Categories
AROUND CHIANG RAI TOP STORIES

คืบหน้า! รื้ออาคารริมน้ำสาย สร้างกำแพง ขุดลอก ไทย-เมียนมา

การแก้ไขปัญหาน้ำท่วมแม่น้ำสาย: ความคืบหน้าการรื้อถอนและก่อสร้างพนังกั้นน้ำ

เชียงราย, 10 พฤษภาคม 2568 – ปัญหาน้ำท่วมในพื้นที่ชายแดนไทย-เมียนมา โดยเฉพาะบริเวณแม่น้ำสาย ซึ่งเป็นเส้นแบ่งเขตแดนสำคัญระหว่างอำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย ประเทศไทย และจังหวัดท่าขี้เหล็ก เมียนมา ได้กลายเป็นประเด็นที่ได้รับความสนใจอย่างกว้างขวางในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เหตุการณ์น้ำท่วมครั้งใหญ่เมื่อปลายปี 2567 ได้สร้างความเสียหายอย่างหนักต่อชุมชนริมแม่น้ำทั้งสองฝั่ง ส่งผลให้ทั้งสองประเทศตกลงร่วมกันดำเนินมาตรการเร่งด่วนเพื่อป้องกันภัยพิบัติในอนาคต การรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างที่รุกล้ำลำน้ำและการก่อสร้างพนังกั้นน้ำ รวมถึงการขุดลอกแม่น้ำสายและแม่น้ำรวก ได้กลายเป็นภารกิจสำคัญที่ต้องเร่งดำเนินการให้ทันก่อนฤดูฝนปี 2568

ความท้าทายจากน้ำท่วมและสิ่งปลูกสร้างรุกล้ำ

แม่น้ำสาย ซึ่งไหลผ่านพื้นที่ชายแดนไทย-เมียนมา เป็นทั้งเส้นชีวิตและภัยคุกคามต่อชุมชนในอำเภอแม่สายและจังหวัดท่าขี้เหล็ก ในช่วงฤดูฝน แม่น้ำสายมักเอ่อล้นเข้าท่วมพื้นที่อยู่อาศัยและย่านการค้า สร้างความเสียหายต่อทรัพย์สินและการดำรงชีวิตของประชาชน เหตุการณ์น้ำท่วมครั้งใหญ่เมื่อปลายปี 2567 ได้เน้นย้ำถึงความจำเป็นในการแก้ไขปัญหาอย่างยั่งยืน โดยเฉพาะการจัดการสิ่งปลูกสร้างที่รุกล้ำลำน้ำ ซึ่งเป็นอุปสรรคต่อการไหลของน้ำและการก่อสร้างพนังกั้นน้ำ

เพื่อตอบสนองต่อปัญหานี้ ประเทศไทยและเมียนมาได้ตกลงร่วมกันเมื่อวันที่ 15 เมษายน 2568 เพื่อดำเนินโครงการขุดลอกแม่น้ำและก่อสร้างพนังกั้นน้ำตลอดแนวที่เคยเกิดน้ำท่วม โดยกำหนดกรอบเวลาการดำเนินงานระหว่างวันที่ 15 เมษายนถึง 20 มิถุนายน 2568 อย่างไรก็ตาม ความท้าทายสำคัญคือการที่เจ้าของอาคารหลายแห่งริมแม่น้ำสายในฝั่งไทยปฏิเสธที่จะให้ความร่วมมือในการรื้อถอน ทำให้เจ้าหน้าที่ทหารจากกรมการทหารช่างไม่สามารถเข้าปรับพื้นที่เพื่อตอกเสาเข็มและวางพนังกั้นน้ำได้ตามแผน

ความคืบหน้าในการรื้อถอนและก่อสร้าง

เมื่อวันที่ 10 พฤษภาคม 2568 นายวรายุทธ ค่อมบุญ นายอำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย ได้มอบหมายให้ทีมงานนำโดยนายสิทธิศักดิ์ อินใจคำ ปลัดอำเภอหัวหน้ากลุ่มงานบริหารงานปกครอง และนายปวเรศ ปัญญายงค์ ปลัดอำเภอกลุ่มงานความมั่นคง จัดประชุมหารือร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กรมเจ้าท่า กรมที่ดิน กรมป่าไม้ และหน่วยงานอื่น ๆ เพื่อแก้ไขปัญหาสิ่งปลูกสร้างที่รุกล้ำลำน้ำสาย การประชุมครั้งนี้ถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญ เมื่อเจ้าของอาคารแห่งหนึ่งในหมู่ 7 ตำบลแม่สาย อำเภอแม่สาย ได้ยินยอมให้รื้อถอนบางส่วนของอาคารเพื่อเป็นการนำร่อง ช่วยให้ลำน้ำสายกว้างขึ้นและเอื้อต่อการก่อสร้างพนังกั้นน้ำ

ผลจากการประชุม เจ้าหน้าที่ได้จัดทำ “บันทึกแสดงความยินยอมให้รื้อถอนสิ่งปลูกสร้าง” เพื่อบันทึกความยินยอมของเจ้าของอาคาร โดยก่อนหน้านี้ เจ้าหน้าที่ได้เจรจากับเจ้าของอาคาร 14 รายบริเวณฝั่งซ้ายของสะพานมิตรภาพไทย-เมียนมาแห่งที่ 1 ซึ่งข้ามแม่น้ำสาย โดยสามารถเจรจาสำเร็จกับ 11 ราย และส่งจดหมายแจ้งเตือนถึง 3 รายที่เหลือ หลังพบว่าอาคารเหล่านี้ตั้งอยู่บนที่ดินของกรมธนารักษ์ ซึ่งได้ยกเลิกสัญญาเช่าเดิมและดำเนินการรื้อถอนเพื่อเริ่มก่อสร้าง

ความคืบหน้าในการก่อสร้างพนังกั้นน้ำฝั่งไทยขณะนี้อยู่ที่ประมาณ 20% ซึ่งเร็วกว่าแผนงานที่วางไว้ 0.18% เจ้าหน้าที่กรมการทหารช่างได้ปรับพื้นที่ริมฝั่งแม่น้ำและเริ่มตอกเสาเข็ม โดยเสาเข็มแต่ละต้นห่างกันประมาณ 1 เมตร ลึกลงในดิน 4 เมตร และสูงเหนือพื้นดิน 3 เมตร ครอบคลุมระยะทางประมาณ 3 กิโลเมตร การดำเนินงานนี้มุ่งเน้นที่การสร้างพนังกั้นน้ำชั่วคราวกึ่งถาวรเพื่อป้องกันน้ำท่วมในฤดูฝนที่กำลังจะมาถึง

ในส่วนของการรื้อถอน หนึ่งในความสำเร็จที่โดดเด่นคือการรื้อถอนอาคารที่ใช้เป็นโกดังเก็บรถในซอยก๋วยเตี๋ยวสุโขทัยเก่า ตลาดสายลมจอย อำเภอแม่สาย ซึ่งตั้งอยู่ติดลำน้ำสาย การรื้อถอนนี้ดำเนินการโดยทีมทหารช่างและได้รับความร่วมมือจากเจ้าของอาคาร ช่วยคืนพื้นที่ให้กับลำน้ำและสนับสนุนการก่อสร้างพนังกั้นน้ำ

ความท้าทายจากฝั่งเมียนมาและการขุดลอกแม่น้ำ

ในขณะที่ฝั่งไทยมีความคืบหน้าอย่างเห็นได้ชัด การดำเนินงานในฝั่งเมียนมา โดยเฉพาะการขุดลอกแม่น้ำสายในพื้นที่รับผิดชอบระยะทาง 12.8 กิโลเมตร ยังไม่เริ่มต้น อย่างไรก็ตาม จากการประสานงานล่าสุดระหว่างจังหวัดเชียงรายและจังหวัดท่าขี้เหล็ก ทางการเมียนมาได้ยืนยันว่าจะดำเนินการขุดลอกให้แล้วเสร็จตามกำหนดเวลา ซึ่งเป็นสัญญาณเชิงบวกต่อความร่วมมือข้ามพรมแดน

สำหรับการขุดลอกแม่น้ำรวก ซึ่งเป็นความรับผิดชอบของฝ่ายไทย กรมการทหารช่างและกองทัพภาคที่ 3 ได้แบ่งหน้าที่กันขุดลอกในระยะทางรวม 32 กิโลเมตร โดยกองทัพภาคที่ 3 รับผิดชอบ 14 กิโลเมตร และกรมการทหารช่างรับผิดชอบ 18 กิโลเมตร ปัจจุบันการขุดลอกมีความคืบหน้าไปแล้วประมาณ 9% ซึ่งเร็วกว่าแผนงาน 0.51% ดินที่ขุดได้ถูกนำขึ้นมาฝั่งไทยเพื่อใช้ในการปรับพื้นที่และสนับสนุนการก่อสร้างพนังกั้นน้ำ

การตรวจติดตามและการวิเคราะห์

เมื่อวันที่ 9 พฤษภาคม 2568 นายประสงค์ หล้าอ่อน รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย พร้อมด้วยผู้แทนจากนายอำเภอแม่สาย กรมการทหารช่าง และเทศบาลตำบลแม่สาย ได้ลงพื้นที่ตรวจติดตามความคืบหน้าการก่อสร้างแนวป้องกันตลิ่งชั่วคราวกึ่งถาวรบริเวณลำน้ำสาย ตั้งแต่ตลาดสายลมจอยถึงหัวฝาย การตรวจครั้งนี้เน้นย้ำถึงความสำคัญของการดำเนินงานให้แล้วเสร็จก่อนฤดูฝน รวมถึงการรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างที่เป็นอุปสรรคต่อการก่อสร้าง

การวิเคราะห์สถานการณ์ชี้ให้เห็นว่า ความสำเร็จของโครงการนี้ขึ้นอยู่กับความร่วมมือจากทุกภาคส่วน โดยเฉพาะเจ้าของอาคารริมน้ำ การที่เจ้าของอาคารบางรายเริ่มให้ความร่วมมือถือเป็นสัญญาณที่ดี แต่ความล่าช้าในฝั่งเมียนมาอาจส่งผลต่อประสิทธิภาพของการป้องกันน้ำท่วมในภาพรวม นอกจากนี้ การเร่งดำเนินการก่อสร้างพนังกั้นน้ำและขุดลอกแม่น้ำให้ทันก่อนฤดูฝนจะเป็นตัวชี้วัดความสำเร็จของความพยายามนี้

จุดแข็งของโครงการคือการประสานงานระหว่างหน่วยงานต่าง ๆ ในฝั่งไทย ซึ่งรวมถึงฝ่ายปกครอง ทหาร และหน่วยงานท้องถิ่น ที่ทำงานร่วมกันอย่างเป็นระบบ อย่างไรก็ตาม ความท้าทายยังคงอยู่ที่การจัดการกับสิ่งปลูกสร้างที่เหลือและการรับประกันว่าฝั่งเมียนมาจะดำเนินการตามที่สัญญาไว้ การใช้เทคโนโลยีและการวางแผนอย่างรอบคอบ เช่น การตอกเสาเข็มที่ออกแบบมาเพื่อความแข็งแรงและความยั่งยืน แสดงถึงความมุ่งมั่นในการสร้างโครงสร้างพื้นฐานที่สามารถต้านทานภัยพิบัติในอนาคตได้

