Categories
AROUND CHIANG RAI EDITORIAL

ลาก่อนความทรงจำ ‘บ้านถ้ำผาจม’ ตัดใจทุบบ้านหลังน้ำท่วมหนักที่แม่สาย

บ้านพังทั้งหลัง น้ำท่วมแม่สายสร้างความเสียหาย ชาวบ้านรอความช่วยเหลือด่วน

เมื่อวันที่ 10 ตุลาคม 2567 หลังจากสถานการณ์น้ำท่วมครั้งใหญ่ที่เกิดขึ้นในพื้นที่ อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย สร้างความเสียหายอย่างหนักให้กับบ้านเรือนและชุมชนในบริเวณดังกล่าว โดยมีผู้ใช้โซเชียลที่ชื่อว่า อนันต์ ปุระ โพสต์ภาพบ้านของตนที่จำเป็นต้องรื้อทิ้งหลังน้ำท่วม เนื่องจากโครงสร้างพังเสียหายทั้งหลัง คานรับน้ำหนักหัก ทำให้ไม่สามารถซ่อมแซมได้ จึงต้องทำเรื่องขอความช่วยเหลือจากหน่วยงานภาครัฐและเอกชนในการสร้างบ้านใหม่

บ้านพังทั้งหลัง น้ำท่วมกระหน่ำเสียหายยับเยิน

บ้านหลายหลังในเขต บ้านถ้ำผาจม ตำบลเวียงพางคำ อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย และพื้นที่โดยรอบถูกน้ำท่วมอย่างหนัก หลายครอบครัวต้องเผชิญกับความสูญเสียอย่างใหญ่หลวง บางครอบครัวต้องรื้อถอนบ้านทั้งหลังเนื่องจากโครงสร้างพังเสียหายเกินกว่าจะซ่อมแซมได้ ส่งผลให้ชาวบ้านต้องอาศัยอยู่ในศูนย์พักพิงชั่วคราวหรือบ้านญาติเป็นการชั่วคราว ขณะที่บางครอบครัวเลือกที่จะกางเต็นท์อยู่หน้าบ้านตัวเองเพื่อดูแลทรัพย์สินที่ยังหลงเหลืออยู่

ชาวบ้านแม่สายเผยความเดือดร้อน รอการช่วยเหลือ

อนันต์ ปุระ ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ประสบภัย ได้โพสต์ข้อความสะท้อนความรู้สึกผ่านโซเชียลมีเดียว่า “บ้านหลังเก่าไป บ้านหลังใหม่มา แต่กว่าจะได้บ้านใหม่กลับมาไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะไม่รู้จะเริ่มจากตรงไหน ติดต่อหน่วยงานใด ต้องใช้งบประมาณจำนวนมาก” เขาเล่าว่าตอนนี้ได้รับความช่วยเหลือเบื้องต้นจาก มูลนิธิพึ่ง(ภา)ยามยาก และ มูลนิธิทรรมนัส พรหมเผ่า ที่เข้ามาสนับสนุนตั้งแต่วันแรกของน้ำท่วม แต่ปัญหาที่เผชิญอยู่ตอนนี้คือการสร้างบ้านใหม่ที่ต้องใช้งบประมาณสูงและยังไม่มีหน่วยงานใดเข้ามาช่วยเหลืออย่างเป็นทางการ

หน่วยงานมูลนิธิและภาคเอกชนเข้าช่วยเหลือ แต่ยังไม่เพียงพอ

แม้จะมีมูลนิธิต่าง ๆ เช่น มูลนิธิไอแคร์ และ มูลนิธิพึ่ง(ภา)ยามยาก เข้ามาช่วยเหลือในเรื่องของการจัดหาสิ่งของจำเป็นและการฟื้นฟูเบื้องต้น แต่การสร้างบ้านใหม่และการซ่อมแซมโครงสร้างนั้นต้องอาศัยงบประมาณและผู้เชี่ยวชาญจากภาครัฐเข้ามาร่วมมือกัน เพื่อให้การฟื้นฟูเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น เนื่องจากบางพื้นที่มีปัญหาเรื่องการกัดเซาะของน้ำและดินโคลนจำนวนมาก ทำให้การก่อสร้างหรือซ่อมแซมในพื้นที่ดังกล่าวมีความเสี่ยงสูง

บ้านถล่ม โครงสร้างเสียหาย ซ่อมแซมไม่ได้ต้องรื้อถอนใหม่

ปัญหาสำคัญที่ชาวบ้านแม่สายต้องเผชิญในขณะนี้คือ การรื้อถอนและสร้างบ้านใหม่เนื่องจากบ้านที่ได้รับความเสียหายมีโครงสร้างที่ไม่สามารถซ่อมแซมได้ โดยเฉพาะบ้านที่อยู่ใกล้กับลำน้ำแม่สายซึ่งมีการกัดเซาะของน้ำอย่างรุนแรง ทำให้โครงสร้างเสียหายถึงขั้นต้องรื้อถอนทั้งหมด ชาวบ้านบางส่วนระบุว่า หากไม่มีการสร้างกำแพงกั้นน้ำหรือการจัดการป้องกันที่มีประสิทธิภาพ น้ำท่วมในอนาคตก็อาจสร้างความเสียหายซ้ำอีกครั้ง

เรียกร้องความช่วยเหลือจากภาครัฐและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

ชาวบ้านในพื้นที่จึงเรียกร้องให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น สำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย หรือ กรมโยธาธิการและผังเมือง ลงพื้นที่สำรวจและจัดทำแผนฟื้นฟูโดยด่วน เพื่อช่วยซ่อมแซมบ้านเรือนและระบบโครงสร้างต่าง ๆ รวมถึงการปรับปรุงเส้นทางน้ำและสร้างกำแพงกั้นน้ำในจุดที่มีความเสี่ยงสูง พร้อมทั้งให้คำแนะนำในการยื่นขอความช่วยเหลืออย่างเป็นทางการจากหน่วยงานภาครัฐ

ชาวบ้านยังรอความช่วยเหลือ บ้านพังทลายชีวิตต้องเริ่มใหม่

ปัจจุบันชาวบ้านในพื้นที่แม่สายยังคงรอคอยความช่วยเหลือและการเยียวยาอย่างเต็มรูปแบบ โดยเฉพาะการสนับสนุนงบประมาณในการก่อสร้างบ้านใหม่และการปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานให้สามารถรองรับสถานการณ์น้ำท่วมในอนาคตได้ แม้จะมีความช่วยเหลือจากภาคเอกชนและมูลนิธิต่าง ๆ แต่ยังไม่เพียงพอต่อความต้องการ ชาวบ้านหลายครอบครัวยังต้องอยู่ในสภาพความเป็นอยู่ที่ลำบาก ไม่มีบ้านพักอาศัยถาวร และไม่มีทรัพย์สินใด ๆ เหลืออยู่

บทสรุป: ชุมชนแม่สายยังรอความช่วยเหลือ ฟื้นฟูบ้านและชีวิตใหม่

วิกฤตน้ำท่วมครั้งนี้นอกจากจะทำให้บ้านเรือนประชาชนในอำเภอแม่สายได้รับความเสียหายอย่างหนักแล้ว ยังส่งผลกระทบต่อจิตใจและความเป็นอยู่ของคนในชุมชนอย่างมาก การฟื้นฟูบ้านเรือนและการสร้างความมั่นคงให้กับชุมชนต้องอาศัยความร่วมมือจากหลายภาคส่วน ทั้งภาครัฐ เอกชน และประชาชนในพื้นที่ เพื่อให้การฟื้นฟูเป็นไปอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ ช่วยให้ชุมชนแม่สายสามารถกลับมาเป็นชุมชนที่เข้มแข็งได้อีกครั้ง

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : อนันต์ ปุระ

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
MOST POPULAR
FOLLOW ME
Categories
AROUND CHIANG RAI NEWS UPDATE

เตือนพายุเวียดนาม 13-14 ต.ค.เสี่ยงน้ำท่วมใต้เขื่อน เจ้าพระยาตอนล่าง

นักวิจัยเตือนพายุเวียดนามเข้า 13-14 ต.ค. เสี่ยงน้ำท่วมใต้เขื่อน แม่น้ำเจ้าพระยาตอนล่าง

วันที่ 10 ตุลาคม 2567 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า รศ. ดร.สุจริต คูณธนกุลวงศ์ ผู้อำนวยการแผนงานวิจัยการขับเคลื่อนแนวทางการใช้ประโยชน์ด้านการบริหารจัดการน้ำ สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) เปิดเผยถึงสถานการณ์น้ำในปัจจุบันว่า แม้ว่าปริมาณน้ำฝนในภาคเหนือเริ่มลดลง แต่ยังมีความเสี่ยงที่ปริมาณน้ำจะเพิ่มสูงขึ้นในพื้นที่ภาคกลางและภาคใต้ เนื่องจากคาดการณ์ว่าจะมีพายุลูกใหม่เข้าประเทศเวียดนามในระหว่างวันที่ 13-14 ตุลาคม 2567 และมีโอกาสที่จะส่งผลกระทบถึงประเทศไทย โดยเฉพาะพื้นที่ใต้เขื่อนหลักของลุ่มน้ำเจ้าพระยา ตั้งแต่ จังหวัดพิษณุโลก ลงมาถึง จังหวัดนครสวรรค์ และแนวลุ่มน้ำเจ้าพระยาตอนล่าง ซึ่งอาจทำให้ระดับน้ำในแม่น้ำเจ้าพระยาสูงขึ้นและมีโอกาสล้นตลิ่งในบางพื้นที่

คาดน้ำจะสูงขึ้นในพื้นที่ริมน้ำเจ้าพระยา

ผลการวิเคราะห์ของทีมนักวิจัยจากจุฬาลงกรณ์ มหาวิทยาลัยมหิดล และมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ พบว่า ขณะนี้ปริมาณน้ำในเขื่อนหลัก ได้แก่ เขื่อนภูมิพล มีปริมาณน้ำเก็บกักอยู่ที่ ร้อยละ 70 ของความจุ เขื่อนสิริกิติ์ ร้อยละ 94 และ เขื่อนแควน้อยบำรุงแดน ร้อยละ 79 ส่วน เขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ มีปริมาณน้ำเก็บกักสูงถึงร้อยละ 93 จากปริมาณน้ำทั้งหมด ซึ่งหมายความว่าหากมีพายุเข้ามาเติมน้ำเพิ่มอีก จะทำให้ปริมาณน้ำในเขื่อนมีความเสี่ยงที่จะล้นและจำเป็นต้องระบายออก ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อพื้นที่ลุ่มต่ำริมแม่น้ำเจ้าพระยาและพื้นที่นอกคันกั้นน้ำ โดยเฉพาะในพื้นที่ตั้งแต่จังหวัด ชัยนาท และ พระนครศรีอยุธยา ลงมา

เตือนภัยพื้นที่เสี่ยงน้ำล้นคันกั้นน้ำ ริมแม่น้ำเจ้าพระยา

จากผลการคาดการณ์ พบว่า ในช่วง 10 วันข้างหน้าจนถึงวันที่ 21 ตุลาคม 2567 ปริมาณน้ำในแม่น้ำเจ้าพระยาจะเพิ่มขึ้น โดยสถานีตรวจวัดน้ำที่ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา จะมีระดับน้ำเพิ่มจาก 1,990 ลบ.ม./วินาที เป็น 2,128 ลบ.ม./วินาที ซึ่งจะส่งผลให้ระดับน้ำสูงขึ้นและมีความเสี่ยงที่จะล้นคันกั้นน้ำ โดยเฉพาะบริเวณพื้นที่ริมแม่น้ำและลุ่มต่ำ ในขณะที่ระดับน้ำที่ จังหวัดนครสวรรค์ จะลดลงจากระดับสูงสุดในปัจจุบันที่ 2,334 ลบ.ม./วินาที ลงมา

เร่งดำเนินแผนวิจัยมุ่งเป้า ปี 68 มุ่งแก้ปัญหาน้ำท่วม-น้ำแล้งใน 10 จังหวัด

รศ. ดร.สุจริต กล่าวว่า ในปี 2568-2569 ทีมวิจัยมีแผนดำเนินการภายใต้เป้าหมาย “น้ำมั่นคง เพียงพอ ไม่แล้ง ไม่ท่วม ใน 10 จังหวัด” โดยมุ่งเน้นการแก้ไขปัญหาน้ำท่วมและน้ำแล้งในพื้นที่เสี่ยงภัยสูง ซึ่งประกอบด้วย พิจิตร สุโขทัย พิษณุโลก นครสวรรค์ ชัยนาท สิงห์บุรี อ่างทอง พระนครศรีอยุธยา ลพบุรี และปทุมธานี โดยจะเน้นการสร้างระบบการบริหารจัดการน้ำที่มีประสิทธิภาพในระดับพื้นที่ พร้อมบูรณาการการทำงานร่วมกับภาคส่วนต่าง ๆ เพื่อลดความเสี่ยงจากภัยธรรมชาติทั้งน้ำท่วมและน้ำแล้งอย่างยั่งยืน

เสนอระบบการบริหารจัดการน้ำด้วยข้อมูลเชิงลึก

จากการศึกษาของทีมวิจัย พบว่าความสามารถในการจัดการปริมาณน้ำและการคาดการณ์ของแต่ละพื้นที่ยังขาดความเชื่อมโยงกัน จึงได้เสนอให้จัดทำระบบข้อมูลและแผนที่เสี่ยงภัยน้ำแบบบูรณาการ เพื่อให้หน่วยงานหลัก เช่น สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) กรมชลประทาน และ สำนักระบายน้ำของกรุงเทพมหานคร สามารถใช้ข้อมูลในการวางแผนป้องกันและบริหารจัดการได้อย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมทั้งสร้างระบบเตือนภัยและกำหนดแนวทางการใช้น้ำอย่างเหมาะสมในพื้นที่เสี่ยงต่าง ๆ โดยเฉพาะพื้นที่ลุ่มต่ำริมแม่น้ำเจ้าพระยา

สรุปแนวทางการบริหารจัดการน้ำและการป้องกันน้ำท่วมในอนาคต
  1. การบริหารจัดการน้ำในระดับพื้นที่: วางระบบกักเก็บและระบายน้ำอย่างเหมาะสม
  2. การจัดทำแผนที่เสี่ยงภัยน้ำท่วมและภัยแล้ง: เพื่อให้เกิดความชัดเจนในการจัดการในแต่ละพื้นที่
  3. การเพิ่มประสิทธิภาพของเขื่อนและอ่างเก็บน้ำ: ใช้ข้อมูลและเทคโนโลยีช่วยบริหารจัดการ
  4. การร่วมมือกับภาคส่วนต่าง ๆ: เพื่อบูรณาการแผนงานในระดับท้องถิ่นและระดับชาติ
บทสรุป: เฝ้าระวังพายุลูกใหม่จากเวียดนาม พร้อมรับมือระดับน้ำเพิ่มสูง

นักวิจัยเตือนให้ประชาชนในพื้นที่ลุ่มน้ำเจ้าพระยาและพื้นที่เสี่ยงเฝ้าระวังพายุลูกใหม่จากเวียดนามในช่วงวันที่ 13-14 ตุลาคม 2567 นี้ พร้อมเตรียมรับมือระดับน้ำที่จะสูงขึ้นจากการระบายน้ำของเขื่อน โดยเน้นย้ำว่าจำเป็นต้องมีแผนการบริหารจัดการน้ำที่มีประสิทธิภาพเพื่อป้องกันความเสียหายที่อาจเกิดขึ้น พร้อมทั้งแนะนำให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเตรียมความพร้อมในทุกมิติ เพื่อบรรเทาผลกระทบต่อประชาชนในพื้นที่เสี่ยงอย่างทันท่วงที

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : แผนงานวิจัยการขับเคลื่อนแนวทางการใช้ประโยชน์ด้านการบริหารจัดการน้ำ 

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI TOP STORIES

อบจ.เชียงราย เร่งฟื้นฟูบ้านแม่ยาว สูบน้ำขังแก้ปัญหาเร่งด่วน

 

อบจ.เชียงราย เร่งฟื้นฟูหลังน้ำท่วมหมู่บ้านป่าอ้อใหม่ สูบน้ำขังแก้ปัญหาเร่งด่วน

วันที่ 10 ตุลาคม 2567 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย ได้มอบหมายให้ นายจิราวุฒิ แก้วเขื่อน ที่ปรึกษานายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย พร้อมด้วย พันจ่าเอกทวีป เชี่ยวสุวรรณ หัวหน้าฝ่ายป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย และบุคลากร อบจ.เชียงราย ลงพื้นที่ บ้านป่าอ้อใหม่ ตำบลแม่ยาว อำเภอเมืองเชียงราย จังหวัดเชียงราย เพื่อติดตามสถานการณ์และวางแผนแก้ไขปัญหาน้ำท่วมขังในพื้นที่ เนื่องจากหมู่บ้านดังกล่าวยังคงมีน้ำท่วมขังยาวนานกว่า 1 เดือน หลังจากเกิดน้ำท่วมครั้งใหญ่ตั้งแต่วันที่ 11 กันยายนที่ผ่านมา แม้ว่าสถานการณ์น้ำท่วมในจังหวัดเชียงรายหลายพื้นที่จะเริ่มคลี่คลายแล้ว แต่ในบ้านป่าอ้อใหม่ยังคงประสบปัญหาน้ำท่วมขังเนื่องจากไม่มีทางระบายน้ำออกจากพื้นที่

อบจ. เชียงราย นำเครื่องสูบน้ำใหญ่ 2 เครื่องเข้าพื้นที่

หลังจากได้รับแจ้งปัญหาจากผู้ใช้โซเชียลที่ใช้ชื่อว่า “แมรี่ จอย” ซึ่งได้โพสต์ข้อความขอความช่วยเหลือเมื่อวันที่ 8 ตุลาคม 2567 ว่า “บ้านถูกน้ำท่วมมาตั้งแต่วันที่ 11 กันยายน จนถึงตอนนี้น้ำยังไม่แห้ง อยากให้หน่วยงานมาช่วยสูบน้ำออกให้หน่อยค่ะ” อบจ.เชียงรายได้ร่วมมือกับ สำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยเขต 15 นำเครื่องสูบน้ำขนาดใหญ่จำนวน 2 เครื่อง เข้าไปติดตั้งในพื้นที่หมู่บ้านป่าอ้อใหม่ เพื่อเร่งทำการสูบน้ำออกจากพื้นที่โดยใช้เวลาประมาณ 2 วันในการสูบน้ำท่วมขังที่ยังไม่มีทางระบายออกให้หมดไป

จังหวัดเชียงรายเร่งเสริมกำลังเคลียร์พื้นที่โคลนหลังสูบน้ำ

ขณะเดียวกัน ผู้อำนวยการกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในจังหวัดเชียงราย (กอ.รมน.) ได้ประสานงานร่วมกับ อบจ.เชียงราย เพื่อนำรถขุดเข้ามาช่วยเคลียร์พื้นที่โคลนที่สะสมอยู่ในบริเวณบ้านเรือนและพื้นที่สาธารณะหลังการสูบน้ำเสร็จสิ้น เนื่องจากระดับน้ำที่ท่วมขังมาเป็นเวลานาน ทำให้โคลนและตะกอนดินสะสมหนาแน่นในหลายจุด ก่อให้เกิดปัญหาด้านสุขอนามัยและการใช้ชีวิตประจำวันของประชาชน

สภาพความเสียหายหนัก ชาวบ้านต้องอาศัยอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ไม่ปลอดภัย

จากการสำรวจพื้นที่เบื้องต้นพบว่า บ้านเรือนกว่า 10 หลัง ในหมู่บ้านป่าอ้อใหม่ ตำบลแม่ยาว อำเภอเมืองเชียงราย จังหวัดเชียงราย ได้รับความเสียหายจากน้ำท่วมครั้งนี้ โดยบางหลังมีโครงสร้างที่เสียหายจากการกัดเซาะของน้ำ ต้องทำการซ่อมแซมอย่างเร่งด่วน รวมถึงพื้นที่เกษตรกรรมและสวนผักของชาวบ้านที่ถูกน้ำท่วมเสียหายทั้งหมด ทำให้ชาวบ้านส่วนใหญ่ต้องประสบปัญหาขาดแคลนอาหารและทรัพยากรในการดำรงชีวิตประจำวัน นอกจากนี้ ถนนภายในหมู่บ้านและเส้นทางเข้า-ออกหมู่บ้านหลายจุดถูกน้ำกัดเซาะจนเกิดเป็นหลุมลึก ส่งผลให้การสัญจรเป็นไปอย่างยากลำบาก และยังไม่สามารถนำยานพาหนะขนาดใหญ่เข้าไปได้

 
อบจ.เชียงรายเตรียมแผนฟื้นฟูหลังน้ำลดอย่างเป็นระบบ

นายจิราวุฒิ แก้วเขื่อน ที่ปรึกษานายก อบจ.เชียงราย เปิดเผยว่า หลังจากการสูบน้ำออกจากพื้นที่แล้ว อบจ.เชียงรายได้วางแผนฟื้นฟูอย่างเป็นระบบ โดยจะเริ่มจากการซ่อมแซมโครงสร้างพื้นฐานที่เสียหาย เช่น ถนน ทางเท้า และการปรับปรุงระบบระบายน้ำในหมู่บ้าน เพื่อป้องกันไม่ให้น้ำท่วมซ้ำในอนาคต รวมถึงการพิจารณาสร้างแนวกำแพงกั้นน้ำเพิ่มเติมในจุดที่เป็นพื้นที่เสี่ยง พร้อมทั้งเร่งสนับสนุนชาวบ้านในการทำความสะอาดและฟื้นฟูบ้านเรือน เพื่อให้ชาวบ้านสามารถกลับมาพักอาศัยในบ้านของตนเองได้อย่างปลอดภัยอีกครั้ง

เรียกร้องภาครัฐสนับสนุนเพิ่มเติมในการแก้ไขปัญหาน้ำท่วมขัง

นางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายก อบจ.เชียงราย กล่าวว่า ปัญหาน้ำท่วมขังในพื้นที่ตำบลแม่ยาวนั้นไม่สามารถแก้ไขได้ด้วยการสูบน้ำเพียงอย่างเดียว จำเป็นต้องมีการปรับปรุงระบบระบายน้ำและพิจารณาการก่อสร้างคันกั้นน้ำเพิ่มเติม เนื่องจากตำบลแม่ยาวเป็นพื้นที่ราบต่ำที่ไม่มีทางระบายน้ำโดยตรงลงสู่แม่น้ำกก จึงต้องการการสนับสนุนจากภาครัฐและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการวางแผนปรับโครงสร้างพื้นฐานและระบบการระบายน้ำใหม่อย่างเป็นระบบ เพื่อให้การแก้ปัญหาเป็นไปอย่างยั่งยืน

บทสรุป: อบจ. เชียงรายเร่งสูบน้ำบ้านป่าอ้อใหม่ พร้อมวางแผนฟื้นฟู

การฟื้นฟูหมู่บ้านป่าอ้อใหม่ในครั้งนี้ เป็นเพียงจุดเริ่มต้นของการแก้ไขปัญหาน้ำท่วมในพื้นที่อำเภอเมืองเชียงราย โดย อบจ.เชียงรายมีแผนที่จะทำงานร่วมกับภาครัฐและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการพัฒนาระบบระบายน้ำและโครงสร้างพื้นฐานในระยะยาว เพื่อให้หมู่บ้านป่าอ้อใหม่และชุมชนใกล้เคียงสามารถกลับมาใช้ชีวิตได้อย่างปลอดภัยและมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น โดยไม่ต้องกังวลกับปัญหาน้ำท่วมซ้ำซากอีกต่อไป

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ทีมข่าวนครเชียงรายนิวส์

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI FEATURED NEWS

วิศวกรไทยร่วมฟื้นฟูเชียงรายหลังน้ำท่วม แนะปรับผังเมืองเพื่อรับมือภัยพิบัติ

 

วิศวกรไทยร่วมฟื้นฟูเชียงรายหลังน้ำท่วม แนะปรับผังเมืองเพื่อรับมือภัยพิบัติ

เมื่อวันที่ 10 ตุลาคม 2567 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังจากทีมวิศวกรจาก สมาคมวิศวกรโครงสร้างแห่งประเทศไทย และ มูลนิธินายช่างไทยใจอาสา ภายใต้การนำของ ศ. ดร.อมร พิมานมาศ นักวิจัยจากสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) ลงพื้นที่สำรวจความเสียหายจากน้ำท่วมในอำเภอเมืองและอำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย พบว่าความเสียหายในพื้นที่มีระดับสูงทั้งด้านระบบโครงสร้าง และระบบสาธารณูปโภค ซึ่งต้องมีการฟื้นฟูอย่างเร่งด่วนเพื่อให้ประชาชนสามารถกลับมาใช้ชีวิตได้อย่างปลอดภัย

น้ำท่วมเชียงรายเสียหายหนัก บ้านเรือนและระบบสาธารณูปโภคพังยับ

จากการสำรวจของทีมวิศวกรพบว่า บ้านเรือนในอำเภอแม่สายได้รับความเสียหายกว่า 150 หลังคาเรือน โดยเฉพาะบ้านเรือนที่อยู่ติดริมน้ำถูกน้ำกัดเซาะจนโครงสร้างได้รับความเสียหาย ส่วนระบบไฟฟ้าและระบบประปาในพื้นที่ได้รับความเสียหายมาก ทำให้ระบบจ่ายน้ำและไฟฟ้าในหลายพื้นที่ไม่สามารถกลับมาใช้งานได้ตามปกติ นอกจากนี้ ตลาดสายลมจอย ซึ่งเป็นแหล่งค้าขายสำคัญในพื้นที่แม่สาย ยังไม่มีบ่อบำบัดน้ำเสีย และจำเป็นต้องรื้อปรับปรุงระบบใหม่ทั้งหมด

ปัญหาใหญ่: ถนนขวางทางน้ำและพื้นที่รับน้ำเปลี่ยนแปลง

นายชูเลิศ จิตเจือจุน อุปนายกสมาคมฯ เปิดเผยว่า พื้นที่รับน้ำที่ติดกับลำน้ำกก ซึ่งเคยเป็นแก้มลิงรองรับน้ำ แต่ปัจจุบันถูกถมดินสูงเกินกว่าระดับน้ำ ทำให้ไม่สามารถกักเก็บน้ำได้ตามปกติ เมื่อเกิดฝนตกหนักทำให้น้ำไหลเข้าท่วมบ้านเรือนประชาชนในพื้นที่ราบต่ำ นอกจากนี้ การตัดถนนและการพัฒนาโครงการต่าง ๆ โดยไม่คำนึงถึงการระบายน้ำ ทำให้เส้นทางน้ำถูกขวางและเกิดปัญหาน้ำท่วมซ้ำซากในหลายจุด

นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย (อบจ.) นางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ ได้ประสานงานให้วิศวกรทำการสำรวจเพิ่มเติม และวางแผนแก้ไขอย่างเป็นระบบ เช่น การปรับโครงสร้างถนนเพื่อให้สามารถระบายน้ำได้ดีขึ้น การสร้างพนังกั้นน้ำตามแนวลำน้ำกก และการพัฒนาฝายน้ำล้นในจุดที่มีความเสี่ยง เพื่อช่วยบรรเทาปัญหาน้ำท่วมในระยะยาว

 
ฟื้นฟูเชียงราย: ต้องบูรณาการทุกภาคส่วน

การแก้ไขปัญหาน้ำท่วมในพื้นที่เชียงรายต้องอาศัยการบูรณาการความร่วมมือจากหลายหน่วยงาน โดยทีมวิศวกรจะนำความรู้ด้านวิศวกรรมมาประยุกต์ใช้ เช่น การใช้โดรนและเรดาร์สำรวจเพื่อสร้างแผนที่จุดเสี่ยงน้ำท่วม รวมถึงการประเมินโครงสร้างพื้นฐานต่าง ๆ เพื่อจัดทำแผนการฟื้นฟูอย่างครบวงจร

นายก อบจ. เชียงรายเสนอสร้างระบบเตือนภัยและแก้มลิง

นายก อบจ.เชียงราย เห็นด้วยกับข้อเสนอของทีมวิศวกรที่จะจัดทำ แผนที่ความเสี่ยงภัย เช่นเดียวกับจังหวัดเชียงใหม่ เพื่อให้ทราบถึงจุดเสี่ยงและสามารถวางแผนป้องกันได้อย่างแม่นยำ โดยเสนอให้พัฒนา แก้มลิงและระบบระบายน้ำ เพื่อรองรับน้ำจากลำน้ำกก และเชื่อมต่อกับลำน้ำโขง ซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงจากน้ำท่วมในระยะยาว นอกจากนี้ ยังได้สนับสนุนแนวคิดในการสร้าง ระบบเตือนภัย ที่ครอบคลุมเพื่อให้ประชาชนได้รับรู้ถึงสถานการณ์ได้อย่างทันท่วงที

ฟื้นฟูเชียงรายให้กลับมาแข็งแกร่ง ต้องมีแผนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานระยะยาว

อ.วัฒนพงศ์ หิรัญมาลย์ อาจารย์จากมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีมหานคร และเลขาธิการสมาคมฯ กล่าวเสริมว่า จังหวัดเชียงรายมีความเสี่ยงสูงทั้งจากแผ่นดินไหว ดินถล่ม และน้ำท่วม จึงจำเป็นต้องจัดทำแผนการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานระยะยาว โดยเน้นที่การออกแบบและก่อสร้างระบบระบายน้ำที่มีประสิทธิภาพ รวมถึงการพัฒนาโครงข่ายถนนและสะพานให้สามารถรองรับสถานการณ์น้ำหลากได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อไม่ให้เกิดความเสียหายซ้ำในอนาคต

การฟื้นฟูเชียงรายครั้งนี้ไม่เพียงแต่จะต้องทำการซ่อมแซมระบบสาธารณูปโภคที่ได้รับความเสียหาย แต่ต้องมองไปถึงการวางแผนผังเมืองใหม่ที่คำนึงถึงความยืดหยุ่นต่อการรับมือกับภัยพิบัติทุกรูปแบบ ซึ่งการวางแผนและการประสานงานระหว่างภาครัฐ เอกชน และท้องถิ่น เป็นกุญแจสำคัญที่จะทำให้เชียงรายกลับมาแข็งแกร่งและพร้อมรับมือกับภัยพิบัติในอนาคตได้อย่างยั่งยืน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ทีมข่าวนครเชียงรยานิวส์ /สมาคมวิศวกรโครงสร้างแห่งประเทศไทยมูลนิธินายช่างไทยใจอาสา

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

สทท.เสนอ ‘เที่ยวคนละครึ่ง’ กระตุ้นท่องเที่ยวไทยหลังน้ำท่วม

สภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวฯ เสนอ “เที่ยวคนละครึ่ง” ฟื้นฟูท่องเที่ยวไทยหลังน้ำท่วม

วันที่ 9 ตุลาคม 2567 นายชำนาญ ศรีสวัสดิ์ ประธานสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (สทท.) เปิดเผยว่า สถานการณ์น้ำท่วมในหลายพื้นที่ของภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือได้ส่งผลกระทบต่อภาคธุรกิจท่องเที่ยวอย่างรุนแรง โดยเฉพาะในจังหวัด เชียงใหม่ และ เชียงราย ที่เคยสร้างรายได้ท่องเที่ยวสูงสุดถึง เดือนละ 7,000 ล้านบาท และ 3,000 ล้านบาท ตามลำดับ ส่งผลให้รายได้จากการท่องเที่ยวในภาคเหนือหายไปมากกว่า 500 ล้านบาท ซึ่งนับเป็นวิกฤติครั้งใหญ่สำหรับการท่องเที่ยวไทยในช่วงปลายปีนี้

เร่งกระตุ้นท่องเที่ยวในประเทศ เสนอ “เที่ยวคนละครึ่ง” วงเงิน 5,000 ล้านบาท

เพื่อกระตุ้นการท่องเที่ยวภายในประเทศ นายชำนาญเผยว่า สทท. เตรียมเสนอโครงการ “เที่ยวคนละครึ่ง” ซึ่งเป็นโครงการใหม่ที่คาดว่าจะช่วยฟื้นฟูเศรษฐกิจในพื้นที่ท่องเที่ยวที่ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วม วงเงินรวม 5,000 ล้านบาท โดยจะให้สิทธิ์เงินสนับสนุนคนละ 2,000 บาท ภายใต้เงื่อนไขการเข้าพักในโรงแรมอย่างน้อย 3 วัน 4 คืน มาตรการนี้จะช่วยสร้างความตื่นตัวให้กับคนไทยหันมาเที่ยวในประเทศมากขึ้น โดยเฉพาะในช่วงไตรมาส 4 ของปี 2567 หากไม่มีมาตรการนี้ อาจส่งผลให้รายได้รวมจากการท่องเที่ยวไม่ถึง 900,000 ล้านบาท ตามเป้าที่รัฐบาลตั้งไว้

ภาพลักษณ์เชียงใหม่เสียหายหนัก กระทบการท่องเที่ยวอย่างหนัก

นายพัลลภ แซ่จิว รักษาการประธานสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวจังหวัดเชียงใหม่ เปิดเผยว่า สถานการณ์น้ำท่วมครั้งล่าสุดส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของนักท่องเที่ยวอย่างรุนแรง โดยเฉพาะภาพลักษณ์ของจังหวัดเชียงใหม่ที่ได้รับความเสียหายหนัก ทำให้นักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างชาติยกเลิกการเดินทาง แม้แต่คนไทยยังเปลี่ยนแผนไปเที่ยวที่อื่น ส่งผลให้รายได้ที่เคยเฉลี่ยอยู่ที่ 6,000 ล้านบาทต่อเดือน ลดเหลือเพียง 200 ล้านบาทต่อวัน ซึ่งหมายความว่าความเสียหายกว่า 2,000 ล้านบาท ได้เกิดขึ้นภายใน 10 วัน โดยแหล่งท่องเที่ยวสำคัญอย่าง อำเภอแม่แตง และ อำเภอแม่ริม เป็นพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบเต็ม ๆ และคาดว่าจะลากยาวอีกอย่างน้อย 15 วัน

ภาคการเกษตรเสียหายหนักถึง 24,553 ล้านบาท

นอกจากภาคการท่องเที่ยวแล้ว ภาคการเกษตร ยังเป็นอีกภาคส่วนที่ได้รับความเสียหายรุนแรง โดยจากการประเมินพบว่ามูลค่าความเสียหายในภาคเกษตรสูงถึง 24,553 ล้านบาท คิดเป็น 82.3% ของมูลค่าความเสียหายทั้งหมดใน 33 จังหวัดที่ได้รับผลกระทบ รองลงมาคือ ภาคบริการ ที่มีมูลค่าความเสียหาย 5,121 ล้านบาท และ ภาคอุตสาหกรรม คิดเป็นมูลค่า 171 ล้านบาท รวมมูลค่าความเสียหายทั้งหมด 30,000 ล้านบาท

สถานการณ์น้ำท่วมจังหวัดเชียงราย เสียหายกว่า 6,000 ล้านบาท

สำหรับจังหวัดที่ได้รับผลกระทบหนักที่สุดคือ จังหวัดเชียงราย ซึ่งมีมูลค่าความเสียหายสูงถึง 6,412 ล้านบาท รองลงมาคือ จังหวัดพะเยา และ จังหวัดสุโขทัย ขณะที่จังหวัด เชียงใหม่ มีความเสียหายประมาณ 2,000 ล้านบาท แต่ตัวเลขยังไม่นิ่ง เนื่องจากยังคงมีฝนตกหนักในบางพื้นที่ ซึ่งทำให้การฟื้นฟูต้องใช้เวลาและงบประมาณเพิ่มเติม

ข้อเสนอแนะเพื่อการฟื้นฟูภาคการท่องเที่ยวในระยะยาว

นอกจากมาตรการระยะสั้นอย่าง “เที่ยวคนละครึ่ง” นายชำนาญยังเสนอแนวทางการฟื้นฟูภาคการท่องเที่ยวในระยะกลางและยาว โดยเน้นการยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันของภาคการท่องเที่ยวผ่านการตั้ง คณะกรรมการพัฒนาสินค้าท่องเที่ยว เพื่อพัฒนาความปลอดภัย ความยั่งยืน และการสร้างเรื่องราว (Storytelling) ให้กับแหล่งท่องเที่ยวต่าง ๆ รวมถึงการเสริมความแข็งแกร่งให้กับสินค้าและบริการในภาคท่องเที่ยว เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวกลุ่มใหม่และเพิ่มความหลากหลายในการท่องเที่ยวไทย

ภาพรวมเศรษฐกิจท่องเที่ยวปี 2567 คาดว่าจะต่ำกว่าเป้า

สำหรับภาพรวมรายได้จากการท่องเที่ยวตลอดปี 2567 คาดว่าจะอยู่ที่ 2.7-2.8 ล้านล้านบาท จากนักท่องเที่ยวต่างชาติ 35.5-36.5 ล้านคน และในปี 2568 สทท. ตั้งเป้ารายได้ไว้ที่ 2.9-3.1 ล้านล้านบาท ซึ่งจะเป็นระดับสูงสุดใหม่ (New High) จากการคาดการณ์จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติ 38-40 ล้านคน อย่างไรก็ตาม หากไม่มีมาตรการกระตุ้นเพิ่มเติมอาจทำให้เป้าหมายนี้ไม่สามารถบรรลุได้

บทสรุป: สทท. เดินหน้าผลักดัน “เที่ยวคนละครึ่ง” เพื่อฟื้นฟูการท่องเที่ยว

การเร่งออกมาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยวภายในประเทศเป็นเรื่องเร่งด่วนที่จำเป็นอย่างยิ่ง โดย โครงการเที่ยวคนละครึ่ง คาดว่าจะช่วยกระตุ้นการเดินทางในช่วงปลายปีนี้ หากได้รับการอนุมัติจากภาครัฐ เชื่อว่าคนไทยจะพร้อมใช้สิทธิ์และออกเดินทางไปยังจังหวัดต่าง ๆ ที่ได้รับผลกระทบ เพื่อช่วยฟื้นฟูเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวไทยหลังน้ำท่วม

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ทีมข่าวนครเชียงรายนิวส์ / DoiTung Club

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI ECONOMY

‘น้ำท่วมเชียงราย’ พ่นพิษเสียหาย กระทบภาคเกษตรสูงถึง 6,412 ล้านบาท

 

เมื่อวันที่ 9 ตุลาคม 2567 นายสนั่น อังอุบลกุล ประธานกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย แสดงความกังวลต่อสถานการณ์น้ำท่วมที่กำลังขยายวงกว้างในพื้นที่ 33 จังหวัดของภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ โดยเฉพาะจังหวัดเชียงใหม่ซึ่งได้รับผลกระทบอย่างหนักจากมวลน้ำจำนวนมหาศาล ทำให้ภาคธุรกิจท่องเที่ยวในพื้นที่ได้รับผลกระทบเป็นวงกว้าง รวมถึงรายได้จากการท่องเที่ยวที่ลดลงอย่างมาก ส่งผลกระทบต่อภาพรวมเศรษฐกิจในพื้นที่

น้ำท่วมเชียงใหม่กระทบหนัก รายได้หายกว่า 2,000 ล้านบาท

นายพัลลภ แซ่จิว รักษาการประธานสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวจังหวัดเชียงใหม่ เปิดเผยว่า ภาพลักษณ์ของเชียงใหม่ได้รับความเสียหายอย่างหนัก นักท่องเที่ยวต่างชาติและคนไทยจำนวนมากยกเลิกการเดินทางมายังเชียงใหม่ ส่งผลให้รายได้จากการท่องเที่ยวที่เคยเฉลี่ยเดือนละ 6,000 ล้านบาท เหลือเพียง 200 ล้านบาทต่อวัน คิดเป็นความเสียหายกว่า 2,000 ล้านบาท ในช่วง 10 วันที่ผ่านมา โดยเฉพาะแหล่งท่องเที่ยวธรรมชาติอย่าง อำเภอแม่แตง และ อำเภอแม่ริม ที่เป็นจุดหมายปลายทางสำคัญของนักท่องเที่ยวก็ได้รับผลกระทบเต็ม ๆ และคาดว่าสถานการณ์นี้จะลากยาวออกไปอีกอย่างน้อย 15 วัน หากไม่มีการฟื้นฟูและสร้างความเชื่อมั่นอย่างรวดเร็ว

น้ำท่วมกระทบภาคเกษตร เชียงรายเสียหายสูงสุด

จากการประเมินผลกระทบทางเศรษฐกิจอันเนื่องมาจากอุทกภัยในครั้งนี้ มูลค่าความเสียหายทั้งหมดกว่า 30,000 ล้านบาท โดยภาคการเกษตรได้รับผลกระทบหนักที่สุด คิดเป็นมูลค่าความเสียหายกว่า 24,553 ล้านบาท หรือคิดเป็น 82.3% ของความเสียหายทั้งหมด ส่วนภาคบริการเสียหายเป็นมูลค่า 5,121 ล้านบาท และภาคอุตสาหกรรม 171 ล้านบาท

สำหรับจังหวัดที่ได้รับผลกระทบมากที่สุด ได้แก่ จังหวัดเชียงราย มีมูลค่าความเสียหายสูงถึง 6,412 ล้านบาท รองลงมาคือ จังหวัดพะเยา 3,292 ล้านบาท และ จังหวัดสุโขทัย 3,042 ล้านบาท ขณะที่จังหวัดเชียงใหม่มีความเสียหายรวม 2,000 ล้านบาท แต่ตัวเลขยังไม่นิ่งและอาจสูงกว่าที่ประเมินในปัจจุบัน

ภาคธุรกิจท่องเที่ยวเรียกร้องมาตรการช่วยเหลือด่วน

นายสนั่นได้เน้นย้ำว่า หอการค้าไทย ได้เร่งหารือกับภาครัฐเพื่อหามาตรการช่วยเหลือผู้ประกอบการในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบ โดยเฉพาะภาคธุรกิจท่องเที่ยวที่ได้รับผลกระทบโดยตรง เนื่องจากเป็นแหล่งรายได้สำคัญของเชียงใหม่ โดยหอการค้าไทยจะร่วมกับกระทรวงพาณิชย์ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการสนับสนุนมาตรการช่วยเหลือ ทั้งการจัดหาสินค้าในราคาประหยัด การซ่อมแซมบ้านเรือน และการเยียวยาเชิงเศรษฐกิจ

นอกจากนี้ หอการค้าไทยยังมีแผนฟื้นฟูภาพลักษณ์การท่องเที่ยว โดยการจัดแคมเปญ “เชียงใหม่ปลอดภัย พร้อมต้อนรับนักท่องเที่ยว” เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวกลับมาเยือน หลังสถานการณ์น้ำท่วมคลี่คลาย ซึ่งหากการประชาสัมพันธ์ล่าช้า จะส่งผลกระทบต่อภาพรวมการท่องเที่ยวในช่วงฤดูท่องเที่ยวปลายปี และอาจทำให้รายได้หายไปอีกหลายพันล้านบาท

รัฐบาลเร่งออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ

ทางด้านรัฐบาลได้ประกาศมาตรการช่วยเหลือทางการเงินแก่ผู้ประสบภัย เช่น โครงการมอบเงินช่วยเหลือ 10,000 บาท สำหรับครอบครัวที่ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วม และ มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ เช่น สนับสนุนเงินเพิ่มอีก 10,000 บาท เมื่อประชาชนใช้จ่ายครบ 10,000 บาท เพื่อกระตุ้นการจับจ่ายใช้สอยและเพิ่มเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจ รวมถึงรณรงค์ให้ผู้มีรายได้สูงร่วมบริจาคเงิน โดยสามารถนำใบเสร็จไปลดหย่อนภาษีได้ ซึ่งจะช่วยให้เศรษฐกิจสามารถเดินหน้าต่อไปได้

ข้อเสนอเพื่อรับมือวิกฤตอุทกภัยในอนาคต

นายสนั่นได้เสนอแนวทางในการรับมือกับอุทกภัยในอนาคต โดยเน้นการบูรณาการความช่วยเหลือจากทุกภาคส่วน ทั้งการพัฒนาระบบชลประทาน การออกแบบเมืองที่มีความยืดหยุ่นต่อภัยพิบัติ การประกันภัยเพื่อรองรับความเสี่ยง และการสร้างความตระหนักรู้ในชุมชน เพื่อให้ทุกภาคส่วนมีความพร้อมและสามารถรับมือกับสถานการณ์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

บทสรุป: การฟื้นฟูและการสร้างความเชื่อมั่นสำคัญต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ

การฟื้นฟูภาพลักษณ์และความเชื่อมั่นของจังหวัดเชียงใหม่และเชียงรายหลังน้ำท่วมจะเป็นปัจจัยสำคัญในการฟื้นฟูเศรษฐกิจในพื้นที่ หากสามารถดำเนินการได้อย่างรวดเร็ว จะช่วยลดผลกระทบระยะยาวและกระตุ้นการท่องเที่ยวให้กลับมาคึกคักอีกครั้ง ซึ่งต้องอาศัยความร่วมมือจากทั้งภาครัฐและเอกชนในการสร้างความเชื่อมั่นให้แก่นักท่องเที่ยวและประชาชนในพื้นที่

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : หอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

กรมทางหลวงชนบท สานต่อภารกิจ ถนนและสะพาน พัฒนาโครงข่ายให้สมบูรณ์

 

เมื่อวันที่ 9 ตุลาคม 2567 นายชยธรรม์ พรหมศร ปลัดกระทรวงคมนาคม ได้ให้เกียรติเป็นประธานในพิธี เนื่องในโอกาสวันคล้ายวันสถาปนากรมทางหลวงชนบท (ทช.) ครบรอบ 22 ปี วันที่ 9 ตุลาคม 2567 พร้อมด้วยคณะผู้บริหารกระทรวงคมนาคม โดยมีนายมนตรี เดชาสกุลสม อธิบดีกรมทางหลวงชนบท และคณะผู้บริหารกรมทางหลวงชนบทให้การต้อนรับ ซึ่งภายในงานประกอบด้วยกิจกรรมที่สำคัญ ได้แก่ พิธีทำบุญตักบาตร พิธีเจริญพระพุทธมนต์ เพื่อความเป็นสิริมงคล พิธีมอบโล่แก่ข้าราชการดีเด่น ข้าราชการผู้ทรงคุณค่าขององค์กร เพื่อเป็นการยกย่องเชิดชูเกียรติ สร้างขวัญ และกำลังใจให้กับบุคลากรที่ปฏิบัติงานดีเด่น รวมทั้งได้มอบทุนการศึกษาให้แก่บุตรของบุคลากรกรมทางหลวงชนบท

พร้อมมอบแนวทางในการดำเนินงาน ซึ่งโดยตลอดทั้งวันได้มีการจัดนิทรรศการถ่ายทอดองค์ความรู้ทางวิชาการ (KM) ภายใต้แนวคิด “สร้าง ซ่อม ส่งเสริม พัฒนา” เพื่อนำเสนอผลการดำเนินงานตลอดปีที่ผ่านมาของกรมทางหลวงชนบท อาทิ สำนักในส่วนกลาง สำนักงานทางหลวงชนบทที่ 1 – 18 และแขวงทางหลวงชนบททั่วประเทศ ณ กรมทางหลวงชนบท บางเขน กรุงเทพฯ

นายชยธรรม์ พรหมศร ปลัดกระทรวงคมนาคม กล่าวว่า กระทรวงคมนาคมภายใต้การนำของนายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม มีเป้าหมายสำคัญในการยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน ด้วยการสร้างระบบการคมนาคมขนส่งให้มีมาตรฐาน และสร้างโอกาสในการเดินทางให้กับคนทุกกลุ่มอย่างทั่วถึง เท่าเทียม พร้อมทั้งสามารถเชื่อมโยงในทุกมิติ ทั้งมิติทางด้านเศรษฐกิจ สังคม การค้า การท่องเที่ยว การลงทุน เพื่อเพิ่มศักยภาพให้ประเทศไทยเป็นประตู และเป็นศูนย์กลางในการเดินทางของภูมิภาค ภายใต้มาตรฐานความปลอดภัย เพื่อความอุดมสุขของประชาชน พร้อมทั้งได้กล่าวชื่นชมในการเติบโตของกรมทางหลวงชนบท ตลอด 22 ปีที่ผ่านมา ที่ได้ดำเนินการพัฒนาโครงการต่าง ๆ เชื่อมโยงเป็นโครงข่ายคมนาคมที่สมบูรณ์ ซึ่งจะส่งผลต่อการเดินทางของประชาชนที่สะดวก รวดเร็ว แบ่งเบาการจราจรบนถนนสายหลัก ตลอดจนส่งเสริมการพัฒนาทางเศรษฐกิจการค้า อุตสาหกรรมท่องเที่ยว รองรับการขยายตัวของเมืองในอนาคต

รวมทั้งได้มอบแนวทางการดำเนินงานในการเดินหน้าสานต่อภารกิจก่อสร้างถนนและสะพาน เชื่อมระหว่างถนนสายหลักกับถนนท้องถิ่น เพื่อให้ประชาชนเดินทางจากต้นทางไปสู่ปลายทางได้อย่างสะดวก รวดเร็ว และปลอดภัย พร้อมเน้นย้ำให้เตรียมความพร้อมในการรับมือ ตรวจสอบเครื่องมือ อุปกรณ์ และวางแผนป้องกันสถานการณ์อุทกภัย เพื่อบรรเทาความเดือดร้อน และผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นกับประชาชน

นายมนตรี เดชาสกุลสม อธิบดีกรมทางหลวงชนบท เปิดเผยว่า ตลอดปี 2567 ทช. ได้ดำเนินโครงการเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตทางด้านการคมนาคมของประชาชนในหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็นการพัฒนาการคมนาคมระบบโลจิสติกส์ การส่งเสริมเขตพัฒนาเศรษฐกิจภาคตะวันออก และการสนับสนุนเส้นทางเข้าสู่แหล่งท่องเที่ยว อาทิ

  • โครงการก่อสร้างถนนสายแยก ทล.1020 – บ้านกิ่วแก้ว อ.เทิง, จุน จ.เชียงราย, พะเยา งบประมาณ 1,199 ล้านบาท
  • โครงการก่อสร้างขยายถนนชัยพฤกษ์ จ.นนทบุรี งบประมาณ 902 ล้านบาท
  • โครงการก่อสร้างถนนสายแยก ทล.3452 – สี่แยกบ้านสร้าง อ.บ้านสร้าง จ.ปราจีนบุรี ตอนที่ 1 งบประมาณ 999 ล้านบาท และตอนที่ 2 งบประมาณ 900 ล้านบาท
  • โครงการก่อสร้างถนนสาย มห.3019 แยก ทล.212 – บ้านบางทรายใหญ่ อ.เมือง จ.มุกดาหาร งบประมาณ 159 ล้านบาท
  • โครงการก่อสร้างถนนสาย นย.3007 แยก ทล.305 – บ้านคลอง 33 อ.องครักษ์ จ.นครนายก งบประมาณ 350 ล้านบาท
  • โครงการก่อสร้างสะพานข้ามคลองตำมะลัง อ.เมือง จ.สตูล งบประมาณ 190 ล้านบาท
  • โครงการก่อสร้างถนนสาย พร.4001 แยก ทล.1022 – บ้านกลาง อ.เมือง จ.แพร่ งบประมาณ 100 ล้านบาท
  • โครงการก่อสร้างถนนสายแยก ทล.118 – บ้านทุ่งยาว (ช่วงที่ 1) อ.เวียงป่าเป้า จ.เชียงราย งบประมาณ 090 ล้านบาท

นายมนตรี กล่าวเพิ่มเติมว่า ทช. พร้อมสนับสนุนนโยบายรัฐบาล และกระทรวงคมนาคมในการส่งเสริมเศรษฐกิจอุตสาหกรรมท่องเที่ยว ซึ่งมีส่วนช่วยในการกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยมุ่งดำเนินโครงการก่อสร้างสายทางเพื่อสนับสนุนแหล่งท่องเที่ยวให้ประชาชนเดินทางด้วยความสะดวก รวดเร็ว และปลอดภัย อาทิ โครงการก่อสร้างถนนเลียบแม่น้ำโขงนาคาวิถี ช่วงสะพานมิตรภาพไทย – ลาว (แห่งที่ 2) – พระธาตุพนม อ.เมือง, ธาตุพนม จ.มุกดาหาร, นครพนม งบประมาณ 615 ล้านบาท, โครงการก่อสร้างถนนท่องเที่ยวตะนาวศรีคีรีพัฒน์ ช่วงสามแยกถนนชัยพัฒนาตัดกับ ทล.3218 – ทล.4 อ.หัวหิน, ปราณบุรี จ.ประจวบคีรีขันธ์ งบประมาณ 700 ล้านบาท และช่วงบ้านเขาบันได – บ้านพุน้ำร้อน อ.หนองหญ้าปล้อง, เขาย้อย จ.เพชรบุรี งบประมาณ 720 ล้านบาท ทั้งนี้ ทช. พร้อมที่จะต่อยอดการพัฒนาโครงการเพื่อสนับสนุนแหล่งท่องเที่ยวต่อไป เพื่อมุ่งส่งเสริมเศรษฐกิจที่ดีให้กับประเทศ สร้างโอกาสในการเข้าถึงเส้นทางการคมนาคมได้อย่างมีประสิทธิภาพ ตามนโยบายของรองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม 

สำหรับในช่วงสถานการณ์อุทกภัยที่ผ่านมา นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ได้สั่งการให้ ทช. เตรียมความพร้อมรับมือกับสถานการณ์ในทุกมิติ ทั้งมิติด้านเครื่องมืออุปกรณ์ และมิติกำลังเจ้าหน้าที่ พร้อมบูรณาการการทำงานร่วมกับหน่วยงานต่าง ๆ เพื่อช่วยบรรเทาความเดือดร้อน และคลี่คลายสถานการณ์ให้กลับสู่ภาวะปกติโดยเร็ว รวมทั้งให้เร่งฟื้นฟูสายทางที่ประสบเหตุอุทกภัยอย่างเร่งด่วน เพื่ออำนวยความสะดวกให้ประชาชนสามารถกลับมาใช้สัญจรได้อย่างปลอดภัย ทั้งนี้ อธิบดีกรมทางหลวงชนบท ได้เตรียมแผนเผชิญเหตุในการรับมือกับสถานการณ์ที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต โดยสั่งการไปยังสำนักงานทางหลวงชนบท และแขวงทางหลวงชนบทในพื้นที่เสี่ยงภัย ให้ดำเนินการจัดเตรียมถุงทรายสำหรับใช้ในกรณีฉุกเฉิน พร้อมลงพื้นที่ตรวจสอบสายทางที่ประสบเหตุอุทกภัย เพื่อแก้ไขปรับปรุง และหาแนวทางป้องกันในปีต่อไป รวมทั้งเตรียมการสำรวจสะพานในพื้นที่เสี่ยงกับการเกิดเหตุอุทกภัย เพื่อดำเนินการวางแผน หากมีความจำเป็นต้องยกสะพานให้สูงขึ้น เพื่อแก้ไขปัญหาระยะยาวในอนาคต

อย่างไรก็ตาม กรมทางหลวงชนบท (ทช.) ยังคงมุ่งมั่นเดินหน้าพัฒนาโครงข่ายทางหลวงชนบท พร้อมสนับสนุนนโยบายของรัฐบาล และกระทรวงคมนาคม ในการดำเนินการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานการคมนาคมขนส่ง พัฒนาระบบการให้บริการที่สร้างโอกาส และการเข้าถึงให้กับประชาชนอย่างทั่วถึงและเท่าเทียม ตามนโยบาย “คมนาคมเพื่อโอกาสประเทศไทย”

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กระทรวงคมนาคม

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI NEWS UPDATE

ศปช. เร่งฟื้นฟูเส้นทาง-สาธารณูปโภค เชียงใหม่และเชียงราย หลังน้ำท่วมใหญ่

 

เมื่อวันที่ 9 ตุลาคม 2567 เวลา 18.30 น. นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกศูนย์ปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยส่วนหน้า (ศปช.) ได้แถลงความคืบหน้าการฟื้นฟูเส้นทางคมนาคมและสาธารณูปโภคในพื้นที่ภาคเหนือ หลังได้รับผลกระทบจากน้ำท่วมใหญ่ในจังหวัดเชียงใหม่และเชียงราย โดยทางศปช. ได้สั่งการให้กระทรวงคมนาคมเร่งฟื้นฟูระบบขนส่ง เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนและสามารถลำเลียงความช่วยเหลือเข้าสู่พื้นที่ได้อย่างเต็มศักยภาพ

สถานีขนส่งและรถไฟสายเหนือกลับมาเปิดใช้งานได้ตามปกติ

นายจิรายุ เปิดเผยว่า สถานีขนส่งเชียงใหม่ แห่งที่ 2 และ แห่งที่ 3 ได้กลับมาเปิดให้บริการได้ตามปกติแล้ว เช่นเดียวกับ รถไฟสายเหนือเส้นทางกรุงเทพฯ – เชียงใหม่ ที่สามารถเดินรถได้ตามกำหนด โดยเส้นทางคมนาคมหลักในเขตอำเภอเมืองเชียงใหม่และอำเภอสารภีได้รับการซ่อมแซมและสามารถเปิดใช้งานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ ซึ่งช่วยให้การเดินทางและการลำเลียงสินค้ากลับมาสู่สภาพเดิม

การจ่ายน้ำประปาและไฟฟ้าให้ประชาชน

ด้านการจ่ายน้ำประปา นายจิรายุกล่าวว่า การประปาส่วนภูมิภาค (กปภ.) สาขาเชียงใหม่ ได้เร่งดำเนินการซ่อมแซมสถานีผลิตน้ำป่าตันจนสามารถจ่ายน้ำได้กว่าร้อยละ 97.97 ของผู้ใช้บริการทั้งหมด รวม 136,616 ครัวเรือน ขณะที่ในพื้นที่เชียงรายได้ซ่อมแซมระบบประปาไปแล้ว 337 จุด จากทั้งหมด 423 จุด คิดเป็นร้อยละ 79.7 คาดว่าจะสามารถจ่ายน้ำได้ครอบคลุมทุกพื้นที่ภายในวันจันทร์นี้

สำหรับการจ่ายไฟฟ้าในพื้นที่ภาคเหนือ การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) เขต 1 ภาคเหนือ ได้ดำเนินการแก้ไขระบบไฟฟ้าในจังหวัดเชียงใหม่และเชียงราย จนสามารถจ่ายไฟได้เกือบทั้งหมด โดยในจังหวัดเชียงใหม่มีบ้านเรือนที่ได้รับไฟฟ้าแล้วร้อยละ 95 เหลือเพียงบางส่วนในอำเภอสารภี ที่ยังคงต้องรอการซ่อมแซมเนื่องจากน้ำยังท่วมขัง ส่วนที่เชียงรายสามารถจ่ายไฟได้ร้อยละ 99.5 เหลือเพียง 300 ครัวเรือนในอำเภอแม่สายที่อยู่ติดลำน้ำสาย ซึ่งเป็นจุดที่ได้รับความเสียหายอย่างหนักจากน้ำท่วม

 
รัฐมนตรีมอบเงินช่วยเหลือผู้ประสบภัย พร้อมหนุนเครือข่าย OTOP

ในวันเดียวกันนี้ นางสาวธีรรัตน์ สำเร็จวาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย ในฐานะประธาน ศปช. ส่วนหน้า และ พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม ได้เดินทางลงพื้นที่อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย เพื่อติดตามสถานการณ์และมอบเงินช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยตาม “โครงการพัฒนาชุมชน รวมใจ ช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วม” ใน 7 อำเภอ รวมถึงมอบ เงินกองทุนพัฒนาเด็กชนบทในพระราชูปถัมภ์ฯ ให้กับครอบครัวเด็กที่ประสบภัยน้ำท่วม จำนวน 247 ทุน ทุนละ 1,500 บาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 370,500 บาท

นอกจากนี้ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทยได้ลงพื้นที่เยี่ยมเครือข่าย OTOP และผู้ประกอบการท้องถิ่นในชุมชนเหมืองแดง อำเภอแม่สาย ซึ่งได้รับผลกระทบจากน้ำท่วม พร้อมมอบถุงยังชีพและอุปกรณ์ทำความสะอาดบ้านเรือน โดยรัฐมนตรีฯ กล่าวเพิ่มเติมว่า “การพัฒนาและสนับสนุนเครือข่าย OTOP จะเป็นแนวทางในการสร้างรายได้ใหม่หลังสถานการณ์น้ำท่วมผ่านพ้นไป”

เร่งฟื้นฟูระบบสาธารณูปโภค เพื่อคืนความเป็นอยู่ที่ดีให้ประชาชน

ศปช. ยังมอบหมายให้เจ้าหน้าที่เร่งฟื้นฟูเส้นทางและสาธารณูปโภคในทุกพื้นที่ เพื่อให้ประชาชนสามารถกลับมาใช้ชีวิตได้ตามปกติโดยเร็ว โดยเน้นการซ่อมแซมระบบประปา ระบบไฟฟ้า และเส้นทางคมนาคมในจุดที่ได้รับผลกระทบหนัก เพื่อความปลอดภัยของผู้ใช้งานและเพื่อให้การดำเนินชีวิตประจำวันกลับสู่ภาวะปกติ

“เราต้องการให้ประชาชนมั่นใจว่า ศปช. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะเร่งฟื้นฟูทุกอย่างให้กลับมาสู่สภาพปกติให้เร็วที่สุด เพื่อความปลอดภัยและคุณภาพชีวิตของประชาชนทุกคน” นายจิรายุกล่าวทิ้งท้าย

บทสรุป: ศปช. เร่งฟื้นฟูทุกด้าน คืนความปกติให้ประชาชน

ศปช. ยังคงเดินหน้าฟื้นฟูเส้นทางและระบบสาธารณูปโภคในพื้นที่น้ำท่วม พร้อมให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยอย่างต่อเนื่อง โดยมีเป้าหมายเพื่อคืนความปลอดภัยและความเป็นอยู่ที่ดีให้ประชาชนในจังหวัดเชียงใหม่และเชียงรายอย่างครอบคลุมและรวดเร็วที่สุด

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ทีมข่าวนครเชียงรายนิวส์

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

ฟื้นฟูสวนริมน้ำกก คืนพื้นที่ สวยงามให้ชุมชนชาวเชียงราย

 

เมื่อวันที่ 9 ตุลาคม 2567 เทศบาลนครเชียงรายได้จัดกิจกรรมระดมกำลังฟื้นฟูสวนสาธารณะริมน้ำกก โดยมี นายธเนศ โกมลธง รองนายกเทศมนตรีนครเชียงราย เป็นผู้แทนของ นายวันชัย จงสุทธานามณี นายกเทศมนตรีนครเชียงราย ร่วมกับคณะผู้บริหาร สมาชิกสภาเทศบาล (สท.) เจ้าหน้าที่ตำรวจจากหลายหน่วยงาน รวมถึงประชาชนในพื้นที่ชุมชนร่องเสือเต้น ชุมชนฝั่งหมิ่น และชุมชนป่าแดง ร่วมกันทำความสะอาดและฟื้นฟูสวนสาธารณะริมแม่น้ำกกให้กลับมาสะอาดและสวยงามอีกครั้ง หลังจากที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์น้ำท่วมครั้งใหญ่ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา

ภารกิจหลัก: ฟื้นฟูลู่วิ่งและเส้นทางสัญจรริมแม่น้ำ

กิจกรรมการฟื้นฟูครั้งนี้ครอบคลุมระยะทางกว่า 1.6 กิโลเมตร โดยแบ่งออกเป็น 3 โซนหลักตามความเสียหายของพื้นที่ ได้แก่

  1. โซนแรก: ทำความสะอาดพื้นที่ตั้งแต่สะพานข้ามแม่น้ำกกตลอดทั้งเส้นทาง พร้อมเคลียร์ลู่วิ่งด้านบนและด้านล่าง
  2. โซนที่สอง: ฟื้นฟูลู่วิ่ง-ลู่เดินบริเวณด้านบนของสวนสาธารณะ โดยใช้เครื่องจักรขนาดเล็กและกำลังคนในการขนย้ายดินโคลนที่ทับถมบนเส้นทาง
  3. โซนที่สาม: เก็บกวาดเศษดินและต้นไม้ที่ล้มทับกันอยู่บริเวณริมฝั่งแม่น้ำ โดยเฉพาะในจุดที่มีต้นไม้ใหญ่ขวางทาง ซึ่งต้องใช้เครื่องจักรหนักเข้ามาช่วยเคลื่อนย้าย
ความร่วมมือจากทุกภาคส่วน เสริมกำลังฟื้นฟูพื้นที่

นอกจากทีมเจ้าหน้าที่จากเทศบาลนครเชียงรายแล้ว การฟื้นฟูครั้งนี้ยังได้รับความร่วมมือจากหลายหน่วยงาน เช่น ตำรวจพิสูจน์หลักฐาน ตำรวจท่องเที่ยว ตำรวจภูธรเมืองเชียงราย และตำรวจตระเวนชายแดนกองร้อย 327 รวมถึงเจ้าหน้าที่กองร้อยอาสารักษาดินแดนจาก 37 จังหวัดทั่วประเทศ ซึ่งได้ส่งเจ้าหน้าที่และเครื่องจักรเข้ามาช่วยเหลือการฟื้นฟูอย่างเต็มกำลัง เพื่อเร่งฟื้นฟูสวนสาธารณะริมกกให้กลับมาเปิดให้บริการแก่ประชาชนได้อย่างรวดเร็ว

“การทำความสะอาดลู่วิ่งและเส้นทางสัญจรในสวนสาธารณะนี้เป็นการฟื้นฟูพื้นที่ให้กลับมาใช้งานได้ตามปกติ และช่วยเสริมสร้างความปลอดภัยให้กับผู้ที่มาใช้บริการในอนาคต” นายธเนศ โกมลธง กล่าว

เครื่องจักรและกำลังคนแบ่งงานเป็นโซน เสริมประสิทธิภาพการฟื้นฟู

เครื่องจักรต่าง ๆ ที่นำมาใช้ในครั้งนี้ ได้แก่ รถแบคโฮ รถขุดขนาดเล็ก และรถบรรทุก สำหรับการขนย้ายดินโคลนและซากต้นไม้ที่ล้มทับกันอยู่ นอกจากนี้ ยังมีการใช้ เครื่องตัดกิ่งไม้และเลื่อยไฟฟ้า ในการจัดการกับต้นไม้ใหญ่ที่ขวางทางเดิน และเครื่องฉีดน้ำแรงดันสูงเพื่อขจัดคราบสกปรกบนลู่วิ่งและพื้นผิวถนน การทำงานของแต่ละหน่วยจะแบ่งตามโซนและมีหัวหน้าควบคุมการปฏิบัติงานอย่างใกล้ชิด เพื่อให้การทำความสะอาดเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและครอบคลุมทุกจุด

การทำงานร่วมกันของชุมชน สร้างความสามัคคีและความสุข

บรรยากาศการฟื้นฟูเต็มไปด้วยความร่วมมือร่วมใจจากทุกภาคส่วน ไม่ว่าจะเป็นเจ้าหน้าที่รัฐ ประชาชนในพื้นที่ รวมถึงอาสาสมัครที่มาจากชุมชนต่าง ๆ ทุกคนช่วยกันทำความสะอาดอย่างขยันขันแข็ง ทั้งการกวาดดิน ขนย้ายเศษซาก และเก็บขยะริมฝั่งน้ำ ซึ่งนอกจากจะช่วยทำให้สวนสาธารณะกลับมาสะอาดแล้ว ยังเป็นการสร้างความสัมพันธ์อันดีในชุมชนและเสริมสร้างความสามัคคีในหมู่ประชาชนอีกด้วย

“ทุกคนที่มาร่วมงานวันนี้ต่างมีความตั้งใจที่จะช่วยฟื้นฟูสวนสาธารณะให้กลับมาสวยงามอีกครั้ง และเราจะทำให้สวนแห่งนี้เป็นพื้นที่ที่น่าใช้งานทั้งสำหรับคนในชุมชนและนักท่องเที่ยว” นายธเนศกล่าวเสริม

บทสรุป: คืนความสวยงามให้สวนสาธารณะ ฟื้นฟูเมืองเชียงราย

การฟื้นฟูสวนสาธารณะริมน้ำกกครั้งนี้เป็นการเริ่มต้นที่ดีในการฟื้นฟูพื้นที่หลังน้ำท่วม ซึ่งนอกจากจะช่วยคืนความสวยงามให้กับเมืองเชียงรายแล้ว ยังเป็นการส่งเสริมสุขภาพและคุณภาพชีวิตของประชาชนในพื้นที่ ทั้งนี้ เทศบาลนครเชียงรายจะยังคงดำเนินการฟื้นฟูพื้นที่อื่น ๆ ต่อไป เพื่อให้เมืองเชียงรายกลับมามีความสวยงามและพร้อมต้อนรับนักท่องเที่ยวในช่วงปลายปีนี้

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : เทศบาลนครเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI CULTURE

นโยบาย “วัฒนธรรมสร้างอนาคต” ขับเคลื่อนสู่การปฏิบัติทั่วประเทศ

 

เมื่อวันที่ 8 ตุลาคม 2567 เวลา 13.00 น. สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงรายได้จัดประชุมถ่ายทอดนโยบายของ นางสาวสุดาวรรณ หวังศุภกิจโกศล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม และ ดร.ยุพา ทวีวัฒนะกิจบวร ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม ภายใต้แนวคิด “วัฒนธรรมสร้างอนาคต” (Culture For The Future) ณ ห้องประชุมสำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย โดยมี นายพิสันต์ จันทร์ศิลป์ วัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย เป็นประธานการประชุม ร่วมด้วยผู้บริหารระดับสูงและข้าราชการกระทรวงวัฒนธรรมจากทุกหน่วยงานในพื้นที่ เพื่อระดมความคิดเห็นและนำเสนอแนวทางการขับเคลื่อนนโยบายในปีงบประมาณ 2568 อย่างเป็นรูปธรรม

วัฒนธรรม: กุญแจสำคัญสู่การพัฒนาเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน

ในการประชุมครั้งนี้ เน้นการวางนโยบายภายใต้ 4 นโยบายหลัก ได้แก่

  1. การอนุรักษ์และฟื้นฟูวัฒนธรรมดั้งเดิม
  2. การส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์จากวัฒนธรรม
  3. การสร้างเครือข่ายความร่วมมือระหว่างชุมชนและหน่วยงานต่าง ๆ
  4. การยกระดับและสร้างสรรค์กิจกรรมทางวัฒนธรรมใหม่ ๆ

โดยมุ่งเน้นแนวทางการทำงานแบบ “รักษาสิ่งเดิม เพิ่มเติมสิ่งใหม่” เพื่อเสริมสร้างเศรษฐกิจวัฒนธรรมให้เป็นปัจจัยสำคัญในการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ

วัฒนธรรม: พลังแห่งอนาคตเพื่อสังคมและเศรษฐกิจที่ยั่งยืน

นโยบายของกระทรวงวัฒนธรรมในปีงบประมาณ 2568 ได้รับการถ่ายทอดผ่านแนวคิด “วัฒนธรรม คือ พลังแห่งอนาคต” โดยยึดหลักการขับเคลื่อน 4 นโยบาย 3 แนวทาง 2 รูปแบบการปฏิบัติ และ 1 เป้าหมายหลัก คือการพัฒนาเศรษฐกิจจากฐานรากสู่เศรษฐกิจสร้างสรรค์ โดยนางสาวสุดาวรรณกล่าวว่า “เศรษฐกิจวัฒนธรรม คือ กุญแจสำคัญที่ปลดล็อกประเทศไทยสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน”

การประชุมถ่ายทอดนโยบายและระดมความคิด

การประชุมในครั้งนี้มีเป้าหมายหลักในการ สร้างความเข้าใจและแนวทางปฏิบัติร่วมกัน ให้กับข้าราชการและบุคลากรสำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย โดยมีการแบ่งกลุ่มย่อยตามสายงานเพื่อระดมความคิดเห็น และสรุปนโยบายจากไฟล์เอกสารและสื่อที่ได้รับจากสำนักงานปลัดกระทรวงวัฒนธรรม ทั้งนี้ ข้าราชการทุกคนได้นำเสนอแนวทางการดำเนินงานในปีงบประมาณ 2568 และปีต่อไป เพื่อผลักดันนโยบายวัฒนธรรมให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่จับต้องได้ในทุกพื้นที่

ผู้เข้าร่วมประชุมจากทุกภาคส่วนร่วมระดมความคิด

ผู้เข้าร่วมประชุมครั้งนี้ประกอบด้วย นางพรทิวา ขันธมาลา นักวิชาการวัฒนธรรมชำนาญการพิเศษ ผู้อำนวยการกลุ่มยุทธศาสตร์และเฝ้าระวังทางวัฒนธรรม, นางวนิดาพร ธิวงศ์ นักวิชาการวัฒนธรรมชำนาญการพิเศษ ผู้อำนวยการกลุ่มส่งเสริมศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม, นางสาวณพิชญา นันตาดี นักวิชาการวัฒนธรรมชำนาญการ รักษาการแทนผู้อำนวยการกลุ่มกิจการพิเศษ, นายภัทรพงษ์ มะโนวัน นักวิชาการวัฒนธรรมชำนาญการ หัวหน้ากลุ่มพิธีการศพที่ได้รับพระราชทาน, นางสาวมธุรส เมืองเสริม นักจัดการงานทั่วไปชำนาญการ หัวหน้าฝ่ายบริหารทั่วไป พร้อมข้าราชการและบุคลากรของสำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงรายกว่า 47 คน ที่เข้าร่วมการประชุมอย่างพร้อมเพรียง

เป้าหมายการขับเคลื่อน: เศรษฐกิจวัฒนธรรม สู่การพัฒนาประเทศ

ทั้งนี้ การประชุมดังกล่าวนอกจากจะเป็นการถ่ายทอดนโยบายจากส่วนกลางแล้ว ยังเป็นการ สร้างแนวทางปฏิบัติในพื้นที่ เพื่อนำไปปรับใช้ให้สอดคล้องกับความต้องการของประชาชนในแต่ละจังหวัด การประชุมเป็นไปอย่างราบรื่น ทุกคนได้รับความรู้และความเข้าใจที่ชัดเจน นำไปสู่การขับเคลื่อนนโยบายกระทรวงวัฒนธรรมให้บรรลุผลสำเร็จตามเป้าหมายหลักของการพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืน

บทสรุป: วัฒนธรรมสร้างเศรษฐกิจ สู่การพัฒนาที่ยั่งยืน

การประชุมถ่ายทอดนโยบายครั้งนี้เป็นการวางรากฐานในการพัฒนาวัฒนธรรมให้เป็นพลังสำคัญในการสร้างสังคมและเศรษฐกิจที่มั่นคงและยั่งยืน โดยมีการวางแนวทางการปฏิบัติอย่างชัดเจน เพื่อให้การขับเคลื่อนนโยบายของกระทรวงวัฒนธรรมเกิดผลอย่างเป็นรูปธรรม และสร้างความเปลี่ยนแปลงที่ดีให้กับประชาชนในทุกพื้นที่ทั่วประเทศต่อไป

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News