Categories
SOCIETY & POLITICS

พายุ “วิภา” จ่อเชียงราย! ผู้ว่าฯ นำทัพตรวจน้ำ มทบ.37 เตรียมพร้อมรับมือ 24 ชม.

เชียงรายเฝ้าระวังน้ำ “วิภา” ไม่ประมาท! ผู้ว่าฯ ลงพื้นที่แม่น้ำกก-อิง ยันระดับน้ำลด – มทบ.37 เตรียมกำลังพลพร้อมรับมือ 24 ชั่วโมง

เชียงราย, 18 กรกฎาคม 2568 – ติดตามสถานการณ์อย่างเข้มข้นรับมือพายุ “วิภา” ฝนหนักกลางเดือนกรกฎาคม จังหวัดเชียงรายยังคงเดินหน้าติดตามสถานการณ์น้ำอย่างต่อเนื่อง หลังจากที่กรมอุตุนิยมวิทยาออกประกาศเตือนอิทธิพลของพายุโซนร้อน “วิภา” ซึ่งคาดว่าจะส่งผลกระทบให้ภาคเหนือมีฝนตกหนักระลอกใหม่ โดยเฉพาะในช่วงกลางเดือนกรกฎาคม 2568 ที่สถานการณ์น้ำเป็นสิ่งที่ต้องจับตามองเป็นพิเศษ เพราะเชียงรายมีแม่น้ำสายหลักหลายสายไหลผ่านใจกลางเมือง และเคยประสบเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่ในอดีต

ในภาวะเสี่ยงนี้ นายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย จึงนำคณะเจ้าหน้าที่ลงพื้นที่สำรวจและติดตามระดับน้ำในแม่น้ำกกและแม่น้ำอิงด้วยตนเอง เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับประชาชนว่ารัฐบาลจังหวัดไม่ประมาทและเตรียมพร้อมอย่างเต็มที่ ขณะที่ มณฑลทหารบกที่ 37 หรือ มทบ.37 ได้สั่งตรวจความพร้อมกำลังพลและยุทโธปกรณ์ สนับสนุนการบรรเทาสาธารณภัยตลอด 24 ชั่วโมง

แม่น้ำกก ระดับน้ำลดต่อเนื่อง สัญญาณบวกต่อเมืองเชียงราย

เมื่อเวลา 13.00 น. วันที่ 18 กรกฎาคม 2568 นายชรินทร์ ทองสุข พร้อมด้วยนายทวีชัย โค้วตระกูล ผู้อำนวยการโครงการชลประทานเชียงราย และเจ้าหน้าที่สำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดเชียงราย ได้ร่วมลงพื้นที่ตรวจสอบสถานการณ์ระดับน้ำในแม่น้ำกก บริเวณใต้สะพานขัวพญามังราย เขตเทศบาลนครเชียงราย ซึ่งเป็นหนึ่งในจุดยุทธศาสตร์สำคัญของระบบเฝ้าระวังน้ำหลาก

จากการตรวจสอบพบว่า ระดับน้ำแม่น้ำกกยังคงลดลงอย่างต่อเนื่อง โดยที่สถานีสะพานพ่อขุนเม็งราย ต.แม่ยาว อ.เมืองเชียงราย ระดับน้ำวัดได้ 4.72 เมตร (ณ เวลา 12.00 น.) ต่ำกว่าเกณฑ์วิกฤติที่ 5.50 เมตร ส่วนที่สถานีสะพานขัวพญามังราย (ชุมชนบ้านใหม่) ต.ริมกก วัดได้ 3.30 เมตร ต่ำกว่าเกณฑ์วิกฤติที่ 5.00 เมตร เช่นกัน

นายชรินทร์ ทองสุข เปิดเผยว่า “จังหวัดเชียงรายได้ติดตามสถานการณ์น้ำอย่างใกล้ชิดและมีการประชุมร่วมทุกวัน พร้อมกับแจ้งเตือนประชาชนในพื้นที่เสี่ยง โดยเฉพาะริมแม่น้ำกกให้เฝ้าระวัง แต่ไม่ควรตื่นตระหนก และขอให้ติดตามข้อมูลจากทางราชการเป็นหลัก”

