Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

ไทย-จีน จับมือ! บริหารน้ำข้ามแดน แม่น้ำโขง-สาย-รวก

ไทย-จีนเดินหน้ากระชับความร่วมมือด้านการบริหารจัดการน้ำข้ามพรมแดน เสริมแกร่งระบบเตือนภัยในลุ่มน้ำสาย-รวก

เชียงราย, 25 มีนาคม 2568 – สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) แถลงต้อนรับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรน้ำแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน พร้อมหารือความร่วมมือทวิภาคีและพหุภาคีด้านการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ เพื่อเสริมสร้างความมั่นคงด้านน้ำของชุมชนลุ่มน้ำสายและแม่น้ำรวก ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และเนื่องในโอกาสครบรอบ 50 ปีความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างไทยและจีน

สทนช. – จีน หารือระดับสูง หวังต่อยอดความร่วมมือ

ดร.สุรสีห์ กิตติมณฑล เลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) เปิดเผยภายหลังการประชุมหารือร่วมกับ นายหลี่ กั๋วอิง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรน้ำจีน และคณะ ในโอกาสเยือนประเทศไทยระหว่างวันที่ 20–22 มีนาคม 2568 ว่า การหารือครั้งนี้นับเป็นหมุดหมายสำคัญในการพัฒนาความร่วมมือด้านการบริหารจัดการน้ำระหว่างสองประเทศ

คณะรัฐมนตรีจีนได้เยี่ยมชมสถานีตรวจวัดระดับน้ำแม่น้ำโขงในพื้นที่อำเภอเชียงแสน จังหวัดเชียงราย เพื่อศึกษาแนวทางบริหารจัดการน้ำในเขตชายแดน และเข้าใจบริบทปัญหาน้ำที่ส่งผลกระทบต่อประชาชนทั้งสองฝั่ง

ความร่วมมือระดับทวิภาคีและพหุภาคี ก้าวสู่ความยั่งยืน

ในระดับทวิภาคี ไทยและจีนได้มีการลงนามบันทึกความเข้าใจด้านทรัพยากรน้ำและการชลประทานร่วมกันผ่านกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยล่าสุด มีการหารือถึงการทำบันทึกความเข้าใจ (MOU) ระหว่าง สทนช. กับกระทรวงทรัพยากรน้ำจีน โดยตรง เพื่อเสริมสร้างกลไกความร่วมมือและการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

ในขณะเดียวกัน ระดับพหุภาคีผ่านกรอบความร่วมมือแม่โขง–ล้านช้าง (Mekong–Lancang Cooperation: MLC) ซึ่งประกอบด้วยสมาชิก 6 ประเทศ ได้แก่ ไทย จีน กัมพูชา ลาว เมียนมา และเวียดนาม ก็มีบทบาทสำคัญในการส่งเสริมโครงการด้านน้ำอย่างยั่งยืน

โครงการจากกองทุน MLC เสริมรับมืออุทกภัยในลุ่มน้ำสาย–รวก

ที่ผ่านมา สทนช. ได้เสนอโครงการต่อกองทุนพิเศษแม่โขง–ล้านช้าง (MLC Special Fund) และได้รับการอนุมัติให้ดำเนิน “โครงการวิจัยร่วมเพื่อการบริหารจัดการน้ำข้ามพรมแดนด้านอุทกภัยและภัยแล้ง” ในพื้นที่ลุ่มน้ำสาย–รวก ซึ่งเป็นลำน้ำที่ไหลผ่านเขตชายแดนไทยและเมียนมา

แม้โครงการดังกล่าวจะประสบปัญหาในการดำเนินการช่วงการระบาดของโรคโควิด-19 ทำให้แผนงานล่าช้า แต่ในปี 2567 สทนช. ได้เสนอ “โครงการเสริมสร้างความยืดหยุ่นของชุมชนเมืองต่ออุทกภัยในสภาพภูมิอากาศที่เปลี่ยนแปลง” เพื่อขอรับการสนับสนุนงบประมาณจากกองทุนดังกล่าวในปี 2568 โดยโครงการดังกล่าวอยู่ระหว่างการพิจารณาของทางการจีน

ระบบเตือนภัยล่วงหน้า – เครื่องมือสำคัญของประชาชน

หนึ่งในเป้าหมายสำคัญของความร่วมมือในครั้งนี้ คือการพัฒนา “ระบบแจ้งเตือนอุทกภัยล่วงหน้า (Early Warning System)” ซึ่งจะเชื่อมโยงข้อมูลจากสถานีตรวจวัดน้ำชายแดน และใช้ระบบสนับสนุนการตัดสินใจ (Decision Support System) เพื่อให้เจ้าหน้าที่รัฐและประชาชนสามารถเตรียมการรับมือกับภัยน้ำท่วมและภัยแล้งได้ทันท่วงที

เลขาธิการ สทนช. กล่าวย้ำว่า ความร่วมมือด้านเทคโนโลยีและข้อมูลระหว่างประเทศจะเป็นกุญแจสำคัญในการรับมือกับสภาวะอากาศที่แปรปรวน และลดความสูญเสียที่อาจเกิดขึ้นกับชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนในพื้นที่เสี่ยง

มุมมองจากสองฝ่าย: ประโยชน์–ข้อควรระวังจากความร่วมมือข้ามพรมแดน

ฝ่ายสนับสนุน
มองว่าความร่วมมือด้านน้ำระหว่างไทย–จีน โดยเฉพาะการพัฒนาโครงการในลุ่มน้ำสาย–รวก ถือเป็นก้าวสำคัญในการสร้างความมั่นคงด้านน้ำในระยะยาว ทั้งยังเป็นโอกาสดีที่ไทยจะได้เทคโนโลยีทันสมัยจากจีนมาใช้ในการคาดการณ์ภัยพิบัติ ช่วยลดต้นทุนการเยียวยาภายหลัง และปกป้องชีวิตของประชาชนในชุมชนชายแดนที่เผชิญกับน้ำท่วมบ่อยครั้ง

ฝ่ายตั้งข้อสังเกต
แม้การร่วมมือด้านน้ำจะมีข้อดี แต่ก็มีความกังวลเรื่องการเข้าถึงข้อมูลน้ำที่อาจไม่สมดุลระหว่างประเทศต้นน้ำ (จีน) กับปลายน้ำ (ไทย) หากไม่มีความโปร่งใสในการแลกเปลี่ยนข้อมูล หรือไม่มีระบบตรวจสอบที่เข้มแข็ง อาจทำให้การบริหารน้ำไม่เป็นธรรม โดยเฉพาะในภาวะภัยแล้งที่จีนมีอำนาจในการปล่อยหรือกักเก็บน้ำจากเขื่อนต้นน้ำ

สถิติที่เกี่ยวข้องกับข่าว

  • ปีที่สานความสัมพันธ์ไทย–จีน: ครบรอบ 50 ปี (พ.ศ. 2518–2568)
  • สมาชิกกรอบความร่วมมือแม่โขง–ล้านช้าง (MLC): 6 ประเทศ
  • โครงการจากกองทุนพิเศษ MLC ที่ไทยเสนอปี 2567:
    • โครงการเสริมสร้างความยืดหยุ่นของชุมชนลุ่มน้ำสาย–รวกต่ออุทกภัย
    • ชื่อเต็ม: Strengthening Urban Community Resilience against Flashflood under Changing Climate and Extreme Events in Sai and Ruak Transboundary River
  • ประเทศที่เกี่ยวข้องกับลุ่มน้ำสาย–รวก: ไทย และ เมียนมา
  • พื้นที่ศึกษาระบบเตือนภัยและวางระบบตรวจวัดน้ำ: อำเภอเชียงแสน จังหวัดเชียงราย
  • โครงการที่แล้ว (ปี 2561): โครงการวิจัยร่วมด้านน้ำข้ามพรมแดน ระหว่างไทย–เมียนมา (ลุ่มน้ำสาย–รวก)

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : 

  • สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.)

  • กระทรวงทรัพยากรน้ำ สาธารณรัฐประชาชนจีน

  • เอกสารข้อเสนอโครงการปี 2567 ของ สทนช.

  • กรอบความร่วมมือแม่โขง–ล้านช้าง (Mekong–Lancang Cooperation)

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI NEWS UPDATE

เร่งฟื้นฟูสะพานแม่สาย ไทย-เมียนมาขุดลอก รับมือน้ำท่วม

กรมทางหลวงเร่งบูรณะสะพานมิตรภาพแม่สาย หนุนเศรษฐกิจและความมั่นคงชายแดน

เชียงรายเดินหน้าฟื้นฟูหลังน้ำท่วมใหญ่ ปี 2567

เชียงราย, 23 มีนาคม 2568 – หลังเหตุการณ์อุทกภัยรุนแรงเมื่อเดือนกันยายน 2567 ที่สร้างความเสียหายอย่างหนักต่อโครงสร้างพื้นฐานในพื้นที่ชายแดนไทย-เมียนมา โดยเฉพาะสะพานมิตรภาพไทย-เมียนมา แห่งที่ 1 อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย กรมทางหลวงโดยแขวงทางหลวงเชียงรายที่ 1 ได้เร่งดำเนินการฟื้นฟูและซ่อมแซมอย่างต่อเนื่อง

นายอลงกรณ์ กัวตระกูล ผู้อำนวยการแขวงทางหลวงเชียงรายที่ 1 เปิดเผยว่า ขณะนี้การดำเนินงานมีความคืบหน้าอย่างมาก โดยแบ่งภารกิจหลักออกเป็น 3 ส่วนสำคัญ ดังนี้

ซ่อมแซมทางหลวงที่เสียหายจากอุทกภัย

กรมทางหลวงได้ดำเนินการบูรณะถนนที่ได้รับผลกระทบจำนวน 28 แห่ง โดยซ่อมแซมเสร็จสิ้นแล้ว 25 แห่ง คงเหลืออีก 3 แห่งที่อยู่ระหว่างดำเนินการ การฟื้นฟูดังกล่าวช่วยให้ประชาชนสามารถสัญจรได้อย่างสะดวก ปลอดภัย และลดอุบัติเหตุที่อาจเกิดขึ้น

จัดระเบียบพื้นที่บริเวณด่านชายแดนแม่สาย

อีกหนึ่งภารกิจสำคัญ คือ การรื้อถอนร้านค้าและสิ่งปลูกสร้างรุกล้ำแนวเขตบริเวณด่านพรมแดนแม่สาย โดยดำเนินการเสร็จเรียบร้อยตามมติศูนย์บัญชาการเหตุการณ์อุทกภัย ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง สร้างความเป็นระเบียบเรียบร้อย และเปิดพื้นที่ให้กับการพัฒนาระบบคมนาคมและโครงสร้างพื้นฐานใหม่

เสริมกำลังโครงสร้างสะพานมิตรภาพไทย-เมียนมา

กรมทางหลวงได้ดำเนินโครงการเสริมความแข็งแรงของสะพานมิตรภาพแห่งที่ 1 ด้วยงบประมาณ 15 ล้านบาท เริ่มสัญญาตั้งแต่มีนาคม 2568 และจะแล้วเสร็จภายในตุลาคม 2568 รวมระยะเวลาดำเนินงาน 210 วัน เพื่อยกระดับความปลอดภัยและรองรับการจราจรในอนาคต

ผลกระทบและการปรับตัวของประชาชนในพื้นที่

พ่อค้าแม่ค้าในตลาดดอยเวาบางส่วน ระบุว่า แม้ร้านค้าจะไม่ได้รับผลกระทบโดยตรงเพราะตั้งอยู่บนที่สูง แต่บ้านพักในชุมชนเหมืองแดงซึ่งเป็นที่ลุ่มกลับได้รับความเสียหายอย่างหนัก โดยเฉพาะดินโคลนที่ไหลเข้าบ้านจำนวนมาก จำเป็นต้องใช้แรงงานในการล้างทำความสะอาดซึ่งมีค่าใช้จ่ายวันละ 400–1,000 บาทต่อคน

แม้จะได้รับเงินเยียวยาเบื้องต้นครอบครัวละ 9,000 บาท แต่ก็ยังไม่เพียงพอต่อค่าใช้จ่าย จนล่าสุดรัฐบาลได้อนุมัติเงินค่าล้างโคลนครอบครัวละ 10,000 บาทเพิ่มเติม

รัฐบาลเร่งอนุมัติงบฟื้นฟูคุณภาพชีวิต

สำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย จ.เชียงราย รายงานว่า จังหวัดได้อนุมัติจัดสรรงบประมาณทดรองราชการจำนวน 292,143,249 บาท แบ่งเป็น อ.แม่สาย 134,776,273 บาท และ อ.เมืองเชียงราย 157,370,976 บาท เพื่อช่วยเหลือประชาชนในด้านการดำรงชีพและค่าล้างทำความสะอาดดินโคลน

ไทย-เมียนมา ร่วมขุดลอกแม่น้ำสาย ป้องกันน้ำท่วมซ้ำ

ทั้งสองประเทศเร่งจัดการพื้นที่ริมแม่น้ำสาย โดยดำเนินการรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างที่รุกล้ำและขุดลอกแม่น้ำเพื่อทำแนวพนังกันน้ำ หนึ่งใน 45 จุดที่ต้องรื้อถอนในฝั่งไทยคือบริเวณวัดเกาะทราย ขณะเดียวกันฝั่งเมียนมาก็ได้เร่งเสริมแนวกั้นดินและสร้างกำแพงป้องกันน้ำท่วมอย่างต่อเนื่อง

ความเห็นของนักวิชาการต่อสถานการณ์แม่น้ำสาย

นายธนพล พิมาน หัวหน้าฝ่ายวิจัยด้านบริหารจัดการน้ำ จากสถาบันสิ่งแวดล้อมสตอกโฮล์ม ประจำเอเชีย ให้ความเห็นว่า การเกิดน้ำท่วมโคลนในแม่สายเมื่อปี 2567 ส่วนหนึ่งอาจเกี่ยวข้องกับการทำเหมืองต้นน้ำในรัฐฉาน ประเทศเมียนมา ซึ่งทำให้ตะกอนในน้ำเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

หากไม่มีการจัดการอย่างเป็นระบบ ปี 2568 อาจเกิดโคลนถล่มอีกครั้ง เพราะต้นน้ำเสื่อมโทรมและยังไม่มีหน่วยงานใดลงพื้นที่ตรวจสอบผลกระทบโดยตรง

ความท้าทายของการพัฒนาระหว่างประเทศ

การดำเนินโครงการฟื้นฟูและป้องกันน้ำท่วมระหว่างไทย-เมียนมา ต้องอาศัยความร่วมมือและการตกลงร่วมกันในเชิงนโยบายและการปฏิบัติ โดยเฉพาะการขุดลอกแม่น้ำสายซึ่งต้องมีการรื้อถอนสิ่งกีดขวางในทุกจุดที่ระบุไว้ หากสามารถดำเนินการแล้วเสร็จทันปลายเดือนมีนาคมหรืออย่างช้าต้นเดือนเมษายน จะช่วยลดความเสี่ยงก่อนฤดูฝนมาถึง

สถิติและแหล่งอ้างอิงที่เกี่ยวข้อง

  • จำนวนจุดที่ต้องรื้อถอนฝั่งไทย: 45 จุด (ข้อมูลจากแขวงทางหลวงเชียงรายที่ 1)
  • งบประมาณซ่อมสะพาน: 15 ล้านบาท (กรมทางหลวง)
  • งบประมาณช่วยเหลือประชาชน: 292.14 ล้านบาท (สำนักงาน ปภ.จังหวัดเชียงราย)
  • ความเสียหายเบื้องต้นจากน้ำท่วม: บ้านเรือนกว่า 100 หลัง, ร้านค้าหลายสิบแห่ง (สำรวจโดยอำเภอแม่สาย)
  • ข้อมูลนักวิชาการจากสถาบันสิ่งแวดล้อมสตอกโฮล์ม: ผลกระทบจากเหมืองต้นน้ำในรัฐฉาน ประเทศเมียนมา

ความคิดเห็นอย่างเป็นกลาง

ฝ่ายไทยมุ่งเน้นการพัฒนาและฟื้นฟูพื้นที่เพื่อความปลอดภัยและเศรษฐกิจ ขณะที่ฝ่ายเมียนมาเน้นการจัดการระบบป้องกันตลิ่งและรุกขุดลอกแม่น้ำตามแผนป้องกันของตน ทั้งสองฝ่ายต่างมีบทบาทสำคัญในการจัดการน้ำและความร่วมมือข้ามพรมแดน ซึ่งหากประสานงานกันอย่างมีประสิทธิภาพ จะช่วยป้องกันภัยพิบัติในอนาคตและสร้างประโยชน์ร่วมกันแก่ประชาชนทั้งสองประเทศ

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กรมทางหลวงโดยแขวงทางหลวงเชียงรายที่ 1

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

ตรวจเข้มกำแพง “เมียนมา” ‘อ.แม่สาย’ ป้องกันล้ำเขตแดน

ตรวจสอบการก่อสร้างกำแพงกันตลิ่งแม่น้ำสาย ป้องกันปัญหาการกัดเซาะและแนวเขตแดน

การลงพื้นที่ตรวจสอบโครงการก่อสร้างกำแพงกันตลิ่ง

เชียงราย, 10 มีนาคม 2568 – เมื่อวันจันทร์ที่ 10 มีนาคม 2568 เวลา 13.30 น. นายวรายุทธ ค่อมบุญ นายอำเภอแม่สาย มอบหมายให้นายธีรศักดิ์ พุทธรักษา ปลัดอำเภอกลุ่มงานความมั่นคง พร้อมหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ลงพื้นที่ตรวจสอบโครงการก่อสร้างกำแพงหินคอนกรีตป้องกันตลิ่งแม่น้ำสาย ซึ่งตั้งอยู่ในพื้นที่จังหวัดท่าขี้เหล็ก สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา การดำเนินการครั้งนี้เป็นความร่วมมือระหว่างหน่วยงานไทยและเมียนมา เพื่อกำหนดตำแหน่งค่าพิกัดที่ชัดเจน ป้องกันปัญหาการล้ำเขตแดน และลดความเสี่ยงจากการกัดเซาะของแม่น้ำสาย

พื้นที่ดำเนินโครงการก่อสร้างกำแพงกันตลิ่ง

โครงการก่อสร้างกำแพงกันตลิ่งในเมียนมาครอบคลุมพื้นที่ 3 จุดสำคัญ ได้แก่:

  1. จุดก่อสร้างตรงข้ามสะพานข้ามแม่น้ำสายแห่งที่ 1
  2. จุดก่อสร้างใต้สะพานข้ามแม่น้ำสายแห่งที่ 1
  3. จุดก่อสร้างบริเวณหลังโรงแรมอารัว

พื้นที่ดังกล่าวเป็นจุดที่ได้รับผลกระทบจากการกัดเซาะของแม่น้ำสาย ซึ่งอาจก่อให้เกิดผลกระทบต่อที่ดินและแนวเขตแดนระหว่างสองประเทศ การก่อสร้างกำแพงหินคอนกรีตจึงเป็นแนวทางในการป้องกันความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต

วัตถุประสงค์ของการตรวจสอบพื้นที่

การลงพื้นที่ในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ:

  • ตรวจสอบตำแหน่งค่าพิกัดของพื้นที่ก่อสร้างให้ถูกต้อง
  • กำหนดหลักเขตแดนให้ชัดเจนเพื่อป้องกันปัญหาล้ำแดน
  • ประสานความร่วมมือระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้องของทั้งสองประเทศ

ติดตามความคืบหน้าของโครงการก่อสร้างและตรวจสอบมาตรฐานการดำเนินงาน

หน่วยงานที่เข้าร่วมตรวจสอบพื้นที่

การลงพื้นที่ครั้งนี้เป็นความร่วมมือระหว่างหลายหน่วยงาน ได้แก่:

  • โยธาธิการและผังเมืองจังหวัดเชียงราย
  • หน่วยประสานงานชายแดนไทย-เมียนมา ประจำพื้นที่ 1 (TBC)
  • กรมแผนที่ทหาร
  • ฝ่ายปกครองอำเภอแม่สาย

ผลกระทบและแนวทางการแก้ไขปัญหากัดเซาะตลิ่ง

พื้นที่ริมแม่น้ำสายเป็นพื้นที่ที่มีการเปลี่ยนแปลงตามธรรมชาติของกระแสน้ำ ซึ่งอาจส่งผลให้เกิดการพังทลายของตลิ่งและการเปลี่ยนแปลงแนวแม่น้ำ หากไม่มีมาตรการป้องกันที่เหมาะสม อาจส่งผลกระทบต่อพื้นที่อยู่อาศัย การเกษตร และโครงสร้างพื้นฐานในพื้นที่ โดยเฉพาะแนวเขตแดนที่ต้องกำหนดให้ชัดเจนเพื่อลดข้อพิพาทระหว่างประเทศ

การสร้างกำแพงกันตลิ่งจึงเป็นมาตรการที่สำคัญในการลดความเสี่ยงจากการพังทลายของที่ดินริมแม่น้ำ และยังช่วยให้สามารถใช้พื้นที่ริมฝั่งแม่น้ำสายได้อย่างปลอดภัยและมั่นคงยิ่งขึ้น

สถิติที่เกี่ยวข้องกับปัญหาการกัดเซาะตลิ่งและการก่อสร้างกำแพงป้องกัน

  • จากรายงานของกรมโยธาธิการและผังเมือง พบว่าแม่น้ำสายเป็นหนึ่งในแม่น้ำที่มีอัตราการกัดเซาะสูง โดยเฉลี่ย 1.2 เมตรต่อปี
  • สถิติจากกรมทรัพยากรน้ำระบุว่าในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา มีพื้นที่ริมแม่น้ำที่ถูกกัดเซาะและสูญเสียไปมากกว่า 500 ไร่
  • โครงการกำแพงป้องกันตลิ่งที่ผ่านการก่อสร้างในพื้นที่ชายแดนสามารถลดอัตราการพังทลายของตลิ่งได้มากถึง 80%
  • ความร่วมมือด้านการบริหารจัดการแม่น้ำระหว่างไทย-เมียนมาในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ส่งผลให้มีโครงการป้องกันตลิ่งมากกว่า 15 โครงการ ทั่วแนวชายแดน

ข้อคิดเห็นจากทั้งสองฝ่าย

ฝ่ายสนับสนุน

ฝ่ายที่สนับสนุนการก่อสร้างกำแพงกันตลิ่งให้เหตุผลว่าโครงการนี้จะช่วยป้องกันปัญหาดินพังทลาย ลดความเสี่ยงจากน้ำหลาก และป้องกันข้อพิพาทเรื่องแนวเขตแดน อีกทั้งยังช่วยเพิ่มความปลอดภัยให้กับชุมชนริมแม่น้ำและโครงสร้างพื้นฐานในพื้นที่

ฝ่ายที่กังวล

ในขณะที่บางฝ่ายกังวลว่าโครงการก่อสร้างอาจส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศของแม่น้ำ เช่น การเปลี่ยนแปลงการไหลของน้ำ การกัดเซาะฝั่งตรงข้าม หรือผลกระทบต่อวิถีชีวิตของชุมชนที่พึ่งพาแม่น้ำสายในการดำรงชีวิต ซึ่งเป็นสิ่งที่ต้องมีการศึกษาผลกระทบอย่างรอบคอบก่อนดำเนินโครงการ

สรุปภาพรวมโครงการ

การตรวจสอบการก่อสร้างกำแพงกันตลิ่งในพื้นที่แม่น้ำสาย จังหวัดท่าขี้เหล็ก เมียนมา เป็นความร่วมมือระหว่างไทยและเมียนมาเพื่อป้องกันการกัดเซาะของตลิ่ง ลดข้อพิพาทเรื่องแนวเขตแดน และเสริมสร้างความมั่นคงให้กับชุมชนริมแม่น้ำ อย่างไรก็ตาม การดำเนินโครงการยังต้องมีการประเมินผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและชุมชนเพื่อให้เกิดความสมดุลระหว่างการพัฒนาและการอนุรักษ์

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ทีมข่าวนครเชียงรายนิวส์

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI NEWS UPDATE

แม่สายรื้อบ้านรุกล้ำ ไทย-เมียนมา ขุดลอก น้ำสาย-น้ำรวก

ไทย-เมียนมา เดินหน้าขุดลอกลำน้ำแม่สาย-น้ำรวก แก้ปัญหาการรุกล้ำเขตแดน

เร่งรื้อถอนสิ่งปลูกสร้าง ร่วมมือขุดลอกแม่น้ำเพื่อความชัดเจนของแนวเขตแดน

เชียงราย, 6 มีนาคม 2568 – นายวรายุทธ ค่อมบุญ นายอำเภอแม่สาย เปิดเผยถึงความคืบหน้าการขุดลอกลำน้ำแม่สายและลำน้ำรวก ซึ่งเป็นเส้นแบ่งเขตแดนระหว่างประเทศไทยและเมียนมา ว่าหลังจากการประชุมคณะกรรมการร่วมไทย-เมียนมา (JCR) เมื่อวันที่ 16-17 มกราคม 2568 ที่จังหวัดเชียงราย มีข้อตกลงให้ทั้งสองประเทศรับผิดชอบการขุดลอกลำน้ำในพื้นที่ของตนเอง

ฝ่ายเมียนมาจะดำเนินการขุดลอกแม่น้ำสายเป็นระยะทาง 13 กิโลเมตร ตั้งแต่ชุมชนบ้านถ้ำผาจม หมู่ 1 ตำบลเวียงพางคำ อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย ไปจนถึงเขตติดต่อตำบลเกาะช้าง อำเภอแม่สาย ขณะที่ฝ่ายไทย มีกองทหารช่างเป็นผู้รับผิดชอบขุดลอกลำน้ำรวก ระยะทาง 33 กิโลเมตร จากตำบลเกาะช้าง อำเภอแม่สาย ไปจนถึงบ้านสบรวก สามเหลี่ยมทองคำ ในเขตอำเภอเชียงแสน และไหลออกสู่แม่น้ำโขง

การรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างที่รุกล้ำแนวเขตแดน

นายวรายุทธ ค่อมบุญ กล่าวเพิ่มเติมว่า จากการตรวจสอบพบว่าฝ่ายเมียนมามีสิ่งปลูกสร้างรุกล้ำเข้ามาในเขตประเทศไทย 33 จุด ขณะที่ฝ่ายไทยมีสิ่งปลูกสร้างรุกล้ำเข้าไปในเขตเมียนมา 45 จุด ล่าสุด ทางการเมียนมาได้ดำเนินการรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างที่รุกล้ำไปแล้ว 20 จุด และอยู่ระหว่างเร่งดำเนินการรื้อถอนที่เหลือให้เสร็จโดยเร็ว ส่วนฝ่ายไทยได้เริ่มกระบวนการรื้อถอนตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา และสามารถดำเนินการไปแล้ว 7 จุด โดยจะเร่งให้แล้วเสร็จตามข้อตกลงระหว่างสองประเทศ

ในวันที่ 10 มีนาคม 2568 คณะเจ้าหน้าที่ไทย นำโดยนายประสงค์ หล้าอ่อน จะเดินทางไปยังจังหวัดท่าขี้เหล็ก ประเทศเมียนมา เพื่อร่วมลงนามข้อตกลงในการขุดลอกลำน้ำสาย-น้ำรวก ตามสนธิสัญญาที่กำหนดไว้ หลังการลงนามอย่างเป็นทางการ ทั้งสองฝ่ายจะเริ่มกระบวนการขุดลอกทันที

ผลกระทบต่อประชาชนริมฝั่งแม่น้ำ

ปัญหาหนึ่งที่ยังต้องการการแก้ไขอย่างเร่งด่วน คือบ้านเรือนประชาชนที่ตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำสายและแม่น้ำรวก โดยเฉพาะที่บ้านเกาะทราย ซึ่งบางหลังอยู่ในเขตเมียนมา และอาจต้องถูกรื้อถอนตามข้อตกลงของทั้งสองประเทศ นางขันแก้ว อายุ 54 ปี ชาวบ้านในพื้นที่ กล่าวว่าตนเองและครอบครัวอาศัยอยู่ในบริเวณดังกล่าวมาหลายชั่วอายุคน โดยไม่ทราบแน่ชัดว่าแนวเขตแดนอยู่ที่ใด หากต้องรื้อถอนที่อยู่อาศัยจริงก็อยากได้รับการช่วยเหลือจากภาครัฐในเรื่องที่ดินหรือที่อยู่ใหม่ เพราะประชาชนในพื้นที่ส่วนใหญ่อยู่กันมานานและไม่มีทรัพย์สินเพียงพอในการหาที่อยู่ใหม่ด้วยตัวเอง

ในส่วนของการรื้อถอนฝั่งเมียนมา มีรายงานว่า ตั้งแต่ใต้สะพานมิตรภาพไทย-เมียนมา แห่งที่ 1 เจ้าหน้าที่เมียนมาได้เริ่มดำเนินการรื้อถอนกำแพงและสิ่งปลูกสร้างที่รุกล้ำเข้าไปในลำน้ำสาย รวมถึงมีการขุดลอกบางจุดเพื่อเตรียมพื้นที่สำหรับการก่อสร้างกำแพงกันน้ำใหม่ ซึ่งในบางกรณี ประชาชนที่มีฐานะดีในเมียนมาได้รับอนุญาตให้สร้างแนวกันน้ำได้โดยมีเจ้าหน้าที่เมียนมาคอยกำกับดูแล

สถิติและแนวโน้มการขุดลอกลำน้ำชายแดนไทย-เมียนมา

ตามข้อมูลจากกรมโยธาธิการและผังเมือง การขุดลอกลำน้ำชายแดนไทย-เมียนมา มีความคืบหน้าอย่างต่อเนื่อง โดยในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา มีโครงการขุดลอกแม่น้ำชายแดนไทย-เมียนมา แล้วกว่า 120 กิโลเมตร ซึ่งช่วยลดปัญหาการกัดเซาะพื้นที่ การรุกล้ำแนวเขตแดน และลดความเสี่ยงน้ำท่วมในพื้นที่ชายแดน

อย่างไรก็ตาม การขุดลอกลำน้ำครั้งใหม่นี้มีความท้าทายเพิ่มขึ้น เนื่องจากต้องดำเนินการร่วมกับประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งอาจมีความล่าช้าในเรื่องของขั้นตอนทางกฎหมายและข้อตกลงระหว่างประเทศ การดำเนินโครงการนี้จึงต้องมีการประสานงานอย่างใกล้ชิดระหว่างหน่วยงานของทั้งสองประเทศ เพื่อให้เป็นไปตามหลักสากล และป้องกันปัญหาข้อพิพาทในอนาคต

แม้ว่าการขุดลอกลำน้ำสาย-น้ำรวกครั้งนี้จะช่วยทำให้แนวเขตแดนมีความชัดเจนขึ้น แต่ก็ยังมีข้อกังวลเกี่ยวกับผลกระทบต่อประชาชนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ดังกล่าว ซึ่งจำเป็นต้องได้รับการเยียวยาและการช่วยเหลืออย่างเหมาะสมจากภาครัฐ ทั้งของไทยและเมียนมา เพื่อให้ประชาชนสามารถปรับตัวและดำรงชีวิตได้อย่างมั่นคงต่อไป

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ทีมข่าวนครเชียงรายนิวส์ 

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

แม่สายรื้อร้านค้า ไทย-เมียนมาขุดลอก น้ำสายป้องกันท่วม

ไทย-เมียนมาร่วมมือแก้ปัญหาน้ำท่วมแม่สาย รื้อถอนอาคารริมน้ำสายกว่า 800 หลัง ขุดลอกลำน้ำ-สร้างพนังกั้นน้ำ

เชียงราย, 6 มีนาคม 2568 – การแก้ปัญหาน้ำท่วมในพื้นที่ อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย และ จังหวัดท่าขี้เหล็ก ประเทศเมียนมา กำลังเดินหน้าตามข้อตกลงระหว่างสองประเทศ โดยขณะนี้ เมียนมาเริ่มดำเนินการขุดลอกและทำลายสิ่งกีดขวางในแม่น้ำสาย เพื่อคืนพื้นที่ให้กับลำน้ำ พร้อมก่อสร้างพนังกั้นน้ำความสูง 17.6 ฟุต (ประมาณ 2 เมตร) เพื่อป้องกันอุทกภัยที่จะเกิดขึ้นในอนาคต

หน่วยงานที่เกี่ยวข้องของทั้งสองประเทศกำลังเร่งศึกษาวิธีป้องกันน้ำท่วม คาดว่าจำเป็นต้องรื้อถอนอาคารริมน้ำสายมากกว่า 800 หลังคาเรือน เพื่อเพิ่มพื้นที่การไหลของน้ำ รวมถึงการขุดลอกแม่น้ำสายและแม่น้ำรวกให้สามารถระบายน้ำได้ดีขึ้น

เมียนมาเริ่มขุดลอกและสร้างพนังกั้นน้ำ ป้องกันน้ำท่วม

นายประสงค์ หล้าอ่อน รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เปิดเผยว่า ทางการเมียนมาได้เริ่มดำเนินการขุดลอกและทำลายสิ่งกีดขวางในแม่น้ำสาย ฝั่งท่าขี้เหล็ก ติดกับสะพานมิตรภาพไทย-เมียนมาแห่งที่ 1 เพื่อป้องกันน้ำท่วมตามข้อตกลงไทย-เมียนมา โดยการดำเนินงานแบ่งออกเป็น 3 จุดหลัก ได้แก่

  • จุดที่ 1 ใต้สะพานข้ามแม่น้ำสายแห่งที่ 1 ความยาว 60 ฟุต x 2 ฟุต x 17.6 ฟุต
  • จุดที่ 2 ใต้สะพานข้ามแม่น้ำสายแห่งที่ 1 (จุดที่ 2) ความยาว 140 ฟุต x 2 ฟุต x 17.6 ฟุต
  • จุดที่ 3 บริเวณหลังโรงแรมอารัว ความยาว 180 ฟุต x 2 ฟุต x 17.6 ฟุต

แม้ว่าทางการเมียนมาจะยังไม่ได้ดำเนินการขุดลอกแม่น้ำสายทั้งหมดตามข้อตกลงที่กำหนดไว้ระยะทาง 14.45 กิโลเมตร แต่ได้มีการแบ่งโซนพื้นที่ขุดลอกออกเป็น

  • โซนที่ 1 ระยะทาง 12.39 กิโลเมตร
  • โซนที่ 2 ระยะทาง 2.06 กิโลเมตร

ส่วน แนวการสร้างพนังกั้นน้ำ มีระยะทาง 3.960 กิโลเมตร นอกจากนี้ยังมีแผนขุดลอกแม่น้ำรวกเพิ่มเติมอีก 30.89 กิโลเมตร ซึ่งทั้งสองฝ่ายได้ตกลงกันว่าจะดำเนินการให้แล้วเสร็จภายใน พฤษภาคม 2568 โดยใช้งบประมาณ 100 ล้านบาท

ไทยเร่งศึกษาแนวทางป้องกันน้ำท่วม รื้อถอนอาคารริมน้ำสาย

ด้านหน่วยงานของไทย นำโดย กรมโยธาธิการและผังเมือง ได้เสนอแนวทางแก้ไขปัญหาน้ำท่วมในพื้นที่ อำเภอแม่สาย โดยมีการวางแผนรื้อถอนอาคารริมน้ำสายที่อยู่ในแนวการก่อสร้างพนังกั้นน้ำและพื้นที่รับน้ำหลาก กว่า 800 หลังคาเรือน

การก่อสร้างพนังกั้นน้ำมี 2 แนวทาง คือ

  1. พนังกั้นน้ำแบบถาวร ต้องเวนคืนพื้นที่ 40 เมตร จากริมฝั่งแม่น้ำสาย ครอบคลุมพื้นที่ 800 ครัวเรือน ใช้งบประมาณกว่า 1,000 ล้านบาท คาดว่าจะดำเนินการแล้วเสร็จภายในปี 2572
  2. พนังกั้นน้ำแบบกึ่งถาวร ซึ่งสามารถดำเนินการได้เร็วกว่า และจะแล้วเสร็จภายใน มิถุนายน 2568 เพื่อให้ทันก่อนฤดูน้ำหลาก

นายพงษ์นรา เย็นยิ่ง อธิบดีกรมโยธาธิการและผังเมือง เปิดเผยว่าแนวทางการแก้ไขปัญหาน้ำท่วมที่นำเสนอ คือ การสร้างคันปิดล้อมพื้นที่ชุมชนแม่สาย เพื่อป้องกันน้ำเข้าท่วม โดยจะมีการก่อสร้างคันดินสูง 3 เมตร ความยาวรวม 3,960 เมตร ซึ่งจะช่วยป้องกันน้ำไหลเข้าพื้นที่ชุมชนได้อย่างมีประสิทธิภาพ

พื้นที่ได้รับประโยชน์จากแนวคันปิดล้อมจะครอบคลุม 10.7 ตารางกิโลเมตร หรือประมาณ 6,700 ไร่ มีบ้านเรือนที่ได้รับผลกระทบจากการรื้อถอน 843 หลังคาเรือน แบ่งเป็น

  • อาคารที่มีกรรมสิทธิ์ 178 หลัง
  • อาคารที่ตั้งอยู่บนที่ดินของกรมธนารักษ์ 112 หลัง
  • อาคารที่รุกล้ำที่สาธารณะ 503 หลัง

แนวทางขุดลอกและป้องกันการเปลี่ยนแปลงของลำน้ำ

พล.ต.สิรภพ สุวานิช เจ้ากรมการทหารช่าง รายงานว่าแนวทางการขุดลอกแม่น้ำสายแบ่งออกเป็น 3 โซนหลัก ได้แก่

  1. โซนเขตเมือง ระยะทาง 2.8 กิโลเมตร ความกว้าง 30 เมตร ความลึก 2.5 เมตร
  2. โซนนอกเมือง ความกว้างสูงสุด 50 เมตร ความลึกเฉลี่ย 2.5 เมตร
  3. โซนแม่น้ำรวก-สามเหลี่ยมทองคำ ความกว้าง 25-70 เมตร (ไม่ต้องขุดลอกเพิ่มเติม)

แนวทางการขุดร่องน้ำลึกมีเป้าหมาย ไม่ให้ชิดฝั่งใดฝั่งหนึ่งมากเกินไป เพื่อป้องกันการเปลี่ยนแปลงของลำน้ำและลดความเสี่ยงจากการกัดเซาะตลิ่ง

ความคิดเห็นจากภาคส่วนต่างๆ

กลุ่มที่เห็นด้วยกับโครงการ

  • หน่วยงานรัฐ เห็นว่าแนวทางขุดลอกแม่น้ำสายและสร้างพนังกั้นน้ำจะช่วยป้องกันน้ำท่วมในระยะยาว และช่วยรักษาสิ่งแวดล้อมของแม่น้ำให้สมดุล
  • ประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วม สนับสนุนโครงการนี้ เนื่องจากจะช่วยป้องกันภัยพิบัติที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต
  • ภาคธุรกิจในพื้นที่แม่สาย มองว่าการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านน้ำจะช่วยให้ธุรกิจสามารถดำเนินไปได้อย่างต่อเนื่อง

 กลุ่มที่มีข้อกังวลเกี่ยวกับโครงการ

  • ประชาชนที่ต้องถูกเวนคืนที่ดิน กังวลเกี่ยวกับกระบวนการเยียวยาและค่าชดเชยที่อาจไม่ได้รับความเป็นธรรม
  • นักอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม เตือนว่าการขุดลอกแม่น้ำอาจส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศ และอาจทำให้บางพื้นที่เกิดการพังทลายของตลิ่ง
  • ผู้ค้าริมน้ำสาย หลายคนกังวลเกี่ยวกับการรื้อถอนอาคารซึ่งอาจกระทบต่อการประกอบอาชีพของพวกเขา

บทสรุป

การขุดลอกแม่น้ำสายและสร้างพนังกั้นน้ำถือเป็นโครงการสำคัญที่มีเป้าหมายในการแก้ไขปัญหาน้ำท่วมในพื้นที่ อำเภอแม่สาย และ จังหวัดท่าขี้เหล็ก อย่างยั่งยืน อย่างไรก็ตาม การดำเนินโครงการต้องคำนึงถึงผลกระทบต่อประชาชนที่ต้องถูกเวนคืนที่ดิน รวมถึงผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม ความร่วมมือจากทุกภาคส่วน จะเป็นปัจจัยสำคัญในการทำให้โครงการนี้ประสบความสำเร็จ และสามารถลดความเสี่ยงจากภัยพิบัติในอนาคตได้

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ทีมข่าวนครเชียงนิวส์ / เพจฮักแม่สาย /แม่สาย ปิงปิง

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI WORLD PULSE

ขุดลอกแม่น้ำสาย! ไทย-เมียนมา คืนพื้นที่ ป้องกันน้ำท่วมแม่สาย

ไทยและเมียนมาร่วมมือขุดลอกลำน้ำสาย คืนพื้นที่ลำน้ำ ป้องกันอุทกภัยในพื้นที่ชายแดน

เมื่อวันที่ 4 มีนาคม 2568 การขุดลอกและรื้อถอนสิ่งกีดขวางในแม่น้ำสาย บริเวณอำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย และเมืองท่าขี้เหล็ก ประเทศเมียนมา ได้เริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการ โดยการดำเนินการครั้งนี้เป็นความร่วมมือระหว่างรัฐบาลไทยและรัฐบาลเมียนมา เพื่อลดปัญหาอุทกภัยและปรับปรุงระบบระบายน้ำของแม่น้ำสายให้สามารถรองรับปริมาณน้ำในฤดูฝนได้ดีขึ้น

ฝ่ายเมียนมาเป็นผู้รับผิดชอบการขุดลอกตั้งแต่ต้นแม่น้ำสายไปจนถึงจุดเชื่อมของแม่น้ำสายกับแม่น้ำรวก ซึ่งอยู่ในบริเวณบ้านป่าแดง ตำบลเกาะช้าง อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย ขณะที่ทางการไทยสนับสนุนด้านเทคนิคและร่วมมือกับวิศวกรผู้เชี่ยวชาญในการออกแบบพนังกั้นน้ำให้มีความมั่นคงถาวร ป้องกันการกัดเซาะและการสูญเสียดินแดนชายฝั่งของทั้งสองประเทศ

ความคืบหน้าการหารือไทย-เมียนมา แก้ปัญหาการรุกล้ำลำน้ำสาย

การหารือระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้องของไทยและเมียนมาเกิดขึ้นตั้งแต่เดือนตุลาคม 2567 โดยมี พลโท ณัฐพงษ์ เพราแก้ว เจ้ากรมกิจการชายแดนทหาร และนายประสงค์ หล้าอ่อน รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เป็นตัวแทนฝ่ายไทย ขณะที่ฝ่ายเมียนมามี พลจัตวา โซหล่าย ผู้บัญชาการภาคสามเหลี่ยม และ นายอูมินโก่ ผู้ว่าราชการจังหวัดท่าขี้เหล็ก เป็นตัวแทนหลักในการเจรจา

หนึ่งในมาตรการสำคัญที่ได้รับความเห็นชอบจากทั้งสองฝ่าย คือ การติดตั้งเครื่องมือแจ้งเตือนระดับน้ำหรือเครื่องโทรมาตรอัตโนมัติ จำนวน 4 จุด ได้แก่ บ้านโจตาดา บ้านดอยต่อคำ สะพานมิตรภาพไทย-เมียนมา แห่งที่ 1 และสะพานข้ามแม่น้ำรวก ซึ่งคาดว่าจะสามารถแจ้งเตือนอุทกภัยล่วงหน้าได้ 8 – 10 ชั่วโมง

นอกจากนี้ รัฐบาลไทยยังเสนอให้มีการรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างที่รุกล้ำลำน้ำ พร้อมทั้งการขุดลอกแม่น้ำให้สามารถรองรับน้ำได้มากขึ้น โดยคณะอนุกรรมการร่วมไทย-เมียนมา (Sub JCR) ได้รับมอบหมายให้ดำเนินแผนการรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างดังกล่าวให้แล้วเสร็จภายในเดือนธันวาคม 2567 ทั้งนี้ ฝ่ายเมียนมาแจ้งว่าได้สำรวจสิ่งปลูกสร้างที่รุกล้ำลำน้ำแล้วจำนวน 33 บริเวณ และพร้อมทำการรื้อถอนทันทีที่ได้รับคำสั่งจากรัฐบาลกลาง

รายละเอียดพื้นที่ตำบลเกาะช้าง

ตำบลเกาะช้าง ตั้งอยู่ทางทิศเหนือของอำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย มีอาณาเขตติดต่อกับ

  • ทิศเหนือ: ประเทศเมียนมา โดยมีแม่น้ำรวกเป็นแนวกั้นอาณาเขต
  • ทิศใต้: ตำบลศรีเมืองชุม อำเภอแม่สาย
  • ทิศตะวันออก: ตำบลศรีดอนมูล อำเภอเชียงแสน
  • ทิศตะวันตก: ตำบลแม่สาย อำเภอแม่สาย

ตำบลเกาะช้างมีพื้นที่ประมาณ 47.35 ตารางกิโลเมตร หรือราว 29,593 ไร่ โดยใช้ประโยชน์ที่ดินดังนี้

  • พื้นที่อยู่อาศัย: 30.82%
  • พื้นที่เกษตรกรรม: 65.23%
  • พื้นที่สาธารณะ: 8.66%

เนื่องจากพื้นที่นี้อยู่ติดแม่น้ำรวกและแม่น้ำสาย ทำให้เกิดปัญหาอุทกภัยเป็นประจำทุกปี โดยเฉพาะช่วงฤดูฝนเมื่อระดับน้ำเพิ่มสูงขึ้นจากการไหลบ่าของน้ำจากเมียนมาและจีน การขุดลอกลำน้ำและการก่อสร้างพนังกั้นน้ำจึงเป็นแนวทางสำคัญในการป้องกันภัยพิบัติและรักษาความมั่นคงของพื้นที่ชายแดน

สร้างพนังกั้นน้ำสาย ทลายกำแพงเก่า เตรียมขุดลอกป้องกันน้ำท่วม

จ.ท่าขี้เหล็ก ประเทศเมียนมา เริ่มดำเนินการตามข้อตกลงไทย-เมียนมา ในการสร้างพนังกั้นและขุดลอกแม่น้ำสาย เพื่อป้องกันอุทกภัย โดยนำเครื่องจักรเข้าทลายกำแพงหินเก่าและเตรียมสร้างกำแพงหินคอนกรีตสูงกว่า 2 เมตร

รายงานข่าวระบุว่า การดำเนินการครั้งนี้เป็นไปตามข้อตกลงระหว่างไทยและเมียนมา เพื่อป้องกันอุทกภัยที่เคยเกิดขึ้นครั้งใหญ่เมื่อปลายปี 2567 โดยเมียนมาได้นำเครื่องจักรเข้าทลายกำแพงหินเก่าบริเวณริมฝั่งแม่น้ำสาย ตั้งแต่ชุมชนปงถุนจนถึงบริเวณใกล้สะพานมิตรภาพไทย-เมียนมา แห่งที่ 1 รวม 3 จุด จากนั้น มีกำหนดจะสร้างกำแพงหินคอนกรีตสูงประมาณ 17.6 ฟุต หรือ 2 เมตรกว่า เพื่อป้องกันน้ำทะลักและตลิ่งพังทลาย

แนวการสร้างพนังมีระยะทาง 3.960 กิโลเมตร

อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ยังไม่มีการขุดลอกแม่น้ำสายตามข้อตกลง ระยะทาง 14.45 กิโลเมตร แต่มีการแบ่งเป็นโซนๆ เอาไว้แล้ว โดยมีโซนที่ 1 ระยะทาง 12.39 กิโลเมตร และโซน 2 ระยะทาง 2.06 กิโลเมตร ส่วนแนวการสร้างพนังมีระยะทาง 3.960 กิโลเมตร นอกจากนี้ จะมีการขุดลอกแม่น้ำรวก ระยะทาง 30.89 กิโลเมตร ซึ่งมีข้อตกลงว่าจะดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในเดือน พ.ค. 2568 ด้วยงบประมาณประมาณ 100 ล้านบาท

สร้างเขื่อนริมน้ำสาย ป้องกันน้ำท่วมแม่สาย

นายประสงค์ หล้าอ่อน รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เปิดเผยว่า ทางการเมียนมาได้เริ่มดำเนินการขุดลอกและทำลายสิ่งกีดขวางในแม่น้ำสาย ฝั่งตรงข้ามท่าขี้เหล็กติดกับสะพานแห่งที่ 1 ตามข้อตกลงไทย-เมียนมา เพื่อป้องกันอุทกภัย โดยทางการเมียนมาจะเป็นผู้รับผิดชอบการขุดลอกแม่น้ำสาย ตั้งแต่ต้นแม่น้ำสายไปถึงจุดเชื่อมกับแม่น้ำรวก บริเวณบ้านป่าแดง ต.เกาะช้าง อ.แม่สาย จ.เชียงราย

นอกจากนี้ เมียนมาได้เริ่มก่อสร้างเขื่อนป้องกันตลิ่งบริเวณแม่น้ำสาย จังหวัดท่าขี้เหล็ก ตรงข้ามกับอำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย จำนวน 3 จุด ดังนี้:

  • จุดที่ 1 บริเวณใต้สะพานข้ามแม่น้ำสายแห่งที่ 1: ระยะความยาว 60 ฟุต X 2 ฟุต x 17.6 ฟุต
  • จุดที่ 2 บริเวณใต้สะพานข้ามแม่น้ำสายแห่งที่ 1 (จุดที่ 2): ระยะความยาว 140 ฟุต x 2 ฟุต x 17.6 ฟุต
  • จุดที่ 3 บริเวณหลังโรงแรมอารัว: ระยะความยาว 180 ฟุต x 2 ฟุต x 17.6 ฟุต

การดำเนินการครั้งนี้เป็นไปตามข้อตกลงระหว่างไทยและเมียนมา เพื่อแก้ไขปัญหาน้ำท่วมที่เกิดขึ้นเป็นประจำในพื้นที่ชายแดน และป้องกันการกัดเซาะตลิ่ง

สถานการณ์และผลกระทบของปัญหาการรุกล้ำลำน้ำสาย

ผลกระทบจากอุทกภัยในช่วงปี 2567 ทำให้เกิดความเสียหายเป็นวงกว้างทั้งในเขตอำเภอแม่สายและเมืองท่าขี้เหล็กของเมียนมา จากการสำรวจพบว่า

  • มีบ้านเรือนประชาชนได้รับความเสียหายกว่า 6,980 หลัง
  • ดินโคลนท่วมขังในพื้นที่ชุมชน 5 โซน ได้แก่ บ้านสายลมจอย บ้านเกาะทราย บ้านไม้ลุงขน บ้านเหมืองแดง และบ้านปิยพร
  • พื้นที่ริมฝั่งแม่น้ำสายและแม่น้ำรวกสูญเสียดินแดนจากการกัดเซาะกว่า 20 ไร่

นายอำเภอแม่สายแจ้งต่อนายกรัฐมนตรีว่า ปัจจุบันทางการเมียนมารอเพียงคำสั่งจากรัฐบาลกลางเท่านั้น หากมีคำสั่งอย่างเป็นทางการ การรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างริมฝั่งแม่น้ำสายจะสามารถดำเนินการได้โดยทันที เพื่อให้ลำน้ำสามารถระบายน้ำได้สะดวกขึ้น และลดปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งในระยะยาว

ข้อมูลทางสถิติและข้อคิดเห็นจากทั้งสองฝ่าย

จากสถิติย้อนหลังของกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย พบว่าในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา พื้นที่แม่สายเผชิญกับอุทกภัยรุนแรงถึง 3 ครั้ง ได้แก่ ปี 2562, 2565 และ 2567 โดยมีปริมาณน้ำท่วมขังเฉลี่ย 1.5 – 2 เมตร ส่งผลให้เกิดความเสียหายต่อบ้านเรือนและพื้นที่เกษตรกรรมคิดเป็นมูลค่ากว่า 500 ล้านบาท

ฝ่ายสนับสนุนโครงการนี้ให้ความเห็นว่า การขุดลอกแม่น้ำสายและแม่น้ำรวกเป็นมาตรการที่จำเป็นเพื่อป้องกันอุทกภัยและลดปัญหาการสูญเสียดินแดนของทั้งสองประเทศ ในขณะที่ฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยมองว่าการรื้อถอนอาคารและสิ่งปลูกสร้างที่รุกล้ำอาจส่งผลกระทบต่อประชาชนที่อยู่อาศัยบริเวณริมฝั่งแม่น้ำ

อย่างไรก็ตาม รัฐบาลไทยและเมียนมายังคงเดินหน้าหาแนวทางที่เป็นประโยชน์ต่อทั้งสองประเทศ เพื่อให้แม่น้ำสายและแม่น้ำรวกสามารถทำหน้าที่ระบายน้ำได้อย่างมีประสิทธิภาพ และลดความเสี่ยงของอุทกภัยในระยะยาว

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย , mgronline , ท้องถิ่นนิวส์

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

สทนช. จับมือจีนพัฒนาแม่น้ำสาย-รวก ลดปัญหาน้ำท่วม

สทนช. นำคณะผู้แทนจีนศึกษาพื้นที่น้ำท่วมเชียงราย ร่วมมือพัฒนาโครงการแม่น้ำสาย-รวกแก้ปัญหาน้ำข้ามพรมแดน

เมื่อวันที่ 16 พฤศจิกายน 2567 สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) นำโดย ดร.สุรสีห์ กิตติมณฑล เลขาธิการ สทนช. พร้อมด้วย นายประสงค์ หล้าอ่อน รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย และคณะผู้แทนจากประเทศจีน ได้ลงพื้นที่ศึกษาดูงานในพื้นที่ประสบอุทกภัยที่จังหวัดเชียงราย โดยมีเป้าหมายเพื่อหารือการดำเนินโครงการแม่น้ำสาย – แม่น้ำรวก เพื่อ แก้ปัญหาน้ำข้ามพรมแดน ระหว่างไทยและเมียนมา

ความร่วมมือในการแก้ปัญหาน้ำท่วมข้ามพรมแดน

แม่น้ำสายและแม่น้ำรวกเป็นแม่น้ำที่กั้นพรมแดนระหว่างประเทศไทยและเมียนมา ซึ่งในช่วงฤดูฝนจะประสบปัญหาน้ำท่วมชุมชนทั้งสองฝั่ง แต่ในช่วงฤดูแล้งจะประสบปัญหาการขาดแคลนน้ำสำหรับการเกษตรกรรม โดย สทนช. ได้ดำเนินโครงการวิจัยเพื่อบริหารจัดการน้ำในลุ่มน้ำดังกล่าว โดยได้รับการสนับสนุนจาก กองทุนพิเศษแม่โขง – ล้านช้าง (Mekong-Lancang Cooperation: MLC)

ดร.สุรสีห์ เปิดเผยว่า ในปี 2568 สทนช. ได้เสนอขอรับงบประมาณเพิ่มเติมจากกองทุนพิเศษแม่โขง – ล้านช้าง เพื่อนำมาพัฒนาโครงการเพิ่มประสิทธิภาพการแจ้งเตือนอุทกภัยล่วงหน้า รวมถึงการปรับตัวของชุมชนเมืองให้พร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

ศึกษาดูงานพื้นที่จริง เสริมสร้างความร่วมมือระหว่างประเทศ

การศึกษาดูงานในครั้งนี้ คณะผู้แทนได้เยี่ยมชมพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัย เช่น

  • อำเภอแม่สาย ซึ่งเป็นจุดเสี่ยงที่เกิดน้ำท่วมบ่อย
  • สถานีสูบน้ำดิบ และ สะพานมิตรภาพแม่น้ำสายแห่งที่ 1
  • สบรวก สามเหลี่ยมทองคำ ที่อำเภอเชียงแสน

นอกจากนี้ ยังได้เยี่ยมชมสถานีวัดระดับน้ำแม่น้ำโขง เพื่อศึกษาและแลกเปลี่ยนแนวทางการบริหารจัดการน้ำข้ามพรมแดน รวมถึงการปรับปรุงระบบเตือนภัยล่วงหน้า โดยคณะผู้แทนจากประเทศจีนและเมียนมาได้แลกเปลี่ยนเทคโนโลยีและประสบการณ์ในการเฝ้าระวังและจัดการอุทกภัย

พัฒนาการจัดการน้ำเพื่อความยั่งยืนของภูมิภาค

สทนช. ได้จัดประชุมเชิงปฏิบัติการระดับภูมิภาคที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เพื่อหารือกับประเทศสมาชิกแม่โขง – ล้านช้าง ได้แก่ เมียนมา ลาว กัมพูชา และเวียดนาม โดยมีการถอดบทเรียนจากโครงการที่ได้รับการสนับสนุนจากกองทุนพิเศษแม่โขง – ล้านช้างในปีที่ผ่านมา เช่น

  1. โครงการสร้างเครือข่ายผู้นำเยาวชนด้านน้ำ ส่งเสริมการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำในระดับภูมิภาค
  2. โครงการส่งเสริมเทคโนโลยีและนวัตกรรมอัจฉริยะด้านน้ำ เพื่อรับมือกับปัญหาภัยแล้งและการขาดแคลนน้ำ โดยเน้นการเพิ่มผลผลิตและรายได้ให้แก่เกษตรกร

ทั้งสองโครงการนี้ดำเนินการร่วมกับสถาบันสิ่งแวดล้อมสตอกโฮล์ม (SEI) และสถาบันวิจัยสภาวะแวดล้อม จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งมีกำหนดแล้วเสร็จในเดือนธันวาคมปีนี้

ยกระดับความสามารถของชุมชนในการรับมือกับอุทกภัย

โครงการพัฒนาการจัดการน้ำข้ามพรมแดนครั้งนี้มีเป้าหมายเพื่อเสริมสร้างความสามารถของชุมชนในการรับมือกับสถานการณ์น้ำท่วมและภัยแล้ง โดยมุ่งเน้นการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลในการแจ้งเตือนภัย และการแบ่งปันข้อมูลระหว่างประเทศสมาชิก เพื่อให้สามารถรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศได้อย่างมีประสิทธิภาพ

คำถามที่พบบ่อย (FAQs)

  1. โครงการแม่น้ำสาย – แม่น้ำรวกคืออะไร?
    โครงการนี้มุ่งเน้นการแก้ไขปัญหาน้ำท่วมและภัยแล้งในพื้นที่ชายแดนไทย-เมียนมา โดยใช้การวิจัยและเทคโนโลยีเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการจัดการน้ำ

  2. สทนช. มีบทบาทอะไรในโครงการนี้?
    สทนช. เป็นหน่วยงานหลักที่รับผิดชอบในการดำเนินโครงการร่วมกับประเทศสมาชิกแม่โขง – ล้านช้าง

  3. ความร่วมมือระหว่างไทยและจีนมีอะไรบ้าง?
    การแลกเปลี่ยนเทคโนโลยีและข้อมูลเกี่ยวกับการบริหารจัดการน้ำ รวมถึงการพัฒนาระบบเตือนภัยล่วงหน้า

  4. ผลกระทบของโครงการนี้ต่อชุมชนคืออะไร?
    ชุมชนจะได้รับประโยชน์จากการลดความเสี่ยงจากน้ำท่วมและภัยแล้ง และสามารถปรับตัวได้ดีขึ้นต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

  5. โครงการนี้จะดำเนินการในพื้นที่ใดบ้าง?
    พื้นที่ที่เน้นคือแม่น้ำสาย – แม่น้ำรวก รวมถึงพื้นที่เกษตรและชุมชนเมืองบริเวณชายแดนไทย-เมียนมา

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI WORLD PULSE

ไทย-เมียนมา ร่วมมือรื้อถอนสิ่งปลูก สร้างลำน้ำสาย ป้องกันอุทกภัยยั่งยืน

ไทย-เมียนมา ร่วมหารือแก้ไขปัญหาอุทกภัยและสิ่งปลูกสร้างรุกล้ำลำน้ำสาย

เมื่อวันที่ 21 ตุลาคม 2567 ที่ห้องประชุมด่านศุลกากรบริเวณสะพานมิตรภาพแม่น้ำสายแห่งที่ 2 มีการจัดประชุมระหว่างคณะกรรมการระดับสูงไทย-เมียนมา เพื่อหารือการแก้ไขปัญหาอุทกภัยในพื้นที่ อ.แม่สาย จ.เชียงราย ประเทศไทย และ จ.ท่าขี้เหล็ก ประเทศเมียนมา การประชุมครั้งนี้นำโดย พลโท ณัฐพงษ์ เพราแก้ว เจ้ากรมกิจการชายแดนทหาร เลขานุการคณะกรรมการระดับสูงไทย-เมียนมา และนายประสงค์ หล้าอ่อน รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย ฝ่ายไทย ร่วมกับ พลจัตวา โซหล่าย ผู้บัญชาการภาคสามเหลี่ยม และ นาย อูมินโก่ ผู้ว่าราชการจังหวัดท่าขี้เหล็ก ฝ่ายเมียนมา

รื้อถอนสิ่งปลูกสร้างที่รุกล้ำลำน้ำสาย

การประชุมครั้งนี้เน้นย้ำถึงการแก้ไขปัญหาอุทกภัยอย่างยั่งยืนในพื้นที่ลุ่มแม่น้ำสาย โดยทั้งสองฝ่ายได้หารือเรื่องความร่วมมือในการรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างที่รุกล้ำลำน้ำสาย ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญของการเกิดอุทกภัยในพื้นที่

พลโท ณัฐพงษ์ เพราแก้ว ได้ขอบคุณฝ่ายเมียนมาที่อนุญาตให้ประเทศไทยติดตั้งเครื่องโทรมาตรอัตโนมัติสำหรับแจ้งเตือนระดับน้ำในบริเวณต้นแม่น้ำสาย จำนวน 4 จุด ได้แก่ บ้านโจตาดา บ้านดอยต่อคำ สะพานมิตรภาพไทย – เมียนมา แห่งที่ 1 และสะพานข้ามแม่น้ำรวก ซึ่งการติดตั้งเครื่องมือเหล่านี้จะเริ่มดำเนินการในวันที่ 28 ตุลาคม – 2 พฤศจิกายนนี้ โดยระบบจะสามารถแจ้งเตือนอุทกภัยล่วงหน้าได้ 8 – 10 ชั่วโมง ทำให้ประชาชนสามารถเตรียมตัวและป้องกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ

นอกจากนี้ ฝ่ายไทยยังได้เสนอให้มีการรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างที่รุกล้ำลำน้ำ รวมถึงการขุดลอกลำน้ำเพื่อให้การไหลของน้ำเป็นไปอย่างสะดวก โดยมีการมอบหมายให้คณะอนุกรรมการร่วมไทย-เมียนมา (Sub JCR) ซึ่งมีรองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงรายเป็นประธาน จัดทำแผนการดำเนินงานให้แล้วเสร็จภายในเดือนธันวาคมนี้

33 บริเวณ พร้อมรื้อถอนทันที

ทางฝั่งเมียนมา ได้แจ้งว่ามีการสำรวจสิ่งปลูกสร้างที่รุกล้ำลำน้ำในฝั่งของตนแล้ว พบว่ามีจำนวนทั้งหมด 33 บริเวณ และพร้อมที่จะดำเนินการรื้อถอนทันทีเมื่อได้รับคำสั่งจากส่วนกลาง การรื้อถอนนี้ถือเป็นการแสดงความร่วมมืออย่างชัดเจนจากทั้งสองประเทศในการแก้ไขปัญหาอุทกภัยร่วมกัน

ระบบแจ้งเตือนภัยไฟป่าและหมอกควันที่จังหวัดเชียงตุง

ในระหว่างการหารือ พลโท ณัฐพงษ์ ยังได้สอบถามถึงการใช้งานระบบติดตามสถานการณ์ไฟป่าและหมอกควันที่ฝ่ายไทยได้ติดตั้งให้แก่เมียนมาในจังหวัดท่าขี้เหล็ก เมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา ซึ่งฝ่ายเมียนมาได้ขอให้ฝ่ายไทยสนับสนุนเพิ่มเติมเกี่ยวกับระบบแจ้งเตือนที่เชื่อมต่อกับเครื่องโทรมาตร และระบบแจ้งเตือนภัยไฟป่าและหมอกควันที่จังหวัดเชียงตุง เพื่อเสริมสร้างความสามารถในการรับมือกับภัยธรรมชาติที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต

ฟื้นฟูแล้วร้อยละ 75

ในส่วนของการฟื้นฟูพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัย ฝ่ายเมียนมาได้รายงานความคืบหน้าว่าพื้นที่ในจังหวัดท่าขี้เหล็กได้รับการฟื้นฟูแล้วประมาณร้อยละ 75 โดยได้รับการสนับสนุนจากฝ่ายไทยทั้งในด้านกำลังคนและอุปกรณ์ นอกจากนี้ ยังได้ร้องขอให้ฝ่ายไทยอำนวยความสะดวกในการสั่งซื้อเครื่องจักรที่ใช้ในการจัดการดินโคลน เช่น รถแบ็คโฮขนาดเล็ก และเครื่องดูดโคลน เพื่อเร่งการฟื้นฟูให้เสร็จสิ้นโดยเร็ว

 

สุดท้าย ทั้งสองฝ่ายได้ยืนยันความร่วมมือในการแก้ไขปัญหาอุทกภัยอย่างยั่งยืน และได้ตกลงที่จะประชุมคณะกรรมการร่วมไทย-เมียนมา เกี่ยวกับเขตแดนคงที่ช่วงแม่น้ำสายและแม่น้ำรวก (JCR) ในวันที่ 5-7 พฤศจิกายน 2567 ที่กรุงเทพมหานคร เพื่อหารือและพิจารณาการดำเนินการในขั้นต่อไป โดยจะนำข้อเสนอทั้งหมดมาพิจารณาเพื่อกำหนดแนวทางการดำเนินงานในระยะยาว

สรุป

การประชุมครั้งนี้ถือเป็นอีกหนึ่งความสำเร็จในการสร้างความร่วมมือระหว่างประเทศไทยและเมียนมา ในการแก้ไขปัญหาอุทกภัยและสิ่งปลูกสร้างรุกล้ำลำน้ำ เพื่อความยั่งยืนและความปลอดภัยของประชาชนในพื้นที่ชายแดนทั้งสองประเทศ

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI WORLD PULSE

ไทย – เมียนมา หารือการติดตั้ง เครื่องเตือนภัยน้ำท่วมจากลำน้ำสาย

 
เมื่อวันที่ 18 มิ.ย. 67 พันเอก ณฑี ทิมเสน ผู้บังคับหน่วยเฉพาะกิจทัพเจ้าตาก / ประธานคณะกรรมการชายแดนส่วนท้องถิ่น ไทย–เมียนมา หรือ TBC ฝ่ายไทย พร้อมคณะเดินทางไปพบปะ กับพันโท อ่องลินอู ผู้บังคับกองพันเคลื่อนที่เร็วที่ 133 / ประธาน TBC ฝ่ายเมียนมา และคณะบริเวณกลางสะพานมิตรภาพข้ามแม่น้ำสายแห่งที่ 1 อ.แม่สาย จ.เชียงราย จากนั้นประธาน TBC ของทั้ง 2 ชาติ ได้ร่วมกันเป็นประธานในการประชุมคณะกรรมการชายแดนส่วนท้องถิ่น เมียนมา-ไทย ครั้งที่ 99 (TBC – 99) โดยฝ่ายเมียนมาเป็นเจ้าภาพ ณ โรงแรมวันจีวัน (1G1) จ.ท่าขี้เหล็ก
 
โดยการประชุมในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อให้คณะกรรมการ TBC ทั้ง 2 ฝ่าย ได้ประสานความร่วมมือและสร้างความเข้าใจซึ่งกันและกัน เพื่อขจัดเงื่อนไขและปัญหาต่างๆ อันจะส่งผลให้เกิดประโยชน์ต่อประเทศและประชาชนทั้ง 2 ฝ่าย โดยในวันนี้ในที่ประชุมได้มีการหารือทั้งการแก้ไขปัญหาของทั้ง 2 ประเทศร่วมกัน และการขอความร่วมมือต่างๆ เช่น การช่วยเหลือคนไทยที่ถูกหลอกไปทำงานในเมียนมา การติดตั้งเครื่องเตือนภัยน้ำท่วมเพื่อประโยชน์ของทั้ง 2 ประเทศ การแก้ไขปัญหาการจราจรบริเวณด่านพรมแดน รวมถึงงานด้านความมั่นคงและด้านอื่นๆ 
 
สำหรับในส่วนของบางปัญหาที่อยู่เหนือกว่าอำนาจที่ TBC จะตัดสินใจได้ ทั้ง 2 ฝ่ายจะได้นำเรียนหน่วยเหนือเพื่อดำเนินการแก้ไขปัญหาต่อไป
 
แม่น้ำสายซึ่งเป็นเส้นเลือดใหญ่ของชาว อ.แม่สาย จ.เชียงราย และเป็นเส้นแบ่งแดนระหว่างไทย-พม่า แม่น้ำสาย เป็นแม่น้ำสายสำคัญที่เป็นสัญลักษณ์ของอำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย โดยมีชื่อเดิมว่าแม่น้ำใส ต่อมาก็กลายมาเป็นแม่น้ำสายในปัจจุบัน แม่น้ำสายแห่งนี้เป็นแม่น้ำที่เป็นพรมแดนทางธรรมชาติที่กั้นระหว่างไทยกับพม่า ต้นน้ำของแม่น้ำสายอยู่ที่ประเทศพม่าหลังจากนั้นก็ใหลผ่านประเทศไทยแถวท่าขี้เหล็กแล้วก็ไปรวมกับแม่น้ำรวกภายในอำเภอ แม่น้ำหลังจากนั้นก็ใหลผ่านแม่น้ำโขงที่อำเภอเชียงแสน
 
 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News