Categories
ECONOMY

ประเทศไทยเผชิญกับวิกฤติเด็กเกิดน้อย กระทบเศรษฐกิจและสังคม

ประเทศไทยเผชิญกับวิกฤติ “เด็กเกิดน้อย” กระทบเศรษฐกิจและสังคม

รายงานจาก Brandinside ระบุว่าในช่วงระหว่างปี 2506 ถึง 2526 ประเทศไทยมีประชากรเกิดใหม่ปีละกว่า 1 ล้านคน แต่นับตั้งแต่ปี 2527 เป็นต้นมา จำนวนเด็กเกิดใหม่ในประเทศไทยเริ่มลดลงเรื่อยๆ จนถึงปี 2568 ที่จำนวนเด็กเกิดใหม่ในประเทศไทยลดลงต่ำกว่า 5 แสนคนเป็นครั้งแรก ส่งผลให้โครงสร้างประชากรของไทยเริ่มเปลี่ยนแปลง โดยเฉพาะในเรื่องของสัดส่วนผู้สูงวัยที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว

จากบทความ “จำนวนเด็กไทยเกิดต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ สวนทางนโยบายมีลูกเพื่อชาติ” ของ รศ.ดร.จงจิตต์ ฤทธิรงค์ รองผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย สถาบันวิจัยประชากรและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล ได้อธิบายถึงผลกระทบที่เกิดขึ้นจากจำนวนเด็กเกิดน้อยในประเทศไทย โดยการเปลี่ยนแปลงนี้จะส่งผลต่อโครงสร้างประชากรของไทยและทำให้สัดส่วนผู้สูงอายุเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

ผลกระทบจากการเข้าสู่สังคมสูงวัย

ในปี 2548 ประเทศไทยเริ่มเข้าสู่ “สังคมสูงวัย” ซึ่งมีผู้สูงอายุเกิน 10% ของประชากร และในปี 2567 ประเทศไทยจะเข้าสู่ “สังคมสูงวัย” อย่างสมบูรณ์ โดยมีผู้สูงอายุคิดเป็น 20% ของประชากรทั้งหมด ซึ่งส่งผลให้เกิดความกังวลในด้านเศรษฐกิจและสังคม เนื่องจากการมีจำนวนผู้สูงอายุเพิ่มขึ้นทำให้แรงงานลดลง ส่งผลต่อการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและการพัฒนาประเทศ

ข้อมูลจากกรมอนามัยยังสะท้อนให้เห็นว่าในอีก 60 ปีข้างหน้า ประชากรไทยจะลดลงเหลือเพียง 33 ล้านคน ซึ่งเป็นการลดลงอย่างมีนัยสำคัญเมื่อเทียบกับจำนวนประชากรปัจจุบันที่มีอยู่ประมาณ 66 ล้านคน นอกจากนี้ ศาสตราจารย์ ดร.อภิชาติ จำรัสฤทธิรงค์ ได้คาดการณ์ว่าในที่สุด หากไม่มีการนำนโยบายประชากรที่มีประสิทธิภาพมาใช้ ประเทศไทยอาจจะเหลือประชากรเพียง 29 ล้านคนในอนาคต

สาเหตุที่ทำให้จำนวนเด็กเกิดน้อย

การลดลงของจำนวนเด็กเกิดใหม่ในประเทศไทยสามารถอธิบายได้จากหลายปัจจัย โดยกรมอนามัยได้ระบุถึง 4 สาเหตุหลักที่ทำให้จำนวนเด็กเกิดน้อยในประเทศไทย ได้แก่:

  1. คนไทยยังเป็นโสด: ข้อมูลจากสภาพัฒน์เผยว่า 40.5% ของคนไทยวัยเจริญพันธุ์ยังคงเป็นโสด ซึ่งทำให้มีการลดจำนวนคู่สมรสและการมีลูกลง
  2. คนไทยไม่อยากมีลูก: ผลการสำรวจจากนิด้าโพลพบว่า 44% ของคนไทยไม่อยากมีลูกเนื่องจากภาระค่าใช้จ่ายที่สูงและความกังวลเกี่ยวกับสภาพสังคมที่ไม่เหมาะสำหรับการเลี้ยงดูเด็ก
  3. คนไทยมีลูกยาก: ข้อมูลจากกรมอนามัยระบุว่า 10-15% ของคู่สมรสไทยประสบปัญหาภาวะมีบุตรยาก ซึ่งเป็นอุปสรรคสำคัญในการเพิ่มจำนวนเด็กเกิดใหม่
  4. คนไทยอยากมีลูก แต่กฎหมายไม่เอื้อ: แม้หลายคนจะต้องการมีลูก แต่กฎหมายในประเทศยังไม่ได้สนับสนุนอย่างเต็มที่ โดยเฉพาะในเรื่องของการให้สิทธิและการช่วยเหลือด้านการมีบุตรบุญธรรมและการอุ้มบุญ

นโยบาย “มีลูกเพื่อชาติ” และความล้มเหลวในการผลักดัน

ถึงแม้รัฐบาลไทยจะมีนโยบายสนับสนุนให้ประชาชนมีลูกมากขึ้น เช่น การให้เงินอุดหนุนเด็กแรกเกิดไปจนถึงอายุ 6 ปี แต่ผลสำรวจจากสถาบันวิจัยประชากรและสังคมพบว่า ประมาณครึ่งหนึ่งของผู้ตอบแบบสำรวจ (49%) เท่านั้นที่เชื่อว่านโยบายนี้จะช่วยเพิ่มจำนวนเด็กเกิดใหม่ในประเทศ ขณะที่มีเพียง 33% ของคู่สมรสไทยที่ยืนยันว่าจะ “มีลูก” ซึ่งแสดงให้เห็นว่าแนวโน้มการมีลูกยังคงต่ำลงอย่างต่อเนื่อง

การสำรวจความคิดเห็นจากกลุ่ม Gen Z, Gen X, และ Gen Y

จากการสำรวจของสถาบันวิจัยประชากรและสังคม พบว่า กลุ่ม Gen X (อายุ 40-50 ปี) มีแนวโน้มจะมีลูกมากที่สุด (60%) ขณะที่กลุ่ม Gen Z (อายุ 18-25 ปี) อยู่ในลำดับรองลงมา (55%) และกลุ่ม Gen Y (อายุ 26-39 ปี) ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีแนวโน้มจะมีลูกน้อยที่สุด (44%) แสดงให้เห็นว่าแนวโน้มของการมีลูกในรุ่นใหม่ๆ ยังคงลดลงตามทิศทางเดียวกัน

บทสรุป

ประเทศไทยกำลังเผชิญกับวิกฤติ “เด็กเกิดน้อย” ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อโครงสร้างประชากรและเศรษฐกิจของประเทศในอนาคต ปัจจัยหลักที่ทำให้จำนวนเด็กเกิดน้อย ได้แก่ ความชอบในการเป็นโสด, ภาระค่าใช้จ่าย, ปัญหาภาวะมีบุตรยาก และความไม่เอื้ออำนวยของกฎหมาย ที่ยังไม่สนับสนุนให้มีลูกมากขึ้น การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้กำลังทำให้ประชากรไทยลดลง และคาดว่าในอนาคตประเทศจะเผชิญกับสังคมที่มีผู้สูงอายุจำนวนมากขึ้น ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้.

 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : brandinside

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

ติดตามความคืบหน้ารถไฟทางคู่ สู่เศรษฐกิจยั่งยืนภาคเหนือตอนบน

การติดตามความคืบหน้าการก่อสร้างรถไฟทางคู่และผลักดันเศรษฐกิจกลุ่มภาคเหนือตอนบน 2

เมื่อวันที่ 23 มกราคม 2568 นายรัฐพล นราดิศร ผู้ว่าราชการจังหวัดพะเยา พร้อมด้วยนายบำรุง สังข์ขาว รองผู้ว่าราชการจังหวัดพะเยา นายนรศักดิ์ สุขสมบูรณ์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย นายชัยสิทธิ์ ชัยสัมฤทธิ์ผล รองผู้ว่าราชการจังหวัดแพร่ และผู้แทนจากจังหวัดน่าน พร้อมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐและเอกชน ลงพื้นที่ติดตามความคืบหน้าการก่อสร้างรถไฟทางคู่ ณ อุโมงค์แม่กา ต.แม่กา อ.เมืองพะเยา

ความก้าวหน้าของโครงการรถไฟทางคู่

ตามรายงานความคืบหน้า ณ เดือนธันวาคม 2567 พบว่า การดำเนินงานก่อสร้างโดยรวมมีความก้าวหน้าที่ร้อยละ 23.99 ต่ำกว่าแผนที่วางไว้ซึ่งอยู่ที่ร้อยละ 29.838 ทำให้โครงการช้ากว่าแผน -5.848 อย่างไรก็ตาม ในส่วนของอุโมงค์แม่กา จ.พะเยา ซึ่งเป็นหนึ่งในอุโมงค์หลัก 4 แห่งของโครงการ มีความคืบหน้าอย่างโดดเด่น ด้วยผลงานสะสมร้อยละ 38.7 เร็วกว่าแผนร้อยละ 10.92

ข้อมูลอุโมงค์ที่สำคัญในโครงการ

  1. อุโมงค์ดอยหลวง จ.เชียงราย ยาว 3.4 กม.
  2. อุโมงค์แม่กา จ.พะเยา ยาว 2.7 กม.
  3. อุโมงค์งาว จ.ลำปาง ยาว 6.2 กม.
  4. อุโมงค์สอง จ.แพร่ ยาว 1.2 กม.

ทั้งนี้ โครงการรถไฟทางคู่สายเด่นชัย-เชียงราย-เชียงของ มีกำหนดเปิดให้บริการในปี 2571 ซึ่งจะเป็นเส้นทางคมนาคมสำคัญที่จะช่วยพัฒนาศักยภาพด้านการคมนาคมขนส่งในภาคเหนือตอนบน

ประชุมคณะกรรมการ กรอ. กลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน 2

ในช่วงบ่าย คณะผู้แทนได้เข้าร่วมประชุมคณะกรรมการร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจ (กรอ.) กลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน 2 ที่ห้องประชุมโรงพยาบาลมหาวิทยาลัยพะเยา โดยในที่ประชุมได้มีการแนะนำผู้บริหารใหม่ในกลุ่มจังหวัด พร้อมติดตามและรายงานความคืบหน้าของโครงการสำคัญ

หัวข้อที่สำคัญในการประชุม ได้แก่:

  1. การผลักดันและพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคเหนือ (NEC) ให้ครอบคลุมพื้นที่กลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน 2
  2. รายงานความคืบหน้าโครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่สายเด่นชัย-เชียงราย-เชียงของ
  3. การวิจัยแนวทางส่งเสริมการลงทุนในธุรกิจการท่องเที่ยวมูลค่าสูง เพื่อพัฒนาล้านนาตะวันออกเป็นพื้นที่พัฒนาพิเศษ
  4. การติดตามมติคณะรัฐมนตรีนอกสถานที่ครั้งที่ 2/2567

ผลกระทบและเป้าหมายการพัฒนา

โครงการรถไฟทางคู่เด่นชัย-เชียงราย-เชียงของ คาดว่าจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจในพื้นที่และส่งเสริมการพัฒนาเศรษฐกิจท้องถิ่นให้มีศักยภาพในการแข่งขันระดับประเทศและระดับนานาชาติ

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
ECONOMY

ลอยกระทงปีนี้คึกคัก เงินสะพัดทั่วประเทศ

ชาวไทยยังคงนิยมประเพณีลอยกระทง แม้ค่าใช้จ่ายโดยเฉลี่ยสูงขึ้น

เมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายน 2567 ผลสำรวจพฤติกรรมผู้บริโภคในช่วงเทศกาลลอยกระทงประจำปี 2567 ของมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เผยให้เห็นว่าคนไทยส่วนใหญ่ยังคงให้ความสำคัญกับประเพณีลอยกระทง โดยมีถึง 50.7% ที่วางแผนจะร่วมกิจกรรมนี้ และอีกส่วนหนึ่งเลือกที่จะทำกิจกรรมอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น ทานอาหารนอกบ้าน หรือเที่ยวชมสถานที่ต่างๆ

กระทงย่อยสลายง่ายมาแรง เงินสะพัดกว่าหมื่นล้าน

ที่น่าสนใจคือ พฤติกรรมการเลือกซื้อกระทงของผู้บริโภคในปีนี้ให้ความสำคัญกับกระทงที่ทำจากวัสดุธรรมชาติและย่อยสลายง่ายเป็นอันดับหนึ่ง สะท้อนให้เห็นถึงความตระหนักถึงปัญหาสิ่งแวดล้อมที่เพิ่มมากขึ้น นอกจากนี้ ผู้บริโภคยังคำนึงถึงความสวยงาม ราคา และความสะดวกในการหาซื้ออีกด้วย

ค่าใช้จ่ายเฉลี่ยต่อหัวเพิ่มขึ้น แต่คนยังคงออกมาใช้จ่าย

แม้ว่าค่าใช้จ่ายเฉลี่ยต่อหัวในการเฉลิมฉลองวันลอยกระทงในปีนี้จะเพิ่มขึ้นเป็น 2,449.18 บาท เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว ซึ่งมีค่าใช้จ่ายเฉลี่ยต่อหัวอยู่ที่ 2,075.58 บาท แต่ก็ยังมีมูลค่าการใช้จ่ายรวมสูงถึง 10,355.18 ล้านบาท ซึ่งถือว่าเป็นตัวเลขที่สูงที่สุดในรอบ 9 ปี สะท้อนให้เห็นว่าแม้จะมีค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้น แต่คนไทยก็ยังคงออกมาใช้จ่ายในช่วงเทศกาลนี้

ปัจจัยที่ส่งผลต่อการตัดสินใจใช้จ่าย

ปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อการตัดสินใจใช้จ่ายในช่วงเทศกาลลอยกระทง ได้แก่

  • ความต้องการที่จะสืบสานประเพณี: ผู้บริโภคส่วนใหญ่ยังคงให้ความสำคัญกับการสืบทอดประเพณีอันดีงามของไทย
  • การผ่อนคลายความเครียด: การออกไปทำกิจกรรมนอกบ้านและร่วมงานเทศกาล เป็นการช่วยให้ผู้คนได้ผ่อนคลายจากความเครียดในชีวิตประจำวัน
  • การใช้เวลากับครอบครัวและเพื่อนฝูง: การลอยกระทงเป็นโอกาสที่ดีในการใช้เวลากับคนที่รัก
  • การส่งเสริมเศรษฐกิจ: การใช้จ่ายในช่วงเทศกาลช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศ

แนวโน้มการใช้จ่าย

จากผลสำรวจพบว่า ผู้บริโภคยังคงนิยมใช้เงินสดในการชำระค่าใช้จ่าย แต่ก็มีการใช้ช่องทางการชำระเงินอิเล็กทรอนิกส์มากขึ้น เช่น Mobile Banking, QR Payment, บัตรเดบิต และบัตรเครดิต ซึ่งสอดคล้องกับแนวโน้มการใช้จ่ายที่เปลี่ยนแปลงไปในปัจจุบัน

สรุป

เทศกาลลอยกระทงปี 2567 ยังคงเป็นที่นิยมของคนไทย แม้ว่าจะมีความท้าทายจากสถานการณ์เศรษฐกิจ แต่ผู้คนก็ยังคงออกมาใช้จ่ายและร่วมกิจกรรมต่างๆ อย่างคึกคัก โดยมีแนวโน้มที่ให้ความสำคัญกับการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมมากขึ้น

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
ECONOMY

อสังหาเชียงใหม่-เชียงรายแข่งลดราคา กู้ไม่ผ่านพุ่ง คาดในช่วงครึ่งหลังปี 2567 ดีขึ้น

 
เมื่อวันที่ 13 มีนาคม นายวิชัย วิรัตกพันธ์ ผู้ตรวจการธนาคารอาคารสงเคราะห์ และรักษาการผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์(REIC) เปิดเผยว่าจากการสำรวจโครงการที่อยู่อาศัยภาคเหนือ 5 จังหวัด ประกอบด้วย เชียงใหม่ เชียงราย นครสวรรค์ พิษณุโลก ลำพูน

ในครึ่งหลังปี 2566 พบว่าอุปทานพร้อมขายมี 16,954 หน่วย ลดลงจากครึ่งปีแรก 0.2% แต่มีมูลค่า 68,440 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1% แบ่งเป็น

 

  • อาคารชุด 1,795  หน่วย เพิ่มขึ้น 26.3 % มูลค่า 5,289 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 25.3 %
  • บ้านจัดสรร 15,159 หน่วย ลดลง 2.6% มูลค่า 63,151 ล้านบาท เพิ่มขึ้น  0.6 % เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า

แต่เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2565 จำนวนหน่วยพร้อมขายเพิ่มขึ้น 1.9% มูลค่าเพิ่มขึ้น 3.1% ทำให้ภาพรวมปี 2566 มีที่อยู่อาศัยใหม่เข้าสู่ตลาด 3,096 หน่วย มูลค่า 12,287 ล้านบาท

มีหน่วยขายได้ใหม่ลดลง 31.9% และมีหน่วยเหลือขาย 15,441 หน่วย เพิ่มขึ้น 3.6% มูลค่า 62,793 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4.5%

คาดการณ์ปี 2567  ภาพรวมเริ่มเป็นบวก ยอดขายใหม่มีจำนวนหน่วยเพิ่มขึ้น 27.5% และอัตราดูดซับจะขยับขึ้นเป็น 1.8%

 

“จากจำนวนหน่วยเหลือขายแยกตามประเภทก่อสร้าง มีที่อยู่อาศัยสร้างเสร็จเหลือขายถึง 4,877 หน่วยหรือ31.6% ของจำนวนหน่วยเหลือขายทั้งหมด เป็นอาคารชุดอยู่ระหว่างก่อสร้างและสร้างเสร็จเหลือขาย 1,543 หน่วย คิดเป็น 10% ส่วนบ้านจัดสรรสร้างเสร็จ 4,040 หน่วย อยู่ระหว่างสร้าง 2,497หน่วย ซึ่งเป็นที่น่าจับตา”นายวิชัยกล่าว

 

นายวิชัย กล่าวว่า สำหรับ 5 ทำเลที่มียอดขายสูงสุดในครึ่งปีหลัง ได้แก่ สันทราย เมืองเชียงราย แม่โจ้ ม.พายัพ และสารภี ส่วน 5 ทำเลที่มีหน่วยเหลือขายสูงสุด ได้แก่ เมืองเชียงราย 1,468 หน่วย มูลค่า 6,418 ล้านบาท สันทราย 1,339 หน่วย มูลค่า 4,434 ล้านบาท บ่อสร้าง-ดอยสะเก็ด 1,279 หน่วย มูลค่า 6,136 ล้านบาท ม.พายัพ 1,209 หน่วย มูลค่า 5,810 ล้านบาทและสนามบิน-ม.แม่ฟ้าหลวง 1,169 หน่วย มูลค่า 4,167 ล้านบาท

 

นายวิชัยกล่าวว่า คาดการณ์ปี 2567 จะมีที่อยู่อาศัยเปิดขายใหม่ 3,142 หน่วย มูลค่า 12,487 ล้านบาท เป็นบ้านจัดสรร 2,629 หน่วย มูลค่า 11,047 ล้านบาท และอาคารชุด 512 หน่วย มูลค่า 1,440 ล้านบาท โดยภาพรวมมีจำนวนเพิ่มขึ้น 1.5%  และคาดว่าจะมีหน่วยขายได้ใหม่ 4,105 หน่วย มูลค่า 17,323 ล้านบาท เป็นบ้านจัดสรร 3,034 หน่วย มูลค่า 14,360 ล้านบาท  และอาคารชุด 1,071 หน่วย มูลค่า 2,963 ล้านบาท

 

“จากการลงพื้นที่ภาคสนามพบเชียงใหม่จะแข่งขันลดราคาบ้านจัดสรร ขายดีเป็นบ้านเดี่ยว 3-5 ล้านบาท ส่วนอาคารชุดเน้นของแถมมากกว่าลดราคา ขายดีราคา 2-3 ล้านบาท ส่วนเชียงรายทำเลในเมืองยังได้รับความสนใจ โดยบ้านเป็นราคา 3-5 ล้านบาท อาคารชุด 1.5-2 ล้านบาท และใช้กลยุทธ์ลดราคาจูงใจในการซื้อ” นายวิชัยกล่าว

 

นายชินะ สุทธาธนโชติ นายกสมาคมอสังหาริมทรัพย์เชียงราย กล่าวว่า การฟื้นตัวของตลาดอสังหาฯในเชียงราย ยังล้อไปกับเศรษฐกิจของประเทศ เพราะเป็นเมืองรอง การท่องเที่ยวจึงขึ้นลงตามฤดูกาล ขณะที่สถานการณ์ตลาดกลุ่มบ้านเดี่ยวยังขยายตัวได้ดีโดยเฉพาะราคา 5 ล้านบาทขึ้นไป ลูกค้าไม่ได้รับผลกระทบจากดอกเบี้ยขาขึ้น ขณะที่กลุ่ม 1-3 ล้านบาท ชะลอตัวลงอย่างชัดเจนและตลาดมีสต๊อกสะสมอยู่จำนวนมา ทำให้การแข่งขันในตลาดรุนแรง และโดยมากถูกพัฒนาโดยบริษัทอสังหาท้องถิ่นรายเล็ก มีปัญหาขาดสภาพคล่อง ต้องใช้กลยุทธ์ลดราคาขายเพื่อดึงกระแสเงินสดกลับมา ขณะที่การเข้มงวดการปล่อยสินเชื่อของสถาบันการเงินก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ทำให้ตลาดแข่งขันสูง คาดในช่วงครึ่งหลังปี 2567 ตลาดอสังหาฯเชียงรายน่าจะมีการปรับตัวดีขึ้น

 

นายปรีดิกร บูรณุปกรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อรสิริน โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ภาพรวมตลาดอสังหาฯเชียงใหม่ฟื้นตัวต่อเนื่อง โดยได้รับอานิสงส์ภาคการท่องเที่ยวและต่างชาติที่เข้ามาจำนวนมาก โดยปี 2566 มีกว่า 3.5 ล้านคน เติบโต 50% จากปีก่อน โดยชาวจีนยังเป็นกลุ่มหลัก กว่า 50% รองลงมาอินเดีย ซึ่งส่งผลให้มีความต้องการซื้อคอนโดมิเนียมเพื่ออยู่อาศัยในระยะยาว ทำให้ทุกโครงการของบริษัทที่เปิดขายตั้งแต่ปี 2565 ถึงปัจจุบันมีต่างชาติจองซื้อเกือบเต็ม
โควต้า 49%แล้ว

 
 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ธนาคารอาคารสงเคราะห์ 

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
SOCIETY & POLITICS

นายกฯ ย้ำรู้สึกไม่สบายใจ ปรับค่าแรงขั้นต่ำ วอนผู้ประกอบการเห็นใจลูกจ้าง

 

วันที่ 9 ธันวาคม 2566 เวลา 11.00 น. ณ อำเภอท่ามะกา จังหวัดกาญจนบุรี นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังให้สัมภาษณ์ถึงกรณี คณะกรรมการไตรภาคี มีมติปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำทั่วประเทศ 2-16 บาท ว่า ค่าแรงขั้นต่ำของเราไม่ได้ขึ้นมานานมาก ขณะที่ค่าครองชีพสูงขึ้นทุกวัน โดยรัฐบาลพยายามทำหลายวิธี ที่จะให้ลดค่าใช้จ่าย ทั้งค่าไฟฟ้า ค่าน้ำมัน พักหนี้เกษตรกร และอีกหลายอย่างเพื่อช่วยเหลือบรรเทา ความทุกข์ของประชาชน รวมไปถึงการแก้ไขหนี้นอกระบบและหนี้ในระบบ รัฐบาลพยายามทำอยู่เพื่อลดค่าใช้จ่าย ขณะที่เรื่องของการเพิ่มรายได้ก็สำคัญ โดยประชาชนหลายสิบล้านคน ต้องพึ่งค่าแรงขั้นต่ำจำนวนมาก บางจังหวัด ขึ้นแค่ 7-12 บาทเท่านั้น ซึ่งน้อยเกินไป ทั้งที่ รัฐบาลพยายามที่จะยกระดับ ให้ประเทศไทยมีอุตสาหกรรมไฮเทค ประชาชนมีรายได้สูงขึ้น

นายกฯ  กล่าวว่า ที่ผ่านมาตนเองเดินทางไปต่างประเทศเพื่อที่จะดึงบริษัทใหญ่มาลงทุนในไทย ไปเปิดตลาดค้าขายใหม่ในต่างประเทศ ที่ไทยยังไม่มีสนธิสัญญาทางการค้า สิ่งเหล่านี้รัฐบาลพยายามทำอย่างเต็มที่แต่ผู้ประกอบการหรือนายจ้าง ต้องขอวิงวอนและขออ้อนวอนว่า พี่น้องแรงงาน คือผู้ที่ได้รับผลกระทบมากที่สุด เมื่อมีค่าใช้จ่ายที่เพิ่มมากขึ้น รัฐบาลพยายามทำทุกทางเพื่อช่วยเหลือ แต่การขึ้นรายได้ผู้ประกอบการต้องพยายามทำ ไม่ใช่มากดค่าจ้าง แล้วนายจ้างไม่ได้พัฒนากิจการของตัวเอง ผู้ประกอบการต้องพัฒนาตัวเอง เพราะปัจจุบันนายจ้างก็ได้ประโยชน์ จากการลดค่าไฟ ค่าน้ำมันและอีกหลายอย่าง ตามมาตรการของรัฐบาล วันนี้จะยอมให้แรงงานประชาชนคนไทย ต่ำติดดินแบบนี้ ในขณะที่ประเทศที่ใกล้เคียงกับไทย เช่น เกาหลี และสิงคโปร์ค่าแรงขั้นต่ำต่อวัน 1,000 บาท เราจะยอมให้พี่น้องประชาชนของเราเป็นพลเมืองชั้น 2 ชั้น 3 ของโลกหรือ ในเมื่อค่าแรงขั้นต่ำติดดินขนาดนี้ เมื่อรัฐบาลพยายามยกระดับภาคอุตสาหกรรม และผู้ประกอบการ ก็ควรที่จะทำไปพร้อมๆกัน ถ้าทำเพียงฝ่าย เดียวเป็นไปไม่ได้

ผู้สื่อข่าวถามว่าในเรื่องค่าแรงจะมีโอกาสทบทวนใหม่หรือไม่ นายกฯ  กล่าวว่า ต้องขอทบทวนใหม่ จะต้องไปพิจารณาดูถึงแนวทางความเหมาะสมเพราะเพิ่งทราบข่าวเรื่องนี้ แต่คงไม่ใช่การสั่งการ แต่เป็นการพูดคุยร่วมกัน เราต้องพูดถึงองค์รวมของเศรษฐกิจ และการทำธุรกิจ ไม่ใช่แค่ขึ้นค่าใช้จ่ายให้ผู้ประกอบการหรือนายจ้างอย่างเดียว แต่ยังมีการเพิ่มรายได้เปิดตลาดที่มากขึ้น ที่ผ่านมาผู้ประกอบการหรือนายจ้างก็ได้ประโยชน์ไปแล้ว ถึงเวลาต้องคืนให้กับคนที่เป็นกำลังสำคัญ ในภาคผลิตด้วยหรือเปล่า พอพ้นจากวันหยุดก็จะมีการเรียกคุยกับผู้ที่เกี่ยวข้อง เชื่อว่าเรื่องนี้ทุกคนมีความกังวลหมด ขอให้คิดถึงใจเขาใจเรา

ผู้สื่อข่าวถามว่า ในพื้นที่3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ไม่ได้รับการปรับขึ้นมานาน แต่ขณะนี้ปรับเพียงแค่ 2 บาท จะมีการพิจารณาใหม่หรือไม่ นายกฯ กล่าวว่า ตนเองก็คิดอย่างนั้นเหมือนกัน เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ได้คุยกับนายกรัฐมนตรีมาเลเซีย เรื่องนิคมอุตสาหกรรม การพัฒนาท่องเที่ยว การเปิดด่านสะเดา มีการลงทุนสร้างสะพานไปยังมาเลเซีย สิ่งเหล่านี้เป็นการสร้างความมั่นใจให้ผู้ประกอบการ แต่ไม่เข้าใจว่าทำไม ถึงขึ้นแค่ 2-3 บาท ยอมรับว่าตนไม่สบายใจ ถึงอยากใช้เวทีนี้สื่อสาร ไปถึง และขอความเป็นธรรมให้กับพี่น้องแรงงาน ไม่อย่างนั้นจะติดกับรายได้ต่ำ ต้องคุยทั้งกับไตรภาคี และในครม.เพราะเรื่องค่าแรงขั้นต่ำเป็นนโยบายหลักของรัฐบาล

ผู้สื่อข่าวถามต่อไปว่า การปรับขึ้นค่าแรงที่เป็นธรรม ควรจะอยู่ที่ตัวเลขเท่าไหร่ นายกฯ  กล่าวว่า ต้องขึ้นไปสูงกว่านี้ โดยจะต้องฟังเหตุผลของเขาเหมือนกัน อย่างที่บอก 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ขึ้น 2-3 บาท ซื้อไข่ลูกหนึ่งยังไม่ได้ ซึ่งรัฐบาลก็พยายามช่วยผู้ประกอบอยู่ โดยเฉพาะการลดค่าไฟที่ภาคอุตสาหกรรม ได้ประโยชน์ จากที่ 4.50 บาทต่อหน่วย ลดมาเหลือ 3.99 ดังนั้น ขอให้คืนกับประชาชนบ้าง ขอย้ำว่ารัฐบาลนี้ให้ความสำคัญกับเรื่องเศรษฐกิจเป็นหลักอยู่แล้ว

ผู้สื่อข่าวถามว่า หากมีการปรับเพิ่มขึ้นจำนวนมากอาจจะมีปัญหาเรื่องของการย้ายฐานผลิตออกจากประเทศไทย นายกฯ  กล่าวว่า ไม่มีหรอก อันนี้เป็นวาทกรรม ไม่มีใครย้ายเพราะค่าแรงขึ้น จาก 300 เป็น 400 บาทไม่มีหรอก รัฐบาลยังมี มาตรการส่งเสริมด้านภาษี มีระบบสาธารณสุขที่ดี สถานศึกษาก็ดี โครงสร้างพื้นฐานและสนามบินก็ดี ท่าเรือน้ำลึกก็มี ที่ตนเองเดินทางไปต่างประเทศก็ได้เซ็น MOU กับหลายบริษัทใหญ่ๆ ทั้งโรงงานรถยนต์ไฟฟ้าหรือ EV ถ้าผู้ประกอบการไม่ช่วยกันก็ไปลำบาก

ผู้สื่อข่าวถามว่า รัฐบาลจะพยายามทำให้ได้ถึง 400 บาทตามนโยบายที่รัฐบาลได้ประกาศไว้หรือไม นายกฯ กล่าวว่า ต้องดูตามความเหมาะสม ในจังหวัดใหญ่อาจจะได้ถึง 400 แต่จังหวัดเล็กอาจจะไม่ถึง ต้องดูความเหมาะสม ขอย้ำว่าสิ่งต่างๆที่รัฐบาลพยายามทำเพื่อให้ นายจ้างสามารถส่งสินค้าออกไปได้และยังอำนวยความสะดวก เพื่อลดค่าใช้จ่าย ให้ผู้ประกอบการ รัฐบาลให้ความสำคัญกับเรื่องนี้และประกาศชัดเจนว่าไม่เห็นด้วย ขอให้ผู้ใช้แรงงาน ดูการกระทำ ว่าตนเองมีความจริงใจขนาดไหนอย่างไร  การที่ตนเองไปพูดที่หอการค้าไทย ขอให้ฟังดูว่าเขาดีใจหรือไม่ที่รัฐบาลขับเคลื่อนเศรษฐกิจ เช่นเดียวกับสภาอุตสาหกรรม รัฐบาลพยายามสร้างความมั่นใจให้ต่างชาติเข้ามาลงทุน และเข้ามาอยู่ในประเทศไทยง่ายและปลอดภัยขึ้น ทั้งหมดเพื่อสร้างความมั่นใจ

ผู้สื่อข่าวถามว่า หากมีการนำเสนอเรื่องเข้าสู่ที่ประชุมครม. จะพิจารณาอย่างไร นายกฯ กล่าวว่า ต้องดูว่ามีความจำเป็นว่าจะเสนอเข้ามาหรือไม่ ถ้าเสนอเข้ามา ผมไม่ยินยอมไม่เห็นด้วยแน่นอน ผมเชื่อว่า นโยบายค่าแรงขั้นต่ำเราดูที่ความเหมาะสม เราเป็นนโยบายหลักของรัฐบาลนี้ หลายประเทศ ค่าแรงขั้นต่ำเขามากกว่านี้ วันนี้เราชนะสิงคโปร์ในแง่ดึงดูดนักลงทุน บริษัทใหญ่เข้ามาสร้าง Data Center เป็น เป็นนิมิตรใหม่อันดีว่าประเทศเรามีศักยภาพสูง แต่ทำไมจึงไปกดผู้ใช้แรงงานที่จะมาช่วยพัฒนาประเทศ

นายกฯ ย้ำ ต้องดูแลประชาชน 60 ล้านคน ไม่ใช่ดูแลแค่มาเอาคะแนนเสียง กับผู้ใช้แรงงานอย่างเดียว แต่นายจ้างและผู้ประกอบการ ก็ไปรับฟังความเห็นตลอด และพร้อมจะช่วยเหลือ สิ่งเหล่านี้ค่อนข้างเป็นรูปธรรมอยู่แล้ว

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ทีมข่าวนครเชียงรายนิวส์

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News