มุ่งสู่อนาคตที่ปลอดภัยจากน้ำท่วม

ความคืบหน้าในการรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างและการก่อสร้างพนังกั้นน้ำในฝั่งไทย รวมถึงการขุดลอกแม่น้ำรวก ถือเป็นก้าวสำคัญในการแก้ไขปัญหาน้ำท่วมแม่น้ำสาย การตอกเสาเข็มต้นแรกเมื่อวันที่ 10 พฤษภาคม 2568 เป็นสัญลักษณ์ของความมุ่งมั่นในการปกป้องชุมชนจากภัยพิบัติในอนาคต การที่เจ้าของอาคารเริ่มให้ความร่วมมือมากขึ้นและการประสานงานข้ามพรมแดนที่เริ่มเห็นผล บ่งชี้ถึงศักยภาพของโครงการนี้ในการสร้างความมั่นคงให้กับพื้นที่ชายแดน

อย่างไรก็ตาม การแก้ไขปัญหานี้ในระยะยาวจะต้องอาศัยความร่วมมืออย่างต่อเนื่องจากทั้งสองประเทศ รวมถึงการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานที่ยั่งยืนและการจัดการทรัพยากรน้ำอย่างมีประสิทธิภาพ การที่ฝั่งเมียนมารับปากว่าจะดำเนินการขุดลอกให้แล้วเสร็จตามกำหนดเป็นความหวังสำหรับความสำเร็จของโครงการนี้ แต่ความท้าทายในด้านการเมืองและการบริหารภายในเมียนมาอาจเป็นปัจจัยที่ต้องจับตา

ในอนาคต การสร้างพนังกั้นน้ำที่สมบูรณ์และการขุดลอกแม่น้ำสายให้ครอบคลุมทั้งสองฝั่งจะช่วยลดความเสี่ยงจากน้ำท่วมและส่งเสริมการพัฒนาเศรษฐกิจในพื้นที่ชายแดน การรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างที่รุกล้ำลำน้ำไม่เพียงแต่คืนพื้นที่ให้กับธรรมชาติ แต่ยังเป็นการยืนยันถึงความสำคัญของการจัดการทรัพยากรอย่างรับผิดชอบเพื่อประโยชน์ของชุมชนทั้งสองฝั่งแม่น้ำ

สถิติและแหล่งอ้างอิง

  1. ความคืบหน้าการก่อสร้างพนังกั้นน้ำฝั่งไทย:
    • ความคืบหน้า: 20% (เร็วกว่าแผนงาน 0.18%)
    • ระยะทาง: 3 กิโลเมตร
    • รายละเอียดเสาเข็ม: ห่างกัน 1 เมตร ลึก 4 เมตร สูงเหนือพื้นดิน 3 เมตร
    • แหล่งที่มา: รายงานจากกรมการทหารช่าง, 10 พฤษภาคม 2568
  2. การขุดลอกแม่น้ำรวก (ฝั่งไทย):
    • ความคืบหน้า: 9% (เร็วกว่าแผนงาน 0.51%)
    • ระยะทางรวม: 32 กิโลเมตร (กองทัพภาคที่ 3: 14 กิโลเมตร, กรมการทหารช่าง: 18 กิโลเมตร)
    • แหล่งที่มา: รายงานจากกองทัพภาคที่ 3 และกรมการทหารช่าง, 10 พฤษภาคม 2568
  3. การรื้อถอนสิ่งปลูกสร้าง:
    • เจรจากับเจ้าของอาคาร: 14 ราย (สำเร็จ 11 ราย, ส่งจดหมาย 3 ราย)
    • ตัวอย่าง: การรื้อถอนโกดังเก็บรถในซอยก๋วยเตี๋ยวสุโขทัยเก่า ตลาดสายลมจอย
    • แหล่งที่มา: รายงานจากอำเภอแม่สาย, 10 พฤษภาคม 2568
  4. ความรับผิดชอบฝั่งเมียนมา:
    • ระยะทางขุดลอก: 12.8 กิโลเมตร (ยังไม่เริ่มดำเนินการ)
    • แหล่งที่มา: รายงานการประสานงานระหว่างจังหวัดเชียงรายและจังหวัดท่าขี้เหล็ก, 10 พฤษภาคม 2568

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • รายงานจากกรมการทหารช่าง, 10 พฤษภาคม 2568
  •  รายงานจากกองทัพภาคที่ 3 และกรมการทหารช่าง, 10 พฤษภาคม 2568
  •  รายงานจากอำเภอแม่สาย, 10 พฤษภาคม 2568
  •  รายงานการประสานงานระหว่างจังหวัดเชียงรายและจังหวัดท่าขี้เหล็ก, 10 พฤษภาคม 2568
  • สมบัติ คำลือ
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI TOP STORIES

มท.4 ลุยแม่สาย ตามปม สารหนู-ตะกั่ว เร่งสร้างพนังกั้นน้ำ

เชียงรายเผชิญวิกฤตมลพิษข้ามพรมแดน สารหนู-ตะกั่วปนเปื้อนแม่น้ำสาย กระทบประชาชนกว่าแสนคน

เชียงราย, 6 พฤษภาคม 2568 — จังหวัดเชียงรายกำลังเผชิญกับวิกฤตมลพิษข้ามพรมแดนอย่างรุนแรง หลังจากการตรวจพบสารหนูและสารตะกั่วปนเปื้อนในแม่น้ำสาย ซึ่งเป็นแหล่งน้ำสำคัญของพื้นที่ โดยมีการตรวจพบสารหนูในระดับสูงสุดถึง 0.19 มิลลิกรัมต่อลิตร ซึ่งเกินค่ามาตรฐานที่กำหนดไว้ที่ 0.01 มิลลิกรัมต่อลิตรถึง 19 เท่า

การลงพื้นที่ของรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย

เมื่อวันที่ 6 พฤษภาคม 2568 เวลา 16.30 น. นางสาวธีรรัตน์ สำเร็จวาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย ได้ลงพื้นที่อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย เพื่อตรวจติดตามสถานการณ์การปนเปื้อนสารหนูและสารตะกั่วในแม่น้ำสาย รวมถึงการตรวจสอบการสร้างพนังกั้นน้ำริมแม่น้ำสาย โดยมีนายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องร่วมให้ข้อมูล

รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทยได้ตรวจติดตามราชการสำคัญตามนโยบายของรัฐบาลและกระทรวงมหาดไทย ณ อาคารศูนย์บริการประชาชนแบบเบ็ดเสร็จ (OSS) ที่ว่าการอำเภอแม่สาย จากนั้นได้ลงพื้นที่ตรวจสอบสถานการณ์การปนเปื้อนสารหนูและสารตะกั่วในแม่น้ำสาย บริเวณสะพานมิตรภาพแห่งที่ 1 และตรวจเยี่ยมให้กำลังใจผู้ประสบอุทกภัยในพื้นที่ตลาดสายลมจอย รวมถึงตรวจสอบการสร้างพนังกั้นน้ำริมแม่น้ำสาย เพื่อป้องกันน้ำหลากในฤดูฝนที่จะถึงนี้

ผลกระทบต่อประชาชนและสิ่งแวดล้อม

การปนเปื้อนของสารหนูและสารตะกั่วในแม่น้ำสายส่งผลกระทบต่อประชาชนในพื้นที่อย่างกว้างขวาง โดยเฉพาะในด้านสุขภาพและเศรษฐกิจ ชาวบ้านในพื้นที่ริมแม่น้ำสายต้องเผชิญกับปัญหาผื่นคันและอาการผิดปกติทางผิวหนังหลังจากสัมผัสน้ำที่ปนเปื้อน นอกจากนี้ ร้านอาหารและธุรกิจที่พึ่งพาแม่น้ำสายต้องเผชิญกับยอดขายที่ลดลงอย่างมาก เนื่องจากความกังวลของประชาชนเกี่ยวกับความปลอดภัยของอาหารและน้ำ

ต้นเหตุของการปนเปื้อน

จากการสืบสวนพบว่า ต้นเหตุของการปนเปื้อนสารหนูและสารตะกั่วในแม่น้ำสายมาจากกิจกรรมการทำเหมืองแร่ทองคำในพื้นที่ต้นน้ำของประเทศเพื่อนบ้าน โดยเฉพาะในรัฐฉาน ประเทศเมียนมา ซึ่งมีการทำเหมืองแร่โดยนักลงทุนชาวจีนที่ไม่มีระบบการจัดการน้ำเสียอย่างเหมาะสม ทำให้สารพิษจากการสกัดแร่ไหลลงสู่แม่น้ำสายและแม่น้ำกก

มาตรการของภาครัฐ

เพื่อรับมือกับสถานการณ์ดังกล่าว หน่วยงานภาครัฐได้ดำเนินการตรวจสอบคุณภาพน้ำอย่างต่อเนื่อง และแจ้งเตือนประชาชนให้งดใช้น้ำจากแม่น้ำสายโดยตรง รวมถึงการเร่งสร้างพนังกั้นน้ำริมแม่น้ำสายเพื่อป้องกันน้ำหลากในฤดูฝนที่จะถึงนี้

ข้อเสนอแนะและแนวทางแก้ไข

นักวิชาการและภาคประชาชนได้เสนอแนวทางแก้ไขปัญหาในระยะยาว โดยเน้นการเจรจากับประเทศเพื่อนบ้านเพื่อควบคุมกิจกรรมการทำเหมืองแร่ที่เป็นต้นเหตุของการปนเปื้อน รวมถึงการจัดตั้งคณะกรรมการร่วมระหว่างประเทศเพื่อเฝ้าระวังและควบคุมคุณภาพน้ำในแม่น้ำสายและแม่น้ำกก

สถิติที่เกี่ยวข้อง

  • พบสารหนูในแม่น้ำสายสูงสุดถึง 0.19 มิลลิกรัมต่อลิตร ซึ่งเกินค่ามาตรฐานที่กำหนดไว้ที่ 0.01 มิลลิกรัมต่อลิตรถึง 19 เท่า
  • ประชาชนในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากการปนเปื้อนสารหนูและสารตะกั่วในแม่น้ำสายมีจำนวนมากกว่า 120,000 คน
  • มีการตรวจพบสารหนูและสารตะกั่วในแม่น้ำสายและแม่น้ำกกในหลายจุด โดยเฉพาะในบริเวณที่มีการทำเหมืองแร่ทองคำในประเทศเพื่อนบ้าน

