1 กรัมต่อนาที ถือเป็นปริมาณที่น่ากังวลหากรวมกันในระดับโลก

การส่งข้อความแบบทั่วไปก็ไม่ได้ปลอดภัยเช่นกัน ผู้ใช้งานในสหรัฐฯ ส่งข้อความเฉลี่ยวันละ 60 ข้อความ ซึ่งปล่อย CO2 310 กรัมต่อปี เทียบเท่าการชาร์จโทรศัพท์ 32 ครั้ง กลุ่มคนรุ่นใหม่อย่าง Gen Z เป็นกลุ่มที่สร้างคาร์บอนจากการส่งข้อความมากที่สุด โดยเฉลี่ย 124 ข้อความต่อวัน ซึ่งมีปริมาณการปล่อยเทียบเท่าการขับรถเป็นระยะทาง 3 ไมล์

ความพยายามในการลดผลกระทบจากเทคโนโลยี AI และพลังงานนิวเคลียร์

ในขณะที่อุตสาหกรรมเทคโนโลยีกำลังเปลี่ยนไปใช้ปัญญาประดิษฐ์ (AI) ที่ต้องใช้พลังงานมากขึ้น การปล่อยคาร์บอนของบริษัทใหญ่ๆ ก็พุ่งสูงขึ้นเรื่อยๆ โดย Microsoft ระบุว่าผลกระทบต่อสภาพอากาศของตนสูงขึ้นถึง 30% ในช่วง 4 ปีที่ผ่านมา และ Google มีการปล่อยคาร์บอนสูงขึ้น 48% เมื่อเทียบกับปี 2019 การใช้ AI ถูกมองว่าเป็นทั้งปัญหาและโอกาสในการแก้ไขวิกฤตสภาพภูมิอากาศ ซึ่งบริษัทเทคโนโลยีอย่าง Google, Amazon และ Microsoft กำลังหันมาใช้พลังงานนิวเคลียร์ที่ไม่มีการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เช่น Google ได้เซ็นสัญญาซื้อพลังงานนิวเคลียร์จาก Kairos Power บริษัทในแคลิฟอร์เนีย เพื่อสนับสนุนพลังงานสะอาด

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : independent

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
WORLD PULSE

‘มาเลเซีย’ ประกาศแล้ว มกราคม 68 แพลตฟอร์มโซเชียลต้องขอใบอนุญาต

 

เมื่อวันที่ 30 กรกฎาคม 2567 ที่เมืองกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย ได้มีการประกาศกรอบการกำกับดูแลใหม่สำหรับแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียและการส่งข้อความทางอินเทอร์เน็ตทั้งหมดที่มีผู้ใช้ลงทะเบียนอย่างน้อย 8 ล้านคนในประเทศให้ปฏิบัติตามในวันพฤหัสบดีที่ 1 สิงหาคม โดยกรอบการกำกับดูแลใหม่นี้จะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคมปีหน้า

คณะกรรมการการสื่อสารและมัลติมีเดียแห่งมาเลเซีย (MCMC) ได้ระบุในแถลงการณ์เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมาว่าการบังคับใช้ใบอนุญาตประเภทใหม่จะส่งผลกระทบต่อแพลตฟอร์มยอดนิยมเช่น Facebook, Instagram, WhatsApp, YouTube, TikTok และ Telegram โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างระบบนิเวศออนไลน์ที่ปลอดภัยยิ่งขึ้นและประสบการณ์ผู้ใช้ที่ดีขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับเด็กและครอบครัว

การประกาศกรอบการกำกับดูแลใหม่นี้ได้จุดชนวนให้เกิดการถกเถียงในมาเลเซีย องค์กรภาคประชาสังคมบางแห่งได้กล่าวว่ามาตรการนี้เป็นการกระทำที่มากเกินไปและเสี่ยงต่อการปิดกั้นเสรีภาพในการพูดและเสรีภาพในการวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาล ขณะที่ผู้สังเกตการณ์อินเทอร์เน็ตรายอื่นๆ กลับมองว่าเป็นการเคลื่อนไหวที่ทันท่วงทีเพื่อปรับปรุงความปลอดภัยออนไลน์ในช่วงเวลาที่อาชญากรรมทางไซเบอร์เพิ่มขึ้น

การเคลื่อนไหวของมาเลเซียในการเปิดตัวกรอบกฎระเบียบใหม่นี้ดูเหมือนจะสะท้อนถึงความพยายามของประเทศอื่นๆ ในภูมิภาค เช่น อินโดนีเซียและสิงคโปร์ ที่มุ่งหวังจะปกป้องประชาชนจากการรับรู้ถึงอันตรายที่อาจเกิดขึ้นทางออนไลน์

ในบริบทของประเทศไทย การกำกับดูแลแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียควรได้รับการพิจารณาอย่างจริงจัง เนื่องจากมีปัญหาที่เกี่ยวข้องกับเว็บการพนันและสิ่งผิดกฎหมายอื่นๆ ที่ส่งผลเสียต่อเด็กและเยาวชน นอกจากนี้ การแพร่กระจายของข่าวปลอมบนทางออนไลน์ยังเป็นปัญหาที่สำคัญ การกำกับดูแลที่เข้มงวดจะช่วยให้เกิดความปลอดภัยและความมั่นคงในสังคมออนไลน์ของไทย

กรอบการกำกับดูแลใหม่ที่มาเลเซียประกาศใช้นั้นสามารถเป็นต้นแบบในการพัฒนาและปรับปรุงกฎระเบียบในประเทศไทยให้ทันสมัยและตอบสนองต่อความเปลี่ยนแปลงของสังคมและเทคโนโลยีที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว การปรับปรุงกฎระเบียบนี้จะไม่เพียงแต่ช่วยลดอาชญากรรมทางไซเบอร์และป้องกันการเผยแพร่ข้อมูลที่เป็นเท็จ แต่ยังส่งเสริมการใช้อินเทอร์เน็ตอย่างมีความรับผิดชอบในหมู่เยาวชนและประชาชนทั่วไปอีกด้วย

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ทีมข่าวนครเชียงรายนิวส์

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News