ด้านนายทวีชัย โค้วตระกูล ผู้อำนวยการโครงการชลประทานเชียงราย ระบุว่า ขณะนี้ได้เปิดบานประตูระบายน้ำทั้ง 11 บานเต็มที่ และใช้ระบบติดตามน้ำ 24 ชั่วโมง หากพบว่าน้ำจากต้นน้ำ (อำเภอแม่อาย) มีปริมาณมากขึ้น จะสามารถคำนวณเวลาและแจ้งเตือนล่วงหน้าได้ทัน (ประมาณ 10–12 ชั่วโมงถึงตัวเมืองเชียงราย)

นอกจากนี้ ยังได้ดำเนินการขุดลอกลำน้ำกกในจุดวิกฤติ เพื่อขจัดเนินทรายที่ขวางทางน้ำ ทำให้การไหลของน้ำในช่วงสะพานฮ่องอ้อถึงหาดเชียงรายคล่องตัวมากขึ้น ลดความเสี่ยงจากน้ำล้นตลิ่งในพื้นที่ลุ่มต่ำ ช่วยเพิ่มความมั่นใจในการป้องกันน้ำท่วม

แม่น้ำอิง ระดับน้ำยังต่ำกว่าค่าวิกฤติ แต่คงเฝ้าระวังอย่างเข้มข้น

ในช่วงบ่ายวันเดียวกัน นายชรินทร์ ทองสุข พร้อมคณะ ได้ออกตรวจติดตามสถานการณ์น้ำในแม่น้ำอิง เขตอำเภอเทิง โดยลงพื้นที่สถานีเตือนภัยบ้านสันทรายงาม ตำบลสันทรายงาม อำเภอเทิง ซึ่งเป็นหนึ่งในพื้นที่เฝ้าระวังสำคัญ

จากการตรวจวัดระดับน้ำในแม่น้ำอิง พบว่าอยู่ที่ 8.462 เมตร ซึ่งต่ำกว่าระดับวิกฤติ แต่ยังต้องจับตาอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะในช่วงวันที่ 19-24 กรกฎาคม ที่กรมอุตุนิยมวิทยาคาดการณ์ว่าจะมีฝนตกหนักจากอิทธิพลของพายุ “วิภา” ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงรายจึงสั่งการให้เจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน และผู้นำองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นร่วมมือกันเฝ้าระวัง พร้อมเตรียมความพร้อมอุปกรณ์และบุคลากรสำหรับให้ความช่วยเหลือทันทีหากเกิดสถานการณ์ฉุกเฉิน

มณฑลทหารบกที่ 37 ปลุกศักยภาพ “บรรเทาสาธารณภัย” เตรียมเคลื่อนกำลังภายใน 1 ชั่วโมง

ในช่วงบ่ายวันเดียวกัน ที่กองบัญชาการมณฑลทหารบกที่ 37 ค่ายเม็งรายมหาราช พลตรี จักรวีร์ เสนีย์วรยุทธ์ ผู้บัญชาการมทบ.37 ได้สั่งตรวจความพร้อมของชุดปฏิบัติการบรรเทาสาธารณภัย นำโดยพันเอก บุรฉัตร ภูนาเมือง หัวหน้าฝ่ายกิจการพลเรือน ซึ่งประกอบด้วยเจ้าหน้าที่ 36 นาย จากหลายหน่วยงาน เช่น โรงพยาบาลค่ายเม็งรายมหาราช กองร้อยทหารสารวัตร และแผนกยุทธโยธา พร้อมยานพาหนะปฏิบัติการ 5 คัน

การตรวจความพร้อมในครั้งนี้ เพื่อให้แน่ใจว่าหากได้รับคำสั่ง หน่วยจะสามารถเคลื่อนย้ายกำลังพล ยานพาหนะ และยุทโธปกรณ์ไปช่วยเหลือประชาชนได้ภายใน 1 ชั่วโมง พลตรี จักรวีร์ เน้นย้ำว่า “กำลังพลทุกนายต้องคำนึงถึงความปลอดภัยในการปฏิบัติงาน พร้อมสนับสนุนการบูรณาการทำงานกับจังหวัดและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องตลอด 24 ชั่วโมง”

เชียงราย “ไม่ประมาท” บูรณาการทุกภาคส่วน รับมือสถานการณ์น้ำ

เหตุการณ์ครั้งนี้ชี้ให้เห็นถึงความพร้อมและความเข้มแข็งของจังหวัดเชียงราย ในการบริหารจัดการภัยพิบัติและตอบสนองต่อสถานการณ์ฉุกเฉินในยุคที่สภาพอากาศเปลี่ยนแปลงบ่อยขึ้นอย่างรวดเร็ว
จุดแข็งที่เห็นได้ชัด ได้แก่

  • การติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด: ผู้ว่าราชการจังหวัดลงพื้นที่ตรวจสอบด้วยตนเองและประชุมร่วมกับหน่วยงานต่างๆ อย่างต่อเนื่อง
  • การบริหารจัดการน้ำ: โครงการชลประทานใช้วิธีบริหารประตูระบายน้ำ ขุดลอกแม่น้ำ และใช้ระบบเตือนภัยแบบเรียลไทม์
  • การสื่อสารกับประชาชน: มีการแจ้งเตือนผ่านสื่อท้องถิ่น และเน้นย้ำให้ประชาชนไม่ตื่นตระหนกแต่ควรเตรียมพร้อม
  • ความพร้อมของหน่วยทหาร: มทบ.37 สามารถระดมกำลังเข้าช่วยเหลือภายในเวลา 1 ชั่วโมงหลังรับแจ้ง
  • การประสานงานทุกภาคส่วน: จากฝ่ายจังหวัด ชลประทาน ปภ. กำนัน-ผู้ใหญ่บ้าน จนถึงกองทัพ สะท้อนความเข้าใจในบทเรียนอดีต และมุ่งเน้นการป้องกันมากกว่าการเยียวยา

ข้อควรจับตา:

  • การเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศที่คาดเดาได้ยาก อาจเปลี่ยนสถานการณ์ได้อย่างรวดเร็ว
  • พื้นที่เสี่ยงน้ำป่า ดินถล่ม และลุ่มต่ำริมแม่น้ำยังคงต้องเฝ้าระวัง
  • การนำข้อมูลและเทคโนโลยีใหม่ๆ มาพัฒนา “ระบบแจ้งเตือนภัยล่วงหน้า” ให้มีประสิทธิภาพสูงสุด

บทเรียนจากอดีตคือการ “ไม่ประมาท” และการบูรณาการทุกภาคส่วนอย่างมีแผนงาน จะเป็นหัวใจสำคัญในการปกป้องชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนเชียงรายอย่างแท้จริง

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
  • สำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดเชียงราย
  • โครงการชลประทานเชียงราย
  • ส่วนอุทกวิทยาที่ 2 เชียงราย สำนักงานทรัพยากรน้ำที่ 1 กรมทรัพยากรน้ำ
  • มณฑลทหารบกที่ 37
  • กรมอุตุนิยมวิทยา
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI NEWS UPDATE

ส่งเครื่องผลักดันน้ำถึงเชียงราย ผลักดันน้ำ 1.15 ลบ.ม.ต่อวินาที

 

