Categories
WORLD PULSE

จีนฟ้องลาว 555 ล้านดอลลาร์ ค้างจ่ายค่าเขื่อนน้ำอู “ไข่มุกแห่งเอเชีย” โครงการหนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง

จีนฟ้องลาว 555 ล้านดอลลาร์! ค้างจ่ายค่าเขื่อน “ไข่มุกแห่งเอเชีย”

สปป.ลาว , 9 มีนาคม 2568 – บริษัทน้ำอูพาวเวอร์ (Nam Ou Power) ซึ่งเป็นหน่วยงานในเครือของบริษัทพาวเวอร์ไชน่า (PowerChina) ได้ยื่นฟ้องบริษัทการไฟฟ้าลาว (Electricite du Laos – EdL) ต่อศูนย์อนุญาโตตุลาการระหว่างประเทศของสิงคโปร์ (SIAC) เพื่อเรียกร้องค่าใช้จ่ายที่ค้างชำระเป็นจำนวน 555 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ อันเนื่องมาจากค่าไฟฟ้าที่เกิดจากโครงการเขื่อนไฟฟ้าน้ำอูทั้ง 7 แห่ง (Nam Ou River Cascade Hydropower) มูลค่าการลงทุนกว่า 2.73 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ

ข้อพิพาทด้านพลังงานและผลกระทบต่อเศรษฐกิจลาว

บริษัทน้ำอูพาวเวอร์ ซึ่งเป็นหน่วยงานที่ดำเนินการโดยรัฐบาลจีน ได้ดำเนินการก่อสร้างและบริหารเขื่อนผลิตไฟฟ้าพลังน้ำบนแม่น้ำอูซึ่งมีความยาว 350 กิโลเมตรในประเทศลาว โครงการดังกล่าวถือเป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์ “หนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง” (Belt and Road Initiative) ของจีน ที่มุ่งเน้นการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางพลังงานและการคมนาคมในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

แหล่งข่าวที่เกี่ยวข้องระบุว่าคดีนี้เป็นกรณีแรกของการฟ้องร้องระหว่างหน่วยงานที่ดำเนินการโดยรัฐบาลจีนต่อรัฐวิสาหกิจของรัฐบาลลาวผ่านกระบวนการอนุญาโตตุลาการระหว่างประเทศ ซึ่งเป็นสัญญาณบ่งชี้ถึงปัญหาทางการเงินที่ลาวกำลังเผชิญ

ที่มาของข้อพิพาทและรายละเอียดทางกฎหมาย

ข้อมูล 6 มีนาคม 2568 พบว่า บริษัทน้ำอูพาวเวอร์ อ้างว่า EdL มีหนี้ค้างชำระเป็นจำนวน 486.27 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และดอกเบี้ยเพิ่มเติมอีก 65.79 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งเกิดจากใบแจ้งหนี้รายเดือนที่ออกระหว่างเดือนมกราคม 2020 ถึงธันวาคม 2024 การฟ้องร้องครั้งนี้มีมูลค่ารวมคิดเป็นประมาณ 4% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ของลาวในปี 2020

เอกสารที่ยื่นต่อ SIAC ยังระบุว่า บริษัทน้ำอูพาวเวอร์เรียกร้องค่าเสียหายเพิ่มเติมอีก 3.02 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เนื่องจาก EdL ชำระเงินส่วนใหญ่ด้วยสกุลเงินกีบของลาว ทั้งที่ตามข้อตกลงระบุว่าต้องชำระเป็นดอลลาร์สหรัฐฯ อย่างน้อย 85%

ความเชื่อมโยงกับโครงสร้างพื้นฐานจีนในลาว

ลาวเป็นประเทศที่ลงทุนอย่างหนักในโครงการไฟฟ้าพลังน้ำ โดยมีจุดมุ่งหมายที่จะเป็น “แบตเตอรี่แห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้” (Battery of Southeast Asia) ผ่านการส่งออกพลังงานไปยังประเทศเพื่อนบ้าน เช่น ไทย เวียดนาม และจีน อย่างไรก็ตาม โครงการขนาดใหญ่เหล่านี้รวมถึงโครงการรถไฟความเร็วสูงจีน-ลาว ได้สร้างภาระหนี้สินให้กับประเทศเป็นจำนวนมาก

