Categories
ECONOMY

มนุษย์เงินเดือนไทย “เดอะแบกตัวจริง” 82% มีหนี้ วัยเกษียณยังต้องทำงานไร้ภูมิคุ้มกัน

มนุษย์เงินเดือนไทย “เดอะแบกตัวจริง” วิกฤตการเงินลึกทุกระดับรายได้—82% มีหนี้ วัยเกษียณยังต้องทำงาน–ไร้ภูมิคุ้มกันทางการเงิน

ประเทศไทย, 23 ตุลาคม 2568 — สัญญาณเตือนจากเงินเดือนรอบล่าสุด ข่าวสารทางเศรษฐกิจช่วงปลายปีอาจดูไกลตัวสำหรับหลายคน แต่รายงานเชิงลึก “เปิด Insight มนุษย์เงินเดือน เดอะแบกตัวจริง การเงินยุคนี้” ของทีเอ็มบีธนชาต (ทีทีบี) กลับสะท้อนภาพอีกมุมที่กระทบชีวิตประจำวันอย่างจัง นั่นคือ “ฐานะการเงินของมนุษย์เงินเดือน” ที่เปราะบางกว่าที่คิด และไม่ได้จำกัดอยู่เฉพาะผู้มีรายได้น้อย เมื่อข้อมูลชี้ชัดว่าแม้มีรายได้เกินหนึ่งแสนบาทต่อเดือน หลายคนก็ยังใช้ชีวิตแบบ “เดือนชนเดือน” ขณะเดียวกัน ผู้สูงอายุจำนวนมากยังจำเป็นต้องทำงานต่อ ทั้งที่ก้าวเข้าสู่วัยเกษียณแล้ว

รายงานดังกล่าวอาศัยฐานข้อมูลจากโปรแกรมตรวจสุขภาพการเงิน ttb financial health check ซึ่งเก็บข้อมูลเชิงพฤติกรรมของมนุษย์เงินเดือนกว่า 96,000 คน ระหว่างสิงหาคม 2566 – กุมภาพันธ์ 2568 เสริมด้วยฐานข้อมูลเครดิตและการวิเคราะห์เชิงระบบของหน่วยงานรัฐและเอกชน ภาพรวมทั้งหมดนำไปสู่คำถามใหญ่ที่สังคมไทยต้องตอบร่วมกันว่า “เราจะสร้างภูมิคุ้มกันทางการเงินให้แรงงานกินเงินเดือน ซึ่งเป็นฟันเฟืองหลักของเศรษฐกิจ ได้อย่างไร”

ภาพรวมเชิงตัวเลข รายได้สูงไม่เท่ากับมั่นคง

สาระสำคัญของรายงานชี้ว่า “รายได้สูงไม่ได้แปลว่าปลอดภัยทางการเงิน” อีกต่อไป

  • 32% ของผู้ที่มีรายได้มากกว่า 100,000 บาท/เดือน ยังใช้ชีวิตแบบ “เดือนชนเดือน”
  • 16% ของกลุ่มรายได้สูงดังกล่าว มี “รายจ่ายมากกว่ารายได้” อย่างต่อเนื่อง
  • โดยรวมแล้ว 8 ใน 10 คน (82%) ของมนุษย์เงินเดือนมีหนี้สินในระบบ
  • โครงสร้างหนี้เอนเอียงไปทางหนี้บัตรเครดิตและสินเชื่อส่วนบุคคล 53% รองลงมาคือหนี้รถยนต์ 17% และหนี้บ้าน 15%
  • เกือบ “ครึ่งหนึ่ง” หรือ 49% มีพฤติกรรมชำระขั้นต่ำหรือเคยผิดนัด ส่งผลให้ต้นทุนดอกเบี้ยสะสมสูงขึ้นและเสี่ยงติดอยู่ใน “วงจรหนี้ไม่สิ้นสุด”

ตัวเลขเหล่านี้ชี้ชัดว่าโครงสร้างรายได้–รายจ่ายของคนทำงานไทยกำลังเปราะบางจากหลายปัจจัย ทั้งค่าครองชีพที่เร่งขึ้นเร็วกว่าค่าแรงจริง หนี้บริโภคที่สะสมยาวนาน และการขาด “ระบบกันสะเทือน” อย่างเงินออมฉุกเฉินและความคุ้มครองความเสี่ยงด้านสุขภาพ

คำอธิบายจากผู้เชี่ยวชาญฟันเฟืองเศรษฐกิจที่กำลัง “แบกหนัก”

นายนริศ สถาผลเดชา ประธานกลุ่มงาน Data และ Analytics ทีเอ็มบีธนชาต อธิบายว่า ประเทศไทยมีมนุษย์เงินเดือนราว 12.5 ล้านคน เป็นสัดส่วนประมาณ 30% ของแรงงานทั้งหมด แต่สร้างรายได้ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดามากถึง 90% หรือกว่า 270,000 ล้านบาท/ปี ฟันเฟืองกลุ่มนี้จึงเป็น “เดอะแบกตัวจริง” ของระบบเศรษฐกิจ ทว่าในความเป็นจริง พวกเขาต้องเผชิญแรงกดดันรอบด้าน ทั้งหนี้สิน การขาดเงินออม และความคุ้มครองไม่เพียงพอ หากไม่เร่งสร้างภูมิคุ้มกัน ระยะกลางถึงยาวอาจกระทบการบริโภคครัวเรือนและความเชื่อมั่นโดยรวม

โจทย์หนี้ “จ่ายขั้นต่ำ” คือทางลัดสู่ต้นทุนดอกเบี้ยพุ่ง

หนึ่งในสัญญาณอันตรายที่รายงานเน้นย้ำคือพฤติกรรมชำระหนี้ “ขั้นต่ำ” จนเป็นกิจวัตร เฉพาะกลุ่มหนี้บัตรเครดิตและสินเชื่อส่วนบุคคล ซึ่งคิดเป็น มากกว่าครึ่ง ของโครงสร้างหนี้มนุษย์เงินเดือน หากชำระขั้นต่ำเพียงระยะสั้น ต้นทุนดอกเบี้ยสะสมอาจพุ่งชัน ทับซ้อนกับรายจ่ายประจำ และหากมีเหตุฉุกเฉินด้านสุขภาพหรือการตกงานแบบไม่คาดคิด ย่อมเสี่ยงทำให้ “เครดิตเสีย” ได้ง่าย

