Categories
WORLD PULSE

สรุป ‘แพทองธาร’ เยือน ‘จีน’ คุยเรื่องอะไรกันบ้าง

50 ปีแห่งความสัมพันธ์ไทย-จีน เพื่อสร้างอนาคตเศรษฐกิจที่มั่นคง

ประเทศไทย, 9 กุมภาพันธ์ 2568  – นายกรัฐมนตรี แพทองธาร ชินวัตร เยือนจีนอย่างเป็นทางการเพียง 2 วัน พร้อมลงนาม 14 ข้อตกลง มุ่งสู่ความร่วมมือไทย-จีนในทุกมิติ ตั้งแต่การค้า การลงทุน เทคโนโลยี จนถึงความมั่นคงทางไซเบอร์ โดยเฉพาะการปราบปรามอาชญากรรมออนไลน์ พร้อมประกาศความร่วมมือสู่ 50 ปีแห่งความสัมพันธ์ไทย-จีน เพื่อสร้างอนาคตเศรษฐกิจที่มั่นคง

แพทองธารพบผู้นำจีนทุกระดับ ดันข้อตกลงสำคัญ 14 ฉบับ

นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า นายกรัฐมนตรีแพทองธาร ชินวัตร เสร็จสิ้นภารกิจเยือนจีน โดยได้เข้าพบ ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง และหารือร่วมกับ นายหลี่ เฉียง นายกรัฐมนตรีจีน รวมถึง นายจ้าว เล่อจี้ ประธานสภาประชาชนจีน ซึ่งเป็นการแสดงถึงความสำคัญที่จีนให้กับไทย

ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ย้ำความสัมพันธ์ไทย-จีน เป็นหุ้นส่วนเชิงยุทธศาสตร์ ที่ต้องร่วมกันพัฒนาในด้านต่างๆ เช่น โครงการรถไฟความเร็วสูง เขตเศรษฐกิจพิเศษ EEC และการค้าดิจิทัล โดยเน้นย้ำความร่วมมือที่ครอบคลุมทุกระดับ ไม่ว่าจะเป็น การพัฒนาเศรษฐกิจสีเขียว เทคโนโลยี AI และความมั่นคงทางไซเบอร์

ในการเยือนครั้งนี้ มีการลงนามบันทึกข้อตกลงสำคัญ 14 ฉบับ ซึ่งครอบคลุมตั้งแต่ ความร่วมมือด้านเศรษฐกิจ การค้า เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) พลังงานสีเขียว และการพัฒนาด้านอวกาศ โดยหนึ่งในข้อตกลงที่น่าสนใจคือ การร่วมมือสำรวจดวงจันทร์ ซึ่งถือเป็นก้าวสำคัญของไทยในการเข้าสู่อุตสาหกรรมอวกาศ

จีนชื่นชมไทยปราบแก๊งคอลเซ็นเตอร์-อาชญากรรมไซเบอร์

หนึ่งในประเด็นที่จีนให้ความสำคัญคือ การปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติ โดยเฉพาะแก๊งคอลเซ็นเตอร์และเครือข่ายอาชญากรรมไซเบอร์ ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ขอบคุณรัฐบาลไทยที่ ตัดกระแสไฟฟ้า น้ำมัน และอินเทอร์เน็ต ซึ่งเป็นมาตรการตัดวงจรธุรกิจผิดกฎหมายที่สร้างความเสียหายให้กับชาวจีนจำนวนมาก

จีนและไทยเห็นพ้องกันว่า ต้องเพิ่มความร่วมมือด้านการบังคับใช้กฎหมายระดับทวิภาคี เพื่อจัดการกับเครือข่ายอาชญากรรมในภูมิภาคนี้ พร้อมเดินหน้า ยกระดับมาตรฐานความปลอดภัยทางไซเบอร์ ร่วมกัน

แพทองธารย้ำ ไทย-จีนเป็นหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระยะยาว

นายกรัฐมนตรีแพทองธารเน้นย้ำว่า จีนเป็นคู่ค้ารายใหญ่ของไทยต่อเนื่องเป็นปีที่ 12 ด้วยมูลค่าการค้ารวมกว่า 1 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ และการลงทุนจากจีนในไทยเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยจีนมีแผนขยายการลงทุนในไทย ด้านอุตสาหกรรมสีเขียว ยานยนต์ไฟฟ้า และเทคโนโลยีดิจิทัล

จีนยังได้เชิญไทยเข้าร่วม งาน China International Import Expo ซึ่งเป็นเวทีสำคัญในการขยายตลาดสินค้าไทยไปยังจีน โดยเฉพาะในภาค เกษตรกรรม การท่องเที่ยว และเศรษฐกิจดิจิทัล

ไทย-จีน ร่วมฉลอง 50 ปีความสัมพันธ์ทางการทูต

ปี 2568 ถือเป็น ปีทองแห่งมิตรภาพไทย-จีน เนื่องในโอกาสครบรอบ 50 ปีของความสัมพันธ์ทางการทูต นายกรัฐมนตรีแพทองธาร และผู้นำจีน เห็นพ้องให้มีการจัดกิจกรรมพิเศษ เช่น การแลกเปลี่ยนวัตถุโบราณ การอัญเชิญพระเขี้ยวแก้วมายังไทยชั่วคราว การส่งแพนด้าให้ไทย และการให้ทุนการศึกษา เพื่อกระชับความสัมพันธ์ของประชาชนทั้งสองประเทศ

นอกจากนี้ ยังมีการส่งเสริมความร่วมมือด้าน Soft Power โดยเฉพาะอุตสาหกรรมสื่อบันเทิง การแลกเปลี่ยนวัฒนธรรม และการพัฒนาบุคลากร เพื่อให้คนรุ่นใหม่ของทั้งสองประเทศ มีโอกาสเรียนรู้ซึ่งกันและกันมากขึ้น

จีนเตรียมขยายลงทุนในไทย อุตสาหกรรมอนาคตมาแน่

นายกรัฐมนตรีแพทองธารยังได้พบกับ นักลงทุนชั้นนำจากจีน เช่น Xiaomi และ Hisense โดยบริษัท Hisense เตรียมขยายฐานการผลิตในไทย และ Xiaomi สนใจตั้งโรงงานผลิต รถยนต์ไฟฟ้า (EV) ในไทย ซึ่งจะช่วยขับเคลื่อนอุตสาหกรรม EV และเทคโนโลยีขั้นสูงของประเทศ

รัฐบาลไทยยืนยันว่า พร้อมอำนวยความสะดวกในการลงทุน และมีมาตรการ Ease of Doing Business เพื่อดึงดูดบริษัทเทคโนโลยีจากจีนเข้ามาลงทุนมากขึ้น

ข้อตกลง 14 ฉบับ ไทย-จีน ปลดล็อกข้อจำกัดทางการค้า

การลงนามความร่วมมือ 14 ฉบับนี้ จะช่วยลดอุปสรรคทางการค้าระหว่างไทย-จีน โดยครอบคลุมด้านต่างๆ เช่น:

  • การแลกเปลี่ยนเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI)
  • การร่วมมือพัฒนาเศรษฐกิจสีเขียว และพลังงานสะอาด
  • การสนับสนุน EEC และเศรษฐกิจดิจิทัล
  • การอำนวยความสะดวกทางศุลกากร และโลจิสติกส์
  • การพัฒนาความร่วมมือด้านอวกาศและสำรวจดวงจันทร์

สรุปผลการเยือนจีน: ไทย-จีนสัมพันธ์แน่นแฟ้นขึ้น

การเยือนจีนของนายกรัฐมนตรีแพทองธารครั้งนี้ ถือเป็นก้าวสำคัญของความสัมพันธ์ไทย-จีน ทั้งในด้านการค้า การลงทุน และความมั่นคง ความร่วมมือ 14 ฉบับจะช่วยให้ การค้าขายระหว่างสองประเทศคล่องตัวขึ้น ลดขั้นตอนด้านศุลกากร และเพิ่มความร่วมมือทางเทคโนโลยี

จีนยังยืนยันสนับสนุนไทยในการเป็นศูนย์กลางการค้าและการลงทุนในอาเซียน ขณะที่ไทยพร้อมเปิดโอกาสให้นักลงทุนจีนขยายธุรกิจในไทย โดยเฉพาะใน อุตสาหกรรมเทคโนโลยี ยานยนต์ไฟฟ้า และเศรษฐกิจดิจิทัล

การประชุมระดับสูงและข้อตกลงที่ลงนามในครั้งนี้ ถือเป็น จุดเริ่มต้นของอีก 50 ปีข้างหน้าของความสัมพันธ์ไทย-จีน ที่จะพัฒนาไปอีกขั้นด้วยความร่วมมือที่แน่นแฟ้นและมั่นคงยิ่งขึ้น

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ทำเนียบรัฐบาล

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
WORLD PULSE

‘ไทย’ กดดัน ‘เมียนมา’ เริ่มเห็นผล หลังมีเจ้าหน้าที่ท่าขี้เหล็กกวาดล้างหลายพื้นที่

ไทยกดดันเมียนมา ตัดไฟ-จำกัดน้ำมัน สกัดแก๊งคอลเซ็นเตอร์

เมียนมา, 9 กุมภาพันธ์ 2568  – burmese.shannews และ tachileik NEWS รายงานว่า หลังจากที่ประเทศไทยเริ่ม ตัดกระแสไฟฟ้า งดขายน้ำมัน และตัดสัญญาณอินเทอร์เน็ต ที่ส่งไปยังสหภาพเมียนมา ตั้งแต่วันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2568 เพื่อสกัดกลุ่มขบวนการ แก๊งคอลเซ็นเตอร์ ซึ่งใช้พื้นที่ชายแดนเมียนมาเป็นฐานในการหลอกลวงประชาชนในหลายประเทศ ส่งผลให้สถานการณ์ในเมืองท่าขี้เหล็กได้รับผลกระทบอย่างหนัก

เมืองท่าขี้เหล็กมืดสนิท คาสิโนขาดพลังงาน

แหล่งข่าวในพื้นที่ระบุว่า โรงแรมและสถานบันเทิงหลายแห่งที่เป็นศูนย์กลางของคาสิโนในเมืองท่าขี้เหล็ก ต้องลดไฟส่องสว่างลง เนื่องจากขาดแคลนกระแสไฟฟ้า หลังจากที่ลาวจำกัดการส่งไฟจาก 30 เมกะวัตต์ เหลือเพียง 13 เมกะวัตต์ ทำให้เมืองทั้งเมืองมืดลงอย่างเห็นได้ชัดในช่วงกลางคืน

นอกจากนี้ มีรายงานว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจและทหารท่าขี้เหล็ก ได้ระดมกำลังกวาดล้างบ่อนการพนันและเว็บพนันออนไลน์ ที่ลักลอบเปิดอยู่ในพื้นที่ริมแม่น้ำสาย และเขตป่าเขาลึก ส่งผลให้มีการจับกุมเจ้าของบ่อน พนักงาน และผู้เกี่ยวข้องได้จำนวนมาก

แก๊งคอลเซ็นเตอร์-เว็บพนันเริ่มทยอยปิดตัว

จากแหล่งข่าวในท่าขี้เหล็ก พบว่าปัจจุบัน กลุ่มเว็บพนันออนไลน์และแก๊งคอลเซ็นเตอร์ทยอยปลดพนักงานออกกว่า 100 คน เนื่องจากขาดแคลนกระแสไฟฟ้าและน้ำมันเชื้อเพลิง ไม่สามารถดำเนินกิจการต่อได้ นายจ้างชาวจีนจึงจำเป็นต้อง ปลดพนักงานออก ทำให้แรงงานต่างชาติรวมถึงคนไทยจำนวนมากต้องเดินทางกลับประเทศไทย ผ่านด่านอำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย

คาดการณ์ว่า หากสถานการณ์ยังคงดำเนินต่อไป กลุ่มเหล่านี้อาจพยายามย้ายฐานปฏิบัติการเข้ามาในประเทศไทย ซึ่งจะเป็นโจทย์สำคัญของรัฐบาลไทยในการควบคุมการเคลื่อนไหวของกลุ่มอาชญากรรมข้ามชาติ

รัฐบาลเมียนมาเร่งกวาดล้าง ขยายผลจับกุม

สื่อท้องถิ่นของเมียนมารายงานว่า ระหว่างวันที่ 6-8 กุมภาพันธ์ 2568 เจ้าหน้าที่ทหารและตำรวจของท่าขี้เหล็ก ได้ดำเนินการกวาดล้างเครือข่ายอาชญากรรมในหลายพื้นที่ ทั้งการทลายบ่อนการพนัน สแกมเมอร์ และฐานปฏิบัติการหลอกลวงทางออนไลน์ ส่งผลให้มีผู้ต้องหาถูกจับกุมหลายสิบคน รวมถึงชาวจีนและเวียดนามที่เกี่ยวข้องกับอาชญากรรมเหล่านี้

ขณะเดียวกัน กองทัพเมียนมายัง ดำเนินการบุกเข้าพื้นที่ควบคุมของกองกำลังติดอาวุธบางกลุ่ม ที่ให้การสนับสนุนธุรกิจผิดกฎหมายเหล่านี้ และมีการปะทะกันในบางพื้นที่ ทำให้มีผู้เสียชีวิตและถูกจับกุมเพิ่มเติม

บีจีเอฟ-รัฐบาลเมียนมาขอไทยทบทวนมาตรการ

พันโทหน่ายหม่อง โซ รองผู้บังคับกองพัน กองกำลังพิทักษ์ชายแดน (บีจีเอฟ) รัฐกะเหรี่ยง เปิดเผยว่า กองกำลังบีจีเอฟและรัฐบาลเมียนมาต้องการให้ไทยทบทวนมาตรการตัดกระแสไฟฟ้าและจำกัดน้ำมัน เนื่องจากประชาชนเมียนมาได้รับผลกระทบอย่างหนัก โดยย้ำว่า ไทยและเมียนมาเป็นบ้านพี่เมืองน้องกันมานาน และขอให้รัฐบาลไทยพิจารณามาตรการที่เหมาะสมมากขึ้น

พันโทหน่ายหม่อง โซ ยังเปิดเผยเพิ่มเติมว่า บีจีเอฟได้ให้ความร่วมมือกับรัฐบาลไทย ในการปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์มาโดยตลอด และกำลังดำเนินการช่วยเหลือแรงงานชาวอินโดนีเซียกว่า 100 คน ที่ตกเป็นเหยื่อให้เดินทางกลับประเทศ โดยใช้เส้นทางผ่านไทย

สรุปสถานการณ์ชายแดนเมียนมา-ไทย

การดำเนินมาตรการของไทยส่งผลกระทบโดยตรงต่อเครือข่ายแก๊งคอลเซ็นเตอร์ และทำให้เมืองท่าขี้เหล็กที่เคยเป็นศูนย์กลางของธุรกิจผิดกฎหมายต้องเผชิญกับปัญหาขาดแคลนพลังงานและแรงงานอย่างหนัก ขณะที่รัฐบาลเมียนมาได้เพิ่มมาตรการเข้มงวดและเร่งขยายผลจับกุมอาชญากรข้ามชาติ โดยมีความร่วมมือกับไทยอย่างใกล้ชิด ทั้งนี้ ยังต้องจับตาดูว่าการย้ายฐานของกลุ่มอาชญากรรมเหล่านี้จะเกิดขึ้นหรือไม่ และไทยจะรับมือกับปัญหานี้อย่างไรในอนาคต

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : tachileik / burmese.shannews

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
WORLD PULSE

บีจีเอฟรับจีนเทาหลอกใช้พื้นที่ สู่ศูนย์แก๊งคอลเซ็นเตอร์

บีจีเอฟเมียนมารับเสียรู้จีนเทา แปลงพื้นที่สู่ศูนย์แก๊งคอลเซ็นเตอร์ ส่งเหยื่อกว่า 2,000 รายกลับไทย พร้อมช่วยเหลือชาวอินโดนีเซียอีก 100 คน

เมียนมา, 8 กุมภาพันธ์ 2568  – ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นับเป็นครั้งแรกที่ พันโทหน่ายหม่อง โซ รองผู้บังคับกองพัน กองกำลังพิทักษ์ชายแดน (บีจีเอฟ) ประจำจังหวัดเมียวดี รัฐกะเหรี่ยง ประเทศเมียนมา ได้กล่าวยอมรับถึงปัญหาแก๊งคอลเซ็นเตอร์ในพื้นที่จีนเทา ซึ่งตั้งอยู่ในเมืองเมียวดี ตรงข้ามอำเภอแม่สอด จังหวัดตาก ประเทศไทย

บีจีเอฟรับ ‘เสียรู้’ จีนเทา แก๊งคอลเซ็นเตอร์ใช้พื้นที่โดยไม่แจ้งล่วงหน้า

พันโทหน่ายหม่อง โซ เปิดเผยว่า กลุ่มทุนจีนที่เข้ามาลงทุนในพื้นที่เขตอิทธิพลของกองกำลังกะเหรี่ยงบีจีเอฟ ในช่วงแรกระบุว่า จะใช้พื้นที่ทำ คาสิโนและสถานบันเทิง เพื่อพัฒนาพื้นที่ชายแดนให้มีเศรษฐกิจดีขึ้นและให้ประชาชนมีงานทำ อย่างไรก็ตาม เมื่อเวลาผ่านไป พบว่ามีปัญหาการดำเนินกิจกรรมของ แก๊งคอลเซ็นเตอร์ ซึ่งกองกำลังบีจีเอฟไม่สามารถจัดการได้โดยลำพัง เนื่องจากต้องคำนึงถึงผลกระทบต่อประชาชนในพื้นที่

พันโทหน่ายหม่อง โซ ระบุว่า รายได้ที่ได้รับจากนักลงทุนจีนนั้นถูกนำไปพัฒนา ถนนและสะพาน เพื่อให้ประชาชนมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น แต่เมื่อมีปัญหาแก๊งคอลเซ็นเตอร์เข้ามา ฝ่ายบีจีเอฟต้องพยายามแก้ไขร่วมกับทางการเมียนมา รวมถึงได้รับความร่วมมือจากสถานทูตและรัฐบาลไทย โดยปัจจุบันได้ดำเนินการ ส่งตัวเหยื่อแก๊งคอลเซ็นเตอร์กลับประเทศแล้วกว่า 2,000 คน ส่วนใหญ่ถูกส่งไปทางประเทศไทย เนื่องจากสะดวกและใกล้กว่าส่งไปยังเมืองย่างกุ้ง

เตรียมส่งตัวเหยื่อต่างชาติอีก 100 คน ส่วนใหญ่อินโดนีเซีย

ล่าสุด บีจีเอฟช่วยเหลือชาวต่างชาติจำนวนกว่า 100 คน ส่วนใหญ่เป็นชาวอินโดนีเซีย ซึ่งตกเป็นเหยื่อของแก๊งคอลเซ็นเตอร์ โดยมีแผนส่งตัวพวกเขาไปให้ทางการไทยในเร็วๆ นี้ โดยใช้ด่านพรมแดนแม่สอด-เมียวดี สะพานมิตรภาพไทย-เมียนมา แห่งที่ 2 เป็นจุดส่งตัว

พันโทหน่ายหม่อง โซ ยืนยันว่า กองกำลังบีจีเอฟได้พยายามแก้ไขปัญหานี้มาโดยตลอด โดยมีการประสานกับฝ่ายรัฐบาลเมียนมา รวมถึงรัฐบาลไทย และแสดงความพร้อมที่จะร่วมมือแก้ไขปัญหานี้ให้หมดไป

บีจีเอฟวอนไทยทบทวนมาตรการตัดไฟ-จำกัดน้ำมัน

นอกจากนี้ พันโทหน่ายหม่อง โซ ยังเรียกร้องให้รัฐบาลไทยพิจารณา ทบทวนมาตรการตัดกระแสไฟฟ้า และการจำกัดน้ำมันเชื้อเพลิง ที่ส่งเข้าพื้นที่ชายแดนเมียนมา เนื่องจากประชาชนในพื้นที่ได้รับความเดือดร้อนอย่างมาก พร้อมย้ำว่า ไทยและเมียนมาเป็นบ้านพี่เมืองน้องกันมานาน ชาวกะเหรี่ยงและประชาชนชาวเมียนมามีความเคารพต่อพระมหากษัตริย์ไทย และต้องการให้รัฐบาลไทยช่วยพิจารณาผ่อนปรนมาตรการดังกล่าวเพื่อช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบ

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สรยุทธ สุทัศนะจินดา กรรมกรข่าว

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
NEWS UPDATE

ผลสำรวจเผย เงินช่วยเหลือ 10,000 บาท มีผลต่อการสนับสนุนรัฐบาล

ประเทศไทย, 9 กุมภาพันธ์ 2568  – ศูนย์สำรวจความคิดเห็น “นิด้าโพล” สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ เปิดเผยผลสำรวจความคิดเห็นของประชาชนเกี่ยวกับโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านผู้สูงอายุที่ได้รับเงิน 10,000 บาท การสำรวจดำเนินการระหว่างวันที่ 3-5 กุมภาพันธ์ 2568 โดยเก็บข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่างจำนวน 1,310 คน ที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป ซึ่งเป็นผู้ที่ได้รับเงินหรือมีสมาชิกในครอบครัวได้รับเงินจากโครงการดังกล่าว กระจายอยู่ทั่วทุกภูมิภาคของประเทศ

ผลสำรวจความคิดเห็นของประชาชนเกี่ยวกับโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านผู้สูงอายุ

ผลสำรวจพบว่า ประชาชนที่ได้รับเงินช่วยเหลือ 10,000 บาท มีความคิดเห็นเกี่ยวกับการสนับสนุนรัฐบาล ดังนี้:

  • ร้อยละ 44.89 ระบุว่าการได้รับเงินมีส่วนช่วยให้สนับสนุนรัฐบาล
  • ร้อยละ 30.69 ระบุว่ามีหรือไม่มีโครงการนี้ก็สนับสนุนรัฐบาลอยู่แล้ว
  • ร้อยละ 14.35 ระบุว่าไม่ว่าอย่างไรก็ไม่สนับสนุนรัฐบาล
  • ร้อยละ 10.07 ระบุว่ายังไม่แน่ใจว่าจะตัดสินใจอย่างไร

การสำรวจใช้วิธีการสุ่มตัวอย่างแบบหลายขั้นตอน (Multi-stage Sampling) และเก็บข้อมูลด้วยการสัมภาษณ์ทางโทรศัพท์ โดยมีค่าความเชื่อมั่นร้อยละ 97.0

การใช้จ่ายเงิน 10,000 บาทจากโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ

เมื่อสอบถามถึงการใช้จ่ายเงินที่ได้รับ พบว่าผู้สูงอายุมีแนวทางการใช้จ่ายดังนี้:

  • ร้อยละ 86.18 ใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน (รวมค่าน้ำ ค่าไฟ และน้ำมันเชื้อเพลิง)
  • ร้อยละ 26.26 ใช้จ่ายเพื่อสุขภาพ (เช่น ซื้อยารักษาโรค พบแพทย์)
  • ร้อยละ 13.66 ใช้หนี้สิน
  • ร้อยละ 11.98 เก็บออมไว้ใช้ในอนาคต
  • ร้อยละ 9.24 ใช้ลงทุนการค้า
  • ร้อยละ 8.70 ใช้จ่ายเพื่อการศึกษา
  • ร้อยละ 4.35 ใช้ซื้อหวยและสลากกินแบ่งรัฐบาล
  • ร้อยละ 1.76 ใช้ซื้ออุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้า
  • ร้อยละ 0.53 ใช้ซื้ออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ มือถือ และเครื่องมือสื่อสาร
  • ร้อยละ 0.46 ใช้จ่ายเพื่อการเดินทางท่องเที่ยว
  • ร้อยละ 0.38 ใช้จ่ายเพื่อการบันเทิง (เช่น เลี้ยงสังสรรค์ ซื้อเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ หรือยาสูบ)

ลักษณะทั่วไปของกลุ่มตัวอย่าง

เมื่อพิจารณาข้อมูลประชากรของกลุ่มตัวอย่าง พบว่า:

  • ที่อยู่ตามภูมิภาค:
    • ร้อยละ 9.31 กรุงเทพฯ
    • ร้อยละ 19.01 ภาคกลาง
    • ร้อยละ 20.92 ภาคเหนือ
    • ร้อยละ 31.60 ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
    • ร้อยละ 12.29 ภาคใต้
    • ร้อยละ 6.87 ภาคตะวันออก
  • เพศ:
    • ร้อยละ 43.05 เป็นเพศชาย
    • ร้อยละ 56.95 เป็นเพศหญิง
  • อายุ:
    • ร้อยละ 69.08 อายุ 60-69 ปี
    • ร้อยละ 27.94 อายุ 70-79 ปี
    • ร้อยละ 2.98 อายุ 80 ปีขึ้นไป
  • ศาสนา:
    • ร้อยละ 97.56 นับถือศาสนาพุทธ
    • ร้อยละ 1.98 นับถือศาสนาอิสลาม
    • ร้อยละ 0.46 นับถือศาสนาคริสต์และศาสนาอื่น ๆ
  • สถานภาพสมรส:
    • ร้อยละ 3.59 โสด
    • ร้อยละ 92.82 สมรส
    • ร้อยละ 3.59 หม้าย หย่าร้าง หรือแยกกันอยู่
  • ระดับการศึกษา:
    • ร้อยละ 1.22 ไม่ได้รับการศึกษา
    • ร้อยละ 61.60 จบการศึกษาประถมศึกษา
    • ร้อยละ 20.00 จบมัธยมศึกษาหรือเทียบเท่า
    • ร้อยละ 5.19 จบอนุปริญญาหรือเทียบเท่า
    • ร้อยละ 10.69 จบปริญญาตรีหรือเทียบเท่า
    • ร้อยละ 1.30 จบสูงกว่าปริญญาตรี
  • อาชีพ:
    • ร้อยละ 0.15 ข้าราชการ/ลูกจ้าง/พนักงานรัฐวิสาหกิจ
    • ร้อยละ 0.23 พนักงานเอกชน
    • ร้อยละ 16.95 เจ้าของธุรกิจ/อาชีพอิสระ
    • ร้อยละ 20.53 เกษตรกร/ประมง
    • ร้อยละ 15.04 รับจ้างทั่วไป/ผู้ใช้แรงงาน
    • ร้อยละ 47.10 เป็นพ่อบ้าน/แม่บ้าน/เกษียณอายุ/ว่างงาน
  • รายได้เฉลี่ยต่อเดือน:
    • ร้อยละ 41.07 ไม่มีรายได้
    • ร้อยละ 10.08 ไม่เกิน 5,000 บาท
    • ร้อยละ 22.06 ระหว่าง 5,001-10,000 บาท
    • ร้อยละ 15.34 ระหว่าง 10,001-20,000 บาท
    • ร้อยละ 3.89 ระหว่าง 20,001-30,000 บาท
    • ร้อยละ 2.60 ระหว่าง 30,001-40,000 บาท
    • ร้อยละ 1.22 ระหว่าง 40,001-50,000 บาท
    • ร้อยละ 0.15 มากกว่า 80,001 บาท
    • ร้อยละ 3.59 ไม่ระบุรายได้

บทสรุป

ผลสำรวจของนิด้าโพลระบุว่า โครงการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านผู้สูงอายุที่มอบเงิน 10,000 บาท มีผลต่อการสนับสนุนรัฐบาลในระดับหนึ่ง อย่างไรก็ตาม ผู้สูงอายุส่วนใหญ่นำเงินไปใช้เพื่อค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวันและสุขภาพเป็นหลัก โดยรัฐบาลยังคงเผชิญกับความเห็นที่แตกต่างในหมู่ประชาชนเกี่ยวกับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจนี้ และความยั่งยืนของโครงการในระยะยาวจะยังคงเป็นประเด็นที่ต้องติดตามต่อไป

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า)

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
NEWS UPDATE SOCIETY & POLITICS

ป้องกันความมั่นคง ไทยยุติส่งไฟฟ้า 5 จุดชายแดนเมียนมา

ประเทศไทยยุติการส่งไฟฟ้าไปยังเมียนมา 5 จุด เพื่อความมั่นคงของชาติ

กรุงเทพฯ, 5 กุมภาพันธ์ 2568 – นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ได้ดำเนินการยุติการส่งกระแสไฟฟ้าไปยังเมียนมาใน 5 จุดชายแดน ตามมติของสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) เพื่อป้องกันผลกระทบต่อความมั่นคงของประเทศ

การดำเนินการนี้เกิดขึ้นเมื่อเวลา 09.00 น. ที่สำนักงานใหญ่การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) โดยมีนายอรรษิษฐ์ สัมพันธรัตน์ ปลัดกระทรวงมหาดไทย และนายศุภชัย เอกอุ่น ผู้ว่าการ กฟภ. ร่วมเป็นสักขีพยาน

การตัดกระแสไฟฟ้าทั้ง 5 จุดใช้ระบบสั่งการอัตโนมัติควบคุมระยะไกล โดยทันทีที่กดปิดระบบ แผงวงจรที่แสดงบนหน้าจอจะเปลี่ยนจากสีแดงเป็นสีเขียว และจำนวนวัตต์ที่จ่ายไฟจะเปลี่ยนเป็น 0 แอมป์ทันที

จุดที่ถูกยุติการส่งไฟฟ้า ได้แก่:

  1. บ้านพระเจดีย์สามองค์ – เมืองพญาตองซู รัฐมอญ
  2. สะพานมิตรภาพไทย-พม่า – เมืองท่าขี้เหล็ก รัฐฉาน
  3. บ้านเหมืองแดง – เมืองท่าขี้เหล็ก รัฐฉาน
  4. สะพานมิตรภาพไทย-พม่า แห่งที่ 2 – เมืองเมียวดี
  5. บ้านห้วยม่วง – เมืองเมียวดี

รวมกำลังการผลิตไฟฟ้าที่ถูกยุติการส่งทั้งสิ้น 20.37 เมกะวัตต์

นายอนุทินกล่าวว่า การดำเนินการครั้งนี้เป็นไปตามมติของ สมช. ที่ประชุมเมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2568 ซึ่งพบว่าการส่งไฟฟ้าไปยังเมียนมามีการนำไปใช้ไม่เป็นไปตามสัญญา และส่งผลกระทบต่อความสงบเรียบร้อยและความมั่นคงของประเทศ

“เมื่อมีข้อสั่งการที่ถูกต้องและชอบด้วยกฎหมาย กระทรวงมหาดไทยและ กฟภ. ก็สามารถดำเนินการได้ทันที” นายอนุทินกล่าว

การยุติการส่งไฟฟ้าในครั้งนี้อาจทำให้ประเทศไทยสูญเสียรายได้ประมาณ 600 ล้านบาทต่อปี หรือคิดเป็นไม่ถึง 1% ของรายได้รวมจากการขายไฟฟ้า ซึ่งนายอนุทินระบุว่าเป็นการเสียสละที่คุ้มค่าเพื่อรักษาผลประโยชน์ของประชาชน

“การดำเนินการครั้งนี้เป็นไปตามสัญญาข้อที่ 14 ที่กำหนดว่าหากจ่ายไฟฟ้าไปแล้วเกิดผลกระทบต่อความมั่นคงทางพลังงานและความมั่นคงของชาติ สามารถงดจ่ายไฟได้” นายอนุทินกล่าว

เมื่อถูกถามถึงความเป็นไปได้ที่เมียนมาอาจร้องขอซื้อไฟฟ้าใหม่ นายอนุทินกล่าวว่า “รัฐบาลสั่งให้หยุดเพราะเมียนมานำกระแสไฟฟ้าไปใช้ที่ทำให้เกิดความเดือดร้อนต่อไทยด้วย เขาจึงต้องไปแก้ไขและต้องมีการเจรจาใหม่”

การยุติการส่งไฟฟ้าในครั้งนี้เป็นมาตรการที่มุ่งเน้นการป้องกันและจัดการปัญหาที่เกี่ยวข้องกับกิจกรรมผิดกฎหมายในพื้นที่ชายแดน ซึ่งรวมถึงปัญหาการค้ามนุษย์ แก๊งคอลเซ็นเตอร์ การฟอกเงิน และอาชญากรรมข้ามชาติที่อาจใช้พลังงานไฟฟ้าในการดำเนินกิจกรรม

นายอนุทินย้ำว่า การดำเนินการครั้งนี้ไม่ได้มุ่งเป้าไปที่ประชาชนชาวเมียนมาโดยตรง แต่เป็นมาตรการที่มีเป้าหมายเพื่อป้องกันและจัดการปัญหาที่เกี่ยวข้องกับกิจกรรมผิดกฎหมายในพื้นที่ชายแดน

“เรายังคงให้ความสำคัญกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ และพร้อมให้ความร่วมมือกับทางการเมียนมาในการแก้ไขปัญหาต่างๆ อย่างเหมาะสมต่อไป” นายอนุทินกล่าว

การยุติการส่งไฟฟ้าในครั้งนี้เป็นการดำเนินการที่สอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลในการป้องกันและแก้ไขปัญหาที่ส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของประเทศ และเป็นการแสดงถึงความมุ่งมั่นของประเทศไทยในการรักษาผลประโยชน์ของประชาชนและประเทศชาติ

การดำเนินการครั้งนี้ยังเป็นการส่งสัญญาณถึงความพร้อมของประเทศไทยในการดำเนินมาตรการที่จำเป็นเพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหาที่ส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของประเทศ และเป็นการยืนยันถึงความมุ่งมั่นของรัฐบาลในการรักษาผลประโยชน์ของประชาชนและประเทศชาติ

การยุติการส่งไฟฟ้าไปยังเมียนมาในครั้งนี้เป็นการดำเนินการที่สอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลในการป้องกันและแก้ไขปัญหาที่ส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของประเทศ และเป็นการแสดงถึงความมุ่งมั่นของประเทศไทยในการรักษาผลประโยชน์ของประชาชนและประเทศชาติ

การดำเนินการครั้งนี้ยังเป็นการส่งสัญญาณถึงความพร้อมของประเทศไทยในการดำเนินมาตรการ

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กระทรวงมหาดไทย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI TOP STORIES

‘อทิตาธร’ ชี้แจงภาพกับ ‘อนุทิน’ ยันไปแจกการ์ดเชิญแต่งงานให้ลูกสาว

อทิตาธร วันไชยธนวงค์ ปฏิบัติธรรม 10 วัน หลังเลือกตั้ง อบจ. เชียงราย พร้อมชี้แจงภาพร่วมเฟรมกับอนุทิน

วันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2568 เวลา 18.00 น. ณ วัดห้วยปลากั้ง ตำบลริมกก อำเภอเมืองเชียงราย จังหวัดเชียงราย

ทีมข่าวนครเชียงรายนิวส์ได้ทำการติดตามกิจวัตรประจำวันส่วนตัวของ ว่าที่นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย นางอทิตาธร วันไชยธนวงค์ ซึ่งทราบมาว่าจะเข้ามาสวดสวดมนต์และทำสมาธิที่วัดห้วยปลากั้ง เพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับภารกิจในอนาคต 

อย่างไรก็ตาม ทางทีมข่าวจึงขอสัมภาษณ์หลังมีประเด็นที่กำลังเป็นกระแสในช่วงนี้คือ ภาพถ่ายที่ปรากฏตัวร่วมกับนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ซึ่งโพสต์ผ่านโซเชียลมีเดียของนายอนุทิน พร้อมข้อความว่า
ให้การต้อนรับและแสดงความยินดีเบื้องต้นกับทีมงานผู้ชนะการเลือกตั้งนายก อบจ. เชียงราย ที่แวะมาสวัสดีปีใหม่และตรุษจีนที่กระทรวงมหาดไทย”

ภาพดังกล่าวนำไปสู่การตั้งข้อสังเกตเกี่ยวกับจุดยืนทางการเมืองของ นางอทิตาธร วันไชยธนวงค์ หลังเสร็จศึกเลือกตั้งในวันเสาร์ที่ 1 ก.พ.ที่ผ่านมา ซึ่งผลคะแนนเลือกตั้งอย่างไม่เป็นทางหารได้รับการเลือกตั้ง 261,301 คะแนน ในการชิงแบบพรรคอิสระ ทให้เกิดคำถามจากประชาชนในชาวเชียงราย

อทิตาธร เปิดใจถึงภาพถ่ายกับอนุทิน และเหตุผลของการเดินทางไปกระทรวงมหาดไทย

ทีมข่าวนครเชียงรายนิวส์ได้สัมภาษณ์อทิตาธรถึงประเด็นดังกล่าว โดยเธอชี้แจงว่า การเดินทางไปกระทรวงมหาดไทยเมื่อวันที่ 2 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา มีวัตถุประสงค์หลักเพื่อพาลูกสาว (น้องป่าน)ไปแจกการ์ดงานแต่งงาน ซึ่งจะมีขึ้นในวันที่ 8 มีนาคม 2568

ที่จริงตามมารยาทต้องเชิญผู้ใหญ่อย่างน้อยสองเดือนล่วงหน้า แต่เพราะติดช่วงเลือกตั้ง ทำให้ไม่มีเวลาทำหน้าที่แม่เลย หลังเลือกตั้งเสร็จ จึงรีบไปเชิญผู้ใหญ่ที่กระทรวง”

นอกจากนี้ อทิตาธรยังเปิดเผยว่า ได้ใช้โอกาสดังกล่าวหารือกับนายอนุทินเกี่ยวกับปัญหาสำคัญของจังหวัดเชียงราย โดยเฉพาะเรื่องเงินเยียวยาน้ำท่วมและถนนการเกษตร ซึ่งได้รับคำมั่นจากรัฐมนตรีว่าจะดำเนินการช่วยเหลือ

หารือปัญหาเยียวยาน้ำท่วมและโครงสร้างพื้นฐาน

ในโอกาสเดียวกัน อทิตาธรได้ใช้โอกาสนี้ นำเสนอปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนเชียงราย โดยเฉพาะเรื่องเงินเยียวยาผู้ประสบภัยน้ำท่วมที่ยังมีประชาชนจำนวนมาก ไม่ได้รับเงินช่วยเหลือ 10,000 บาท จากทางรัฐบาล

“พี่ได้แจ้งกับท่านรัฐมนตรีถึงปัญหาที่ค้างคาอยู่ เช่น ถนนบ้านฟาร์มเมืองงิมที่ได้รับความเสียหายจากน้ำท่วม และสะพานที่พังในอำเภอเวียงแก่นและอำเภอเทิงซึ่งส่งผลกระทบต่อการขนส่งสินค้าเกษตร”

อทิตาธรเปิดเผยว่า อนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ท่านเมตตาจะเดินทางมา ตรวจ ราชการ รับฟังข้อมูลที่เชียงราย ใน อาทิตย์หน้า และจะหาแนวทางช่วยเหลือ ชาวเชียงราย และจะหาแนวทางแก้ไขร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

แผนงานหลังเลือกตั้ง เตรียมพบกระทรวงอื่นๆ

อทิตาธรระบุว่า หลังจากเข้าพบกระทรวงมหาดไทยแล้ว ก็มีวางแผนที่จะ เดินทางไปพบกระทรวงอื่นๆ เพื่อผลักดันโครงการที่เกี่ยวข้องกับเชียงราย เช่น

  • กระทรวงเกษตรฯ: หารือเรื่องการแก้ปัญหาวัชพืชและการเผาไหม้
  • กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติฯ: พูดคุยเรื่องไฟป่าและ PM 2.5
  • กรมโยธาธิการฯ: วางแผนแก้ไขโครงสร้างพื้นฐานและระบบน้ำ

“พี่ได้รับความไว้วางใจจากประชาชนเชียงราย ก็จะเดินหน้าทำงานต่อทันที”

เหตุผลที่เลือกไปกระทรวงมหาดไทยหลังวันเลือกตั้ง

เมื่อถูกถามว่าทำไมจึงเลือกเดินทางไปกระทรวงมหาดไทยในวันถัดจากการเลือกตั้ง อทิตาธรตอบว่า เป็นเรื่องของเวลาที่จำกัด เพราะต้องเตรียมงานแต่งของลูกสาว และลูกสาวเองก็สอบถามตลอดว่าจะเชิญผู้ใหญ่ตอนไหน

ลูกสาวยังพูดติดตลกเลยว่า รอหลังเลือกตั้งแล้วผลออกก่อนก็ดีเหมือนกัน เผื่อว่าแพ้เลือกตั้งจะได้ไม่ต้องพิมพ์การ์ดเยอะ”

ยืนยันจุดยืน “อิสระ” ไม่สังกัดพรรคการเมือง

สำหรับคำถามที่ว่าการปรากฏตัวร่วมกับนายอนุทินจะสะท้อนถึงการสังกัดพรรคการเมืองหรือไม่ อทิตาธรได้ย้ำชัดว่า

ยังเป็นอิสระ ไม่สังกัดพรรคใด นอกจากฟังเสียงของประชาชน และมีอิสระทางความคิด”

ทางด้านอทิตาธรยังอธิบายเพิ่มเติมว่า การเป็นอิสระทำให้สามารถเข้าถึงและทำงานร่วมกับทุกฝ่ายได้ง่ายขึ้น เพื่อผลประโยชน์ของประชาชนเชียงราย

รัฐบาลเป็นรัฐบาลผสม มีรัฐมนตรีจากหลายพรรค ถ้าจำกัดตัวเองอยู่กับพรรคใดพรรคหนึ่ง จะทำให้การประสานงานเพื่อแก้ไขปัญหาของประชาชนยากขึ้น”

อทิตาธรได้ฝากข้อความถึงประชาชนเชียงรายว่า

“พี่นกอยากให้ทุกคนมั่นใจว่า เราจะทำงานเพื่อพัฒนาเชียงรายต่อไป และไม่อยากให้เกิดความขัดแย้งหรือความแตกแยกทางการเมือง เราทุกคนต้องร่วมมือกันเพื่อสร้างอนาคตของจังหวัด” ย้ำอีกครั้งว่า การเลือกตั้งจบแล้ว และสิ่งสำคัญในตอนนี้คือ การพัฒนาจังหวัดเชียงรายให้ก้าวไปข้างหน้า

สร้างความเข้าใจกับประชาชนเชียงราย

อทิตาธรฝากข้อความถึงประชาชนเชียงรายว่า ความตั้งใจในการพัฒนาจังหวัดยังเหมือนเดิม และขอให้ทุกคนมั่นใจว่าจะทำงานเพื่อผลประโยชน์ของเชียงรายอย่างเต็มที่

พี่นกไปทุกกระทรวงและพูดคุยกับทุกพรรค ที่สามารถช่วยเหลือและแก้ปัญหาให้เชียงรายได้ ขอให้ทุกคนมั่นใจในตัวพี่ค่ะ”

สรุปข่าว

  • อทิตาธร วันไชยธนวงค์ เริ่มปฏิบัติธรรม 10 วัน หลังเสร็จสิ้นการเลือกตั้ง อบจ.เชียงราย
  • ชี้แจงว่า ภาพถ่ายกับอนุทิน เป็นเพียงการเข้าพบเพื่อเชิญร่วมงานแต่งของลูกสาว และหารือปัญหาน้ำท่วม
  • ยืนยันว่า ยังคงเป็นนักการเมืองอิสระ ไม่สังกัดพรรคใด
  • เตรียมเข้าพบ กระทรวงอื่นๆ เพื่อผลักดันโครงการพัฒนาเชียงราย

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ทีมข่าวนครเชียงรายนิวส์

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
NEWS UPDATE

รัฐบาลไทยประกาศปี 2568 เป็น “ปีทองแห่งการท่องเที่ยว” พร้อมปรับรูปแบบเมืองรองเป็น “เมืองน่าเที่ยว” ทั่วประเทศ

รัฐบาลประกาศปี 2568 “ปีทองแห่งการท่องเที่ยว” ส่งเสริมเมืองรองเป็น “เมืองน่าเที่ยว” ทั่วไทย

วันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2568 รัฐบาลไทยได้เปิดตัวโครงการ “Amazing Thailand Grand Tourism and Sports Year 2025” โดยมีนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เป็นประธานในพิธีเปิดงานที่ศูนย์การค้า One Bangkok เขตปทุมวัน กรุงเทพมหานคร โดยมีวัตถุประสงค์หลักในการยกระดับประเทศไทยให้กลายเป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยวของภูมิภาค พร้อมเน้นการส่งเสริม Soft Power ของไทย รวมถึงการส่งเสริมเมืองหลักและเมืองรองที่เป็น “เมืองน่าเที่ยว” ซึ่งจะทำให้ประเทศไทยเป็นจุดหมายปลายทางที่สำคัญของนักท่องเที่ยวจากทั่วโลก

การเปิดตัวการท่องเที่ยวในปี 2568

การเปิดตัว “Amazing Thailand Grand Tourism and Sports Year 2025” ถือเป็นการปรับรูปแบบการท่องเที่ยวในประเทศไทย โดยเฉพาะในส่วนของเมืองรอง ซึ่งจะได้รับการส่งเสริมให้เป็นเมืองที่นักท่องเที่ยวอยากไปเยือนตลอดทั้งปี นอกจากนี้ รัฐบาลยังได้มอบหมายให้ผู้ว่าราชการจังหวัดทั่วประเทศเป็นหัวเรือใหญ่ในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจการท่องเที่ยวให้เกิดการเติบโตต่อเนื่องตลอดทั้งปี โดยเน้นการพัฒนาเมืองรองให้มีสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจในทุกพื้นที่

โครงการที่สำคัญสำหรับปี 2568

นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า การท่องเที่ยวเป็นเครื่องมือสำคัญในการกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศ ซึ่งรัฐบาลได้วางแผนที่จะเพิ่มจำนวนการท่องเที่ยวและเพิ่มรายได้จากนักท่องเที่ยว ด้วยการส่งเสริมทั้งเมืองหลักและเมืองรองให้มีการท่องเที่ยวที่ต่อเนื่อง พร้อมสร้างโอกาสใหม่ในการทำธุรกิจและการจ้างงานที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว นายกรัฐมนตรีได้เน้นย้ำถึงการพัฒนาเมืองรองให้มีศักยภาพและเสน่ห์ของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นด้านศิลปะ วัฒนธรรม หรือธรรมชาติ

การเสริมสร้าง Soft Power

การส่งเสริม Soft Power หรือพลังอ่อนของไทยยังคงเป็นจุดแข็งที่รัฐบาลต้องการผลักดันเพื่อเสริมสร้างการท่องเที่ยว โดยรัฐบาลจะสนับสนุนให้การท่องเที่ยวของไทยเป็นเรื่องของการสัมผัสวัฒนธรรมไทยผ่านกิจกรรมต่างๆ รวมถึงอาหารไทยและวิถีชีวิตที่ทำให้ประเทศไทยเป็นที่รู้จักทั่วโลก นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรียังกล่าวถึงความสำคัญของความเป็นมิตรของคนไทย ที่ทำให้นักท่องเที่ยวรู้สึกอบอุ่นและต้อนรับอย่างดีเมื่อมาถึง

กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเดินหน้าสนับสนุนเต็มที่

นายสรวงศ์ เทียนทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กล่าวว่า ในปีนี้ประเทศไทยจะดำเนินการเปลี่ยนแปลงการท่องเที่ยวจาก “เที่ยวเมืองรอง” เป็น “เมืองน่าเที่ยว” โดยการคัดเลือกเมืองที่มีความพร้อมและมีศักยภาพในด้านต่างๆ ซึ่งจะสร้างแรงดึงดูดให้นักท่องเที่ยวมาชมศิลปะวัฒนธรรมที่น่าสนใจ และสร้างการรับรู้เกี่ยวกับสถานที่ท่องเที่ยวที่มีเอกลักษณ์

กิจกรรมในงาน Amazing Thailand Grand Tourism and Sports Year 2025

ภายในงานยังมีการจัดกิจกรรมต่างๆ ที่มีความหลากหลายและน่าสนใจ เช่น การแสดงความร่วมมือร่วมใจในปี Amazing Thailand Grand Tourism and Sports Year 2025, การนำเสนอผ้าไทยจากภูมิปัญญาท้องถิ่นสู่แฟชั่นร่วมสมัย, การทดสอบพลังความแข็งแรงของหมัดเชิงมวย, การดวลวงสวิงใน Golf Simulator, การชมจักรยานยนต์ ซึ่งเป็นพาหนะที่สามารถใช้ในการท่องเที่ยวและกีฬาได้ และการค้นหาร้านอาหารที่ได้รับเครื่องหมาย “มิชลิน” ซึ่งรับรองความอร่อยระดับโลก

การส่งเสริมการท่องเที่ยวอย่างเต็มที่

การท่องเที่ยวปี 2568 ถือเป็นปีแห่งโอกาสและความหวังที่ไทยจะได้แสดงศักยภาพในทุกด้าน ทั้งด้านการสร้างรอยยิ้มและความสุขให้กับทุกคน รวมไปถึงการต้อนรับนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกที่จะมาร่วมสัมผัสกับ Amazing Thailand Grand Tourism and Sports Year 2025 และร่วมสร้างความสำเร็จในการส่งเสริมการท่องเที่ยวไทยในระดับสากล

บทสรุป

ปี 2568 ถือเป็นปีที่ประเทศไทยจะได้ผลักดันการท่องเที่ยวให้เป็นกลไกสำคัญในการกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยการส่งเสริมเมืองหลักและเมืองรองที่มีศักยภาพในการดึงดูดนักท่องเที่ยว นอกจากนี้ การส่งเสริม Soft Power ของไทยและการพัฒนาวัฒนธรรมไทยให้เป็นที่รู้จักมากขึ้น จะช่วยให้ประเทศไทยกลายเป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยวที่ยั่งยืนในภูมิภาค

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
NEWS UPDATE

ลุ้น “พญ.อัจฉรา” ผอ.โฮงยาไทย 3 รายชื่อเข้าชิงเลขา สปสช. คนใหม่

คณะกรรมการสรรหาฯ ประกาศ 3 รายชื่อเข้าชิงตำแหน่งเลขาธิการ สปสช. คนใหม่

เมื่อวันที่ 31 มกราคม 2568 คณะกรรมการสรรหาเลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ได้ประกาศรายชื่อผู้ผ่านการคัดเลือก 3 คนสุดท้ายจากผู้สมัครทั้งหมด 9 คน เพื่อเข้าชิงตำแหน่งเลขาธิการ สปสช. คนใหม่ แทน นพ.จเด็จ ธรรมธัชอารี ซึ่งกำลังจะหมดวาระในวันที่ 2 เมษายนนี้

“พญ.อัจฉรา” ผ่านเข้ารอบสุดท้าย พร้อมอีก 2 รายชื่อ

จากการประชุมของคณะกรรมการสรรหาฯ เมื่อวันที่ 31 มกราคม 2568 ได้มีการสัมภาษณ์ผู้สมัคร พร้อมรับฟังการแสดงวิสัยทัศน์และแผนการบริหารงานของแต่ละคน ก่อนจะคัดเลือกให้เหลือเพียง 3 คนสุดท้าย โดยรายชื่อที่ผ่านการพิจารณามีดังนี้

  1. นพ.จเด็จ ธรรมธัชอารี – เลขาธิการ สปสช. คนปัจจุบัน
  2. นพ.ดิเรก สุดแดน
  3. พญ.อัจฉรา ละอองนวลพานิช

รายชื่อดังกล่าวจะถูกเสนอต่อคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ เพื่อพิจารณาคัดเลือกและแต่งตั้งเป็นเลขาธิการ สปสช. คนใหม่ต่อไป

กระบวนการคัดเลือกเลขาธิการ สปสช. คนใหม่

ก่อนหน้านี้ คณะกรรมการสรรหาฯ ได้เปิดรับสมัครผู้ที่มีคุณสมบัติเหมาะสมเข้ารับการคัดเลือกตำแหน่งเลขาธิการ สปสช. โดยมีผู้สมัครทั้งหมด 9 คน ผ่านการคัดเลือกรอบแรก จากนั้นได้เข้าสู่กระบวนการสัมภาษณ์ในวันที่ 31 มกราคม 2568 ซึ่งเป็นการพิจารณาด้านวิสัยทัศน์ นโยบาย และความสามารถในการบริหารงาน

หลังการสัมภาษณ์ คณะกรรมการสรรหาฯ ได้คัดเลือก 3 รายชื่อสุดท้าย โดยใช้เกณฑ์พิจารณาความสามารถในการบริหารงาน ระบบสุขภาพ และความเข้าใจในภารกิจของ สปสช. ซึ่งเป็นองค์กรหลักที่ดูแลระบบหลักประกันสุขภาพของประเทศ

ขั้นตอนต่อไป: การพิจารณาของบอร์ด สปสช.

คณะกรรมการสรรหาฯ จะส่งผลการคัดเลือกไปยังคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ซึ่งคาดว่าจะมีการพิจารณาแต่งตั้งเลขาธิการ สปสช. คนใหม่ในการประชุมวันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2568

ผู้ได้รับการแต่งตั้งจะดำรงตำแหน่งแทน นพ.จเด็จ ธรรมธัชอารี ซึ่งจะหมดวาระในวันที่ 2 เมษายน 2568 โดยเลขาธิการคนใหม่จะต้องเข้ามารับผิดชอบด้านการบริหารงบประมาณด้านสุขภาพ ดูแลระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ และผลักดันนโยบายให้ตอบสนองความต้องการของประชาชนได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ความสำคัญของตำแหน่งเลขาธิการ สปสช.

เลขาธิการ สปสช. ถือเป็นตำแหน่งสำคัญที่มีบทบาทโดยตรงต่อการบริหารจัดการระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า ซึ่งครอบคลุมประชากรกว่า 48 ล้านคนทั่วประเทศ โดยผู้ดำรงตำแหน่งจะต้องเผชิญกับความท้าทายในการบริหารงบประมาณ ดูแลการเข้าถึงบริการสุขภาพของประชาชน และประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อพัฒนาระบบสุขภาพให้ดียิ่งขึ้น

ข้อสังเกตจากผู้เชี่ยวชาญ

ผู้เชี่ยวชาญด้านสาธารณสุขระบุว่า การคัดเลือกเลขาธิการ สปสช. ครั้งนี้เป็นกระบวนการที่ได้รับความสนใจจากหลายภาคส่วน เนื่องจากเป็นช่วงเวลาที่ระบบหลักประกันสุขภาพของไทยกำลังเผชิญกับความท้าทายด้านงบประมาณและการให้บริการที่ต้องพัฒนาให้ทันต่อสถานการณ์

“บุคคลที่จะได้รับการแต่งตั้งเป็นเลขาธิการ สปสช. คนใหม่ ต้องมีความสามารถในการบริหารจัดการงบประมาณขนาดใหญ่ และต้องมีวิสัยทัศน์ในการพัฒนาระบบหลักประกันสุขภาพให้มีความยั่งยืน” นักวิชาการด้านสุขภาพให้ความเห็น

สรุป

การคัดเลือกเลขาธิการ สปสช. คนใหม่กำลังอยู่ในขั้นตอนสุดท้าย โดย 3 รายชื่อที่ผ่านการคัดเลือก ได้แก่ นพ.จเด็จ ธรรมธัชอารี, นพ.ดิเรก สุดแดน และ พญ.อัจฉรา ละอองนวลพานิช ทั้งสามรายชื่อจะเข้าสู่การพิจารณาโดยคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ซึ่งจะมีการประชุมตัดสินในวันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2568 ก่อนที่ผู้ได้รับการแต่งตั้งจะเข้ารับตำแหน่งแทน นพ.จเด็จ ธรรมธัชอารี ที่จะหมดวาระในวันที่ 2 เมษายนนี้

คำถามที่พบบ่อย (FAQs)

  1. ทำไมต้องมีการคัดเลือกเลขาธิการ สปสช. คนใหม่?
    ตำแหน่งเลขาธิการ สปสช. มีวาระการดำรงตำแหน่ง เมื่อครบกำหนดต้องมีการคัดเลือกบุคคลใหม่เพื่อสานต่อภารกิจด้านหลักประกันสุขภาพ
  2. ใครเป็นตัวเต็งในการได้รับตำแหน่งครั้งนี้?
    นพ.จเด็จ ธรรมธัชอารี ซึ่งเป็นเลขาธิการคนปัจจุบัน ถือเป็นตัวเต็ง เนื่องจากมีประสบการณ์ตรงกับงานใน สปสช.
  3. ขั้นตอนสุดท้ายของการคัดเลือกเป็นอย่างไร?
    รายชื่อ 3 คนสุดท้ายจะถูกเสนอต่อคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ซึ่งจะพิจารณาและแต่งตั้งบุคคลที่เหมาะสมที่สุด
  4. บทบาทของเลขาธิการ สปสช. มีอะไรบ้าง?
    บริหารงบประมาณหลักประกันสุขภาพ ดูแลการให้บริการสาธารณสุข และพัฒนานโยบายด้านสุขภาพให้ประชาชนเข้าถึงได้อย่างเท่าเทียม
  5. การแต่งตั้งเลขาธิการ สปสช. คนใหม่จะมีผลเมื่อใด?
    หลังการประชุมคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติในวันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2568 และจะเข้ารับตำแหน่งอย่างเป็นทางการในวันที่ 2 เมษายน 2568

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : คณะกรรมการสรรหาเลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.)

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

งาน ‘Gord-Aun Craft Market’ ส่งเสริมการท่องเที่ยวและเศรษฐกิจเชียงราย

งาน “Gord-Aun Craft Market กาดกอดอุ่น” ขับเคลื่อนเศรษฐกิจท่องเที่ยวเชียงราย

เชียงราย, 1 กุมภาพันธ์ 2568 – นายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เป็นประธานพิธีเปิดงาน “Gord-Aun Craft Market กาดกอดอุ่น” ณ สวนเชียงรายดอกไม้งาม ปี่ที่ 21 สวนสาธารณหาดนครเชียงราย อำเภอเมืองเชียงราย งานนี้จัดขึ้นโดยสมาคมสหพันธ์ท่องเที่ยวภาคเหนือจังหวัดเชียงราย ร่วมกับจังหวัดเชียงราย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมถึงเครือข่ายผู้ประกอบการท่องเที่ยวที่มาร่วมจัดแสดงสินค้าของฝากและของที่ระลึกให้นักท่องเที่ยวได้เลือกซื้อ

งานดังกล่าวได้รับการสนับสนุนจากกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ (THAI MEDIA FUND) เพื่อขับเคลื่อนและสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับเศรษฐกิจการท่องเที่ยวของจังหวัดเชียงราย ผ่านการประชาสัมพันธ์และส่งเสริมการท่องเที่ยว โดยการนำเสนอสินค้าและผลิตภัณฑ์จากจังหวัดเชียงราย พร้อมทั้งสร้างกระแสการเดินทางท่องเที่ยวเข้ามายังพื้นที่

สร้างกระแสการท่องเที่ยวและกระตุ้นเศรษฐกิจท้องถิ่น

งาน “Gord-Aun Craft Market กาดกอดอุ่น” ตั้งเป้าหมายในการกระตุ้นเศรษฐกิจท้องถิ่นและเพิ่มรายได้จากการท่องเที่ยวให้กับชุมชน ผ่านกิจกรรมหลากหลาย เช่น การจำหน่ายสินค้าผลิตภัณฑ์จากผู้ประกอบการท้องถิ่น การแสดงวัฒนธรรมและประยุกต์ การแสดงดนตรี นิทรรศการศิลปะ การทำ Workshop ในรูปแบบต่างๆ และกิจกรรมการประกวดที่เปิดโอกาสให้ประชาชนได้มีส่วนร่วม

งานนี้จะมีการจัดทั้งหมด 3 ครั้งในเดือนกุมภาพันธ์ 2568 โดยครั้งแรกจะจัดขึ้นในวันที่ 1-2 กุมภาพันธ์ 2568 ครั้งที่ 2 จะจัดในวันที่ 8-9 กุมภาพันธ์ และครั้งสุดท้ายในวันที่ 15-16 กุมภาพันธ์ 2568 ซึ่งจะเป็นโอกาสให้ทั้งนักท่องเที่ยวและชาวเชียงรายได้เข้าร่วมกิจกรรมต่างๆ และสัมผัสกับประสบการณ์ใหม่ๆ

กิจกรรมและกิจกรรมพิเศษในงาน

ภายในงาน “Gord-Aun Craft Market กาดกอดอุ่น” มีการจัดกิจกรรมมากมายที่หลากหลายเพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวและประชาชนที่เข้ามาร่วมงาน เช่น:

  • การจำหน่ายสินค้า: สินค้าและผลิตภัณฑ์ของผู้ประกอบการในจังหวัดเชียงราย ทั้งของที่ระลึกและสินค้าฝีมือท้องถิ่น
  • การแสดงวัฒนธรรมและดนตรี: การแสดงวัฒนธรรมท้องถิ่น และการแสดงดนตรีที่ผสมผสานระหว่างดนตรีพื้นบ้านและดนตรีสมัยใหม่
  • การทำ Workshop: กิจกรรมการวาดภาพสีน้ำและการทำงานศิลปะอื่นๆ ที่สามารถสร้างสรรค์ผลงานได้ด้วยตนเอง เช่น วาดภาพลงบนการ์ดกอดอุ่น, เพ้นท์ตุ๊กตาปูนพลาเตอร์น้องกอดอุ่น, การประดิษฐ์พวงกุญแจและกระเป๋าผ้า
  • การประกวด: มีการจัดประกวดการแสดง Cover Dance, Singing, และการประกวดวาดภาพในหัวข้อ “กอดอุ่น เดอะ ซิตี้ สโปคส์แมน”

การสนับสนุนและความร่วมมือ

งานนี้ได้รับความร่วมมือจากหลายฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็นภาครัฐ ภาคเอกชน และองค์กรต่างๆ ที่มีบทบาทในการพัฒนาการท่องเที่ยวและเศรษฐกิจท้องถิ่นของจังหวัดเชียงราย โดยเฉพาะการสนับสนุนจากกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ (THAI MEDIA FUND) ที่มีบทบาทสำคัญในการช่วยผลักดันโครงการที่สร้างมูลค่าเพิ่มให้กับเศรษฐกิจท้องถิ่นและส่งเสริมการท่องเที่ยวภายในจังหวัด

การเปิดโอกาสให้กับชุมชนท้องถิ่น

นอกจากการสนับสนุนจากองค์กรต่างๆ แล้ว งาน “Gord-Aun Craft Market กาดกอดอุ่น” ยังถือเป็นการเปิดโอกาสให้ชุมชนท้องถิ่นได้แสดงออกและมีส่วนร่วมในการส่งเสริมการท่องเที่ยว ผ่านกิจกรรมที่เป็นเอกลักษณ์ของจังหวัดเชียงราย โดยสามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวทั้งในประเทศและต่างประเทศให้เข้ามาเที่ยวชม และสัมผัสกับวัฒนธรรมและสินค้าพื้นเมืองที่มีความเฉพาะตัว

บทสรุป

งาน “Gord-Aun Craft Market กาดกอดอุ่น” ไม่เพียงแต่เป็นงานที่ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจท้องถิ่นและส่งเสริมการท่องเที่ยวในจังหวัดเชียงราย แต่ยังเป็นเวทีในการแสดงออกถึงความคิดสร้างสรรค์และเอกลักษณ์ของชุมชน โดยการส่งเสริมการจำหน่ายสินค้าท้องถิ่น การแสดงศิลปวัฒนธรรม และการจัดกิจกรรมที่เน้นความสนุกสนานและมีส่วนร่วมจากทุกภาคส่วน ทั้งนี้ งานจะจัดขึ้นเป็นประจำทุกปีเพื่อเป็นการกระจายรายได้สู่ชุมชนและสร้างความเติบโตให้กับเศรษฐกิจท่องเที่ยวจังหวัดเชียงรายต่อไป.

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
ECONOMY

เศรษฐกิจไทยชะลอตัวจากการลดลงในภาคการส่งออกและอุตสาหกรรม

ภาวะเศรษฐกิจไทยในเดือนธันวาคม 2567 และการคาดการณ์เศรษฐกิจในปี 2568

เมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2568 นางสาวชญาวดี ชัยอนันต์ ผู้ช่วยผู้ว่าการสายองค์กรสัมพันธ์และโฆษกของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยถึงภาวะเศรษฐกิจและการเงินในเดือนธันวาคม 2567 และไตรมาสที่ 4 ปี 2567 โดยระบุว่า เศรษฐกิจไทยในเดือนธันวาคม 2567 ชะลอตัวลงเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า ซึ่งเกิดจากการส่งออกสินค้าที่ลดลงและการผลิตภาคอุตสาหกรรมที่ลดลงตามลำดับ ทำให้กิจกรรมในภาคบริการที่เกี่ยวข้อง เช่น การขนส่งสินค้า และภาคการลงทุนของภาคเอกชนทรงตัว

การท่องเที่ยวเพิ่มขึ้น

แม้ว่าการส่งออกสินค้าจะลดลง แต่การท่องเที่ยวในประเทศไทยยังคงเป็นภาคส่วนที่ขยายตัวอย่างต่อเนื่อง โดยจำนวนนักท่องเที่ยวต่างประเทศในเดือนธันวาคมเพิ่มขึ้นจาก 3.2 ล้านคนในเดือนพฤศจิกายน มาเป็น 3.6 ล้านคนในเดือนธันวาคม ซึ่งมีสัดส่วนนักท่องเที่ยวจากระยะไกล เช่น รัสเซียและออสเตรเลียเพิ่มขึ้น ขณะที่นักท่องเที่ยวจากระยะใกล้ เช่น จีนและมาเลเซียลดลง สะท้อนถึงการฟื้นตัวในตลาดท่องเที่ยวระยะไกล ในปี 2567 จำนวนนักท่องเที่ยวที่เดินทางมายังประเทศไทยโดยรวมอยู่ที่ 35.5 ล้านคน ซึ่งช่วยกระตุ้นรายรับในภาคการท่องเที่ยว

การส่งออกสินค้าลดลง

ในส่วนของการส่งออกสินค้า พบว่ามีการลดลงจาก 9.1% ในเดือนก่อนหน้า มาอยู่ที่ 8.4% โดยลดลงในหลายหมวดสินค้า เช่น หมวดรถยนต์ หมวดปิโตรเลียม และหมวดสินค้าเกษตร โดยเฉพาะการส่งออกไปยังอาเซียนและบังคลาเทศ ในขณะที่การผลิตภาคอุตสาหกรรมยังคงลดลงตามการผลิตสินค้าหมวดอื่น ๆ เช่น เครื่องจักรและเหล็ก รวมถึงปิโตรเลียม ซึ่งสอดคล้องกับอุปสงค์ในและต่างประเทศที่ลดลง

อัตราเงินเฟ้อและเศรษฐกิจในไตรมาสที่ 4

สำหรับอัตราเงินเฟ้อทั่วไปในเดือนธันวาคม 2567 เพิ่มขึ้นจาก 0.95% เป็น 1.23% จากผลกระทบของราคาพลังงานที่เพิ่มขึ้นตามฐานต่ำในปีที่ผ่านมา ขณะที่อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานคงที่ที่ 0.79% จากผลของราคาสินค้าอาหารสำเร็จรูปและเครื่องประกอบอาหารที่ปรับเพิ่มขึ้นในเดือนธันวาคม

การเติบโตของเศรษฐกิจในไตรมาสที่ 4

โดยรวมแล้วเศรษฐกิจไทยในไตรมาสที่ 4 ปี 2567 ปรับตัวดีขึ้นจากไตรมาสก่อนหน้า เนื่องจากแรงขับเคลื่อนจากภาคบริการและรายรับภาคการท่องเที่ยว รวมถึงการขยายตัวของรายจ่ายลงทุนภาครัฐ ขณะที่การส่งออกสินค้าไม่รวมทองคำยังคงทรงตัวจากไตรมาสก่อน โดยการส่งออกสินค้าในกลุ่มเทคโนโลยียังคงแข็งแกร่ง ส่วนการบริโภคภาคเอกชนทรงตัวจากไตรมาสก่อน ซึ่งได้รับผลดีจากมาตรการเงินโอนจากภาครัฐ

เศรษฐกิจไทยในอนาคตและแนวโน้มในระยะยาว

ธปท. คาดว่าเศรษฐกิจไทยในไตรมาสที่ 4 ปี 2567 จะเติบโตใกล้เคียงกับ 4% แม้ว่าจะมีการชะลอตัวในภาคการผลิต แต่ยังมีการเติบโตในภาคบริการและการท่องเที่ยวที่ช่วยชดเชยการลดลงในภาคอื่น ๆ สำหรับแนวโน้มในอนาคต ธปท. กล่าวว่าต้องติดตามผลกระทบจากความไม่แน่นอนในนโยบายเศรษฐกิจของประเทศเศรษฐกิจหลัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากการเข้ารับตำแหน่งของประธานาธิบดีสหรัฐ โดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อการค้าและการลงทุนในระดับโลก

การคัดเลือกประธานบอร์ดแบงก์ชาติ

ในส่วนของการคัดเลือกประธานกรรมการธนาคารแห่งประเทศไทย หรือประธานบอร์ดแบงก์ชาติ โฆษกของธปท. กล่าวว่า ขณะนี้คณะกรรมการคัดเลือกได้ดำเนินการไปแล้ว และในวันที่ 5 กุมภาพันธ์นี้ กระทรวงการคลังจะเสนอรายชื่อหนึ่งคน และธปท. จะเสนอรายชื่อสองคนเพื่อให้คณะกรรมการสรรหาตรวจสอบคุณสมบัติ โดยคาดว่าจะได้รายชื่อผู้ที่ดำรงตำแหน่งประธานบอร์ดแบงก์ชาติใหม่ภายในเดือนมิถุนายน หรือไม่เกินกันยายน

สรุป

ภาวะเศรษฐกิจไทยในไตรมาสที่ 4 ปี 2567 ยังคงมีการเติบโตจากแรงขับเคลื่อนของภาคบริการและการท่องเที่ยว แม้ว่าการส่งออกสินค้าจะลดลงก็ตาม โดยยังต้องเผชิญกับปัจจัยเสี่ยงจากการชะลอตัวในภาคการผลิตและปัญหาภาวะเศรษฐกิจโลกที่ไม่แน่นอน ส่วนการคัดเลือกประธานบอร์ดธนาคารแห่งประเทศไทยก็จะเป็นอีกหนึ่งเหตุการณ์สำคัญที่ต้องติดตามในอนาคต.

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News