บทสรุป

สถานการณ์การปนเปื้อนสารหนูและสารตะกั่วในแม่น้ำสายและแม่น้ำกกในจังหวัดเชียงรายเป็นปัญหาที่ต้องการการแก้ไขอย่างเร่งด่วนและเป็นระบบ โดยต้องอาศัยความร่วมมือระหว่างประเทศและการดำเนินมาตรการที่เข้มงวดเพื่อปกป้องสุขภาพของประชาชนและสิ่งแวดล้อมในระยะยาว

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

น้ำสายทะลัก! ผู้ว่าฯ จี้เมียนมาร์ขุดลอก ทหารเร่งช่วย

สถานการณ์ภัยพิบัติจากอุทกภัยในพื้นที่ชายแดนไทย-เมียนมา โดยเฉพาะพื้นที่อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย ได้รับการจับตามองอย่างใกล้ชิดจากภาครัฐและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

เชียงราย, 2 พฤษภาคม 2568 – นายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย พร้อมด้วย พลโท สิรภพ ศุภวานิช เจ้ากรมการทหารช่าง กองทัพบก ได้ลงพื้นที่เพื่อตรวจติดตามความก้าวหน้าการดำเนินการสร้างแนวป้องกันน้ำท่วมแบบชั่วคราว-กึ่งถาวร ตลอดแนวแม่น้ำสายตั้งแต่ Sta 0+100 ถึง Sta 3+600 โดยการดำเนินการดังกล่าวมีเป้าหมายหลักเพื่อลดผลกระทบจากอุทกภัยในเขตเศรษฐกิจของอำเภอแม่สาย ซึ่งเป็นจุดเชื่อมต่อระหว่างไทยกับประเทศเมียนมา หลังจากที่พื้นที่ดังกล่าวประสบกับปัญหาน้ำท่วมซ้ำซาก โดยเฉพาะในฤดูฝนซึ่งเริ่มมีแนวโน้มรุนแรงขึ้นทุกปี จากสาเหตุหลักที่มาจากการตื้นเขินของลำน้ำสาย อันเนื่องมาจากตะกอนดินจากฝั่งประเทศเมียนมา รวมถึงการรุกล้ำแนวแม่น้ำจากสิ่งปลูกสร้าง

แนวทางการดำเนินงานป้องกันอุทกภัย 5 รูปแบบหลัก

การก่อสร้างแนวป้องกันน้ำในครั้งนี้ ได้ผสมผสานงานก่อสร้างจำนวน 5 รูปแบบหลักที่เหมาะสมกับลักษณะภูมิประเทศและสภาพพื้นที่ ได้แก่:

  1. เขื่อนป้องกันตลิ่งด้วยเข็มไอเสียบแผ่น Precast Panel
  2. แนวกำแพงกันน้ำโดยใช้เสาเหล็กเสียบแผ่นคอนกรีตสำเร็จรูป
  3. กำแพงกันน้ำคอนกรีตเสริมเหล็ก บริเวณใต้สะพานมิตรภาพแห่งที่ 1
  4. โครงเคร่ากรุแผ่นเหล็กเพื่อปิดโพรงน้ำเข้าตามบ้านเรือนประชาชน
  5. แนว Big Bag และการเสริมคันดินให้แข็งแรง

ปัจจุบัน กองทัพบก โดยกรมการทหารช่าง ได้เริ่มดำเนินการสร้างทางลำลองและเตรียมพื้นที่ก่อสร้างภายในลำน้ำสาย โดยกำหนดให้แล้วเสร็จทั้งหมดภายในวันที่ 30 มิถุนายน 2568 เพื่อรองรับปริมาณน้ำในฤดูฝนที่จะมาถึง

ความคืบหน้าการขุดลอกลำน้ำสายและแม่น้ำรวก

ในส่วนของงานขุดลอกแม่น้ำรวก ซึ่งมีความยาวรวม 32 กิโลเมตร แบ่งออกเป็น 2 ส่วนหลัก ได้แก่:

  • หน่วยทหารช่างกองทัพภาคที่ 3 รับผิดชอบดำเนินการขุดลอก 14 กิโลเมตร
  • กรมการทหารช่าง รับผิดชอบอีก 18 กิโลเมตร

การดำเนินงานเริ่มต้นตั้งแต่วันที่ 18 เมษายน 2568 ซึ่งเมื่อถึงวันที่ 30 เมษายน 2568 พบว่าผลความก้าวหน้าคิดเป็น 6.89% จากแผนงานที่วางไว้ 6.2% ซึ่งถือว่าเกินเป้าหมายเล็กน้อย และยังคงกำหนดแผนแล้วเสร็จภายในวันที่ 30 มิถุนายน 2568

สำหรับลำน้ำสายในช่วงตั้งแต่ Sta 0+000 ถึง Sta 12+800 เป็นความรับผิดชอบของฝ่ายเมียนมา ซึ่งจากผลการประชุม Sub-JCR ของทั้งสองฝ่าย ได้มีข้อสรุปว่าจะขุดลอกตามแนวทางการไหลของน้ำตามธรรมชาติ โดยไม่มีการเปลี่ยนแปลงระยะตลิ่งทั้งสองฝั่งแต่อย่างใด

ความร่วมมือระหว่างประเทศและความล่าช้าฝั่งเมียนมา

นายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย ได้กล่าวว่า ฝ่ายเมียนมายังไม่เริ่มกระบวนการขุดลอกลำน้ำสายแต่อย่างใด โดยกระทรวงการต่างประเทศ และกรมกิจการชายแดน ได้รับมอบหมายให้เร่งประสานงานเพื่อให้การดำเนินงานเป็นไปตามแผนร่วมที่ตกลงกันไว้ โดยระบุชัดว่าหากดำเนินการแล้วเสร็จตามกำหนด การป้องกันน้ำท่วมใหญ่ในฤดูฝนปีนี้จะมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

ในด้านแนวทางป้องกันน้ำท่วมฉับพลัน กองทัพได้วางแนว Big Bag ไว้ในจุดเสี่ยง พร้อมทั้งขอความร่วมมือจากประชาชนในการรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างที่รุกล้ำหรือขวางแนวทางน้ำ เพื่อให้การสร้างแนวป้องกันน้ำดำเนินไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ

การลงพื้นที่ของอธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย

เมื่อวันที่ 30 เมษายน 2568 นายภาสกร บุญลักษม์ อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย พร้อมด้วยคณะผู้ว่าราชการจังหวัดและหัวหน้าส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง ได้ลงพื้นที่ติดตามสถานการณ์น้ำท่วมที่บริเวณตลาดสายลมจอย และสะพานมิตรภาพไทย-เมียนมา แห่งที่ 1 อ.แม่สาย หลังเกิดฝนตกหนักจากฝั่งประเทศเมียนมา ทำให้แม่น้ำสายเอ่อล้นเข้าท่วมบ้านเรือนและพื้นที่เศรษฐกิจ

จากการตรวจสอบ พบว่าแม่น้ำสายมีสภาพตื้นเขินอย่างหนัก จากตะกอนดินที่ไหลมาจากพื้นที่ต้นน้ำโดยเฉพาะบริเวณเหมืองแร่ในประเทศเมียนมา ซึ่งยังไม่มีการขุดลอกหรือบำรุงรักษา ส่งผลให้เกิดน้ำหลากแม้มีปริมาณฝนเพียงเล็กน้อย

อธิบดี ปภ. ได้กล่าวว่า แม่น้ำสายในอดีตกว้างถึง 200 เมตร แต่ปัจจุบันแคบลงเหลือไม่ถึง 50 เมตร และยังไม่มีการขุดลอกมาก่อน จึงเป็นเหตุให้น้ำล้นตลิ่งได้ง่าย ซึ่งทางกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยได้หารือกับกรมโยธาธิการและผังเมือง กรมชลประทาน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อจัดทำโครงการระยะยาวในอนาคต รวมถึงเตรียมการประชาคมในพื้นที่เพื่อสร้างความเข้าใจร่วม

การแจ้งเตือนภัยล่วงหน้าและแผนรับมือฝนหนัก

นอกจากนี้ ทางกรม ปภ. ยังได้เริ่มทดสอบระบบแจ้งเตือนภัยผ่านเซลล์บรอดแคสต์ โดยแบ่งออกเป็น 3 ระยะ ได้แก่:

  • วันที่ 2 พฤษภาคม: ทดลองระดับศาลากลางจังหวัด
  • วันที่ 7 พฤษภาคม: ทดลองระดับอำเภอ
  • วันที่ 13 พฤษภาคม: ทดลองระดับจังหวัด

โดยมีการประสานกับผู้ให้บริการโทรศัพท์มือถือในพื้นที่เพื่อประเมินประสิทธิภาพของระบบการแจ้งเตือนและแก้ไขปัญหาการรับสัญญาณ

นายภาสกร ได้กล่าวย้ำว่า การพูดคุยประสานงานกับทางจังหวัดท่าขี้เหล็ก ประเทศเมียนมา ยังจำเป็นต้องใช้กลไกหลายช่องทาง ทั้งระดับผู้ว่าราชการจังหวัดและคณะกรรมการชายแดนระดับท้องถิ่น (TBC) เนื่องจากผลกระทบจากน้ำท่วมจะเกิดขึ้นกับประชาชนในฝั่งเมียนมาอย่างรุนแรงหากไม่มีการขุดลอกแม่น้ำสาย

สถิติที่เกี่ยวข้อง

  • แม่น้ำสายเคยมีความกว้างถึง 200 เมตร ปัจจุบันลดลงเหลือไม่ถึง 50 เมตร (ข้อมูลจากกรมโยธาธิการและผังเมือง, 2568)
  • ความก้าวหน้าการขุดลอกแม่น้ำรวก ณ วันที่ 30 เม.ย. 2568 คิดเป็น 6.89% จากแผนงาน 6.2%
  • ปริมาณฝนตกในเมียนมา วันที่ 29 เม.ย. 2568 ประมาณ 60 มิลลิเมตร (ข้อมูลจากกรมอุตุนิยมวิทยา)
  • แผนการขุดลอกแม่น้ำสายและแม่น้ำรวกของไทย: 32 กม. ให้แล้วเสร็จภายใน 30 มิ.ย. 2568 (ข้อมูลจากกรมการทหารช่าง)

บทสรุป ปัญหาอุทกภัยในพื้นที่ชายแดนจังหวัดเชียงราย โดยเฉพาะในอำเภอแม่สาย เป็นประเด็นที่ต้องการการจัดการแบบบูรณาการ โดยเฉพาะความร่วมมือข้ามพรมแดนระหว่างไทยกับเมียนมา การขุดลอกแม่น้ำ การสร้างแนวป้องกัน และการเตรียมระบบเตือนภัยเป็นมาตรการสำคัญที่จะช่วยลดผลกระทบต่อประชาชนและเศรษฐกิจในพื้นที่ชายแดนอย่างยั่งยืน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
  • กรมอุตุนิยมวิทยา
  • กรมโยธาธิการและผังเมือง
  • กรมชลประทาน
  • กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.)
  • รายงานความก้าวหน้าโครงการโดยกรมการทหารช่าง
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

