Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

ไทย-จีนกระชับสัมพันธ์ เร่งแก้ปัญหาน้ำโขงชายแดนเชียงราย

รมว.ทรัพยากรน้ำจีนเยือนเชียงราย กระชับความร่วมมือบริหารจัดการน้ำข้ามพรมแดนในภูมิภาคลุ่มน้ำโขง

เชียงราย, 21 มีนาคม 2568 – นายหลี่ กั๋วอิง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรน้ำแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน พร้อมคณะ เดินทางเยือนจังหวัดเชียงราย เพื่อลงพื้นที่ศึกษาและติดตามความร่วมมือด้านการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำชายแดนบริเวณลุ่มแม่น้ำโขง – แม่น้ำรวก – แม่น้ำสาย พร้อมหารือแนวทางพัฒนาโครงการป้องกันอุทกภัยและแล้ง ภายใต้กรอบความร่วมมือแม่โขง – ล้านช้าง (Mekong-Lancang Cooperation: MLC)

ในการนี้ นายประเสริฐ จิตต์พลีชีพ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย ให้การต้อนรับอย่างเป็นทางการ โดยมีหัวหน้าส่วนราชการในพื้นที่เข้าร่วมต้อนรับและให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับสถานการณ์น้ำในพื้นที่ชายแดนตอนบนของประเทศไทย

เชื่อมสัมพันธ์ไทย-จีน พัฒนาความร่วมมือด้านทรัพยากรน้ำอย่างยั่งยืน

การลงพื้นที่ครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์หลักเพื่อกระชับความสัมพันธ์ระหว่างรัฐบาลไทยกับจีนในด้านการบริหารจัดการน้ำ ซึ่งครอบคลุมทั้งในระดับทวิภาคีและพหุภาคี โดยมีการแลกเปลี่ยนข้อมูลเทคโนโลยี และแนวปฏิบัติที่ดีระหว่างกัน ทั้งนี้ สาธารณรัฐประชาชนจีนได้จัดสรร “กองทุนพิเศษแม่โขง-ล้านช้าง (MLC Special Fund)” เพื่อสนับสนุนโครงการต่างๆ ที่เสนอโดยประเทศสมาชิกในภูมิภาค รวมถึงประเทศไทย

สถานีตรวจวัดน้ำเชียงแสน จุดยุทธศาสตร์สำคัญของความร่วมมือ

นายหลี่ กั๋วอิง และคณะได้ลงพื้นที่สถานีตรวจวัดน้ำเชียงแสน ซึ่งตั้งอยู่ในอำเภอเชียงแสน จังหวัดเชียงราย โดยสถานีดังกล่าวมีบทบาทสำคัญในการตรวจสอบระดับน้ำในแม่น้ำโขง ซึ่งเป็นข้อมูลพื้นฐานที่ใช้สำหรับการวางแผนป้องกันอุทกภัย และภัยแล้งของทั้งสองประเทศ การแลกเปลี่ยนข้อมูลแบบเรียลไทม์ระหว่างไทยและจีน มีส่วนสำคัญในการแจ้งเตือนภัยล่วงหน้า

ลุ่มน้ำรวก-แม่น้ำสาย ปัญหาน้ำท่วม-แล้ง สร้างผลกระทบต่อประชาชน

แม่น้ำรวกและแม่น้ำสาย เป็นแม่น้ำชายแดนระหว่างประเทศไทยกับสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา ซึ่งมีลักษณะภูมิประเทศคดเคี้ยวผ่านที่ราบลุ่มและเขาสูง ทำให้ในฤดูฝนมักเกิดน้ำหลากรุนแรง ส่งผลให้น้ำท่วมพื้นที่เกษตรกรรมและเขตชุมชนทั้งสองฝั่งประเทศ ส่วนฤดูแล้งกลับประสบปัญหาขาดแคลนน้ำสำหรับการเพาะปลูกอย่างต่อเนื่อง

ที่ผ่านมา หน่วยงานที่เกี่ยวข้องในประเทศไทยได้ดำเนินโครงการวิจัยร่วมกับฝ่ายจีนและเมียนมา เพื่อศึกษาแนวทางการบริหารจัดการน้ำข้ามพรมแดน ทั้งในด้านการแจ้งเตือนภัยและการวางระบบโครงสร้างพื้นฐาน

ไทย-จีน-เมียนมา ร่วมผลักดันโครงการเสริมสร้างการปรับตัวของชุมชนเมือง

หนึ่งในโครงการสำคัญที่กำลังอยู่ในระหว่างการพิจารณาของรัฐบาลจีน คือ “โครงการเสริมสร้างการปรับตัวของชุมชนเมืองต่อภาวะอุทกภัยภายใต้การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ” ซึ่งเน้นการพัฒนาเทคโนโลยีระบบแจ้งเตือนภัยล่วงหน้า การประเมินความต้องการของชุมชน การพัฒนาระบบสนับสนุนการตัดสินใจ และการอบรมเพื่อเสริมศักยภาพชุมชน

นอกจากนี้ ยังมีการวางแผนจัดประชุมเชิงปฏิบัติการร่วม 3 ประเทศ ได้แก่ ไทย เมียนมา และจีน เพื่อแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ เทคโนโลยี และแนวทางปฏิบัติที่มีประสิทธิภาพในระดับภูมิภาค

ลงพื้นที่ศึกษาผลกระทบอุทกภัยในแม่สาย – ท่าขี้เหล็ก

ก่อนหน้านี้ ระหว่างวันที่ 15-16 พฤศจิกายน 2567 คณะผู้แทนจากสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) และผู้แทนจากจีน ได้ลงพื้นที่อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย และท่าขี้เหล็ก ประเทศเมียนมา เพื่อติดตามสถานการณ์และประเมินความเสียหายจากอุทกภัยที่เกิดขึ้น รวมถึงสำรวจโครงสร้างพื้นฐานในจุดเสี่ยง เช่น สถานีสูบน้ำ สะพานข้ามแม่น้ำ และตลาดท้องถิ่น

ภาพรวมของการสำรวจและประชุมหารือในครั้งนั้น นำไปสู่ข้อเสนอเบื้องต้นเพื่อวางแผนติดตั้งสถานีตรวจวัดข้อมูลอุตุ – อุทกวิทยาในบริเวณต้นน้ำสาย – รวก ซึ่งคาดว่าจะช่วยให้ระบบแจ้งเตือนภัยในพื้นที่มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

แสดงความเห็นสองด้านต่อความร่วมมือดังกล่าว

ฝ่ายสนับสนุนความร่วมมือไทย-จีน มองว่าการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้และเทคโนโลยีด้านการบริหารจัดการน้ำ จะช่วยยกระดับความสามารถของชุมชนไทยในการตั้งรับภัยพิบัติ และเป็นโอกาสในการเข้าถึงแหล่งทุนจากต่างประเทศ โดยเฉพาะในพื้นที่ชายแดนที่ยังขาดการพัฒนาอย่างทั่วถึง

ฝ่ายที่มีความกังวล บางฝ่ายตั้งข้อสังเกตว่า ความร่วมมือภายใต้กรอบพหุภาคีที่มีจีนเป็นผู้นำ อาจมีอิทธิพลต่อทิศทางการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำในภูมิภาคมากเกินไป และอาจกระทบต่ออธิปไตยด้านสิ่งแวดล้อมในระยะยาว หากไม่มีการกำหนดเงื่อนไขที่ชัดเจนในการแบ่งปันข้อมูลและประโยชน์ร่วมกัน

สถิติที่เกี่ยวข้อง

  • พื้นที่ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วมในอำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย ปี 2567 รวมกว่า 9,200 ไร่ (ข้อมูลจาก สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ, 2567)
  • จำนวนประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัยในพื้นที่ชายแดนไทย-เมียนมา ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา เฉลี่ยปีละ 13,000 คน (สำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย จ.เชียงราย, 2567)
  • จำนวนสถานีตรวจวัดน้ำในพื้นที่ภาคเหนือของประเทศไทยที่เชื่อมโยงระบบกับจีน ปัจจุบันมี 12 แห่ง (กรมทรัพยากรน้ำ, 2568)
  • กองทุนพิเศษแม่โขง – ล้านช้าง (MLC Special Fund) จัดสรรงบประมาณสนับสนุนโครงการร่วมในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมกว่า 1,000 ล้านบาทต่อปี (สำนักงานความร่วมมือแม่โขง-ล้านช้าง, 2567)

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : 

  • สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.)
  • กระทรวงทรัพยากรน้ำแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน
  • กรมทรัพยากรน้ำ
  • สำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดเชียงราย
  • คณะกรรมการกรอบความร่วมมือแม่โขง – ล้านช้าง (MLC Secretariat)
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI TOP STORIES

23 บริษัททุนจีนเหมืองทองเมียนมา ทำน้ำกกขุ่น ชาวบ้านผวาไม่ปลอดภัย

เหมืองทองริมแม่น้ำกกฝั่งพม่า สร้างผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม ชาวบ้านหวั่นกระทบน้ำประปาเชียงราย

เชียงราย, 16 มีนาคม 2568 – สำนักข่าวชายขอบรายงานว่า พื้นที่ริมแม่น้ำกกตอนใต้ของรัฐฉาน ประเทศเมียนมา ใกล้ชายแดนไทย ด้านอำเภอแม่อาย จังหวัดเชียงใหม่ กำลังเผชิญปัญหาผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมจากการทำเหมืองทองคำ โดยมีการระบุว่า กลุ่มทุนจีนได้รับอนุญาตจากกองกำลังว้า (United Wa State Army – UWSA) ให้ดำเนินกิจการเหมืองแร่บริเวณนี้กว่า 23 บริษัท ซึ่งส่งผลให้แม่น้ำกกขุ่นข้นและอาจมีสารปนเปื้อนลงสู่ระบบนิเวศ

ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและชุมชนท้องถิ่น

สต.ทศพร สามหน่อวงศ์ ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านหมู่ 14 ตำบลท่าตอน อำเภอแม่อาย จังหวัดเชียงใหม่ เปิดเผยว่า สภาพน้ำในแม่น้ำกกเปลี่ยนเป็นสีขุ่นผิดปกติ อันเป็นผลมาจากกระบวนการชะล้างแร่ของเหมืองทองคำบริเวณดังกล่าว โดยที่ผ่านมาเคยมีปัญหาสารเคมีจากอุตสาหกรรมยางพาราไหลลงแม่น้ำ ส่งผลให้น้ำมีสีขาวขุ่น และล่าสุดเมื่อเริ่มมีการทำเหมืองทองบริเวณนี้ก็ยิ่งทำให้น้ำขุ่นมากขึ้น

ชาวบ้านจากฝั่งรัฐฉานแจ้งว่า เหมืองทองตั้งอยู่ติดแม่น้ำกก และของเสียจากเหมืองถูกปล่อยลงน้ำโดยตรง ขณะนี้ยังไม่มีหน่วยงานภาครัฐเข้ามาตรวจสอบคุณภาพน้ำเพื่อให้คำตอบแก่ประชาชน ทำให้เกิดความกังวลอย่างมาก” สต.ทศพร กล่าว

ผลกระทบต่อสุขภาพและวิถีชีวิตของประชาชน

ขณะนี้ ประชาชนในพื้นที่ท่าตอนและบริเวณใกล้เคียงได้รับผลกระทบจากปัญหาน้ำกกขุ่น โดยเฉพาะผู้ที่ใช้น้ำกกเป็นแหล่งน้ำอุปโภคบริโภค พบว่าหลายคนเริ่มมีอาการ แพ้ทางผิวหนังและมีผื่นคัน หลังจากลงเล่นน้ำหรือใช้น้ำกกอาบน้ำ นอกจากนี้ ประชาชนบางส่วนต้องปรับเปลี่ยนแหล่งน้ำเพื่อความปลอดภัย โดยหันไปใช้น้ำประปาภูเขาแทน

“ปีก่อนก็เคยมีเหตุการณ์แบบนี้ และพบว่ามีประชาชนที่ลงเล่นน้ำในช่วงสงกรานต์ต้องเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลจากอาการแพ้ เรากังวลว่า สงกรานต์ปีนี้อาจเกิดปัญหาแบบเดิมอีก ทางการควรเข้ามาตรวจสอบคุณภาพน้ำโดยด่วน” สต.ทศพร กล่าวเพิ่มเติม

ข้อเรียกร้องให้ภาครัฐและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้ามาแก้ไขปัญหา

สต.ทศพรและชาวบ้านในพื้นที่เรียกร้องให้ รัฐบาลไทยและหน่วยงานด้านสิ่งแวดล้อมเข้ามาตรวจสอบคุณภาพน้ำ รวมถึงประสานงานกับรัฐบาลเมียนมาเพื่อหาทางออกที่เหมาะสมในการควบคุมการทำเหมืองที่อาจส่งผลกระทบข้ามพรมแดน โดยเฉพาะในพื้นที่ที่พึ่งพาแม่น้ำกกเป็นแหล่งน้ำหลัก

ทั้งนี้ แม่น้ำกกถือเป็นแหล่งน้ำดิบสำคัญที่ การประปาส่วนภูมิภาคจังหวัดเชียงราย ใช้ผลิตน้ำประปาให้กับประชาชนในอำเภอเมืองเชียงรายและอำเภอใกล้เคียง นอกจากนี้ ในฤดูแล้งบางส่วนของน้ำกกยังถูกนำไปใช้ผลิตน้ำประปาในอำเภอฝาง จังหวัดเชียงใหม่ ทำให้หลายฝ่ายวิตกกังวลเกี่ยวกับการปนเปื้อนของน้ำที่อาจส่งผลต่อสุขภาพของประชาชนในวงกว้าง

ภาพถ่ายยืนยันน้ำขุ่นจากการทำเหมืองทองคำ

เพจ จัดให้ มีเดีย ได้เผยแพร่ภาพถ่ายเมื่อวันที่ 16 มีนาคม 2568 ซึ่งแสดงให้เห็นว่า จุดที่แม่น้ำรวกไหลบรรจบกับแม่น้ำโขงบริเวณสามเหลี่ยมทองคำ น้ำจากแม่น้ำรวกที่มีต้นทางจากแม่น้ำสาย (ในเมียนมา) มีสีขุ่นอย่างเห็นได้ชัดก่อนจะไหลลงสู่แม่น้ำโขงซึ่งยังคงมีความใสสะอาดตามฤดูกาล ปรากฏการณ์นี้มีความคล้ายคลึงกับปัญหาน้ำกกขุ่นที่กำลังส่งผลกระทบต่อพื้นที่อำเภอฝางและอำเภอเมืองเชียงราย

ความคิดเห็นจากทั้งสองฝ่าย

ฝ่ายสนับสนุนการตรวจสอบและแก้ไขปัญหา

  • ประชาชนในพื้นที่ต้องการให้หน่วยงานภาครัฐเร่งดำเนินการตรวจสอบคุณภาพน้ำกกและเปิดเผยข้อมูลให้ชัดเจน
  • นักสิ่งแวดล้อมเรียกร้องให้มีการดำเนินมาตรการป้องกันและเจรจากับเมียนมาเพื่อแก้ไขปัญหานี้ในระยะยาว

ฝ่ายที่มองต่างมุม

  • ผู้ประกอบการด้านการทำเหมืองมองว่า การทำเหมืองเป็นส่วนสำคัญของเศรษฐกิจท้องถิ่นในรัฐฉาน และการควบคุมเหมืองที่เข้มงวดอาจกระทบต่อรายได้ของประชาชนบางส่วน
  • เจ้าหน้าที่บางฝ่ายให้ความเห็นว่า การตรวจสอบผลกระทบข้ามพรมแดนเป็นเรื่องซับซ้อน และต้องอาศัยความร่วมมือระหว่างประเทศ จึงอาจต้องใช้เวลาในการแก้ไข

สถิติและข้อมูลอ้างอิง

  • จำนวนบริษัทที่ดำเนินกิจการเหมืองทองในพื้นที่แม่น้ำกกฝั่งพม่า: 23 บริษัท (ข้อมูลจากรายงานภาคสนามของสำนักข่าวชายขอบ)
  • อัตราการปนเปื้อนของน้ำจากการทำเหมืองในภูมิภาค: รายงานจากหน่วยงานสิ่งแวดล้อมพบว่า 80% ของแม่น้ำที่อยู่ใกล้เหมืองแร่มีระดับตะกอนสูงกว่ามาตรฐาน (ข้อมูลจากองค์กรอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมเมียนมา)
  • จำนวนประชาชนที่ใช้น้ำกกเป็นแหล่งน้ำประปา: กว่า 200,000 คนในจังหวัดเชียงราย (ข้อมูลจากการประปาส่วนภูมิภาค)
  • สถิติการร้องเรียนปัญหาคุณภาพน้ำในภาคเหนือ: เพิ่มขึ้น 35% ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา (ข้อมูลจากสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ)

สรุป

ปัญหาการทำเหมืองทองคำในพื้นที่ต้นน้ำกกของเมียนมากำลังส่งผลกระทบโดยตรงต่อสิ่งแวดล้อมและสุขภาพของประชาชนในจังหวัดเชียงรายและเชียงใหม่ แม้ว่าจะยังไม่มีการยืนยันทางวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับระดับสารปนเปื้อนในน้ำ แต่ความเปลี่ยนแปลงของคุณภาพน้ำที่สังเกตได้ชัดเจนสร้างความกังวลในวงกว้าง อย่างไรก็ตาม การแก้ไขปัญหานี้จำเป็นต้องอาศัยการประสานงานระหว่างประเทศ รวมถึงการดำเนินมาตรการที่เหมาะสมทั้งในด้านสิ่งแวดล้อมและเศรษฐกิจเพื่อให้เกิดความสมดุลและยั่งยืนในระยะยาว

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักข่าวชายขอบ / จัดให้ มีเดีย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
EDITORIAL

ริมโขงสองเมือง เชียงของ – นครพนม มุ่งหน้าสู่การท่องเที่ยวและเศรษฐกิจ

เชียงของ vs นครพนม: เปรียบเทียบแนวทางพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวริมฝั่งโขง

นครพนม, 6 มีนาคม 2568 – จังหวัดเชียงของและนครพนมเป็นสองเมืองที่ตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำโขง โดยมีบทบาทสำคัญในการพัฒนาเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวของภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคเหนือของไทย ทั้งสองเมืองมีโครงการพัฒนาที่โดดเด่น แต่มีแนวทางที่แตกต่างกันในการดึงดูดนักท่องเที่ยวและส่งเสริมเศรษฐกิจท้องถิ่น

ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา การพัฒนาเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวตามแนวแม่น้ำโขงได้รับความสนใจอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในจังหวัดที่มีศักยภาพด้านการค้าและการท่องเที่ยวอย่างเชียงของ จังหวัดเชียงราย และนครพนม ทั้งสองพื้นที่ตั้งอยู่ริมแม่น้ำโขงและเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญที่สามารถเชื่อมโยงการค้าและการลงทุนข้ามพรมแดนระหว่างไทย ลาว เมียนมา และจีน อย่างไรก็ตาม แม้ว่าทั้งสองพื้นที่จะมีลักษณะทางภูมิศาสตร์ที่คล้ายกัน แต่แนวทางการพัฒนาเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวของแต่ละพื้นที่กลับมีความแตกต่างกันอย่างชัดเจน

