Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

สาธารณสุขเชียงรายลุย เร่งตรวจคัดกรองสารหนู แม่น้ำกก-แม่น้ำสาย หลังพบปนเปื้อน

เชียงรายเดินหน้าเฝ้าระวังสุขภาพประชาชนกลุ่มเสี่ยงสารหนูปนเปื้อนแม่น้ำกก-แม่น้ำสาย วางระบบเชิงรุก–บูรณาการเครือข่าย เตรียมตรวจคัดกรองกว่า 1,600 ราย ย้ำมาตรฐานปลอดภัยต่อชีวิต

เชียงราย, 1 กรกฎาคม 2568 – สถานการณ์ปัญหาสารหนูปนเปื้อนในแม่น้ำกกและแม่น้ำสาย จังหวัดเชียงราย สร้างความห่วงกังวลต่อสุขภาพประชาชนในพื้นที่อย่างต่อเนื่อง ล่าสุด สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงราย ผนึกกำลังกับภาคีเครือข่ายทั้งในระดับท้องถิ่นและส่วนกลาง จัดระบบเฝ้าระวังเชิงรุก ตรวจคัดกรองสุขภาพประชาชนที่อยู่ในพื้นที่เสี่ยงอย่างเข้มข้นและต่อเนื่อง ตั้งเป้าครอบคลุม 1,600 รายใน 7 อำเภอสำคัญ

จุดเริ่มต้นของมาตรการเชิงรุก

ความตื่นตัวของหน่วยงานภาครัฐต่อภัยสารหนูในแม่น้ำกกและแม่น้ำสาย เกิดขึ้นหลังจากมีรายงานการตรวจพบสารปนเปื้อนในแหล่งน้ำธรรมชาติ ส่งผลให้ สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงราย กรมควบคุมโรค และองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย ได้ระดมกำลังประชุมหารือวางแผนร่วมกัน เมื่อวันที่ 26 มิถุนายน 2568 โดยนายณรงค์ ลือชา รองนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดเชียงราย เป็นประธาน พร้อมคณะทำงานจากกองโรคจากการประกอบอาชีพและสิ่งแวดล้อม สำนักงานป้องกันควบคุมโรคที่ 1 เชียงใหม่ และสาธารณสุขอำเภอทั่วพื้นที่

การตรวจคัดกรองสุขภาพประชาชนกลุ่มเสี่ยง

การดำเนินการระยะแรก ลงพื้นที่บ้านรวมมิตร ต.แม่ยาว อ.เมืองเชียงราย ตรวจคัดกรองประชาชนกลุ่มแรก 30 ราย ที่อาศัยในรัศมี 1 กิโลเมตรจากแม่น้ำ พบว่า มีความเสี่ยงสัมผัสสารหนูสูง 2 ราย (6.67%) เสี่ยงปานกลาง 10 ราย (33.33%) และเสี่ยงต่ำ 18 ราย (60%) โดยการตรวจเน้นที่การสัมภัสและอุปนิสัยการใช้น้ำในครัวเรือน

สำหรับแผนงานต่อเนื่อง ระหว่างวันที่ 1 – 10 กรกฎาคม 2568 จะขยายการคัดกรองไปยัง 7 อำเภอ ได้แก่ อ.เมืองเชียงราย, เวียงชัย, เวียงเชียงรุ้ง, แม่สาย, แม่จัน, เชียงแสน และดอยหลวง ครอบคลุม 40 หมู่บ้าน ๆ ละ 40 ราย รวมทั้งสิ้น 1,600 ราย พร้อมเก็บข้อมูลแบบสอบถามประเมินความเสี่ยง หลังจากนั้น วันที่ 22 – 24 กรกฎาคม 2568 จะมีการตรวจปัสสาวะของประชาชนกลุ่มเสี่ยงสูงและปานกลางจำนวน 400 ราย เพื่อวิเคราะห์ค่าความเข้มข้นของสารหนูและใช้ประเมินแนวโน้มสุขภาพในระยะยาว

ผลตรวจเชิงวิชาการและมาตรฐานความปลอดภัย

ข้อมูลผลตรวจปัสสาวะกลุ่มเสี่ยง ในพื้นที่ลุ่มน้ำกกและแม่น้ำสาย เมื่อวันที่ 5 – 6 มิถุนายน 2568 ระบุว่า

  • กลุ่มประชาชนที่อยู่ใกล้แม่น้ำกก จำนวน 5 ราย พบค่าความเข้มข้นของสารหนูระหว่าง 45.7 – 93.2 มิลลิกรัม/ลิตร อยู่ในระดับไม่เกินมาตรฐาน (ค่ามาตรฐาน 100 มิลลิกรัม/ลิตร)
  • กลุ่มประชาชนที่อยู่ใกล้แม่น้ำสาย 5 ราย พบค่าความเข้มข้นของสารหนูระหว่าง 27.1 – 43.6 มิลลิกรัม/ลิตร อยู่ในระดับปลอดภัย
    ทั้งนี้ ผลดังกล่าวช่วยสร้างความเชื่อมั่นในเบื้องต้นต่อประชาชนในพื้นที่ว่าระบบเฝ้าระวังสามารถตรวจจับความผิดปกติได้อย่างทันท่วงที

วิเคราะห์ผลลัพธ์และทิศทางต่อไป

การบูรณาการหน่วยงานระดับพื้นที่และส่วนกลางร่วมกันขับเคลื่อนการเฝ้าระวังเชิงรุก นับเป็นจุดเริ่มต้นสำคัญของการบริหารความเสี่ยงด้านสุขภาพที่ยั่งยืน ข้อมูลการตรวจวิเคราะห์จะนำไปใช้ประกอบการตัดสินใจเชิงนโยบายและปรับปรุงแผนป้องกันในระยะยาว โดยมีเป้าหมายเพื่อสร้างความเชื่อมั่นด้านสาธารณสุขและสิ่งแวดล้อมในชุมชนลุ่มน้ำที่มีความเสี่ยงสูงสุดของจังหวัดเชียงราย

นอกจากมาตรการคัดกรองและวินิจฉัยโรคในประชาชนกลุ่มเสี่ยงแล้ว หน่วยงานที่เกี่ยวข้องยังเดินหน้าทำงานเชิงรุกด้านการสื่อสาร ให้ความรู้ สร้างความตระหนักรู้ในประชาชนทุกกลุ่ม รวมถึงการประเมินข้อมูลอย่างต่อเนื่องเพื่อพัฒนาแนวทางป้องกันและแก้ไขปัญหาสารปนเปื้อนอย่างมีประสิทธิภาพในอนาคต

สรุป

วิกฤตการณ์สารหนูในลุ่มน้ำกกและแม่น้ำสาย เป็นบททดสอบสำคัญของระบบสาธารณสุขจังหวัดเชียงรายในการสร้างมาตรการป้องกันเชิงรุกที่ยั่งยืนและมีประสิทธิภาพ การบูรณาการความร่วมมือทุกภาคส่วน ทั้งส่วนกลางและท้องถิ่น จะเป็นกุญแจสำคัญในการปกป้องสุขภาพและความปลอดภัยของประชาชนในพื้นที่

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
  • สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงราย
  • กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข
  • องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย
  • ประชาชาติธุรกิจ: รายงานสถานการณ์สุขภาพจากสารหนูปนเปื้อน
  • กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

ปากแบง HPP ชี้แจง โครงการลาวเดินหน้า ชี้ผลกระทบข้ามพรมแดน

โครงการโรงไฟฟ้าพลังน้ำปากแบง เดินหน้าสื่อสาร-รับฟังชาวบ้าน 8 หมู่บ้านริมโขง เชียงราย แจงผลศึกษา TbEIA–CIA ย้ำมาตรการบรรเทาผลกระทบข้ามพรมแดน

เชียงราย, 30 มิถุนายน 2568 – บริษัท ปากแบง พาวเวอร์ จำกัด ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจาก สปป.ลาว จัดประชุมชี้แจงความคืบหน้าโครงการโรงไฟฟ้าพลังน้ำปากแบง (Pak Beng HPP) กับชาวบ้าน 8 หมู่บ้านริมแม่น้ำโขง กลุ่มรักษ์เชียงของ กลุ่มนักวิชาการอิสระในพื้นที่ ตัวแทนโรงเรียน หน่วยงานท้องถิ่น และสื่อมวลชนกว่า 500 คน จากอำเภอเวียงแก่นและเชียงของ จังหวัดเชียงราย ระหว่างวันที่ 18-21 มิถุนายน 2568 เพื่ออัปเดตสถานะการก่อสร้าง กำหนดมาตรการบรรเทาผลกระทบข้ามพรมแดน พร้อมสร้างความเข้าใจ กระตุ้นการมีส่วนร่วมของประชาชนในพื้นที่

สาระสำคัญของโครงการ

ดร.วรวิทย์ ผดุงบวรศิลป์ รองผู้อำนวยการฝ่ายบริหารโครงการ บริษัท ปากแบง พาวเวอร์ จำกัด เปิดเผยว่า โรงไฟฟ้าพลังน้ำปากแบงเป็นเขื่อนแบบทดน้ำ (run off river) มีจุดเด่นที่ควบคุมปริมาณน้ำท้ายน้ำอย่างสมดุล (Inflow = Outflow) เพื่อลดผลกระทบต่อระบบนิเวศและชุมชนในลุ่มน้ำโขงตอนล่างทั้งลาว ไทย กัมพูชา และเวียดนาม โดยเน้นย้ำถึงการดำเนินงานตามมาตรการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมข้ามพรมแดน (TbEIA) และผลกระทบสะสม (CIA) อย่างรอบคอบ รวมถึงมีแผนช่องทางเดินเรือ ทางผ่านปลา ระบบระบายตะกอน และกำหนดแผนก่อสร้างในหน้าแล้ง ตุลาคม 2568

การศึกษา TbEIA–CIA และข้อกังวลชุมชน

คุณเยาวภา ชูวงศ์ จากบริษัทที่ปรึกษา ระบุว่า การศึกษาผลกระทบข้ามพรมแดนเน้นความโปร่งใสตามแนวทาง MRC (คณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง) มีการศึกษาข้อมูลพื้นฐาน ครอบคลุมระบบนิเวศ เศรษฐกิจ และชุมชน ก่อนกำหนดมาตรการป้องกันและแก้ไขปัญหา ทั้งนี้ ยังมีการดำเนินการตามขั้นตอนกระบวนการ PNPCA อย่างครบถ้วน โดยผลการจำลองคณิตศาสตร์ชี้ให้เห็นว่า ระดับน้ำจะเปลี่ยนแปลงน้อยมาก (ผาไดถึงบ้านดอนมหาวัน 10 กม.) จากนั้นระดับน้ำจะคงที่

รับฟังเสียงชุมชน–เยียวยาอย่างต่อเนื่อง

ในเวทีรับฟังความคิดเห็น ชาวบ้านแสดงความกังวลเรื่องระดับน้ำโขงที่อาจส่งผลต่อพื้นที่ทำกิน น้ำเท้อเข้าลำน้ำสาขา เกษตรกรสวนส้มโอ และประมง พร้อมสอบถามมาตรการเยียวยา การฟื้นฟูอาชีพ และกลไกพิจารณาการชดเชย ด้านผู้พัฒนาโครงการยืนยันจะเร่งสำรวจข้อมูลเศรษฐกิจ-สังคม เจรจาแนวทางเยียวยา พร้อมเปิดเวทีชี้แจงปีละ 2 ครั้ง ตลอด 29 ปีของโครงการ โดยลงพื้นที่ศึกษาข้อมูลร่วมกับเกษตรกรในลำน้ำงาวหลังประชุม เพื่อคลายความกังวลของชุมชน

โอกาส–ความท้าทาย

โครงการโรงไฟฟ้าพลังน้ำปากแบงสะท้อนการพัฒนาเศรษฐกิจภูมิภาคอาเซียนและความรับผิดชอบข้ามพรมแดน ทั้งในมิติสังคม สิ่งแวดล้อม และความโปร่งใส แม้โครงการจะวางแผนบรรเทาผลกระทบและเยียวยาอย่างเป็นรูปธรรม แต่การรับฟังและแก้ไขข้อห่วงใยของชุมชนยังต้องเดินหน้าอย่างต่อเนื่อง การมีส่วนร่วมจริงของชาวบ้านจะเป็นตัวชี้ขาดความสำเร็จของโครงการนี้

สรุปและทิศทางต่อไป

ผู้พัฒนาโครงการยืนยันความมุ่งมั่นร่วมกับภาคส่วนต่าง ๆ ในการรับฟังความเห็นและเดินหน้าโครงการด้วยความรับผิดชอบ เปิดกว้างต่อข้อเสนอแนะ พร้อมสัญญาจะรายงานความคืบหน้าและมาตรการเพิ่มเติมแก่ชุมชนอย่างต่อเนื่อง

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
  • บริษัท ปากแบง พาวเวอร์ จำกัด
  • ทีม คอนซัลติ้ง เอนจิเนียริ่งแอนด์แมนเนจเมนท์ จำกัด (มหาชน)
  • คณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง (MRC)
  • ประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
  • กลุ่มรักษ์เชียงของ
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

วิกฤตแม่น้ำโขง-กก-สาย-รวก ประชาชนเรียกร้องจีนรับผิดชอบเหมืองแร่

ปอยหลวงเพื่อแม่น้ำ” เสียงสะท้อนจากเครือข่ายประชาชนเชียงราย เรียกร้องหยุดต้นตอปัญหาสารพิษข้ามพรมแดนในแม่น้ำกก-สาย-รวก-โขง ย้ำแก้ที่ต้นเหตุ ปกป้องอนาคตแหล่งน้ำและสุขภาพชุมชน

เชียงราย, 21 มิถุนายน 2568 – ท่ามกลางวิกฤตการณ์สารพิษปนเปื้อนข้ามพรมแดนในแม่น้ำสายสำคัญของภาคเหนือ เครือข่ายประชาชน นักวิชาการ ศิลปิน และเยาวชน จ.เชียงราย ได้รวมพลังจัดกิจกรรม “ปอยหลวงเพื่อแม่น้ำกก สาย รวก โขง” ณ ขัวศิลปะ พิพิธภัณฑ์ศิลปะร่วมสมัยเมืองเชียงราย เพื่อส่งเสียงเรียกร้องให้ยุติการทำเหมืองแร่ต้นน้ำกกและแม่น้ำสายที่เป็นต้นตอของสารโลหะหนักปนเปื้อนในแหล่งน้ำ ห่วงผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม สุขภาพ และคุณภาพชีวิตของประชาชนลุ่มน้ำโขง

จุดเริ่มต้น – เสียงจากชุมชนถึงเวทีนานาชาติ

กิจกรรมครั้งนี้จัดขึ้นในรูปแบบงานศิลปะและวัฒนธรรม โดยมีเวทีอภิปรายในหัวข้อ “แก้ปัญหาที่ต้นเหตุคือเหมืองเถื่อนที่ต้นแม่น้ำในพม่า” และ “ฟังเสียงประชาชน” เริ่มต้นด้วยบทเพลงโดยเยาวชน Chiang Rai Youth Orchestra ตามด้วยการเสวนา กาดศิลปิน และกิจกรรมเชิงสร้างสรรค์มากมาย ที่สะท้อนความตื่นตัวและห่วงใยต่อวิกฤตแม่น้ำจากประชาชนทั่วจังหวัดเชียงรายและชุมชนใกล้เคียง

แม้จะได้เชิญเอกอัครราชทูตจีนประจำประเทศไทยมารับฟังเสียงประชาชน แต่สุดท้ายไม่มีตัวแทนจากสถานทูตจีนเข้าร่วมงาน ข้อเท็จจริงนี้ยิ่งเน้นให้เห็นถึงช่องว่างในกระบวนการสื่อสารข้ามชาติในประเด็นปัญหาแร่และสารพิษ

แกนหลักของปัญหา – วงจรอุบาทว์ของเหมืองแร่ข้ามแดน

เสียงจากเวทีสะท้อนตรงกันว่าต้นตอปัญหาอยู่ที่การทำเหมืองแร่ โดยเฉพาะเหมืองแรร์เอิร์ทในรัฐฉานและรัฐคะฉิ่น ประเทศเมียนมา ซึ่งดำเนินการโดยกลุ่มทุนข้ามชาติและบริษัทจีน ส่งผลให้โลหะหนัก เช่น สารหนู ตะกั่ว และโลหะอันตรายอื่นๆ ไหลลงแม่น้ำสายต่างๆ ของไทย และสะสมในสิ่งแวดล้อมตลอดจนร่างกายมนุษย์

ผศ.ดร.ศิตางศุ์ พิลัยหล้า จากคณะวิศวกรรมศาสตร์ ม.เกษตรศาสตร์ ยกตัวอย่างปัญหาสารพิษจากเหมืองทองในพื้นที่อื่นของไทยที่สะสมจนส่งผลกระทบต่อสุขภาพและสิ่งแวดล้อม พร้อมเตือนว่าหากไม่หยุดปัญหาตั้งแต่ต้นทาง เชียงรายอาจเดินรอยซ้ำปัญหาจากพื้นที่เหมืองทองในอดีต

ขณะที่ตัวแทนภาคประชาชน เช่น นายนิวัฒน์ ร้อยแก้ว ประธานกลุ่มรักษ์เชียงของ และตัวแทนชาวบ้านแม่สาย-ท่าตอน สะท้อนผลกระทบเชิงประจักษ์ ทั้งการเปลี่ยนแปลงระบบนิเวศ ประเพณีที่หายไป ปัญหาสุขภาพ และการขาดความมั่นใจในความปลอดภัยของแหล่งน้ำและอาหารพื้นถิ่น

ข้อเรียกร้องจากเวที “ปอยหลวง” สู่ทุกภาคส่วน

กิจกรรมในวันนี้สรุปข้อเรียกร้องและข้อสังเกตสำคัญ 4 ประเด็น ดังนี้

  1. ข้อเรียกร้องต่อรัฐบาลไทย
    • เร่งเจรจากับรัฐบาลเมียนมาและจีนเพื่อหยุดการทำเหมืองแร่หายากต้นน้ำกกและสาย
    • ยุติการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าด้วยการสร้างฝายดักตะกอนที่ไม่สามารถแก้ปัญหาสารพิษได้จริง
    • ตั้งคณะกรรมการแก้ปัญหาที่มีประชาชนและนักวิชาการร่วมเป็นสมาชิก
    • จัดสรรงบประมาณเพื่อฟื้นฟูและป้องกันมากกว่าใช้งบในโครงการที่ไม่แก้ปัญหาระยะยาว
    • ตรวจสุขภาพประชาชนในพื้นที่เสี่ยงอย่างต่อเนื่อง
  2. ข้อเรียกร้องต่อรัฐบาลจีน
    • เรียกร้องให้รัฐบาลจีนและบริษัทเหมืองแร่ในรัฐฉานและคะฉิ่นแสดงความรับผิดชอบต่อผลกระทบ
    • เสนอให้มีการเจรจาระหว่างรัฐต่อรัฐเพื่อหาทางออกที่เป็นธรรม
  3. ข้อเสนอจากภาคประชาชนและนักวิชาการ
    • ย้ำว่าการยุติการทำเหมืองต้นน้ำคือทางออกเดียว
    • ตั้งข้อสังเกตถึงความไม่โปร่งใสของภาครัฐในการเปิดเผยผลตรวจคุณภาพน้ำ
    • เสนอให้นำประเด็นนี้สู่เวทีนานาชาติ โดยเฉพาะเวทีสิทธิมนุษยชนของ UN
  4. ข้อสังเกตสถานการณ์ปัจจุบัน
    • สารพิษกำลังสะสมในพืช ปลา สัตว์น้ำ และร่างกายมนุษย์
    • ยังขาดระบบเฝ้าระวังและติดตามผลกระทบที่ครอบคลุมและมีประสิทธิภาพ

วิเคราะห์และบทสรุป – ปลุกพลังสังคม-ผลักดันนโยบายเปลี่ยนผ่าน

งาน “ปอยหลวง” ครั้งนี้จึงไม่ใช่เพียงเวทีศิลปะหรือวัฒนธรรม แต่เป็นการแสดงพลังของพลเมืองเพื่อเรียกร้องความรับผิดชอบจากทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง พร้อมย้ำว่าการแก้ปัญหาสารพิษในลำน้ำสายสำคัญของภาคเหนือ ต้องเริ่มที่การหยุดปัญหาตั้งแต่ต้นทางและเดินหน้าฟื้นฟูอย่างมีส่วนร่วม

สิ่งที่เกิดขึ้นในเชียงรายวันนี้สะท้อนภาพสะท้อนปัญหาสิ่งแวดล้อมข้ามแดนในภูมิภาคอาเซียนที่ต้องได้รับการแก้ไขอย่างจริงจัง ไม่เช่นนั้น เราอาจต้องแลกอนาคตของแม่น้ำ อาหาร และสุขภาพของประชาชนกับผลประโยชน์ของกลุ่มทุนข้ามชาติที่ไม่เหลียวแลความทุกข์ของชุมชนชายขอบ

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • ขัวศิลปะ พิพิธภัณฑ์ศิลปะร่วมสมัยเมืองเชียงราย
  • กลุ่มรักษ์เชียงของ
  • คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI NEWS UPDATE

เขื่อนปากแบง สปป.ลาว ชาวเวียงแก่นหวั่นผลกระทบที่ดิน-อาชีพ

เวทีรับฟังความคิดเห็น “เขื่อนปากแบง” อ.เวียงแก่น จ.เชียงราย ชุมชนห่วงกระทบที่ดินทำกิน อาชีพ และสิ่งแวดล้อม กางกระบวนการมีส่วนร่วม ขณะที่ผู้แทนโครงการยืนยันแผนชดเชยหากเกิดผลกระทบในอนาคต

เชียงราย, 19 มิถุนายน 2568 – การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงานไฟฟ้าในภูมิภาคลุ่มน้ำโขง ยังคงเป็นประเด็นสำคัญที่ได้รับการติดตามอย่างใกล้ชิด ล่าสุด โครงการก่อสร้าง “เขื่อนปากแบง” ในแขวงอุดมไซ สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป.ลาว) ซึ่งอยู่ห่างจากชายแดนไทยบริเวณอำเภอเวียงแก่น จังหวัดเชียงราย ราว 97 กิโลเมตร ได้ก้าวเข้าสู่ช่วงของการชี้แจงข้อมูลและเวทีรับฟังความคิดเห็นของประชาชนในพื้นที่ที่คาดว่าจะได้รับผลกระทบโดยตรง

กระบวนการรับฟังความคิดเห็น เสียงประชาชนต้องมาก่อน

วันที่ 18 มิถุนายน 2568 ที่บ้านห้วยลึก อ.เวียงแก่น เวทีรับฟังความคิดเห็นโครงการเขื่อนปากแบง เปิดให้ชาวบ้านจากบ้านห้วยลึก บ้านแจมป๋อง (อ.เวียงแก่น) และบ้านดอนมหาวัน (อ.เชียงของ) ได้ร่วมแสดงความเห็นและข้อกังวลอย่างเสรี ชาวบ้านส่วนใหญ่แสดงความห่วงใยต่อความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงระดับน้ำโขงที่อาจนำไปสู่น้ำท่วมพื้นที่การเกษตร ที่อยู่อาศัย ตลอดจนกระทบต่ออาชีพประมง และวิถีชีวิตของชุมชนลุ่มน้ำโขงตอนบนที่ต้องพึ่งพาแม่น้ำเป็นหลัก