เมื่อวันที่ 23 สิงหาคม 2567 เวลา 17.00 น. ว่าที่ ร.ต. ศราวุธ จันทวงศ์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย ได้ลงพื้นที่อำเภอเชียงของเพื่อติดตามการประกอบและติดตั้งเครื่องผลักดันน้ำ ซึ่งเป็นมาตรการสำคัญในการรับมือกับสถานการณ์น้ำท่วมที่กำลังทวีความรุนแรงในจังหวัดเชียงราย โดยเฉพาะในพื้นที่ลุ่มน้ำอิงที่มีปริมาณน้ำมหาศาลไหลมาจากจังหวัดพะเยา ผ่านอำเภอเทิงและอำเภอขุนตาล เพื่อให้สามารถระบายน้ำลงสู่ลำน้ำโขงได้อย่างรวดเร็วที่สุด

นายทวีชัย โค้วตระกูล ผู้อำนวยการโครงการชลประทานเชียงราย เปิดเผยว่า โครงการชลประทานเชียงรายได้รับการสนับสนุนเครื่องผลักดันน้ำจำนวน 10 เครื่องจากกรมชลประทาน เพื่อแก้ไขปัญหาอุทกภัยในจังหวัดเชียงราย โดยเครื่องผลักดันน้ำนี้มีความสามารถในการสูบหรือผลักดันน้ำได้ที่อัตรา 1.15 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที ระยะยกน้ำ 1.2 เมตร และใช้พลังงาน 25 กิโลวัตต์ ซึ่งเครื่องดังกล่าวถูกออกแบบมาเพื่อใช้งานในพื้นที่ที่มีความเร็วน้ำไม่เกิน 1.8 เมตรต่อวินาที

การติดตั้งเครื่องผลักดันน้ำกำลังดำเนินการอย่างเร่งด่วน ณ จุดบ้านเต๋น หมู่ที่ 8 ตำบลสถาน อำเภอเชียงของ ซึ่งเป็นจุดสำคัญในการระบายน้ำจากแม่น้ำอิงลงสู่แม่น้ำโขง การดำเนินการนี้เป็นการตอบสนองต่อสถานการณ์น้ำท่วมหนักที่เกิดขึ้นในจังหวัดเชียงรายปี 2567 ที่สร้างความเสียหายอย่างรุนแรงต่อพื้นที่หลายอำเภอ

ในปี 2567 จังหวัดเชียงรายเผชิญกับเหตุการณ์น้ำท่วมอย่างต่อเนื่องจากปริมาณฝนที่ตกหนักเกินกว่าปกติ ส่งผลให้หลายพื้นที่ในจังหวัดต้องประสบกับปัญหาน้ำป่าไหลหลากและดินสไลด์ พื้นที่ที่ได้รับผลกระทบหนักที่สุดได้แก่ อำเภอเทิง อำเภอขุนตาล และอำเภอเชียงของ ซึ่งเส้นทางน้ำจากจังหวัดพะเยาไหลมาบรรจบกับแม่น้ำโขง ทำให้การระบายน้ำเป็นไปได้ยากและทำให้ระดับน้ำในพื้นที่ดังกล่าวเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว

เพื่อรับมือกับสถานการณ์อุทกภัยที่รุนแรงนี้ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ร่วมมือกันในการติดตั้งเครื่องผลักดันน้ำอย่างรวดเร็ว และจะมีการติดตามการทำงานของเครื่องผลักดันน้ำอย่างใกล้ชิด เพื่อให้สามารถระบายน้ำออกจากพื้นที่น้ำท่วมได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ซึ่งสามารถช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วมได้อย่างทันท่วงที นอกจากนี้ยังเน้นย้ำถึงความสำคัญของการเตรียมความพร้อมรับมือกับภัยพิบัติธรรมชาติในอนาคต โดยจะมีการทบทวนและปรับปรุงแผนการจัดการอุทกภัยในพื้นที่ที่มีความเสี่ยงสูง

โดยการเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับระบบชลประทานในพื้นที่เสี่ยงภัย พร้อมทั้งส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัยในการควบคุมและบริหารจัดการน้ำ เพื่อลดความเสี่ยงจากอุทกภัยในอนาคต

สถานการณ์น้ำท่วมในจังหวัดเชียงรายปี 2567 เป็นการเตือนภัยที่ชัดเจนถึงผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และการใช้ทรัพยากรธรรมชาติอย่างไม่ยั่งยืน หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจึงต้องร่วมมือกันอย่างใกล้ชิดในการแก้ไขปัญหาและสร้างความตระหนักรู้ให้กับประชาชนถึงความสำคัญของการดูแลรักษาสิ่งแวดล้อม เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ซ้ำอีกในอนาคต.

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ทีมข่าวนครเชียงรายนิวส์

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

พัฒนาเวียงหนองหล่ม ปล่อยปลา แสนตัว พร้อมปลูกต้นไม้ 200,000 ต้น

 

เมื่อวันที่ 17 มิ.ย. 67 ณ โครงการพัฒนาแก้มลิงเวียงหนองล่มพร้อมอาคารประกอบ ตำบลจันจว้า อำเภอแม่จัน จังหวัดเชียงราย ว่าที่ ร.ต. ศราวุธ จันทวงศ์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เป็นประธานในพิธีเปิดโครงการพัฒนา 72 สายน้ำ อย่างยั่งยืน เฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 28 กรกฎาคม 2567 เพื่อเฉลิมพระเกียรติและสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และขับเคลื่อนการบริหารจัดการน้ำ บรรเทาความเดือดร้อนให้กับประชาชน รวมถึงสร้างการรับรู้ให้ผู้ใช้น้ำเกิดความตระหนักถึงคุณค่าของทรัพยากรน้ำ โดยมี หัวหน้าส่วนราชการ เจ้าหน้าที่ และประชาชนจิตอาสาร่วมพิธี

 

โครงการพัฒนา 72 สายน้ำ อย่างยั่งยืน เฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 28 กรกฎาคม 2567 เป็นการบูรณาการร่วมกันระหว่าง 5 กระทรวง ประกอบด้วย กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงกลาโหม กระทรวงยุติธรรม กระทรวงมหาดไทย และกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยดำเนินการขุดลอกคลองส่งน้ำ จำนวน 30 แห่ง ขุดลอกอ่างเก็บน้ำ จำนวน 14 แห่ง และก่อสร้างแหล่งน้ำและระบบส่งน้ำ เพื่อชุมชนและพื้นที่ห่างไกล จำนวน 28 แห่ง และได้ Kick off ถ่ายทอดสัญญาณพิธีเปิดพร้อมกัน 28 แห่งทั่วประเทศ หลังจากเสร็จสิ้นพิธีเปิดได้ร่วมกันปลูกต้นไม้ ปล่อยพันธุ์ปลาตะเพียนจำนวน 72,000 ตัว ปลูกหญ้าแฝกเพื่อการอนุรักษ์ดินและน้ำ และร่วมกันหว่านหญ้าบริเวณพื้นที่เวียงหนองหล่ม เพื่อสร้างเป็นแหล่งอาหารให้กับโค กระบือ ในพื้นที่

 

สำหรับ เวียงหนองหล่ม เป็นแหล่งน้ำธรรมชาติขนาดใหญ่ มีพื้นที่ประมาณ 14,000 ไร่ ครอบคลุมพื้นที่ 2 อำเภอ 4 ตำบล โดยโครงการชลประทานเชียงราย ได้บูรณาการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องวางแผนพัฒนาแหล่งน้ำ มุ่งเน้นสร้างศักยภาพทางด้านน้ำอย่างยั่งยืน ด้วยการดำเนินโครงการพัฒนาแก้มลิงเวียงหนองหล่มพร้อมอาคารประกอบ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการเก็บกักน้ำให้ได้มากยิ่งขึ้น หากโครงการฯ ดำเนินการแล้วเสร็จ จะสามารถเพิ่มปริมาณเก็บกักน้ำได้ถึง 20 ล้านลูกบาศก์เมตร สนับสนุนพื้นที่เกษตรกรรม 11,000 ไร่ อีกทั้งยังเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ ช่วยสร้างรายได้เชิงท่องเที่ยวให้กับชุมชนได้อีกทางหนึ่งด้วย

 
 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News