การพัฒนาการท่องเที่ยวและเศรษฐกิจของนครพนม

นครพนมเป็นจังหวัดที่ได้รับการพัฒนาอย่างต่อเนื่องในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา โดยล่าสุดมีโครงการ Mekong River Eye และ ชิงช้าสวรรค์ยักษ์ Maekhong River Eye ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของแผนพัฒนาเมืองให้กลายเป็น “Restination” หรือเมืองหลักแห่งการพักผ่อน การลงทุนในโครงการนี้มีมูลค่ารวมกว่า 54.5 ล้านบาท ซึ่งถือเป็นเม็ดเงินที่สำคัญสำหรับการพัฒนาเศรษฐกิจในท้องถิ่น

รายละเอียดโครงการ Mekong River Eye นครพนม

  • โครงการพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวริมแม่น้ำโขง ซึ่งรวมถึงสวนสาธารณะและชิงช้าสวรรค์ยักษ์เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยว
  • ระยะเวลาดำเนินการ 300 วัน โดยมีกำหนดสิ้นสุดโครงการในวันที่ 15 ตุลาคม 2568
  • การวางเป้าหมายเศรษฐกิจของนครพนม ให้มีอัตราการเติบโตของ GDP จังหวัดอยู่ที่ 7% ต่อปี และเพิ่มมูลค่าการท่องเที่ยวจาก 5,000 ล้านบาทเป็น 8,700 ล้านบาทภายในปี 2571
  • การเพิ่มจำนวนนักท่องเที่ยว จาก 2.5 ล้านคน เป็น 3.68 ล้านคน ภายในปี 2571
  • กลยุทธ์ 5 สร้าง ได้แก่
    1. การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน เช่น ระบบรวบรวมและบำบัดน้ำเสีย
    2. การสร้างแบรนด์เมืองผ่านอัตลักษณ์ท้องถิ่น
    3. การพัฒนาผลิตภัณฑ์ท้องถิ่นภายใต้แนวคิด One Day One District (ODOD)
    4. การส่งเสริมผลิตภัณฑ์ท้องถิ่นสู่ระดับสากล
    5. การยกระดับกิจกรรมระดับจังหวัดเพื่อเพิ่มจำนวนนักท่องเที่ยว

การพัฒนาเชียงของและโครงสร้างพื้นฐานที่เกี่ยวข้อง

เชียงของเป็นอำเภอชายแดนที่มีศักยภาพในการเป็น เขตเศรษฐกิจพิเศษ ของภาคเหนือ โดยมีโครงการพัฒนาเศรษฐกิจที่สำคัญหลายโครงการ เช่น โครงการรถไฟทางคู่เด่นชัย-เชียงของ และ ศูนย์เปลี่ยนถ่ายรูปแบบขนส่งเชียงของ ซึ่งมีมูลค่ารวมกว่า 3,800 ล้านบาท นอกจากนี้ ยังมีการพัฒนา โครงการเขื่อนป้องกันตลิ่งริมฝั่งโขง และ พื้นที่นันทนาการใหม่ริมแม่น้ำโขง เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยว

รายละเอียดโครงการพัฒนาเชียงของ

  • โครงการรถไฟทางคู่เด่นชัย-เชียงของ มีระยะทาง 323.1 กิโลเมตร ผ่าน 4 จังหวัด ได้แก่ แพร่ ลำปาง พะเยา และเชียงราย มีสถานีทั้งหมด 26 สถานี
  • โครงการพัฒนาเขื่อนป้องกันตลิ่งริมฝั่งโขง และ พื้นที่นันทนาการ เพื่อสนับสนุนเศรษฐกิจพิเศษเชียงของ
  • การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเพื่อรองรับนักลงทุน เช่น ศูนย์โลจิสติกส์เชียงของ และ ศูนย์ซ่อมอากาศยาน MRO ของเชียงราย ซึ่งจะช่วยเพิ่มมูลค่าการค้าและการท่องเที่ยวในพื้นที่
  • เป้าหมายการเติบโตทางเศรษฐกิจของเชียงของ โดยมุ่งเน้นการเป็นศูนย์กลางการค้าระหว่างประเทศ และรองรับการขยายตัวของ ระเบียงเศรษฐกิจเหนือ-ใต้ (North-South Economic Corridor)

การเปรียบเทียบระหว่างนครพนมและเชียงของ

ปัจจัย

นครพนม

เชียงของ

ลักษณะพื้นที่

เมืองริมแม่น้ำโขง เน้นการพัฒนาการท่องเที่ยวและนันทนาการ

เมืองชายแดน เน้นการพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษและโลจิสติกส์

โครงการสำคัญ

Mekong River Eye, ชิงช้าสวรรค์ Maekhong River Eye

รถไฟทางคู่เด่นชัย-เชียงของ, ศูนย์โลจิสติกส์, เขตเศรษฐกิจพิเศษ

เป้าหมายหลัก

ส่งเสริมการท่องเที่ยวและการพักผ่อน

พัฒนาเป็นศูนย์กลางการค้าและโลจิสติกส์ข้ามพรมแดน

งบประมาณโครงการ

54.5 ล้านบาท

มากกว่า 3,800 ล้านบาท

จำนวนนักท่องเที่ยวเป้าหมาย

3.68 ล้านคนภายในปี 2571

มุ่งเน้นการเติบโตของภาคโลจิสติกส์และการค้า

จากข้อมูลที่ได้รับ นครพนมและเชียงของมีแนวทางพัฒนาเศรษฐกิจที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน ฝั่งหนึ่งมุ่งเน้นไปที่การท่องเที่ยวและการพัฒนาเมืองให้เป็นจุดหมายปลายทางแห่งการพักผ่อน ขณะที่อีกฝั่งหนึ่งมุ่งเน้นไปที่การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเพื่อรองรับการขยายตัวของเศรษฐกิจข้ามพรมแดน

ข้อดีของการพัฒนานครพนม:

  • ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจในท้องถิ่นผ่านการท่องเที่ยว
  • สร้างงานในภาคบริการและการท่องเที่ยว
  • ดึงดูดนักลงทุนในภาคธุรกิจบริการ

ข้อเสียของการพัฒนานครพนม:

  • อาจต้องพึ่งพานักท่องเที่ยวต่างชาติมากขึ้น
  • ใช้งบประมาณที่สูงในการก่อสร้าง แต่ผลตอบแทนอาจไม่แน่นอน

ข้อดีของการพัฒนาเชียงของ:

  • ส่งเสริมการค้าข้ามพรมแดน และช่วยให้ไทยเป็นศูนย์กลางโลจิสติกส์ในอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง
  • มีโอกาสในการเติบโตระยะยาวจากการขยายตัวของเศรษฐกิจจีนและอาเซียน
  • โครงการโครงสร้างพื้นฐานช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้กับเศรษฐกิจในท้องถิ่น

ข้อเสียของการพัฒนาเชียงของ:

  • ต้องใช้ระยะเวลาในการพัฒนาและคืนทุน
  • อาจส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและที่อยู่อาศัยของประชาชน

บทสรุป

ทั้ง นครพนมและเชียงของ ต่างมีแนวทางพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวริมโขงที่แตกต่างกัน นครพนมเน้นการท่องเที่ยวเชิงนันทนาการและวัฒนธรรม ผ่านโครงการชิงช้าสวรรค์และการสร้างอัตลักษณ์เมือง ในขณะที่ เชียงของเน้นพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษและโลจิสติกส์ เพื่อรองรับการค้าไทย-จีน

แม้ว่าทั้งสองโครงการจะมีข้อดีและข้อเสีย แต่สิ่งที่สำคัญคือ ความสามารถในการสร้างสมดุลระหว่างการพัฒนาเศรษฐกิจ การท่องเที่ยว และการรักษาสิ่งแวดล้อมและวัฒนธรรมท้องถิ่น ซึ่งจะเป็นตัวชี้วัดความสำเร็จของโครงการในระยะยาว

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดนครพนม / chiang khong tv / ทีมข่าวนครเชียงรายนิวส์

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI TOP STORIES

ชาวบ้านเชียงรายค้านเขื่อนปากแบง หวั่นน้ำเท้อกระทบชีวิตและสิ่งแวดล้อม

กลุ่มชาวบ้าน 3 อำเภอเชียงรายรวมพลังคัดค้านเขื่อนปากแบง หวั่นกระทบวิถีชีวิตและสิ่งแวดล้อม

เมื่อวันที่ 7 ธันวาคม 2567 ณ โฮงเฮียนแม่น้ำของ อำเภอเชียงของ จังหวัดเชียงราย ชาวบ้านจาก 3 อำเภอริมแม่น้ำโขง ได้แก่ อำเภอเชียงแสน อำเภอเชียงของ และอำเภอเวียงแก่น รวมตัวประมาณ 150 คน ประกอบด้วยตัวแทนชุมชน ผู้นำสตรี ผู้นำท้องถิ่น ผู้ใหญ่บ้าน กำนัน และนายกเทศมนตรี เพื่อแสดงออกถึงความไม่เห็นด้วยต่อโครงการสร้างเขื่อนปากแบง (Pak Beng Dam) ในประเทศลาว ที่ห่างจากพรมแดนไทยด้านอำเภอเวียงแก่นเพียง 96 กิโลเมตร โดยโครงการดังกล่าวมีการลงนามซื้อไฟฟ้าระหว่างการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) กับบริษัทเอกชนผู้พัฒนาโครงการแล้ว แต่การศึกษาผลกระทบข้ามพรมแดนยังไม่มีความชัดเจน

ความกังวลของชุมชนริมโขง

นายนิวัฒน์ ร้อยแก้ว หรือ “ครูตี๋” ประธานกลุ่มรักษ์เชียงของ กล่าวว่า การสร้างเขื่อนปากแบงจะซ้ำเติมปัญหาน้ำโขงเท้อเข้าสู่แม่น้ำสาขา เช่น แม่น้ำอิงและแม่น้ำกก ซึ่งเกิดอุทกภัยใหญ่ในปีนี้จนสร้างความเสียหายแก่พื้นที่เกษตรและชุมชน เขาย้ำว่าหากโครงการดำเนินต่อไปจะก่อให้เกิดความเสียหายที่แก้ไขได้ยาก โดยเฉพาะพื้นที่ท่องเที่ยวสำคัญ เช่น แก่งผาได ในอำเภอเวียงแก่น ซึ่งเป็นสถานที่จัดกิจกรรมและแหล่งพักผ่อนของประชาชน รวมถึงหาดบ้านดอนมหาวัน ในอำเภอเชียงของ ที่จะจมหายไปหากมีการสร้างเขื่อน

นอกจากนี้ ยังมีพื้นที่เกษตรริมโขงที่ชาวบ้านพึ่งพาในช่วงฤดูแล้ง เช่น สวนส้มโอในอำเภอเวียงแก่น ที่ถือเป็นพืชเศรษฐกิจสำคัญ หากเกิดน้ำท่วมจากการสร้างเขื่อน ชาวบ้านจะสูญเสียรายได้และต้องเริ่มต้นใหม่จากศูนย์

เสียงสะท้อนจากผู้นำชุมชนและท้องถิ่น

นายอภิธาร ทิตตา นายกเทศมนตรีเทศบาลตำบลม่วงยาย กล่าวว่า การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานไม่จำเป็นต้องสร้างเขื่อนเสมอไป โดยเสนอทางเลือกอื่น เช่น พลังงานแสงอาทิตย์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม พร้อมแสดงความกังวลว่าข้อมูลผลกระทบยังไม่ชัดเจน ทำให้ชาวบ้านไม่สามารถวางแผนการเกษตรได้

นายประยุทธ โพธิ กำนันตำบลเวียง กล่าวว่า รายได้จากการท่องเที่ยวในพื้นที่จะหายไป เช่น รายได้จากหาดบ้านดอนมหาวัน ที่เคยสร้างรายได้นับแสนบาทต่อปี พร้อมวิพากษ์ว่าการเยียวยาที่เสนอมักไม่ครอบคลุมหรือเพียงพอ

นายหาญณรงค์ เยาวเลิศ ที่ปรึกษามูลนิธิเพื่อบูรณาการน้ำ เสนอให้หยุดโครงการและศึกษาผลกระทบข้ามพรมแดนอย่างจริงจังก่อน เพราะเขื่อนปากแบงจะมีผลกระทบต่อพื้นที่ในประเทศไทย โดยเฉพาะน้ำเท้อจากแม่น้ำโขงที่อาจทำลายพื้นที่เกษตรกรรมและชุมชนริมแม่น้ำ

ข้อเสนอแนะจากชุมชน

ชาวบ้านเรียกร้องให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องศึกษาและเผยแพร่ข้อมูลอย่างโปร่งใส รวมถึงผลักดันทางเลือกพลังงานที่ยั่งยืน นอกจากนี้ ยังเรียกร้องให้รัฐบาลยกเลิกหรือเลื่อนโครงการจนกว่าจะมีข้อมูลที่เพียงพอ เนื่องจากปัจจุบันประเทศไทยมีพลังงานไฟฟ้าสำรองเพียงพอ และการสร้างเขื่อนจะสร้างผลกระทบต่อชุมชนทั้งด้านสิ่งแวดล้อมและวิถีชีวิต

นางประกายรัตน์ ตันดี ผู้ใหญ่บ้านทุ่งงิ้ว อำเภอเชียงของ กล่าวว่า การสร้างเขื่อนปากแบงจะกระทบกลุ่มผู้หญิงริมโขงที่พึ่งพาทรัพยากรธรรมชาติ เช่น การเก็บไกและปลูกถั่วงอกเพื่อเลี้ยงชีพ เธอเรียกร้องให้ทุกคนร่วมกันเป็นพลังต่อต้านโครงการนี้

ข้อสรุป

ชาวบ้านและผู้นำชุมชนจาก 3 อำเภอริมแม่น้ำโขงในจังหวัดเชียงรายแสดงจุดยืนชัดเจนต่อการคัดค้านโครงการสร้างเขื่อนปากแบง โดยมุ่งเน้นการปกป้องสิ่งแวดล้อม วิถีชีวิต และทรัพยากรธรรมชาติ พร้อมเรียกร้องให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ข้อมูลที่โปร่งใสและพัฒนาทางเลือกที่ยั่งยืนแทนการสร้างเขื่อน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : โฮงเฮียนแม่น้ำของ

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI NEWS UPDATE

เรือชาวประมงล่มอีกแล้ว! แม่น้ำโขงเชียงของ รอด 3 สูญหาย 2 คน

 

เมื่อวันที่ 5 กันยายน 2567 นายอุดม ปกป้องบวรกุล นายอำเภอเชียงของ ได้รับแจ้งจากกำนัน ต.เวียง ว่ามีชาวบ้านจำนวน 5 คน ออกเรือหาปลาในแม่น้ำโขง ในเวลา 05.00 น. จากพื้นที่บ้านดอนมหาวัน ตำบลเวียง อำเภอเชียงของ จังหวัดเชียงราย จากนั้นเรือได้ล่มบริเวณกลางแม่น้ำโขง บริเวณท่าดูดทรายฝั่ง สปป.ลาว ตรงข้ามกับศาลพญานาค พื้นที่เชื่อมต่อระหว่าง บ้านปากอิง ตำบลศรีดอนชัย อำเภอเชียงของ กับบ้านแจ่มป๋อง ตำบลหล่ายงาว อำเภอเวียงแก่น จังหวัดเชียงราย

โดยพบว่ามีผู้รอดชีวิตจำนวน 3 ราย คือนายธนวัตร อายุ 29 ปี นาสบุญรัตน์ อายุ 36 ปี โดย นายสัมฤทธิ์ อายุ 42 ปี ได้นำตัวส่งโรงพยาบาลเชียงของ เพื่อตรวจร่ายกาย ทั้ง 3 คนเป็นชาวต.เวียง อ.เชียงของ จ.เชียงราย
ทั้งนี้ยังมีผู้สูญหาย 2 คน คือ นายนัฐวัฒน์ อายุ 29 ปี ชาว ต.เวียง อ.เชียงของ จ.เชียงราย และ นายอัสนัย 42 ปี ชาว ต.สถาน อ.เชียงของ จ.เชียงราย
 
หลังจากเกิดเหตุ นายอำเภอเชียงของ ได้ประสานงานกับทางหน่วยเรือรักษาความสงบเรียบร้อยตามลำน้ำโขง (นรข.) เชียงของ พร้อมกับหน่วยกู้ภัย ลงพื้นที่บริเวณจุดเกิดเหตุ เพื่อค้นหาผู้สูญหาย โดยพื้นที่ดังกล่าวเป็นจุดที่มีน้ำเชี่ยวและน้ำวน หลายแห่ง รวมไปถึงมีความลึกมาก ซึ่งยากแก่การค้นหา
 
นายอุดม ปกป้องบวรกุล นายอำเภอเชียงของ กล่าวว่า หลังลงพื้นที่ตรวจสอบในช่วงเช้าที่ผ่านมา ในเบื้องต้นได้รายงานให้กับทางผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย ทราบแล้ว พร้อมทั้งประสานไปยัง หน่วยเรือรักษาความสงบตามลำน้ำโขง หรือ นรข. และตำรวจน้ำ ที่ประจำการในพื้นที่ อำเภอเวียงแก่น จังหวัดเชียงราย เพื่อค้นหาผู้สูญหาย และประสานไปยังมูลนิธิสยามร่วมใจ เพื่อขอสนับสนุนชุดกู้ภัยทางน้ำ เพื่อนำเรือจากอำเภอเมืองเชียงราย มาสแตนบายในพื้นที่ เพื่อค้นหาผู้สูญหายหลังจากนี้จะได้สอบปากคำผู้ที่รอดชีวิตอีกครั้ง ถึงสาเหตุของเหตุการณ์เรือล่มดังกล่าว
 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ท้องถิ่นนิวส์

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI TOP STORIES

สทนช. ทำหนังสือด่วนประสานจีน ชะลอระบายน้ำเขื่อนลงแม่น้ำโขง

 

เมื่อวันที่ 24 สิงหาคม 2567 เวลา 16.30 น. นายพุฒิพงศ์ ศิริมาตย์ ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย ลงพื้นที่ติดตามสถานการณ์ระบายน้ำอิงสู่น้ำโขง ณ สะพานบ้านเต๋น ต.สถาน อ.เชียงของ จ.เชียงราย ซึ่งเป็นสถานที่ติดตั้งเครื่องดันน้ำของโครงการชลประทานเชียงราย เพื่อดันน้ำจากแม่น้ำอิง ลงแม่น้ำโขง บริเวณปากอิง ต.ศรีดอนชัย ที่อยู่ห่างจากสะพานนี้ประมาณ 1 กม. โดยมีนายทวีชัย โค้วตระกูล ผู้อำนวยการโครงการชลประทานเชียงราย และนายอุดม ปกป้องวรกุล นายอำเภอเชียงของ และผู้นำชุมชน ต.ศรีดอนชัย และต.สถานให้การต้อนรับ

นายพุฒิพงศ์ กล่าวว่า ทางจังหวัดไม่ได้อยู่เฉย ๆ ปล่อยให้น้ำเอ่อ แต่พยายามทำให้ลงแม่น้ำโขงเร็วที่สุดระยะทางจากพะเยากว่า 100 กม.เพื่อไม่ให้ประชาชนระหว่างทางเดือดร้อน ทั้งที่อำเภอเทิง อำเภอขุนตาล ที่เป็นทางผ่านของแม่น้ำอิง ซึ่งได้รับความเสียหายกันมาก ผสมกับเราเจอน้ำป่า ร่องกดอากาศต่ำพาดผ่าน สังเกตว่าทำไมตกอยู่แต่ที่เชียงราย เป็นเวลาเดือนกว่า ยังไม่ผ่านไปเลย แต่ยังอยู่ที่เชียงรายอยู่

“วันนี้ฝนยังตกเรื่อย ๆ น้ำจากจังหวัดอื่นก็มาสะสม ไหลมารวมกันที่บ้าน พื้นที่เกษตร ปศุสัตว์ประสบกันทั่วหน้า ภาพรวมที่ติดริมน้ำอิง ตั้งแต่เทิง ลงมาพญาเม็งราย และขุนตาล เชียงของ เป็นปลายทางน้ำอิงลงน้ำโขง ที่สังเกตว่าเป็นลานีญา เห็นว่าตกสะสมจึงวันที่ 23 ส.ค. รวม 600 กว่ามิลลิเมตรแล้ว เทียบกับเดือนสิงหาคมปี 2566 รวม 200 กว่ามิลลิเมตรเอง 3 เท่าของปีที่แล้ว ทั้งที่ไม่ครบเดือน อยากเตือนพี่น้องประชาชน เป็นประเด็นปัญหาที่ป้องกันแก้ไขด้วย”ผวจ.เชียงราย กล่าว

ผู้สื่อข่าวถึงกรณีที่มีการเตรียมสร้างเขื่อนปากแบงกั้นแม่น้ำโขงซึ่งห่างจากชายแดนไทยเพียง 96 กม.ทำให้อนาคตยิ่งกลายเป็นการซ้ำเติมสถานการณ์อีกหรือไม่ นายพุฒิพงศ์กล่าวว่า เรื่องนี้ต้องให้รัฐบาลดูแล ทราบว่ารัฐบกาลกำลังเจรจาอันนี้เป็นเรื่องเหนือขอบเขตอำนาจหน้าที่ และรัฐบาลไม่ได้นิ่งนอนใจโดยได้เร่งเจรจากำลังทำอยู่ ส่วนตนมีหน้าที่รักษาพื้นที่ภาย ทำอย่างไรให้เราเดือดร้อนน้อยที่สุด และเร่งน้ำออกจากพื้นที่ให้เร็วที่สุด “เรื่องนี้ผมไม่สามารถตอบได้ ต้องเป็นรัฐบาลและกระทรวงต่างประเทศ”

ผู้สื่อข่าวรายงาน สถานการณ์ระดับน้ำล่าสุดในแม่น้ำโขงวัดที่อำเภอเชียงของ พบว่าปริมาณน้ำได้เพิ่มสูงขึ้นจนล้นตลิ่งโดยวัดล่าสุดในช่วง 18.00 น.อยู่ที่ 10.30 เมตร

เย็นวันเดียวกัน ดร.สุรสีห์ กิตติมณฑล เลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) เปิดเผยว่า สทนช. ในฐานะสำนักเลขาธิการคณะกรรมการแม่น้ำโขงแห่งชาติไทย ได้ติดตามสถานการณ์น้ำในแม่น้ำโขงที่มีการเปลี่ยนแปลงสูงขึ้นอย่างใกล้ชิด

โดยขณะนี้ระดับน้ำในแม่น้ำโขงยังคงสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องและส่งผลกระทบต่อพื้นที่ลุ่มต่ำริมน้ำโขงในหลายพื้นที่ของภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทย

สทนช. จึงได้มีหนังสือด่วนที่สุดไปยังสำนักงานเลขาธิการคณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง (MRCS) ให้ดำเนินการเฝ้าระวัง ศึกษา วิเคราะห์ เพิ่มเติม โดยเฉพาะการวิเคราะห์แนวโน้ม คาดการณ์ วัน เวลา และปริมาณน้ำสูงสุด (Peak) และการสิ้นสุดของสถานการณ์ ณ สถานีต่าง ๆ ตามแนวแม่น้ำโขง 8 จังหวัดของประเทศไทย

โดยให้รายงานผลการดำเนินงานและมีการประสานงานอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งเสนอแนวทางและมาตรการให้ประเทศสมาชิกของคณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง ได้แก่ ไทย สปป.ลาว กัมพูชา และเวียดนาม ได้ทราบและช่วยกันดำเนินการร่วมกันทุกฝ่าย

นอกจากนี้ยังขอให้ MRCS ประสานงานกับ สปป.ลาว เพื่อช่วยในการบริหารจัดการน้ำของเขื่อนในแม่น้ำสาขาของแม่น้ำโขง เพื่อบรรเทาผลกระทบและให้ระดับน้ำลดลงจากการล้นตลิ่งของแม่น้ำโขง พร้อมทั้งให้ประสานงานกับจีน เพื่อแจ้งสถานการณ์ในปัจจุบันของลุ่มน้ำโขงตอนล่าง เพื่อให้จีนชะลอการปล่อยน้ำและบริหารจัดการน้ำในเขื่อนแม่น้ำโขงตอนบน ตลอดจนติดตามสถานการณ์การให้ข้อมูลเพื่อประกอบการแจ้งเตือนและบรรเทาผลกระทบที่เกิดขึ้นต่อประชาชนริมโขงให้มากที่สุด โดย สทนช. จะมีการติดตามสถานการณ์น้ำและประสานงานร่วมกับ MRCS อย่างใกล้ชิด เพื่อป้องกันความเสียหายแก่ประชาชนในพื้นที่จังหวัดริมแม่น้ำโขงให้ได้มากที่สุด

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักข่าวชายขอบ

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

ชาวบ้านเรียกว่า “ครก” หรือ “วัง” แหล่งหากินของปลากระเบนแม่น้ำโขง

 

เมื่อวันที่ 30 มิถุนายน 2567 ผู้สื่อข่าวรายงานว่าที่บ้านดอนที่ ต.ริมโขง อ.เชียงของ จ.เชียงราย สมาคมแม่น้ำเพื่อชีวิต พร้อมเจ้าหน้าที่สมาคม ได้ลงพื้นที่เพื่อพบปะกลุ่มชาวประมงพื้นบ้านริมแม่น้ำโขง ใน อ.เชียงแสน อ.เชียงของ และ อ.เวียงแก่น จ.เชียงราย ถึงภัยคุกคามที่ส่งผลต่อการลดลงของปลากระเบนในแม่น้ำโขง และติดตามการเปลี่ยนแปลง ปริมาณของปลากระเบนที่ลดลง โดยที่บ้านดอนที่เป็นพื้นที่เดียวในแม่น้ำโขง จ.เชียงราย ที่ชาวประมงจับได้บ่อยครั้ง ทางเจ้าหน้าที่จึงได้ร่วมกับมหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง ในการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับปลากระเบนในพื้นที่บ้านดอนที่ว่าเหตุใดจึงพบได้เพียงเฉพาะที่บ้านดอนที่เท่านั้น รวมไปถึงการศึกษาปลาสายพันธุ์อื่นๆในพื้นที่ด้วย

 

อาจารย์สุทธิ มะลิทอง สถาบันถ่ายทอดเทคโนโลยีนวัตกรรม มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย กล่าวว่า สถานการณ์ปลากระเบนในแม่น้ำโขง พบว่า จุดที่ชาวบ้านพบปลากระเบนในพื้นที่บ้านดอนที่ ต.ริมโขง อ.เชียงของ จ.เชียงราย เป็นจุดที่มีลักษณะที่ชาวบ้านเรียกว่า “ครก” หรือ “วัง” โดยมีพื้นผิวใต้น้ำเป็นตะกอนดินโคลน ทราย ปนกัน ซึ่งเป็นแหล่งหากินของปลากระเบน มีหนอนแดง ใส้เดือนน้ำ อยู่จำนวนมาก และบริเวณหลงแก่ง ที่มีลักษณะเป็นที่อยู่อาศัยของตัวอ่อนแมลงชีปะขาว และตัวอ่อนแมลงชีปะขาว ที่เป็นอาหารของปลากระเบน ทำให้ในพื้นที่นี้มีการจับปลากระเบนแม่น้ำโขงได้บ่อยครั้ง สำหรับความเสี่ยงของปลากระเบนก็คือพื้นที่อยู่อาศัย ถ้าหากพื้นที่อาศัยและแหล่งอาหารหายไป ก็จะทำให้ปลากระเบนลดลง นอกจากนี้พบว่าพืชริมน้ำก็จะเป็นแหล่งดักตะกอนที่ให้เกิดพื้นที่ดินโคลน และทราย จึงเป็นแหล่งที่อยู่ของอาหารของปลากระเบน
 
 
“อีกปัจจัยที่ทำให้เกิดปัญหาต่อปลากระเบนก็คือ เรื่องระดับน้ำที่มีการเปลี่ยนแปลง น้ำขึ้น น้ำลง ที่ไม่เป็นธรรมชาติ ก็จะส่งผลให้แหล่งที่อยู่และอาหารของปลากระเบนลดลง กระทบกับปลากระเบนโดยตรงหากไม่มีอาหารก็จะทำให้ย้ายถิ่นฐาน หรือสูญหายไป” อาจารย์สุทธิ กล่าว
 
 
นายถวิล ศิริเทพ ผู้ใหญ่บ้าน หมู่ 3 ตำบลริมโขง กล่าวว่าเมื่อเดือน พฤษภาคมที่ผ่านมา ได้มีชาวประมงพื้นบ้าน สามารถจับปลากระเบนแม่น้ำโขง ขนาดกว่า 1.2 กิโลกรัมได้ในแม่น้ำโขง ในพื้นที่บ้านดอนที่ ซึ่งปลากระเบนนั้นถือว่าเป็นปลาที่หากพบได้ยาก และใกล้สูญพันธุ์ในแม่น้ำโขงปัจจุบัน ก็เนื่องมาจากระบบนิเวศ ในแม่น้ำโขงที่เปลี่ยนไป การเพิ่มและลดบริมาณน้ำในแม่น้ำโขงที่ผิดปกติ ทำให้ชาวประมงในพื้นที่สามารถจับปลาบางชนิดได้น้อยลง ในฐานะผู้นำหมู่บ้านดอนที่ ก็ขอขอบคุณทางสมาคมแม่น้ำเพื่อชีวิต ที่เข้ามาช่วยทำวิจัย เพื่อเพาะพันธ์และอนุรักษ์พันธุ์ปลากระเบนในแม่น้ำโขง โดยใช้พื้นที่บริเวณหมู่บ้านดอนที่ ให้เป็นพื้นที่ศึกษาเรียนรู้ เพาะพันธ์ขยายพันธุ์ เพื่ออนุรักษ์พันธุ์ปลากระเบนและพันธุ์ปลาน้ำจืดแม่น้ำโขงอื่นๆ ที่ใกล้สูญพันธุ์ให้คงอยู่คู่กับแม่น้ำโขงต่อไป
 
 
ด้านนายสมศักดิ์ นันทลักษณ์ ชาวประมง ในพื้นที่บ้านดอนที่ เล่าว่า การหาปลาในแม่น้ำโขงในปัจจุบันค่อนข้างที่จะหายาก โดยเฉพาะช่วงนี้เป็นช่วงที่น้ำขึ้น ชาวบ้านที่ประกอบอาชีพหาปลาส่วนใหญ่ก็จะผันตัวไปทำไร่ทำสวน ในส่วนของที่ทางสมาคม แม่น้ำเพื่อชีวิตได้เข้ามาทำวิจัยเรื่องการเพาะพันธ์และอนุรักษ์พันธุ์ปลากระเบน และจะใช้พื้นที่หมู่บ้านดอนที่ อำเภอเชียงของ จังหวัดเชียงราย เป็นแหล่งอนุรักษ์พันธุ์ปลากระเบนแม่น้ำโขง ตนเองในฐานะชาวประมงในพื้นที่ก็เห็นด้วย ถ้าสามารถจับปลากระเบนในพื้นที่ได้อีก ก็จะส่งให้ทางประมงเพื่อไปทำการวิจัยและเพาะพันธ์ขยายพันธุ์ และนำกลับมาปล่อยคืนสู่ธรรมชาติเพื่อเพิ่มปริมาณจำนวนปลากระเบนในแม่น้ำโขง และให้บ้านดอนที่ เป็นศูนย์เรียนรู้ และเขตอนุรักษ์ เรื่องปลากระเบนแม่น้ำโขงต่อไป
 
 
สำหรับปลากระเบนในแม่น้ำโขงเผชิญกับภัยคุกคามร้ายแรงหลายประการที่ส่งผลต่อจำนวนประชากรและถิ่นที่อยู่อาศัย โดยพบภัยคุกคามคือ การเปลี่ยนแปลงของระดับน้ำ การควบคุมระดับน้ำของเขื่อนในแม่น้ำโขงใประเทศจีน ส่งผลต่อกระแสน้ำและรูปแบบการไหลของแม่น้ำโขง สิ่งนี้รบกวนวงจรชีวิตของปลา รวมถึงปลากระเบน ที่พึ่งพาการเปลี่ยนแปลงของระดับน้ำตามธรรมชาติสำหรับการอพยพ การวางไข่ และการหาอาหาร การกัดเซาะตลิ่งที่เกิดจากน้ำขึ้นลง ส่งผลต่อที่อยู่อาศัยของปลากระเบน ตลิ่งที่พังทลายทำลายพื้นที่คก วัง และริมฝั่งซึ่งเป็นแหล่งหากินและวางไข่ที่สำคัญ การสูญเสียแหล่งที่อยู่อาศัย การก่อสร้างเขื่อนและโครงสร้างพื้นฐานอื่นๆ บนแม่น้ำโขง ทำลายแหล่งที่อยู่อาศัยตามธรรมชาติของปลากระเบน เช่น โขดหิน แอ่งน้ำ และพื้นทราย การทำประมงที่ทำลายล้าง เช่น การใช้เครื่องมือจับปลาที่ผิดกฎหมาย ทำลายแหล่งเพาะพันธุ์และแหล่งหากินของปลากระเบน มลพิษทางน้ำจากการเกษตร โรงงาน และชุมชน ส่งผลต่อคุณภาพน้ำในแม่น้ำโขง มลพิษเหล่านี้เป็นอันตรายต่อปลากระเบน 
 
 
โดยเฉพาะลูกปลาและปลาอ่อน การล่าปลากระเบนถูกจับโดยชาวประมงเพื่อการค้าและบริโภค แม้ว่าจะมีกฎหมายห้ามจับปลากระเบน แต่การบังคับใช้กฎหมายยังคงมีประสิทธิภาพต่ำ และการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ส่งผลต่ออุณหภูมิและรูปแบบการตกตะกอนในแม่น้ำโขง การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ ส่งผลกระทบต่อแหล่งที่อยู่อาศัย อาหาร และวงจรชีวิตของปลากระเบน
 
 
ผลกระทบจากภัยคุกคามทำให้เกิดผลกระทบต่อจำนวนประชากรปลากระเบนในแม่น้ำโขง ทำให้จำนวนประชากรลดลงอย่างรวดเร็ว ปลากระเบนเป็นสัตว์กินซาก มีบทบาทสำคัญในระบบนิเวศของแม่น้ำโขง การลดลงของประชากรปลากระเบน ส่งผลต่อห่วงโซ่อาหาร และความสมดุลของระบบนิเวศโดยรวม
 
 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สมาคมแม่น้ำเพื่อชีวิต

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

เครือข่ายคนฮักแม่น้ำโขง 8 จังหวัด หารือฟื้นฟูแม่น้ำโขงให้สมบูรณ์

 
เมื่อวันที่ 9 มิ.ย. 67 ที่โรงแรมทีคการ์เดน อ.เชียงของ จ.เชียงราย นายวีรวิชญ์ เธียรชัยนันท์อำนวยการโครงการแม่โขงเพื่ออนาคต Mekong for the future องค์การกองทุนสัตว์ป่าโลกสากล (WWF) และนายธนวัจน์ คีรีภาส รองผู้อำนวยการโครงการแม่โขงเซฟการ์ด มูลนิธิเอเชีย  Asia Foundation เป็นประธานการประชุมรายงานผลการดำเนินงาน โครงการเสริมสร้างความเข้มแข็งแก่ชุ่มชนลุ่มน้ำโขงในภาคเหนือ และการประชุมสัญจรเครือข่ายคนฮักแม่น้ำโขง (Hug Mekong Network) ครั้งที่ 3 โดยมี นายธีระพงศ์ โพธิ์มั่น  ผู้อำนวยการสถาบันชุมชนลุ่มน้ำโขง นายสมเกียติ เขื่อนเชียงสา นายกสมคมแม่น้ำเพื่อชีวิต เจ้าหน้าที่จาก  Asia Foundation WWF นางอ้อมบุญ ทิพย์สุนา เครือข่ายสภาองค์กรชุมชนลุ่มน้ำโขง 7 จังหวัดภาคอีสาน  เครือข่ายชาวบ้านริมแม่น้ำโขงจาก 8 จังหวัดริมแม่น้ำโขง และเครือข่ายสมาคมชุมชนสีเขียว สปป.ลาว เข้าร่วมการประชุม
 

        โดยการประชุมครั้งนี้เป็นการรายงานผลการวิจัย เรื่องผลกระทบจากการพัฒนาเกินความพอดีที่ส่งผลต่อวิถีชีวิต ผู้คนและวัฒนธรรมของชุมชนในลุ่มแม่น้ำโขง และกดำเนินโครงการเสริมสร้างความเข้มแข็งแก่ชุมชนลุ่มน้ำโขง โดย นายธีระพงษ์ โพธิ์มั่น ผศ.ดร.สหัทยา วิเศษ  
 

        นายธีรพงษ์ กล่าวว่า โครงการได้มีการเปิดโครงการครบรอบแล้ว 1 ปี โดยหวังว่าผลลัพของโครงการจะเป็นประโยชน์ต่อชุมชน สิ่งที่เราร่วมมือกันมากว่า 1 ปี เราได้ทำงานในพื้นที่ อ.เชียงแสน อ.เชียงของ อ.เวียงแก่น จ.เชียงราย โดยได้รับความสนับสนุนจาก แม่โขงเซฟการ์ด และแม่โขงฟอร์เดอะฟิวเจอร์ มีวัตถุประสงค์เพื่อนำเสนอสิ่งที่เกิดขึ้นกกับแม่น้ำโขง ให้กับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการแก้ไขปัญหาต่างๆ ลุ่มแม่น้ำโขง
 

        การดำเนินการของโครงการที่ผ่านมาเป็นการร่วมมือของชุมชุนลุ่มแม่น้ำโขง ในการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น ซึ่งความเป็นมาของโครงการ คือ การเกิดปัญหาจากการพัฒนาในแม่น้ำโขง ในทั้งภาคเหนือและภาคอีสานของไทย ซึ่งเกิดปัญหามาอย่างยาวนานกว่า 30 ปี ที่ผ่านมา การแก้ไขปัญหาที่ผ่านมาเป็นการแก้ไขโดยคนลุ่มน้ำโขงเอง และยังไม่มีภาครัฐเข้ามาช่วยเหลือ ทำให้เกิดการหาข้อมูลเพื่อให้ภาครัฐ และองค์กรต่างๆ ได้รับทราบถึงสิ่งที่เกิดขึ้นกับแม่น้ำโขง ทั้งเรื่องการขึ้นลงที่ผิดปกติ ระบบนิเวศ และการหาอยู่หากินกับแม่น้ำโขงลำบากมากขึ้น ซึ่งโครงการนี้เป็นการเริ่มต้นเพื่อให้เกิดการแก้ไขปัญหากับแม่น้ำโขงอย่างแท้จริง เพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงภและฟื้นฟูแม่น้ำโขงให้กลับมาเป็นแม่น้ำที่อุดมสมบูรณ์ โดยเริ่มจากเรื่องปากท้องของคนลุ่มแม่น้ำโขง นอกเหนือจากการเก็บข้อมูลงานวิจัย  ในระยะยาวจะทำให้เกิดเครือข่ายคนลุ่มแม่น้ำโขง ในการเคลื่อนไหวด้านข้อมูล โดยมีแผนงานคือ 1  เก็บข้อมูลคนลุ่มแม่น้ำโขง ว่ามีความเป็นอยู่อย่างไรบ้าง มีกี่หมู่บ้าน สาขาอาชีพ ผลกระทบที่เกิดขึ้นกับแต่ละชุมชน 2 การเก็บข้อมูลผลกระทบ การทำวิจัย เรื่องพืช การหาปลา การหาอยู่หากินของแมญิงลุ่มแม่น้ำโขง 3 การแก้ไขปัญหาระยะสั้น ในการทำวิจัย เพื่อให้หน่วยงานและองค์การที่เกี่ยวข้องเข้ามาช่วยเหลือและแก้ปัญหาให้กับคนลุ่มแม่นน้ำโขง 
 

       ผศ.ดร.สหัทยา กล่าวว่า การเปลี่ยนแปลงของแม่น้ำโขง ได้มีการเก็บรวบรวมข้อมูลโดยทำงานร่วมกับเจ้าหน้าที่สมาคมแม่น้ำเพื่อชีวิต และสถาบันชุมชนลุ่มน้ำโขง โดยได้รับฟังข้อมูลจากประชาชนที่ได้รับผลกระทบโดยตรงจากการเปลี่ยนแปลงของแม่น้ำโขง โดยลงพื้นที่สำรวจ โดยเก็บข้อมูลจาก 305 คน จาก 38 ชุมชน ริมแม่น้ำโขง อ.เชียงแสน อ.เชียงของ อ.เวียงแก่น จ.เชียงราย กลุ่มเป้าหมายคือ กลุ่มที่ใช้ประโยชน์จากแม่น้ำโขงโดยตรงและทางอ้อม เช่นชาวประมง ผู้อาศัยริมแม่น้ำโขง  และกลุ่มหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับแม่น้ำโขง ภาครัฐ เอกชน องค์กรอิสระ
 

       จากนั้นได้มีการจัดเวทีเสวนาในหัวข้อ ข้อค้นพบจากงานวิจัยไทบ้าน และแนวทางแก้ไขปัญหาของภาคประชาชนต่อกรเปลี่ยนแปลงของแม่น้ำโขงจากการโครงการพัฒนาโดย เครือข่ายฮักแม่น้ำโขง 
 

        นางสาวจรรยา จันทร์ทิพย์ กล่าวว่า พืชริมน้ำหายไปหลังจากการเปลี่ยนแปลงของแม่น้ำโขง ที่เกิดจากการสร้างเขือ่นในแม่น้ำโขงพื้นที่ที่ผักเคยงอกขึ้นได้ ก็ไม่สามารถขึ้นได้เพราะน้ำขึ้นลงไม่เป็นไปตามธรรมชาติ พี่น้องเราริมแม่น้ำโขงก็ต้องปรับตัวโดยการปลูกพืชริมแม่น้ำ โดยการปลูกพืชอายุสั้นที่เก็บเกี่ยวได้เร็ว เพราะไม่สามารถคาดเดาได้ว่าน้ำจะมาเมื่อไหร่ ปัจจุบัน วิถีชีวิตเปลี่ยนไปจากเดิมเพราะแม่น้ำไม่สามารถเลี้ยงชีพได้ก็ต้องหาทางออกอย่างอื่นเช่นการเลี้ยงปลา และปลูกผัก ที่ต้องปรับตัว 
 

       นายมานพ มณีรัตน์ ผู้ใหญ่บ้านปากอิง  กล่าวว่า ชุมชนปากอิงได้ได้รับผกระทบจากที่ดิน ริมแม่น้ำที่หายจากการสร้างเขื่อนป้องกันริมตลิ่ง ทำให้พื้นที่ทำการเกษตรหายไป ที่ดินทำการเกษตรไม่มีแล้ว ปัจจุบัน รณรงค์ให้ชาวบ้านปลูกผักไว้เพื่อบริโภค ในครัวเรือน แต่ก็เป็นไปได้ยากเพราะพื้นที่มีไม่เพียงพอ ซึ่งก็เป็นเรื่องยากของชุมชน อาชีพกรประมงของชาวบ้านในพื้นที่ปากอิงก็ได้รับผลกระทบเพราะการหาปลาก็หาไม่ได้ ปัจจุบันเราไม่สามารถพึ่งพาและคาดเดาได้กับแม่น้ำโขง คนรุ่นใหม่เริ่มออกไปทำงานนอกหมู่บ้าน เหลือเพียงผู้สูงอายุอยู่ ซึ่งกังวลว่าในอนาคตวัฒนธรรมท้องถิ่นก็จะหายไปด้วย ซึ่งจะเป็นผลกระทบจากแม่น้ำโขงที่ทำให้คนรุ่นใหม่ไม่สามารถดำรงค์ชีพได้ในชุมชน 
 

       นายอภิเชษ คำมะวงซ์ กล่าวว่า การเปลี่ยนแปลงในแม่น้ำโขงให้การประมงในพื้นที่ริมแม่น้ำโขงเริ่มหายไป คนที่หากินกับแม่น้ำโขงต้องเพาะพันธุ์ปลาเพื่อเลี้ยงชีพ แทนการหาปลาในแม่น้ำโขงเพราะปลาตามธรรมชาติน้อยลง ซึ่งคนริมแม่น้ำโขงต้องหาทางออกโดยการปรับตัวเพื่อให้สามารถอยู่รอดได้ โดยการสร้างอาชีพจากการเลี้ยงปลากดคัง ปลาน้ำโขง เพื่อให้สามรถนำมาจำหน่ายเพื่อเลี้ยงครอบครัว 
 

        นางสมจิตร ทิศา กล่าวว่า แม่น้ำโขงเปลี่ยนไปมาก เมื่อก่อนสามารถปลูกผัก ทำเกษตรริมแม่น้ำโขง จนสามารถส่งลูกเรียนหนังสือได้จนจบปริญญาตรี แต่ปัจจุบัน แม่น้ำโขงน้ำขึ้นลงไม่เป็นไปตามธรรมชาติ ทำให้การทำเกษตรคาดเดาไม่ได้ ไร่ข้าวโพดริมแม่น้ำโขงที่เคยปลูกได้จำนวนมาก ก็เหลือพื้นที่น้อยลง เพราะระดับน้ำขึ้นมาสูงกินพื้นที่เพาะปลูก พืชสวนที่ปลูกไว้เพื่อขายก็ไม่สามารถทำได้ เพราะคาดเดาไม่ได้ว่าน้ำจะมาเมื่อไหร่ ลงทุนปลูกไปก็กลัวว่าน้ำจะพัดเสียหาย การหาปลาในแม่น้ำโขงเมื่อก่อนถึงเวลามื้ออาหาร ลงน้ำโขงหาปลา สามารถทานได้ทั้งครอบครัว ปัจจุบันลงน้ำหาปลาทั้งวันไม่ได้สักตัวเลยก็มี 
 

        ในช่วงบ่ายเป็นการแลกเปลี่ยนข้อมูลของเครือข่ายคนฮักแม่น้ำโขง ครั้งที่  3  โดยมีการสรุปแนวทางความร่วมมือในการัดการแม่น้ำโขงอย่างยั่งยืน การแลกเปลี่ยนสถานการณ์ และแนวทางการแก้ไขจากชุมชน รวมไปถึงการทำงานภายใต้เครือข่ายฮักแม่น้ำโขง  เพื่อเป็นแนวทางในการทำงานร่วมกันกับเครือข่ายแม่น้ำโขงภาคเหนือและภาคอีสาน
 
 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
WORLD PULSE

สปป.ลาว ส่งคนตรวจคุณภาพน้ำโขงปกติ แม้พึ่งเกิด”กรดซัลฟิวริก” ที่พลิกคว่ำ

 
เมื่อวันที่ 8 เมษายน 2567 สื่อจาก สปป. ลาว ໂທລະໂຄ່ງ THOLAKHONG ราย3านการตรวจสอบออก! แม่น้ำยังคงไม่ได้รับผลกระทบจาก #ChemicalCase พลิกคว่ำและทำให้สารไหลลงสู่หุบเขาและแม่น้ำ
 
จากกรณีขนส่งสารเคมีในหมู่บ้านภูสังขาม จังหวัดหลวงพระบาง เมื่อวันที่ 3 เมษายน 2567 มีสารเคมีบางชนิดไหลลงสู่ลำธารและไหลลงสู่ลำธารน้ำ และมีการแจ้งเตือนจากสำนักงานหลวงพระบางว่า ห้ามใช้น้ำดังกล่าว 
 
 
ล่าสุด วันนี้ 8 เมษายน 2567 คณะกรรมาธิการแม่น้ำโขงออกแถลงการณ์ว่า หลังจากตรวจสอบตั้งแต่วันที่เกิดเหตุและสำรวจอย่างละเอียดเมื่อวันที่ 7 เมษายน 2567 น้ำบริเวณลำห้วยยังคงปกติไม่ได้รับผลกระทบ มีเพียงน้ำในลำธารในที่เกิดเหตุเท่านั้นที่ได้รับผลกระทบ แสดงให้เห็นว่าแม่น้ำโขงและแม่น้ำโขงที่ลำธารไหลผ่านยังปกติ (ปลอดภัย)
นอกจากนี้ภาคส่วนที่เกี่ยวข้องจะยังคงติดตามและประเมินคุณภาพน้ำอย่างใกล้ชิดเพื่อความปลอดภัย
 
 

ทางด้านนายชัยพจน์ จรูญพงศ์ผู้ว่าราชการจังหวัดเลย กล่าวว่า อุบัติเหตุรถบรรทุกสารเคมีพลิกคว่ำที่เมืองหลวงพระบาง ประเทศลาว เมื่อ 5 วันก่อน สร้างความกังวลใจให้กับชาวบ้านโดยเฉพาะ อ.เชียงคาน ที่จะเป็นจุดรับน้ำจากประเทศลาวจุดแรก และคาดว่าน้ำจะมาถึงอำเภอเชียงคานในวันที่ 8 เม.ย.นี้

จึงได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ด้านสาธาณสุข และเจ้าหน้าที่ประมง เก็บตัวอย่างน้ำบริเวณแก่งคุดคู้ ไปตรวจคุณภาพความเป็นกรดด่างทุกวัน ตั้งแต่วันที่ 5 -12 เม.ย.นี้ ซึ่งผลการตรวจคุณภาพน้ำ ที่ผ่านมาเป็นปกติ

ผู้ว่าราชการจังหวัดเลย กล่าวว่า ขณะนี้คุณภาพแม่น้ำโขงในอ.เชียงคานอยู่ในเกณฑ์ปกติ สัตว์น้ำและคนสามารถใช้น้ำได้โดยปลอดภัย เนื่องจากกรดซัลฟิวริก 1 ลิตร ต่อน้ำ 100,000 ลิตรจะเจือจางไม่เป็นอันตรายต่อสัตว์น้ำและคน

 

แม้ขณะนี้สถานการณ์น้ำยังเป็นปกติแต่เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับประชาชนในพื้นที่ และนักท่องเที่ยว ได้ประสานไปยังสำนักงานสิ่งแวดล้อมภาค 9 เพื่อเก็บตัวอย่างน้ำไปตรวจสอบเพิ่มเติมเพื่อให้ผลแม่นยำและสร้างความมั่นใจ

 

ขณะที่วันนี้ บริเวณแก่งคุดคู้ ยังมีนักท่องเที่ยวยังพาครอบครัวมาเล่นน้ำคลายร้อน ส่วนใหญ่บอกว่าไม่กังวลว่าน้ำโขงบริเวณแก่งคุดคู้ จะมีสารเคมีปนเปื้อน เนื่องจากมีเจ้าหน้าที่เก็บตัวอย่างน้ำโขงไปตรวจสอบคุณภาพทุกวัน คือช่วงเช้าและช่วงเย็น และจากการติดตามข่าวก็พบว่าน้ำโขงที่ไหลผ่านอ.เชียงคาน ยังปกติและยังไม่พบสารเคมีปนเปื้อนแต่อย่างใด

 

ซึ่งทางสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ เคยได้ออกประกาศเรื่อง เฝ้าระวังผลกระทบจากคุณภาพน้ำในแม่น้ำโขง ฉบับที่ 1 โดยระบุว่า ตามที่ สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป.ลาว) ได้มีหนังสือแจ้งเตือนประชาชน เมื่อวันที่ 4 เมษายน 2567 แจ้งการเกิดอุบัติเหตุรถบรรทุกสารเคมีพลิกคว่ำ ทำให้กรดซัลฟิวริกไหลลงสู่แม่น้ำคาน บริเวณแขวงหลวงพระบาง สปป.ลาว เมื่อวันที่ 3 เมษายน 2567 จังหวัดเลย หนองคาย บึงกาฬ นครพนม มุกดาหาร อำนาจเจริญ และอุบลราชธานี

 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ໂທລະໂຄ່ງ THOLAKHONG

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
TOP STORIES

เฝ้าระวัง น้ำในแม่น้ำโขงจังหวัดในอีสานหลังกรดกำมะถัน รั่วไหลที่หลวงพระบาง

 

เมื่อวันที่ 5 เมษายน 2567 รายงานข่าวจากสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติประกาศ สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติเฝ้าระวังผลกระทบจากคุณภาพน้ำในแม่น้ำโขง หลังได้รับแจ้งสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป.ลาว) ได้มีหนังสือแจ้งเตือนประชาชนเมื่อวันที่ 4 เมษายน 2567 แจ้งการเกิดอุบัติเหตุรถบรรทุกสารเคมีพลิกคว่ำ ทำให้กรดซัลฟิวริกไหลลงสู่แม่น้ำคาน บริเวณแขวงหลวงพระบาง สปป.ลาว เมื่อวันที่ 3 เมษายน 2567 ซึ่งระยะทางจุดเกิดเหตุห่างจากอำเภอเชียงคาน จังหวัดเลย ประมาณ 293 กิโลเมตร

 

สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) ได้ติดตามสถานการณ์แม่น้ำโขง พบว่าสารเคมีจะเคลื่อนตัวผ่านเขื่อนไชยะบุรี วันที่ 5 เมษายน 2567 ซึ่งจะทำให้สารเคมีเจือจางลง จากนั้นจะเคลื่อนตัวเข้าสู่ประเทศไทย (จังหวัดเลย) ช่วงวันที่ 8 – 10 เมษายน 2567และจากการประเมินในเบื้องต้นคาดว่าจะไม่ส่งผลกระทบต่อคุณภาพน้ำแม่น้ำโขงในประเทศไทยสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ ในฐานะสำนักเลขาธิการคณะกรรมการแม่น้ำโขงแห่งชาติไทยได้ติดตามสถานการณ์และประสานสำนักงานเลขาธิการคณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง ให้พิจารณาประสานสปป.ลาว ในการบริหารจัดการน้ำเขื่อนไชยะบุรี

 

เพื่อเจือจางสารเคมี พร้อมทั้งมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องในประเทศไทยดำเนินการตรวจวัดคุณภาพน้ำพร้อมรายงานสถานการณ์ให้จังหวัดทราบอย่างต่อเนื่อง เตรียมความพร้อมรับมือสถานการณ์ดังกล่าว และขอให้ 7 จังหวัด

  1. เลย
  2. หนองคาย
  3. บึงกาฬ
  4. นครพนม
  5. มุกดาหาร
  6. อำนาจเจริญ
  7. อุบลราชธานี

โปรดประชาสัมพันธ์สถานการณ์น้ำในแม่น้ำโขง และแจ้งเตือนให้ประชาชนที่สัญจรและประกอบกิจกรรมในบริเวณแม่น้ำโขง การประมงสัตว์น้ำ รวมทั้งผู้ที่อาศัยในพื้นที่บริเวณดังกล่าว ติดตามสถานการณ์น้ำอย่างใกล้ชิด และเตรียมการเฝ้าระวังผลกระทบจากคุณภาพน้ำในแม่น้ำโขง จนกว่าสถานการณ์จะกลับสู่ภาวะปกติ

 

ซึ่งทางทางการนครหลวงพระบาง สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ก็มีออกแถลงการณ์ด่วน 1 ฉบับ เพื่อแจ้งและสั่งการให้พี่น้องประชาชนที่อาศัยอยู่ริมฝั่งแม่น้ำของ (โขง) ตั้งแต่ช่วงหมู่บ้านพุสร้างคำ ลงมาจนถึงปากคาน และแม่น้ำของตั้งแต่ปากคานลงมา ห้ามลงอาบน้ำ และห้ามนำปลาที่ตายอยู่ในน้ำมาประกอบอาหาร หรือนำไปขายโดยเด็ดขาด คาดการณ์ว่าสารเคมี กรดกำมะถัน หรือกรดซัลฟิวริค H2SO4 ประมาณ 30 ตันเหล่านี้ไหลลงสู่แม่น้ำของจะกระจายไปตามแม่น้ำของลงไปทางตอนใต้อย่างแน่น ประกอบกับช่วงนี้ปริมาณน้ำในแม่น้ำของมีปริมาณค่อนข้างน้อย การปนเปื้อนจึงรุนแรง ส่งผลกระทบกับคน สัตว์น้ำอย่างปู ปลา กุ้ง ชนิดต่างๆ ซึ่งต้องจับตามองต่อไปว่าหลังจากนี้จะมีมาตรการอะไรที่เกี่ยวกับเรื่องนี้  แต่มีการคาดการณ์ว่า จะไม่กระทบถึงแม่น้ำโขงในช่วง อ.เชียงคาน จ.เลย มากนักเนื่องจากน้ำที่ไหลลงมาจากนครหลวงพระบางจะถูกกักเก็บไว้ที่เขื่อนไซยะบูลี (ไซยะบุรี) สปป.ลาว ก่อน

 
 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.)

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News