หลายเสียงสะท้อนว่าการพัฒนาโครงการขนาดใหญ่เช่นนี้ควรเปิดเวทีอย่างต่อเนื่อง เพื่อรับฟังความเห็นโดยตรงจากคนในพื้นที่ ตลอดจนให้มีช่องทางเสนอข้อกังวลต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้องโดยตรง ซึ่งชุมชนเรียกร้องความชัดเจนเรื่องมาตรการชดเชยและเยียวยาหากเกิดผลกระทบที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้

ผู้แทนโครงการแจง เขื่อนปากแบงเป็น “เขื่อนทดน้ำ” ผลกระทบควบคุมได้

ในเวทีดังกล่าว ผู้แทนที่ปรึกษาโครงการฯ ชี้แจงว่าเขื่อนปากแบงเป็นเขื่อนประเภท “ทดน้ำ” ผลิตไฟฟ้า ไม่ใช่เขื่อนกักเก็บน้ำขนาดใหญ่ ระดับน้ำที่กักเก็บจะสูงสุดที่ 340 เมตรจากระดับน้ำทะเลปานกลางในฤดูน้ำหลาก และ 335 เมตรในหน้าแล้ง พร้อมยืนยันว่าข้อมูลเบื้องต้นชี้ว่าระดับน้ำจะไม่ส่งผลกระทบต่อบ้านเรือนหรือทรัพย์สินของฝั่งไทย โดยกระบวนการศึกษาได้วางมาตรการรองรับไว้ หากภายหลังพบผลกระทบเกิดขึ้นกับที่ดินทำกินหรืออาชีพ ชุมชนจะได้รับการชดเชยที่เป็นธรรม

ประเด็นสารพิษในแม่น้ำโขงและสิ่งแวดล้อม – ข้อกังวลที่ต้องรับฟัง

ภาคประชาชนและเครือข่ายในพื้นที่ยังได้ตั้งคำถามถึงความเสี่ยงเรื่องสารพิษในแม่น้ำโขงที่อาจรุนแรงขึ้นจากโครงการก่อสร้างเขื่อน โดยเฉพาะตะกอนดิน โลหะหนัก หรือผลกระทบต่อสัตว์น้ำที่เป็นแหล่งอาหารและรายได้ของชุมชน ชาวบ้านและเครือข่ายจึงขอให้มีการศึกษาผลกระทบข้ามพรมแดน (Transboundary EIA) อย่างละเอียด โปร่งใส และเปิดโอกาสให้ทุกฝ่ายมีส่วนร่วมอย่างแท้จริง

รายละเอียดโครงการ และสถานะการดำเนินงาน

โครงการเขื่อนปากแบงตั้งอยู่เหนือเมืองปากแบงราว 15 กิโลเมตร โดยมีแผนเริ่มก่อสร้างในเดือนตุลาคม 2568 เชื่อมต่อระบบไฟฟ้าเดือนมีนาคม 2575 และคาดว่าจะแล้วเสร็จในเดือนมิถุนายน 2576 ผู้ร่วมลงทุนคือ บริษัท China Datang Overseas Investment Co., Ltd. และ บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) ขณะนี้อยู่ในขั้นตอนจัดทำรายงานผลกระทบข้ามพรมแดน หากแล้วเสร็จจะดำเนินการขอกู้เงินจากธนาคารพาณิชย์ของไทยต่อไป

กำหนดการเวทีรับฟังความคิดเห็นในพื้นที่

  • 19 มิถุนายน 2568 เวลา 09.00-12.00 น. ที่ศาลาประชาคมหมู่บ้านแจมป๋อง / 13.00-16.00 น. ที่ศาลาประชาคมหมู่บ้านยายเหนือ
  • 20 มิถุนายน 2568 เวลา 09.00-12.00 น. ที่ศาลาประชาคมหมู่บ้านห้วยเอียน / 13.00-16.00 น. ที่ศาลาประชาคมหมู่บ้านปากอิง
  • 21 มิถุนายน 2568 เวลา 09.00-12.00 น. ที่ศาลาประชาคมหมู่บ้านดอนมหาวัน / 13.00-16.00 น. ที่ศาลาประชาคมหมู่บ้านปากอิงใต้

เวทีดังกล่าวถือเป็นช่องทางสำคัญในการสะท้อนความรู้สึกและข้อกังวลของประชาชนสู่การพัฒนาโครงการให้โปร่งใส และเคารพสิทธิชุมชน

บทวิเคราะห์และผลลัพธ์ของข่าว

การพัฒนาโครงการพลังงานไฟฟ้าในลุ่มน้ำโขงครั้งนี้ ไม่ได้ส่งผลแค่ระดับชาติแต่ยังขยายไปถึงรากฐานวิถีชีวิตและเศรษฐกิจของชุมชนข้ามแดน กระบวนการมีส่วนร่วมและการศึกษาผลกระทบข้ามพรมแดนจึงเป็นหัวใจสำคัญที่ทุกฝ่ายต้องใส่ใจอย่างยั่งยืน การสร้างเขื่อนเพื่อพลังงานอาจหมายถึงทางเลือกใหม่ของเศรษฐกิจไทยและภูมิภาค แต่ต้องไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง โดยเฉพาะชุมชนท้องถิ่นที่ต้องเป็นผู้ร่วมออกแบบอนาคตของตนเอง

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
  • รายงานเวทีรับฟังความคิดเห็นโครงการเขื่อนปากแบง อ.เวียงแก่น 18-21 มิ.ย. 2568
  • ข้อมูลการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.)
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI TOP STORIES

ไขข้อข้องใจ ‘ปลาแค้ติดเชื้อ’ รมช.เกษตรฯ จี้กรมประมงแถลงข้อเท็จจริงด่วน

รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย (มท.4) สั่งกรมประมงแจงด่วน! หลังมีรายงาน “ปลาแค้” ติดเชื้อตัวใหม่ในแม่น้ำกก ชี้แจงข้อเท็จจริง-ยันไม่ใช่สารเคมีหรือโลหะหนัก

เชียงราย, 12 มิถุนายน 2568 – สถานการณ์ความวิตกกังวลเกี่ยวกับสุขภาพสัตว์น้ำในแม่น้ำกก จังหวัดเชียงราย กลายเป็นประเด็นร้อนหลังจากสื่อสังคมออนไลน์เผยแพร่ข่าวกรณีพบ “ปลาแค้” ติดเชื้อชนิดใหม่เมื่อวันที่ 10 มิถุนายน 2568 จนนำไปสู่การตั้งข้อสงสัยเรื่องความปลอดภัยต่อประชาชนในพื้นที่ และผลกระทบต่อระบบนิเวศ รวมถึงความกังวลเรื่องสารปนเปื้อนจากโลหะหนักหรือสารเคมีในแม่น้ำสายหลักที่หล่อเลี้ยงชีวิตผู้คนและเศรษฐกิจชุมชน

มท.4 สั่งการกรมประมงชี้แจง – ยึดข้อเท็จจริงจากผลแลป

นายธีรรัตน์ สำเร็จวาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย (มท.4) มีคำสั่งด่วนให้กรมประมงตรวจสอบและชี้แจงข้อเท็จจริงโดยเร็วที่สุดต่อสาธารณชนทันทีที่ทราบผลการตรวจพิสูจน์ พร้อมย้ำว่า ต้องแจ้งข้อมูลโดยอ้างอิงผลตรวจวิทยาศาสตร์เท่านั้น เพื่อไม่ให้ประชาชนสับสนหรือวิตกเกินความเป็นจริง

ผลตรวจโรคปลาแค้ล่าสุดสาเหตุจากพยาธิไดจีน ไม่ใช่สารพิษโลหะหนัก

ย้อนกลับไปเมื่อ 2 พฤษภาคม 2568 กองวิจัยและพัฒนาสุขภาพสัตว์น้ำ กรมประมง ได้รายงานผลการตรวจวิเคราะห์โรคในตัวอย่างปลาแค้ (Bagarius sp.) ที่ชาวประมงจับได้บริเวณบ้านสบคำ ตำบลเวียง อำเภอเชียงแสน จังหวัดเชียงราย โดยส่งต่อเข้าสู่กระบวนการวิเคราะห์ในห้องปฏิบัติการ 4 สาขาหลัก พบว่า

  • ปลาแค้มีก้อนเนื้ออักเสบบริเวณครีบหลัง ครีบอก ครีบไขมัน ครีบหาง และใต้คาง ลักษณะอาการเป็นตุ่มเนื้อสีแดง
  • ผลตรวจทางพยาธิวิทยาและปรสิตวิทยา พบการติดเชื้อพยาธิในกลุ่มไดจีน (Digenea) ซึ่งเป็นพยาธิใบไม้ชนิดหนึ่ง ที่ทำให้เกิดการอักเสบของเนื้อเยื่อใต้ผิวหนังและเกิดพังผืดล้อมรอบตัวอ่อนของพยาธิ
  • ผลตรวจทางแบคทีเรียวิทยาพบเชื้อ Aeromonas hydrophila ซึ่งเป็นแบคทีเรียฉวยโอกาส พบได้ในตุ่มเนื้องอก แต่ไม่พบในอวัยวะภายใน
  • ไม่พบการติดเชื้อไวรัสรุนแรงในปลาตัวดังกล่าว
  • ผลตรวจยืนยันอาการผิดปกติไม่ได้มีสาเหตุมาจากสารปนเปื้อนประเภทโลหะหนัก หรือสารเคมีตกค้างในแม่น้ำโขง

กรมประมงเดินหน้าตรวจต่อเนื่อง – เฝ้าระวังสารปนเปื้อนทุก 2 สัปดาห์

กรมประมงได้ดำเนินการเฝ้าระวังสุขภาพสัตว์น้ำและสารปนเปื้อนในแม่น้ำสายสำคัญ อาทิ แม่น้ำกก แม่น้ำสาย และแม่น้ำโขง อย่างเข้มข้นทุก 2 สัปดาห์ โดยกำหนด 4 จุดหลักสำรวจทั้งในพื้นที่จังหวัดเชียงรายและเชียงใหม่ โดยเน้นประเมินผลกระทบต่อสุขภาพของสัตว์น้ำ รวมถึงความปลอดภัยในการบริโภคของประชาชน

ข้อมูลจากหนังสือราชการ กองวิจัยและพัฒนาสุขภาพสัตว์น้ำ ลงวันที่ 2 พฤษภาคม 2568 ระบุชัดว่า ตัวอย่างปลาแค้น้ำหนัก 85 กรัม ความยาว 20 ซม. พบตุ่มเนื้อแดงกระจายตามครีบและบริเวณใต้คาง รวมถึงบาดแผลบริเวณรอบปาก ผลตรวจปรสิตวิทยา พบกลุ่มไดจีนจำนวนมากในตุ่มเนื้องอก ผลแบคทีเรียวิทยาพบ Aeromonas hydrophila ในบริเวณตุ่มดังกล่าว ส่วนไวรัสวิทยาไม่พบเชื้อไวรัสรุนแรง

การตรวจพยาธิวิทยาพบความผิดปกติในเหงือก อวัยวะภายในมีบางส่วนเสื่อมสภาพ และพบการก่อตัวของแกรนูโลมาซึ่งเป็นการอักเสบเรื้อรังของเนื้อเยื่อ กล้ามเนื้อและตุ่มเนื้องอกปลามีการตอบสนองโดยเซลล์เส้นใยห่อหุ้มพยาธิ เกิดเป็นซีสต์ขึ้นในชั้นกล้ามเนื้อ

ชี้ชัด “ไม่ใช่ผลจากสารพิษ” – ข้อมูลสู่ประชาชนต้องรอบด้าน

กรมประมงเน้นย้ำว่า อาการผิดปกติของปลาแค้มาจากการติดเชื้อปรสิต ไม่เกี่ยวข้องกับสารพิษตกค้างจากโลหะหนักหรือเคมีในแม่น้ำโขงหรือแม่น้ำกกแต่อย่างใด และไม่ใช่โรคติดต่อรุนแรงที่เกิดจากไวรัส จึงขอให้ประชาชนคลายความกังวล พร้อมติดตามข้อมูลข้อเท็จจริงจากหน่วยงานราชการโดยตรง

ในขณะเดียวกัน กรมประมงยังเดินหน้าตรวจสอบต่อเนื่อง ร่วมกับศูนย์วิจัยและพัฒนาการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำจืดเชียงราย เพื่อเฝ้าระวังโรคและประเมินผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้นต่อสุขภาพสัตว์น้ำและความปลอดภัยในการบริโภคของประชาชนอย่างต่อเนื่องทุก 2 สัปดาห์

การสื่อสารที่ถูกต้องคือหัวใจการสร้างความเชื่อมั่น

กรณีปลาแค้ติดเชื้อในแม่น้ำกกเป็นตัวอย่างสำคัญของการจัดการข่าวสารในยุคข้อมูลข่าวสารไหลเร็ว หน่วยงานรัฐและสื่อมวลชนต้องยึดผลตรวจทางวิทยาศาสตร์เป็นหลักและชี้แจงข้อมูลอย่างต่อเนื่องต่อประชาชน ไม่ให้เกิดความเข้าใจผิดหรือตื่นตระหนกเกินจริง ขณะที่การเฝ้าระวังโรคในสัตว์น้ำและสารปนเปื้อนในแหล่งน้ำก็ยังเป็นภารกิจหลักของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อความมั่นคงทางอาหารและสุขภาพของประชาชน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • กองวิจัยและพัฒนาสุขภาพสัตว์น้ำ กรมประมง
  • ศูนย์วิจัยและพัฒนาการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำจืดเชียงราย
  • กระทรวงมหาดไทย
  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI TOP STORIES

สารหนูเกินมาตรฐาน 15 จุด แม่น้ำกก-สาย-โขง ชาวประมงหวั่นผลกระทบ

กรมควบคุมมลพิษเผยสารหนูปนเปื้อนในแม่น้ำกก-สาย-โขง 15 จุด เสี่ยงกระทบสุขภาพ-เศรษฐกิจ ชาวประมงเดือดร้อน จี้รัฐเร่งมาตรการจัดการ”

เชียงราย, 10 มิถุนายน 2568 –สถานการณ์สิ่งแวดล้อมในพื้นที่ลุ่มน้ำกก แม่น้ำสาย และแม่น้ำโขง จังหวัดเชียงราย ทวีความรุนแรงต่อเนื่อง หลังกรมควบคุมมลพิษ (คพ.) รายงานผลตรวจสอบคุณภาพน้ำครั้งที่ 4 (26-30 พฤษภาคม 2568) พบสารหนู (Arsenic: As) เกินค่ามาตรฐาน 0.010 มิลลิกรัมต่อลิตร (มก./ล.) ในทุกจุดตรวจวัด 15 จุดทั่วทั้ง 3 ลำน้ำ รวมถึง 3 จุดในแม่น้ำสาย และ 2 จุดในแม่น้ำโขง โดยจุดที่มีค่าสูงสุด ได้แก่ บ้านป่าซางงาม อ.แม่สาย (0.038 มก./ล.) และบ้านโป่งนาคำ ต.ดอยฮาง อ.เมือง (0.023 มก./ล.) ข้อมูลชี้ชัดต้นตอหลักมาจากกิจกรรมเหมืองแร่บริเวณต้นน้ำในรัฐฉาน เมียนมา ซึ่งอยู่ภายใต้การควบคุมของกองทัพสหรัฐว้า ส่งผลให้คุณภาพน้ำบริเวณชายแดนไทย-พม่ามีความขุ่นสูงผิดปกติและปริมาณสารหนูพุ่งสูงกว่ามาตรฐาน

ผลกระทบขยายวงกว้าง—เข้าสู่ห่วงโซ่อาหารและเศรษฐกิจชุมชน

ข้อมูลจากการสัมภาษณ์ผู้เชี่ยวชาญ สมพร เพ็งค่ำ ผู้อำนวยการสถาบันพัฒนาระบบประเมินผลกระทบทางสุขภาพโดยชุมชน (CHIA Platform) ระบุว่า การปนเปื้อนสารหนูแพร่กระจายจากต้นน้ำสู่กลางน้ำและปลายน้ำ โดยเฉพาะในช่วงฤดูฝนที่มีการเปิดฝายเชียงราย ทำให้ตะกอนที่มีสารหนูถูกปล่อยลงแม่น้ำมากขึ้น ส่งผลกระทบโดยตรงต่อเกษตรกร ผู้ใช้น้ำบาดาลใกล้แม่น้ำ และประชาชนที่ใช้น้ำเพื่อการบริโภค สมพรเสนอให้รัฐและประปาท้องถิ่นเร่งแจกชุดตรวจน้ำเบื้องต้น (test kit) ให้ชุมชน พร้อมทั้งคัดกรองจุดเสี่ยงและรายงานผลอย่างโปร่งใส

ขณะที่ ผศ.ดร.เสถียร ฉันทะ มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย วิเคราะห์ว่า การสะสมของสารหนูในแม่น้ำกก สาย และโขง มีความเสี่ยงสูงต่อการเข้าสู่ร่างกายมนุษย์และสัตว์ผ่านการใช้น้ำและการบริโภคสัตว์น้ำ เช่น ปลา กุ้ง หอย ซึ่งอาจนำไปสู่การสะสมในห่วงโซ่อาหารและผลกระทบต่อสุขภาพในระยะยาว

ปลาป่วย-ชาวประมงเดือดร้อนหนัก—ขาดความเชื่อมั่น กระทบรายได้

สมาคมแม่น้ำเพื่อชีวิต รายงานผ่านเฟซบุ๊กและสำรวจพื้นที่ พบจำนวนปลาที่ติดเชื้อและมีอาการผิดปกติในแม่น้ำกกและโขงเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะปลากดและปลาแข้ที่มีตุ่มรุนแรง คาดว่าเป็นผลโดยตรงจากสารพิษที่ไหลมาจากเหมืองในเมียนมา แม้ผลตรวจสอบโลหะหนักในตัวปลาล่าสุดจากกรมประมง (เม.ย.-พ.ค. 2568) จะยังไม่เกินมาตรฐาน แต่ปัญหาความเชื่อมั่นของผู้บริโภคทำให้ปลาจากแม่น้ำเหล่านี้ขายไม่ออก ชาวประมงประสบวิกฤติรายได้ลดลงอย่างรุนแรง

บุญสุข สุวรรณดี ชาวประมงบ้านสบคำ อ.เชียงแสน เปิดเผยว่า “ไม่มีใครซื้อปลาเลย แม่ค้าปิดโทรศัพท์หนี อยากให้รัฐช่วยเหลือ อาจนำปลามาปล่อยในแหล่งน้ำสำรองให้ชาวบ้านมีอาหาร” ขณะที่สมเกียรติ เขื่อนเชียงสา นายกสมาคมแม่น้ำเพื่อชีวิต ระบุว่าขณะนี้อยู่ระหว่างเก็บตัวอย่างปลาเพื่อส่งตรวจวิเคราะห์ทางวิทยาศาสตร์และใช้ผลผลักดันรัฐในการเจรจาปิดเหมืองต้นตอปัญหา

แรงกดดันจากภาคประชาชน—รัฐต้องตอบสนองอย่างโปร่งใสและยั่งยืน

ภาคประชาชนในเชียงรายและเชียงใหม่ออกมาเรียกร้องให้รัฐดำเนินมาตรการเร่งด่วน 1) แจ้งเตือนประชาชนเกี่ยวกับความเสี่ยง 2) แจกชุดตรวจน้ำและสนับสนุนระบบบำบัดน้ำ 3) ตรวจสอบและเจรจาปิดเหมืองในเมียนมา 4) ฟื้นฟูแหล่งน้ำและดูแลเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบ
กรมควบคุมมลพิษแจ้งว่าขณะนี้อยู่ระหว่างดำเนินการตรวจน้ำครั้งที่ 5 (9-13 มิ.ย. 2568) โดยจะรายงานผลให้สาธารณชนรับทราบต่อไป พร้อมทั้งมีแผนติดตามคุณภาพน้ำอย่างต่อเนื่อง

บทวิเคราะห์และข้อเสนอแนะ

การพบสารหนูในลุ่มน้ำกก สาย และโขงในระดับที่เกินมาตรฐานติดต่อกันหลายครั้งสะท้อนถึงความจำเป็นที่รัฐต้องเร่งปฏิบัติการทั้งในเชิงนโยบายและมาตรการระยะเร่งด่วน เช่น การประชาสัมพันธ์ แจ้งเตือนสาธารณชน การแจก test kit ระบบบำบัดน้ำเฉพาะพื้นที่ และการเจรจาระหว่างประเทศกับเมียนมาเพื่อตัดวงจรปัญหา
ขณะเดียวกัน การสร้างความเข้มแข็งให้กับระบบตรวจสอบคุณภาพน้ำโดยชุมชนและการมีส่วนร่วมของประชาชนจะช่วยเพิ่มความโปร่งใสและสร้างความมั่นใจให้กับทุกฝ่าย

สรุป

ปัญหามลพิษสารหนูในลุ่มน้ำกก สาย และโขง ไม่ใช่แค่เรื่องสิ่งแวดล้อมเฉพาะจุดแต่เชื่อมโยงถึงวิถีชีวิต เศรษฐกิจ และความมั่นคงทางอาหารในระยะยาว รัฐและทุกภาคส่วนต้องร่วมกันขับเคลื่อนอย่างจริงจัง เพื่อปกป้องสุขภาพประชาชนและสิ่งแวดล้อมในพื้นที่

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • กรมควบคุมมลพิษ (คพ.)
  • สมาคมแม่น้ำเพื่อชีวิต
  • สำนักข่าวชายขอบ
  • สถาบันพัฒนาระบบประเมินผลกระทบทางสุขภาพโดยชุมชน (CHIA Platform)
  • มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

ผู้ว่าฯ เชียงรายตรวจศูนย์เฝ้าระวังน้ำพิษ เร่งแก้ปนเปื้อนแม่น้ำภาคเหนือ

เชียงรายเร่งตั้งศูนย์เฝ้าระวังคุณภาพน้ำ 4 จุด พร้อมเดินหน้าทำแผนแก้ปัญหามลพิษข้ามพรมแดนจากเหมืองต้นน้ำเมียนมา

เชียงราย, 9 มิถุนายน 2568 สถานการณ์ปนเปื้อนสารโลหะหนักในลำน้ำสำคัญของภาคเหนือ โดยเฉพาะแม่น้ำกก แม่น้ำสาย และแม่น้ำโขง กำลังกลายเป็นประเด็นวิกฤตด้านสิ่งแวดล้อมที่ทุกภาคส่วนต้องเร่งรับมืออย่างจริงจัง ล่าสุด นายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย พร้อมด้วยนายประเสริฐ จิตต์พลีชีพ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมศูนย์เฝ้าระวังคุณภาพสิ่งแวดล้อม ณ บริเวณหน้าศาลากลางจังหวัดเชียงราย เพื่อให้กำลังใจเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงาน พร้อมเน้นย้ำการดำเนินงานเชิงรุกตามข้อสั่งการของนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ซึ่งแสดงความห่วงใยต่อสถานการณ์คุณภาพน้ำในพื้นที่ภาคเหนืออย่างต่อเนื่อง

จุดตรวจดังกล่าวถือเป็นหนึ่งใน 4 จุดของศูนย์เฝ้าระวังคุณภาพสิ่งแวดล้อมที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) ได้จัดตั้งขึ้น ครอบคลุมแม่น้ำกก แม่น้ำสาย และแม่น้ำโขง เพื่อใช้เป็นฐานข้อมูลกลางในการวัดคุณภาพน้ำ ตรวจสอบตะกอน และเผยแพร่ข้อมูลต่อประชาชนผ่านระบบป้ายประชาสัมพันธ์แบบเรียลไทม์ พร้อมรับเรื่องร้องเรียนและสร้างการมีส่วนร่วมจากชุมชนในทุกพื้นที่

ศูนย์เฝ้าระวัง 4 จุดในพื้นที่เสี่ยง ครอบคลุม 2 จังหวัด

ศูนย์เฝ้าระวังคุณภาพสิ่งแวดล้อมที่จัดตั้งขึ้นครอบคลุมพื้นที่ 2 จังหวัด ได้แก่ เชียงราย และเชียงใหม่ โดยแบ่งเป็น 4 จุดหลัก ได้แก่

  1. สะพานท่าตอน อ.แม่อาย จ.เชียงใหม่ (แม่น้ำกก) – รับผิดชอบโดย กรมทรัพยากรน้ำบาดาล
  2. ศูนย์ราชการเชียงราย อ.เมือง จ.เชียงราย (แม่น้ำกก) – รับผิดชอบโดย กรมควบคุมมลพิษ
  3. ด่านพรมแดนแม่สายแห่งที่ 1 อ.แม่สาย จ.เชียงราย (แม่น้ำสาย) – รับผิดชอบโดย กรมควบคุมมลพิษ
  4. สามเหลี่ยมทองคำ อ.เชียงแสน จ.เชียงราย (แม่น้ำโขง) – รับผิดชอบโดย กรมทรัพยากรน้ำบาดาล

ศูนย์ทั้ง 4 แห่งมีบทบาทสำคัญในการตรวจวัดสารปนเปื้อน โดยเฉพาะสารหนู ปรอท และแคดเมียม ที่ถูกสันนิษฐานว่าไหลลงมาจากเหมืองแร่ในเขตชายแดนเมียนมา และอาจส่งผลกระทบระยะยาวต่อสุขภาพประชาชน รวมถึงเศรษฐกิจท้องถิ่นที่พึ่งพาแหล่งน้ำธรรมชาติ

กรมควบคุมมลพิษเดินหน้าเจรจาระดับรัฐบาล ร่วมกับเมียนมาและจีน

ในระดับนโยบาย กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดย ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงฯ ได้สั่งการให้ กรมควบคุมมลพิษ (คพ.) เร่งตรวจสอบคุณภาพน้ำในลำน้ำกกและลำน้ำสาย พร้อมประสานกระทรวงการต่างประเทศจัดเจรจาอย่างเป็นทางการกับสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาและสาธารณรัฐประชาชนจีน กรณีผลกระทบจากการทำเหมืองที่ต้นน้ำ

นอกจากนี้ รองนายกรัฐมนตรี นายประเสริฐ จันทรรวงทอง ในฐานะประธานคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาคุณภาพน้ำในแหล่งน้ำผิวดิน ยังได้มอบหมายให้คณะทำงานเร่งหาข้อสรุปในการกำหนดกรอบการเจรจาระหว่างประเทศ เพื่อผลักดันให้การทำเหมืองข้ามพรมแดนอยู่ภายใต้ระบบความรับผิดชอบร่วมกัน

ข้อเสนอเสริมระบบดักตะกอนสารพิษ ก่อนปล่อยน้ำสู่แม่น้ำสายหลัก

นอกจากการติดตามตรวจสอบข้อมูล คพ. ยังได้ร่วมวางแผนกับกรมทรัพยากรน้ำ ออกแบบระบบดักตะกอนบริเวณจุดที่ตรวจพบการปนเปื้อน เพื่อนำตะกอนที่มีโลหะหนักออกจากลำน้ำ ลดผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชน ขณะนี้อยู่ระหว่างขั้นตอนออกแบบและจัดทำระบบให้แล้วเสร็จโดยเร็ว

จัดตั้ง “AIM” ศูนย์ข้อมูลกลางแห่งแรกของประเทศ

เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการสื่อสารและลดความสับสนจากการเผยแพร่ข้อมูลหลายช่องทาง รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย นางสาวธีรรัตน์ สำเร็จวาณิชย์ ได้มีข้อสั่งการให้จัดตั้ง “ศูนย์ข้อมูลกลางเพื่อการรับรู้และติดตามสถานการณ์” หรือ Awareness Information Monitoring (AIM) โดยมอบหมายให้ คพ. ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น การประปาส่วนภูมิภาค กรมอนามัย กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ และสำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัดเชียงราย ดำเนินการรวบรวม วิเคราะห์ และเผยแพร่ข้อมูลคุณภาพน้ำจากแหล่งน้ำธรรมชาติ น้ำประปาหมู่บ้าน และผลิตผลทางการเกษตรอย่างเป็นระบบ

แต่งตั้งทีมที่ปรึกษาวิชาการ 9 ราย สนับสนุนศูนย์อำนวยการส่วนหน้า

ในการประชุมล่าสุดมีมติแต่งตั้งคณะที่ปรึกษาจำนวน 9 ราย ประกอบด้วยนักวิชาการ อาจารย์มหาวิทยาลัย และผู้เชี่ยวชาญจากสาขาแวดล้อม ได้แก่ ศ.ดร.ธเนศวร์ เจริญเมือง, นายวิชัย ไชยมงคล, ผศ.ดร.ชิตชล ผลารักษ์, ผศ.ดร.พงศ์พันธุ์ กาญจนการุณ, ดร.ณัฐนนท์ จิรกิจนิมิตร, ดร.สืบสกุล กิจนุกร, อ.ทสิตา สุพัฒนรังสรรค์, อ.ณิชภัทร์ กิจเจริญ และนายอาทิตย์ ภูบุญคง ซึ่งจะทำหน้าที่สนับสนุนการดำเนินงานเชิงวิชาการของศูนย์อำนวยการแก้ไขปัญหาคุณภาพน้ำส่วนหน้าในพื้นที่ลุ่มน้ำกกและลุ่มน้ำสาย

จากการตรวจเยี่ยมสู่การเปลี่ยนผ่านเชิงนโยบาย

การลงพื้นที่ของผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงรายในครั้งนี้ มิได้เป็นเพียงการให้กำลังใจเจ้าหน้าที่ หากแต่เป็นการส่งสัญญาณถึงความเร่งด่วนในการยกระดับระบบเฝ้าระวังและสร้างการมีส่วนร่วมของประชาชนอย่างแท้จริง ปัญหามลพิษข้ามพรมแดนจากเหมืองต้นน้ำเมียนมาไม่อาจแก้ไขได้ด้วยมาตรการภายในประเทศเพียงลำพัง ความร่วมมือระดับภูมิภาคจึงเป็นหัวใจสำคัญ

ในขณะเดียวกัน การจัดตั้งศูนย์ข้อมูลกลาง AIM และการสนับสนุนโดยทีมที่ปรึกษาวิชาการ ถือเป็นก้าวสำคัญในการวางรากฐานการจัดการข้อมูลที่โปร่งใส และเสริมสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชนต่อบทบาทของภาครัฐในการแก้ไขปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

วิกฤตน้ำกก 7 ชุมชนรวมพลังสู้ภัยพิษ-น้ำท่วม ชี้รัฐไร้คำตอบ

เชียงรายผนึกพลังชุมชน สู้วิกฤต “น้ำกก-น้ำโขง” ปนเปื้อนสารพิษ ขยายเครือข่ายรับมือภัยพิบัติข้ามพรมแดน

ปัญหาแม่น้ำปนเปื้อนข้ามพรมแดนกลายเป็นความท้าทายครั้งใหญ่ของชุมชนริมฝั่งน้ำกกและแม่น้ำโขง

เชียงราย, 8 มิถุนายน 2568 – เมื่อเครือข่ายข้อมูลอุทกภัยแม่น้ำกก (คอก.) และองค์กรภาคประชาชนจากจังหวัดเชียงรายรวมตัวเปิดเวทีแลกเปลี่ยน ณ โฮงเฮียนแม่น้ำของ อำเภอเชียงของ จังหวัดเชียงราย หวังต่อยอดการเฝ้าระวังเชิงรุกจากปัญหาน้ำท่วมสู่การรับมือ “น้ำเป็นพิษ” ที่กำลังแทรกซึมเข้าสู่วิถีชีวิตของคนในพื้นที่อย่างเงียบงัน

การรวมตัวของผู้แทนจาก 7 หมู่บ้านสองฝั่งแม่น้ำกก ได้แก่ บ้านร่มไทย, บ้านใหม่หมอกจ๋าม, บ้านผาใต้, บ้านจะคือ, บ้านแคววัวดำ, บ้านผาขวาง และบ้านโป่งนาคำ นับเป็นการรวมพลังท้องถิ่นที่ไม่รอความช่วยเหลือจากรัฐเพียงฝ่ายเดียว โดยในวงเสวนา มีการเปิดเผยถึงสถานการณ์จริงจากพื้นที่ที่ต้องเผชิญภัยน้ำหลากซ้ำซาก รวมถึงการพบสารโลหะหนัก เช่น สารหนู ปรอท และแคดเมียม ซึ่งสันนิษฐานว่ามาจากเหมืองแร่ต้นน้ำฝั่งเมียนมาที่มีมากกว่า 40 แห่งโดยไม่มีข้อมูลเปิดเผย

เสียงจากชุมชน เมื่อแม่น้ำไม่ปลอดภัย ชีวิตต้องสู้เพื่ออยู่กับความจริง

“ตอนนี้เราดื่มน้ำไม่ได้ จับปลามาก็ไม่แน่ใจว่าจะกินได้ไหม ปลูกผักก็ไม่มั่นใจเรื่องดิน” คือคำกล่าวจากชาวบ้านในเวทีที่สะท้อนถึงวิถีชีวิตที่ต้องพึ่งพาแม่น้ำ แต่กลับถูกบีบให้เผชิญกับสารพิษที่ไร้ชื่อ ผู้คนต้องกลายเป็นแนวหน้ารับผลกระทบโดยไม่มีระบบเตือนภัย ไม่มีข้อมูลจากรัฐที่สามารถตรวจสอบได้ และไม่มีกลไกใดที่สามารถชะลอความเสียหายได้ทันท่วงที

นายนิวัฒน์ ร้อยแก้ว หรือ “ครูตี๋” ประธานกลุ่มรักษ์เชียงของ เปิดเผยว่า การเฝ้าระวังคุณภาพน้ำโดยภาคประชาชนพบว่าปริมาณตะกอนและโลหะหนักในแม่น้ำโขงเพิ่มสูงขึ้นต่อเนื่องจากต้นน้ำในเมียนมาไปจนถึงเชียงของ การเฝ้าระวังจากรัฐยังล่าช้าและไม่มีช่องทางให้ชาวบ้านมีส่วนร่วม ทั้งที่ประชาชนคือผู้ได้รับผลกระทบโดยตรง

พระมหานิคม มหาภินิกฺขมโน จากวัดท่าตอน จังหวัดเชียงใหม่ กล่าวอย่างมีพลังว่า “เราเป็นลูกแม่น้ำกก เราจะไม่ยอมให้สิ่งแวดล้อมของลูกหลานเราถูกทำลาย แม้เราจะไม่เห็นผลในรุ่นเรา แต่เราจะส่งต่อการต่อสู้ต่อไป”

การเปลี่ยนแปลงเริ่มจากล่างขึ้นบน สร้างเครือข่ายเฝ้าระวังภัยพิบัติ

ในกิจกรรมครั้งนี้ยังมีการอบรมการวัดระดับน้ำ การตรวจค่าตะกอน และการใช้ไลน์กลุ่มแจ้งเตือนระดับน้ำเพื่อให้ทันต่อสถานการณ์ฉับพลัน โดยมีผู้แทนจากทั้งท้องถิ่น ภิกษุ ผู้นำชุมชน และภาคประชาสังคมเข้าร่วมอย่างเข้มแข็ง นายทาเคโอ โตโยต้า ผู้เชี่ยวชาญจากโครงการเสริมศักยภาพฯ ได้ถ่ายทอดเทคนิคการเตือนภัยที่ใช้ได้จริงในพื้นที่ห่างไกล เพื่อให้เครือข่ายสามารถช่วยเหลือกันเองเมื่อเกิดภัยซ้ำ

ชาวบ้านแต่ละพื้นที่ยังได้แชร์ประสบการณ์น้ำท่วมหนักในปี 2567 ทั้งที่ไม่มีสัญญาณเตือนล่วงหน้า น้ำขึ้นกว่า 20 เซนติเมตรใน 1 ชั่วโมง และบางพื้นที่ถึงขั้นสูญเสียผู้คนจากความเศร้าหลังภัยพิบัติ ยิ่งตอกย้ำความจำเป็นในการมีระบบเตือนภัยที่แม่นยำและทันท่วงที

รัฐเริ่มขยับ ตั้งศูนย์เฝ้าระวัง 4 จุดในเชียงราย-เชียงใหม่

ในวันเดียวกัน นายนิกร ศิรโรจนานนท์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม พร้อมคณะ ได้ลงพื้นที่จังหวัดเชียงรายเพื่อติดตามความคืบหน้าในการจัดตั้ง “ศูนย์เฝ้าระวังคุณภาพสิ่งแวดล้อม” รวม 4 จุด ได้แก่

  • จุดที่ 1: ศูนย์การแพทย์แผนไทย อบต.ท่าตอน อ.แม่อาย จ.เชียงใหม่ (แม่น้ำกก)
  • จุดที่ 2: ศาลากลางจังหวัดเชียงราย (แม่น้ำกก)
  • จุดที่ 3: ด่านพรมแดนแม่สาย (แม่น้ำสาย)
  • จุดที่ 4: สามเหลี่ยมทองคำ อ.เชียงแสน (แม่น้ำโขง)

โดยแต่ละจุดจะตรวจสอบคุณภาพน้ำ ตะกอนดิน และสารปนเปื้อน พร้อมแสดงผลแบบเรียลไทม์ผ่านป้ายประชาสัมพันธ์ เพื่อให้ข้อมูลสาธารณะโปร่งใส พร้อมรับเรื่องร้องเรียนจากประชาชนอย่างเป็นระบบ

เส้นทางต่อสู้ของประชาชนเมื่อรัฐยังช้า

แม้การตั้งศูนย์เฝ้าระวังจะเป็นสัญญาณบวก แต่คำถามสำคัญคือ “ทันหรือไม่?” เพราะชาวบ้านยังต้องใช้น้ำ กินปลา และปลูกผักอยู่ทุกวัน ขณะที่สารพิษอาจแพร่กระจายโดยไร้การเตือน

เวทีในครั้งนี้จึงไม่ใช่เพียงกิจกรรมแลกเปลี่ยนความรู้ แต่คือการส่งสัญญาณเตือนรัฐและสังคมไทยว่า ภัยพิบัติในยุคใหม่ไม่ได้มีเพียงน้ำหลากหรือแผ่นดินไหว แต่รวมถึง “ภัยเงียบ” จากสารพิษที่ไหลมากับสายน้ำ และไม่อาจมองข้ามได้อีกต่อไป

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • มูลนิธิพัฒนาชุมชนและเขตภูเขา
  • กลุ่มรักษ์เชียงของ
  • เครือข่ายข้อมูลอุทกภัยแม่น้ำกก (คอก.)
  • กลุ่มเสรีภาพแม่น้ำโขง
  • กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.)
  • สัมภาษณ์ภาคสนามโดยสำนักข่าวนครเชียงรายนิวส์
    (เผยแพร่วันที่ 8 มิถุนายน 2568)
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI TOP STORIES

สารหนูเกินมาตรฐานทส. ชี้แม่น้ำกก-สายยังน่าห่วง

รมว.ทส. สั่งเร่งติดตามและแก้ไขปัญหาสารหนูปนเปื้อนในแม่น้ำกก-สาย-โขง จ.เชียงราย เดินหน้าประชุมมาตรการเข้มข้นเพื่อคืนคุณภาพชีวิตประชาชน

เชียงราย, 3 มิถุนายน 2568 – สถานการณ์วิกฤตมลพิษสารหนูในแม่น้ำกก แม่น้ำสาย และแม่น้ำโขง กลายเป็นประเด็นสำคัญที่หน่วยงานรัฐทุกระดับต้องขับเคลื่อนอย่างเร่งด่วน หลังการตรวจพบค่าปนเปื้อนสารหนูในแหล่งน้ำธรรมชาติของจังหวัดเชียงรายเกินกว่าค่ามาตรฐานซ้ำซ้อนหลายจุด สร้างความวิตกกังวลต่อสุขภาพประชาชนและสิ่งแวดล้อมโดยรวม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (รมว.ทส.) ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน ยืนยันเดินหน้าแก้ไขปัญหาทั้งเชิงรุกและระยะยาว เพื่อเร่งคืนคุณภาพชีวิตที่ดีแก่ประชาชนในพื้นที่อย่างเป็นรูปธรรม

วิกฤตสารหนูข้ามพรมแดนในพื้นที่ลุ่มน้ำเชียงราย

ตลอดช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา ปัญหาการปนเปื้อนของสารหนูในลุ่มน้ำสำคัญของภาคเหนือโดยเฉพาะแม่น้ำกก แม่น้ำสาย และแม่น้ำโขง ถูกจับตามองจากประชาชน สื่อมวลชน และนักวิชาการทั้งในประเทศและต่างประเทศ ข้อมูลการตรวจวัดคุณภาพน้ำจากกรมควบคุมมลพิษและกรมทรัพยากรน้ำพบค่าการปนเปื้อนสารหนู ซึ่งเป็นโลหะหนักที่เป็นอันตรายสูงต่อร่างกายมนุษย์และสัตว์น้ำ เกินมาตรฐานที่องค์การอนามัยโลกและประเทศไทยกำหนดไว้ สร้างความวิตกกังวลเป็นวงกว้าง โดยเฉพาะกับประชาชนในพื้นที่ซึ่งต้องใช้น้ำในชีวิตประจำวัน

สถานการณ์ดังกล่าวซับซ้อนยิ่งขึ้น เมื่อพบว่าแหล่งกำเนิดมลพิษส่วนใหญ่มีต้นทางมาจากนอกประเทศ ครอบคลุมพื้นที่ต้นน้ำในเขตชายแดนเมียนมาและพื้นที่ชายแดนจีน ซึ่งควบคุมและตรวจสอบต้นเหตุโดยตรงได้ยาก รัฐบาลไทยจึงต้องดำเนินงานเชิงรุก ทั้งมาตรการเฉพาะหน้าและแผนความร่วมมือระหว่างประเทศ

รมว.ทส. สั่งประชุมเร่งรัดมาตรการ รับมือผลกระทบสุขภาพและสิ่งแวดล้อม

ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ให้สัมภาษณ์หลังร่วมลงนามถวายพระพรในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษาสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี ณ พระบรมมหาราชวัง ว่าได้ติดตามสถานการณ์นี้อย่างต่อเนื่อง และในวันที่ 4 มิถุนายน 2568 ได้มอบหมายให้นายจตุพร บุรุษพัฒน์ ปลัดกระทรวงฯ ประชุมติดตามมาตรการแก้ไขปัญหาโดยเร่งด่วน ตามกรอบที่คณะอนุกรรมการขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาคุณภาพน้ำในแหล่งน้ำผิวดิน ที่มีรองนายกรัฐมนตรี (นายประเสริฐ จันทรรวงทอง) เป็นประธาน เพื่อเร่งรัดการปฏิบัติงานและคลายข้อห่วงใยจากประชาชนในพื้นที่

รัฐมนตรีฯ ย้ำว่า แม้มาตรการที่ทำได้ในทันทีอาจเป็นเพียงการแก้ไขปัญหาปลายเหตุ เช่น การออกแบบระบบดักตะกอนเพื่อชะลอการกระจายของสารปนเปื้อนและเพิ่มจุดตรวจวัดคุณภาพน้ำ แต่ได้กำชับให้ทุกหน่วยงานดำเนินการอย่างใกล้ชิด ทั้งกรมทรัพยากรน้ำ (ทน.) และกรมควบคุมมลพิษ (คพ.) จะต้องเพิ่มจำนวนและความถี่ของการเก็บตัวอย่างน้ำ ครอบคลุมตลอดลำน้ำและสาขา ทั้งน้ำผิวดิน ตะกอนดิน สัตว์หน้าดิน ไปจนถึงตรวจระดับสารพิษในร่างกายของประชาชนกลุ่มเสี่ยง

แม่น้ำกก-สาย ยังเกินมาตรฐานในบางจุด

รายงานจากกรมควบคุมมลพิษเมื่อวันที่ 1 มิถุนายน 2568 ระบุว่า แม่น้ำกกและแม่น้ำสาย ซึ่งเชื่อมต่อกับแม่น้ำโขงและประเทศเพื่อนบ้าน ยังพบค่าการปนเปื้อนของสารหนูเกินกว่าค่ามาตรฐานในการตรวจวัดทั้งน้ำผิวดินและตะกอนดิน โดยเฉพาะในพื้นที่ก่อนถึงจุดที่น้ำไหลผ่านฝายเชียงรายไปยังแม่น้ำโขง พบว่าหลังผ่านฝายดังกล่าว ค่าสารปนเปื้อนมีแนวโน้มลดลง สาเหตุจากกระแสน้ำถูกลดความเร็ว ส่งผลให้มีการตกตะกอนเพิ่มมากขึ้น

ส่วนแม่น้ำสาขา เช่น แม่น้ำกรณ์ แม่น้ำลาว และแม่น้ำสรวย คุณภาพน้ำยังอยู่ในเกณฑ์ดี แม้จะพบสารหนูในตะกอนเกินค่ามาตรฐานสำหรับการปกป้องสัตว์หน้าดิน แต่ยังไม่ส่งผลกระทบโดยตรงต่อสุขภาพมนุษย์ในขณะนี้

ความร่วมมือระหว่างประเทศ ความท้าทายที่ต้องใช้เวลา

ดร.เฉลิมชัย เน้นว่า การแก้ไขปัญหาสารหนูที่ต้นเหตุต้องอาศัยกระบวนการเจรจาและความร่วมมือระหว่างประเทศ ทั้งกับเมียนมาและจีนซึ่งเป็นแหล่งต้นน้ำ แม้จะต้องใช้เวลานาน แต่รัฐบาลไทยมุ่งมั่นประสานความร่วมมือผ่านเวทีทวิภาคีและภูมิภาค พร้อมทั้งผลักดันข้อตกลงด้านสิ่งแวดล้อมและการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำร่วมกัน เพื่อแก้ปัญหาอย่างยั่งยืนในอนาคต

ขณะเดียวกัน มาตรการในประเทศต้องเดินหน้าอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นการแจ้งเตือนประชาชนให้งดกิจกรรมทางน้ำในพื้นที่เสี่ยง ให้ใช้น้ำเฉพาะแหล่งที่ผ่านการรับรองคุณภาพ และจัดหาน้ำดื่มน้ำใช้ที่ปลอดภัยสำหรับประชาชนกลุ่มเปราะบาง เช่น เด็ก ผู้สูงอายุ และหญิงตั้งครรภ์

การสื่อสารและแจ้งเตือนประชาชน สร้างความเชื่อมั่นในมาตรการรัฐ

รมว.ทส. ฝากถึงประชาชนในพื้นที่ จ.เชียงราย และใกล้เคียง ให้ติดตามข่าวสารและประกาศแจ้งเตือนจากหน่วยงานรัฐอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะในส่วนที่เกี่ยวกับสุขภาพและความปลอดภัย ให้ปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด อย่าตื่นตระหนกจนเกินไป เนื่องจากทุกหน่วยงานกำลังร่วมมือกันอย่างเต็มที่ เพื่อเฝ้าระวังและเร่งแก้ไขสถานการณ์ให้คลี่คลายโดยเร็วที่สุด

วิเคราะห์และแนวโน้มผลกระทบ

กรณีปนเปื้อนสารหนูในลุ่มน้ำเชียงรายถือเป็นแบบอย่างสำคัญของวิกฤตสิ่งแวดล้อมข้ามพรมแดน ที่ต้องอาศัยทั้งมาตรการภายในประเทศและความร่วมมือระหว่างประเทศ ขณะที่ภาคประชาชนจำเป็นต้องได้รับข้อมูลที่ถูกต้องและครบถ้วน พร้อมแนวทางปฏิบัติอย่างปลอดภัยและต่อเนื่อง หากสถานการณ์คลี่คลายได้ จะเป็นบทเรียนสำคัญในการบริหารจัดการสิ่งแวดล้อมระดับภูมิภาคสำหรับอนาคต

สถิติที่เกี่ยวข้องและแหล่งอ้างอิง

  • รายงานตรวจวัดคุณภาพน้ำแม่น้ำกก-สาย-โขง (กรมควบคุมมลพิษ, 1 มิ.ย. 2568)
  • ค่าสารหนูเกินมาตรฐานในน้ำผิวดินและตะกอนในหลายจุด (กรมควบคุมมลพิษ)
  • การเพิ่มจุดและความถี่ในการเก็บตัวอย่างน้ำและตะกอน (กรมทรัพยากรน้ำ)
  • แนวทางความร่วมมือระหว่างประเทศในการแก้ไขปัญหาสารพิษข้ามพรมแดน (กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม)
  • แนวทางแจ้งเตือนและเฝ้าระวังประชาชน (กรมควบคุมมลพิษ, สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงราย)

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : 

  • กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
  • กรมควบคุมมลพิษ
  • กรมทรัพยากรน้ำ
  • สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงราย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI TOP STORIES

ชาวบ้านผวาปลาแม่น้ำโขง หลังพบโลหะหนัก กปภ. เร่งตรวจน้ำดิบ

เชียงรายเร่งตรวจสอบคุณภาพน้ำแม่น้ำโขง หลังพบสารหนูปนเปื้อน ชาวบ้านหวั่นผลกระทบต่อสุขภาพและระบบนิเวศ

เชียงราย, 6 พฤษภาคม 2568 – สำนักข่าวชายขอบรายงานว่า แม่น้ำโขง ซึ่งเป็นแหล่งน้ำนานาชาติและเส้นเลือดหลักของชุมชนในจังหวัดเชียงราย กำลังเผชิญกับวิกฤตการปนเปื้อนสารโลหะหนัก โดยเฉพาะสารหนู (Arsenic) ที่ตรวจพบในระดับเกินค่ามาตรฐานในหลายจุด การประปาส่วนภูมิภาค (กปภ.) สาขาแม่สาย-เชียงแสน ประกาศแผนเร่งด่วนในการตรวจสอบน้ำดิบจากแม่น้ำโขงที่ใช้ผลิตน้ำประปาในอำเภอเชียงแสนและเชียงของ หลังทีมนักวิชาการจากมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวงพบสารหนูในระดับสูงถึง 19 เท่าของค่ามาตรฐานที่ยอมรับได้ในบริเวณสามเหลี่ยมทองคำ ชาวบ้านในพื้นที่ริมแม่น้ำโขงและแม่น้ำสาขา เช่น แม่น้ำกกและแม่น้ำสาย แสดงความกังวลอย่างหนัก โดยหลายคนไม่กล้าบริโภคปลาและกังวลต่อผลกระทบต่อการเกษตรจากตะกอนดินโคลนที่อาจปนเปื้อน

สถานการณ์นี้ไม่เพียงแต่สร้างความตื่นตระหนกในชุมชนท้องถิ่น แต่ยังเป็นสัญญาณเตือนถึงปัญหามลพิษข้ามพรมแดนที่อาจส่งผลกระทบต่อหลายประเทศในลุ่มน้ำโขง หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งในระดับท้องถิ่นและระดับชาติกำลังเร่งดำเนินการตรวจสอบและวางมาตรการแก้ไข เพื่อปกป้องสุขภาพประชาชนและรักษาความสมดุลของระบบนิเวศในแม่น้ำโขง

ความผิดปกติของแหล่งน้ำในลุ่มน้ำโขง

แม่น้ำโขงเป็นแหล่งน้ำที่มีความสำคัญทั้งในด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมสำหรับประเทศไทยและประเทศเพื่อนบ้าน เช่น ลาว กัมพูชา และเวียดนาม ในจังหวัดเชียงราย แม่น้ำโขงได้รับน้ำจากแม่น้ำสาขาหลายสาย เช่น แม่น้ำกก แม่น้ำสาย และแม่น้ำรวก ซึ่งไหลมาจากรัฐฉาน ประเทศเมียนมา พื้นที่เหล่านี้เป็นที่รู้จักในฐานะแหล่งทำเหมืองแร่ที่มีกิจกรรมต่อเนื่องมาหลายทศวรรษ ซึ่งอาจเป็นต้นตอของการปนเปื้อนสารโลหะหนักในแหล่งน้ำ

ตั้งแต่ต้นปี 2567 ชาวบ้านในอำเภอแม่สายเริ่มสังเกตเห็นความผิดปกติของน้ำในแม่น้ำสาย ซึ่งเป็นหนึ่งในแม่น้ำสาขาของแม่น้ำโขง น้ำในแม่น้ำสายมีลักษณะขุ่นขาวและมันวาวเมื่อกระทบแสงแดด แม้ในช่วงหน้าแล้งที่น้ำควรใสกว่าปกติ การประปาส่วนภูมิภาคสาขาแม่สายรายงานว่าระบบผลิตน้ำประปาไม่สามารถกรองน้ำให้ใสได้ตามปกติ โดยน้ำดิบมีความขุ่นสูงถึง 3,000-4,000 NTU ในช่วงฤดูน้ำหลากของปี 2567 และสูงถึง 7,000 NTU ในบางช่วงของปี 2568

เหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่เมื่อวันที่ 10 ตุลาคม 2567 จากอิทธิพลของพายุยางิ ยิ่งทำให้สถานการณ์เลวร้ายลง ดินโคลนสีผิดปกติถล่มลงมาท่วมพื้นที่อำเภอแม่สายและท่าขี้เหล็ก ประเทศเมียนมา การตรวจสอบตะกอนดินโดยกรมทรัพยากรธรณีพบสารหนูในระดับที่น่ากังวล สร้างความตื่นตัวให้หน่วยงานในพื้นที่เร่งตรวจสอบคุณภาพน้ำในแม่น้ำโขงและแม่น้ำสาขา เพื่อหาคำตอบว่าสารปนเปื้อนเหล่านี้ได้แพร่กระจายไปถึงแม่น้ำโขงหรือไม่

การตรวจพบสารหนูในแม่น้ำโขงและผลกระทบ

เมื่อวันที่ 29 เมษายน 2568 ทีมวิจัยจากสถาบันวิจัยและพยากรณ์ภัยพิบัติธรรมชาติ ภาคเหนือตอนบน มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง นำโดยอาจารย์ ดร.สืบสกุล กิจนุกร ได้เก็บตัวอย่างน้ำจากแม่น้ำสาย แม่น้ำรวก และแม่น้ำโขง รวม 9 จุด ตั้งแต่บริเวณหัวฝาย อำเภอแม่สาย ไปจนถึงเทศบาลเวียงเชียงแสน อำเภอเชียงแสน ผลการตรวจเบื้องต้นโดยใช้ชุดตรวจ Intelligent Heavy Metal Quantification Kit (IQUAN) ซึ่งพัฒนาโดยสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) พบสารหนูเกินค่ามาตรฐาน (0.01 มิลลิกรัมต่อลิตร) ในทุกจุด โดยจุดที่น่ากังวลที่สุดคือบริเวณสามเหลี่ยมทองคำ อำเภอเชียงแสน ซึ่งพบสารหนูสูงถึง 0.19 มิลลิกรัมต่อลิตร หรือเกินมาตรฐาน 19 เท่า

ผลการตรวจในจุดต่างๆ มีดังนี้:

  • จุดที่ 1: แม่น้ำสาย บ้านถ้ำผาจม-หัวฝาย อ.แม่สาย พบสารหนู 0.14 มิลลิกรัมต่อลิตร
  • จุดที่ 3: แม่น้ำสาย สะพานมิตรภาพที่ 1 อ.แม่สาย พบสารหนู 0.14 มิลลิกรัมต่อลิตร
  • จุดที่ 4: คลองชลประทาน บ้านเหมืองแดง อ.แม่สาย พบสารหนู 0.18 มิลลิกรัมต่อลิตร
  • จุดที่ 5: แม่น้ำรวก บ้านเวียงหอม ต.เกาะช้าง อ.แม่สาย พบสารหนู 0.12 มิลลิกรัมต่อลิตร
  • จุดที่ 6: แม่น้ำสาย สะพานมิตรภาพที่ 2 อ.แม่สาย พบสารหนู 0.12 มิลลิกรัมต่อลิตร
  • จุดที่ 7: แม่น้ำรวก บ้านสบรวก อ.เชียงแสน พบสารหนู 0.12 มิลลิกรัมต่อลิตร
  • จุดที่ 8: แม่น้ำรวกไหลลงแม่น้ำโขง สามเหลี่ยมทองคำ อ.เชียงแสน พบสารหนู 0.19 มิลลิกรัมต่อลิตร
  • จุดที่ 9: แม่น้ำโขง เทศบาลเวียงเชียงแสน อ.เชียงแสน พบสารหนู 0.14 มิลลิกรัมต่อลิตร

การค้นพบสารหนูในแม่น้ำโขงเป็นครั้งแรกในพื้นที่เชียงราย ถือเป็นสัญญาณเตือนที่ร้ายแรง เนื่องจากแม่น้ำโขงเป็นแหล่งน้ำที่ใช้ในการประมง การเกษตร และการผลิตน้ำประปาในหลายจังหวัดของประเทศไทย รวมถึงในลาว กัมพูชา และเวียดนาม ชาวบ้านในพื้นที่ เช่น ที่บ้านแก่งทรายมูล อำเภอเชียงแสน รายงานว่าไม่กล้าบริโภคปลาจากแม่น้ำโขง หลังกรมประมงเก็บตัวอย่างปลาเพื่อตรวจหาสารปนเปื้อนเมื่อปลายเดือนเมษายน 2568 ความกังวลนี้ยิ่งทวีคูณเมื่อชาวบ้านในพื้นที่ริมแม่น้ำกกและแม่น้ำสายพบว่าดินโคลนจากการน้ำท่วมเมื่อปี 2567 ทำให้พืชผลทางการเกษตรไม่เจริญเติบโต

นายอภิศักดิ์ สวัสดิรักษ์ ผู้จัดการ กปภ. สาขาแม่สาย-เชียงแสน ระบุว่า ทาง กปภ. มีแผนเก็บตัวอย่างน้ำดิบจากแม่น้ำโขงในเดือนพฤษภาคมนี้ โดยจะเน้นตรวจสอบสารโลหะหนัก โดยเฉพาะสารหนู ซึ่งจะดำเนินการถี่ขึ้นในช่วงหน้าแล้ง และปรับตามสถานการณ์ในฤดูน้ำหลาก เขายืนยันว่าระบบผลิตน้ำประปามีกระบวนการทางเคมีและการกรองที่สามารถกำจัดสารโลหะหนักได้ แต่การตรวจสอบน้ำดิบเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อให้มั่นใจในความปลอดภัย

อาจารย์ ดร.สืบสกุล กิจนุกร กล่าวว่า “การพบสารหนูในแม่น้ำโขงไม่ใช่แค่ปัญหาของเชียงราย แต่เป็นปัญหาระดับภูมิภาค เพราะแม่น้ำโขงไหลผ่านหลายประเทศ สารหนูที่สะสมในปลาหรือพืชผลทางการเกษตรอาจส่งผลต่อสุขภาพประชาชนในระยะยาว หากไม่มีการจัดการที่ต้นตอ”

มาตรการแก้ไขและแนวทางในอนาคต

เพื่อรับมือกับวิกฤตการปนเปื้อนในแม่น้ำโขง หน่วยงานต่างๆ ได้เริ่มดำเนินการในหลายด้าน ดังนี้:

  1. การตรวจสอบคุณภาพน้ำอย่างเข้มข้น: สำนักงานสิ่งแวดล้อมและควบคุมมลพิษที่ 1 (คพ.1) เชียงใหม่ จะลงพื้นที่เก็บตัวอย่างน้ำและตะกอนดินในแม่น้ำสายและแม่น้ำโขงภายในสัปดาห์นี้ ตามคำสั่งจากรองนายกรัฐมนตรีในการประชุมเมื่อวันที่ 30 เมษายน 2568 ผลการตรวจจะใช้ในการกำหนดมาตรการป้องกันและแก้ไขปัญหา
  2. การประสานงานข้ามพรมแดน: อำเภอแม่สายได้ประสานงานผ่านคณะกรรมการชายแดนส่วนท้องถิ่น (TBC) เพื่อแจ้งปัญหาการปนเปื้อนน้ำไปยังฝั่งเมียนมา โดยเฉพาะในพื้นที่ท่าขี้เหล็ก การเจรจานี้มีเป้าหมายเพื่อควบคุมกิจกรรมเหมืองแร่ในรัฐฉาน ซึ่งเป็นแหล่งกำเนิดของสารหนู
  3. การส่งเสริมการเฝ้าระวังโดยชุมชน: มูลนิธิพัฒนาชุมชนและเขตภูเขา (พชภ.) ร่วมกับมหาวิทยาลัยราชมงคลล้านนาเชียงราย ได้ติดตั้งเสาวัดระดับน้ำและอบรมเครือข่ายเฝ้าระวังในชุมชนชาติพันธุ์ เช่น ลาหู่และไทใหญ่ เพื่อให้ชาวบ้านสามารถรับมือกับเหตุฉุกเฉินและติดตามคุณภาพน้ำ
  4. ข้อเสนอเชิงนโยบาย: อาจารย์ ดร.สืบสกุล เสนอให้รัฐบาลจัดตั้งศูนย์ตรวจสอบคุณภาพน้ำถาวรในจังหวัดเชียงราย เพื่อลดระยะเวลาในการตรวจวิเคราะห์ รวมถึงสนับสนุนให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมีชุดตรวจคุณภาพน้ำราคาประหยัด นอกจากนี้ เขายังเรียกร้องให้หยุดกิจกรรมเหมืองแร่ในพื้นที่ต้นน้ำของแม่น้ำสายและแม่น้ำกก เพื่อแก้ปัญหาที่ต้นตอ

ในระยะยาว การแก้ไขปัญหาการปนเปื้อนในแม่น้ำโขงจำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือระหว่างประเทศในลุ่มน้ำโขง โดยเฉพาะการเจรจากับเมียนมาเพื่อควบคุมกิจกรรมเหมืองแร่ และการจัดตั้งกลไกตรวจสอบคุณภาพน้ำร่วมกันระหว่างไทย ลาว กัมพูชา และเวียดนาม เพื่อปกป้องระบบนิเวศและสุขภาพประชาชน

ความท้าทายและโอกาส

การปนเปื้อนสารหนูในแม่น้ำโขงเป็นปัญหาที่ซับซ้อนและมีมิติหลากหลาย ดังนี้:

  • มิติด้านสิ่งแวดล้อม

การพบสารหนูในแม่น้ำโขงบ่งชี้ถึงความเปราะบางของระบบนิเวศในลุ่มน้ำโขง ซึ่งได้รับผลกระทบจากกิจกรรมเหมืองแร่ในต้นน้ำ สารหนูที่สะสมในดินและสัตว์น้ำอาจเข้าสู่ห่วงโซ่อาหาร ส่งผลกระทบต่อทั้งมนุษย์และสัตว์ป่า การจัดการปัญหานี้ต้องเริ่มจากการควบคุมแหล่งกำเนิดมลพิษในรัฐฉาน

  • มิติด้านสุขภาพ

สารหนูเป็นสารพิษที่อาจก่อให้เกิดโรคมะเร็งและโรคผิวหนังหากสะสมในร่างกายในระยะยาว ชาวบ้านที่พึ่งพาแม่น้ำโขงในการประมงและการเกษตรมีความเสี่ยงสูง โดยเฉพาะเด็กและผู้สูงอายุ การตรวจสอบและแจ้งเตือนอย่างทันท่วงทีจะช่วยลดความเสี่ยงด้านสุขภาพ

  • มิติด้านการเมืองและความร่วมมือระหว่างประเทศ

เนื่องจากแม่น้ำโขงเป็นแหล่งน้ำนานาชาติ ปัญหาการปนเปื้อนสารหนูจึงไม่ใช่เรื่องของประเทศไทยเพียงฝ่ายเดียว การเจรจากับเมียนมาและประเทศอื่นๆ ในลุ่มน้ำโขงเป็นสิ่งจำเป็น แต่ความท้าทายอยู่ที่ความขัดแย้งทางการเมืองในเมียนมา ซึ่งอาจทำให้การควบคุมกิจกรรมเหมืองแร่เป็นไปได้ยาก

โอกาสในการพัฒนา

วิกฤตครั้งนี้เป็นโอกาสให้ประเทศไทยพัฒนาระบบตรวจสอบคุณภาพน้ำที่มีประสิทธิภาพ และยกระดับปัญหานี้สู่เวทีระหว่างประเทศ การจัดตั้งศูนย์ตรวจสอบคุณภาพน้ำในเชียงรายและการสนับสนุนชุดตรวจราคาประหยัดจะช่วยให้ชุมชนท้องถิ่นมีส่วนร่วมในการปกป้องแหล่งน้ำของตนเอง

ทัศนคติเป็นกลางต่อความเห็นทั้งสองฝ่าย

การตรวจสอบและปรับปรุงระบบน้ำประปาของ กปภ. เป็นมาตรการที่จำเป็น แต่การแก้ปัญหาการปนเปื้อนในแม่น้ำโขงต้องเน้นที่การจัดการแหล่งกำเนิดมลพิษ การประสานงานระหว่างหน่วยงานรัฐ ชุมชน และนักวิชาการ รวมถึงการเจรจาระหว่างประเทศ จะเป็นกุญแจสำคัญในการปกป้องแหล่งน้ำและสุขภาพประชาชน

  • หน่วยงานรัฐและการประปา

หน่วยงานรัฐและ กปภ. มองว่าการตรวจสอบคุณภาพน้ำและการปรับปรุงระบบผลิตน้ำประปาเป็นมาตรการที่เพียงพอในการรับมือกับปัญหาการปนเปื้อน พวกเขายืนยันว่าน้ำประปาที่ผลิตมีความปลอดภัย และการตรวจสอบน้ำดิบอย่างสม่ำเสมอจะช่วยป้องกันความเสี่ยง

  • ชุมชนท้องถิ่นและนักวิชาการ

ชาวบ้านและนักวิชาการกังวลว่าการปนเปื้อนสารหนูในแม่น้ำโขงอาจส่งผลกระทบในระยะยาวต่อสุขภาพและการเกษตร พวกเขาต้องการให้มีการจัดการที่ต้นตอ โดยเฉพาะการหยุดกิจกรรมเหมืองแร่ และการตรวจสอบที่โปร่งใสและเข้าถึงได้สำหรับชุมชน

สถิติที่เกี่ยวข้อง

  1. ระดับสารหนูในแม่น้ำโขง: การตรวจสอบเมื่อวันที่ 29 เมษายน 2568 พบสารหนูในแม่น้ำโขง บริเวณเทศบาลเวียงเชียงแสน อ.เชียงแสน ที่ระดับ 0.14 มิลลิกรัมต่อลิตร และสูงสุดที่สามเหลี่ยมทองคำที่ 0.19 มิลลิกรัมต่อลิตร (เกินมาตรฐาน 19 เท่า)
    ที่มา: สถาบันวิจัยและพยากรณ์ภัยพิบัติธรรมชาติ ภาคเหนือตอนบน มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง, รายงานการตรวจสอบน้ำ, 2568
  2. ความขุ่นของน้ำในแม่น้ำสาย: ในปี 2568 ความขุ่นของน้ำในแม่น้ำสายสูงถึง 7,000 NTU ในช่วงฤดูน้ำหลาก และ 1,000 NTU ในช่วงปกติ เทียบกับ 3,000-4,000 NTU ในปี 2567
    ที่มา: การประปาส่วนภูมิภาค สาขาแม่สาย-เชียงแสน, รายงานคุณภาพน้ำ, 2568
  3. ผลกระทบจากน้ำท่วมปี 2567: น้ำท่วมในอำเภอแม่สายเมื่อวันที่ 10 ตุลาคม 2567 ส่งผลให้มีตะกอนดินโคลนปนเปื้อนสารหนูในระดับที่อาจกระทบสัตว์หน้าดินใน 4 จาก 5 จุดที่ตรวจสอบ
    ที่มา: กรมทรัพยากรธรณี, รายงานการตรวจสอบพื้นที่ประสบภัยดินโคลนถล่ม, 2567
  4. การประมงในแม่น้ำโขง: ชุมชนในจังหวัดเชียงรายที่พึ่งพาการประมงในแม่น้ำโขงมีรายได้เฉลี่ย 500 ล้านบาทต่อปี แต่ลดลง 20% ในปี 2568 เนื่องจากความกังวลเรื่องสารปนเปื้อน
    ที่มา: สำนักงานประมงจังหวัดเชียงราย, รายงานประจำปี 2568
  5. ประชากรที่ได้รับผลกระทบ: ประชากรในอำเภอแม่สายและเชียงแสนที่พึ่งพาแม่น้ำโขงและแม่น้ำสาขาในการดำรงชีวิตมีจำนวนประมาณ 150,000 คน
    ที่มา: สำนักงานสถิติจังหวัดเชียงราย, ข้อมูลประชากร, 2567

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : 

  • ค่ามาตรฐานสารหนูในน้ำดื่ม: WHO < 0.01 mg/L

  • ค่าสารหนูสูงสุดที่พบ: 0.19 mg/L (สามเหลี่ยมทองคำ)

  • มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง

  • กรมทรัพยากรธรณี

  • กรมควบคุมมลพิษ

  • สำนักงานสิ่งแวดล้อมและควบคุมมลพิษที่ 1 (คพ.1)

  • ข้อมูลตรวจน้ำประปาแม่สาย: กปภ.แม่สาย, เมษายน 2568 พบค่าสารหนู 0.014 mg/L

  • สำนักข่าวชายขอบ
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE