Categories
AROUND CHIANG RAI TOP STORIES

ผลตรวจแม่ “น้ำกก” พบสารหนูต่ำ ชาวบ้านยังผวา เพราะจำนวนปลาลด

วิกฤตมลพิษแม่น้ำกก สารหนูและความท้าทายต่อชุมชนและระบบนิเวศในเชียงราย

เชียงราย, 24 เมษายน 2568 – การปนเปื้อนสารหนูในแม่น้ำกก จังหวัดเชียงราย ได้กลายเป็นประเด็นที่สร้างความกังวลอย่างกว้างขวางในหมู่ประชาชน เกษตรกร และนักท่องเที่ยว หลังจากการตรวจพบสารโลหะหนักในน้ำและปลา รวมถึงภาพปลาที่มีลักษณะผิดปกติที่ถูกเผยแพร่ในโซเชียลมีเดีย ส่งผลกระทบต่อวิถีชีวิต เกษตรกรรม และการท่องเที่ยวในพื้นที่อย่างหนัก หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งกรมประมง กระทรวงสาธารณสุข และองค์กรชุมชนได้เร่งดำเนินการตรวจสอบและให้ข้อมูลเพื่อคลายความกังวล พร้อมผลักดันแนวทางการแก้ไขทั้งในระยะสั้นและระยะยาว ขณะที่ชุมชนท้องถิ่นเรียกร้องความชัดเจนและการจัดการปัญหามลพิษข้ามพรมแดนที่อาจมีสาเหตุจากกิจกรรมเหมืองแร่ในประเทศเพื่อนบ้าน

จุดเริ่มต้น ความกังวลจากแม่น้ำกก

แม่น้ำกกเป็นเส้นเลือดใหญ่ที่หล่อเลี้ยงวิถีชีวิตของชาวเชียงราย ทั้งในด้านการเกษตร การประมง และการท่องเที่ยว อย่างไรก็ตาม ตั้งแต่ช่วงปลายปี 2567 หลังเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่ในเดือนกันยายน ชาวบ้านเริ่มสังเกตเห็นความผิดปกติของแม่น้ำกก โดยน้ำมีลักษณะขุ่นแดงและมีตะกอนดินปนเปื้อนอย่างต่อเนื่อง ความกังวลทวีคูณเมื่อมีการเผยแพร่ภาพปลาที่มีตุ่มเนื้อสีแดงอมม่วงในโซเชียลมีเดีย ซึ่งถูกอ้างว่าเป็นปลาจากแม่น้ำกก และอาจเกี่ยวข้องกับการปนเปื้อนสารหนูจากกิจกรรมเหมืองแร่ในฝั่งประเทศเมียนมา

นายวิรัตน์ พรมสอน จากเครือข่ายสภาองค์กรชุมชนจังหวัดเชียงราย กล่าวว่า “แม่น้ำกกเป็นสายเลือดของเกษตรกรในเชียงราย เศรษฐกิจของประชาชนและจังหวัดพึ่งพาแม่น้ำนี้อย่างมาก ข่าวร้ายเกี่ยวกับการปนเปื้อนสารโลหะหนักทำให้เรารู้สึกช็อก และจนถึงตอนนี้ เรายังไม่เห็นสัญญาณที่ชัดเจนจากภาครัฐว่าจะแก้ไขปัญหานี้อย่างไร” ความกังวลนี้สะท้อนถึงความไม่แน่นอนของชุมชนที่ต้องพึ่งพาแม่น้ำกกในชีวิตประจำวัน

เหตุการณ์นี้เริ่มเป็นที่สนใจมากขึ้นเมื่อกรมควบคุมมลพิษ (คพ.) รายงานการตรวจพบสารหนูในแม่น้ำกก โดยสงสัยว่าอาจมีสาเหตุจากมลพิษข้ามพรมแดน การค้นพบนี้จุดชนวนให้เกิดการถกเถียงในหมู่ประชาชนเกี่ยวกับความปลอดภัยของน้ำ ปลา และพืชผลทางการเกษตรที่เกี่ยวข้องกับแม่น้ำกก

การตรวจสอบจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

เพื่อตอบสนองต่อความกังวลของประชาชน สำนักงานประมงจังหวัดเชียงราย นำโดยนายณัฐรัฐ พรเดชอนันต์ ประมงจังหวัดเชียงราย ได้ลงพื้นที่สำรวจแหล่งน้ำและตลาดปลาในพื้นที่อำเภอเชียงแสนและอำเภอเมือง พบว่าปริมาณปลาในแม่น้ำกกลดลงอย่างมาก และประชาชนเริ่มหลีกเลี่ยงการซื้อปลาน้ำจืดจากตลาด ถึงแม้ว่าปลาส่วนใหญ่จะมาจากฟาร์มเพาะเลี้ยงและไม่ใช่ปลาจากแม่น้ำกกโดยตรง

นายณัฐรัฐเปิดเผยว่า กรณีภาพปลาที่มีตุ่มเนื้อสีแดงอมม่วงนั้น เป็นเคสเก่าที่พบในแม่น้ำโขง ฝั่ง สปป.ลาว เมื่อปี 2567 และมีเพียงตัวอย่างเดียวที่พบลักษณะดังกล่าว ลักษณะตุ่มนี้สอดคล้องกับโรคลิมโฟซิสติส (Lymphocystis Disease) ซึ่งเกิดจากเชื้อไวรัสในกลุ่ม Iridoviridae สกุล Lymphocystivirus โดยมีปัจจัยกระตุ้นจากสภาพแวดล้อมที่ไม่เหมาะสม เช่น การเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิหรือความเครียดของปลา อย่างไรก็ตาม การตรวจสอบล่าสุดเมื่อวันที่ 23 เมษายน 2568 บริเวณปากแม่น้ำกก อำเภอเชียงแสน ไม่พบปลาที่มีลักษณะผิดปกติ และยังไม่สามารถเก็บตัวอย่างเพิ่มเติมได้

เพื่อยืนยันความปลอดภัยของปลาในแม่น้ำกก สำนักงานประมงจังหวัดเชียงรายได้เก็บตัวอย่างปลาจากจุดใต้ฝายเชียงราย ส่งตรวจวิเคราะห์หาสารโลหะหนักที่ Central Lab บริษัท ห้องปฏิบัติการกลาง (ประเทศไทย) เมื่อวันที่ 11 เมษายน 2568 ผลการตรวจที่ได้รับเมื่อวันที่ 24 เมษายน 2568 ระบุว่า:

  • สารหนู (As): พบในปริมาณ 0.13 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม (ค่ามาตรฐานไม่เกิน 2 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม)
  • ปรอท (Hg): พบในปริมาณ 0.090 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม (ค่ามาตรฐานไม่เกิน 0.5 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม)
  • แคดเมียม (Cd) และตะกั่ว (Pb): ไม่พบในตัวอย่าง

ผลการตรวจยืนยันว่า ระดับสารโลหะหนักในปลาจากแม่น้ำกกอยู่ในเกณฑ์ปลอดภัยตามมาตรฐานกระทรวงสาธารณสุข พ.ศ. 2563 (ฉบับที่ 414) และปลอดภัยสำหรับการบริโภค นายณัฐรัฐยังย้ำว่า ปลาที่จำหน่ายในท้องตลาดส่วนใหญ่เป็นปลาเลี้ยง เช่น ปลานิลและปลาทับทิม ซึ่งไม่ได้รับผลกระทบจากมลพิษในแม่น้ำกก

นอกจากนี้ กรมประมง โดยนายบัญชา สุขแก้ว อธิบดีกรมประมง ได้ชี้แจงเพิ่มเติมว่า ภาพปลาที่ถูกเผยแพร่ในโซเชียลมีเดียนั้นเป็นภาพเก่าและไม่ใช่ปลาจากแม่น้ำกก อย่างไรก็ตาม เพื่อความไม่ประมาท กรมประมงได้เก็บตัวอย่างปลาในแม่น้ำกก รวมถึงปลานิลแดง ปลากดหลวง และปลาชนิดอื่นๆ ส่งตรวจวิเคราะห์เพิ่มเติม คาดว่าจะทราบผลภายในวันที่ 28 เมษายน 2568

ผลกระทบต่อชุมชนและการท่องเที่ยว

การปนเปื้อนสารหนูในแม่น้ำกกส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อชุมชนท้องถิ่น โดยเฉพาะในพื้นที่ที่พึ่งพาแม่น้ำในการทำเกษตรกรรมและการประมง นายทวีศักดิ์ มณีวรรณ์ จากเครือข่ายสิทธิและชุมชน มูลนิธิสายรุ้งแม่น้ำโขง กล่าวว่า ชาวบ้านในชุมชนริมแม่น้ำกกจำนวนมากยังขาดข้อมูลเกี่ยวกับมลพิษในแม่น้ำ และยังคงใช้น้ำจากแม่น้ำกกในการเกษตรและชีวิตประจำวัน “เราไม่รู้ว่าน้ำประปาปลอดภัยหรือไม่ น้ำใต้ดินที่สูบจากริมแม่น้ำกกยังใช้ได้หรือเปล่า ผักที่ปลูกริมน้ำยังกินได้หรือไม่ ชาวบ้านต้องการคำตอบที่ชัดเจนจากหน่วยงานรัฐ”

ในด้านการท่องเที่ยว ปางช้างกะเหรี่ยงรวมมิตร ตำบลแม่ยาว อำเภอเมืองเชียงราย ซึ่งเป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญริมแม่น้ำกก ได้รับผลกระทบอย่างหนัก นายดา ควานช้าง ตัวแทนปางช้าง เปิดเผยว่า จำนวนนักท่องเที่ยวลดลงกว่า 80% หลังจากเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่ในเดือนกันยายน 2567 และข่าวการปนเปื้อนสารหนูในแม่น้ำกก “เมื่อก่อนนักท่องเที่ยวทั้งไทยและต่างชาติมาเยอะมาก แต่ตอนนี้ไม่มีใครกล้านำช้างลงน้ำกก ควานช้างหลายคนต้องพาช้างไปเลี้ยงในป่า และบางคนเลิกเลี้ยงช้างแล้ว”

นายบุญศรี พนาสว่างวงค์ จากเครือข่ายสิทธิชุมชนเชียงราย กล่าวว่า การห้ามชาวบ้านลงน้ำกกทำให้วิถีชีวิตที่ผูกพันกับแม่น้ำถูกตัดขาด “ชาวบ้านต้องใช้น้ำกกในการกิน ใช้ และหาอาหาร ลำพังชาวบ้านช่วยตัวเองไม่ได้ ต้องการให้หน่วยงานมาตรวจสอบน้ำ ดิน และสุขภาพของชาวบ้านให้ชัดเจน” เขายังระบุว่า มีเด็กในชุมชนบางคนเริ่มมีอาการตุ่มขึ้นตามตัวหลังสัมผัสน้ำกก ซึ่งอาจเกี่ยวข้องกับสารปนเปื้อน แต่ยังไม่มีหน่วยงานใดมาตรวจสอบอย่างจริงจัง

การตอบสนองจากภาครัฐและชุมชน

ที่ทำเนียบรัฐบาล นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้แถลงภายหลังการประชุมศูนย์ปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย วาตภัย และดินโคลนถล่ม (ศปช.) ครั้งที่ 3/2568 ว่า รัฐบาลได้อนุมัติงบประมาณรวม 385.454 ล้านบาทเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัย และหน่วยบัญชาการทหารพัฒนาได้รับงบประมาณเพิ่มอีก 100 ล้านบาทสำหรับการดูดโคลนทรายในแม่น้ำกก โดยมีเป้าหมายให้การฟื้นฟูเสร็จสิ้นก่อนฤดูฝนเพื่อลดผลกระทบต่อประชาชน

นายภูมิธรรมยอมรับว่า มีความกังวลเกี่ยวกับวัตถุอันตรายที่อาจปนเปื้อนมากับดินโคลน จึงมอบหมายให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) ตรวจสอบคุณภาพดินและน้ำในแม่น้ำสายหลัก เช่น แม่น้ำกก แม่น้ำปิง และแม่น้ำโขง เพื่อยืนยันความปลอดภัยสำหรับการอุปโภคและบริโภค

ในส่วนของชุมชน ดร.จักรกริช ฉิมนอก อาจารย์จากมหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย เปิดเผยว่า เครือข่ายองค์กรชุมชนและนักวิชาการจะร่วมกันจัดกิจกรรม “ธาราไร้พรมแดน: เสียงจากแม่น้ำกกและชุมชน” ในวันที่ 10 พฤษภาคม 2568 ณ ลานกิจกรรมสะพานริมกก-เวียงเหนือรวมใจ ตำบลริมกก อำเภอเมืองเชียงราย กิจกรรมนี้ประกอบด้วยการแสดงศิลปะสด (Performance Art) และเวทีเสวนาชุมชน เพื่อสื่อสารปัญหาความไม่เป็นธรรมเชิงสิ่งแวดล้อมที่ชุมชนริมแม่น้ำกกต้องเผชิญจากมลพิษข้ามพรมแดน

ดร.จักรกริชกล่าวว่า “เราต้องการตั้งคำถามว่า ใครได้รับผลกระทบ และใครมีสิทธิในการตัดสินใจ ชาวบ้านริมแม่น้ำกกต้องแบกรับภาระจากกิจกรรมเหมืองแร่ที่อยู่ห่างไกล งานศิลปะและการเสวนาจะเป็นเวทีให้ชุมชนได้เล่าเรื่องราวของแม่น้ำกก และเรียกร้องสิทธิของธรรมชาติในการจัดการทรัพยากรน้ำข้ามพรมแดน”

การวิเคราะห์ ความท้าทายและโอกาส

การปนเปื้อนสารหนูในแม่น้ำกกสะท้อนถึงความท้าทายที่ซับซ้อนในมิติสิ่งแวดล้อม สังคม และการเมืองระหว่างประเทศ ปัญหานี้ไม่เพียงส่งผลกระทบต่อความปลอดภัยของอาหารและน้ำในชุมชนเท่านั้น แต่ยังกระทบต่อเศรษฐกิจท้องถิ่น โดยเฉพาะการท่องเที่ยวและการเกษตร ซึ่งเป็นรากฐานของจังหวัดเชียงราย

มิติสิ่งแวดล้อม การปนเปื้อนสารหนูในแม่น้ำกกอาจมีสาเหตุจากทั้งปัจจัยทางธรรมชาติและกิจกรรมมนุษย์ เช่น การทำเหมืองแร่ในฝั่งเมียนมา ซึ่งปล่อยสารหนูลงสู่แหล่งน้ำ การที่สารหนูสะสมในดินและน้ำอาจส่งผลกระทบต่อห่วงโซ่อาหาร โดยเฉพาะปลาและพืชผลทางการเกษตร เช่น ข้าวและข้าวโพด ซึ่งเป็นพืชเศรษฐกิจของเชียงราย นอกจากนี้ ความขุ่นของน้ำและตะกอนดินที่เกิดขึ้นตลอดทั้งปียังรบกวนระบบนิเวศ โดยแพลงก์ตอนซึ่งเป็นอาหารของปลาไม่สามารถสังเคราะห์แสงได้ ส่งผลให้ปริมาณปลาในแม่น้ำลดลงอย่างมาก

มิติสังคม ชุมชนริมแม่น้ำกกเผชิญกับความไม่แน่นอนในวิถีชีวิต การขาดข้อมูลที่ชัดเจนจากหน่วยงานรัฐทำให้ชาวบ้านจำนวนมากยังคงใช้น้ำกกในการเกษตรและชีวิตประจำวัน โดยไม่ตระหนักถึงความเสี่ยงจากสารปนเปื้อน การที่เด็กในชุมชนมีอาการตุ่มขึ้นตามตัวหลังสัมผัสน้ำกกบ่งชี้ถึงความจำเป็นในการตรวจสอบสุขภาพของประชาชนอย่างเร่งด่วน

มิติการเมืองระหว่างประเทศ การจัดการมลพิษข้ามพรมแดนเป็นประเด็นที่ละเอียดอ่อน เนื่องจากเกี่ยวข้องกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศไทยและเมียนมา การแก้ไขปัญหานี้ต้องอาศัยความร่วมมือระหว่างรัฐบาลทั้งสองฝ่าย รวมถึงการกำหนดนโยบายที่ชัดเจนในการควบคุมกิจกรรมเหมืองแร่และการปล่อยมลพิษลงสู่แหล่งน้ำ

อย่างไรก็ตาม วิกฤตนี้เป็นโอกาสให้หน่วยงานรัฐ องค์กรชุมชน และสถาบันการศึกษาในเชียงรายร่วมมือกันพัฒนาแนวทางการแก้ไขที่ยั่งยืน เช่น การจัดตั้งระบบเฝ้าระวังคุณภาพน้ำและดินอย่างต่อเนื่อง การให้ความรู้แก่ชุมชนเกี่ยวกับความเสี่ยงจากสารปนเปื้อน และการพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อลดการสะสมของสารหนูในพืชผลและสัตว์น้ำ

ทัศนคติเป็นกลางต่อความเห็นทั้งสองฝั่ง

ความกังวลของชุมชนและประชาชน
ชุมชนริมแม่น้ำกกและประชาชนทั่วไปมีความกังวลอย่างมากต่อความปลอดภัยของน้ำ ปลา และพืชผลที่อาจปนเปื้อนสารหนู การที่ข้อมูลจากหน่วยงานรัฐยังไม่ครอบคลุมและไม่ถึงชุมชนทำให้ชาวบ้านรู้สึกหวาดกลัวและขาดความมั่นใจในการใช้ทรัพยากรจากแม่น้ำกก ความกังวลนี้สมเหตุสมผล เนื่องจากสารหนูสามารถก่อให้เกิดผลกระทบต่อสุขภาพทั้งในระยะสั้น (เช่น อาการคลื่นไส้และผื่นผิวหนัง) และระยะยาว (เช่น มะเร็งผิวหนังและความเสียหายต่ออวัยวะภายใน)

การยืนยันความปลอดภัยจากหน่วยงานรัฐ
หน่วยงานรัฐ โดยเฉพาะกรมประมงและกระทรวงสาธารณสุข ยืนยันว่า ระดับสารหนูในปลาจากแม่น้ำกกอยู่ในเกณฑ์ปลอดภัย และปลาที่จำหน่ายในท้องตลาดส่วนใหญ่มาจากฟาร์มเพาะเลี้ยงที่ไม่ได้รับผลกระทบจากมลพิษในแม่น้ำ การตรวจสอบคุณภาพน้ำและดินอย่างต่อเนื่อง รวมถึงการจัดสรรงบประมาณเพื่อฟื้นฟูแม่น้ำกก แสดงถึงความพยายามของภาครัฐในการแก้ไขปัญหาและสร้างความมั่นใจให้ประชาชน

ทัศนคติเป็นกลาง ความกังวลของชุมชนเป็นสิ่งที่เข้าใจได้และควรได้รับการตอบสนองด้วยข้อมูลที่ชัดเจนและการสื่อสารที่ทั่วถึงจากหน่วยงานรัฐ ขณะเดียวกัน การตรวจสอบและยืนยันความปลอดภัยของหน่วยงานรัฐเป็นขั้นตอนที่จำเป็นในการลดความตื่นตระหนกและปกป้องสุขภาพประชาชน การแก้ไขปัญหาควรเน้นที่การเพิ่มช่องทางการสื่อสารกับชุมชน การตรวจสอบสุขภาพประชาชนอย่างเป็นระบบ และการจัดการมลพิษข้ามพรมแดนอย่างจริงจัง เพื่อให้ทั้งสองฝ่ายมั่นใจในความปลอดภัยและความยั่งยืนของทรัพยากรธรรมชาติ

สถิติที่เกี่ยวข้อง

  1. การปนเปื้อนสารหนูในแหล่งน้ำ: องค์การอนามัยโลก (WHO) ระบุว่า ระดับสารหนูในน้ำดื่มที่ปลอดภัยต้องไม่เกิน 0.01 มิลลิกรัมต่อลิตร การได้รับสารหนูในปริมาณสูงอย่างต่อเนื่องอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อมะเร็งผิวหนังและอวัยวะภายใน (ที่มา: WHO, Guidelines for Drinking-water Quality, 2022)
  2. ผลกระทบต่อการเกษตร: รายงานจากสมาคมเพื่อความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์แห่งอเมริกา (AAAS) ระบุว่า พื้นที่เพาะปลูกร้อยละ 14–17 ทั่วโลก (ประมาณ 242 ล้านเฮกตาร์) ได้รับผลกระทบจากการปนเปื้อนโลหะหนัก โดยสารหนูและแคดเมียมเป็นสารที่พบมากที่สุดในเอเชียใต้และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (ที่มา: Science Journal, 2025)
  3. ประชากรที่ได้รับผลกระทบ: การวิจัยจาก AAAS ประมาณการว่า มีประชากร 900 ล้านถึง 1.4 พันล้านคนทั่วโลกอาศัยอยู่ในพื้นที่ที่มีความเสี่ยงสูงจากการปนเปื้อนโลหะหนัก (ที่มา: Science Journal, 2025)
  4. ผลกระทบต่อสัตว์น้ำ: กรมประมงรายงานว่า ปริมาณปลาในแหล่งน้ำธรรมชาติของประเทศไทยลดลงร้อยละ 20–30 ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของระบบนิเวศและมลพิษในแหล่งน้ำ (ที่มา: รายงานประจำปี 2567, กรมประมง)
  5. ผลกระทบต่อการท่องเที่ยว: การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ระบุว่า การท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ในจังหวัดเชียงรายมีรายได้ลดลงร้อยละ 15 ในปี 2567 เนื่องจากความกังวลเกี่ยวกับมลพิษในแหล่งน้ำ (ที่มา: รายงานการท่องเที่ยว, ททท., 2567)

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
  • องค์การอนามัยโลก (WHO)

  • สมาคมเพื่อความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์แห่งอเมริกา (AAAS)

  • กรมประมง

  • การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.)

  • https://www.science.org
  • https://www.theguardian.com
  • https://theconversation.com
  • https://phys.org
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI CULTURE

วันผู้สูงอายุ-ครอบครัวอบอุ่น เชียงรายชู “คุณค่า” มอบ 38 รางวัล

เชียงรายจัดยิ่งใหญ่ วันผู้สูงอายุแห่งชาติและวันแห่งครอบครัว 2568

เชียงรายรวมพลังหนุนคุณค่าผู้สูงอายุ

เชียงราย,เมื่อวันที่ 24 เมษายน 2568 – โดยสำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดเชียงราย จัดงานวันผู้สูงอายุแห่งชาติและวันแห่งครอบครัว ประจำปี 2568 ภายใต้แนวคิด “คุณค่าผู้สูงวัย สานสายใยพลังครอบครัว” ณ โรงแรมลักษวรรณ รีสอร์ท อำเภอเมืองเชียงราย โดยมีนายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เป็นประธานเปิดงาน พร้อมด้วยนางสินีนาฏ ทองสุข นายกเหล่ากาชาดจังหวัดเชียงราย และหัวหน้าส่วนราชการ รวมถึงตัวแทนภาคีเครือข่ายจากภาครัฐ เอกชน และภาคประชาสังคม เข้าร่วมงานอย่างคับคั่ง

ส่งเสริมความรัก-อบอุ่น สร้างสังคมผู้สูงวัยที่มีคุณค่า

งานครั้งนี้จัดขึ้นเพื่อรณรงค์ให้ทุกภาคส่วนเห็นคุณค่าและความสำคัญของผู้สูงอายุ รวมทั้งส่งเสริมการสร้างความรัก ความอบอุ่น และการอยู่ร่วมกันอย่างเกื้อกูลในครอบครัว ซึ่งสอดคล้องกับเป้าหมายในการยกระดับสถาบันครอบครัวไทยให้เข้มแข็งและเป็นที่พึ่งพาทางจิตใจของทุกคนในสังคม

กิจกรรมหลากหลาย สะท้อนภูมิปัญญาผู้สูงวัย

ภายในงานประกอบด้วยกิจกรรมที่น่าสนใจหลากหลาย เช่น การจัดบูธนิทรรศการคลังปัญญาผู้สูงอายุ ผลิตภัณฑ์จากผู้สูงอายุ และนิทรรศการจากหน่วยงานภาครัฐและเอกชน นอกจากนี้ ยังมีการเสวนาหัวข้อ “เคล็ดลับการดูแลสุขภาพผู้สูงวัย และการเอาใจใส่ของครอบครัว” ซึ่งได้รับความสนใจอย่างมากจากผู้ร่วมงานทุกกลุ่มอายุ

พิธีรดน้ำดำหัวและขอพรผู้สูงอายุ

อีกหนึ่งกิจกรรมสำคัญของงานคือ การรดน้ำดำหัวขอพรจากผู้สูงอายุ เพื่อแสดงออกถึงความเคารพรักและความกตัญญูกตเวที โดยมีพระครูปิยวรรณพิพัฒน์ ดร. ประธานเครือข่ายโรงเรียนผู้สูงอายุแห่งประเทศไทย เป็นผู้นำกล่าวสัมโมทนียกถาในหัวข้อ “คุณค่าผู้สูงวัย สานสายใยครอบครัว” เพื่อกระตุ้นเตือนให้ทุกคนตระหนักถึงความสำคัญของผู้สูงอายุในครอบครัวและสังคม

มอบรางวัลเกียรติยศ เชิดชูบุคคลต้นแบบ

ในโอกาสนี้มีการมอบรางวัลเพื่อยกย่องเชิดชูเกียรติบุคคลและหน่วยงานที่มีผลงานดีเด่นด้านการส่งเสริมคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุและครอบครัว จำนวน 38 ราย ได้แก่ ผู้สูงอายุแบบอย่างดีเด่น ผู้สูงอายุดีเด่นของสมาคมสภาผู้สูงอายุแห่งประเทศไทย ศูนย์พัฒนาคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุดีเด่น ครอบครัวร่มเย็น บุคคลดีเด่นด้านการพัฒนาครอบครัว ศูนย์พัฒนาครอบครัวในชุมชนที่มีผลงานโดดเด่น รวมถึงกลุ่มเด็กและเยาวชนดีเด่น และบุคคลที่ทำคุณประโยชน์ต่อเด็กและเยาวชนในจังหวัดเชียงราย

ผู้ว่าฯ ย้ำ ครอบครัวเข้มแข็งสู่สังคมยั่งยืน

นายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย กล่าวแสดงความยินดีกับผู้ได้รับรางวัล พร้อมเน้นย้ำถึงบทบาทสำคัญของครอบครัวและผู้สูงวัย โดยกล่าวว่า “การส่งเสริมให้ผู้สูงอายุใช้ชีวิตอย่างมีคุณค่าและศักดิ์ศรี ถือเป็นแนวทางสำคัญในการพัฒนาสังคมให้ยั่งยืน ครอบครัวเป็นสถาบันหลักที่อบอุ่นและมั่นคง ซึ่งจะส่งผลดีต่อสังคมในระยะยาว”

สถิติผู้สูงอายุของประเทศไทยและเชียงราย

จากรายงานของสำนักงานสถิติแห่งชาติ ปี 2567 ประเทศไทยมีจำนวนผู้สูงอายุ (60 ปีขึ้นไป) ทั้งสิ้นประมาณ 13.5 ล้านคน หรือคิดเป็นร้อยละ 20 ของประชากรทั้งหมด โดยจังหวัดเชียงรายมีผู้สูงอายุรวมกว่า 300,000 คน หรือร้อยละ 21 ของประชากรทั้งจังหวัด (ที่มา: สำนักงานสถิติแห่งชาติ, 2567)

ทั้งนี้ การจัดกิจกรรมต่างๆ เพื่อส่งเสริมคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุและความเข้มแข็งของครอบครัว ถือเป็นเรื่องสำคัญและจำเป็นต่อการสร้างสังคมไทยที่มีความยั่งยืนและมีคุณภาพชีวิตที่ดีสำหรับทุกวัย

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
  • สำนักงานสถิติแห่งชาติ
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

เชียงรายคุมไฟป่าดีขึ้น เตรียมมอบรางวัล “หมู่บ้านสีเขียว”

เชียงรายชนะศึกไฟป่า ลดจุดความร้อนกว่า 72% ปี 2568

เชียงรายตั้งเป้าสู้ไฟป่าหมอกควันอย่างจริงจัง

เชียงราย,23 เมษายน 2568 – จังหวัดเชียงรายเดินหน้าจริงจังกับปัญหาไฟป่าและหมอกควัน โดยกำหนดห้ามเผาเด็ดขาดในที่โล่ง ตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ถึงเมษายน 2568 ผลลัพธ์ที่ได้คือจุดความร้อนลดลงกว่า 72% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา สร้างความพึงพอใจให้กับหน่วยงานและชุมชนในพื้นที่อย่างมาก

สถิติพื้นที่เผาไหม้ลดลงต่อเนื่อง

ในช่วงเดือนมกราคม 2568 พื้นที่เผาไหม้จังหวัดเชียงรายลดลงจากปี 2567 ถึง 6.57% โดยปีที่แล้วมีการเผาไหม้จำนวน 23,027 ไร่ ปีนี้ลดเหลือ 21,514 ไร่ เดือนกุมภาพันธ์พื้นที่เผาไหม้ลดลง 1.05% จาก 47,760 ไร่ เหลือ 47,260 ไร่ และเดือนมีนาคมลดลงอย่างชัดเจนถึง 65.77% จากเดิม 14,760 ไร่ เหลือเพียง 5,052 ไร่เท่านั้น

ประชุมวางแผนป้องกันไฟป่าอย่างเข้มข้น

เมื่อวันที่ 23 เมษายน 2568 ที่ศูนย์ปฏิบัติการหมอกควันไฟป่าและ PM2.5 จังหวัดเชียงราย ชั้น 1 ศาลากลางจังหวัดเชียงราย นายประเสริฐ จิตต์พลีชีพ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เป็นประธานประชุมติดตามสถานการณ์ไฟป่าครั้งที่ 7/2568 โดยมีตัวแทนจากทุกอำเภอเข้าร่วมประชุมผ่านระบบวิดีโอคอนเฟอเรนซ์ พร้อมรายงานสถานการณ์และผลดำเนินการป้องกันไฟป่าในพื้นที่อย่างละเอียด

อำเภอแม่สายไร้จุดความร้อนตลอดฤดู

จากรายงานของที่ประชุมพบว่า อำเภอแม่สายไม่มีจุดความร้อนเลยตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ถึงวันที่ 21 เมษายน 2568 แสดงให้เห็นถึงการทำงานที่มีประสิทธิภาพของทุกภาคส่วน โดยเฉพาะการมีส่วนร่วมจากประชาชนที่ให้ความร่วมมืออย่างดีเยี่ยม ถือเป็นต้นแบบให้กับพื้นที่อื่นได้เรียนรู้และปฏิบัติตาม

บังคับใช้กฎหมายเคร่งครัด ล่าตัวผู้กระทำผิด

ในเดือนเมษายนที่ผ่านมา หน่วยงานที่เกี่ยวข้องสามารถจับกุมผู้ลักลอบเผาป่าในพื้นที่อำเภอแม่ฟ้าหลวงและอำเภอแม่ลาวได้ โดยดำเนินคดีตามกฎหมายทันที รองผู้ว่าฯ ย้ำชัดว่าการบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มงวดจะช่วยให้สถานการณ์ดีขึ้นอย่างต่อเนเชื่อมโยงกับการลดปัญหาหมอกควันในอนาคต

มอบรางวัลพลเมืองดี สนับสนุนการมีส่วนร่วม

ในที่ประชุมมีการพิจารณามอบเงินรางวัลให้พลเมืองดี 2 ราย ที่แจ้งเบาะแสการกระทำผิดเกี่ยวกับการเผาป่า ถือเป็นการกระตุ้นให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหาไฟป่าและหมอกควันมากยิ่งขึ้น ซึ่งจะช่วยสร้างแรงจูงใจให้ชาวบ้านช่วยกันสอดส่องดูแลพื้นที่ของตนเอง

เตรียมมอบ “รางวัลหมู่บ้านสีเขียว” สร้างแรงจูงใจ

จังหวัดเชียงรายเตรียมจัดกิจกรรมมอบ “รางวัลหมู่บ้านสีเขียว” เพื่อยกย่องหมู่บ้านที่มีการจัดการไฟป่าอย่างมีประสิทธิภาพในระดับหมู่บ้าน ตำบล และอำเภอ โดยหวังว่ารางวัลนี้จะช่วยกระตุ้นให้ชุมชนมีแรงบันดาลใจในการดูแลพื้นที่ของตนเองอย่างต่อเนื่อง รวมถึงลดการเกิดไฟป่าในอนาคต

ปรับกลยุทธ์บริหารจัดการเชื้อเพลิงอย่างเหมาะสม

ในที่ประชุมยังมีการหารือถึงการปรับช่วงเวลาการบริหารจัดการเชื้อเพลิงให้เหมาะสมกับสภาพอากาศและวิถีชีวิตของประชาชนในพื้นที่ เพื่อให้สามารถควบคุมสถานการณ์ไฟป่าและลดผลกระทบที่เกิดขึ้นจากหมอกควันอย่างยั่งยืนในระยะยาว

ประชาสัมพันธ์กฎหมาย สร้างความตระหนักรู้

หน่วยงานต่างๆ ได้เร่งดำเนินการประชาสัมพันธ์กฎหมายและบทลงโทษที่เกี่ยวข้องกับการเผาป่าในพื้นที่อย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างความเข้าใจและตระหนักรู้แก่ประชาชนทุกระดับ โดยเชื่อว่าความเข้าใจที่ชัดเจนจะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมที่ยั่งยืน

สถิติสำคัญในการลดปัญหาไฟป่า

สถิติพื้นที่เผาไหม้ของจังหวัดเชียงรายตั้งแต่เดือนมกราคมถึงมีนาคม 2568 ลดลงเฉลี่ยถึง 24.46% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะจุดความร้อนลดลงถึง 72.60% นับเป็นตัวเลขที่สะท้อนถึงความสำเร็จของมาตรการต่างๆ ที่จังหวัดเชียงรายนำมาใช้อย่างจริงจังในปีนี้

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
  • ศูนย์ปฏิบัติการหมอกควันไฟป่าและ PM2.5 จังหวัดเชียงราย
  • กรมควบคุมมลพิษ (รายงานสถานการณ์คุณภาพอากาศและหมอกควันปี 2568)
  • สำนักป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดเชียงราย (รายงานสถิติการเผาไหม้ปี 2567-2568)
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI TOP STORIES

‘บุญส่ง’ แจ้งคอนเสิร์ตช่วยทหารผ่านศึก ให้สังเกตุผู้จำหน่ายบัตรต้องมีใบอนุญาต

สมาคมทหารผ่านศึกและทหารกองหนุนเชียงรายชี้แจงกรณีมิจฉาชีพแอบอ้างจัดคอนเสิร์ตการกุศล

เชียงราย, 24 เมษายน 2568 – จากเหตุการณ์ที่สร้างความตื่นตระหนกในหมู่ประชาชนจังหวัดเชียงราย เมื่อมีบุคคลแต่งกายชุดทหารและอ้างตัวเป็นนายทหารยศพันเอกขอรับบริจาคและจำหน่ายบัตรคอนเสิร์ตตามบ้านเรือน สมาคมทหารผ่านศึกและทหารกองหนุนเชียงรายได้ออกมาชี้แจงถึงความโปร่งใสในการจัดกิจกรรมดนตรีการกุศล พร้อมเตือนประชาชนให้ระวังมิจฉาชีพที่อาจแอบอ้างชื่อสมาคมเพื่อหลอกลวง ขณะที่หน่วยงานทหารและตำรวจเร่งตรวจสอบเพื่อดำเนินคดีกับผู้กระทำผิด

จุดเริ่มต้นความกังวลจากโซเชียลมีเดีย

เรื่องราวเริ่มต้นเมื่อวันที่ 23 เมษายน 2568 จากโพสต์บนโซเชียลมีเดียในกลุ่มชุมชนจังหวัดเชียงราย ซึ่งระบุว่ามีชายบุคคลหนึ่งแต่งกายด้วยชุดทหาร อ้างตัวเป็น “พันเอกนพพล” จากกองทัพบก เข้าไปเคาะประตูบ้านประชาชนในหมู่บ้านดอยสะเก็น อำเภอเมืองเชียงราย เพื่อขอรับบริจาคและจำหน่ายบัตรคอนเสิร์ตการกุศล โพสต์ดังกล่าวตั้งคำถามถึงความน่าเชื่อถือของบุคคลนี้ โดยระบุว่า “ไม่รู้ว่าเป็นมิจฉาชีพหรือมีกิจกรรมนี้จริง ถ้าเป็นมิจฉาชีพเข้ามาในบ้านแบบนี้ คนเฒ่าคนแก่จะทำอย่างไร น่ากลัวมาก” โพสต์นี้ได้รับความสนใจอย่างรวดเร็ว สร้างความกังวลในหมู่ประชาชนถึงความปลอดภัยและความโปร่งใสของการระดมทุนในนามกิจกรรมการกุศล

จากการตรวจสอบเบื้องต้นโดยทีมข่าวนครเชียงรายนิวส์ พบว่าบุคคลดังกล่าวใช้ยานพาหนะที่มีป้ายทะเบียน 2ขอ-72xx กรุงเทพมหานคร ซึ่งจากการตรวจสอบข้อมูลยานพาหนะพบว่าเจ้าของชื่อนายกัมพล (ขอสงวนนามสกุล) มีภูมิลำเนาอยู่ที่จังหวัดสงขลา และเคยมีประวัติการแต่งกายเลียนแบบเจ้าหน้าที่รัฐเพื่อหลอกลวงจำหน่ายบัตรการกุศลเมื่อปี 2553 ข้อมูลนี้ยิ่งเพิ่มความสงสัยว่าบุคคลดังกล่าวอาจเป็นมิจฉาชีพที่แสวงหาผลประโยชน์จากความไว้วางใจของประชาชน

การตรวจสอบจากหน่วยงานทหาร

ทีมข่าวได้ประสานงานไปยังศูนย์ข่าวชุดควบคุมรักษาความสงบเรียบร้อยที่ 17 กองพันที่ 3 (ศขช.ร.17 พัน.3) เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริง ทางศูนย์ยืนยันว่าไม่มีนายทหารชื่อ “พันเอกนพพล” สังกัดกองทัพบกที่ได้รับมอบหมายให้ดำเนินการขอรับบริจาคหรือจำหน่ายบัตรคอนเสิร์ตในพื้นที่จังหวัดเชียงราย และไม่มีนโยบายให้กำลังพลออกปฏิบัติภารกิจในลักษณะดังกล่าว การกระทำของบุคคลนี้จึงมีแนวโน้มเป็นการแอบอ้างเพื่อหลอกลวงประชาชน ศูนย์ฯ ได้ประสานงานกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติในพื้นที่เพื่อติดตามตัวบุคคลดังกล่าวและดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

การชี้แจงจากสมาคมทหารผ่านศึกและทหารกองหนุนเชียงราย

เพื่อคลายความกังวลของประชาชนและยืนยันความโปร่งใสในการดำเนินงาน จ่าสิบเอกบุญส่ง ศรีจุมปา ปฏิบัติหน้าที่นายกสมาคมทหารผ่านศึกและทหารกองหนุนเชียงราย พร้อมด้วยพลตรีสุวิทย์ วังยาว ที่ปรึกษาสมาคมฯ และคณะกรรมการสมาคม ได้จัดแถลงข่าวเมื่อวันที่ 31 มีนาคม 2568 ณ โรงแรมเชียงรายแกรนด์รูม เพื่อประชาสัมพันธ์กิจกรรมแสดงดนตรีรำวง (มินิคอนเสิร์ต) การกุศล ซึ่งกำหนดจัดขึ้นในวันที่ 31 พฤษภาคม 2568 ณ หอประชุมสุพรรณิการ์ มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย ตั้งแต่เวลา 12.00–16.00 น. โดยมีศิลปิน “แนนซี่ ท็อปไลน์” ร่วมแสดง พร้อมกิจกรรมบันเทิงอื่นๆ อีกมากมาย

จ่าสิบเอกบุญส่งย้ำว่า การจำหน่ายบัตรเข้าชมงานเป็นไปด้วยความสมัครใจ โดยไม่มี การข่มขู่ บังคับ หรือเคี่ยวเข็ญใดๆ และอยู่ภายใต้การกำกับของคณะกรรมการสมาคมอย่างใกล้ชิด ประชาชนสามารถติดต่อสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่หมายเลขโทรศัพท์ 084-6117047 และ 081-3720643 หรือติดต่อโดยตรงที่สมาคมฯ สำหรับผู้ที่ประสงค์จะบริจาคเงินหรือสิ่งของเพื่อสนับสนุนกิจกรรมสงเคราะห์สมาชิกสมาคม

พลตรีสุวิทย์ วังยาว กล่าวว่า สมาคมทหารผ่านศึกและทหารกองหนุนเชียงรายเป็นองค์การสงเคราะห์ที่มุ่งดูแลทหารผ่านศึก ทหารนอกประจำการ และครอบครัวให้มีคุณภาพชีวิตที่ดี มีเกียรติ และศักดิ์ศรี รวมถึงให้ความช่วยเหลือประชาชนที่ประสบความเดือดร้อนในพื้นที่ รายได้จากกิจกรรมครั้งนี้จะนำไปจัดตั้งกองทุนเพื่อช่วยเหลือสมาชิกที่ขาดแคลนที่อยู่อาศัย ซ่อมแซมบ้านเรือนที่ได้รับความเสียหายจากภัยพิบัติ จัดหาอุปกรณ์ทางการแพทย์สำหรับสมาชิกที่ป่วยระยะยาว และให้การสงเคราะห์เมื่อสมาชิกเสียชีวิต

วัตถุประสงค์ของกิจกรรมและการบริหารจัดการ

การจัดงานดนตรีการกุศลครั้งนี้มีเป้าหมายเพื่อระดมทุนสนับสนุนการสงเคราะห์และสวัสดิการของสมาชิกสมาคมฯ ซึ่งปัจจุบันมีสมาชิกกว่า 500 คนในจังหวัดเชียงราย โดยในแต่ละปี สมาคมฯ มีค่าใช้จ่ายในการช่วยเหลือสมาชิกที่ป่วย เจ็บ หรืออยู่ในสภาวะลำบากประมาณ 30,000–40,000 บาท รวมถึงการสงเคราะห์ครอบครัวและจัดการศพอีก 30,000–40,000 บาท นอกจากนี้ สมาคมฯ ยังมีบทบาทในการช่วยเหลือชุมชน เช่น การมอบสิ่งของให้ผู้ประสบภัยน้ำท่วมและภัยหนาวในพื้นที่

จ่าสิบเอกบุญส่งระบุว่า รายได้จากการจำหน่ายบัตรและการรับบริจาคจะถูกบริหารจัดการอย่างโปร่งใส โดยมีคณะกรรมการสมาคมฯ เป็นผู้กำกับดูแล และจะมีการรายงานผลการใช้จ่ายให้สมาชิกและผู้สนับสนุนทราบ สมาคมฯ ยังได้กำหนดแนวทางการจำหน่ายบัตรอย่างชัดเจน โดยเจ้าหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายจะต้องแสดงบัตรประจำตัวและเอกสารรับรองจากสมาคมฯ เพื่อป้องกันการแอบอ้าง

การคลี่คลายปมและแนวทางป้องกัน

จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น สมาคมฯ ได้ออกคำเตือนให้ประชาชนตรวจสอบบัตรประจำตัวของเจ้าหน้าที่ที่มาขอรับบริจาคหรือจำหน่ายบัตร และติดต่อสมาคมฯ โดยตรงหากมีข้อสงสัย เพื่อป้องกันการตกเป็นเหยื่อของมิจฉาชีพ ทางสมาคมฯ ยังได้ประสานงานกับหน่วยงานทหารและตำรวจในพื้นที่เพื่อติดตามตัวบุคคลที่แอบอ้าง และดำเนินคดีตามกฎหมาย ขณะที่ศูนย์ข่าวทหาร (ศขช.ร.17 พัน.3) ได้เพิ่มความเข้มงวดในการตรวจสอบบุคคลที่แต่งกายเลียนแบบทหาร เพื่อป้องกันการเกิดเหตุการณ์ในลักษณะนี้อีก

นอกจากนี้ สมาคมฯ ได้วางแผนประชาสัมพันธ์กิจกรรมอย่างต่อเนื่องผ่านช่องทางที่เป็นทางการ เช่น เพจเฟซบุ๊กของสมาคมฯ และสื่อท้องถิ่น เพื่อให้ประชาชนรับทราบข้อมูลที่ถูกต้องและมั่นใจในความโปร่งใสของการจัดงาน การจัดงานครั้งนี้ไม่เพียงมุ่งหวังการระดมทุนเท่านั้น แต่ยังเป็นโอกาสในการสร้างความสามัคคีในชุมชนและส่งเสริมภาพลักษณ์ของสมาคมฯ ในฐานะองค์กรที่มุ่งมั่นช่วยเหลือสังคม

การวิเคราะห์ความท้าทายและโอกาส

กรณีมิจฉาชีพแอบอ้างชื่อสมาคมฯ เพื่อหลอกลวงประชาชนสะท้อนถึงความท้าทายในการบริหารจัดการกิจกรรมการกุศล โดยเฉพาะในยุคที่โซเชียลมีเดียสามารถแพร่กระจายข้อมูลได้อย่างรวดเร็ว การที่บุคคลแอบอ้างแต่งกายชุดทหารและใช้ชื่อยศชั้นผู้ใหญ่ ทำให้เกิดความเสียหายต่อความน่าเชื่อถือของทั้งสมาคมฯ และกองทัพ รวมถึงสร้างความหวาดกลัวในหมู่ประชาชน โดยเฉพาะกลุ่มผู้สูงอายุที่อาจไม่สามารถตรวจสอบความน่าเชื่อถือได้

อย่างไรก็ตาม เหตุการณ์นี้เป็นโอกาสให้สมาคมฯ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องยกระดับมาตรการป้องกันการแอบอ้าง เช่น การใช้ระบบยืนยันตัวตนที่ชัดเจน การเพิ่มช่องทางการสื่อสารที่เป็นทางการ และการรณรงค์ให้ประชาชนมีความรู้ในการตรวจสอบข้อมูล การที่สมาคมฯ ออกมาชี้แจงอย่างทันท่วงทีและประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง แสดงถึงความรับผิดชอบและความมุ่งมั่นในการรักษาความไว้วางใจจากประชาชน

ทัศนคติเป็นกลางต่อความเห็นทั้งสองฝั่ง

ความกังวลของประชาชน
ประชาชนที่ได้รับผลกระทบและผู้ที่ติดตามข่าวสารผ่านโซเชียลมีเดียมีความกังวลอย่างมากต่อความปลอดภัยและความน่าเชื่อถือของการระดมทุน การที่มิจฉาชีพสามารถแต่งกายเลียนแบบทหารและเข้าไปถึงบ้านเรือนได้ สร้างความรู้สึกไม่มั่นคง โดยเฉพาะในชุมชนที่มีผู้สูงอายุอาศัยอยู่เพียงลำพัง ความกังวลนี้สมเหตุสมผล เนื่องจากประวัติของผู้ต้องสงสัยที่เคยก่อเหตุในลักษณะเดียวกันเมื่อปี 2553 บ่งชี้ถึงความจำเป็นในการเพิ่มมาตรการป้องกัน

การยืนยันความโปร่งใสของสมาคมฯ
สมาคมทหารผ่านศึกและทหารกองหนุนเชียงรายยืนยันว่ากิจกรรมดนตรีการกุศลเป็นโครงการที่ดำเนินการอย่างถูกต้องตามกฎหมายและมีวัตถุประสงค์เพื่อช่วยเหลือสมาชิกที่เดือดร้อน การที่สมาคมฯ ออกมาชี้แจงและให้ช่องทางการติดต่อสอบถาม รวมถึงการกำหนดแนวทางการจำหน่ายบัตรที่ชัดเจน แสดงถึงความพยายามในการรักษาความโปร่งใสและป้องกันการแอบอ้าง

ทัศนคติเป็นกลาง ความกังวลของประชาชนเป็นสิ่งที่เข้าใจได้และควรได้รับการแก้ไขผ่านการเพิ่มมาตรการตรวจสอบและการสื่อสารที่ชัดเจนจากสมาคมฯ ขณะเดียวกัน สมาคมฯ ได้แสดงความรับผิดชอบด้วยการชี้แจงและดำเนินการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง การแก้ไขปัญหาควรเน้นที่การป้องกันการแอบอ้างในอนาคต การให้ความรู้แก่ประชาชน และการรักษาความโปร่งใสในการบริหารจัดการกองทุน เพื่อให้ทั้งสองฝ่ายมั่นใจในกระบวนการ

สถิติที่เกี่ยวข้อง

  1. จำนวนทหารผ่านศึกในไทย: องค์การสงเคราะห์ทหารผ่านศึกในพระบรมราชูปถัมภ์รายงานว่า ในปี 2567 มีทหารผ่านศึกและครอบครัวที่ได้รับการสงเคราะห์ทั่วประเทศประมาณ 50,000 คน (ที่มา: รายงานประจำปี 2567, องค์การสงเคราะห์ทหารผ่านศึก)
  2. คดีแอบอ้างเป็นเจ้าหน้าที่รัฐ: สำนักงานตำรวจแห่งชาติระบุว่า ในปี 2566 มีคดีที่เกี่ยวข้องกับการแอบอ้างเป็นเจ้าหน้าที่รัฐเพื่อหลอกลวงประชาชนทั่วประเทศ 1,200 คดี (ที่มา: รายงานอาชญากรรม, สตช., 2566)
  3. การจัดกิจกรรมการกุศล: กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์รายงานว่า ในปี 2567 มีการจัดกิจกรรมการกุศลที่ได้รับอนุญาตในประเทศไทย 3,500 งาน โดยร้อยละ 10 เป็นงานที่เกี่ยวข้องกับการสงเคราะห์ทหารผ่านศึก (ที่มา: รายงานกิจกรรมการกุศล, มพม., 2567)
  4. ความเสียหายจากมิจฉาชีพ: ศูนย์ป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ (ศปอส.ตร.) ระบุว่า ในปี 2566 ความเสียหายจากมิจฉาชีพที่หลอกลวงผ่านการแอบอ้างหน่วยงานมีมูลค่ารวมกว่า 500 ล้านบาท (ที่มา: รายงานอาชญากรรมออนไลน์, ศปอส.ตร., 2566)

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : 

  • องค์การสงเคราะห์ทหารผ่านศึก
  • สำนักงานตำรวจแห่งชาติ
  • กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์
  • ศูนย์ป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ
  • ศขช.ร.17 พัน.3
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

เชียงรายฟ้าใส บุกจับคาราโอเกะดัง ใช้เด็กต่ำกว่า 18 ทำงาน

เชียงรายเปิดปฏิบัติการ “เชียงรายฟ้าใส” เดินหน้าจัดระเบียบสังคม ปราบค้ามนุษย์จริงจัง หลังจับร้านคาราโอเกะใช้เด็กต่ำกว่า 18 ปี บริการลูกค้า

เริ่มต้นยุทธการ เดินหน้าเต็มสูบตามนโยบายมหาดไทย

เชียงราย, 24 เมษายน 2568 – จังหวัดเชียงรายภายใต้การนำของนายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัด ได้เปิดปฏิบัติการ “เชียงรายฟ้าใส” อย่างเป็นทางการ เพื่อจัดระเบียบสังคม ป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์อย่างเข้มข้น สอดคล้องกับนโยบายของนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย นายอรรษิษฐ์ สัมพันธรัตน์ ปลัดกระทรวงมหาดไทย และนายไชยวัฒน์ จุนถิระพงศ์ อธิบดีกรมการปกครอง ที่มุ่งมั่นผลักดันการยุติการแสวงหาประโยชน์จากเด็กในทุกมิติ

เบื้องหลังการข่าว และการสืบสวนอย่างละเอียด

สืบเนื่องจากการประสานข้อมูลจากอำเภอแม่จัน ซึ่งได้รับเรื่องร้องเรียนว่ามีร้านคาราโอเกะในพื้นที่เปิดบริการเกินเวลา จำหน่ายสุราโดยไม่ได้รับอนุญาต และที่สำคัญมีการนำเด็กอายุต่ำกว่า 18 ปี มานั่งบริการลูกค้า เจ้าหน้าที่จึงเริ่มกระบวนการสืบสวนและวางแผนเข้าตรวจสอบ โดยเน้นให้ความสำคัญกับการรวบรวมพยานหลักฐานอย่างรอบคอบ เพื่อพิสูจน์ความเชื่อมโยงของผู้กระทำผิดกับขบวนการค้ามนุษย์

การลงพื้นที่เข้าจับกุม ปฏิบัติการกลางดึกตีแผ่ความจริง

เมื่อเวลา 00.45 น. ของวันที่ 24 เมษายน 2568 เจ้าหน้าที่ได้เข้าตรวจสอบ “ร้านแสงจันทร์คาเฟ่” ตั้งอยู่เลขที่ 219 หมู่ 9 ตำบลป่าซาง อำเภอแม่จัน จังหวัดเชียงราย โดยมีการวางกำลังร่วมระหว่างฝ่ายปกครอง ตำรวจภูธรจังหวัดเชียงราย กองอาสารักษาดินแดน และเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมือง ซึ่งปฏิบัติการครั้งนี้เป็นการลงพื้นที่ตรวจจริงภายใต้การวางแผนล่วงหน้า

จากการตรวจค้นภายในร้านพบว่ามีการจัดห้องคาราโอเกะแบบ VIP พร้อมโต๊ะบริการลูกค้า 11 โต๊ะ พบหญิงสาวให้บริการ 11 คน โดยในจำนวนนั้นมีเด็กอายุต่ำกว่า 18 ปี จำนวน 2 คน (ต่ำสุด 15 ปี) นอกจากนี้ยังพบผู้ใช้บริการอายุต่ำกว่า 20 ปี จำนวน 7 คน โดยไม่พบว่าทางร้านได้ดำเนินการตรวจสอบบัตรประชาชนก่อนเข้าใช้บริการแต่อย่างใด

เอกสารไม่ครบ-เปิดเกินเวลา ความผิดซ้ำซ้อนที่ไม่อาจปฏิเสธ

ผู้ดูแลร้านคือ นางสาวชมภิศา อายุ 49 ปี ซึ่งแสดงเอกสารใบอนุญาตบางส่วน เช่น ใบอนุญาตจำหน่ายสุราและหนังสือแจ้งจัดตั้งสถานที่จำหน่ายอาหาร แต่ไม่สามารถนำใบอนุญาตสถานบริการมาแสดงต่อเจ้าหน้าที่ได้ ซึ่งเป็นหลักฐานชี้ชัดว่าไม่มีใบอนุญาตในการประกอบกิจการคาราโอเกะตามกฎหมาย

ที่สำคัญ ร้านแห่งนี้ยังมีประวัติถูกจับกุมเมื่อวันที่ 4 พฤษภาคม 2567 ฐานเปิดสถานบริการโดยไม่ได้รับอนุญาต และเปิดเกินเวลาที่กฎหมายกำหนด ซึ่งถือเป็นพฤติการณ์กระทำผิดซ้ำ

 แจ้งข้อหาเบื้องต้นสะท้อนเจตนากระทำผิดชัดเจน

จากการเข้าตรวจสอบ เจ้าหน้าที่ได้แจ้งข้อหาหลายกระทง ได้แก่

  1. เปิดสถานบริการโดยไม่ได้รับอนุญาต
  2. จำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เกินเวลาที่กฎหมายกำหนด
  3. ยุยงส่งเสริมให้เด็กประพฤติตนไม่เหมาะสม
  4. จ้างแรงงานเด็กผิดกฎหมาย
  5. มีพฤติการณ์เข้าข่ายค้ามนุษย์

ซึ่งหลังจากนี้จะมีการนำเด็กหญิงที่เกี่ยวข้องเข้าสู่กระบวนการคัดแยกเหยื่อผู้เสียหายโดยทีมสหวิชาชีพ เพื่อให้ได้รับความคุ้มครองและเข้าสู่กระบวนการฟื้นฟูตามกฎหมายคุ้มครองเด็กและ พ.ร.บ. ป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ พ.ศ. 2551

บทวิเคราะห์ ปัญหาค้ามนุษย์ในพื้นที่ชายแดนไทย – สะท้อนระบบต้องขับเคลื่อนจริงจัง

กรณีของร้านแสงจันทร์คาเฟ่ เป็นตัวอย่างของความซับซ้อนที่เกิดขึ้นจากธุรกิจบริการในพื้นที่ชายแดน ที่เปิดช่องให้มีการแสวงหาประโยชน์จากเด็กและเยาวชน ซึ่งไม่เพียงเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างร้ายแรง แต่ยังส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์ประเทศในเวทีระหว่างประเทศ

นอกจากนี้ยังสะท้อนถึงความจำเป็นในการดำเนินนโยบายป้องกันค้ามนุษย์อย่างมีระบบ ทั้งในเชิงกฎหมาย การบังคับใช้ และกระบวนการคัดแยกช่วยเหลือเหยื่อ ซึ่งต้องทำอย่างต่อเนื่องและมีความเข้าใจในบริบทพื้นที่

แผนปฏิบัติการ “เชียงรายฟ้าใส” เดินหน้าสะสางทุกจุดเสี่ยง

ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย ได้กำชับให้เจ้าหน้าที่ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเดินหน้าแผน “เชียงรายฟ้าใส” อย่างเป็นระบบ โดยกำหนดเป้าหมายเร่งด่วนในการตรวจสอบสถานบริการทุกแห่งในจังหวัด เพื่อป้องกันการกระทำผิดในลักษณะเดียวกัน พร้อมเร่งส่งข้อมูลเชิงลึกไปยังหน่วยงานระดับกระทรวง เพื่อให้มีการปรับปรุงมาตรการเฝ้าระวังและจัดระเบียบพื้นที่ชายแดนให้เข้มแข็งมากยิ่งขึ้น

สถิติที่เกี่ยวข้อง

  • รายงานของกรมการปกครอง ระบุว่า ปี 2567 มีการตรวจสอบสถานบริการทั่วประเทศรวม 4,213 แห่ง พบการกระทำผิดด้านค้ามนุษย์จำนวน 89 แห่ง
  • จากข้อมูลของกรมกิจการเด็กและเยาวชน พบว่า ปี 2566 มีเด็กเข้าสู่กระบวนการคัดแยกเหยื่อการค้ามนุษย์มากกว่า 1,150 คน ทั่วประเทศ
  • รายงานจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติระบุว่า เชียงรายติดอันดับ 1 ใน 5 จังหวัดที่มีการร้องเรียนเกี่ยวกับการนำเด็กต่ำกว่า 18 ปีเข้าร่วมกิจกรรมบริการในสถานบันเทิงมากที่สุดในภาคเหนือ

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
  • กรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย
  • กรมกิจการเด็กและเยาวชน กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์
  • สำนักงานตำรวจแห่งชาติ
  • สำนักงานอัยการสูงสุด
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI TOP STORIES

แม่น้ำกกสีเปลี่ยน สคพ.1 เร่งตรวจคุณภาพน้ำ ดิน เชียงราย

วิกฤตมลพิษแม่น้ำกก สารหนูเกินมาตรฐาน กระทบสุขภาพและเศรษฐกิจท้องถิ่น

สถานการณ์ที่นำไปสู่การตรวจสอบคุณภาพน้ำแม่น้ำกก

เมื่อวันที่ 22 เมษายน 2568 สำนักงานสิ่งแวดล้อมและควบคุมมลพิษที่ 1 (สคพ.1) เชียงใหม่ ได้มอบหมายให้เจ้าหน้าที่ลงพื้นที่เก็บตัวอย่างน้ำผิวดินและตะกอนดินในแม่น้ำกก จำนวน 9 สถานี ในพื้นที่อำเภอเชียงแสน อำเภอแม่จัน และอำเภอเมือง จังหวัดเชียงราย การดำเนินการดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของการติดตามสถานการณ์และเฝ้าระวังคุณภาพน้ำ หลังจากที่ประชาชนในพื้นที่สังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงของสีและความขุ่นของน้ำในแม่น้ำกก​

การตรวจสอบและผลการวิเคราะห์เบื้องต้น

ก่อนหน้านี้ เมื่อวันที่ 19 มีนาคม 2568 สคพ.1 ได้ร่วมกับคณะทำงานระดับอำเภอ ลงพื้นที่เก็บตัวอย่างน้ำในแม่น้ำกก ที่อำเภอแม่อาย จังหวัดเชียงใหม่ โดยเน้นจุดที่ชาวบ้านอยู่อาศัยหรือใช้ประโยชน์ ได้แก่ บริเวณบ้านแก่งตุ้ม ห่างจากเขตแดนไทย-เมียนมา 500 เมตร บริเวณสะพานบ้านท่าตอน ห่างจากจุดแรก 9 กิโลเมตร และบริเวณผาใต้ ห่างจากสะพานบ้านท่าตอน 10 กิโลเมตร​

ผลการตรวจสอบเมื่อวันที่ 4 เมษายน 2568 พบว่าไม่พบไซยาไนด์ในตัวอย่างน้ำ ซึ่งอาจเป็นเพราะไซยาไนด์สลายตัวเร็วจากการถูกแสงแดดและความร้อนจากอากาศ อย่างไรก็ตาม พบสารหนูเกินมาตรฐานทุกจุด โดยเฉพาะบริเวณแก่งตุ้ม พบสารหนูมีค่า 0.026 มิลลิกรัมต่อลิตร ในขณะที่ค่ามาตรฐานควรไม่เกิน 0.01 มิลลิกรัมต่อลิตร​

ผลกระทบต่อสุขภาพและเศรษฐกิจในพื้นที่

การปนเปื้อนสารหนูในแม่น้ำกกส่งผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชน โดยอาจทำให้เกิดอาการที่เรียกว่า “ไข้ดำ” ซึ่งผู้ที่สัมผัสสารหนูจะมีจุดสีดำบนผิวหนัง ระคายเคือง อาหารเป็นพิษ และหากสัมผัสมากๆ อาจเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็ง​

นอกจากนี้ การปนเปื้อนดังกล่าวยังส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจในพื้นที่ โดยเฉพาะในช่วงเทศกาลสงกรานต์ที่ผ่านมาซึ่งบรรยากาศเงียบเหงา นักท่องเที่ยวลดลง ส่งผลต่อผู้ประกอบการในพื้นที่​

การตอบสนองของหน่วยงานภาครัฐ

เมื่อวันที่ 17 เมษายน 2568 นายธีรรัตน์ สำเร็จวาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย ได้เป็นประธานการประชุมผ่านระบบออนไลน์เพื่อติดตามสถานการณ์ดังกล่าว ร่วมกับรองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงรายและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยเน้นย้ำให้ทุกหน่วยงานเร่งตรวจสอบหาสาเหตุของการปนเปื้อน และให้สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) วางมาตรการการป้องกันและฟื้นฟูคุณภาพน้ำ หาแนวทางการแก้ไขปัญหาในระยะยาว

ต่อมา เมื่อวันที่ 21 เมษายน 2568 พญ.อัมพร เพญจพลพิทักษ์ อธิบดีกรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข ได้เผยว่า กรมอนามัยได้เฝ้าระวังประเด็นปนเปื้อนสารหนู โดยตรวจปัสสาวะกลุ่มตัวอย่างเพื่อระวังผลกระทบ และสุ่มตรวจน้ำในครัวเรือน ซึ่งผลการตรวจสอบน้ำประปาไม่พบสารหนูเกินมาตรฐาน

ข้อเสนอแนะและความเห็นจากภาคประชาชน

นายชิตวัน ชินอนุวัฒน์ ส.ส.เชียงราย จากพรรคประชาชน ได้แสดงความคิดเห็นว่า รัฐบาลควรเร่งเจรจากับประเทศเพื่อนบ้านเกี่ยวกับการทำเหมืองทองของคนจีนที่ต้นน้ำ เนื่องจากไม่ทราบว่ามีกระบวนการบำบัดน้ำเสียหรือไม่ และในปีนี้นักท่องเที่ยวลดลงมาก ส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบการในพื้นที่

ดร.สืบสกุล กิจนุกร อาจารย์ประจำสำนักนวัตกรรมสังคม มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง ได้เสนอให้รัฐบาลจัดตั้งสถาบันตรวจสอบคุณภาพน้ำในลุ่มน้ำโขงเหนือ ประจำจังหวัดเชียงราย และจัดตั้งคณะทำงานระดับประเทศและระดับจังหวัดที่มีส่วนร่วมของประชาชนในการแก้ไขปัญหาระยะยาว พร้อมทั้งสร้างความโปร่งใสในการสื่อสารข้อมูลกับประชาชน

สถิติที่เกี่ยวข้องและแหล่งอ้างอิง

  • จากผลการตรวจสอบเมื่อวันที่ 4 เมษายน 2568 พบสารหนูในแม่น้ำกกมีค่า 0.026 มิลลิกรัมต่อลิตร ซึ่งเกินค่ามาตรฐานที่กำหนดไว้ที่ 0.01 มิลลิกรัมต่อลิตร
  • ข้อมูลจากกรมควบคุมมลพิษระบุว่า การสัมผัสสารหนูในระยะยาวสามารถเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งผิวหนัง มะเร็งปอด และมะเร็งกระเพาะปัสสาวะ
  • องค์การอนามัยโลก (WHO) กำหนดค่ามาตรฐานของสารหนูในน้ำดื่มไม่เกิน 0.01 มิลลิกรัมต่อลิตร เพื่อป้องกันผลกระทบต่อสุขภาพ

สรุปและข้อเสนอแนะ

สถานการณ์การปนเปื้อนสารหนูในแม่น้ำกกเป็นปัญหาที่ส่งผลกระทบต่อหลายมิติ ทั้งด้านสุขภาพ เศรษฐกิจ และสิ่งแวดล้อมของประชาชนในพื้นที่ลุ่มน้ำกก โดยเฉพาะในจังหวัดเชียงรายและจังหวัดใกล้เคียงที่แม่น้ำกกไหลผ่าน ดังนั้นการแก้ไขปัญหานี้จึงต้องอาศัยความร่วมมืออย่างจริงจังจากทั้งภาครัฐ ภาควิชาการ ภาคเอกชน รวมถึงภาคประชาสังคม ทั้งในระดับท้องถิ่น ระดับชาติ และระดับภูมิภาค

แนวทางการดำเนินการระยะสั้นและระยะยาว

ในระยะสั้น หน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรเร่งรัดการดำเนินมาตรการป้องกันและลดความเสี่ยงต่อประชาชนอย่างเร่งด่วน อาทิ การเร่งจัดหาน้ำสะอาดเพื่ออุปโภคบริโภคให้กับชุมชนริมแม่น้ำกก การส่งเสริมความรู้เรื่องการกรองน้ำเบื้องต้นในครัวเรือน การจัดตั้งศูนย์แจ้งเตือนคุณภาพน้ำแบบเรียลไทม์ รวมถึงการตรวจคัดกรองสุขภาพประชาชนที่มีความเสี่ยงสูง

ในระยะยาว รัฐบาลจำเป็นต้องดำเนินการเจรจาระหว่างประเทศ โดยเฉพาะกับสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา และประเทศจีน ซึ่งเกี่ยวข้องโดยตรงกับกิจกรรมเหมืองแร่และการใช้ที่ดินในต้นน้ำ โดยจะต้องผลักดันการทำข้อตกลงความร่วมมือด้านสิ่งแวดล้อมในลักษณะรัฐต่อรัฐ (G to G) รวมทั้งการมีส่วนร่วมของประชาชนในกระบวนการจัดการลุ่มน้ำข้ามพรมแดนอย่างแท้จริง

การออกแบบนโยบายควรตั้งอยู่บนฐานข้อมูลที่เชื่อถือได้ โดยจัดให้มีหน่วยงานอิสระด้านการติดตามคุณภาพสิ่งแวดล้อมที่ไม่ขึ้นตรงต่อกระทรวงใด ๆ และเปิดเผยข้อมูลต่อสาธารณะอย่างโปร่งใส ตลอดจนส่งเสริมบทบาทของภาควิชาการในการวิเคราะห์ผลกระทบและเสนอแนวทางแก้ไขอย่างเป็นวิทยาศาสตร์

บทสรุป

เหตุการณ์ปนเปื้อนสารหนูในแม่น้ำกกที่เกิดขึ้นในปี 2568 ไม่ใช่เพียงปัญหาสิ่งแวดล้อมในพื้นที่เล็ก ๆ เท่านั้น หากแต่เป็นภาพสะท้อนของวิกฤต “มลพิษข้ามพรมแดน” ที่เกิดจากการขาดการจัดการร่วมกันของประเทศในภูมิภาคลุ่มน้ำโขง การฟื้นฟูแม่น้ำกกและสร้างความเชื่อมั่นให้ประชาชนกลับมาใช้ชีวิตริมน้ำได้อย่างมั่นใจอีกครั้ง จำเป็นต้องมีแผนยุทธศาสตร์ที่บูรณาการทุกมิติ โดยเฉพาะความร่วมมือข้ามแดนอย่างเป็นรูปธรรม เพื่อรักษาทรัพยากรธรรมชาติที่เป็นเส้นเลือดใหญ่ของชีวิตในภาคเหนือให้ยั่งยืนสืบไป

สถิติที่เกี่ยวข้องและแหล่งอ้างอิง

  • ค่าเฉลี่ยสารหนูในน้ำแม่น้ำกก ณ จุดตรวจแก่งตุ้ม: 0.026 มิลลิกรัม/ลิตร (ค่ามาตรฐาน: ไม่เกิน 0.01 มก./ลิตร) – ที่มา สำนักงานสิ่งแวดล้อมและควบคุมมลพิษที่ 1, เมษายน 2568
  • ผลกระทบทางเศรษฐกิจจากการท่องเที่ยวหดตัว ช่วงสงกรานต์ ปี 2568: นักท่องเที่ยวลดลงมากกว่า 70% – ที่มา สภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวจังหวัดเชียงราย
  • จำนวนจุดตรวจวัดคุณภาพน้ำ-ดินในลุ่มแม่น้ำกก: 9 จุด – ที่มา รายงาน สคพ.1 วันที่ 22 เม.ย. 2568
  • ปริมาณน้ำในแม่น้ำกกลดต่ำกว่าค่ามาตรฐานเฉลี่ยในฤดูแล้งปีนี้กว่า 30% – ที่มา สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.)
  • กรณีปนเปื้อนโลหะหนักและสารหนูในลุ่มน้ำทั่วโลก: มีรายงานว่ากว่า 140 ล้านคนทั่วโลกได้รับผลกระทบจากน้ำที่ปนเปื้อนโลหะหนัก – ที่มา World Health Organization (WHO), 2024

หากรัฐบาลไทยสามารถเร่งดำเนินการตามแนวทางที่กล่าวมาได้อย่างจริงจัง แม่น้ำกกอาจกลับมาเป็นเส้นชีวิตของชุมชนริมฝั่งได้อีกครั้ง และเป็นบทเรียนสำคัญสำหรับการจัดการสิ่งแวดล้อมในยุคที่โลกเผชิญความท้าทายร่วมกันข้ามพรมแดน.

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานสิ่งแวดล้อมและควบคุมมลพิษที่ 1
  • สภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวจังหวัดเชียงราย
  • สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.)
  • World Health Organization (WHO), 2024
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

แม่ยาว-แม่สลองนอก อบจ. เร่งแก้ภัยแล้ง น้ำมีใช้

อบจ.เชียงรายเร่งเดินหน้าโครงการป้องกันและแก้ไขภัยแล้งอย่างเป็นรูปธรรมในพื้นที่จังหวัด

เปิดโครงการสร้างฝายชะลอน้ำพื้นที่แม่ยาว เสริมแกร่งระบบจัดการน้ำชุมชน

เชียงราย, 22 เมษายน 2568 – ที่บ้านป่าอ้อ หมู่ที่ 5 ตำบลแม่ยาว อำเภอเมืองเชียงราย จังหวัดเชียงราย องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย โดยนางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย มอบหมายให้นายจิราวุฒิ แก้วเขื่อน รองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด เป็นประธานเปิดกิจกรรมโครงการสร้างฝายชะลอน้ำเพื่อชุมชนแม่ยาว ตามนโยบาย 7 เรือธงของจังหวัดเชียงราย โดยมีนายรามิล พัฒนมงคลเชฐ ปลัดองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย เข้าร่วมพร้อมหัวหน้าส่วนราชการและประชาชนในพื้นที่

กิจกรรมในครั้งนี้อยู่ภายใต้การดำเนินการของกองป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย โดยมีนางสาวปราณปรียา โพธิเลิศ ผู้อำนวยการกองฯ เป็นผู้ควบคุมดูแลและดำเนินการร่วมกับจิตอาสาผู้ก้าวพลาดจากเรือนจำกลางเชียงรายตามโครงการบำเพ็ญสาธารณประโยชน์ของกรมราชทัณฑ์ ซึ่งนับเป็นตัวอย่างการมีส่วนร่วมจากภาคประชาชนและภาคสังคมอย่างแท้จริง

วัตถุประสงค์ของโครงการ: ป้องกันภัยแล้ง – ฟื้นฟูระบบนิเวศน้ำ

โครงการฝายชะลอน้ำเพื่อชุมชนแม่ยาว มีจุดประสงค์หลักเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการกักเก็บน้ำในพื้นที่ต้นน้ำ ส่งเสริมระบบนิเวศน้ำ และช่วยลดความรุนแรงของภัยแล้งในพื้นที่เสี่ยง โดยฝายที่สร้างขึ้นนี้เป็นฝายชะลอน้ำแบบกึ่งถาวร ใช้วัสดุจากธรรมชาติร่วมกับวัสดุพื้นบ้านซึ่งสามารถก่อสร้างได้รวดเร็วในงบประมาณจำกัด ทั้งยังสามารถพัฒนาเป็นระบบฝายถาวรได้ในอนาคต

ในระยะยาว ฝายชะลอน้ำจะทำหน้าที่เพิ่มระดับน้ำใต้ดิน ส่งผลดีต่อการเกษตรและการอุปโภคบริโภคของชุมชน ทั้งยังช่วยลดการพังทลายของหน้าดิน และสนับสนุนการอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพในระบบลุ่มน้ำแม่ยาวอีกด้วย

สำรวจแหล่งน้ำใต้ดินเสริมระบบการจัดการน้ำในพื้นที่สูง

ต่อมาเวลา 12.00 น. นายจิราวุฒิ แก้วเขื่อน ได้นำทีมเจ้าหน้าที่ อบจ. ลงพื้นที่ตำบลแม่สลองนอก อำเภอแม่ฟ้าหลวง จังหวัดเชียงราย เพื่อตรวจสอบสภาพแหล่งน้ำและความเหมาะสมในการขุดเจาะน้ำบาดาลเพื่อใช้ในการอุปโภคบริโภค โดยเฉพาะในพื้นที่สูงที่เสี่ยงขาดแคลนน้ำในฤดูแล้ง

จากการสำรวจเบื้องต้น พบแหล่งน้ำใต้ดินที่มีศักยภาพในการขุดเจาะจำนวน 2 จุด ซึ่งจะถูกบรรจุไว้ในแผนการดำเนินการตามโครงการขุดเจาะน้ำบาดาลเพื่อบรรเทาภัยแล้งระยะที่ 2 ขององค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงรายในปีงบประมาณ 2568

บูรณาการความร่วมมือภาครัฐและประชาชนเพื่อความยั่งยืนด้านทรัพยากรน้ำ

นางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายก อบจ.เชียงราย ให้ความสำคัญกับการจัดการทรัพยากรน้ำอย่างยั่งยืน โดยเฉพาะในพื้นที่เสี่ยงภัยแล้ง ซึ่งมีแนวโน้มทวีความรุนแรงขึ้นจากภาวะโลกร้อนและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดย อบจ. เชียงรายมีเป้าหมายที่จะสร้างฝายชะลอน้ำให้ครอบคลุมพื้นที่ต้นน้ำใน 18 อำเภอ และขุดเจาะบ่อน้ำบาดาลเพิ่มเติมกว่า 60 จุดภายในปี 2568

สถิติและแหล่งข้อมูลสนับสนุน

ข้อมูลจากกรมทรัพยากรน้ำบาดาล (2567) ระบุว่า จังหวัดเชียงรายมีพื้นที่เสี่ยงภัยแล้งระดับรุนแรงจำนวน 34 ตำบล ครอบคลุมประชากรประมาณ 126,000 คน โดยเฉพาะในเขตอำเภอแม่ฟ้าหลวง แม่สรวย และเวียงป่าเป้า

สำนักงานพัฒนาเศรษฐกิจจากฐานชีวภาพ (BEDO) รายงานว่า การจัดการน้ำในพื้นที่สูงผ่านระบบฝายชะลอน้ำสามารถเพิ่มระดับน้ำใต้ดินเฉลี่ย 30-50 เซนติเมตรต่อปี และช่วยฟื้นคืนความหลากหลายทางชีวภาพในพื้นที่ลุ่มน้ำระดับตำบลได้ภายใน 1-2 ปี

ขณะที่สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร ระบุว่า ภัยแล้งในจังหวัดเชียงรายทำให้ผลผลิตทางการเกษตรลดลงเฉลี่ยปีละ 7-10% คิดเป็นมูลค่าความเสียหายกว่า 1,400 ล้านบาทต่อปี โดยเฉพาะในกลุ่มเกษตรกรผู้ปลูกข้าวโพด มันสำปะหลัง และผลไม้ในพื้นที่สูง

โครงการป้องกันและแก้ไขปัญหาภัยแล้งของ อบจ.เชียงราย ภายใต้การดำเนินการของศูนย์บริหารจัดการสาธารณภัยแบบเบ็ดเสร็จ (PDOSS) จึงนับเป็นอีกหนึ่งกลไกสำคัญในการสร้างความมั่นคงทางน้ำ ลดความเหลื่อมล้ำ และเสริมสร้างศักยภาพของชุมชนในการรับมือกับวิกฤติภัยพิบัติที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : 

  • องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย
  • กรมทรัพยากรน้ำบาดาล

  •  

    สำนักงานพัฒนาเศรษฐกิจจากฐานชีวภาพ (BEDO)

  • สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI NEWS UPDATE

‘เชียงราย’ เยียวยาผู้ประสบภัยน้ำท่วมกว่า 3 หมื่นครัวเรือน

เชียงรายเร่งติดตามความคืบหน้าแผนฟื้นฟูผู้ประสบอุทกภัย วาตภัย และดินโคลนถล่ม ระยะที่ 2

ประชุมติดตามแผนปฏิบัติการเยียวยาเร่งด่วน จังหวัดเชียงราย

เชียงราย, 22 เมษายน 2568 – ที่ห้องประชุมธรรมลังกา ชั้น 3 ศาลากลางจังหวัดเชียงราย นายรุจติศักดิ์ รังษี รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เป็นประธานการประชุมติดตามผลการดำเนินโครงการและกิจกรรมภายใต้แผนปฏิบัติการและระบบติดตามการฟื้นฟูเยียวยาพื้นที่ประสบอุทกภัย วาตภัย และดินโคลนถล่มในจังหวัดเชียงราย ระยะที่ 2 โดยเน้นยุทธศาสตร์ที่ 3 การเร่งรัดการชดเชยเยียวยาความเสียหายให้แก่ประชาชนผู้ประสบภัย โดยมีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมรายงานความคืบหน้าอย่างพร้อมเพรียง

การช่วยเหลือฟื้นฟูและเยียวยาจากมติคณะรัฐมนตรี

ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 17 กันยายน 2567 และ 8 ตุลาคม 2567 จังหวัดเชียงรายได้ดำเนินการรับคำร้องขอความช่วยเหลือจากประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัยรวมจำนวนทั้งสิ้น 35,124 ครัวเรือน โดยธนาคารออมสินได้ดำเนินการโอนเงินช่วยเหลือแก่ผู้ประสบภัยครบถ้วนแล้ว เป็นจำนวนเงินรวมทั้งสิ้น 316,116,000 บาท

กองทุนช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย พ.ศ. 2567

สำหรับกองทุนช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยในจังหวัดเชียงรายปี 2567 มียอดเงินบริจาครวม 9,839,079.03 บาท ซึ่งได้มีการดำเนินการช่วยเหลือประชาชนในด้านต่าง ๆ ได้แก่:

  • สมทบค่าวัสดุก่อสร้างบ้าน จำนวน 174 หลัง เป็นเงิน 8,370,000 บาท
  • สมทบค่าดำรงชีพแก่ผู้ประสบภัยบ้านพังทั้งหลัง 160 ราย เป็นเงิน 1,398,000 บาท

รวมเป็นเงินช่วยเหลือจากกองทุนฯ ทั้งสิ้น 9,768,000 บาท

เงินทดรองราชการเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยกรณีฉุกเฉิน

ตามระเบียบกระทรวงมหาดไทย พ.ศ. 2562 จังหวัดเชียงรายได้รับการจัดสรรงบประมาณจำนวน 100 ล้านบาท และได้ดำเนินการช่วยเหลือแล้วทั้งสิ้น 95,179,184 บาท โดยเฉพาะในส่วนของค่าล้างทำความสะอาดดินโคลน ครัวเรือนละ 10,000 บาท ซึ่งมีผู้ขอรับความช่วยเหลือจำนวน 18,362 ครัวเรือน ได้รับการช่วยเหลือแล้ว 4,994 ครัวเรือน และยังคงเหลืออีก 13,368 ครัวเรือนที่อยู่ระหว่างการดำเนินการ

เงินช่วยเหลือจากสำนักนายกรัฐมนตรีและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น

จากกองทุนช่วยเหลือผู้ประสบสาธารณภัย สำนักนายกรัฐมนตรี มีการขอรับความช่วยเหลือรวมทั้งสิ้น 13,570,000 บาท โดยดำเนินการช่วยเหลือแล้วในรอบที่ 1 และ 2 ครอบคลุม:

  • ผู้เสียชีวิต 12 ราย เป็นเงิน 1,080,000 บาท
  • บ้านพังทั้งหลัง 73 หลัง เป็นเงิน 12,490,000 บาท

ส่วนการขอรับความช่วยเหลือครั้งที่ 3 อยู่ระหว่างการพิจารณาของสำนักนายกรัฐมนตรี ครอบคลุมผู้เสียชีวิตเพิ่มเติมอีก 2 ราย และบ้านเสียหายทั้งหลังอีก 39 หลัง

สำหรับความช่วยเหลือตามระเบียบกระทรวงมหาดไทย โดยใช้งบประมาณขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ในพื้นที่ ได้ดำเนินการแล้วดังนี้:

  • องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย (อบจ.) ช่วยเหลือ 48,937,375 บาท
  • เทศบาลนครเชียงราย ช่วยเหลือ 19,157,500 บาท
  • องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นอื่น ๆ ช่วยเหลือ 44,057,118 บาท

รวมเป็นเงินช่วยเหลือจาก อปท. ทั้งหมด 112,151,993 บาท

บทวิเคราะห์และข้อเสนอเชิงนโยบาย

การประชุมติดตามครั้งนี้ถือเป็นกลไกสำคัญที่สะท้อนถึงความร่วมมือเชิงรุกของจังหวัดเชียงรายในการเร่งแก้ไขและฟื้นฟูความเสียหายจากภัยธรรมชาติในเชิงระบบ การประสานงานระหว่างส่วนกลาง ส่วนภูมิภาค และท้องถิ่น มีความสำคัญยิ่งในการลดผลกระทบต่อประชาชนในพื้นที่เสี่ยงภัย

ทั้งนี้การขับเคลื่อนภายใต้ยุทธศาสตร์ที่ 3 จะต้องสอดคล้องกับแนวทางการจัดการภัยพิบัติอย่างยั่งยืน ได้แก่ การบริหารจัดการเชิงพื้นที่ การมีส่วนร่วมของภาคประชาชน การบริหารงบประมาณแบบมีประสิทธิภาพ และการสร้างความโปร่งใสในทุกขั้นตอนของการช่วยเหลือ

สถิติและแหล่งอ้างอิง

ข้อมูลจากกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ปี 2567 ระบุว่า จังหวัดเชียงรายเผชิญเหตุอุทกภัยรวมทั้งสิ้น 48 ครั้ง โดยมีพื้นที่ได้รับผลกระทบ 14 อำเภอ และมีประชาชนได้รับผลกระทบกว่า 87,000 คน

ขณะที่รายงานจากสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง กระทรวงการคลัง ปี 2567 ระบุว่า ความเสียหายจากอุทกภัยในพื้นที่จังหวัดเชียงรายคิดเป็นมูลค่าความเสียหายต่อทรัพย์สินและผลผลิตทางการเกษตรสูงถึง 2,043 ล้านบาท

รายงานการเงินจากสำนักงานจังหวัดเชียงราย ประจำเดือนเมษายน 2568 ระบุว่า การเบิกจ่ายเงินช่วยเหลือแก่ผู้ประสบภัยในพื้นที่แล้วเสร็จถึง 91.7% ของงบประมาณทั้งหมด โดยตั้งเป้าให้การช่วยเหลือทั้งหมดแล้วเสร็จภายในไตรมาสที่ 2 ของปีงบประมาณ 2568

การประชุมในครั้งนี้จึงนับเป็นจุดเริ่มต้นสำคัญของการสร้างความเชื่อมั่นให้แก่ประชาชนในพื้นที่ และเป็นการยืนยันถึงการดำเนินงานที่โปร่งใส รอบด้าน และเป็นธรรมภายใต้หลักการบูรณาการทุกภาคส่วนอย่างแท้จริง

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

เวียงแก่นไม่ทิ้งใคร! หน่วยงานรัฐลงพื้นที่ เยี่ยมผู้ป่วย

เชียงรายบูรณาการทุกภาคส่วนออกหน่วยบริการพื้นที่ห่างไกล ต.ปอ อ.เวียงแก่น พร้อมเยี่ยมบ้านผู้ป่วยติดเตียง

จังหวัดเชียงรายจัดกิจกรรมจังหวัดเคลื่อนที่ “หน่วยบำบัดทุกข์ บำรุงสุข สร้างรอยยิ้มให้ประชาชน”

เชียงราย, 22 เมษายน 2568 – ที่โรงเรียนปอวิทยา บ้านปอกลาง หมู่ที่ 5 ตำบลปอ อำเภอเวียงแก่น จังหวัดเชียงราย นายประสงค์ หล้าอ่อน รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เป็นประธานเปิดกิจกรรม “หน่วยบำบัดทุกข์ บำรุงสุข สร้างรอยยิ้มให้กับประชาชน” โดยมีหน่วยงานภาครัฐ เหล่ากาชาดจังหวัดเชียงราย สมาชิกชมรมแม่บ้านมหาดไทย หน่วยงานภาคท้องถิ่น และภาคประชาชนในพื้นที่เข้าร่วมเป็นจำนวนมาก

กิจกรรมดังกล่าวมีเป้าหมายเพื่ออำนวยความสะดวกด้านบริการภาครัฐในพื้นที่ห่างไกล โดยบูรณาการร่วมกันของหน่วยงานต่าง ๆ ในจังหวัดเชียงราย รวมถึงจัดสรรทรัพยากรเพื่อให้ความช่วยเหลือครอบครัวผู้มีรายได้น้อย และผู้ป่วยติดเตียงในพื้นที่

มอบถุงยังชีพ-สนับสนุนสวัสดิการกลุ่มเปราะบาง

หลังพิธีเปิด รองผู้ว่าราชการจังหวัดพร้อมคณะ ได้มอบถุงยังชีพให้กับประชาชนที่เดือดร้อน โดยถุงยังชีพประกอบด้วยข้าวสารจากวัดห้วยปลากั้ง หมอนจากสำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย พันธุ์ปลาจากสำนักงานประมง และเงินช่วยเหลือจากสำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดเชียงราย ซึ่งมุ่งเน้นให้ความช่วยเหลือทั้งด้านเศรษฐกิจ ปากท้อง และการพัฒนาอาชีพของประชาชนในชุมชน

เยี่ยมผู้ป่วยติดเตียงถึงบ้าน รับฟังปัญหาและมอบความช่วยเหลือ

ต่อมา คณะรองผู้ว่าราชการจังหวัด ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้ลงพื้นที่เยี่ยมผู้ป่วยติดเตียงและผู้สูงอายุจำนวน 5 รายในตำบลปอ เพื่อรับฟังปัญหาและความต้องการของผู้ป่วย พร้อมให้คำแนะนำเกี่ยวกับสิทธิสวัสดิการ การรักษาพยาบาล และแนวทางการดูแลแบบองค์รวม โดยได้รับความร่วมมือจากทั้งครอบครัว ชุมชน และเจ้าหน้าที่ อสม.ในพื้นที่

เวียงแก่น อำเภอห่างไกลที่สุดของเชียงรายกับประชากรหลากหลายชาติพันธุ์

อำเภอเวียงแก่นตั้งอยู่ห่างจากตัวจังหวัดเชียงรายกว่า 139 กิโลเมตร ประกอบด้วย 5 ตำบล 44 หมู่บ้าน และ 4 องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) มีประชากรประมาณ 37,284 คน ในจำนวนนี้เป็นกลุ่มชาติพันธุ์รวม 9 กลุ่ม ได้แก่ คนพื้นเมือง ม้ง เมี่ยน จีนฮ่อ ไทยใหญ่ อาข่า ไทยลื้อ ขมุ และลาว

ชุมชนส่วนใหญ่ประกอบอาชีพเกษตรกรรม ได้แก่ ทำไร่ ทำสวน และรับจ้างทั่วไป ความห่างไกลของพื้นที่ส่งผลให้ประชาชนเข้าถึงบริการภาครัฐได้ยาก การจัดกิจกรรมจังหวัดเคลื่อนที่จึงเป็นหนึ่งในกลยุทธ์สำคัญที่ช่วยลดช่องว่างการพัฒนาและสร้างโอกาสในการเข้าถึงสิทธิขั้นพื้นฐาน

วิเคราะห์แนวโน้มการพัฒนาและผลกระทบเชิงพื้นที่

การออกหน่วยให้บริการในพื้นที่ห่างไกลของจังหวัดเชียงรายในครั้งนี้สะท้อนถึงนโยบาย “ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง” อย่างเป็นรูปธรรม โดยมุ่งเน้นการพัฒนาท้องถิ่นอย่างทั่วถึง และลดความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ สังคม และสาธารณสุขในพื้นที่ชายขอบ

กิจกรรมดังกล่าวยังมีผลต่อการเสริมสร้างศรัทธาและความร่วมมือระหว่างภาครัฐกับประชาชน ซึ่งเป็นกลไกสำคัญในการพัฒนาแบบมีส่วนร่วม โดยเฉพาะในพื้นที่ที่มีความหลากหลายทางชาติพันธุ์และวัฒนธรรม ซึ่งต้องการรูปแบบการพัฒนาที่เหมาะสมกับบริบทพื้นที่

สถิติที่เกี่ยวข้องและแหล่งข้อมูล

จากข้อมูลของสำนักงานสถิติแห่งชาติ (2567) ระบุว่า จังหวัดเชียงรายมีประชากรทั้งหมดประมาณ 1.28 ล้านคน โดยกว่า 70% อาศัยในพื้นที่ชนบท และมีอำเภอที่อยู่ในพื้นที่ห่างไกลจากตัวเมืองกว่า 5 อำเภอ รวมทั้งเวียงแก่น

ข้อมูลจากสำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดเชียงราย ระบุว่า ในปี 2567 มีครัวเรือนผู้มีรายได้น้อยที่ขึ้นทะเบียนรับความช่วยเหลือกว่า 36,000 ครัวเรือน โดยเวียงแก่นจัดอยู่ใน 5 อำเภอที่มีอัตราผู้มีรายได้น้อยสูงสุดของจังหวัด

ขณะที่ข้อมูลจากกรมอนามัย (2567) ชี้ว่ามีผู้ป่วยติดเตียงในพื้นที่จังหวัดเชียงรายมากกว่า 2,800 ราย โดยกระจุกตัวอยู่ในอำเภอชายขอบซึ่งเข้าถึงบริการด้านสุขภาพได้ยาก ดังนั้น การลงพื้นที่เยี่ยมบ้านจึงถือเป็นแนวทางสำคัญในการเข้าถึงกลุ่มเปราะบาง และเป็นต้นแบบการบริหารจัดการในเชิงพื้นที่แบบองค์รวม

กิจกรรม “หน่วยบำบัดทุกข์ บำรุงสุข สร้างรอยยิ้มให้กับประชาชน” ในครั้งนี้ จึงเป็นเครื่องยืนยันถึงความพยายามของจังหวัดเชียงรายในการเดินหน้าพัฒนาพื้นที่ห่างไกลให้มีความเท่าเทียมกับเมือง และเป็นจุดเริ่มต้นของการสร้างความเปลี่ยนแปลงเชิงบูรณาการในอนาคต.

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
  • สำนักงานสถิติแห่งชาติ
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI TOP STORIES

เตือนภัยน้ำกก ผนึกกำลังรับมือ จี้จีนแก้ต้นเหตุ

ภาครัฐ-เอกชน-ชุมชน ร่วมยกระดับเตือนภัยน้ำหลากแม่น้ำกก ปี 2568

เชียงราย, 22 เมษายน 2568 – แม่น้ำกก สายน้ำสำคัญของจังหวัดเชียงราย เป็นทั้งแหล่งชีวิตและความท้าทายสำหรับชุมชนริมฝั่ง โดยเฉพาะในช่วงฤดูฝนที่มักนำมาซึ่งอุทกภัยและมลพิษสิ่งแวดล้อม เหตุการณ์น้ำท่วมรุนแรงในปี 2567 ได้ทิ้งร่องรอยความเสียหายทั้งต่อระบบนิเวศ เศรษฐกิจ และวิถีชีวิตของประชาชน พร้อมกับปัญหาการปนเปื้อนสารพิษในน้ำที่ส่งผลกระทบรุนแรงต่อชุมชน การประชุมเมื่อวันที่ 22 เมษายน 2568 ณ เทศบาลตำบลแม่ยาว อำเภอเมืองเชียงราย จึงเป็นก้าวสำคัญในการรวมพลังภาครัฐ เอกชน และชุมชน เพื่อพัฒนาระบบเตือนภัยน้ำหลากและแก้ไขปัญหามลพิษข้ามพรมแดนอย่างยั่งยืน

ความเสียหายจากอุทกภัยและมลพิษในปี 2567

ในฤดูฝนปี 2567 แม่น้ำกกเผชิญกับน้ำหลากและโคลนถล่ม ส่งผลกระทบรุนแรงต่ออำเภอเมืองและอำเภอแม่สาย บ้านเรือนเสียหาย พื้นที่เกษตรถูกทำลาย และประชาชนต้องเผชิญกับความสูญเสียทั้งด้านทรัพย์สินและจิตใจ การตรวจพบสารโลหะหนัก เช่น สารหนู ในน้ำกก ได้สร้างความกังวลอย่างมาก ชาวบ้านไม่สามารถใช้น้ำจากแม่น้ำเพื่อการเกษตร การเลี้ยงสัตว์ หรือกิจกรรมประจำวัน เด็กๆ ถูกห้ามเล่นน้ำในช่วงสงกรานต์ และผู้ประกอบการท่องเที่ยว เช่น แพริมน้ำ ขาดทุนหนักจากจำนวนนักท่องเที่ยวที่ลดลง

จุดอ่อนของระบบเตือนภัยในอดีต ได้แก่ การขาดข้อมูลปริมาณน้ำที่เพียงพอ การแจ้งเตือนที่ล่าช้า และความไม่เชื่อมั่นของประชาชนต่อความรุนแรงของภัยพิบัติ สาเหตุเหล่านี้ทำให้ชุมชนไม่สามารถเตรียมรับมือได้ทันท่วงที ความเสียหายจึงทวีความรุนแรง นอกจากนี้ การปนเปื้อนสารพิษจากกิจกรรมเหมืองแร่ในรัฐฉาน ประเทศเมียนมา ได้กลายเป็นประเด็นข้ามพรมแดนที่ซับซ้อน ซึ่งต้องอาศัยความร่วมมือจากหลายฝ่ายเพื่อแก้ไข

การประชุมเพื่อพัฒนาระบบเตือนภัย

เมื่อวันที่ 22 เมษายน 2568 ณ เทศบาลตำบลแม่ยาว ภาคีเครือข่ายจากภาครัฐ เอกชน และชุมชน รวมถึงนางเตือนใจ ดีเทศน์ ประธานเครือข่ายข้อมูลอุทกภัยแม่น้ำกก หัวหน้าสำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) จังหวัดเชียงราย ผู้อำนวยการส่วนอุทกวิทยาที่ 2 เชียงราย กำนันตำบลแม่ยาว และผู้นำชุมชน ได้ร่วมประชุมเพื่อพัฒนาระบบเตือนภัยน้ำหลากสำหรับฤดูฝนปี 2568 การประชุมมุ่งเน้นการสร้างระบบแลกเปลี่ยนข้อมูลปริมาณน้ำระหว่าง 7 ชุมชนเป้าหมาย ได้แก่ บ้านแก่งทรายมูล/ร่มไทย บ้านใหม่หมอกจ๋าม บ้านผาใต้ (ต.ท่าตอน อ.แม่อาย จ.เชียงใหม่) บ้านจะคือ (ต.ห้วยชมพู) โรงเรียนบ้านผาขวาง บ้านแคววัวดำ (ต.แม่ยาว) และบ้านโป่งนาคำ (ต.ดอยฮาง อ.เมืองเชียงราย)

เป้าหมายคือการพัฒนาระบบที่ช่วยให้ชุมชนรับข้อมูลน้ำได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำ เพื่อเตรียมรับมือกับน้ำท่วมที่อาจเกิดขึ้น การประชุมยังมุ่งแบ่งปันข้อมูลด้านสิ่งแวดล้อมในลุ่มน้ำโขง เพื่อให้ภาคีเครือข่ายและสาธารณชนตระหนักถึงปัญหามลพิษและผลกระทบข้ามพรมแดน การรวมตัวครั้งนี้เป็นจุดเริ่มต้นของความร่วมมือที่เข้มแข็งระหว่างหน่วยงานต่างๆ เพื่อสร้างความมั่นคงด้านน้ำและสิ่งแวดล้อม

การจัดตั้งเครือข่ายข้อมูลอุทกภัยแม่น้ำกก

เครือข่ายข้อมูลอุทกภัยแม่น้ำกก (ค.อ.ก.) เกิดจากความร่วมมือขององค์กรพัฒนาภาคเอกชน โดยมีกิจกรรมหลัก 3 ส่วน:

  1. ติดตั้งเสาวัดระดับน้ำและมาตรวัดระดับน้ำ เพื่อเก็บข้อมูลปริมาณน้ำแบบเรียลไทม์
  2. เสริมศักยภาพชุมชน ผ่านการฝึกอบรมผู้สื่อข่าวอุทกภัยแม่น้ำกก (ผ.อ.ก.) ซึ่งทำหน้าที่สื่อสารข้อมูลน้ำท่วมและแจ้งเตือนภัย
  3. ผสานเครือข่ายข้อมูล ใน 7 ชุมชน เพื่อให้ข้อมูลไหลเวียนทั้งภายในและภายนอกชุมชน

เครือข่ายนี้มุ่งให้ชุมชนมีส่วนร่วมในการจัดการภัยพิบัติ โดยเฉพาะในพื้นที่เสี่ยง เช่น บ้านผาใต้ ต.ท่าตอน ซึ่งเคยถูกน้ำท่วมและโคลนถล่มในปี 2567 การติดตั้งเครื่องมือวัดระดับน้ำจะช่วยคาดการณ์สถานการณ์ได้ล่วงหน้า และการฝึกอบรมผู้นำชุมชนจะสร้างความเข้มแข็งในการสื่อสารข้อมูลอย่างมีประสิทธิภาพ

เสียงสะท้อนจากชุมชนและข้อเรียกร้อง

เมื่อวันที่ 20 เมษายน 2568 นางเตือนใจ ดีเทศน์ พร้อมทีมงานมูลนิธิพัฒนาชุมชนและเขตภูเขา (พชภ.) ลงพื้นที่บ้านผาใต้ ต.ท่าตอน เพื่อรับฟังความกังวลของชาวบ้าน ชาวบ้านหวาดกลัวว่าน้ำกกอาจท่วมซ้ำในฤดูฝนปี 2568 และกังวลต่อสารโลหะหนักในน้ำ ซึ่งกระทบต่อความปลอดภัยในการเกษตรและชีวิตประจำวัน นางจิรภัทร์ กันธิยาใจ ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน ต.ท่าตอน ระบุว่า “เศรษฐกิจชุมชนเสียหายหนัก แพพัง คนไม่กล้าลงเล่นน้ำ หาปลายาก” ขณะที่นายสุขใจ ยานะ ชาวประมงวัย 72 ปี จากบ้านเชียงแสนน้อย กล่าวว่า “ระดับน้ำกกแปรปรวน ปลาหาย รายได้หดเกือบหมด”

ในวันเดียวกัน ที่ศูนย์การเรียนรู้ CCF ต.ริมกก เครือข่ายประชาชนลุ่มน้ำกก อิง โขง นำโดยนายสมเกียรติ เขื่อนเชียงสา จัดเวทีรับฟังความคิดเห็น ชาวบ้าน ต.ริมกก ร่ำไห้ถึงปัญหาน้ำท่วมซ้ำซากและสารปนเปื้อน ดร.สืบสกุล กิจนุกร จากมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง เสนอให้รัฐบาลเจรจากับจีน เมียนมา และกลุ่มว้า พร้อมชี้ว่ารัฐขาดข้อมูลต้นทางของมลพิษ

ชาวบ้านยื่น 7 ข้อเรียกร้อง:

  1. ตั้งคณะทำงานแก้ปัญหามลพิษข้ามแดนแบบมีส่วนร่วม
  2. เปิดเผยแผนรับมือภัยพิบัติลุ่มน้ำกก-น้ำสาย
  3. สร้างความร่วมมือกับเมียนมาและกลุ่มว้าเก็บตัวอย่างน้ำต้นน้ำ
  4. ตั้งศูนย์ตรวจสอบคุณภาพน้ำจังหวัดเชียงราย
  5. ขยายการศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อมข้ามพรมแดน
  6. เปิดโต๊ะเจรจาระดับประเทศ ไทย-เมียนมา-จีน-กลุ่มชาติพันธุ์
  7. ให้ประชาชนมีบทบาทในคณะกรรมการทุกระดับ

วิเคราะห์ต้นตอปัญหาและความท้าทายข้ามพรมแดน

ปัญหาน้ำท่วมและมลพิษในแม่น้ำกกมีรากฐานจากทั้งปัจจัยภายในและข้ามพรมแดน นางเตือนใจระบุว่า ชาวบ้านในท่าตอนเชื่อว่าน้ำท่วมเกิดจากการเปิดหน้าดินขนาดใหญ่ในรัฐฉาน เพื่อทำสวนยางพารา ปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ และเหมืองแร่ โดยเฉพาะเหมืองที่ได้รับทุนจากจีน ผศ.ดร.ลลิตา หาญวงศ์ ผู้เชี่ยวชาญด้านพม่า ชี้ว่า การปนเปื้อนสารหนูเกี่ยวข้องกับเหมืองทองและดีบุกในเขตควบคุมของกองทัพสหรัฐว้า (UWSA) ซึ่งเพิ่มสัมปทานเหมืองหลังรัฐประหารในเมียนมา

ดร.ลลิตากล่าวว่า “หน่วยงานไทยบางแห่งหลีกเลี่ยงการระบุว่าเป็นบริษัทจีน ทั้งที่คนในพื้นที่รู้ดี การแก้ปัญหาต้องยอมรับต้นตอและเจรจากับจีนโดยตรง” เธอชี้ว่า การเจรจาในกรอบรัฐต่อรัฐมีข้อจำกัด เนื่องจากพื้นที่รัฐว้าเป็น “รัฐซ้อนรัฐ” ที่ไม่อยู่ภายใต้การควบคุมของรัฐบาลเมียนมา การเจรจากับสภาบริหารแห่งรัฐพม่า (SAC) อาจไม่นำไปสู่ผลลัพธ์ และอาจสร้างความขัดแย้งทางการทูต

กรณีนี้คล้ายกับผลกระทบจากเขื่อนในแม่น้ำโขง ซึ่งขาดธรรมภิบาลสิ่งแวดล้อม ดร.ลลิตาแนะนำให้ไทยกดดันจีนผ่านช่องทางการทูต เพื่อให้บริษัทเหมืองรับผิดชอบ หากรัฐไม่ดำเนินการ ภาคประชาสังคมอาจใช้กฎหมายระหว่างประเทศเพื่อเรียกร้องความยุติธรรม

แนวทางการแก้ไขและการคลี่คลายปัญหา

การประชุมที่เทศบาลตำบลแม่ยาวเสนอแนวทางแก้ไขทั้งในระดับชุมชนและนโยบาย การติดตั้งเสาวัดระดับน้ำและฝึกอบรมผู้สื่อข่าวอุทกภัยจะช่วยให้ชุมชนเตรียมรับมือน้ำท่วมได้ดีขึ้น การประสานงานระหว่าง 7 ชุมชนจะสร้างเครือข่ายที่เข้มแข็ง การสนับสนุนจาก ปภ. และส่วนอุทกวิทยาจะเพิ่มความน่าเชื่อถือของระบบเตือนภัย

ในระดับนโยบาย การแก้ปัญหามลพิษจากเหมืองแร่ต้องอาศัยความร่วมมือระหว่างประเทศ นางเตือนใจเสนอให้ไทยเจรจากับจีนเพื่อควบคุมกิจกรรมเหมือง การหารือทวิภาคีจะกดดันให้บริษัทจีนปฏิบัติตามมาตรฐานสิ่งแวดล้อม ดร.สืบสกุลแนะนำให้ตั้งศูนย์ตรวจสอบคุณภาพน้ำในเชียงราย และขยายการศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อมข้ามพรมแดน การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน เช่น ระบบกักเก็บน้ำสะอาด จะช่วยบรรเทาปัญหาการขาดแคลนน้ำ

ในระยะยาว การฟื้นฟูระบบนิเวศแม่น้ำกกเป็นสิ่งสำคัญ การปลูกป่าและจัดการที่ดินในพื้นที่ต้นน้ำจะลดการชะล้างดินและมลพิษ การรณรงค์สร้างความตระหนักจะส่งเสริมให้ชุมชนอนุรักษ์แม่น้ำ ความร่วมมือของทุกภาคส่วนจะนำไปสู่การจัดการน้ำที่ยั่งยืนและปกป้องวิถีชีวิตชุมชน

สถิติและแหล่งอ้างอิง

  • อุทกภัยแม่น้ำกก ปี 2567: ความเสียหายในอำเภอเมืองและแม่สาย มูลค่ากว่า 1,200 ล้านบาท กระทบ 15,000 ครัวเรือน
  • การปนเปื้อนสารหนู: ระดับสารหนูในน้ำกกสูงเกินมาตรฐาน 0.01 มก./ลิตร ในพื้นที่ต.ท่าตอน อ.แม่อาย
  • พื้นที่เสี่ยงน้ำท่วมในเชียงราย: 7 อำเภอ 42 ตำบล 218 หมู่บ้าน

มุมมองที่เป็นกลาง

มุมมองฝ่ายสนับสนุนการแก้ปัญหาที่ต้นตอ: การจัดการน้ำท่วมและมลพิษต้องเริ่มจากต้นเหตุ การเจรจากับจีนและควบคุมเหมืองแร่จะลดผลกระทบ การลงทุนในระบบเตือนภัยและน้ำสะอาดเป็นแนวทางจำเป็น
มุมมองฝ่ายที่มองว่าการแก้ปัญหาข้ามพรมแดนซับซ้อน: การเจรจากับจีนและกลุ่มว้ามีข้อจำกัดทางการเมือง การมุ่งแก้ปัญหาภายใน เช่น ระบบเตือนภัยและฟื้นฟูแม่น้ำ อาจปฏิบัติได้จริงกว่า
มุมมองเป็นกลาง: การแก้ปัญหาต้องผสมผสานการจัดการภายในและความร่วมมือระหว่างประเทศ การพัฒนาระบบเตือนภัยและศักยภาพชุมชนจะลดความสูญเสียระยะสั้น การเจรจาข้ามพรมแดนและรณรงค์สิ่งแวดล้อมจะนำไปสู่ความยั่งยืน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
  • กรมควบคุมมลพิษ, รายงานคุณภาพน้ำลุ่มน้ำกก ปี 2567, เผยแพร่ 15 ตุลาคม 2567, www.pcd.go.th
  • ปภ.จังหวัดเชียงราย, สรุปความเสียหายจากอุทกภัย ปี 2567, เผยแพร่ 30 กันยายน 2567
  • Mekong River Commission, รายงานผลกระทบสิ่งแวดล้อมลุ่มน้ำโขง, เผยแพร่ 10 มีนาคม 2568, www.mrcmekong.org
  • สำนักข่าวชายขอบ
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE