
กรมชลประทานชี้แจง “เวียงหนองหล่ม” ย้ำไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม—วางแผนแก้ขาดแคลนน้ำด้วยพื้นที่ 2 โซน อนุรักษ์–พัฒนา พร้อมรับฟังความเห็นชุมชน
เชียงราย, 18 กันยายน 2568 — กระแสวิพากษ์วิจารณ์บนสื่อสังคมออนไลน์กรณี “โครงการอนุรักษ์แบบกรมชลฯ คือการทำลายระบบนิเวศพื้นที่ลุ่มน้ำ” จุดประกายให้เกิดคำถามสำคัญต่อทิศทางการจัดการทรัพยากรน้ำของรัฐ โดยเฉพาะโครงการ พัฒนาแก้มลิงเวียงหนองหล่ม อำเภอแม่จัน จังหวัดเชียงราย ซึ่งกำลังอยู่ในกระบวนการวางแผนพัฒนา ล่าสุด กรมชลประทาน (โครงการชลประทานเชียงราย) ออกแถลงชี้แจงย้ำเจตนารมณ์ว่า โครงการไม่ได้ตั้งอยู่ในเขตป่าสงวนหรือพื้นที่คุ้มครองตามกฎหมาย ไม่กระทบสิ่งแวดล้อมในลักษณะรุนแรง และได้กำหนด พื้นที่อนุรักษ์ กับ พื้นที่พัฒนาแหล่งน้ำ อย่างชัดเจนควบคู่การรับฟังความเห็นประชาชน
การชี้แจงครั้งนี้ไม่ใช่เพียง “ตอบโต้กระแส” หากแต่เป็นจุดเริ่มต้นของบทสนทนาสำคัญว่าด้วย สมดุลระหว่างการพัฒนาและการอนุรักษ์ บนพื้นที่ชุ่มน้ำขนาดใหญ่ราว 14,000 ไร่ ซึ่งมีทั้งความหมายทางนิเวศและความจำเป็นด้านปากท้องของชุมชน
จุดตั้งต้นของปัญหา หนองน้ำตื้นเขิน–กักเก็บน้ำไม่ได้
เวียงหนองหล่มเป็นแอ่งรับน้ำธรรมชาติ เดิมอุดมไปด้วยพืชน้ำและสัตว์น้ำพื้นถิ่น แต่ตลอดหลายปีที่ผ่านมาเกิด ตะกอนสะสมและวัชพืชปกคลุมหนาแน่น ทำให้ความสามารถในการเก็บกักน้ำถดถอย ส่งผลกระทบต่อ น้ำอุปโภคบริโภคและน้ำเพื่อการเกษตร ในพื้นที่รอบข้าง
สถานการณ์นี้ถูกสะท้อนผ่าน นายกเทศมนตรีตำบลจันจว้า และ ผู้นำชุมชน ที่รวบรวมข้อเท็จจริงและความเดือดร้อนไปยังหน่วยงานรัฐ กระทั่งวันที่ 18 พฤษภาคม 2564 คณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเห็นชอบ กรอบแผนพัฒนา–อนุรักษ์–ฟื้นฟูกว๊านพะเยาและเวียงหนองหล่ม และมอบหมายให้กรมชลประทานร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดทำแผนพัฒนาเชิงระบบเพื่อแก้ปัญหาขาดแคลนน้ำให้ประชาชน
ใจความสำคัญ “ทำให้พื้นที่ชุ่มน้ำกลับมาทำหน้าที่กักเก็บ–ชะลอน้ำ และเป็นแหล่งน้ำดิบให้ชุมชน โดยไม่ทำลายสิ่งแวดล้อมและวิถีชุมชนดั้งเดิม”
กรอบดำเนินงาน ศึกษาผลกระทบ–แบ่งโซน–รับฟังชุมชน
กรมชลประทานระบุว่า ก่อนกำหนดแนวทางพัฒนา ได้จัดทำ รายงานศึกษาผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมเบื้องต้น (Reconnaissance Study Report) เพื่อตรวจสอบสถานภาพพื้นที่และความเสี่ยงเชิงนิเวศ ผลเบื้องต้นชี้ว่า พื้นที่โครงการไม่ทับซ้อนป่าสงวนแห่งชาติหรือพื้นที่คุ้มครองตามกฎหมาย และ “ไม่มีผลกระทบเชิงนิเวศในลักษณะรุนแรง” หากดำเนินการตามกรอบมาตรการที่กำหนด
เพื่อลดความกังวลและเพิ่มความโปร่งใส โครงการกำหนด 2 โซนหลัก ดังนี้
- โซนอนุรักษ์ – พื้นที่ที่ชุมชนร้องขอให้คงสภาพธรรมชาติ เช่น “ป่าโกงกางน้ำจืด” (Freshwater mangrove) ซึ่งเป็นถิ่นอาศัยของสัตว์น้ำ–นกน้ำ และพืชเฉพาะถิ่น โซนนี้จะ ไม่นำเครื่องจักรเข้าไปรบกวน และจะมีมาตรการเฝ้าระวังคุณภาพน้ำ–ความหลากหลายชีวภาพอย่างสม่ำเสมอ
- โซนพัฒนาแหล่งน้ำ – พื้นที่ที่จะดำเนินการ ขุดลอกตะกอน จัดเก็บพื้นที่รับน้ำ สร้าง อาคารระบายน้ำ–ฝายทดน้ำ–ระบบส่งน้ำ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการเก็บกักและกระจายน้ำให้เพียงพอครัวเรือนและเกษตรกรรม โดยคำนึงถึงทางน้ำเดิม แก้มลิงตามธรรมชาติ และการเชื่อมโยงลุ่มน้ำสาขา
นอกจากการแบ่งโซน โครงการยังยืนยันว่ามี เวทีรับฟังความคิดเห็น จากประชาชนและผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในพื้นที่อีกหลายรอบ เพื่อเก็บข้อมูลประกอบการออกแบบในรายละเอียด—ตั้งแต่ระดับระดับน้ำที่เหมาะสม พื้นที่หลบอาศัยสัตว์น้ำ แปลงพืชอาหารของชุมชน ไปจนถึงตำแหน่งพื้นที่สาธารณะ
“เวียงหนองหล่ม” ในสายตาชุมชน ความหวังเรื่องน้ำ กับความกังวลเรื่องธรรมชาติ
เมื่อสืบคำบอกเล่าในพื้นที่ พบสองอารมณ์ที่ดำเนินควบคู่กัน—ความหวัง ว่าชุมชนและเกษตรกรจะมีน้ำเพียงพอมากขึ้น ลดต้นทุนขุดบ่อและซื้อน้ำในหน้าแล้ง และ ความกังวล ว่าการก่อสร้างจะกระทบพื้นที่อาหารของสัตว์น้ำและนกน้ำที่ชาวบ้านคุ้นชิน
การออกแบบเชิง “อยู่ร่วม” จึงเป็นโจทย์กลางของกรมชลประทาน นั่นคือ การยอมรับว่าพื้นที่ชุ่มน้ำไม่ใช่แค่อ่างเก็บน้ำ แต่เป็น ระบบนิเวศ ที่ต้องรักษาจังหวะน้ำขึ้น–ลง เส้นทางอพยพของปลา และพืชน้ำที่ทำหน้าที่ ดูดซับสารอาหาร เพื่อคุณภาพน้ำที่ดี
มาตรการเบื้องต้นที่ถูกหยิบยกในการชี้แจง ได้แก่
- คงพื้นที่ชุ่มน้ำสำคัญ เป็นเขตอนุรักษ์—งดงานก่อสร้าง–งดเรือเครื่อง–จำกัดการเข้าถึง
- กำหนดระดับน้ำเชิงนิเวศ (Environmental Flow) ให้ใกล้เคียงสภาพธรรมชาติในฤดูกาลต่าง ๆ
- ทำแนวกันชน (Buffer) รอบโซนอนุรักษ์ ลดการรบกวนของเสียง–ตะกอน–กิจกรรมท่องเที่ยว
- ทำทางผ่านสัตว์น้ำ/ช่องเปิด ที่โครงสร้าง เพื่อรักษาการไหลเวียนและการขยายพันธุ์
- เฝ้าระวังคุณภาพน้ำ–ชีวภาพ ก่อน–ระหว่าง–หลังดำเนินงาน พร้อมเผยแพร่ผลอย่างสม่ำเสมอ
ก้าวย่างนโยบาย จาก “น้ำพอเพียง” สู่ “น้ำอย่างยั่งยืน”
ความสำคัญของเวียงหนองหล่มไม่ได้อยู่แค่พื้นที่ 14,000 ไร่ แต่คือการเป็น ต้นแบบ การจัดการพื้นที่ชุ่มน้ำของท้องถิ่นที่มีบทบาท “สองหน้าที่”—แก้มลิงรับน้ำ และ ระบบนิเวศอาหาร สำหรับชุมชน
หากการพัฒนาเดินตามกรอบ สองโซน อย่างมีวินัย ผลลัพธ์เชิงเศรษฐกิจ–สังคมที่คาดหวังคือ
- ความมั่นคงน้ำชุมชน ลดความเสี่ยงน้ำแล้ง น้ำท่วมเฉียบพลัน เพิ่มความเชื่อมั่นการเพาะปลูกพืชฤดูแล้ง
- ต้นทุนเกษตรลดลง เข้าถึงน้ำใกล้แปลง ลดค่าเครื่องสูบน้ำ–ค่าน้ำมัน และเพิ่มรอบปลูกที่เหมาะสม
- ท่องเที่ยวเชิงธรรมชาติ–เรียนรู้ หากโซนอนุรักษ์รักษาคุณค่าไว้ได้ พื้นที่ศึกษาธรรมชาติ นกน้ำ และพืชน้ำจะกลายเป็นฐานกิจกรรมของโรงเรียน–ชุมชน (โดยไม่รบกวนระบบนิเวศ)
- ทุนสังคม–สิ่งแวดล้อม เมื่อคนในพื้นที่เห็นประโยชน์จากการรักษาพื้นที่ชุ่มน้ำ ก็มีแรงจูงใจร่วมดูแลในระยะยาว
อย่างไรก็ดี ความยั่งยืนจะเกิดขึ้นจริงได้ต่อเมื่อ การกำกับติดตาม เข้มแข็ง—ทั้งจากรัฐ นักวิชาการ และภาคประชาชน—และมี กลไกสื่อสารข้อมูล ที่ต่อเนื่อง โปร่งใส ตรวจสอบได้
วิเคราะห์เชิงนโยบาย คำตอบของ “สมดุล” อยู่ที่วินัยการปฏิบัติ
การชี้แจงของกรมชลประทานครั้งนี้ตอบโจทย์ หลักการ ได้พอสมควร—ยืนยันไม่อยู่ในเขตคุ้มครอง, ศึกษาผลกระทบเบื้องต้น, แบ่งโซนอนุรักษ์–พัฒนา, รับฟังชุมชน—แต่ ความท้าทาย ยังอยู่ที่ “การลงมือทำ” ที่ต้องรักษาวินัย 4 ประการ
- วินัยด้านนิเวศ – การยึดมั่นกรอบโซนอนุรักษ์อย่างเคร่งครัด ไม่ขยายงานก่อสร้างเข้าไปในพื้นที่เปราะบาง แม้ภายหลังจะเกิดแรงกดดันเรื่องประสิทธิภาพกักเก็บน้ำ
- วินัยด้านวิศวกรรม–ข้อมูล – ออกแบบระดับน้ำและทางไหลให้สอดคล้องฤดูกาล ขณะที่ เก็บข้อมูลชีวภาพ–คุณภาพน้ำ อย่างต่อเนื่องเพื่อปรับแผนตามหลักฐาน (adaptive management)
- วินัยด้านการมีส่วนร่วม – ตั้งคณะกรรมการพื้นที่ที่มี ตัวแทนชุมชน–องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น–นักวิชาการ ร่วมกำกับติดตาม พร้อม แพลตฟอร์มออนไลน์ ที่เผยแพร่ข้อมูลรายไตรมาสให้สาธารณะเข้าถึง
- วินัยด้านกฎหมาย–ธรรมาภิบาล – ทุกขั้นตอนต้องสอดคล้องกฎหมายสิ่งแวดล้อม–ผังเมือง–แหล่งน้ำ และเปิดเผยสัญญา–วงเงิน–ผู้รับจ้าง–ผลตรวจรับอย่างโปร่งใส เพื่อป้องกันข้อครหาในอนาคต
เมื่อทั้ง 4 วินัยถูกยึดถือจริง ความขัดแย้ง ระหว่างฝ่ายห่วงนิเวศกับฝ่ายห่วงน้ำกิน–น้ำใช้จะถูกคลี่คลายสู่ พื้นที่กลาง ที่จับต้องได้

เสียงสะท้อนที่ต้องฟัง คำถามเชิงสร้างสรรค์จากสังคม
กระแสในโลกออนไลน์ แม้บางส่วนจะตีความแรง แต่ก็สะท้อนความห่วงใยของสาธารณะต่อพื้นที่ชุ่มน้ำ โครงการเวียงหนองหล่มจึงควรรับ “คำถามสร้างสรรค์” เหล่านี้ไว้ประกอบการดำเนินงาน
- จะวัดความสำเร็จอย่างไร นอกจากปริมาณกักเก็บน้ำ? ตัวชี้วัดด้านนิเวศ เช่น ชนิดสัตว์น้ำ–นกน้ำที่พบ, พื้นที่พืชน้ำสำคัญ, คุณภาพน้ำเฉลี่ยรายฤดู ควรถูกรายงานคู่กัน
- กิจกรรมเศรษฐกิจบนพื้นที่ชุ่มน้ำ จะจัดระเบียบอย่างไรไม่ให้รุกล้ำโซนอนุรักษ์? เช่น การเพาะเลี้ยงปลาในกระชัง การท่องเที่ยวเรือถีบ
- ภาวะน้ำแล้ง–ฝุ่นควัน ภาคเหนือจะถูกบูรณาการแผนอย่างไรกับโครงการนี้? เช่น การใช้พื้นที่ชุ่มน้ำเป็นแหล่งชะลอเถ้าฝุ่น/เพิ่มความชื้นในพื้นที่โดยรอบ
- เยาวชน–โรงเรียน จะเข้าไปมีส่วนร่วมในการเฝ้าระวังคุณภาพน้ำ–ความหลากหลายชีวภาพได้อย่างไร เพื่อสร้างความเป็นเจ้าของร่วม
คำถามเหล่านี้หากได้รับคำตอบผ่าน เวทีสาธารณะ และ รายงานความคืบหน้าเป็นระยะ จะช่วยยกระดับความไว้วางใจ และทำให้โครงการเดินหน้าอย่างมีฉันทามติ
พูดให้ชัด โครงการนี้ “ไม่ใช่การถม–ปิด–ตัดขาดธรรมชาติ”
สารที่กรมชลประทานต้องการสื่อมีอยู่ 3 ประเด็น
- ไม่ใช่การปิดพื้นที่ชุ่มน้ำ แต่คือการ ปรับปรุงประสิทธิภาพกักเก็บ ในโซนที่เหมาะสม พร้อม คงพื้นที่อนุรักษ์ ตามที่ชุมชนร้องขอ
- ไม่ทับซ้อนป่าสงวน/พื้นที่คุ้มครอง และ ผ่านการศึกษาผลกระทบเบื้องต้น แล้ว
- มีกลไกรับฟังความคิดเห็น และจะเดินหน้าอย่างรอบคอบ หลักฐานตั้งต้นคือมติ ครม. ปี 2564 ที่กำหนดให้บูรณาการหน่วยงานหลายส่วน ทั้งการอนุรักษ์และการพัฒนา
ถ้อยแถลงนี้หากแปรเป็น “ภาคปฏิบัติ” อย่างซื่อสัตย์ โครงการเวียงหนองหล่มย่อมเป็นได้ทั้ง แหล่งน้ำหล่อเลี้ยงชุมชน และ ห้องเรียนธรรมชาติ ของเชียงราย
สมดุลที่ต้องทำให้เห็น—ไม่ใช่แค่พูดให้ฟัง
กรณีเวียงหนองหล่มสะท้อนโจทย์ร่วมของสังคมไทย—เราจะพัฒนาทรัพยากรน้ำอย่างไม่ทำลายธรรมชาติได้อย่างไร คำตอบจากเอกสารและเวทีชี้แจงวันนี้ คือ การจัดโซน–การศึกษาผลกระทบ–การมีส่วนร่วมของชุมชน แต่สิ่งที่จะชี้ชัดคือ การลงมือทำอย่างมีวินัยและโปร่งใส ในวันพรุ่งนี้
หากเชียงรายทำสำเร็จ เวียงหนองหล่มจะกลายเป็น ต้นแบบการจัดการพื้นที่ชุ่มน้ำแบบ “สองโซน–สองคุณค่า” ที่ทั้งดูแลปากท้องและรักษาธรรมชาติ ขณะเดียวกันก็เป็นบทเรียนว่าความไว้วางใจสาธารณะเกิดขึ้นได้จาก ข้อมูลที่เปิดเผย–กลไกตรวจสอบ–และผลสัมฤทธิ์จริง เท่านั้น
“น้ำพอเพียงกับธรรมชาติสมบูรณ์—ไม่ใช่สิ่งที่จะต้องเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง แต่คือสองด้านของเหรียญเดียวกัน ที่ต้องขัดเกลาให้กลมกลืนด้วยข้อมูลและวินัย”
กล่องข้อมูลโครงการ (Key Facts)
- ชื่อโครงกา โครงการพัฒนาแก้มลิงเวียงหนองหล่ม พร้อมอาคารประกอบ
- ที่ตั้ง ตำบลจันจว้า อำเภอแม่จัน จังหวัดเชียงราย
- ขนาดพื้นที่ ประมาณ 14,000 ไร่ (พื้นที่ชุ่มน้ำธรรมชาติเดิม)
- ปัญหาหลัก ตื้นเขิน–วัชพืชหนาแน่น ทำให้กักเก็บน้ำไม่ได้เพียงพอ
- มติ ครม. 18 พฤษภาคม 2564 เห็นชอบกรอบแผนพัฒนาอนุรักษ์–ฟื้นฟูกว๊านพะเยาและเวียงหนองหล่ม
- กรอบดำเนินงาน ศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อมเบื้องต้น (Reconnaissance Study), แบ่ง โซนอนุรักษ์ และ โซนพัฒนาแหล่งน้ำ, รับฟังความคิดเห็นประชาชน
- มาตรการหลัก ขุดลอกในโซนพัฒนา, ก่อสร้างอาคารระบายน้ำ–ฝายทดน้ำ–ระบบส่งน้ำ, จัดทำแนวกันชนและเฝ้าระวังคุณภาพน้ำ–ความหลากหลายชีวภาพ
เครดิตภาพและข้อมูลจาก :
- กรมชลประทาน – โครงการชลประทานเชียงราย
- มติคณะรัฐมนตรี วันที่ 18 พฤษภาคม 2564
- เทศบาลตำบลจันจว้า และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในพื้นที่