แม่สาย-รวก ขุดลอก สร้างแนวกันท่วม รับมือน้ำหลาก

เชียงรายเร่งเดินหน้าขุดลอกแม่น้ำรวก-แม่น้ำสาย สร้างแนวป้องกันน้ำท่วมก่อนฤดูฝน

สถานการณ์น้ำท่วมและความจำเป็นในการดำเนินโครงการ

เชียงราย, 20 เมษายน 2568 – จากสถานการณ์น้ำท่วมและดินถล่มครั้งใหญ่ในพื้นที่อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย เมื่อช่วงเดือนกันยายน-ตุลาคม 2567 ที่ผ่านมา สร้างความเสียหายรุนแรงต่อระบบเศรษฐกิจและชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนในพื้นที่ ทางจังหวัดเชียงรายจึงได้เร่งดำเนินมาตรการป้องกันน้ำท่วมอย่างเป็นระบบ โดยล่าสุดได้ดำเนินการขุดลอกแม่น้ำรวกและแม่น้ำสาย รวมถึงการก่อสร้างแนวป้องกันน้ำท่วมในพื้นที่สำคัญของอำเภอแม่สาย

ความร่วมมือระหว่างไทย-เมียนมาในการขุดลอกแม่น้ำ

โครงการขุดลอกแม่น้ำรวกและแม่น้ำสายเป็นความร่วมมือระหว่างหน่วยทหารช่าง กองทัพบก กองทัพภาคที่ 3 และทางการเมียนมา โดยได้เริ่มปฏิบัติงานตั้งแต่วันที่ 18 เมษายน 2568 และมีกำหนดแล้วเสร็จภายในวันที่ 20 มิถุนายน 2568 เพื่อเตรียมความพร้อมในการรับมือฤดูน้ำหลากที่กำลังจะมาถึง

การขุดลอกแม่น้ำมีเป้าหมายหลักเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการระบายน้ำ ตลอดแนวรวมระยะทางกว่า 44.8 กิโลเมตร แบ่งเป็นความรับผิดชอบของกองทัพภาคที่ 3 ดำเนินการในพื้นที่แม่น้ำรวกระยะทาง 14 กิโลเมตร ขณะที่กรมการทหารช่างดำเนินการต่อเนื่องอีก 18 กิโลเมตร ส่วนทางการเมียนมารับผิดชอบแม่น้ำสายระยะทาง 12.8 กิโลเมตร

การก่อสร้างแนวป้องกันน้ำท่วมอย่างเร่งด่วน

นอกจากการขุดลอกแม่น้ำแล้ว ทางจังหวัดเชียงรายยังมีการดำเนินการก่อสร้างแนวป้องกันน้ำท่วมบริเวณเขตเศรษฐกิจของอำเภอแม่สาย ซึ่งในอดีตเคยได้รับผลกระทบอย่างหนักจากน้ำป่าและดินโคลนหลาก โดยแนวป้องกันดังกล่าวมีระยะทางรวมประมาณ 3,600 เมตร มีเนื้องานจริง 2,193 เมตร โดยเริ่มจากจุดแนวเขตแดนไทย-เมียนมา ผ่านสะพานมิตรภาพไทย-เมียนมาแห่งที่ 1 ไปจนถึงบริเวณประตูน้ำชลประทาน

แนวป้องกันที่ออกแบบในครั้งนี้เน้นการใช้งานได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ สามารถป้องกันน้ำได้อย่างดี โดยใช้โครงสร้างหลากหลายรูปแบบ ได้แก่ เขื่อนป้องกันตลิ่งด้วยเข็มไอและแผ่นคอนกรีตหล่อสำเร็จ กำแพงคอนกรีตเสริมเหล็กพร้อมฐานราก เสริมความแข็งแรงแนวคันดินด้วยถุง Big Bag รวมถึงการดัดแปลงแนวป้องกันเชื่อมโยงกับอาคารบ้านเรือนด้วยการติดตั้งแผ่นเหล็กปิดช่องน้ำและกำแพงป้องกันแบบประกอบสำเร็จ

ความคืบหน้าและการบริหารโครงการโดย สทนช.

นายสุรสีห์ กิตติมณฑล เลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) ได้เปิดเผยว่า กรมการทหารช่าง กองทัพบก และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เริ่มดำเนินการก่อสร้างแนวป้องกันน้ำชั่วคราว-กึ่งถาวร และขุดลอกแม่น้ำสายตั้งแต่วันที่ 17 เมษายน 2568 โดยได้รับจัดสรรงบประมาณดำเนินการแล้วจำนวนกว่า 74 ล้านบาท ภายใต้กรอบข้อตกลงความร่วมมือระหว่างประเทศไทยกับสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา

ประเทศไทยมีแผนการขุดลอกแม่น้ำรวก ความยาวกว่า 30 กิโลเมตร โดยกรมการทหารช่างดำเนินการใน 3 จุดสำคัญ ได้แก่ จุดที่ 1 บริเวณพนังกั้นน้ำชั่วคราวน้ำแม่สาย สะพานมิตรภาพแห่งที่ 2 อำเภอแม่สาย จุดที่ 2 ขุดลอกแม่น้ำรวกในตำบลเกาะช้าง และจุดที่ 3 ขุดลอกแม่น้ำรวก บ้านวังลาว ตำบลเวียง อำเภอเชียงแสน จังหวัดเชียงราย

จุดวิเคราะห์และข้อเสนอแนะในอนาคต

โครงการขุดลอกแม่น้ำและสร้างแนวป้องกันน้ำท่วมครั้งนี้เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนของการเตรียมความพร้อมรับมือภัยธรรมชาติที่มีประสิทธิภาพ อย่างไรก็ตาม ควรมีการดำเนินงานเชิงรุกและต่อเนื่อง โดยเฉพาะการบำรุงรักษาแนวป้องกันน้ำท่วม และการให้ความรู้ประชาชนในพื้นที่เกี่ยวกับการรับมือภัยพิบัติ เพื่อสร้างชุมชนที่เข้มแข็งและพร้อมรับมือกับภัยธรรมชาติอย่างยั่งยืน

สถิติที่เกี่ยวข้องและแหล่งอ้างอิง

จากข้อมูลของกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กระทรวงมหาดไทย รายงานว่าในปี 2567 จังหวัดเชียงรายมีพื้นที่ประสบภัยน้ำท่วม 4 ครั้ง ส่งผลกระทบต่อประชาชนกว่า 20,000 ครัวเรือน และพื้นที่ทางการเกษตรเสียหายกว่า 30,000 ไร่ (ที่มา: กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กระทรวงมหาดไทย, 2567)

การดำเนินโครงการนี้จึงถือเป็นแนวทางสำคัญในการลดความเสียหายจากภัยธรรมชาติ และสร้างความมั่นใจให้ประชาชนในพื้นที่แม่สายอย่างเป็นรูปธรรม

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
  • กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย
  • กระทรวงมหาดไทย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

ทหารบกตรวจแม่สาย คืบหน้าป้องกันน้ำหลาก ดินโคลน

เจ้ากรมกิจการพลเรือนทหารบกลงพื้นที่แม่สาย ติดตามแผนฟื้นฟูแหล่งน้ำชายแดนแม่สาย ปี 2568

เร่งฟื้นฟูแหล่งน้ำ-เสริมแนวป้องกันตลิ่งแม่น้ำสาย เพิ่มความมั่นคงปลอดภัยในพื้นที่ชายแดนไทย–เมียนมา

เชียงราย, 17 เมษายน 2568 – ที่ท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง จังหวัดเชียงราย เวลา 08.00 น. พลโท จินตมัย ชีกว้าง เจ้ากรมกิจการพลเรือนทหารบก เดินทางลงพื้นที่จังหวัดเชียงราย เพื่อตรวจติดตามความคืบหน้าการดำเนินงานตามแผนปรับปรุงและฟื้นฟูแหล่งน้ำแม่สาย ประจำปี 2568 ซึ่งเป็นหนึ่งในโครงการสำคัญด้านความมั่นคงและการบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติในเขตชายแดน โดยมีพลตรี จักรวีร์ เสนีย์วรยุทธ์ ผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ 37 ให้การต้อนรับและร่วมติดตามภารกิจอย่างใกล้ชิด

ตรวจเยี่ยมจุดผ่านแดนถาวรแม่น้ำสายแห่งที่ 1 แม่สาย–ท่าขี้เหล็ก จุดยุทธศาสตร์สำคัญของชาติ

หลังเดินทางถึงจังหวัดเชียงราย คณะได้ลงพื้นที่บริเวณสะพานข้ามจุดผ่านแดนถาวรแห่งที่ 1 ข้ามแม่น้ำสาย ตำบลเวียงพางคำ อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย เพื่อเยี่ยมชมพื้นที่ก่อสร้างโครงการฟื้นฟูแหล่งน้ำแม่สาย ซึ่งมีความสำคัญเชิงยุทธศาสตร์ทั้งด้านเศรษฐกิจและความมั่นคง เนื่องจากพื้นที่บริเวณนี้เป็นจุดเชื่อมโยงชายแดนไทย–เมียนมา ที่มีการสัญจรของประชาชนและการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศจำนวนมาก

คณะได้รับการต้อนรับจากเจ้าหน้าที่ภาคสนาม ได้แก่ ปลัดอำเภอแม่สาย, หน่วยเฉพาะกิจทัพเจ้าตาก, กองกำลังผาเมือง และเจ้าหน้าที่จากกรมการทหารช่าง โดยได้จัดเวทีสรุปสถานการณ์และรายงานความคืบหน้าโครงการให้แก่ผู้แทนส่วนกลาง

กรมการทหารช่างเผยแนวทางฟื้นฟูแบบบูรณาการ เสริมความแข็งแรงแนวป้องกันชายแดน

พลโท สิรภพ ศุภวานิช เจ้ากรมการทหารช่าง ได้ชี้แจงถึงรายละเอียดโครงการปรับปรุงและฟื้นฟูแหล่งน้ำแม่สาย ประจำปีงบประมาณ 2568 ว่า เป็นการดำเนินงานที่มีวัตถุประสงค์เพื่อเพิ่มความสามารถในการป้องกันภัยจากน้ำหลากและดินโคลนถล่มในพื้นที่เสี่ยงของอำเภอแม่สาย โดยเฉพาะในช่วงฤดูฝนที่ระดับน้ำในแม่น้ำสายมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว

การดำเนินการในเฟสปัจจุบันประกอบด้วย 3 แนวทางหลัก ได้แก่

  1. การก่อสร้างแนวป้องกันน้ำใหม่ ซึ่งใช้เทคโนโลยีเสริมโครงสร้างด้วยวัสดุธรรมชาติและโครงเหล็ก
  2. การเสริมแนวป้องกันเดิมให้มั่นคงยิ่งขึ้น โดยเน้นจุดที่เคยเกิดการพังทลายหรือทรุดตัวในปีที่ผ่านมา
  3. การออกแบบร่วมกับชุมชน โดยปรับให้แนวป้องกันสอดรับกับอาคาร บ้านเรือน และสิ่งปลูกสร้างดั้งเดิม เพื่อไม่รบกวนวิถีชีวิตของประชาชนในพื้นที่

ทั้งนี้ การดำเนินงานได้รับการประสานจากหลายหน่วยงานภาครัฐและชุมชน เพื่อให้สามารถดำเนินการได้อย่างยั่งยืนและลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม

การฟื้นฟูแหล่งน้ำ = เสถียรภาพทางเศรษฐกิจ และความมั่นคงชายแดน

พลโท จินตมัย ชีกว้าง กล่าวในระหว่างการเยี่ยมพื้นที่ว่า การฟื้นฟูแหล่งน้ำแม่สายเป็นภารกิจสำคัญที่เชื่อมโยงกับความมั่นคงของประเทศโดยตรง เนื่องจากอำเภอแม่สายเป็นพื้นที่การค้าชายแดนที่มีมูลค่าการค้ากับสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมากว่าหลายพันล้านบาทต่อปี หากปล่อยให้แหล่งน้ำเสื่อมโทรม หรือเกิดภัยธรรมชาติกะทันหัน อาจส่งผลต่อระบบโลจิสติกส์และความปลอดภัยของประชาชนได้โดยตรง

“การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านน้ำในพื้นที่ชายแดน ไม่ใช่เพียงเรื่องของการป้องกันน้ำหลาก แต่ยังเป็นการวางรากฐานความมั่นคงทางเศรษฐกิจและสังคม” พลโทจินตมัยกล่าว

ฟื้นฟูแหล่งน้ำชายแดน ความมั่นคงทางภูมิรัฐศาสตร์

เมื่อพิจารณาจากสภาพพื้นที่ชายแดนภาคเหนือของประเทศไทย โดยเฉพาะบริเวณแม่สาย–ท่าขี้เหล็ก ซึ่งเป็นจุดยุทธศาสตร์เชื่อมโยงจีน–ลาว–เมียนมา ภัยธรรมชาติที่อาจเกิดขึ้นอย่างฉับพลัน เช่น น้ำหลากหรือดินโคลนถล่ม จึงไม่ใช่เพียงปัญหาท้องถิ่น แต่คือความเสี่ยงที่อาจกระทบต่อความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจ และความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ

โครงการฟื้นฟูแหล่งน้ำแม่สายจึงถือเป็นหนึ่งในกลไกเชิงยุทธศาสตร์ของกองทัพไทย ที่ใช้ทรัพยากรทางวิศวกรรมทหารควบคู่กับความร่วมมือของประชาชน เพื่อเปลี่ยนจาก “จุดอ่อนทางธรรมชาติ” ให้กลายเป็น “ปราการความมั่นคง” ที่ยั่งยืน

ข้อมูลสถิติและแหล่งอ้างอิง

  • จากข้อมูลของ กรมอุตุนิยมวิทยา ช่วงฤดูฝนปี 2567 จังหวัดเชียงรายมีฝนตกเฉลี่ยมากกว่า 1,800 มม./ปี เพิ่มขึ้นจากค่าเฉลี่ยเดิม 12%
  • รายงานของ กรมโยธาธิการและผังเมือง ปี 2566 ระบุว่า พื้นที่อำเภอแม่สาย มีแนวตลิ่งพังจากน้ำกัดเซาะกว่า 2.1 กม. ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา
  • สำนักงาน ด่านศุลกากรแม่สาย รายงานว่าปี 2567 มูลค่าการค้าชายแดนไทย–เมียนมาผ่านแม่สายสูงถึง 17,500 ล้านบาท

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
  • กรมอุตุนิยมวิทยา (www.tmd.go.th)
  • กรมโยธาธิการและผังเมือง (www.dpt.go.th)
  • กรมศุลกากร (www.customs.go.th)
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI TOP STORIES

แม่สายป่วน น้ำลำสาย พบสารหนูเกิน แต่ ‘ประปา’ ปลอดภัยใช้การได้ปกติ

แม่สายพบสารหนูในลำน้ำสายเกินมาตรฐาน กปภ.ยืนยันน้ำประปายังปลอดภัย พร้อมเฝ้าระวังใกล้ชิด

ประเทศไทย, 10 เมษายน 2568 – สถานการณ์คุณภาพน้ำในพื้นที่อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย กลายเป็นประเด็นที่ได้รับความสนใจจากประชาชนและสื่อมวลชนในช่วงต้นเดือนเมษายน หลังจากที่มีการเปิดเผยผลการวิเคราะห์คุณภาพน้ำจากลำน้ำสาย ซึ่งพบว่ามีการปนเปื้อนของ สารหนู (Arsenic) เกินกว่าค่ามาตรฐานที่กำหนด

ข้อมูลดังกล่าวได้รับการเปิดเผยอย่างเป็นทางการโดย การประปาส่วนภูมิภาค (กปภ.) สาขาแม่สาย เมื่อวันที่ 9 เมษายน 2568 โดยอ้างอิงจากผลการตรวจวิเคราะห์ของ บริษัท ห้องปฏิบัติการกลาง (ประเทศไทย) จำกัด ซึ่งเป็นหน่วยงานอิสระด้านการทดสอบคุณภาพน้ำ

ลำน้ำสายพบสารหนูเกินมาตรฐาน – แต่ยังไม่กระทบระบบผลิตน้ำประปา

การเก็บตัวอย่างน้ำเพื่อทดสอบในครั้งนี้ ดำเนินการเมื่อวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2568 โดยเน้นพื้นที่บริเวณลำน้ำสายซึ่งเป็นแหล่งน้ำธรรมชาติสำคัญของอำเภอแม่สาย ผลการตรวจพบว่า มีสารหนูในระดับที่สูงกว่าค่ามาตรฐานที่กำหนดตามประกาศของกระทรวงสาธารณสุข

อย่างไรก็ตาม น้ำประปาที่ประชาชนใช้อุปโภคและบริโภคในปัจจุบัน ผ่านกระบวนการบำบัดและกำจัดโลหะหนักตามมาตรฐานของ กปภ. แล้ว โดยผลการตรวจสอบคุณภาพน้ำหลังการผลิตระบุว่า ไม่มีการปนเปื้อนของสารหนูหรือโลหะหนักในระดับที่เป็นอันตราย และสามารถใช้งานได้ตามปกติ

กปภ.แม่สายยืนยันน้ำประปาปลอดภัยต่อการบริโภค

การประปาส่วนภูมิภาค สาขาแม่สาย ได้ออกแถลงการณ์เพื่อสร้างความมั่นใจแก่ประชาชน โดยยืนยันว่า น้ำประปาที่ผลิตจากโรงงานผลิตน้ำแม่สายผ่านกระบวนการกรองและบำบัดที่ได้มาตรฐานอย่างเข้มงวด และอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของกระทรวงมหาดไทยและกระทรวงสาธารณสุขอย่างใกล้ชิด

นอกจากนี้ ยังมีการเฝ้าระวังคุณภาพน้ำต้นทางอย่างต่อเนื่อง และพร้อมดำเนินการตามแผนฉุกเฉินหากพบค่าความเสี่ยงสูงขึ้น

สารหนูในลำน้ำสาย ปัจจัยเสี่ยงจากกิจกรรมข้ามพรมแดน

ลำน้ำสายถือเป็นแม่น้ำสำคัญที่ไหลผ่าน อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย และเมืองท่าขี้เหล็กของประเทศเมียนมา กิจกรรมทางอุตสาหกรรมและเหมืองแร่จากฝั่งประเทศเพื่อนบ้านอาจเป็นหนึ่งในสาเหตุที่ก่อให้เกิดการปนเปื้อนของโลหะหนักในแหล่งน้ำธรรมชาติ

สารหนูสะสมในระบบนิเวศ

ดร.สืบสกุล กิจนุกร นักวิชาการสำนักวิชานวัตกรรมสังคม มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง (มฟล.) จ.เชียงราย ให้ความเห็นว่า แม้สารหนูในน้ำจะมีระดับเกินมาตรฐานในระยะสั้น แต่หากไม่มีการจัดการต้นเหตุในระยะยาว อาจก่อให้เกิดการสะสมในระบบนิเวศและส่งผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชน โดยเฉพาะกลุ่มที่มีการใช้น้ำจากลำน้ำสายโดยตรง

มาตรการเฝ้าระวังและแจ้งเตือนประชาชน

กปภ.สาขาแม่สายได้ประสานงานกับ ที่ว่าการอำเภอแม่สาย และ สำนักงานสาธารณสุขอำเภอ เพื่อจัดทำแผนประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนรับทราบข้อมูล และระมัดระวังการใช้น้ำจากลำน้ำสายโดยตรง โดยเฉพาะในกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับการบริโภค เช่น การจับปลาน้ำจืด การเลี้ยงสัตว์น้ำ หรือการใช้น้ำเพื่อประกอบอาหาร

ขณะเดียวกัน ยังมีการจัดตั้ง จุดแจ้งเตือนคุณภาพน้ำต้นทาง และวางระบบสำรองน้ำไว้ใช้ในกรณีฉุกเฉิน หากพบการปนเปื้อนในระดับที่สูงขึ้นในอนาคต

เสียงจากชาวบ้านแม่สายความกังวลที่ต้องการคำตอบระยะยาว

ประชาชนในพื้นที่ โดยเฉพาะชุมชนใกล้ลำน้ำสาย แสดงความกังวลต่อข่าวดังกล่าว แม้จะได้รับคำยืนยันจาก กปภ. ว่าน้ำประปาปลอดภัย แต่หลายครอบครัวยังคงลังเลและต้องการข้อมูลที่ชัดเจนในระยะยาว

ชาวบ้านในพื้นที่แจ้งผ่านนครเชียงรายนิวส์มาว่า อยากให้มีหน่วยงานลงพื้นที่ตรวจสอบทุกเดือน และเปิดเผยข้อมูลต่อสาธารณะอย่างสม่ำเสมอ”

ปัญหาสิ่งแวดล้อมชายแดนกับการบริหารจัดการแบบบูรณาการ

เหตุการณ์ที่แม่สายสะท้อนความท้าทายด้านสิ่งแวดล้อมที่เกี่ยวข้องกับ การบริหารจัดการน้ำข้ามพรมแดน ซึ่งไม่อาจแก้ไขได้โดยฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง จำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือระดับระหว่างประเทศ โดยเฉพาะในประเด็นของเหมืองแร่และกิจกรรมอุตสาหกรรมที่อยู่ต้นน้ำฝั่งเมียนมา

การมีระบบเฝ้าระวังที่เข้มงวด การเปิดเผยข้อมูลต่อประชาชนอย่างโปร่งใส และการจัดทำข้อตกลงร่วมระหว่างสองประเทศเพื่อควบคุมมลพิษในลำน้ำสาย จึงเป็นแนวทางสำคัญในการป้องกันปัญหาสิ่งแวดล้อมในระยะยาว

สถิติที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหาข่าว

  • วันที่เก็บตัวอย่างน้ำ: 17 กุมภาพันธ์ 2568
  • วันที่ประกาศผลตรวจจากห้องปฏิบัติการกลาง: 9 เมษายน 2568
  • ค่ามาตรฐานสารหนูในน้ำดื่ม (ตามประกาศกระทรวงสาธารณสุข): ไม่เกิน 0.01 มิลลิกรัม/ลิตร
  • ค่าที่ตรวจพบในลำน้ำสาย (เบื้องต้น): เกิน 0.013 มิลลิกรัม/ลิตร (อยู่ในระดับที่อาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพหากบริโภคต่อเนื่อง)
  • จำนวนประชากรที่ใช้น้ำประปาในเขตบริการ กปภ.แม่สาย: ประมาณ 25,400 ครัวเรือน (ข้อมูลจาก กปภ.เชียงราย, 2567)
  • จำนวนระบบผลิตน้ำประปาของ กปภ.สาขาแม่สาย: 3 ระบบหลัก
  • ความถี่การตรวจคุณภาพน้ำประปาในเขตแม่สาย: เดือนละ 1 ครั้ง โดยเฉพาะในฤดูฝนที่เสี่ยงต่อการปนเปื้อนมากขึ้น

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : 

  • การประปาส่วนภูมิภาค สาขาแม่สาย
  • บริษัท ห้องปฏิบัติการกลาง (ประเทศไทย) จำกัด
  • ที่ว่าการอำเภอแม่สาย
  • สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงราย
  • กรมควบคุมมลพิษ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
  • มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง
  • ประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่องมาตรฐานคุณภาพน้ำดื่ม พ.ศ. 2560
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI TOP STORIES

ผบ.ทสส.ลุยแม่สาย คุมเข้มชายแดน ไทย-เมียนมา

ผบ.ทสส. ลงพื้นที่เชียงราย ติดตามสถานการณ์ความมั่นคงชายแดนไทย-เมียนมา-ลาว

เชียงราย, 15 มีนาคม 2568 – พลเอก ทรงวิทย์ หนุนภักดี ผู้บัญชาการทหารสูงสุด (ผบ.ทสส.) และผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการขับเคลื่อนการป้องกันและแก้ไขปัญหาภัยคุกคามที่ส่งผลกระทบต่อความมั่นคงในพื้นที่ชายแดน (ศอ.ปชด.) พร้อมคณะ ลงพื้นที่จังหวัดเชียงรายเพื่อติดตามสถานการณ์ความมั่นคงบริเวณชายแดนไทย-เมียนมา-ลาว พร้อมร่วมประชุมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ณ ห้องจอมกิตติ ชั้น 3 ศาลากลางจังหวัดเชียงราย

การประชุมร่วมเพื่อขับเคลื่อนมาตรการความมั่นคง

การประชุมในครั้งนี้มี นายชริน ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย / ผู้อำนวยการศูนย์สั่งการชายแดนไทยกับประเทศเพื่อนบ้านจังหวัดเชียงราย (ศส.ชท.จว.ช.ร.) เป็นผู้กล่าวต้อนรับ โดยมี พลโท กิตติพงศ์ ชื่นใจชน แม่ทัพน้อยที่ 3 / รองผู้อำนวยการ ศส.ชท.ทภ.3 และ พลตรี กิดากร จันทรา ผู้บัญชาการกองกำลังผาเมือง เข้าร่วมประชุม ในที่ประชุมมีการนำเสนอประเด็นสำคัญเกี่ยวกับความมั่นคงในพื้นที่ อาทิ:

  • ข้อมูลพื้นฐานของจังหวัดเชียงราย
  • การปฏิบัติตามนโยบาย Seal Stop Safe และมาตรการ 3 ตัด
  • สถานการณ์การลักลอบเข้าเมืองและการค้ามนุษย์
  • แนวทางการบังคับใช้กฎหมายในพื้นที่ชายแดน

ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมสถานการณ์ชายแดน

ภายหลังการประชุม ผบ.ทสส. และคณะได้ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมจุดยุทธศาสตร์สำคัญในอำเภอแม่สาย ซึ่งเป็นด่านหน้าสำหรับการควบคุมความมั่นคงชายแดน โดยมีจุดตรวจเยี่ยมหลัก ได้แก่:

  1. สะพานมิตรภาพไทย-เมียนมาแห่งที่ 1 – ตรวจสอบช่องทางสัญจร จุดตัดการจ่ายไฟฟ้าและอินเทอร์เน็ต รวมถึงสังเกตการณ์โครงการรื้อถอนเพื่อสร้างแนวป้องกันตลิ่ง
  2. ตลาดสายลมจอย – ตรวจสอบพื้นที่รื้อถอนสิ่งปลูกสร้างที่รุกล้ำแนวชายแดน และสำรวจพื้นที่ฟื้นฟูจากเหตุอุทกภัยที่ผ่านมา
  3. สะพานมิตรภาพไทย-เมียนมาแห่งที่ 2 – ตรวจสอบกระบวนการตรวจสินค้าผ่านแดน เช่น น้ำมัน อุปกรณ์สื่อสาร และอุปกรณ์ผลิตกระแสไฟฟ้า

มาตรการเข้มข้นในการรักษาความมั่นคงชายแดน

พลเอก ทรงวิทย์ เน้นย้ำว่า หน่วยงานทุกภาคส่วนต้องปฏิบัติงานอย่างเคร่งครัดภายใต้กรอบกฎหมาย โดยเน้นการบูรณาการความร่วมมือระหว่างหน่วยงานด้านความมั่นคง ตำรวจ ฝ่ายปกครอง และภาคประชาชน เพื่อป้องกันอาชญากรรมข้ามชาติ การค้ามนุษย์ และยาเสพติด ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงต่อเสถียรภาพของประเทศ

ความคิดเห็นจากทั้งสองฝ่าย

ฝ่ายสนับสนุนมองว่า การลงพื้นที่ของ ผบ.ทสส. แสดงให้เห็นถึงความจริงจังของกองทัพในการดูแลความปลอดภัยชายแดน การเสริมสร้างเสถียรภาพในพื้นที่ และการป้องกันภัยคุกคามที่อาจส่งผลต่อประเทศ ขณะที่ฝ่ายกังวลมองว่าการเข้มงวดด้านความมั่นคงอาจส่งผลกระทบต่อภาคการค้าและเศรษฐกิจในพื้นที่ โดยเฉพาะผู้ประกอบการที่พึ่งพาการค้าชายแดน

สถิติและข้อมูลอ้างอิง

  • การค้าชายแดนไทย-เมียนมา – มูลค่าการค้าระหว่างไทยและเมียนมาผ่านด่านแม่สายในปี 2567 อยู่ที่ประมาณ 25,000 ล้านบาท (ข้อมูลจากกระทรวงพาณิชย์)
  • สถิติการลักลอบข้ามแดน – ปี 2567 มีผู้ลักลอบเข้าเมืองบริเวณชายแดนภาคเหนือกว่า 15,000 ราย (ข้อมูลจากสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง)
  • แนวทางการพัฒนาเขตชายแดน – รัฐบาลมีแผนลงทุนโครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานในพื้นที่แม่สายมูลค่ากว่า 5,000 ล้านบาท (ข้อมูลจากสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ)

สรุป

การลงพื้นที่ของ ผบ.ทสส. ครั้งนี้สะท้อนถึงความพยายามในการรักษาความมั่นคงของประเทศในพื้นที่ชายแดน พร้อมทั้งส่งเสริมการแก้ไขปัญหาอาชญากรรมข้ามชาติและการค้ามนุษย์อย่างจริงจัง อย่างไรก็ตาม ความเข้มงวดด้านความมั่นคงอาจต้องมีการพิจารณาแนวทางที่สมดุล เพื่อให้สอดคล้องกับเศรษฐกิจและชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนในพื้นที่ต่อไป

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ทีมข่าวนครเชียงรายนิวส์

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
SOCIETY & POLITICS

เชียงรายรอเยียวยาผู้นำฝ่ายค้าน ทวงเงินรัฐ

เชียงรายเร่งรับมือน้ำท่วมปี 2568 ฝ่ายค้านลงพื้นที่ติดตามแผนฟื้นฟู-ทวงเงินเยียวยาประชาชน

ติดตามแผนรับมืออุทกภัยและฟื้นฟูพื้นที่ชายแดน

เชียงราย, 14 มีนาคม 2568 – คณะสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) พรรคประชาชน นำโดย นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรคและผู้นำฝ่ายค้าน พร้อมด้วย นายชิตวัน ชินอนุวัฒน์, นางสาวจุฬาลักษณ์ ขันสุธรรม, นายฐากูร ยะแสง, นางสาวสิริลภัส กองตระการ, นายเจษฎา ดนตรีเสนาะ, นายปารมี ไวจงเจริญ, และนายกรุณพล เทียนสุวรรณ ลงพื้นที่ อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย เพื่อติดตามแผนรับมือน้ำท่วมปี 2568 และแนวทางการฟื้นฟูพื้นที่หลังเหตุการณ์อุทกภัยใหญ่ในปี 2567

แผนป้องกันน้ำท่วมแม่สายและแนวทางขุดลอกลุ่มน้ำ

นายวรายุทธ ค่อมบุญ นายอำเภอแม่สาย รายงานต่อคณะผู้แทนเกี่ยวกับแนวทางแก้ปัญหาน้ำท่วมในพื้นที่ โดยระบุว่าปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดน้ำท่วมซ้ำซากมาจาก ลำน้ำตื้นเขิน, สิ่งปลูกสร้างรุกล้ำลำน้ำชายแดน และปริมาณฝนที่ตกหนักเกินค่าเฉลี่ย ทำให้ต้องมีการขุดลอกลำน้ำสายและลำน้ำรวกอย่างต่อเนื่อง

ความร่วมมือไทย-เมียนมาในการขุดลอกลำน้ำสาย

ปัจจุบัน ฝ่ายเมียนมา ได้รื้อถอนสิ่งปลูกสร้างที่รุกล้ำแผ่นดินไปแล้ว 20 จุด ส่วนไทยรื้อถอนไปแล้ว 7 จุด และอยู่ระหว่างรอการอนุมัติงบประมาณขุดลอกแม่น้ำสายจากรัฐบาลเมียนมา คาดว่าจะได้รับอนุมัติในเดือนเมษายน 2568 ขณะที่ ฝ่ายไทย ได้จัดสรรงบประมาณ 70 ล้านบาท สำหรับขุดลอกลำน้ำรวก ซึ่งขณะนี้อยู่ในกระบวนการขออนุมัติจากสำนักงบประมาณ

ปัญหาเหมืองแร่และผลกระทบต่ออุทกภัย

นายชัยยนต์ ศรีสมุทร นายกเทศมนตรีตำบลแม่สาย ชี้ว่า การทำเหมืองแร่เป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่ทำให้ลำน้ำตื้นเขิน เนื่องจากการขุดเหมืองส่งผลให้ตะกอนดินไหลลงสู่ลำน้ำ และทำให้ต้องมีการขุดลอกแม่น้ำทุกปีเพื่อป้องกันปัญหาน้ำท่วม หากไม่มีการกำกับดูแลอย่างเข้มงวด ปัญหาน้ำท่วมก็จะเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง

ปัญหาการเยียวยาผู้ประสบภัย: เงินยังไม่ถึงมือประชาชน

นางสาวจุฬาลักษณ์ ขันสุธรรม สส. เชียงราย พรรคประชาชน ตั้งคำถามเกี่ยวกับ เงินเยียวยาผู้ประสบภัยน้ำท่วม ซึ่งยังคงล่าช้าอยู่ในกระบวนการของรัฐบาล โดยงบประมาณการฟื้นฟูที่ เทศบาลและอำเภอเชียงรายเสนอจำนวน 134 ล้านบาท ต้องรอการอนุมัติจากคณะรัฐมนตรี (ครม.) ซึ่งทำให้การจ่ายเงินช่วยเหลือล่าช้าและประชาชนเดือดร้อน

ขณะเดียวกัน เกษตรกรในพื้นที่ยังไม่ได้รับเงินช่วยเหลือจำนวน 197 ล้านบาท สำหรับการฟื้นฟูพื้นที่เพาะปลูกที่ได้รับความเสียหาย ซึ่งเป็นปัญหาที่ต้องได้รับการแก้ไขอย่างเร่งด่วน

ขาดระบบเตือนภัยลำน้ำกกและแนวทางพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน

สำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดเชียงราย รายงานว่าระบบเตือนภัยในพื้นที่ ยังไม่ครอบคลุม โดยแม่น้ำกกมีต้นน้ำมาจากเมียนมาและไหลผ่านเมืองเชียงราย ซึ่งปัจจุบันใช้ สถานีวัดระดับน้ำโทรมาตรเพียง 2 แห่ง ได้แก่ที่ อำเภอเมืองเชียงราย และบ้านท่าตอน ซึ่งยังไม่เพียงพอในการคาดการณ์และแจ้งเตือนภัยน้ำท่วม

ทาง สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สนทช.) ได้วางแผน ติดตั้งสถานีวัดระดับน้ำเพิ่มเติม 4 จุด และอยู่ระหว่างขออนุมัติงบประมาณเพื่อเสริมสร้างระบบเตือนภัยให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น

แผนขุดลอกลำน้ำและพัฒนาโครงสร้างป้องกันน้ำท่วม

กรมชลประทานเชียงราย รายงานว่า ได้มีการศึกษาแนวทางระบายน้ำ 2 แนวทาง เพื่อแก้ปัญหาน้ำท่วมในพื้นที่ ได้แก่:

  1. แนวทางที่ 1 ขุดลอกแม่น้ำกกและทำทางระบายน้ำอ้อมสนามบิน ลงสู่แม่น้ำกกตอนปลาย
  2. แนวทางที่ 2 ขุดลอกแม่น้ำกกให้ไหลผ่านฝั่งขวาของเมืองเชียงรายไปยังถนนบายพาส เพื่อลดความเสี่ยงของการท่วมตัวเมือง

นอกจากนี้ อำเภอแม่สาย มีแผนขุดลอกลำน้ำความยาว 2,800 เมตร ร่วมกับกรมการทหารช่างและรัฐบาลเมียนมา เพื่อให้สามารถระบายน้ำได้อย่างมีประสิทธิภาพก่อนเข้าฤดูฝน

ความท้าทายในการแก้ปัญหา: มีแผนแต่ขาดงบประมาณ

นายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย ระบุว่า จังหวัดมีแผนรับมืออุทกภัยอย่างชัดเจนในทุกพื้นที่ แต่ปัญหาหลักคือ ขาดงบประมาณสนับสนุนจากรัฐบาล ทำให้โครงการสำคัญหลายโครงการไม่สามารถดำเนินการได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ทางด้าน นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรคประชาชน กล่าวว่าปัญหาสำคัญคือระบบการจัดสรรงบประมาณที่ รวมศูนย์อยู่ที่รัฐบาลกลาง ซึ่งทำให้กระบวนการอนุมัติล่าช้า พรรคประชาชนจึงเสนอให้มีการกระจายอำนาจการบริหารงบประมาณไปยังจังหวัดมากขึ้น เพื่อให้สามารถแก้ปัญหาได้ตรงจุดและทันท่วงที

สถิติที่เกี่ยวข้อง

  • พื้นที่ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วมในเชียงรายปี 2567: มากกว่า 35,000 ครัวเรือน
  • งบประมาณที่ต้องการใช้ในการฟื้นฟูพื้นที่ประสบอุทกภัย: 134 ล้านบาท
  • จำนวนครัวเรือนที่รอรับเงินเยียวยา 9,000 บาทต่อครัวเรือน: 35,000 ครัวเรือน
  • แผนขุดลอกแม่น้ำกกและลำน้ำสายที่ต้องใช้ภายในปี 2568: กว่า 3,500 เมตร

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดเชียงราย / กรมชลประทาน / สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สนทช.)

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI CULTURE

เชียงรายไหว้ดอยตุง ตามรอยครูบาฯ สรงน้ำพระธาตุ

ดอยตุง 2007 ปี! ศรัทธาครูบาฯ เดินจาริกแสวงบุญ

เชียงราย, 13 มีนาคม 2568 – ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย นำพุทธศาสนิกชนร่วมพิธีเดินจาริกแสวงบุญ ตามรอยครูบาเจ้าศรีวิชัย ในงานประเพณีนมัสการและสรงน้ำพระธาตุดอยตุง ประจำปี 2568 “2007 ปีสืบมา หกเป็งล่องฟ้า ไหว้สาพระธาตุดอยตุง”

พิธีบวงสรวงและการเตรียมความพร้อม

เช้าวันที่ 12 มีนาคม 2568 ที่วัดศาลาเชิงดอย ตำบลห้วยไคร้ อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย นายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เป็นประธานในพิธีปล่อยขบวนเดินจาริกแสวงบุญตามรอยครูบาเจ้าศรีวิชัย ในงานสืบสานประเพณีนมัสการและสรงน้ำพระธาตุดอยตุง ประจำปี 2568 ภายใต้ชื่อว่า “2007 ปีสืบมา หกเป็งล่องฟ้า ไหว้สาพระธาตุดอยตุง” ซึ่งจัดขึ้นเป็นประจำทุกปี โดยมีพระพุทธิวงศ์วิวัฒน์ ที่ปรึกษาเจ้าคณะภาค 6 ตลอดจนพระเถรานุเถระ นายพิสันต์ จันทร์ศิลป์ วัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย นายอำเภอแม่สาย หัวหน้าส่วนราชการ พุทธศาสนิกชนชาวจังหวัดเชียงราย และจังหวัดใกล้เคียงเข้าร่วมพิธีจำนวนมาก

ในพิธีดังกล่าว พระพุทธิวงศ์วิวัฒน์ ที่ปรึกษาเจ้าคณะภาค 6 ได้เป็นประธานฝ่ายสงฆ์ นายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เป็นประธานฝ่ายฆราวาส พร้อมด้วยพุทธศาสนิกชนที่เข้าร่วมพิธีจำนวนมาก ร่วมประกอบพิธีทางศาสนา วางพานพุ่มดอกไม้สดสักการะครูบาเจ้าศรีวิชัย ที่ด้านหน้าวัดศาลาเชิงดอย เพื่อความเป็นสิริมงคลในการประกอบพิธีเดินจาริกแสวงบุญ จากนั้นได้มีการปล่อยขบวนเดินจาริกแสวงบุญตามรอยครูบาเจ้าศรีวิชัย ตนบุญแห่งล้านนา เป็นระยะทาง 9 กิโลเมตร เพื่อขึ้นไปไหว้สาพระธาตุดอยตุง

ความสำคัญของพระธาตุดอยตุง

นายพิสันต์ จันทร์ศิลป์ วัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย กล่าวว่า พระธาตุดอยตุง ตั้งอยู่ตำบลห้วยไคร้ อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย เป็นโบราณสถานที่สำคัญทางพระพุทธศาสนา ซึ่งตามตำนานเล่าว่าถูกสร้างขึ้นมาตั้งแต่สมัยพุทธกาล โดยพระมหากัสสปเถระได้นำพระบรมสารีริกธาตุของพระพุทธเจ้า มาบรรจุไว้ที่นี่เมื่อปี พ.ศ. 561 ทำให้สถานที่แห่งนี้กลายเป็นศูนย์กลางแห่งศรัทธาของพุทธศาสนิกชน โดยเฉพาะผู้ที่เกิดปีกุนหรือปีช้างตามความเชื่อของชาวล้านนา เชื่อว่าการเดินทางขึ้นมากราบไหว้พระธาตุเจดีย์ที่ดอยตุงจะนำมาซึ่งความเป็นสิริมงคลแก่ชีวิต

สำหรับปีนี้ ประเพณีดังกล่าวตรงกับวันที่ 13 มีนาคม 2568 จังหวัดเชียงรายจึงได้ร่วมกับคณะสงฆ์และภาครัฐจัดให้มีกิจกรรมเดินจาริกแสวงบุญตามรอยครูบาเจ้าศรีวิชัย ขึ้นไปนมัสการพระธาตุดอยตุง เพื่อรำลึกถึงครั้งที่ครูบาเจ้าศรีวิชัย ได้เดินทางแสวงบุญและทำการบูรณปฏิสังขรณ์องค์พระธาตุดอยตุง เมื่อปีพุทธศักราช 2470

พิธีตักน้ำทิพย์และสรงน้ำพระธาตุดอยตุง

วันที่ 12 มีนาคม 2568 ที่บ่อน้ำทิพย์ วัดพระธาตุดอยตุง ตำบลห้วยไคร้ อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย นายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เป็นประธานในพิธีตักน้ำทิพย์เพื่อใช้ในการสรงน้ำพระธาตุดอยตุง โดยมีขบวนน้ำสรงพระราชทานจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา สยามบรมราชกุมารี เข้าประดิษฐานในวิหารวัดน้อยดอยตุง

สำหรับบ่อน้ำทิพย์ของวัดพระธาตุดอยตุง ถือเป็นบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ที่มีความลึกเพียง 2 เมตรจากพื้นดิน แต่มีน้ำใสสะอาดตลอดทั้งปี ซึ่งตามตำนานเชื่อว่าเป็นน้ำที่ใช้สรงน้ำพระธาตุดอยตุงมาตั้งแต่โบราณกาล

ขบวนแห่ศรัทธาและพิธีบวงสรวง

เมื่อช่วงค่ำของวันที่ 12 มีนาคม 2568 ที่พระธาตุดอยตุง ตำบลห้วยไคร้ อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย ได้มีการจัดพิธีวางเครื่องสักการะและกล่าวขอสูมา ตามประเพณีล้านนา โดยมีการแสดง แสง สี เสียง ถ่ายทอดเรื่องราวแห่งศรัทธา

ขบวนแห่ศรัทธาเริ่มต้นจากลานจอดรถหน้าทางเข้าพระธาตุดอยตุง มุ่งสู่ลานพระธาตุ ประกอบไปด้วยขบวนเสลี่ยงพุทธศาสนิกชนจากหลายพื้นที่ ขบวนน้ำทิพย์ ขบวนตุงพันวา และขบวนสักการะของหน่วยงานภาครัฐและเอกชนในจังหวัดเชียงราย

สถิติที่เกี่ยวข้องกับข่าวและแหล่งอ้างอิง

จากข้อมูลของสำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย ในปี 2567 มีประชาชนเข้าร่วมงานประเพณีนมัสการและสรงน้ำพระธาตุดอยตุงมากกว่า 50,000 คน และคาดว่าปี 2568 จะมีผู้เข้าร่วมมากขึ้น เนื่องจากมีการส่งเสริมการท่องเที่ยวและอนุรักษ์วัฒนธรรมประเพณีอย่างต่อเนื่อง

พระธาตุดอยตุงเป็นสถานที่ที่ได้รับความนิยมสูงสุดในหมวดศาสนสถานของจังหวัดเชียงราย ตามสถิติจาก Google Maps พบว่ามีการรีวิวมากกว่า 20,000 รีวิว โดยผู้เข้าชมส่วนใหญ่ชื่นชมในบรรยากาศที่สงบ วิวทิวทัศน์ที่สวยงาม และความศักดิ์สิทธิ์ของสถานที่ ซึ่งช่วยส่งเสริมให้พระธาตุดอยตุงกลายเป็นจุดหมายปลายทางสำคัญของพุทธศาสนิกชนและนักท่องเที่ยวจากทั่วประเทศ

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย / ข้อมูลจาก Google Maps (ณ มีนาคม 2568) / กรมการศาสนา กระทรวงวัฒนธรรม

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI TOP STORIES

ผู้ว่าฯ ยันค่าล้างโคลนเอกสารครบ รอเงินเยียวยาจากส่วนกลาง

เชียงรายจัดสัมมนาสื่อมวลชน เสริมเครือข่ายประชาสัมพันธ์ พร้อมติดตามความคืบหน้างบเยียวยาน้ำท่วม

ผู้ว่าฯ เชียงรายชี้แจงสถานการณ์งบประมาณช่วยเหลือผู้ประสบภัยยังล่าช้า

เชียงราย, 12 มีนาคม 2568 – ที่บริเวณ บ่อน้ำพุร้อนป่าตึง อำเภอแม่จัน จังหวัดเชียงราย นายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เป็นประธานในกิจกรรม สัมมนาสื่อมวลชนและเครือข่ายการประชาสัมพันธ์ ภายใต้โครงการประชาสัมพันธ์ขับเคลื่อนแผนปฏิบัติราชการจังหวัดเชียงราย ครั้งที่ 2 ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 ซึ่งมีเป้าหมายเพื่อสร้าง รักษา และพัฒนาเครือข่ายด้านการประชาสัมพันธ์ พร้อมแลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นเกี่ยวกับแนวทางในการสื่อสารข้อมูลของจังหวัดให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น

ในงานนี้ นอกจากการหารือเกี่ยวกับแนวทางการประชาสัมพันธ์แล้ว ยังมีการกล่าวถึง สถานการณ์น้ำท่วมและปัญหางบประมาณเยียวยาผู้ประสบภัยที่ยังไม่ได้รับการจัดสรรจากส่วนกลาง โดยมีการตั้งคำถามจากประชาชนว่า “งบประมาณไม่มีแล้วจริงหรือ?” เนื่องจากผ่านมาครึ่งปีแล้ว แต่เงินค่าล้างโคลนยังไม่ถูกโอนมายังพื้นที่

สถานการณ์งบประมาณช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วม

นายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เปิดเผยว่า จังหวัดเชียงรายได้ส่งเอกสารหลักฐานความเสียหายของผู้ประสบภัยให้กับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องครบถ้วนแล้ว แต่ยังไม่ได้รับงบประมาณสำหรับการช่วยเหลือค่าล้างโคลนจากส่วนกลาง

รายงานข่าวระบุว่า จ.เชียงรายได้รับผลกระทบจากน้ำท่วมหนักในช่วง เดือนกันยายน 2567 โดยพื้นที่ที่ได้รับความเสียหายมากที่สุด ได้แก่ อำเภอแม่สาย เขตเทศบาลนครเชียงราย และอำเภอเทิง หน่วยงานต่างๆ รวมถึงองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นได้ให้การช่วยเหลือในเบื้องต้นแล้ว แต่ปัจจุบันยังคงมีปัญหาเรื่องเงินค่าล้างโคลนที่ผู้ประสบภัยจำนวนมากยังไม่ได้รับ

ย้อนไปเมื่อวันที่ 5 ตุลาคม 2567 นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรีและโฆษกศูนย์ปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย (ศปช.) เปิดเผยว่า รัฐบาลมีแผนเสนอให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาปรับเพิ่มเงินเยียวยาสำหรับค่าล้างโคลนครัวเรือนละ 10,000 บาท เนื่องจากสถานการณ์น้ำท่วมในเชียงรายครั้งนี้ทำให้เกิดปัญหาดินโคลนสะสมจำนวนมาก และต้องใช้กำลังคนและทรัพยากรจำนวนมากในการฟื้นฟู

เหตุใดงบประมาณยังไม่ถูกจัดสรร?

เมื่อวันที่ 8 ตุลาคม 2567 นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เปิดเผยว่า กระทรวงมหาดไทยได้เสนอค่าล้างโคลนและดินสำหรับผู้ประสบอุทกภัยหลังคาเรือนละ 10,000 บาท ให้คณะรัฐมนตรีรับทราบ และไม่จำเป็นต้องผ่านการอนุมัติใหม่ เนื่องจากกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) ได้รับความเห็นชอบจากกรมบัญชีกลางแล้ว อย่างไรก็ตาม จนถึงปัจจุบันงบประมาณดังกล่าวยังไม่ได้ถูกโอนมายังพื้นที่ ทำให้ประชาชนยังคงต้องรอความช่วยเหลือ

นายอนุทินยืนยันว่า กระบวนการจ่ายเงินเยียวยาจะดำเนินการให้เร็วที่สุด โดยหากมีผู้ตกหล่น สามารถมาทวงสิทธิ์ได้ อย่างไรก็ตาม จนถึงขณะนี้ ยังไม่มีความชัดเจนว่าเหตุใดงบประมาณจึงยังไม่ถูกจัดสรรสู่พื้นที่

เชียงรายยังมีงบเหลือหรือไม่

เชียงรายได้จัดตั้ง กองทุนช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย ปี 2567 เพื่อเปิดโอกาสให้ภาคเอกชน องค์กรเอกชน และประชาชนทั่วไปสามารถร่วมบริจาคเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยในพื้นที่ โดยคณะทำงานได้กำหนดหลักเกณฑ์และแนวทางการใช้จ่ายเงินกองทุนภายใต้ความเห็นชอบของผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีความชัดเจนว่ากองทุนดังกล่าวมีงบเพียงพอที่จะช่วยเหลือในกรณีค่าล้างโคลนหรือไม่

ความคิดเห็นจากประชาชนและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

มุมมองของประชาชน

  1. หลายครัวเรือนที่ได้รับผลกระทบยังต้องใช้เงินส่วนตัวในการล้างคราบโคลน ซึ่งเป็นภาระทางการเงินเพิ่มเติม
  2. ประชาชนบางส่วนกังวลว่า หากไม่มีงบประมาณช่วยเหลือทันก่อนฤดูฝนปี 2568 ปัญหาดินโคลนที่ยังคงตกค้างอาจทำให้เกิดน้ำท่วมซ้ำซาก
  3. มีข้อสงสัยว่าขั้นตอนการเบิกจ่ายงบประมาณจากภาครัฐล่าช้าเพราะเหตุใด และจะสามารถดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในปีงบประมาณนี้หรือไม่

มุมมองของภาครัฐ

  1. ผู้ว่าฯ เชียงรายยืนยันว่าทางจังหวัดได้ส่งเอกสารและหลักฐานทั้งหมดไปยังส่วนกลางเรียบร้อยแล้ว และกำลังรอการโอนงบประมาณจากรัฐบาล
  2. กระทรวงมหาดไทยยืนยันว่าเงินเยียวยาค่าล้างโคลนได้รับการเห็นชอบแล้ว และอยู่ในขั้นตอนการดำเนินการ
  3. หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกำลังเร่งตรวจสอบว่าเหตุใดการโอนงบประมาณยังไม่เกิดขึ้น และจะมีแนวทางเร่งรัดการเบิกจ่ายอย่างไร

สถิติที่เกี่ยวข้อง

  • สำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) รายงานว่าในปี 2567 จังหวัดเชียงรายมีผู้ประสบภัยน้ำท่วมกว่า 15,000 ครัวเรือน
  • ศูนย์อุตุนิยมวิทยาภาคเหนือ คาดการณ์ว่า ฤดูฝนปี 2568 จะมีปริมาณน้ำฝนเพิ่มขึ้น 5-10% จากปกติ ซึ่งอาจทำให้เกิดน้ำท่วมซ้ำในพื้นที่เสี่ยง
  • ข้อมูลจากเทศบาลนครเชียงราย ระบุว่าความเสียหายที่เกิดจากน้ำท่วมในเขตเมืองเชียงรายและอำเภอแม่สาย คิดเป็นมูลค่ารวมกว่า 500 ล้านบาท

สรุป

ปัญหาความล่าช้าในการจ่ายเงินเยียวยาค่าล้างโคลนให้กับผู้ประสบภัยน้ำท่วมในจังหวัดเชียงราย ยังคงเป็นที่กังวลของประชาชน แม้รัฐบาลจะยืนยันว่าเงินดังกล่าวได้รับการเห็นชอบแล้ว แต่จนถึงขณะนี้ยังไม่มีการโอนงบประมาณมายังพื้นที่

หากงบประมาณไม่ได้รับการจัดสรรทันก่อนฤดูฝนปี 2568 อาจส่งผลกระทบต่อการฟื้นฟูพื้นที่ประสบภัย และอาจทำให้เกิดน้ำท่วมซ้ำได้

การเร่งรัดกระบวนการเบิกจ่ายงบประมาณจึงเป็นสิ่งจำเป็น เพื่อให้ประชาชนสามารถฟื้นฟูบ้านเรือน และลดความเสี่ยงในการเกิดน้ำท่วมซ้ำซาก

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) / ศูนย์อุตุนิยมวิทยาภาคเหนือ / เทศบาลนครเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE