Categories
AROUND CHIANG RAI

อบจ.เชียงราย เดินหน้า “มอเตอร์สปอร์ตฮับ” ผสานความเร็ว-ท่องเที่ยว ขับเคลื่อนเศรษฐกิจชายแดน

เชียงรายกับสมการความเร็ว” อบจ.เชียงรายปักหมุด MOTOR SPORT FESTIVAL 2025 ผลักดันเมืองสู่ “ศูนย์กลางมอเตอร์สปอร์ต” ระดับเอเชีย

เชียงราย, 17 ตุลาคม 2568 — ยามเช้าในลุ่มน้ำโขงที่ค่อย ๆ เผยสีทองของแสงอาทิตย์เหนือทุ่งชาและสายน้ำ ทุกสายตาของคนในพื้นที่กำลังหันมองไปทางเดียวกัน—เชียงแสน เมืองท่าประวัติศาสตร์กำลังจะแปรสภาพเป็น “สนามแข่งขันกลางแจ้ง” ที่ผสานความเร็ว เทคโนโลยี และการท่องเที่ยวเข้าด้วยกัน เมื่อ องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย (อบจ.เชียงราย) ประกาศเดินหน้าจัด MOTOR SPORT FESTIVAL 2025 วันที่ 13–14 ธันวาคม 2568ลานกิจกรรมสวนสาธารณะหนองบัว เทศบาลตำบลเวียง อำเภอเชียงแสน พร้อมตั้งเป้าสู่เวทีนานาชาติอย่างจริงจัง

เบื้องหลังข่าวดีครั้งนี้ ไม่ใช่เพียงการจัดงานแข่งรถอีกหนึ่งรายการ หากคือ “เนื้อหาเชิงยุทธศาสตร์” ที่สอดรับกับนโยบายเมืองกีฬา–เมืองท่องเที่ยว ผ่านกรอบ “Chiang Rai Motorsport Hub” ซึ่งเป็นคณะทำงานที่ อบจ.เชียงราย ร่วมมือกับภาคีระดับจังหวัด สถาบันการศึกษา ภาคเอกชน และสมาคมกีฬา วางแผนผลักดันเชียงรายให้เป็น Sport Tourism Destination ที่เดินเครื่องได้ตลอดทั้งปี

จาก “เมืองชายแดน” สู่ “Motorsport Destination”

เชียงรายมีจุดแข็งทางภูมิศาสตร์และวัฒนธรรม หนึ่งเท้าเหยียบ “สามเหลี่ยมทองคำ” อีกเท้าก้าวสู่ ล้านนาร่วมสมัย จุดเด่นนี้เองทำให้กิจกรรมกีฬาที่มีภาพลักษณ์ “เร้าใจ–ร่วมสมัย–เข้าถึงง่าย” อย่างมอเตอร์สปอร์ต กลายเป็นเครื่องมือเชื่อม “เศรษฐกิจสร้างสรรค์–การท่องเที่ยว–ฮาร์ดแวร์โลจิสติกส์” ได้อย่างลงตัว การจัดงานใน เชียงแสน ที่อยู่ติดแม่น้ำโขงและเป็นประตูเชื่อม ลาว–เมียนมา–จีนตอนใต้ จึงไม่ใช่แค่การเลือก “สถานที่สวย” แต่คือการเลือก “จุดยุทธศาสตร์” ที่รองรับการเดินทาง การขนส่ง และรายได้ชุมชนในรัศมีรอบเมือง

ภายใต้นโยบายเรือธงข้อที่ 5 ของ อบจ.เชียงราย คือ เที่ยวได้ทุกสไตล์ เที่ยวเชียงรายได้ทั้งปี มีดีทุกอำเภอ” แผนงานมอเตอร์สปอร์ตทำหน้าที่เป็น “เครื่องเร่ง” ที่เพิ่มเหตุผลให้ผู้มาเยือนเดินทางนอกฤดูกาลหลัก และกระจายการใช้จ่ายไปยัง เชียงแสน–แม่สาย–แม่จัน–เมืองเชียงราย ตลอดแนวเหนือ–ใต้ของจังหวัด สอดรับกับแนวคิด “Chiang Rai Sport City” และแคมเปญระดับชาติ “Amazing Thailand Grand Tourism & Sport Year 2025” ของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ที่ต้องการให้กีฬาเป็นพลังขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานบริการ

 “MOTOR SPORT FESTIVAL 2025” – เวทีแข่งขันและอีเวนต์สร้างสรรค์

กำหนดการ–สถานที่–ผู้จัด

  • วันที่จัด: 13–14 ธันวาคม 2568
  • สถานที่: ลานกิจกรรมสวนสาธารณะหนองบัว เทศบาลตำบลเวียง อ.เชียงแสน จ.เชียงราย
  • เจ้าภาพ/ผู้ดำเนินงาน: สมาคมกีฬามอเตอร์สปอร์ตจังหวัดเชียงราย ร่วมกับ อบจ.เชียงราย และภาคีภาครัฐ–เอกชนในจังหวัด
  • กรอบงาน: การแข่งขันมอเตอร์สปอร์ตหลากประเภท/กิจกรรมเสริมทักษะความปลอดภัย/โซนแสดงผลงานยานยนต์–นวัตกรรม–สื่อสร้างสรรค์/ตลาดชุมชนและคอนเสิร์ตปลอดภัย

สาระสำคัญ ของงานไม่ได้อยู่แค่ “เสียงเครื่องยนต์” หากคือ “ระบบนิเวศ” ที่ดึงผู้เกี่ยวข้องเข้ามาขับเคลื่อนพร้อมกัน ตั้งแต่ผู้ผลิต–นำเข้าอะไหล่ ทีมแข่ง ช่างเทคนิค ผู้ประกอบการโรงแรม–ร้านอาหาร ผู้จำหน่ายสินค้าท้องถิ่น ไปจนถึงสถาบันการศึกษาและเยาวชนที่สนใจสายอาชีพด้านยานยนต์

สัญญาณจากเวทีประชุม “Motorsport Hub” ขยับแล้ว

เมื่อวันที่ 17 ตุลาคม 2568 ที่ มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย (ห้องยุทธศาสตร์การพัฒนาภูมิภาค) มีการประชุมคณะทำงาน “Chiang Rai Motorsport Hub” โดยมี นายจิราวุฒิ แก้วเขื่อน รองนายก อบจ.เชียงราย เข้าร่วมกำกับทิศทางและติดตามความพร้อมของทุกฝ่าย การประชุมครั้งนี้ชี้ชัดว่าจังหวัดไม่ได้จัดงานแบบ “ปีต่อปี” อีกต่อไป แต่กำลัง วางรากฐานระยะยาว เพื่อก่อรูป “ฮับมอเตอร์สปอร์ต” ที่เชื่อมกับระบบเศรษฐกิจจังหวัดอย่างเป็นระบบ

สาระจากผู้บริหาร (ถอดความใจความ) อบจ.เชียงรายยืนยันบทบาท “พี่เลี้ยงและแกนกลาง” ในการผนึกพลังกรม–กอง–องค์กรปกครองท้องถิ่น ภาคเอกชน และสถาบันการศึกษา ให้ขับเคลื่อนกิจกรรมกีฬาและท่องเที่ยวเชิงเศรษฐกิจ สร้างเวทีระดับนานาชาติที่เชียงราย “จัดได้–จอดได้–จ่ายได้” ทั้งในเชิงมาตรฐานการแข่งขัน ความปลอดภัย และรายได้กระจายสู่ชุมชน

สู่เวทีเอเชีย รายการนานาชาติ–ทีมแข่งกว่า 10 ประเทศ

งานปีนี้ถือเป็น ปีที่ 3 ของการจัดต่อเนื่อง และยกระดับสู่ เวทีนานาชาติเต็มรูปแบบ มีทีมแข่งและนักกีฬาจาก กว่า 10 ประเทศ ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกและโอเชียเนียประกาศเข้าร่วม อาทิ สิงคโปร์ ไต้หวัน มาเลเซีย ฮ่องกง ญี่ปุ่น ฟิลิปปินส์ เวียดนาม เกาหลี สปป.ลาว ออสเตรเลีย รวมถึงทีมไทยผู้เป็นเจ้าบ้าน การเข้าร่วมของนานาชาตินอกจากสะท้อน “ความเชื่อมั่นเชิงมาตรฐาน” ของผู้จัดและพื้นที่แล้ว ยังช่วยสื่อสาร “แบรนด์เชียงราย” สู่สายตาแฟนความเร็วในต่างประเทศผ่านสื่อดิจิทัลของทีมและสำนักข่าวกีฬา

ผลที่คาดหวังในเชิงพื้นที่ คือการเติมสภาพคล่องให้ โรงแรม–โฮมสเตย์–ร้านอาหาร–คาเฟ่–บริการท่องเที่ยว ตั้งแต่เชียงแสนจนถึงตัวเมือง โดยมีกลุ่มนักท่องเที่ยวเฉพาะทาง (niche) ที่มี “ตะกร้าใช้จ่ายสูง” ทั้งค่าเดินทาง ค่าบริการโลจิสติกส์ ทีมเซอร์วิส และกิจกรรมต่อเนื่อง เช่น ทริปชุมชน–ศิลปะร่วมสมัย–แลนด์มาร์กธรรมชาติของเชียงราย

มาตรฐาน–ความปลอดภัย–ความยั่งยืน 3 เสาหลักที่ผู้จัดชูเป็นธง

เพื่อให้ “ความเร็ว” ไปคู่กับ “ความปลอดภัย” และ “ความยั่งยืน” คณะทำงานเตรียมมาตรการสำคัญ 3 ด้าน ดังนี้

  1. มาตรฐานการแข่งขันและสนามชั่วคราว
    • ออกแบบพื้นที่แข่งขันแบบ “ปิดลูป” กำหนดจุดเข้า–ออกชัดเจน
    • วางแนวรั้ว–แนวกั้นดูดซับแรงกระแทก/โซนนิ่งผู้ชม–ทีมงาน–สื่อมวลชน
    • ซักซ้อมแผนฉุกเฉินร่วมกับตำรวจ–กู้ชีพ–โรงพยาบาลเครือข่ายในจังหวัด
    • กำหนดมาตรการตรวจสภาพรถ–อุปกรณ์ตามคู่มือกีฬามอเตอร์สปอร์ตของสมาคมฯ
  2. ความปลอดภัยสาธารณะ–การจราจร
    • จัดทำ Traffic Plan เชื่อมถนนสายหลัก–สายรอง พร้อม Park & Ride สำหรับผู้ชม
    • เพิ่มไฟส่องสว่าง–กล้องวงจรปิด–จุดบริการข้อมูล–จุด Lost & Found
    • มาตรการ “ดื่มไม่ขับ–ไม่ซิ่งนอกสนาม” ด้วยการรณรงค์ร่วมกับผู้ประกอบการ
  3. ความยั่งยืนและสิ่งแวดล้อม
    • บริหารจัดการ ขยะ–เสียง–ควัน ด้วยมาตรการคัดแยก/ลดการใช้พลาสติกแบบครั้งเดียวทิ้ง
    • ส่งเสริมการใช้บริการชุมชนและสินค้าโลคัลในโซนตลาดงาน สร้างรายได้หมุนเวียน
    • ถ่ายทอดองค์ความรู้ “Motorsport for Good” แก่เยาวชน—จากความปลอดภัยสู่ทักษะอาชีพ

มาตรการทั้งสามเสา ไม่เพียงช่วยหล่อเลี้ยง “ความเชื่อมั่น” ของผู้เข้าร่วมและชุมชน แต่ยังเป็นเครื่องมือยกระดับมาตรฐานการจัดอีเวนต์ของจังหวัด เพื่อรองรับกิจกรรมกีฬาและเทศกาลรูปแบบอื่นในอนาคต

มอเตอร์สปอร์ตกับ “ระบบนิเวศอาชีพใหม่” ของเยาวชนเชียงราย

นอกสนามแข่ง ยังมี “สนามอาชีพ” ที่กำลังเปิดกว้าง ตั้งแต่ เมคคาทรอนิกส์–ไฟฟ้ายานยนต์–ดิจิทัลครีเอทีฟ–สื่อถ่ายทอดสด–โลจิสติกส์–ท่องเที่ยว ไปจนถึง Sports Marketing การที่มหาวิทยาลัยและสถาบันอาชีวศึกษาในพื้นที่เข้าร่วมคณะทำงาน ทำให้สามารถออกแบบ คลินิกทักษะ และ โครงการสหกิจศึกษา เชื่อมกับทีมแข่งและผู้ประกอบการจริงในงาน ซึ่งเป็น “บทเรียนภาคสนาม” ที่หาไม่ได้ในห้องเรียน

ในทางกลับกัน ภาคเอกชนได้แรงหนุนด้านคนรุ่นใหม่ที่มีทักษะตรงจุด ลดเวลาปรับตัว และสร้างเครือข่ายบุคลากรสำหรับอุตสาหกรรมยานยนต์–อีเวนต์–ท่องเที่ยว ที่ต้องการ “มืออาชีพหน้าใหม่” อย่างต่อเนื่อง

เศรษฐกิจท้องถิ่นจะได้อะไร เมื่อ “ความเร็ว” แปลงเป็น “รายได้”

แม้ผู้จัดยังไม่ประกาศตัวเลขเป้าหมายผู้เข้าชม–รายได้โดยตรง แต่ประสบการณ์จัดงานต่อเนื่อง 2 ปีที่ผ่านมาสะท้อน “พฤติกรรมการใช้จ่ายสูงกว่าปกติ” ของแฟนมอเตอร์สปอร์ต—ตั้งแต่ที่พักมาตรฐานกลาง–บน อาหาร เครื่องดื่ม ไปจนถึงสินค้าที่ระลึกร่วมคอลเลกชัน ในระดับนโยบาย จึงเชื่อมโยงกิจกรรมนี้เข้ากับเครื่องมือกระตุ้นการใช้จ่ายของจังหวัด เช่น แคมเปญท่องเที่ยวปลายปี เส้นทางท่องเที่ยวชุมชน และเทศกาลศิลปะ–วัฒนธรรม เพื่อให้ผู้มาเยือน “อยู่นานขึ้น–ใช้จ่ายกว้างขึ้น–กลับมาอีกครั้ง”

นอกจากนี้ เมืองชายแดนอย่าง เชียงแสน ยังมี “แต้มต่อ” เรื่องการใช้จ่ายจากนักท่องเที่ยวข้ามแดน เมื่อเชื่อมต่อการเดินทางจาก บ่อแก้ว–หลวงน้ำทา–ท่าขี้เหล็ก เข้าสู่เชียงรายได้สะดวก—ทั้งทางถนนและทางน้ำ—ซึ่งจะเป็นปัจจัยหนุน ธุรกิจทัวร์–รถเช่า–ล่องเรือแม่น้ำโขง ให้คึกคักยิ่งขึ้นในช่วงจัดงาน

เมืองทั้งเมืองคือเวที” แผนเชื่อมอีเวนต์–แลนด์มาร์ก–วัฒนธรรมร่วมสมัย

ความโดดเด่นอีกประการของงานปีนี้ คือแนวคิด “Citywide Festival” ที่ไม่ได้จำกัดอรรถรสไว้แค่สนามแข่งขัน แต่แตกแขนงกิจกรรมไปยังจุดท่องเที่ยวและแลนด์มาร์กทั่วจังหวัด เช่น

  • ย่านศิลปะร่วมสมัย ในเมืองเชียงราย–ตลาดศิลปิน–พิพิธภัณฑ์ท้องถิ่น
  • แลนด์สเคปธรรมชาติและชุมชน แถบดอยช้าง–ดอยแม่สลอง–แม่ยาว–ผาตั้ง–ภูชี้ฟ้า
  • วัฒนธรรมชาติพันธุ์ และ คาเฟ่–คราฟต์ ที่เป็นตัวตนของเมือง
  • กิจกรรมครอบครัว และ วิถีชุมชนริมโขง ในเชียงแสน

เมื่อผู้ชมงานมี “เหตุผลที่สอง–สาม” เพื่อท่องเที่ยวต่อหลังจบการแข่งขัน เม็ดเงินจะกระจายกว้างและยั่งยืนมากขึ้น

ตัวชี้วัดความสำเร็จ 5 KPI ที่จังหวัดตั้งใจวัดผล (เชิงแนวทาง)

เพื่อให้การจัดงานไม่หยุดอยู่ที่ “ความรู้สึกคึกคัก” แต่แปรเป็นข้อมูลเชิงนโยบายที่ใช้ต่อยอดได้ คณะทำงานเตรียมติดตาม ตัวชี้วัด (KPI) สำคัญ ได้แก่

  1. อัตราการเข้าพักโรงแรม และ รายได้เฉลี่ยต่อห้อง (RevPAR) ในรัศมี 50 กม. รอบเชียงแสน
  2. สัดส่วนรายได้ที่เข้าชุมชน ผ่านโซนตลาดชุมชน–ทัวร์ชุมชน–โฮมสเตย์
  3. การจ้างงานชั่วคราวและอาสาสมัคร รวมถึงชั่วโมงฝึกปฏิบัติของนักศึกษา
  4. ความพึงพอใจด้านความปลอดภัย–การเดินทาง–การสื่อสาร ของผู้เข้าชม
  5. การรับรู้แบรนด์เชียงราย บนสื่อออนไลน์/สื่อกีฬาในต่างประเทศ (เชิงคุณภาพ)

แม้ KPI บางตัวต้องอาศัยการเก็บข้อมูลร่วมกับภาคเอกชน แต่การมี “กรอบวัดผล” ที่ชัดเจน จะทำให้จังหวัดพูดคุยกับผู้สนับสนุน–นักลงทุน–ผู้จัดแข่งระดับทวีปในอนาคตได้อย่างมีน้ำหนัก

เสียงสะท้อนจากผู้ประกอบการ–ชุมชน “ความเร็วที่ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง”

ผู้ประกอบการท่องเที่ยวในเชียงแสนสะท้อนไปในทิศทางเดียวกันว่า งานมอเตอร์สปอร์ตช่วยเติมลูกค้ากลุ่มใหม่ที่ “วางแผนล่วงหน้า–จองยาว–จ่ายหนัก” ขณะที่ชุมชนท้องถิ่นให้ความสำคัญกับ ความสะอาด–ระเบียบ–ผลประโยชน์ร่วม ซึ่งผู้จัดยืนยันว่า ตลาดชุมชน–บูธโลคัล–โซนกิจกรรมวิถีพื้นถิ่น จะเป็นองค์ประกอบหลักของงาน เพื่อให้ “คนในพื้นที่” คือหุ้นส่วนการเติบโตอย่างแท้จริง

ความท้าทายที่ต้องจับตา โลจิสติกส์–การจราจร–ความปลอดภัย–สภาพอากาศ

ทุกอีเวนต์กลางแจ้งมีความเสี่ยง จังหวัดจึงเตรียม แผนสำรอง และ การสื่อสารแบบเรียลไทม์ โดยร่วมมือกับตำรวจภูธร–ฝ่ายปกครอง–องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และเครือข่ายอาสาสมัคร เพื่อจัดการ การจราจรหนาแน่น–การจอดรถ–เส้นทางฉุกเฉิน พร้อมทั้งกำหนด มาตรการฝนตก/ลมแรง และ มาตรการดูแลสุขภาพผู้ชม ในช่วงอากาศเย็นของปลายปี

ความท้าทายอีกด้านคือการประสาน ด่านชายแดน–ศุลกากร–ตรวจคนเข้าเมือง เพื่ออำนวยความสะดวกทีมแข่งต่างชาติให้ราบรื่น ซึ่งคณะทำงานระบุว่าจะตั้ง “One-Stop Coordination” สำหรับผู้ถือครองรถแข่ง–อุปกรณ์เฉพาะทาง–วีซ่าทีมงาน เพื่อให้การเดินทางเข้า–ออกประเทศไทยและจังหวัดเป็นไปอย่างมีมาตรฐาน

 “จุดสตาร์ทร่วม” ของเมืองกีฬา–เมืองท่องเที่ยว

MOTOR SPORT FESTIVAL 2025 ไม่ใช่แค่ “งานแข่งรถ” หากคือ จุดสตาร์ทร่วม ของหลายมิติ—เศรษฐกิจสร้างสรรค์ การท่องเที่ยว กีฬาเยาวชน อาชีพใหม่ และความภาคภูมิใจของพื้นที่—ที่เชียงรายกำลังนำมาประกอบร่างเป็น “Chiang Rai Motorsport Hub” ให้เดินเครื่องต่อเนื่องทุกปี

หากงานสามารถแสดงสมดุลระหว่าง มาตรฐาน–ความปลอดภัย–การมีส่วนร่วมของชุมชน ได้จริง เชียงรายย่อมมีโอกาสก้าวสู่ “หมุดหมายมอเตอร์สปอร์ตของเอเชีย” ที่ต่างชาติอยากกลับมาแข่งขันและท่องเที่ยวซ้ำ—ขณะเดียวกันชาวเชียงรายเองก็จะเห็นว่า ความเร็ว” สามารถวิ่งคู่กับ คุณภาพชีวิต” ได้อย่างแท้จริง

ถ้อยคำสรุปเชิงนโยบาย (จับใจความ) อบจ.เชียงรายพร้อมทำหน้าที่ “คนกลาง” ให้ทุกฟันเฟืองหมุนไปด้วยกัน—นักกีฬา ผู้จัด ภาคธุรกิจ ชุมชน และสถาบันการศึกษา—เพื่อให้มอเตอร์สปอร์ตเป็นมากกว่าความมันบนถนน แต่เป็น “เมกะอีเวนต์” ที่ทิ้งมรดกเศรษฐกิจ–สังคมที่ยั่งยืนไว้ให้จังหวัด

ข้อมูลกิจกรรม (สรุปย้ำ)

  • งาน: MOTOR SPORT FESTIVAL 2025
  • วัน–เวลา: 13–14 ธันวาคม 2568
  • สถานที่: ลานกิจกรรมสวนสาธารณะหนองบัว เทศบาลตำบลเวียง อ.เชียงแสน จ.เชียงราย
  • ผู้จัด–ภาคี: สมาคมกีฬามอเตอร์สปอร์ตจังหวัดเชียงราย, อบจ.เชียงราย, หน่วยงานรัฐ–เอกชนในพื้นที่
  • กรอบนโยบาย: Chiang Rai Sport City / นโยบายเรือธงข้อที่ 5 อบจ.เชียงราย “เที่ยวได้ทุกสไตล์ เที่ยวเชียงรายได้ทั้งปี มีดีทุกอำเภอ” / แคมเปญ Amazing Thailand Grand Tourism & Sport Year 2025 (ททท.)
  • ระดับการแข่งขัน: นานาชาติ—คาดมีทีมแข่งจาก กว่า 10 ประเทศ ในเอเชียแปซิฟิกและโอเชียเนียเข้าร่วม

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย (อบจ.เชียงราย)
  • สมาคมกีฬามอเตอร์สปอร์ตจังหวัดเชียงราย
  • มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย
  • การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.)
  • การกีฬาแห่งประเทศไทย (กกท.)
  • เทศบาลตำบลเวียง อำเภอเชียงแสน
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI CULTURE

เชียงแสนสุดม่วน มหาสงกรานต์รับนักท่องเที่ยวทั่วโลก

เชียงแสนเปิดงานยิ่งใหญ่ “ยล เยือน เมืองเชียงแสน มหาสงกรานต์บ้านฉัน” เผยแพร่วัฒนธรรมล้านนาสู่สากล

พิธีเปิดสุดอลังการสืบสานสงกรานต์เชียงแสน

เชียงราย,วันที่ 17 เมษายน 2568 – ณ ลานริมโขง (หน้าวัดปงสนุก) อำเภอเชียงแสน จังหวัดเชียงราย นายสถาพร เที่ยงธรรม ผู้ตรวจราชการกระทรวงวัฒนธรรม ได้รับมอบหมายจากปลัดกระทรวงวัฒนธรรม เป็นประธานในพิธีเปิดงาน “ยล เยือน เมืองเชียงแสน : มหาสงกรานต์บ้านฉัน สีสันวิถีถิ่นวิถีไทย สุขไกลทั่วโลก” โดยมี นายรุจติศักดิ์ รังษี รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย กล่าวต้อนรับ และนางสลักจฤฎดิ์ ติยะไพรัช ประธานสภาวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย กล่าวรายงานวัตถุประสงค์ในการจัดงานครั้งนี้

แขกผู้มีเกียรติร่วมงานคับคั่ง

ภายในพิธีเปิดได้รับเกียรติจากบุคคลสำคัญมากมาย ได้แก่ สส.ดร.พิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน รองประธานสภาผู้แทนราษฎร คนที่ 1, สส.ดร.เทอดชาติ ชัยพงษ์ สส.พรรคเพื่อไทย เขต 5 จังหวัดเชียงราย, สส.ละออง ติยะไพรัช, สส.ปิยะรัฐชย์ ติยะไพรัช, นายคฑาสิทธิ์ เนื่องหล้า นายอำเภอเชียงแสน และนางสินีนาฏ ทองสุข นายกเหล่ากาชาดจังหวัดเชียงราย พร้อมทั้งหัวหน้าส่วนราชการ หน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน คณะกรรมการพัฒนาสตรีจังหวัดเชียงราย สภาวัฒนธรรมอำเภอทั้ง 18 อำเภอ ประชาชน และนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างชาติ เข้าร่วมงานอย่างเนืองแน่น

กิจกรรมหลากหลายสะท้อนวิถีล้านนา

ภายในงานประกอบด้วยกิจกรรมที่แสดงถึงเอกลักษณ์วัฒนธรรมล้านนา อาทิ การแสดงศิลปะและวัฒนธรรมฟ้อนแสนปี “อุ่นเมืองเชียงราย” ขบวนแห่สระเกล้าดำหัว พิธีส่งเคราะห์แบบล้านนา สรงน้ำพระพุทธรูป พิธีสระเกล้าดำหัวผู้อาวุโสและผู้มีเกียรติ การแสดงแสงสีเสียง “เล่าเรื่องเมืองเชียงแสน” กิจกรรมถนนวัฒนธรรมสายน้ำ 3 แผ่นดิน การแสดงดนตรีจากศิลปินล้านนา นิทรรศการมีชีวิต ตลาดวัฒนธรรมวิถีชุมชนเมืองเชียงแสน บูธแสดงสินค้าทางวัฒนธรรม (CPOT) และกิจกรรมการประกวดเทพบุตรเจียงแสนหลวง ประจำปี 2568

สืบสานคุณค่าสงกรานต์ล้านนา

นายสถาพร เที่ยงธรรม กล่าวย้ำว่า งานนี้จัดขึ้นเพื่ออนุรักษ์ สืบทอด และเผยแพร่ประเพณีสงกรานต์ล้านนา ซึ่งเป็นมรดกทางวัฒนธรรมที่มีคุณค่าต่อครอบครัว ชุมชน และสังคมไทย โดยเน้นการสร้างความรักความอบอุ่นในครอบครัว ความสามัคคีในชุมชน และส่งเสริมเศรษฐกิจในพื้นที่ผ่านกิจกรรมทางวัฒนธรรมต่างๆ ที่จัดขึ้น

การจัดงานภายใต้แนวคิดสงกรานต์ระดับโลก

สำหรับปีนี้ กระทรวงวัฒนธรรม กรมส่งเสริมวัฒนธรรม ร่วมกับภาคีเครือข่าย จัดงาน “เย็นทั่วหล้า มหาสงกรานต์” ทั่วประเทศ ภายใต้แนวคิด “สงกรานต์บ้านฉัน สีสันแบบไทย สุขไกลทั่วโลก Once in a Lifetime : Experience Songkran in Thailand” เพื่อยกระดับประเพณีสงกรานต์ให้เป็นงานระดับโลก ซึ่งจะช่วยดึงดูดนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกมายังประเทศไทย

ความร่วมมือทุกภาคส่วนสู่ความสำเร็จ

งานนี้เกิดขึ้นจากการบูรณาการความร่วมมือจากหลายภาคส่วน ทั้งภาครัฐ เอกชน และประชาชนในจังหวัดเชียงราย ส่งผลให้เกิดการกระตุ้นเศรษฐกิจในพื้นที่ ช่วยให้ชุมชนมีรายได้เพิ่มขึ้นและสร้างความยั่งยืนทางวัฒนธรรมท้องถิ่น

นายสถาพร เที่ยงธรรม ได้กล่าวปิดท้ายงานว่า ประเพณีสงกรานต์ไม่ได้เป็นเพียงแค่เทศกาลแห่งความสนุกสนานเท่านั้น แต่ยังเป็นการสะท้อนถึงรากฐานของสังคมไทยในการเคารพผู้อาวุโส ความสามัคคีในชุมชน และความยั่งยืนของวัฒนธรรมที่สืบทอดมายาวนาน

สถิติที่เกี่ยวข้องและข้อมูลอ้างอิง

จากข้อมูลของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ปีที่ผ่านมา งานสงกรานต์สามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวเข้าร่วมงานทั่วประเทศมากกว่า 3 ล้านคน สร้างรายได้ทางเศรษฐกิจกว่า 20,000 ล้านบาท และคาดว่าปีนี้นักท่องเที่ยวจะเพิ่มขึ้นไม่น้อยกว่า 15% (ที่มา: การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย, 2567)

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
  • การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย
  • สำนักงานวัฒนธรรมเชียงราย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI CULTURE

เที่ยวสงกรานต์เชียงแสน สีสันวิถีไทยสู่มรดกโลก

จังหวัดเชียงรายจัดงานแถลงข่าวและเวทีเสวนา “ยล เยือน เมืองเชียงแสน : มหาสงกรานต์บ้านฉัน สีสันวิถีถิ่นวิถีไทย สุขไกลทั่วโลก” ประจำปี 2568

เชียงราย, 31 มีนาคม 2568 – จังหวัดเชียงรายได้จัดงานแถลงข่าวและเวทีเสวนาเพื่อประชาสัมพันธ์การจัดงาน “ยล เยือน เมืองเชียงแสน : มหาสงกรานต์บ้านฉัน สีสันวิถีถิ่นวิถีไทย สุขไกลทั่วโลก” ประจำปี 2568 ซึ่งจะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 12-18 เมษายน 2568 ณ ลานกิจกรรมริมน้ำโขง หมู่ 3 เทศบาลเวียงเชียงแสน อำเภอเชียงแสน จังหวัดเชียงราย

การแถลงข่าวและเวทีเสวนา

การแถลงข่าวจัดขึ้นเมื่อวันที่ 31 มีนาคม 2568 เวลา 14.00 น. ณ ร้านอาหารดาขันข้าว เชียงราย โดยมีผู้เข้าร่วมแถลงข่าวและเสวนา ได้แก่

  • นางสินีนาฏ ทองสุข นายกเหล่ากาชาดจังหวัดเชียงราย
  • นายพิสันต์ จันทร์ศิลป์ วัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย
  • นายคฑาสิทธิ์ เนื่องหล้า นายอำเภอเชียงแสน
  • นางสลักจฤฎดิ์ ติยะไพรัช ประธานสภาวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย
  • นายโชติศิริ ดารายน นายกสมาคมสื่อมวลชนและนักประชาสัมพันธ์เชียงราย

ในงานยังมี น.ส.ปิยะรัฐชย์ ติยะไพรัช สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดเชียงราย เขต 2 และหัวหน้าส่วนราชการ รวมถึงสื่อมวลชนเข้าร่วมรับฟังการแถลงข่าวและเสวนา

วัตถุประสงค์ของการจัดงาน

การจัดงานครั้งนี้มีวัตถุประสงค์หลักดังนี้:

  1. ส่งเสริมวัฒนธรรมและประเพณีท้องถิ่น – อนุรักษ์และสืบสานประเพณีสงกรานต์ให้คงอยู่ต่อไป
  2. ส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม – กระตุ้นเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวในจังหวัดเชียงราย
  3. สร้างความภาคภูมิใจในท้องถิ่น – ยกระดับวัฒนธรรมท้องถิ่นสู่เวทีระดับโลก

นอกจากนี้ยังเป็นการเฉลิมฉลองในโอกาสที่ ประเพณีสงกรานต์ในประเทศไทย ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็น มรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ของมนุษยชาติ โดยองค์การยูเนสโก (UNESCO)

กิจกรรมไฮไลต์

ภายในงานจะมีกิจกรรมหลากหลายที่แสดงถึงเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมของเมืองเชียงแสน ได้แก่:

  • วันที่ 12 เมษายน 2568 เวลา 09.00 น. – พิธีฟ้อนถวายพระเจ้าพรหมมหาราช ณ วัดเจดีย์หลวง
  • วันที่ 16 เมษายน 2568 เวลา 14.00 น. – ขบวนแห่สภาวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย ร่วมกับอำเภอเชียงแสน
  • วันที่ 17 เมษายน 2568 เวลา 10.00 น. – การแสดงระบำเชียงแสนและการบรรเลงดนตรีพื้นเมืองจากเยาวชนท้องถิ่น
  • วันที่ 17 เมษายน 2568 เวลา 18.30 น. – พิธีเปิดงานอย่างเป็นทางการ โดยมีปลัดกระทรวงวัฒนธรรมเป็นประธาน
  • วันที่ 18 เมษายน 2568 เวลา 09.30 น. – การแข่งขันรำวงย้อนยุคจาก 7 องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในอำเภอเชียงแสน
  • วันที่ 18 เมษายน 2568 เวลา 13.00 น. – การประกวดเทพบุตรเจียงแสนหลวง ประจำปี 2568

การส่งเสริมการท่องเที่ยว

การจัดงานในครั้งนี้คาดว่าจะดึงดูดนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติได้จำนวนมาก เนื่องจากอำเภอเชียงแสนมีสถานที่ท่องเที่ยวที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรม อาทิ วัดเจดีย์หลวง และ สามเหลี่ยมทองคำ นอกจากนี้ การจัดกิจกรรมเชื่อมโยงวัฒนธรรมระหว่างประเทศเพื่อนบ้านใน ลุ่มแม่น้ำโขง จะช่วยเสริมสร้างความสัมพันธ์และการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมในระดับภูมิภาค

ความเห็นจากผู้เกี่ยวข้อง

  • ฝ่ายสนับสนุนการจัดงาน: นางสินีนาฏ ทองสุข นายกเหล่ากาชาดจังหวัดเชียงราย กล่าวว่า การจัดงานนี้ไม่เพียงแต่เป็นการเฉลิมฉลองประเพณีสงกรานต์เท่านั้น แต่ยังเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจในท้องถิ่น และส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมอย่างยั่งยืน
  • ฝ่ายผู้เข้าร่วมงาน: นายคฑาสิทธิ์ เนื่องหล้า นายอำเภอเชียงแสน กล่าวเสริมว่าการจัดงานครั้งนี้จะเป็นโอกาสที่ดีในการแสดงศักยภาพด้านวัฒนธรรมและการท่องเที่ยวของเมืองเชียงแสนสู่สายตานักท่องเที่ยวจากทั่วโลก

สถิติที่เกี่ยวข้อง

  • จากข้อมูลของ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) จังหวัดเชียงรายมีนักท่องเที่ยวเข้ามาเยือนมากกว่า 2 ล้านคน ต่อปี โดยมีรายได้จากการท่องเที่ยวกว่า 10,000 ล้านบาท
  • การจัดงานสงกรานต์ในปีที่ผ่านมาสร้างรายได้ให้กับชุมชนในจังหวัดเชียงรายกว่า 300 ล้านบาท

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
  • การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.)
  • กระทรวงวัฒนธรรม
  • สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย
  • UNESCO – รายงานการขึ้นทะเบียนมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม
  •  
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

ทหารช่วยชาวนาตากข้าว สร้างรอยยิ้ม ช่วยเกษตรกรเชียงแสน

ทหารมณฑลทหารบกที่ 37 ร่วมแรงร่วมใจ ช่วยเกษตรกรตากข้าว สร้างรอยยิ้มให้ชุมชน

เมื่อวัน 19 พฤศจิกายน 2567 มณฑลทหารบกที่ 37 ได้จัดกิจกรรมจิตอาสาพระราชทาน “ช่วยด้วยใจ ลดรายจ่าย สร้างรายได้” โดยร่วมกับประชาชนในพื้นที่ตำบลแม่เงิน อำเภอเชียงแสน จังหวัดเชียงราย ในการช่วยกันตากข้าว เพื่อบรรเทาภาระของเกษตรกรและส่งเสริมการเกษตรแบบยั่งยืน

กิจกรรมช่วยเหลือเกษตรกร

กิจกรรมดังกล่าวจัดขึ้น ณ ศาลาเอนกประสงค์บ้านไร่ โดยมีกำลังพลจิตอาสาพระราชทาน มณฑลทหารบกที่ 37 นำโดย ร้อยตรี ณัฐพล บุญทับ หัวหน้าชุดประสานงานสถานีพัฒนาการเกษตรที่สูง ตามพระราชดำริ บ้านธารทอง พร้อมด้วยกำลังพลจิตอาสา ร่วมกันช่วยเหลือเกษตรกรในการตากข้าวที่เก็บเกี่ยวได้ ซึ่งเป็นกิจกรรมที่สอดคล้องกับพระราชดำริ ในการช่วยเหลือประชาชนและพัฒนาคุณภาพชีวิตของคนในชุมชน

วัตถุประสงค์ของกิจกรรม

  • บรรเทาภาระของเกษตรกร: การตากข้าวเป็นกระบวนการที่ต้องใช้แรงงานและเวลามาก การมีกำลังพลจากหน่วยงานต่างๆ เข้ามาช่วยเหลือ จึงเป็นการแบ่งเบาภาระของเกษตรกรได้เป็นอย่างดี
  • ส่งเสริมการเกษตรแบบยั่งยืน: การช่วยกันตากข้าวเป็นการอนุรักษ์เมล็ดพันธุ์ข้าวพื้นเมือง และส่งเสริมให้เกษตรกรมีอาหารบริโภคเพียงพอตลอดทั้งปี
  • สร้างความสัมพันธ์อันดีระหว่างทหารและประชาชน: กิจกรรมนี้เป็นโอกาสที่ดีในการสร้างความสัมพันธ์อันดีระหว่างเจ้าหน้าที่ทหารและประชาชนในพื้นที่
  • ปลูกฝังจิตสำนึกในการช่วยเหลือผู้อื่น: การทำกิจกรรมจิตอาสา ทำให้กำลังพลได้เรียนรู้ถึงความสำคัญของการช่วยเหลือผู้อื่น และมีส่วนร่วมในการพัฒนาชุมชน

สร้างขวัญและกำลังใจให้กับเกษตรกร

กิจกรรมครั้งนี้ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากชาวบ้าน โดยต่างกล่าวขอบคุณกำลังพลทหารที่เข้ามาช่วยเหลือ ซึ่งนอกจากจะช่วยลดภาระในการตากข้าวแล้ว ยังเป็นการสร้างขวัญและกำลังใจให้กับเกษตรกรในการประกอบอาชีพ นอกจากนี้ ยังเป็นการสร้างความสัมพันธ์อันดีระหว่างหน่วยงานทหารและชุมชน ส่งเสริมภาพลักษณ์ที่ดีของกองทัพ

เสียงสะท้อนจากชุมชน

ชาวบ้านในพื้นที่ต่างรู้สึกขอบคุณกำลังพลทหารที่เข้ามาช่วยเหลือเป็นอย่างมาก โดยกล่าวว่า การมีกำลังพลมาช่วยตากข้าว ทำให้พวกเขาสามารถนำเวลาไปทำกิจกรรมอื่นๆ ได้มากขึ้น และยังรู้สึกปลอดภัยที่ได้รับการดูแลจากเจ้าหน้าที่รัฐ

ข้อสรุป

กิจกรรม “ช่วยด้วยใจ ลดรายจ่าย สร้างรายได้” ของมณฑลทหารบกที่ 37 เป็นตัวอย่างที่ดีของการทำงานร่วมกันระหว่างหน่วยงานภาครัฐและชุมชน เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนและพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชน การดำเนินกิจกรรมดังกล่าวสอดคล้องกับพระราชดำริ ในการช่วยเหลือประชาชนและพัฒนาประเทศชาติ

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ทีมข่าวนครเชียงรายนิวส์

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI TRAVEL

‘อ.เชียงแสน’ เปิดสวนสาธารณะใหม่ ลานกิจกรรมธรรมชาติ-จุดพักผ่อน

 

การอัปเดตข่าวสารเกี่ยวกับสวนสาธารณะเมืองเชียงแสน ที่กำลังได้รับการพัฒนาให้เป็นสถานที่พักผ่อนหย่อนใจ และสถานที่ออกกำลังกายของชาวเชียงแสน เป็นหนึ่งในโครงการพัฒนาสาธารณูปโภคที่สำคัญในจังหวัดเชียงราย ซึ่งความคืบหน้าล่าสุดบอกได้เลยว่าสวยงามมาก สวนสาธารณะแห่งนี้มีทั้งลานกิจกรรม ลานสเก็ต และพื้นที่สีเขียวสำหรับการออกกำลังกาย ทำให้เป็นพื้นที่ที่เหมาะสำหรับคนทุกวัยที่จะมาพักผ่อนและทำกิจกรรมต่างๆ โดยสวนสาธารณะแห่งนี้ตั้งอยู่ในใจกลางเมืองเชียงแสน ที่มีประวัติศาสตร์และวิวทิวทัศน์ธรรมชาติที่งดงาม

เชียงแสน อำเภอหนึ่งในจังหวัดเชียงราย ตั้งอยู่ทางทิศเหนือของจังหวัด ล้อมรอบด้วยแม่น้ำโขงและภูเขาสูงทั้งทางฝั่งไทยและลาว ซึ่งเป็นจุดเชื่อมต่อทางวัฒนธรรมและการค้าระหว่างไทย ลาว และพม่า โดยเฉพาะบริเวณ “สามเหลี่ยมทองคำ” ที่มีชื่อเสียงมากในการท่องเที่ยวและการขนส่งสินค้าในภาคเหนือของประเทศไทย

 

เชียงแสนยังเป็นแหล่งโบราณคดีสำคัญ มีซากโบราณสถานมากมายที่บอกเล่าเรื่องราวความรุ่งเรืองในอดีตของเมืองนี้ และเป็นจุดที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวที่สนใจในประวัติศาสตร์และธรรมชาติ เนื่องจากเมืองนี้เป็นพื้นที่ที่มีความอุดมสมบูรณ์จากแม่น้ำโขงไหลผ่าน ทำให้มีการทำการเกษตรและการค้าขายที่เจริญเติบโตมาตั้งแต่สมัยโบราณ

สวนสาธารณะแห่งใหม่ที่กำลังพัฒนาในเชียงแสนไม่เพียงแค่เป็นพื้นที่สีเขียวสำหรับการออกกำลังกายและพักผ่อน แต่ยังเป็นการสร้างภาพลักษณ์ใหม่ให้กับเชียงแสน ซึ่งเป็นเมืองที่มีประวัติศาสตร์ยาวนาน โดยสถานที่ตั้งของสวนสาธารณะนี้อยู่ใกล้แหล่งท่องเที่ยวสำคัญหลายแห่งในเชียงแสน เช่น ซากเมืองโบราณและแม่น้ำโขง ทำให้สามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวให้มาพักผ่อนและท่องเที่ยวในพื้นที่ใกล้เคียงได้ง่ายขึ้น

พื้นที่เชียงแสนมีอาณาเขตที่ติดต่อกับอำเภอแม่สาย รัฐฉานของประเทศพม่า และแขวงบ่อแก้วของประเทศลาว ซึ่งสร้างโอกาสในการพัฒนาเศรษฐกิจและการค้าข้ามชาติ ทำให้เชียงแสนกลายเป็นหนึ่งในศูนย์กลางการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศในภาคเหนือของประเทศไทย

 

 

สำหรับนักท่องเที่ยวที่ชื่นชอบธรรมชาติและประวัติศาสตร์ เชียงแสนถือเป็นหนึ่งในจุดหมายปลายทางที่ไม่ควรพลาด ด้วยวิวทิวทัศน์ที่งดงามและความเป็นมาอันยาวนาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการพัฒนาในปัจจุบันที่ทำให้เชียงแสนมีความทันสมัยมากขึ้น แต่ยังคงรักษาเสน่ห์ของเมืองโบราณไว้อย่างดี

สำหรับการเดินทางมาท่องเที่ยวในเชียงแสน นักท่องเที่ยวสามารถเดินทางมาได้สะดวกทั้งทางรถยนต์ส่วนตัวและรถโดยสารจากตัวเมืองเชียงราย การท่องเที่ยวที่นี่ไม่เพียงแค่ได้สัมผัสกับธรรมชาติอันงดงาม แต่ยังได้เรียนรู้เกี่ยวกับประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมที่หลากหลายของพื้นที่นี้

สุดท้ายนี้ ขอเชิญชวนทุกท่านที่สนใจมาเที่ยวชมสวนสาธารณะเมืองเชียงแสน และสำรวจเมืองประวัติศาสตร์อันยิ่งใหญ่แห่งนี้ ที่ยังคงความเป็นธรรมชาติและเสน่ห์ทางวัฒนธรรมไว้อย่างดี

เครดิตข้อมูลจาก : ทีมข่าวนครเชียงรายนิวส์

ภาพโดย : Kho RachaSit

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

นายกฯ ศึกษาแนวทางแก้ไขระบบ ชลประทานขาดแคลนน้ำ อ.เชียงแสน

 

เมื่อวันที่ 13 กรกฎาคม 2567 นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี พร้อมด้วย นางสาวจิราพร สินธุไพร รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี นายจุลพันธ์  อมรวิวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง นายพิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน รองประธานสภาผู้แทนราษฎรคนที่ 2 และคณะ ลงพื้นที่ศึกษาแนวทางการแก้ไขปัญหาระบบชลประทานและพบปะประชาชน ณ หน่วยเรือรักษาความสงบเรียบร้อยตามลำน้ำโขง เขตเชียงรายย อ.เชียงแสน จ.เชียงราย โดยมีประชาชนชาวเชียงแสนให้การต้อนรับ

 

โดยนายกรัฐมนตรี พบปะประชาชนเพื่อรับฟังปัญหาและรับเรื่องร้องทุกข์ของประชาชน และฟังการนำเสนอโครงการสถานีสูบน้ำด้วยไฟฟ้าพร้อมระบบส่งน้ำเชียงแสน จากนั้น ได้ร่วมรับฟังแผนพัฒนาจังหวัดเชียงราย จากหน่วยงานต่างๆ ในพื้นที่

 

สำหรับโครงการสถานีสูบน้ำด้วยไฟฟ้าพร้อมระบบส่งน้ำเชียงแสน  จะเป็นแหล่งน้ำต้นทุนสำหรับปรุงพื้นที่เกษตรกรรมจำนวน 2,100 ไร่ รวมทั้งช่วยแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนจากการขาดแคลนน้ำในช่วงฤดูแล้ง ให้แก่ราษฎรบ้านห้วยเกี๋ยง ตำบลเวียง อำเภอเชียงแสน และหมู่บ้านข้างเคียงรวม 5 หมู่บ้าน จำนวน 5,246 ครัวเรือน ประชากรจำนวน 9,583 คน ให้มีน้ำใช้เพียงพอตลอดทั้งปี ทั้งยังเป็นการรักษาระบบนิเวศของคูเมืองโบราณ เพิ่มทัศนียภาพ และส่งเสริมด้านการท่องเที่ยวของเมืองโบราณเชียงแสนอีกด้วย

 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI TOP STORIES

กลุ่มทุนรุกป่าดอยสะโง้นับ 1,000 ไร่ สร้างรีสอร์ท-ทดแหล่งน้ำไปใช้เอง

 

เมื่อวันที่ 16 พฤษภาคม 2567 ที่หมู่บ้านดอยสะโง้ หมู่ 7 ต.ศรีดอนมูล อ.เชียงแสน จ.เชียงราย นายเศกสันต์ กองศรี กำนัน ต.ศรีดอนมูล พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่สำนักจัดการทรัพยากรป่าไม้ที่ 2 (เชียงราย) สำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 15 (เชียงราย) ศูนย์พัฒนาโครงการหลวงสะโง๊ะ และชาวบ้านดอยสะโง้ ร่วมตรวจแนวเขตแดนและพิกัดของพื้นที่ปาไม้และที่ดินที่มีผู้เข้าไปครอบครอง หลังจากชาวบ้านดอยสะโง้เคยร้องเรียนไปยังหลายหน่วยงานว่ามีการบุกรุกป่า และนายเศกสันต์ได้ถวายฎีกาต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ เมื่อครั้นเสด็จพระราชดำเนินไปยัง อ.เชียงแสน เมื่อเดือน มี.ค.2567

 

โดยชาวบ้าน ระบุว่า เดิมดอยสะโง้ เคยมีความอุดมสมบูรณ์ด้วยต้นไม้และแหล่งน้ำ รวมทั้งเป็นสถานที่ท่องเที่ยวสูงจากระดับน้ำทะเลปานกลาง 709 เมตร เป็นจุดชมวิว 3 แผ่นดิน คือ สามเหลี่ยมทองคำ ไทย สปป.ลาว และเมียนมา และเป็นที่ตั้งของศูนย์พัฒนาโครงการหลวงสะโง๊ะ ที่เป็นแหล่งปลูกพืชต่างๆ สร้างงานสร้างรายได้ให้กับกลุ่มชาติพันธุ์อาข่า แต่ปรากฎว่าตั้งแต่ปี 2557 เป็นต้นมาได้มีกลุ่มทุนบุกรุกตัดต้นไม้และปรับถางที่ดิน มีการปลูกส้มหลายร้อยไร่และสร้างสิ่งปลูกสร้างต่างๆ เช่น รีสอร์ท ที่พัก ฯลฯ เพื่อหาผลประโยชน์จากแหล่งท่องเที่ยว ทำให้เกิดปัญหาแหล่งน้ำบนดอยสะโง้แห้ง หรือถูกกลุ่มทุนผันน้ำนำไปใช้ส่วนตัว ส่งผลให้ชาวบ้านเดือดร้อนและยังมีปัญหาขยะเพิ่มขึ้นมาอีก
ดังนั้นในปี 2562 ชาวบ้านจึงได้ร้องเรียนไปยังหลายหน่วยงาน แต่ก็ไม่สามารถหยุดการบุกรุกป่าทั้งในเขตป่าสงวนแห่งชาติและสวนป่าแม่มะ-สบรวก ที่อยู่ในการดูแลของหน่วยงานป่าไม้ทั้ง 2 หน่วยงานดังกล่าว และมีแนวโน้มจะบุกรุกเพิ่มขึ้น
 
 
นายเศกสันต์ กล่าวว่า ในอดีตดอยสะโง้เป็นแหล่งน้ำโดยเฉพาะลำห้วยม่วงที่ชาว ต.ศรีดอนมูล ได้ใช้ประโยชน์ แต่ถูกกลุ่มนายทุนที่มีเงินและอิทธิพลเข้าไปบุกรุก กระทั่งปี 2567 ความแห้งแล้งรุนแรงมากเพราะป่าไม้ถูกทำลายไปนับ 1,000 ไร่ ส่วนลำห้วยก็ถูกนายทุนกั้นน้ำเอาไว้ใช้ส่วนตัว ตนจึงได้เป็นตัวแทนชาวบ้านทูลเกล้าถวายฎีกาต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ดังนั้นในครั้งนี้ตนหวังว่าหน่วยงานต่างๆ จะแก้ไขปัญหาให้สำเร็จเพราะ 4-5 ปีที่ผ่านมา มีการตรวจสอบหลายครั้งแต่ก็ไม่มีการแก้ไขปัญหา
 
 
สำหรับครั้งนี้เจ้าหน้าที่ได้เริ่มสำรวจว่าจุดใดอยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติ เขตป่าอุทยาน หรือพื้นที่การเกษตรแล้ว จากนั้นจะบูรณาการจำแนกพื้นที่หากพบมีการบุกรุกในเขตรับผิดชอบของหน่วยงานใดก็จะมีการดำเนินคดีจนครบทั้ง 1,000 ไร่ต่อไป.
 
 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ทีมข่าวนครเชียงรายนิวส์

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI TRAVEL

วธ.เปิดตัวเที่ยวชุมชน ยลวิถี เชียงแสน ชุมชนวัดพระธาตุผาเงา (บ้านสบคำ)

 
เมื่อวันที่ 27 เมษายน 2567 นางยุพา ทวีวัฒนะกิจบวร ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม เป็นประธานพิธีเปิดตัว      สุดยอดชุมชนต้นแบบ “เที่ยวชุมชน ยลวิถี” ชุมชนคุณธรรมฯ วัดพระธาตุผาเงา (บ้านสบคำ) และลานวัฒนธรรมสร้างสุข โดยมี พระพุทธิญาณมุนี เจ้าคณะจังหวัดเชียงราย เจ้าอาวาสวัดพระธาตุผาเงา นางอุบลรัตน์ พ่วงภิญโญ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย ผู้บริหารกระทรวงวัฒนธรรม คณะกรรมการตรวจสอบและประเมินผลประจำกระทรวงวัฒนธรรม (ค.ต.ป.วธ.) นายพิสันต์ จันทร์ศิลป์ วัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย รวมถึงหัวหน้าหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน เครือข่ายสภาวัฒนธรรม และชาวชุมชนวัดพระธาตุผาเงา (บ้านสบคำ) เข้าร่วม ณ ชุมชนคุณธรรมฯ วัดพระธาตุผาเงา (บ้านสบคำ) ตำบลเวียง อำเภอเชียงแสน จังหวัดเชียงราย ในโอกาสนี้ ได้มีการแสดงศิลปวัฒนธรรม เพื่อต้อนรับ ชุด “ตีกลองหลวง” โดยกลุ่มตีกลองหลวงวัดพระธาตุผาเงา การแสดงในพิธีเปิด ชุด “ฮอมขวัญตราบนิรันดร์ สถิตมั่นแขกแก้วมาเยือน”  จากโรงเรียนเชียงแสนวิทยาคม รวมถึงการแสดงศิลปวัฒนธรรมพื้นบ้าน ชุดการเต้นบาสโลบ และการแสดงของกลุ่มแม่บ้านสบคำ ที่มีความสวยงาม สนุกสนาน สะท้อนอัตลักษณ์ วิถีชีวิตของชาวชุมชนวัดพระธาตุผาเงา(บ้านสบคำ) ได้เป็นอย่างดี
 
 
จากนั้น ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม และคณะได้เดินเยี่ยมชมตลาดวัฒนธรรม “อิ่มบุญ ยลวิถีผาเงา”ชมการแสดงขับทุ้มหลวงพระบาง โดยคณะขับทุ้มบ้านสบคำ ชมการสาธิตภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม อาทิ กลุ่มทอผ้าล้านนาลายอัตลักษณ์เชียงแสน กลุ่มวิสาหกิจชุมชนสมุนไพรวัดพระธาตุผาเงา ชมฐานการเรียนรู้ของโรงเรียนคนสามวัยวัดพระธาตุผาเงา เช่น การตัดตุง การทำตุงข้าวเปลือก การทำผางประทีป รวมถึงชมฐานแหล่งเรียนรู้และภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมที่โดดเด่นของชุมชน อาทิ พิธีเรียกขวัญ (ซ้อนขวัญ) ตามความเชื่อชาวไท-ลาว ฐานการเรียนรู้ “การประดิษฐ์เรือไฟเล็ก (สะเปา)” ในงานประเพณีไหลเรือไฟ ซึ่งเป็นประเพณีสำคัญของชุมชนบ้านสบคำ หนึ่งเดียวในจังหวัดเชียงราย อีกด้วย นอกจากนี้ ภายในงานมีการจำหน่ายผลิตภัณฑ์วัฒนธรรมไทย CPOT และผลิตภัณฑ์ สินค้า ของดีชุมชนฯ ตลอดจนการจัดแสดงนิทรรศการและสาธิตโดยหน่วยงานในพื้นที่
 
 
นางยุพาฯ กล่าวว่า ขอแสดงความยินดีกับจังหวัดเชียงราย และชุมชนคุณธรรมฯ วัดพระธาตุผาเงา(บ้านสบคำ) ที่ได้รับรางวัล 10 สุดยอดชุมชนต้นแบบ “เที่ยวชุมชน ยลวิถี” ประจำปี พ.ศ. 2566 ที่คัดอย่างเข้มข้นจาก 76 ชุมชน ทั่วประเทศ ตามที่กระทรวงวัฒนธรรม (วธ.) ได้ขับเคลื่อนการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม จัดโครงการ “เที่ยวชุมชน ยลวิถี” มาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2564 จนถึงปัจจุบัน มีชุมชนได้รับการคัดเลือกมาแล้วกว่า 30 ชุมชน ตามนโยบายของรัฐบาล ในการขับเคลื่อน Soft Power ของไทยสู่นานาชาติ ด้วยการนำทุนทางวัฒนธรรมของชุมชน มาพัฒนาต่อยอด สร้างสรรค์สินค้าและบริการ ทั้งนี้ ชุมชนวัดพระธาตุผาเงา หรือชุมชนบ้านสบคำ นับเป็นชุมชนคุณธรรมที่น้อมนำหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง มีผู้นำ “พลังบวร” และเครือข่ายที่เข้มแข็ง ประชาชนมีความสุข มีความรักสามัคคี มีการสืบสาน รักษา ต่อยอด ภูมิปัญญาของท้องถิ่น ซึ่งยืนยันได้ว่า ชุมชนแห่งนี้เป็นชุมชนที่มีศักยภาพ มีคุณภาพ และมีความพร้อมด้านการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมสร้างสรรค์ในทุกมิติ สามารถต่อยอดไปสู่การท่องเที่ยวคุณภาพสูงเพื่อรองรับนักท่องเที่ยวทุกประเภทอย่างยั่งยืนสืบไป โดยการต่อยอดต่อจากนี้ กระทรวงวัฒนธรรม (วธ.) พร้อมร่วมเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ ให้นักท่องเที่ยวชาวไทยและต่างชาติมาเยือน และศึกษาเรียนรู้อัตลักษณ์ วิถีชีวิต วัฒนธรรม และประเพณีของชุมชนมากยิ่งขึ้น
 
 
“ชุมชนวัดพระธาตุผาเงา (บ้านสบคำ)” ตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำโขงทางด้านทิศตะวันตก ชื่อของวัดนี้มาจาก พระธาตุที่ตั้งอยู่บนยอดหินก้อนใหญ่มีลักษณะคล้ายรูปทรงเจดีย์ คำว่า “ผาเงา” คือ เงาของก้อนหิน จึงตั้งชื่อว่า “พระธาตุผาเงา” ตั้งอยู่ในเขตประวัติศาสตร์เมืองเชียงแสนน้อย หรือเวียงปรึกษา มีการขุดค้นพบ “พระพุทธรูปหลวงพ่อผาเงา” เมื่อวันที่ 17 มีนาคม 2519 คาดว่ามีอายุเก่าแก่มากถึง 1,300 ปี ภายในวัดพระธาตุผาเงา มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ประชาชนสามารถมาสักการะและท่องเที่ยวได้ตลอดทั้งปี เป็นแหล่งท่องเที่ยวและแหล่งเรียนรู้  ด้านศาสนา ศิลปะ วัฒนธรรม และประวัติศาสตร์ อาทิ หอพระไตรปิฎกเฉลิมพระเกียรติฯ หอพระบรมฉายามหาราชพุทธิรังสรรค์ หอวัฒนธรรมนิทัศน์ และพิพิธภัณฑ์ผ้าทอล้านนาเชียงแสน
 
 
เชิญมาสัมผัสวิถีวัฒนธรรม  อันดีงามของชาวบ้านสบคำเป็นชาวไทยเชื้อสาย ไท-ลาว ไท-ยวน ไท-ลื้อ มีอัตลักษณ์เฉพาะตัว และยังมีเส้นทางท่องเที่ยวเชื่อมโยงจากวัดพระธาตุผาเงาอีกหลายแห่ง ได้แก่ สกายวอร์คผาเงาสามแผ่นดิน พิพิธภัณฑ์ผ้าทอล้านนาเชียงแสน จุดชมวิวสองฝั่งโขงบ้านสบคำ และวัดสบคำ เป็นต้น เมื่อเดินทางไปเที่ยวในชุมชนแห่งนี้ พลาดไม่ได้คืออาหาร คือ ปลาเนื้ออ่อนทอดกระเทียม และลาบปลาแม่น้ำโขง รวมถึงยังมีผลิตภัณฑ์วัฒนธรรมไทย ให้ซื้อกัน     เป็นที่ระลึก คือ ผ้าทอล้านนาลายเชียงแสน และสมุนไพรวัดพระธาตุผาเงา ด้านเทศกาลประเพณีที่จะดึงดูด ให้นักท่องเที่ยวมาเที่ยวกันตลอดปี ไม่ว่าจะเป็นประเพณีสรงน้ำพระธาตุผาเงา ในช่วง 12-20 เมษายนของทุกปี ประเพณีบุญข้าวประดับดิน ในวันแรม 14 ค่ำ เดือน 9 ของทุกปี และประเพณีไหลเรือไฟ 12 ราศี เป็นต้น

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สนง.วัฒนธรรม เชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI CULTURE

สืบสานประเพณีสรงน้ำพระธาตุเจดีย์หลวง และพระธาตุจอมกิตติ อ.เชียงแสน

 

เมื่อวันที่ 23 เมษายน 2567 เวลา 09.00 น. นางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย เป็นประธานในพิธีสืบสานประเพณีสรงน้ำพระธาตุเจดีย์หลวง ณ วัดพระธาตุเจดีย์หลวง ตำบลเวียง อำเภอเชียงแสน โดยได้รับเมตตาจากพระเดชพระคุณพระครูสุวรรณ วิสุทธิคุณ เจ้าคณะตำบลเวียง เขต 3 พระครูวิจารณ์ ธรรมสุนทร เจ้าอาวาสวัดพระธาตุเจดีย์หลวง นายคฑาสิทธิ์ เนื่องหล้า นายอำเภอเชียงแสน นายสุวิน เครื่องสีมา ส.อบจ.เชียงราย อ.เชียงแสน เขต 1 นายอนุรักษ์ ทองเสรี ส.อบจ.เชียงราย อ.เชียงแสน เขต 2 พ.ต.อ. ถนัด ชุ่มมะโน ผู้กำกับสถานีตำรวจภูธรเชียงแสน นางเกศสุด สังขกร นายกเทศมนตรีตำบลเวียงเชียงแสน หัวหน้าส่วนราชการ ผู้นำท้องที่ ท้องถิ่น ร่วมให้การต้อนรับและร่วมประกอบพิธีในครั้งนี้ด้วย.

 

วัดพระธาตุเจดีย์หลวง อำเภอเชียงแสน จังหวัดเชียงราย หรือวัดพระเจ้าตนหลวง เป็นวัดโบราณในอำเภอเชียงแสน สร้างโดยพระเจ้าแสนภู เป็นวัดที่สำคัญของหิรัญนครเงินยาง อาณาจักรล้านนาเจดีย์หลวงในชื่อของวัดนั้น เชื่อว่าได้ชื่อมาจาก “พระธาตุเจดีย์หลวง” พระเจดีย์องค์ใหญ่ที่สูง 88 เมตร มีฐานกว้าง 24 เมตร เป็นพระเจดีย์ทรงระฆังแบบล้านนาที่ใหญ่ที่สุดในเมืองเชียงแสน ภายในวัดนอกจากพระเจดีย์หลวงแล้วยังมีพระวิหารและองค์เจดีย์อีก 4 องค์ ซึ่งล้วนปรักหักพังอย่างมาก กรมศิลปากรได้ประกาศขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถานแห่งชาติเมื่อ พ.ศ. 2478
 
 
การประกอบพิธีสรงน้ำพระธาตุเจดีย์หลวง ในครั้งนี้ได้อันเชิญน้ำศักดิ์สิทธิ์จากแม่น้ำห้าสาย (เบญจวารี) และบ่อน้ำทิพย์ จำนวน 5 บ่อ มาใช้ในการประกอบพิธีสรงน้ำพระธาตุเจดีย์หลวง เพื่อการส่งเสริมศาสนา วัฒนธรรมประเพณีภูมิปัญญาท้องถิ่นอันดีงาม และความเป็นสิริมงคล กับผู้ที่เคารพนับถือในองค์พระธาตุเจดีย์หลวงและได้ทำพิธีกรรม ทางศาสนาอุทิศผลบุญกุศลไปถึงผู้สร้างบ้านแปงเมืองเชียงแสน ได้อย่างยิ่งใหญ่ในอดีตกาล 
 
 
ส่งผลถึงปัจจุบันที่เรียกว่ามรดกทางวัฒนธรรม และโบราณสถาน ที่ปรากฏให้เห็นทั่วทุกสาระทิศในเมืองเชียงแสน ซึ่งองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย ได้สนับสนุนงบประมาณจำนวน 100,000 บาท เพื่อส่งเสริมกิจกรรมทางพุทธศาสนาที่เป็นประเพณีสืบทอดกันมาแต่อดีตกาล เป็นสิริมงคลกับชีวิต และเป็นแบบอย่างแก่เยาวชน คนรุ่นต่อไปและในเวลาต่อมาได้ร่วมสรงน้ำพระธาตุจอมกิตติ 1 ในพระธาตุ 9 จอม พระธาตุศักดิ์สิทธิ์ของจังหวัดเชียงราย เพื่อความเป็นสิริมงคล และสืบสานประเพณี วัฒนธรรมของ อ.เชียงแสน อีกด้วย
 
 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : อบจ.เชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI CULTURE

วัฒนธรรมเชียงราย โชว์เหนือ คว้าโล่รางวัลชุมชนต้นแบบ 3 ปีติด

 

เมื่อวันจันทร์ที่ 22 เมษายน 2567 ณ หอศิลป์แห่งชาติ กระทรวงวัฒนธรรมกระทรวงวัฒนธรรมจัดพิธีมอบโล่รางวัลเชิดชูเกียรติ 10 สุดยอด ชุมชนต้นแบบ “เที่ยวชุมชน ยลวิถี” ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 โดย  นายเสริมศักดิ์ พงษ์พานิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม เป็นประธานพิธีมอบโล่เชิดชูเกียรติ 10 สุดยอดชุมชนต้นแบบ “เที่ยวชุมชน ยลวิถี” ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 โดยมีนางยุพา ทวีวัฒนะกิจบวร ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม ผู้บริหารกระทรวงวัฒนธรรม รองผู้ว่าราชการจังหวัด ผู้นำชุมชน 10 สุดยอดชุมชนต้นแบบ “เที่ยวชุมชน ยลวิถี” ผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ข้าราชการและเจ้าหน้าที่กระทรวงวัฒนธรรม เข้าร่วม ณ หอศิลป์แห่งชาติ กระทรวงวัฒนธรรม

 ทั้งนี้ นายพุฒิพงศ์ ศิริมาตย์ ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย มอบหมายให้ นางสุภาพรรณ  หมั่นเจริญ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย และนายพิสันต์  จันทร์ศิลป์ วัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย เข้ารับโล่รางวัลผู้สนับสนุนการขับเคลื่อนชุมชนฯ

 

ในการนี้ พระพุทธิญาณมุนี เจ้าคณะจังหวัดเชียงราย เจ้าอาวาสวัดพระธาตุผาเงา และนายอานนท์  สมพันธ์ ผู้ใหญ่บ้านสบคำ เข้ารับโล่รางวัล 10 สุดยอดชุมชนต้นแบบ “เที่ยวชุมชน ยลวิถี” ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2566

 

ในโอกาสนี้ ชุมชนคุณธรรมฯ วัดพระธาตุผาเงา (บ้านสบคำ) ได้นำทุนทางวัฒนธรรมของชุมชนมาพัฒนาต่อยอดสู่อุตสาหกรรมสร้างสรรค์ หรือ Soft Power ด้านต่างๆ เพื่อให้เกิดคุณค่าและมูลค่าอย่างสร้างสรรค์ โดยร่วมจัดแสดงนิทรรศการ สาธิตภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม และนำผลิตภัณฑ์ชุมชน อาทิ ผ้าทอล้านนาลายอัตลักษณ์เชียงแสน และสมุนไพรวัดพระธาตุผาเงา มาร่วมจัดแสดงในงานดังกล่าวด้วย

 

ทั้งนี้ จังหวัดเชียงรายโดยสำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย กำหนดจัดพิธีเปิดสุดยอดชุมชนคุณธรรมต้นแบบ “เที่ยวชุมชน ยลวิถี” ชุมชนคุณธรรมฯ วัดพระธาตุผาเงา (บ้านสบคำ) โดยได้รับเกียรติจาก นางยุพา ทวีวัฒนะกิจบวร ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม จะมาเป็นประธานในพิธีฯ ในวันเสาร์ที่ 27 เมษายน 2567 เวลา 9.00 น. เป็นต้นไป ณ บริเวณลานจอดรถ1 วัดพระธาตุผาเงา ตำบลเวียง อำเภอเชียงแสน จังหวัดเชียงราย กิจกรรมประกอบด้วย การแสดงศิลปะวัฒนธรรมพื้นบ้าน อาทิ การขับทุ้ม การตีกลองหลวง การเต้นบาสโลบ เป็นต้น การสาธิตภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม อาทิ วิถีชีวิตของกลุ่มชาติพันธุ์ไท-ลาว การบายศรีสู่ขวัญ อาหารพื้นบ้าน ภูมิปัญญาของโรงเรียนสามวัยวัดพระธาตุผาเงา ฯลฯนิทรรศการของส่วนราชการ ชุมชนต่างๆ ชมและช้อปสินค้าทางวัฒนธรรม CPOT และสินค้าชุมชนในตลาดวัฒนธรรม “อิ่มบุญ ยลวิถีผาเงา” และลานวัฒนธรรมสร้างสุข

          จังหวัดเชียงราย เป็นจังหวัดเดียวที่ได้รับการคัดเลือกสุดยอดชุมชนคุณธรรมต้นแบ “เที่ยวชุมชนยลวิถี” ติดต่อกัน 3 ปี คือ พ.ศ.2564 ชุมชนวัดท่าข้ามศรีดอนชัย อ.เชียงของ, พ.ศ.2565 ชุมชนบ้านเมืองรวง อ.เมืองเชียงราย และ พ.ศ.2566 ชุมชนวัดพระธาตุผาเงา(บ้านสบคำ) อ.เชียงแสน

ความศักดิ์สิทธิ์ของวัดพระธาตุผาเงาตามความเชื่อของชาวบ้านนั้น เชื่อกันว่าหากใครเจ็บไข้ได้ป่วยแล้วมาสักการบูชาที่วัดนี้ อาการป่วยก็จะทุเลาลงและหายในที่สุดอย่างน่าอัศจรรย์ใจ

ตั้งอยู่บ้านสบคำ ตำบลเวียง สันนิษฐานว่าเป็นวัดที่สำคัญในสมัยอาณาจักรโยนก เดิมชื่อว่า วัดสบคำ ตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำโขง ต่อมาถูกกระแสน้ำพัดพังทลายลงเกือบหมดวัดจึงได้สร้างวัดขึ้นมาใหม่ ปี พ.ศ. 2519 มีการปรับพื้นที่บริเวณวัดใหม่จึงมีการขุดพบพระพุทธรูป อายุระหว่าง 700-1,300 ปี จึงได้เรียกพระพุทธรูปว่า “หลวงพ่อผาเงา” คำว่า “ผาเงา” หมายถึง เงาของก้อนผาหรือก้อนหิน ซึ่งมีขนาดใหญ่ทรงคล้ายเจดีย์ เวลาพระอาทิตย์ส่องผ่านก้อนหินทำให้เกิดเงาขนาดใหญ่ ชาวบ้านจึงเรียกว่า “พระธาตุผาเงา”

 

สิ่งที่น่าสนใจภายในวัด ได้แก่ – พระอุโบสถ เป็นอาคารไม้แกะสลักด้วยไม้สักทอง สถาปัตยกรรมแบบล้านช้างผสมผสานล้านนา ภายในประดิษฐาน พระเชียงแสนสิงห์ 1 เป็นพระประธาน มีพุทธลักษณะงดงาม มีจิตรกรรมฝาผนังบอกเล่าเรื่องราวพุทธประวัติ – หอพระบรมฉายามหาราชพุทธิรังสรรค์ ภายในมีอนุสาวรีย์พ่อขุนเม็งรายมหาราชและพระฉายาลักษณ์ของราชวงศ์ รวมทั้งบุคคลสำคัญที่มาเยือนวัดพระธาตุผาเงา – วิหารหลวงพ่อผาเงา ภายในประดิษฐานพระพุทธรูปหลวงพ่อผาเงา

 

ซึ่งถูกขุดพบเมื่อมีการปรับแต่งพื้นที่ของวัดมีพุทธลักษณะงดงาม จึงตั้งชื่อว่า “หลวงพ่อผาเงา” และเปลี่ยนชื่อวัดใหม่จากเดิมที่ชื่อวัดสบคำ มาเป็นวัดพระธาตุผาเงา – พระธาตุผาเงา ตั้งอยู่บนยอดหินก้อนใหญ่ คำว่าผาเงา ก็คือเงาของก้อนหิน มีลักษณะสูงใหญ่คล้ายรูปทรงเจดีย์และสร้างร่มเงาได้ดีมาก – พระบรมธาตุพุทธนิมิตเจดีย์ ตั้งอยู่บนยอดเขา เป็นเจดีย์ขนาดใหญ่สร้างครอบองค์พระธาตุเจ็ดยอดที่เหลือแต่ซากฐาน สูง 5 เมตร ภายในยังมีฐานของพระธาตุเจ็ดยอดองค์เดิมและมีภาพเขียนฝาผนังบอกเล่าเรื่องราวพระราชประวัติพระนางจามเทวี ด้านนอกสามารถเดินรอบได้ลักษณะคล้ายป้อมปราการ

 

สามารถมองเห็นทิวทัศน์สวยงามได้โดยรอบ – สกายวอร์กผาเงา 3 แผ่นดิน ตั้งอยู่ใกล้กับพระบรมธาตุพุทธนิมิตเจดีย์ ห่างจากแม่น้ำโขงประมาณ 400 เมตร เป็นสะพานกระจกรูปแปดเหลี่ยม มีความสูง 25 เมตร ทางเข้าและออกเชื่อมต่อกับถนนรอบพระบรมธาตุพุทธนิมิตเจดีย์ เป็นทางเดินพื้นกระจกนิรภัยลามิเนตและโลหะ สามารถเห็นวิวทิวทัศน์ริมแม่น้ำโขงทั้งฝั่งไทย และบ้านดอนสะหวัน เมืองต้นผึ้ง แขวงบ่อแก้ว สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว

 

มีบริการรถรับส่งบริเวณลานจอดรถหน้าพระอุโบสถ อัตราค่าเข้าชม สกายวอร์ก วัดพระธาตุผาเงา ผู้ใหญ่ 40 บาท เด็กสูงไม่เกิน 120 เซนติเมตร ไม่มีค่าใช้จ่าย จำกัดจำนวนผู้เข้าชมรอบละ 10

 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สนง.วัฒนธรรม เชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News