ข้อมูลจาก บริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ (NCB) และการวิเคราะห์ของ ttb analytics ณ มิถุนายน 2567 ยังสะท้อนภาพใหญ่ของประเทศว่า คนไทย “เกือบ 40%” มีหนี้ในระบบ และ “หนี้เฉลี่ยต่อหัว” สูงกว่า 500,000 บาท เมื่อพิจารณาร่วมกับตัวเลข 49% ที่ชำระขั้นต่ำ/ผิดนัดของกลุ่มมนุษย์เงินเดือน สัญญาณนี้จึงไม่ใช่เพียงปัญหาเฉพาะราย แต่เป็น “ความเสี่ยงเชิงระบบ” ที่ควรเร่งจัดการ

เงินออม–ภูมิคุ้มกันช่องโหว่ที่เติมเต็มไม่ทัน

แม้คำว่า “วินัยการเงิน” จะถูกพูดถึงตลอด แต่ข้อมูลสะท้อนว่า “ช่องโหว่ภาคครัวเรือน” ยังมีอยู่มาก

  • 77% ของมนุษย์เงินเดือนมีเงินออม ต่ำกว่า 10% ของรายได้ต่อเดือน
  • 70% ไม่ได้กันเงินฉุกเฉินถึง 6 เดือน ตามเกณฑ์มาตรฐาน
  • 80% ไม่มีความคุ้มครองเพียงพอ หากเจ็บป่วยร้ายแรงหรือเกิดอุบัติเหตุใหญ่

ความเสี่ยงสามชั้นนี้ทำให้หลายครัวเรือน “ล้มทั้งยืน” เมื่อเจอเหตุไม่คาดฝัน ขณะเดียวกันยังลดทอนความสามารถในการวางแผนระยะยาวทั้งด้านการศึกษา–ที่อยู่อาศัย–และการเกษียณ

มุมผู้สูงอายุเมื่อ “วัยเกษียณ” ไม่ใช่บทสรุปการทำงาน

สังคมไทยกำลังก้าวสู่ “สังคมสูงวัยสมบูรณ์” อย่างเต็มรูปแบบ แต่ภูมิคุ้มกันทางการเงินของผู้สูงอายุจำนวนมากกลับไม่พร้อม ข้อมูลอ้างอิงที่ถูกหยิบยกในงานบรรยายระบุว่า

  • เกือบ 4 ใน 10 ของผู้สูงอายุยังต้อง “ทำงานต่อ” เพื่อมีรายได้
  • 42.7% ของผู้สูงอายุในกลุ่มตัวอย่าง ยังมีหนี้ เฉลี่ยกว่า 130,000 บาท/คน
  • เกือบ ครึ่งหนึ่ง (44%) “ไม่มีเงินออมเลย”
  • ค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพของครัวเรือนที่มีผู้สูงอายุ สูงกว่าครัวเรือนทั่วไป 48% ซึ่งเป็น “ค่าใช้จ่ายก้อนใหญ่” ในช่วงที่รายได้ประจำลดลง

ปัญหานี้เชื่อมโยงกับโครงสร้างแรงงานและคุณภาพการจ้างงานในอดีต รวมถึงระบบสวัสดิการเกษียณที่ยังพึ่งพาตนเองสูง หากไม่เร่งปิดช่องว่างตั้งแต่ช่วงวัยทำงาน ภาพ “ทำงานจนแก่–ใช้หนี้จนเกษียณ–ไร้เงินออม” จะยังวนซ้ำ

เสียงจากธุรกิจธนาคารโซลูชันต้อง “ครบวงจรและใช้งานจริง”

นางณัฐวรรณ อภิรัตนพิมลชัย ประธานกลุ่มกลยุทธ์ลูกค้าบุคคล ทีทีบี ระบุว่า สถาบันการเงินมีบทบาทสำคัญในการช่วย “ผ่อนแรง” ให้คนทำงานผ่านผลิตภัณฑ์และบริการที่แก้โจทย์จริง เช่น

  • ทางเลือก รีไฟแนนซ์/รวมหนี้ ด้วยอัตราดอกเบี้ยที่เป็นธรรม ช่วยลดภาระจ่ายขั้นต่ำ
  • โซลูชัน ออมอัตโนมัติ ที่ผูกกับวันเงินเดือนออก เพื่อสร้างวินัยโดยไม่เพิ่มภาระความคิด
  • ความคุ้มครอง สุขภาพ–อุบัติเหตุ–โรคร้ายแรง ในระดับเบี้ยที่เอื้อมถึง
  • วางแผนภาษี ปลายปีควบคู่การออมระยะยาว เพื่อให้ “เงินทำงาน” อย่างคุ้มค่า

เป้าหมายไม่ใช่เพียงขายผลิตภัณฑ์ แต่คือ “สร้างชีวิตทางการเงินที่ดีขึ้นอย่างยั่งยืน” ซึ่งต้องอาศัยความร่วมมือของทั้งธนาคาร นายจ้าง ภาครัฐ และตัวบุคคล

หนึ่งวันของคนเงินเดือนที่ “ทำทุกอย่างถูกต้อง” แล้วทำไมยังไม่พอ

หลายคนตั้งคำถามว่า “เราวางแผนแล้ว ทำไมยังตึงมือ” คำตอบส่วนหนึ่งอยู่ที่ “แรงเสียดทาน” เล็กๆ ที่สะสมในระบบการใช้จ่าย เช่น ค่าเดินทางที่ปรับขึ้นตามพลังงาน ค่าอาหารกลางวันที่เพิ่มทีละน้อย ค่าเช่าบ้านที่ขยับทุกปี รวมถึงค่าเลี้ยงดูผู้สูงอายุในครัวเรือนที่สูงขึ้นตามวัย เมื่อรายได้โตช้ากว่าค่าครองชีพเพียงเล็กน้อยทุกเดือน ผลรวมปลายปีจึง “ติดลบเล็กๆ” ต่อเนื่อง และนั่นคือเชื้อเพลิงให้หนี้บริโภคพอกตัว

สิ่งที่รายงานของทีทีบีสะท้อนจึงไม่ใช่เพียง “จิตวิทยาการเงินส่วนบุคคล” แต่เป็นปัญหาโครงสร้างที่ต้องแก้ร่วมกัน ตั้งแต่การเข้าถึงความรู้ทางการเงินที่ใช้งานได้จริง ไปจนถึงสวัสดิการนายจ้างที่ควบคู่กับสุขภาพกาย–ใจ และนโยบายรัฐที่เอื้อต่อค่าครองชีพที่สมเหตุสมผล

ประเด็นรองที่หลายคนมองข้ามการคุ้มครองก่อน “เรื่องใหญ่” มาเยือน

เมื่อ 80% ของมนุษย์เงินเดือนไม่มีความคุ้มครองเพียงพอ คำถามคือ “เราจะรับความเสี่ยงใหญ่ด้วยเงินสดได้จริงหรือ” คำตอบแทบทุกครัวเรือนคือ “ไม่” เบี้ยประกันพื้นฐานที่เหมาะสมกับช่วงวัย หรือสวัสดิการกลุ่มผ่านนายจ้าง อาจเป็นคำตอบที่คุ้มกว่าการใช้เงินออมก้อนเล็กไปแลกกับค่ารักษาพยาบาลหลักแสน–หลักล้าน ซึ่งกระทบฐานะทั้งครอบครัวในพริบตา

เชื่อมโยงนโยบายสาธารณะแรงงาน–สวัสดิการ–ผลิตภาพ

ในภาพกว้าง มนุษย์เงินเดือนคือกลุ่มที่เชื่อมภาษี การบริโภค และนวัตกรรมเข้าด้วยกัน หากฐานะการเงินส่วนบุคคลเปราะบาง ผลสะท้อนจะกระทบ “ผลิตภาพแรงงาน” และความสามารถในการออม–ลงทุนระดับประเทศ นักเศรษฐศาสตร์จึงเสนอให้เร่งพัฒนา 3 มิติร่วมกัน

  1. ความรู้ทางการเงินแบบลงมือทำปลูกฝังตั้งแต่มัธยม–อุดมศึกษา ไปจนถึงหลักสูตรภายในองค์กร
  2. ช่องทางปรับโครงสร้างหนี้ที่เข้าถึงง่ายลดอคติ–ลดต้นทุนธุรกรรม และสร้างแรงจูงใจให้คน “เริ่มต้นใหม่” ก่อนเครดิตพัง
  3. สวัสดิการเสริมจากนายจ้างออมอัตโนมัติ–กองทุนสำรองเลี้ยงชีพแบบสมทบ–ความคุ้มครองสุขภาพในระดับเหมาะสม

ทั้งสามมิตินี้จะช่วยให้เงินออมและภูมิคุ้มกันเติบโต “ก่อน” วิกฤตรอบใหม่

เช็กลิสต์ปฏิบัติได้ทันทีสำหรับมนุษย์เงินเดือน

เพื่อเปลี่ยนข้อมูลเป็นการกระทำ นี่คือเช็กลิสต์สั้นๆ ที่ยึดตามหลักการที่รายงานแนะนำ

  • ลิสต์หนี้ทั้งหมด พร้อมอัตราดอกเบี้ย และเรียงจาก “แพงสุด–ถูกสุด”
  • หยุดชำระขั้นต่ำ โดยย้ายหนี้ไปสู่สินเชื่อดอกเบี้ยต่ำกว่าผ่านรีไฟแนนซ์/รวมหนี้
  • ตั้งออมอัตโนมัติ 10–15% ของรายได้ ตั้งแต่วันเงินเดือนออก
  • สะสมเงินฉุกเฉิน ให้ถึง 3–6 เดือน เริ่มจาก 1 เดือนภายใน 60–90 วัน
  • เติมความคุ้มครอง สุขภาพ/อุบัติเหตุ/โรคร้ายแรงในระดับเบี้ยที่เหมาะสมกับวัย
  • วางแผนภาษีปลายปี ให้ “เงินออม = เงินภาษีที่จ่ายน้อยลง” อย่างมีเหตุผล

จาก “ข้อมูล” สู่ “ความหวังที่ลงมือทำได้”

รายงานของทีทีบีไม่ได้ตั้งใจชี้ให้เห็นเพียง “ปัญหา” แต่พยายามวางกรอบคิดใหม่ว่า การมีวินัยการเงินไม่ใช่แค่เรื่องส่วนบุคคล หากเป็น “โครงสร้างสนับสนุน” ที่ต้องทำให้คนส่วนใหญ่ทำได้จริงด้วยต้นทุนทางเวลาที่ต่ำ ข้อมูลที่ชัดเจน และเครื่องมือที่เข้าใจง่าย หากธนาคาร–นายจ้าง–รัฐ และตัวเราเอง เดินไปในทิศทางเดียวกัน ฐานะการเงินของมนุษย์เงินเดือนจะค่อยๆ แข็งแรงขึ้น และเมื่อฐานะของ “เดอะแบกตัวจริง” ดีขึ้น ฐานเศรษฐกิจไทยก็จะมั่นคงขึ้นตามลำดับ

สุดท้ายนี้ ตัวเลข 82% ที่ “มีหนี้” หรือ 77% ที่ “ออมไม่ถึง 10% ของรายได้” ไม่ได้เป็นตราบาปของใคร แต่มันคือไฟเตือนบนหน้าปัดที่บอกว่า “ถึงเวลาเข้าอู่ซ่อม” และเริ่มสร้างระบบกันสะเทือนให้ชีวิตทางการเงิน ตั้งแต่ตัดดอกเบี้ยแพง ลดการจ่ายขั้นต่ำ ไปจนถึงออมและทำประกันที่พอดี นี่คือเส้นทางที่ไม่ง่าย แต่เริ่มได้ทันทีตั้งแต่ “เงินเดือนรอบหน้า”

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • ทีเอ็มบีธนชาต (ttb)
  • บริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ (NCB)
  •  ttb analytics
  • Money Buffalo
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
ECONOMY

ททท. ชู 3 ยุทธศาสตร์เร่งด่วน ดึงนักท่องเที่ยว 7 ชาติ พร้อมปัดฝุ่น “เที่ยวไทยคนละครึ่ง”

ททท.ชู 3 ยุทธศาสตร์เร่งด่วน ดึงนักท่องเที่ยว 7 ชาติ–ปัดฝุ่น “เที่ยวไทยคนละครึ่ง” ย้ำกรอบความปลอดภัย–กระจายรายได้สู่เมืองรอง รับดีมานด์จีนฟื้นช่วง Golden Week

กรุงเทพฯ, 10 ตุลาคม 2568 — ในจังหวะที่เศรษฐกิจโลกยังแกว่งตัวและกำลังซื้อครัวเรือนบางกลุ่มในประเทศยังไม่ฟื้นเต็มที่ ภาครัฐเลือก “เกียร์สูง” กับเครื่องยนต์การท่องเที่ยว โดย นางสาวฐาปนีย์ เกียรติไพบูลย์ ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เปิดเผย นโยบายเร่งด่วน 4 เดือน ที่ได้รับมอบหมายจากรัฐบาล ภายใต้ 3 ยุทธศาสตร์หลัก  (1) ดึงนักท่องเที่ยวต่างชาติจาก 7 ตลาดศักยภาพ, (2) กระตุ้นการเดินทางท่องเที่ยวในประเทศ ด้วยแนวคิด ต่อยอด “เที่ยวไทยคนละครึ่ง/ทัวร์ไทยคนละครึ่ง”, และ (3) ยกระดับคุณภาพ–ความปลอดภัย–การกระจายรายได้ไปสู่ เมืองรอง เพื่อให้เม็ดเงินท่องเที่ยวหมุนเวียนอย่างทั่วถึง

ภาพใหญ่ของการขับเคลื่อนเริ่มชัดเจนขึ้น เมื่อฝ่ายนโยบายกำหนดเป้า 7 ตลาดหลักที่ “จับจ่ายสูง” ได้แก่ จีน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ อินเดีย ซาอุดีอาระเบีย สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (UAE) และ กลุ่มตะวันออกกลาง อาทิ กาตาร์ คูเวต โอมาน พร้อมเดินหมากการทูตเศรษฐกิจเชิงรุก—ร้อยเอก ธรรมนัส พรหมเผ่า รองนายกรัฐมนตรี และ นายอรรถกร ศิริลัทธยากร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา มีหมายกำหนดการ เดินทางเยือนจีนอย่างเป็นทางการในเร็ว ๆ นี้ เพื่อตอกย้ำความร่วมมือและดึงดีมานด์นักท่องเที่ยวกลับไทย

ขณะที่ฝั่งสัญญาณหน้างาน ตลาดจีน โชว์แรงส่งช่วง Golden Week (1–8 ต.ค. 2568) โดย นางสาวภัทรอนงค์ ณ เชียงใหม่ รองผู้ว่าการด้านตลาดเอเชียและแปซิฟิกใต้ ททท. เปิดเผยว่า เป้า 2 แสนคน ในช่วงดังกล่าว “ตัวเลขปรับตัวดีขึ้นจากเป้าหมายที่วางไว้” และคาดว่าจะเห็นภาพชัดขึ้นภายในไม่กี่วัน สะท้อนการฟื้นตัวที่ต่อเนื่องของดีมานด์เดินทางจากจีน—ฐานรายได้สำคัญของอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทย

“เรามั่นใจในการทำงานร่วมกับทุกหน่วยงานเพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักท่องเที่ยว และขอให้คนไทยทุกคนช่วยกันเป็นเจ้าบ้านที่ดี ต้อนรับและดูแลนักท่องเที่ยวอย่างอบอุ่น” — นางสาวฐาปนีย์ เกียรติไพบูลย์ ผู้ว่าการ ททท.

ยุทธศาสตร์ที่ 1 เจาะ 7 ตลาดศักยภาพ–เร่งทวงแชร์

จีน–ญี่ปุ่น–เกาหลีใต้–อินเดีย คือ ตลาดแกน” ที่มีฐานเที่ยวบินและโครงสร้างความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจ–สังคมยาวนาน ขณะที่ ซาอุดีอาระเบีย–UAE–ตะวันออกกลาง ถูกจัดวางเป็น ตลาดกำลังซื้อสูงที่มีช่องว่างใหม่” ทั้งในมิติการบินเชื่อมต่อ การตลาดเฉพาะกลุ่ม (ครอบครัว รายได้สูง กลุ่มสุขภาพ/Medical Wellness และ Halal-friendly) และฤดูกาลท่องเที่ยวที่ สวนทาง” กับไทยบางช่วง ทำให้สามารถบริหาร Load Factor ฝั่งสายการบินและ Seasonality ฝั่งผู้ประกอบการได้ดีขึ้น

หมากสำคัญคือ การเยือนจีนอย่างเป็นทางการ ของรองนายกฯ และ รมว.การท่องเที่ยวฯ เพื่อเจรจาความร่วมมือระดับรัฐ–เอกชน ทั้งด้าน โควตาเที่ยวบิน, แคมเปญร่วมการตลาด (co-promotion) กับแพลตฟอร์ม/เอเจนซีรายใหญ่, และ ความปลอดภัยปลายทาง ที่เป็นเงื่อนไขสำคัญต่อความเชื่อมั่นของนักท่องเที่ยวจีนในระยะสั้น–กลาง

Golden Week ทำหน้าที่เสมือน สัญญาณนำ (leading indicator)” ของไตรมาสสุดท้าย เมื่อ ททท. ประเมินไว้ที่ 2 แสนคน และตัวเลขจริง เกินกว่าเป้า ย่อมสะท้อน Elasticity ของดีมานด์ ที่ยังตอบสนองต่อโปรโมชั่น–ความสะดวกด้านวีซ่า–ความมั่นใจด้านความปลอดภัย หากสามารถต่อยอดสู่ ตารางบินฤดูหนาว และ เทศกาลปลายปี ได้อย่างต่อเนื่อง ก็มีโอกาสดัน ค่าใช้จ่ายเฉลี่ยต่อทริป ให้ขยับขึ้นตาม

ยุทธศาสตร์ที่ 2 ปัดฝุ่น “เที่ยวไทยคนละครึ่ง” ในเงื่อนไขกำลังซื้ออ่อน

ฝั่งอุปสงค์ในประเทศ รัฐบาลกำลังกลับมาใช้ “กลไกความร่วมจ่าย (co-pay)” เพื่อขยับ กำลังซื้อที่ถูกกดทับ ให้เกิดการเดินทางจริง โดยแนวคิด เที่ยวไทยคนละครึ่ง/ทัวร์ไทยคนละครึ่ง” ถูกออกแบบให้ สอดรับโครงการ “คนละครึ่ง” (เปิด 29 ต.ค. นี้) พร้อมพิจารณา สิทธิประโยชน์ทางภาษี ร่วมกับกระทรวงการคลัง เช่น ลดหย่อนภาษีท่องเที่ยวหมู่คณะ หรือ สิทธิคืนภาษีปลายปี สำหรับการเดินทางท่องเที่ยวภายในประเทศ

ในเชิงกลไกเศรษฐกิจ แนวทางนี้สามารถเพิ่ม ตัวคูณ (multiplier) ของเม็ดเงินรัฐ หากออกแบบให้ “เงินรัฐ 1 บาท ดึง เงินเอกชนหลายบาท” ผ่านเพดานสิทธิ–ร่วมจ่าย–การกำหนดช่วงเวลา/ปลายทางที่ นอกพีก/เมืองรอง เพื่อแก้ปัญหา “แออัดในเมืองหลัก–โลว์โหลดเมืองรอง” ควบคู่กับการคัดกรองกิจกรรมที่มี Local Content สูง (โฮมสเตย์–ทัวร์ชุมชน–งานเทศกาลท้องถิ่น) เพื่อให้ รายได้กระจาย ไม่กระจุกในห่วงโซ่หลัก

คำถามเชิงนโยบายสำคัญคือ จะมีประสิทธิภาพเพียงพอไหม หากกำลังซื้อครัวเรือนยังอ่อน?” เงื่อนไขความสำเร็จจึงขึ้นกับ

  • การตั้งสัดส่วนร่วมจ่าย ที่จูงใจพอ (แต่ไม่บิดเบือนราคา)
  • การล็อกช่วงเวลา/พื้นที่ ให้สอดคล้องกับเป้าหมายกระจายรายได้
  • การเชื่อมมาตรการภาษี กับองค์กร/สหกรณ์/ชุมชน เพื่อดึง ดีมานด์กลุ่มใหญ่
  • การสื่อสารความปลอดภัย และ มาตรฐานบริการ เพื่อสร้าง ความคุ้มค่าเชิงประสบการณ์ (Value for Experience) มากกว่าราคาอย่างเดียว

ยุทธศาสตร์ที่ 3 คุณภาพ–ความปลอดภัย–เมืองรอง คือแกนถ่วงดุล

ททท. ระบุชัดว่า ความปลอดภัย เป็นวาระเร่งด่วน โดยบูรณาการกับ ตำรวจท่องเที่ยว, กองบัญชาการตำรวจนครบาล, และ หน่วยงานความมั่นคง เพื่อดูแลพื้นที่ท่องเที่ยว โดยเฉพาะช่วงเทศกาลที่มีคนหนาแน่น การจัดการ จุดเสี่ยง–จุดอ่อนไหว, ระบบ แจ้งเหตุ/สายด่วนหลายภาษา, และ การลาดตระเวนเชิงป้องกัน เป็นคีย์เวิร์ดของความเชื่อมั่นนักท่องเที่ยวต่างชาติ

ด้าน คุณภาพและการกระจายรายได้ ททท. จะทำงานกับภาคเอกชนและพันธมิตรในพื้นที่ จัดกิจกรรม/อีเวนต์ เมืองหลัก–เมืองรอง” โดยเน้นเมืองรองเป็นพิเศษ เพื่อขยายความหลากหลายสินค้า–ประสบการณ์ (จากแค่ทะเล–ภูเขา ไปสู่ อาหาร–เทศกาล–สุขภาพ–กีฬา–MICE ท้องถิ่น) ให้สอดรับพฤติกรรมนักท่องเที่ยวหลังโควิดที่นิยม ทริปสั้นถี่–คอนเทนต์เฉพาะกลุ่ม–คุณค่าเชิงวัฒนธรรม

คำให้สัมภาษณ์และสัญญาณจากหน้างาน

  • ผู้ว่าการ ททท. ย้ำ “ความร่วมมือข้ามหน่วยงาน” และ บทบาทเจ้าบ้านที่ดีของคนไทย เป็นแกนสร้างความเชื่อมั่น—องค์ประกอบสำคัญไม่แพ้ราคา/โปรโมชั่น
  • รองผู้ว่าการด้านตลาดเอเชียฯ ให้ข้อมูล Golden Week จีน ว่าตัวเลขเข้าประเทศ ปรับตัวดีขึ้นจากเป้า 2 แสนคน สะท้อนว่าตลาดจีน ฟื้นตัวดีต่อเนื่อง และเปิดโอกาสให้ไทย กลับไปทวงแชร์ ในไตรมาสสุดท้าย

ผลกระทบต่อผู้ประกอบการ–ชุมชน–แรงงานท่องเที่ยว

  1. ผู้ประกอบการโรงแรม–ทัวร์–ร้านอาหาร ควรเตรียม แพ็กเกจร่วมจ่าย ให้สอดรับ “เที่ยวไทยคนละครึ่ง” (เงื่อนไข–ระยะเวลา–ปลายทางเมืองรอง) และ แคมเปญจีน/เอเชีย ที่มักผูกการจองผ่านแพลตฟอร์ม ผู้ประกอบการที่ลงทุนใน บริการหลายภาษา–ชำระเงินหลากสกุล–รีวิวคุณภาพ จะได้เปรียบ
  2. ชุมชน–เมืองรอง โอกาสในการจัด เทศกาลท้องถิ่น/เส้นทางวัฒนธรรม/โฮมสเตย์มาตรฐาน เพื่อรับเม็ดเงินตรงสู่พื้นที่ ควรร่วมมือกับ ททท.–อปท.–เอกชน สร้าง ปฏิทินกิจกรรม ที่สอดรับฤดูกาลและเส้นทางบิน/รถไฟ/รถโดยสาร
  3. แรงงานท่องเที่ยว เมื่อดีมานด์เร่งตัว บทบาท มัคคุเทศก์/พนักงานต้อนรับ/คนขับรถ/ไกด์ท้องถิ่น จะเพิ่มสูง ควรเร่ง อัปสกิลภาษา–ดิจิทัล–มาตรฐานบริการ–ความปลอดภัย เพื่อรองรับทั้งตลาดจีน–เอเชียและตะวันออกกลางที่มีความต้องการเฉพาะทาง (อาหาร/วัฒนธรรม/ศาสนา)

จะ “เที่ยวไทยคนละครึ่ง” เอาอยู่ไหม? — เงื่อนไขความสำเร็จในสภาวะกำลังซื้ออ่อน

แม้มาตรการร่วมจ่ายช่วย ปลดล็อกการตัดสินใจ ได้ดีในกลุ่มที่มีศักยภาพใช้จ่ายอยู่แล้ว แต่ในกลุ่มที่ รายได้ตึงตัว/หนี้สูง การ “เพิ่มแรงจูงใจ” ต้องทำมากกว่าราคา เช่น

  • ผูกสิทธิภาษี สำหรับการเดินทางแบบ หมู่คณะ/องค์กร/สหกรณ์ เพื่อดึง ดีมานด์เป็นชุด
  • เล็งฤดูกาล–พื้นที่ ที่รัฐอยากกระจายรายได้ เช่น นอกพีก–เมืองรอง พร้อม คูปองกิจกรรมท้องถิ่น
  • คุมคุณภาพ/ความปลอดภัย ให้ “คุ้มค่าความรู้สึก” ถึงแม้กำลังซื้อจำกัด นักท่องเที่ยวจะยอมจ่ายหากมั่นใจว่าจะได้ ประสบการณ์คุ้มราคา
  • สื่อสารง่าย–จองสะดวก–โปร่งใส ลดต้นทุนเวลาและความสับสนของผู้ใช้สิทธิ

กล่าวอีกนัยหนึ่ง นโยบายร่วมจ่ายจะคุ้มค่า เมื่อทำหน้าที่เป็น “สะพาน” พาคนไทยจาก “อยากไป” สู่ “ตัดสินใจไปจริง” ในจุดที่ตลาดเอกชนเพียว ๆ ยังไปไม่ถึง โดยไม่บิดเบือนตลาดจนเกินไป

เชื่อม “ความปลอดภัย–คุณภาพ” กับ “การดึงต่างชาติ” ให้เดินพร้อมกัน

ในจังหวะเร่งเครื่องต่างชาติ ประเด็น ความปลอดภัย จะถูก จับตาเป็นพิเศษ โดยเฉพาะตลาดจีนที่อ่อนไหวต่อข่าว/กระแสโซเชียล การประกาศบูรณาการกับ ตำรวจท่องเที่ยว–กองบัญชาการตำรวจนครบาล–หน่วยงานความมั่นคง จึงเป็น ประกันความเสี่ยงด้านความเชื่อมั่น ควบคู่กับการยกระดับ มาตรฐานสถานบริการ–การคุ้มครองผู้บริโภค–การช่วยเหลือนักท่องเที่ยวต่างชาติ ซึ่งจะกลายเป็น ทรัพย์สิน (asset) ระยะยาวของแบรนด์ “Thailand”

ระยะต่อไป ตัวชี้วัดความสำเร็จที่ควรติดตาม

  • จำนวน–ค่าใช้จ่ายเฉลี่ยนักท่องเที่ยวจาก 7 ตลาด และ สัดส่วนตลาดจีน ในไตรมาสสุดท้าย
  • สัดส่วนการเดินทางสู่นอกพีก/เมืองรอง ภายใต้โครงการร่วมจ่าย
  • ดัชนีความเชื่อมั่นด้านความปลอดภัย และ เวลาการตอบสนองเหตุ ในพื้นที่ท่องเที่ยวสำคัญ
  • การเติบโตของรายได้ผู้ประกอบการชุมชน และ การจ้างงานในอุตสาหกรรมท่องเที่ยว เทียบฐานก่อนมาตรการ

นโยบายท่องเที่ยวรอบนี้วางเกมเป็น “สามเหลี่ยมถ่วงดุลต่างชาติ–ในประเทศ–ความปลอดภัย/คุณภาพ/เมืองรอง โดยมีการทูตเศรษฐกิจ (เยือนจีน) เป็นคันเร่งฝั่งอินบาวนด์ และ “เที่ยวไทยคนละครึ่ง” เป็นตัวค้ำฝั่งดีมานด์ภายใน การจะ “เอาอยู่” หรือไม่ จึงขึ้นกับ การออกแบบกลไก ให้ เงินรัฐ 1 บาท ดึง เม็ดเงินเอกชนหลายบาท, กระตุ้น การเดินทางที่ต้องการ (นอกพีก–เมืองรอง–กิจกรรมท้องถิ่น), และสร้าง ความเชื่อมั่น ว่าไทยพร้อมทั้งด้าน ความปลอดภัย และ คุณภาพประสบการณ์

จากสัญญาณ Golden Week จีน ที่ดีกว่าเป้า และทิศทางเยือนจีนในเร็ว ๆ นี้ ภาพรวมบอกเราว่า ดีมานด์พร้อมตอบสนอง หากนโยบาย “จับจุดถูก” ส่วนฝั่งในประเทศ หาก เที่ยวไทยคนละครึ่ง ถูกแบบมาอย่างพอดี–โปร่งใส–ใช้ง่าย ก็มีศักยภาพ “แก้ปัญหาถูกที่–ถูกเวลา” ให้เม็ดเงินท่องเที่ยวหมุนไปในพื้นที่ที่ต้องการได้จริง

แก่นสำคัญของไตรมาสสุดท้ายจึงไม่ใช่แค่ “ดึงนักท่องเที่ยวให้มากที่สุด” แต่คือ “ดึง ให้ถูกที่–ถูกช่วง–ถูกกลุ่ม และ ปลอดภัย” เพื่อให้การท่องเที่ยวทำหน้าที่เป็น หัวจักรเศรษฐกิจ ที่ส่งแรงสั่นสะเทือนเชิงบวกไปถึงชุมชนฐานรากอย่างทั่วถึง

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.)
  • Golden Week โดย นางสาวภัทรอนงค์ ณ เชียงใหม่ (รองผู้ว่าการด้านตลาดเอเชียและแปซิฟิกใต้)
  • กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา — นโยบายบูรณาการเพื่อฟื้นตัวภาคท่องเที่ยว, หมายกำหนดการเยือนจีนของ รองนายกรัฐมนตรี ร้อยเอก ธรรมนัส พรหมเผ่า และ รัฐมนตรีว่าการ นายอรรถกร ศิริลัทธยากร เพื่อผลักดันความร่วมมือทวิภาคีด้านการท่องเที่ยว
  • สำนักงานตำรวจแห่งชาติ / ตำรวจท่องเที่ยว / กองบัญชาการตำรวจนครบาล
  • กระทรวงการคลัง
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
ECONOMY

ไทย 2568 เศรษฐกิจยั่งยืนหรือแค่พยุง? รัฐบาลใหม่เผชิญบทพิสูจน์

รัฐบาลใหม่กับการแก้โจทย์เศรษฐกิจไทย ปี 2568 สู่การเติบโตที่ยั่งยืนหรือแค่พยุงระยะสั้น?

ประเทศไทย, 7 กรกฎาคม 2568 – ปี 2568 กลายเป็นปีแห่งการจับตา “บทพิสูจน์ศักยภาพรัฐบาลใหม่” ที่ต้องเผชิญกับคลื่นเศรษฐกิจโลก ปัญหาเชิงโครงสร้างภายใน และโจทย์หนี้ครัวเรือนที่สั่งสมมานาน ภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรี “แพทองธาร ชินวัตร” รัฐบาลประกาศเดินหน้าด้วยนโยบายเชิงรุก และงบประมาณลงทุนสูงสุดในรอบ 17 ปี หวังปลุกเศรษฐกิจไทยให้หลุดพ้นกับดักการเติบโตต่ำ แต่นโยบายเหล่านี้จะนำไทยสู่ความยั่งยืน หรือเพียงแค่สร้างคลื่นกระเพื่อมชั่วคราวในระบบเศรษฐกิจ?

เปิดฉากปีแห่งบททดสอบ เศรษฐกิจไทยในพายุความไม่แน่นอน

แม้รัฐบาลจะจุดพลุสร้างความหวังด้วยนโยบายขับเคลื่อนการลงทุนและมาตรการกระตุ้นขนาดใหญ่ แต่สถานการณ์เศรษฐกิจโลกยังคงเปราะบางจากปัจจัยภายนอกที่ยากคาดเดา ขณะที่ในประเทศเองก็เผชิญปัญหาโครงสร้างเช่น หนี้ครัวเรือนสูง สังคมสูงวัย และผลิตภาพแรงงานที่ถดถอย ด้านสถาบันวิจัยและนักวิเคราะห์ชั้นนำสะท้อนภาพเศรษฐกิจปี 2568 ด้วยคาดการณ์ GDP ที่ “แตกต่างสุดขั้ว” ตั้งแต่ 1.4% ถึง 2.6% โดยมองปัจจัยเสี่ยงหลักทั้งการส่งออก อุปสงค์ในประเทศ และแรงกระแทกจากสงครามการค้าสหรัฐฯ-จีน

ตารางที่ 1การคาดการณ์ GDP ไทย ปี 2568 (หน่วย: %)

หน่วยงาน

คาดการณ์ (%)

ข้อสังเกต

สศค.

2.5

เสถียรภาพในประเทศ, เงินเฟ้อต่ำ

ธปท.

2.3

Q1 ดีกว่าคาด, Q2 ดีขึ้น

KResearch

1.4 – 2.4

ส่งออก-ท่องเที่ยวต่ำ, หนี้เสียสูง

World Bank/IMF

1.8

ผลกระทบสงครามการค้า, หนี้สูง

SCB EIC

1.5

การค้าโลก, ข้อจำกัดการคลัง

TDRI

2.5-3.0

FDI/ลงทุนรัฐ, สินค้าจีนเข้า

กกร.

2.4-2.9

ท่องเที่ยว, รัฐอัดมาตรการ

ขณะที่ “เงินเฟ้อทั่วไป” ยังคงต่ำ (0.8%) อันเป็นผลจากพลังงานราคาตกและอุปสงค์อ่อนแรง มิได้สะท้อนเศรษฐกิจแข็งแรง แต่กลับชี้ถึงกำลังซื้อที่ถดถอย

เครื่องยนต์ขับเคลื่อนเศรษฐกิจสัญญาณเปราะบางใต้ตัวเลขบวก

  • การท่องเที่ยว คือความหวังหลัก คาดนักท่องเที่ยว 40 ล้านคน แต่การใช้จ่ายต่อหัวต่ำกว่าระดับก่อนโควิด สะท้อนโครงสร้างรายได้ประเทศที่เปราะบาง
  • การลงทุนภาคเอกชน ได้แรงหนุนจาก FDI ย้ายฐานหนีสงครามการค้า แต่หนี้ครัวเรือนและเกณฑ์สินเชื่อเข้มข้นยังฉุดกำลังซื้อและศักยภาพลงทุน
  • การบริโภคในประเทศ โต 2-3% จากรายได้และเงินโอนภาครัฐผ่านโครงการดิจิทัลวอลเล็ต ทว่า “หนี้ครัวเรือน” 16.2 ล้านล้านบาท (เกือบ 90% ของ GDP) กลับเป็นเงาทะมึนที่กัดกินกำลังซื้อ
  • การส่งออก ไตรมาส 1 โตจากการเร่งระบายสินค้าก่อนภาษีใหม่สหรัฐฯ ทว่าระยะยาวอ่อนแรงจากสงครามการค้าและสินค้าจีนราคาถูกทะลักเข้าสู่ตลาดไทย

ความท้าทายเชิงโครงสร้างหนี้ครัวเรือนสูง-สังคมสูงวัย-ขีดจำกัดการคลัง

รัฐบาลต้องเผชิญโจทย์ “หนี้ครัวเรือนสูงสุดประวัติการณ์” ที่กัดกินศักยภาพการบริโภคและสร้าง NPL เพิ่มขึ้น ขณะที่ปัจจัยภายนอกอย่างสงครามการค้าทำให้สินค้าจีนเบี่ยงเบนเข้าไทย-กดดันตลาดในประเทศให้แข่งขันรุนแรง สังคมไทยเองก็เร่งเข้าสู่ “สังคมสูงวัย” แรงงานขาดแคลน ผลิตภาพตกต่ำ ทุนมนุษย์ด้อยประสิทธิภาพ ระบบการศึกษาไม่ตอบโจทย์ดิจิทัล หนี้สาธารณะ 63.3% ของ GDP ขยับขึ้นทุกปีจนพื้นที่การคลังเหลือน้อยลง และความไม่แน่นอนทางการเมืองยังคุกคามความเชื่อมั่นนักลงทุน

รัฐบาลใหม่ภายใต้ ‘แพทองธาร’ปรับยุทธศาสตร์-ตั้งทัพขับเคลื่อนเศรษฐกิจ

การตั้งคณะรัฐมนตรีเศรษฐกิจ โดยมี “นายพิชัย ชุณหวชิร” เป็นแม่ทัพคลัง ประสานกับนายกรัฐมนตรี มุ่งขับเคลื่อนนโยบาย “2568 โอกาสไทย ทำได้จริง” โดยเน้น 5 ยุทธศาสตร์หลักที่รวมการลงทุนภาครัฐ ขับเคลื่อนอุตสาหกรรมใหม่ ปฏิรูปโครงสร้างเศรษฐกิจ และสร้างสังคมเสมอภาค

จุดเปลี่ยนสำคัญธนาคารแห่งประเทศไทยกับทิศทางดอกเบี้ยและเสถียรภาพ

ปี 2568 ยังเป็น “จุดเปลี่ยนผู้นำ” ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ที่การเลือกผู้ว่าฯ คนใหม่ระหว่าง “ดร.รุ่ง โปษยานนท์ มัลลิกะมาส” (เน้นเสถียรภาพการเงิน) และ “นายวิทัย รัตนากร” (แก้ปัญหาฐานราก) จะเป็นตัวแปรสำคัญต่อทิศทางนโยบายการเงิน ดอกเบี้ยนโยบายมีโอกาสถูกปรับลดอย่างน้อย 1-2 ครั้ง เพื่อประคองเศรษฐกิจและหนี้ครัวเรือน แม้จะกังวลความเสี่ยงเงินเฟ้อและคุณภาพสินเชื่อ

งบประมาณ 2568การลงทุนภาครัฐสูงสุดในรอบ 17 ปี – หวังพลิกฟื้นเศรษฐกิจ

งบประมาณปี 2568 อยู่ที่ 3.75 ล้านล้านบาท รายจ่ายลงทุนสูงถึง 24.2% หรือ 908,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 28% จากปีก่อน เน้นยุทธศาสตร์พัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานราก และพัฒนาโอกาส-ลดเหลื่อมล้ำ ขณะเดียวกัน “งบกู้ขาดดุล” กว่า 865,000 ล้านบาท ก็เพิ่มภาระหนี้สาธารณะ

มาตรการเรือธงดิจิทัลวอลเล็ตกับข้อกังขาเรื่องความยั่งยืน

  • ดิจิทัลวอลเล็ต เป็นมาตรการเรือธง เติมเงินให้ประชาชนกลุ่มเปราะบาง 14 ล้านคนในระยะแรก และเตรียมขยายไปยังผู้สูงวัย 4 ล้านคน รวมถึงประชาชนทั่วไปต่อไป คาดว่าจะช่วยกระตุ้นการบริโภคในระยะสั้น
  • บ้านเพื่อคนไทย – โครงการคอนโดมิเนียมรัฐให้ผ่อนต่ำยาว 30 ปี หวังเพิ่มโอกาสเข้าถึงที่อยู่อาศัยในเมือง
  • มาตรการแก้หนี้ครัวเรือน – เดินหน้าโครงการ “คุณสู้ เราช่วย” “จ่ายตรง คงทรัพย์” และ “จ่ายตัดต้น” ช่วยกลุ่มหนี้ไม่มีหลักประกันและสินเชื่อบ้าน/รถ

แต่เสียงสะท้อนจากสื่อและนักวิชาการ เตือนถึง “วินัยการคลัง” ที่อาจถูกกระทบจากการกู้เงินอัดฉีด โดยเฉพาะเมื่อภาระหนี้สาธารณะและหนี้รัฐวิสาหกิจยังสูง หากการกระตุ้นเศรษฐกิจเป็นเพียงการ “ดึงกำลังซื้ออนาคต” มาใช้ปัจจุบัน อาจนำไปสู่ภาวะเศรษฐกิจซบเซาในภายหลัง

นโยบายโครงสร้างจุดเปลี่ยนแท้จริงของเศรษฐกิจไทย

ผู้เชี่ยวชาญส่วนใหญ่เห็นตรงกันว่า การเติบโตยั่งยืนต้องมาจากการ “ปฏิรูปเชิงโครงสร้าง” ไม่ใช่แค่กระตุ้นระยะสั้น รัฐบาลใหม่ต้องเร่งยกระดับทุนมนุษย์ แก้ช่องว่างทักษะดิจิทัล ส่งเสริมอุตสาหกรรมมูลค่าสูง ขยายตลาดการส่งออกและสร้างความสามารถแข่งขันใหม่ รวมถึงปฏิรูประบบราชการให้ทันสมัย โปร่งใส และลดทุจริต

เส้นทางเศรษฐกิจไทยระหว่างโอกาสและกับดัก

ภาพรวมของเศรษฐกิจไทยปี 2568 เปรียบเสมือนการขับเรือกลางมรสุม แม้มี “คลื่นบวก” จากนโยบายรัฐและมาตรการลงทุน แต่รากปัญหาเชิงโครงสร้างที่ฝังลึก และแรงกระแทกจากเศรษฐกิจโลกยังคงสร้างความเปราะบางสูง นโยบายรัฐจะยั่งยืนหรือไม่ ขึ้นอยู่กับความเด็ดขาด-รอบคอบในการปฏิรูป สร้างโอกาสใหม่ และรักษาวินัยการคลังในระยะยาว

 

ข้อเสนอเชิงนโยบาย

  1. เน้นลงทุนที่สร้างผลิตภาพระยะยาว เช่น ดิจิทัล-โครงสร้างพื้นฐาน-ทุนมนุษย์ มากกว่าการอัดฉีดชั่วคราว
  2. รักษาวินัยการคลัง พร้อมบริหารหนี้สาธารณะอย่างยั่งยืน วางแผนงบประมาณระยะปานกลางชัดเจน
  3. ส่งเสริมการปฏิรูปโครงสร้าง เร่งพัฒนาทุนมนุษย์ ระบบการศึกษา และอุตสาหกรรมใหม่ สร้างความสามารถแข่งขัน
  4. ลดอุปสรรคการลงทุน-เพิ่มความโปร่งใส สร้างกลไกติดตาม-ประเมินผลนโยบายแบบเรียลไทม์
  5. พัฒนานโยบายการเงินและบริหารหนี้เชิงรุก ประสานระหว่างธปท.และรัฐบาลเพื่อรักษาสมดุลระหว่างการกระตุ้นเศรษฐกิจและเสถียรภาพระบบการเงิน

บทสรุป

รัฐบาลใหม่ปี 2568 เผชิญความท้าทายที่ซับซ้อนที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์สมัยใหม่ของไทย แม้นโยบายลงทุนและมาตรการกระตุ้นจะสร้างคลื่นหวังในระยะสั้น แต่โจทย์หลักคือการเร่งปฏิรูปโครงสร้างให้สำเร็จ สร้างรากฐานที่มั่นคงเพื่อการเติบโตอย่างแท้จริง ลดช่องว่างความเหลื่อมล้ำ เพิ่มศักยภาพมนุษย์และความสามารถแข่งขันของประเทศ ไทยจะพลิกวิกฤตนี้ได้หรือไม่ ยังต้องติดตามบทพิสูจน์ต่อไปในอีก 1 ปีข้างหน้า

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
  • ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)
  • กระทรวงการคลัง (สศค.)
  • ศูนย์วิจัยกสิกรไทย (KResearch)
  • ธนาคารโลก (World Bank)
  • กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF)
  • ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจ SCB EIC
  • สถาบันวิจัย TDRI
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News