ในปี 2020 EdL ได้โอนอำนาจการควบคุมส่วนใหญ่ของหน่วยส่งไฟฟ้าไปยังบริษัทไชน่าเซาเทิร์นพาวเวอร์กริด (China Southern Power Grid) ซึ่งเป็นรัฐวิสาหกิจของจีน เนื่องจากภาระหนี้ที่เพิ่มขึ้นประกอบกับวิกฤตเศรษฐกิจจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ทำให้รัฐบาลลาวต้องเผชิญกับความยากลำบากทางการเงิน และใกล้เข้าสู่ภาวะผิดนัดชำระหนี้ (Sovereign Default)

ผลกระทบต่อเศรษฐกิจและสถานะของลาวในเวทีโลก

ลาวต้องเผชิญกับภาวะเงินเฟ้อที่สูงและทุนสำรองเงินตราต่างประเทศที่ลดลงอย่างรวดเร็ว โดยมูลค่าของเงินกีบลาวลดลงเกือบ 60% ในช่วงห้าปีที่ผ่านมา ส่งผลให้ต้นทุนการนำเข้าสินค้าพุ่งสูงขึ้น และทำให้ประเทศต้องพึ่งพาเงินทุนจากจีนมากขึ้น

นักวิเคราะห์ชาวตะวันตกมองว่าการลงทุนของจีนในโครงการโครงสร้างพื้นฐานในลาวช่วยเพิ่มอิทธิพลของจีนในประเทศที่มีภาระหนี้สูง อย่างไรก็ตาม จีนได้ปฏิเสธข้อกล่าวหาดังกล่าว โดยยืนยันว่าการลงทุนของตนเป็นไปเพื่อการพัฒนาทางเศรษฐกิจและสร้างความร่วมมือระหว่างประเทศ

แนวโน้มของคดีและผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น

ในขณะที่คดีดังกล่าวกำลังอยู่ระหว่างกระบวนการทางอนุญาโตตุลาการในสิงคโปร์ นักวิเคราะห์บางรายมองว่า หาก EdL ไม่สามารถชำระหนี้ได้ อาจนำไปสู่การโอนกรรมสิทธิ์หรือความเป็นเจ้าของของโครงสร้างพื้นฐานสำคัญของลาวไปยังบริษัทจีน ซึ่งอาจเพิ่มการพึ่งพาจีนในระยะยาว

นอกจากนี้ หากมีการพิจารณาคดีให้บริษัทน้ำอูพาวเวอร์เป็นฝ่ายชนะ ลาวอาจต้องเจรจาปรับโครงสร้างหนี้เพิ่มเติม หรืออาจต้องขอความช่วยเหลือจากองค์กรทางการเงินระหว่างประเทศ เช่น กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) หรือธนาคารโลก (World Bank) เพื่อรักษาเสถียรภาพทางการเงินของประเทศ

ข้อสรุปและแนวทางข้างหน้า

กรณีพิพาทระหว่างบริษัทน้ำอูพาวเวอร์และการไฟฟ้าลาวเป็นตัวอย่างของความซับซ้อนของโครงการโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ที่มีการลงทุนข้ามชาติ และยังสะท้อนถึงปัญหาทางการเงินที่ลาวกำลังเผชิญในปัจจุบัน

ในระยะสั้น ลาวอาจต้องหาทางออกผ่านการเจรจากับจีนเพื่อลดภาระหนี้ หรือหาทางปรับโครงสร้างทางการเงินเพื่อให้สามารถบริหารจัดการทรัพยากรของประเทศได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ส่วนในระยะยาว อาจจำเป็นต้องมีการปฏิรูปด้านเศรษฐกิจและนโยบายทางการเงิน เพื่อให้ประเทศสามารถพึ่งพาตัวเองได้มากขึ้น และลดการพึ่งพาเงินทุนจากต่างชาติ

ในขณะที่มุมมองจากฝั่งจีนคือการรักษาความมั่นคงของการลงทุนและการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน แต่ในมุมของนักวิเคราะห์ตะวันตก อาจเห็นว่าการลงทุนดังกล่าวเป็นเครื่องมือเชิงยุทธศาสตร์ของจีนที่ช่วยเสริมสร้างอิทธิพลทางเศรษฐกิจและการเมืองในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งเป็นประเด็นที่ยังคงต้องจับตามองอย่างใกล้ชิดในอนาคต

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : reuters

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News