Categories
AROUND CHIANG RAI EDITORIAL ENTERTAINMENT

เด็ก 8 ขวบ “โฟกัส” คว้าแชมป์สตรีทแดนซ์ประเทศไทย นำทีมเชียงรายบุก UDO WORLD 2026

โฟกัส” 8 ขวบ พิชิตแชมป์สตรีทแดนซ์ไทย เปิดประตูสู่เวทีโลกที่อังกฤษ ทีม “ตึกขาวเชียงราย” สร้างปรากฏการณ์ คว้าโควตาชิงแชมป์ UDO ASIA-WORLD 2026

เชียงราย,4 พฤศจิกายน 2568 – ในวงการสตรีทแดนซ์ไทย มีคำถามที่ผู้คนมักตั้งไว้เสมอว่า “เมื่อไหร่ ความพยายามจะเปลี่ยนเป็นความสำเร็จ” คำตอบของคำถามนี้ได้ถูกพิสูจน์อย่างชัดเจน เมื่อเด็กหญิงวัย 8 ขวบจากเชียงราย ยืนอยู่บนเวทีแห่งชัยชนะ ณ The Street Ratchada กรุงเทพมหานคร ท่ามกลางเสียงปรบมือและเสียงเชียร์ที่ดังกึกก้อง นี่คือจุดเริ่มต้นของเรื่องราวที่จะพาคุณไปสู่การเดินทางอันยาวนานของความฝัน ความอดทน และความกล้าที่จะก้าวข้ามขีดจำกัดของตัวเอง

เด็กหญิงศุภกานต์ หลิวชาญพิมพ์ หรือที่ทุกคนเรียกว่า “น้องโฟกัส” นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 จากโรงเรียนศิริมาตย์เทวี จังหวัดเชียงราย เพิ่งสร้างประวัติศาสตร์ให้กับตัวเองและจังหวัดบ้านเกิด ด้วยการคว้าตำแหน่งแชมป์ประเทศไทย ประเภท SOLO U10 (โซโล่รุ่นอายุไม่เกิน 10 ปี) ในการแข่งขัน UDO ACADEMY THAILAND STREET DANCE CHAMPIONSHIP 2025 ที่จัดขึ้นระหว่างวันที่ 31 ตุลาคม ถึง 2 พฤศจิกายน 2568 การแข่งขันครั้งนี้ไม่ใช่แค่การชิงชัยในระดับประเทศ แต่คือประตูสำคัญที่จะนำพาเธอและทีมเต้นจาก MY DANCE ACADEMY (MYDA) หรือที่รู้จักในนาม “ตึกขาวเชียงราย” ไปสู่เวที UDO ASIA และ UDO WORLD STREET DANCE CHAMPIONSHIPS 2026 ที่จะจัดขึ้นในเดือนสิงหาคม 2569 ณ เมือง Blackpool ประเทศอังกฤษ

จากห้องซ้อมเล็กๆ สู่เวทีระดับชาติ เส้นทางที่ไม่ธรรมดา

เมื่อย้อนกลับไปก่อนหน้านี้หนึ่งปี น้องโฟกัสยังเป็นเพียงเด็กหญิงตัวเล็กๆ ที่เต้นอยู่ในห้องซ้อมของสถาบัน MY DANCE ACADEMY จังหวัดเชียงราย ท่ามกลางเสียงดนตร์และเหงื่อที่ไหลพราก วันแล้ววันเล่า เธอและเพื่อนๆ ในทีมต่างต้องผ่านการฝึกซ้อมที่หนักหน่วง บางครั้งก็เหนื่อย บางครั้งก็ท้อแท้ แต่สิ่งหนึ่งที่ครูผู้สอนปลูกฝังให้กับเด็กๆ ทุกคนคือ “Trust The Process” หรือ “เชื่อในกระบวนการ และรอเป็น”

การแข่งขัน UDO ACADEMY THAILAND 2025 ครั้งนี้เป็นการชิงชัยที่ยิ่งใหญ่ มีผู้เข้าแข่งขันจากทั่วประเทศกว่า 80 คน ในประเภทเดียวกับน้องโฟกัส ทุกคนต่างมีความสามารถและมีความฝันเหมือนกัน แต่สิ่งที่ทำให้น้องโฟกัสโดดเด่นคือ “พลังแห่งความมั่นใจและสปิริตนักสู้” ที่ปรากฏชัดเจนในทุกการเคลื่อนไหวบนเวที เมื่อผลการแข่งขันประกาศออกมา น้องโฟกัสได้ยืนอยู่บนแท่นแชมป์ พิสูจน์ให้เห็นว่า ความพยายามและความอดทนที่สะสมมาตลอดหลายปี สามารถเปลี่ยนเป็นความสำเร็จที่จับต้องได้

“นี่ไม่ใช่แค่เหรียญรางวัล แต่คือการพิสูจน์ว่า เด็กจากจังหวัดเล็กๆ อย่างเชียงราย สามารถยืนเคียงบ่าเคียงไหล่กับนักเต้นจากเมืองใหญ่ได้” คุณครูสายเมฆและคุณครูยุ้ย โค้ชประจำทีม MYDA กล่าวด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความภูมิใจ

ไม่ใช่แค่หนึ่งรางวัล ผลงานที่น่าทึ่งของทีม MYDA

ความสำเร็จของน้องโฟกัสเป็นเพียงส่วนหนึ่งของภาพรวมความสำเร็จที่ทีม MY DANCE ACADEMY สร้างขึ้นในการแข่งขันครั้งนี้ นอกจากตำแหน่งแชมป์ประเภท SOLO U10 แล้ว น้องโฟกัสยังได้รับรางวัลอันดับ 2 ในประเภท DUO U10 (การเต้นคู่) โดยได้จับคู่กับ น้องใบทาย (เด็กหญิงธนิสา ไกรศรี อายุ 8 ปี ชั้น ป.3/9 จากโรงเรียนอนุบาลเชียงราย) แสดงให้เห็นถึงความสามารถรอบด้านและการทำงานเป็นทีมที่ยอดเยี่ยม

ผลการแข่งขันโดยรวมของทีม MYDA ในครั้งนี้สามารถสรุปได้ดังนี้

รางวัลหลัก

  • แชมป์ประเทศไทย ประเภท SOLO U10: น้องโฟกัส (ศุภกานต์ หลิวชาญพิมพ์)
  • อันดับ 2 ประเภท DUO U10: น้องโฟกัส & น้องใบทาย
  • อันดับ 3 ประเภท TEAM PERFORMANCE U18: ทีม MYDA VARSITY (สมาชิก: นาน่า, ขวัญ, ทรีทรี, พิมพ์, มีน, โมโม่, หยก)
  • อันดับ 4 ประเภท SOLO U18: น้องพิมพ์ (นางสาวณิชารี ปงรังษี อายุ 16 ปี จากโรงเรียนสามัคคีวิทยาคม)
  • อันดับ 5 ประเภท DUO O18: ครูพี่เปีย (นางสาววชิรญาณ์ นามวงค์ อายุ 22 ปี) และครูพี่ส้มโอ (นางสาวศุภกานต์ ปัญญาพล อายุ 26 ปี)

การผ่านเข้ารอบ TOP 8 THAILAND:

  • ประเภท Locking Battle: นาน่า (เด็กหญิงณิชนันท์ กันยานนท์ อายุ 14 ปี) และทรีทรี (เด็กชายวัชรวีร์ เกาะทอง อายุ 13 ปี)
  • ประเภท Hip Hop Battle: หยก (เด็กหญิงหทัยชนก สุขวัฒนถาวรชัย อายุ 13 ปี)
  • ประเภท Solo U10: ใบทาย
  • ประเภท Solo U18: โมโม่ (นางสาวโมนะ วังวิญญู อายุ 17 ปี)

การผ่านเข้ารอบ TOP 16 THAILAND นอกจากนี้ยังมีนักเต้นอีกหลายคนที่ผ่านเข้ารอบ TOP 16 ในหลายประเภท ทั้ง Solo และ Battle รวมถึงบุ้งกี๋ (เด็กหญิงปัญจสิริ สวัสดิวงศ์ อายุ 14 ปี), ขวัญ (เด็กหญิงนีรชา ณ ลำพูน อายุ 14 ปี), เบล, พิมพ์, ครูพี่ส้มโอ และครูพี่เปีย

ตัวเลขเหล่านี้ไม่ใช่แค่สถิติ แต่คือการพิสูจน์ว่า ระบบการฝึกสอนของ MY DANCE ACADEMY มีคุณภาพและได้มาตรฐานระดับสากล สามารถสร้างนักเต้นที่มีทั้งทักษะและจิตใจที่แข็งแกร่งได้จริง

ความกล้า” ที่ล้ำค่ากว่าเหรียญทอง การลงสนาม Battle ครั้งแรก

หนึ่งในช่วงเวลาที่น่าจดจำที่สุดของน้องโฟกัสในการแข่งขันครั้งนี้ ไม่ใช่การคว้าแชมป์ แต่คือการตัดสินใจ “กล้า” ที่จะลงสนาม Battle (การต่อสู้แบบ 1 ต่อ 1) เป็นครั้งแรกในชีวิต ในประเภท Locking Battle รุ่น U14 (อายุไม่เกิน 14 ปี) ซึ่งคู่แข่งล้วนเป็นนักเต้นที่มีอายุและประสบการณ์มากกว่า

น้องโฟกัสสามารถผ่านเข้ารอบ TOP 16 THAILAND ได้สำเร็จ แม้จะหยุดเส้นทางไว้ที่รอบนี้และไม่ผ่านเข้าสู่ TOP 8 แต่สิ่งที่เธอได้รับกลับมาคือ “บทเรียนแห่งความกล้าหาญ” ที่ไม่สามารถซื้อหาได้ด้วยเงิน นอกจาก Locking Battle แล้ว น้องโฟกัสยังผ่านเข้ารอบ TOP 16 ใน Hip Hop Battle U14 และ All Style Battle U14 อีกด้วย รวมเป็นการลงสนาม Battle ทั้งหมด 3 สไตล์ในครั้งแรกของชีวิต

“นี่คือครั้งแรกของน้องโฟกัสในสนาม Locking Battle กับพี่ๆ ที่อายุมากกว่าและเต้นเก่งกันมาก แต่โฟกัสเลือก ‘กล้าที่จะลองในสนาม Battle’ และ ‘กล้าที่จะยืนบนเวที’ พร้อมโชว์พลังและความมั่นใจของตัวเองอย่างเต็มที่ ถึงแม้จะยังไม่ผ่านเข้ารอบ TOP 8 แต่ความกล้า ความใจสู้ และพลังของหนู คือสิ่งที่ทำให้ทุกคนชื่นชมและภูมิใจที่สุด เก่งมากนะโฟกัส ครูและทุกคนภูมิใจในตัวหนูมากจริงๆ” ครูสายเมฆและครูยุ้ย กล่าวถึงน้องโฟกัสด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความภาคภูมิใจ

การลงสนาม Battle ครั้งนี้สะท้อนให้เห็นถึงปรัชญาการสอนของ MYDA ที่ไม่ได้เน้นแค่การชนะ แต่เน้นการสร้าง “ความกล้าที่จะเผชิญหน้า” และ “ความเชื่อมั่นในตัวเอง” ซึ่งเป็นคุณสมบัติสำคัญที่จะนำพาเด็กๆ ไปสู่ความสำเร็จในระยะยาว

“Trust The Process” ปรัชญาที่เปลี่ยนความฝันเป็นจริง

เบื้องหลังความสำเร็จทุกชิ้นของทีม MYDA คือปรัชญา “Trust The Process” หรือ “เชื่อในกระบวนการ และรอเป็น” ที่ทีมครูได้ปลูกฝังให้กับเด็กๆ ตั้งแต่วันแรกที่พวกเขาก้าวเข้ามาในห้องซ้อม

“ช่วงเวลาที่เด็กๆ ต่อสู้กับความพยายาม ความยากและความท้าทาย ที่เด็กๆ อาจจะรู้สึกว่า อดทนฝึกฝนเป็นปีๆ แบบไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะทำได้กับเค้าสักที เมื่อไหร่จะขึ้นไปยืนบนนั้นกับเค้าสักที…ครูเห็น การถอดใจ ความท้อ ความไม่เชื่อว่าตัวเองจะทำได้ ของเด็กๆ หลายคนมาหลายครั้ง ตลอดระยะทางที่เดินมาด้วยกัน” ครูทั้งสองเล่าถึงความรู้สึกในฐานะผู้ที่เฝ้าดูและผลักดันเด็กๆ มาตลอด

“และทุกครั้งก็ได้เห็น spirit ของการสู้ต่อของทุกคนที่ลุกกลับขึ้นมา สู้ และเชื่อ ว่าตัวเอง สามารถจะผ่านช่วงเวลาฝึกฝนที่ต้องอดทนในความยาก ที่คนมากมาย ‘ไม่ทนแล้ว’ เพื่อให้มันออกดอกออกผลได้”

คำพูดเหล่านี้สะท้อนถึงความเชื่อมั่นของทีมครูว่า ความสำเร็จที่แท้จริงไม่ได้เกิดขึ้นในชั่วข้ามคืน แต่คือผลลัพธ์ของการสะสมความพยายาม การฝึกฝนอย่างต่อเนื่อง และความอดทนที่จะรอคอยจนกว่าเวลาที่เหมาะสมจะมาถึง

“วันนี้ เวทีนี้ ผลลัพธ์และค่าสถิติที่ครูพูดมาตลอดตั้งแต่วันแรก มันค่อยๆ แสดงผลลัพธ์ของมันเองให้ทุกคนได้เห็นแล้วว่า คุณค่าของความพยายาม ความอดทน ความไม่ยอมแพ้ และ การ ‘รอเป็น’ มันเป็นยังไง…สถิติ มันทำงานแล้ว คำว่า trust the process มันรวมถึง trust in time ด้วยจริงๆ” ครูทั้งสองกล่าวทิ้งท้าย

เส้นทางต่อไป ก้าวสู่เวทีระดับเอเชียและโลก

ความสำเร็จในการแข่งขัน UDO ACADEMY THAILAND 2025 ไม่ใช่จุดจบ แต่คือจุดเริ่มต้นของการเดินทางที่ยิ่งใหญ่กว่า นักเต้นและทีมครูของ MY DANCE ACADEMY ได้รับสิทธิ์เข้าร่วมการชิงแชมป์ระดับทวีปเอเชีย (UDO ASIA) และการชิงแชมป์ระดับโลก (UDO WORLD STREET DANCE CHAMPIONSHIPS 2026) ที่จะจัดขึ้นในเดือนสิงหาคม 2569 ณ เมือง Blackpool ประเทศอังกฤษ

การแข่งขัน UDO WORLD STREET DANCE CHAMPIONSHIPS ถือเป็นหนึ่งในเวทีที่ใหญ่ที่สุดและทรงเกียรติที่สุดในโลกของสตรีทแดนซ์ โดยเป็นการแข่งขันที่จัดขึ้นโดยองค์กร United Dance Organisation (UDO) ซึ่งเป็นองค์กรระดับโลกที่มีมาตรฐานการตัดสินที่เข้มงวดและเป็นที่ยอมรับในวงการเต้นทั่วโลก การที่นักเต้นจากเชียงรายจะได้ก้าวขึ้นไปแข่งขันบนเวทีนี้ ถือเป็นความภาคภูมิใจอย่างยิ่ง

“Next station ถึงเวลา พาเชียงราย Gen ใหม่ไปบุกเวทีโลก ไปมั้ยไม่รู้…แต่ไปเถอะเชื่อครู ไม่มีหน้าต่างของโอกาสในการเรียนรู้และเติบโตโลกกว้าง ในเส้นทางนักเต้น ในมิติของความพร้อม ในมิติของทักษะที่สะสมพอให้ไปแล้วตักตวงประสบการณ์ได้เต็มที่อย่างถ่องแท้ ในมิติของช่วงอายุ ‘วัยเด็กห้วงสุดท้าย’ ของหลายๆ คน ก่อนที่จะต้องลงสนามไปเจอกับผู้ใหญ่ หรือ ‘คนรุ่นครู’ ปีนี้แหละ หน้าต่างที่ดีที่สุด ของ myda crew generation นี้” ทีมครูกล่าวถึงแผนการในอนาคตด้วยความมุ่งมั่น

การตัดสินใจส่งเด็กๆ ไปแข่งขันที่ประเทศอังกฤษในปี 2026 ไม่ได้มีเป้าหมายเพียงแค่การชิงชัย แต่คือการสร้างโอกาสให้เด็กๆ ได้เรียนรู้ ได้สัมผัสบรรยากาศของการแข่งขันระดับโลก ได้แลกเปลี่ยนประสบการณ์กับนักเต้นจากนานาประเทศ และที่สำคัญคือ การสร้างความเชื่อมั่นว่า “ความฝันไม่มีขีดจำกัด” ไม่ว่าจะมาจากจังหวัดใดหรือมีพื้นฐานอย่างไร

ตึกขาวเชียงราย สัญลักษณ์แห่งความหวังและแรงบันดาลใจ

MY DANCE ACADEMY หรือ “ตึกขาวเชียงราย” กลายเป็นสัญลักษณ์ของความหวังและแรงบันดาลใจสำหรับเยาวชนในพื้นที่ภาคเหนือและทั่วประเทศ การที่สถาบันการเต้นแห่งหนึ่งในจังหวัดเชียงราย สามารถผลิตนักเต้นที่มีคุณภาพและสามารถแข่งขันได้ในระดับประเทศและระดับสากล แสดงให้เห็นว่า โอกาสในการพัฒนาทักษะและไล่ตามความฝันนั้นไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่าเราอยู่ที่ใด แต่ขึ้นอยู่กับความมุ่งมั่น ความพยายาม และการมีระบบการสนับสนุนที่ดี

ทีมครูของ MYDA ประกอบด้วยครูสายเมฆ ครูยุ้ย ครูหมีพู ครูเปีย ครูส้มโอ และครูกร้อ ซึ่งทุกคนได้อุทิศเวลาและความรู้ในการฝึกสอนและดูแลนักเต้นเยาวชน โดยมีโปรแกรมพิเศษที่ชื่อว่า “MYDA DANCE INTENSIVE PROGRAM” ซึ่งเน้นการฝึกฝนอย่างเข้มข้น มีระบบการเรียนการสอนที่มีมาตรฐาน และที่สำคัญคือ มีการปลูกฝังค่านิยมที่ดีให้กับเด็กๆ ไม่ว่าจะเป็นความอดทน ความมีวินัย การเคารพผู้อื่น และการเป็นนักกีฬาที่ดี

“พวกเราภูมิใจในความตั้งใจของเด็กๆ มากจริงๆ ทุกสเต็ปบนเวทีคือพลังจาก ‘ตึกขาวเชียงราย'” ครูทั้งหลายกล่าวพร้อมกัน

ความสำเร็จที่สะท้อนถึงการพัฒนาวงการสตรีทแดนซ์ไทย

ความสำเร็จของทีม MY DANCE ACADEMY ในครั้งนี้ไม่ได้เป็นเพียงความสำเร็จส่วนบุคคลหรือของสถาบันเพียงอย่างเดียว แต่เป็นสัญญาณที่แสดงให้เห็นถึงการพัฒนาของวงการสตรีทแดนซ์ไทยในภาพรวม โดยเฉพาะในพื้นที่ภูมิภาคที่เริ่มมีความเข้มแข็งและสามารถแข่งขันกับนักเต้นจากกรุงเทพมหานครและปริมณฑลได้อย่างเท่าเทียม

การที่น้องโฟกัส นักเต้นวัย 8 ขวบ สามารถคว้าแชมป์ประเทศไทยจากคู่แข่งกว่า 80 คน แสดงให้เห็นถึงคุณภาพของหลักสูตรการฝึกสอนที่ได้มาตรฐานและสอดคล้องกับมาตรฐานสากลของ UDO (United Dance Organisation) ซึ่งเป็นองค์กรที่ใหญ่ที่สุดในโลกด้านการจัดการแข่งขันสตรีทแดนซ์ และมีการกำหนดมาตรฐานการตัดสินที่เข้มงวด โปร่งใส และเป็นธรรม

การแข่งขัน UDO ACADEMY THAILAND STREET DANCE CHAMPIONSHIP 2025 มีความพิเศษตรงที่เป็นการแข่งขันที่เปิดโอกาสให้นักเต้นเยาวชนที่เป็นสมาชิก UDO Academy และมีประวัติการสอบ UDO Examination อย่างน้อย 1 ครั้งระหว่างปี 2023-2025 เท่านั้นที่สามารถเข้าร่วมการแข่งขันได้ สำหรับผู้เข้าแข่งขันที่มีอายุ 17 ปีลงมา กฎเกณฑ์นี้แสดงให้เห็นถึงความเข้มงวดและความมุ่งมั่นในการยกระดับมาตรฐานของนักเต้นเยาวชนไทยให้สามารถแข่งขันในเวทีโลกได้อย่างมีประสิทธิภาพ

นอกจากนี้ การที่ทีม MYDA สามารถส่งนักเต้นผ่านเข้ารอบ TOP 8 และ TOP 16 THAILAND ได้หลายคนในหลายประเภท ทั้ง Solo, Duo, Team Performance และ Battle หลายสไตล์ ยังแสดงให้เห็นถึงความสามารถรอบด้านของนักเต้นและความหลากหลายของหลักสูตรการสอน ไม่ว่าจะเป็น Locking, Hip Hop, All Style หรือการเต้นแบบ Performance ที่เน้นการออกแบบท่าเต้นและการแสดงออกทางศิลปะ

ความหมายของการได้ไปแข่งที่ UDO WORLD 2026

การได้รับสิทธิ์เข้าร่วมการแข่งขัน UDO WORLD STREET DANCE CHAMPIONSHIPS 2026 ที่ประเทศอังกฤษ ถือเป็นเป้าหมายสูงสุดของนักเต้นสตรีททั่วโลก การแข่งขัน UDO World Championships เป็นเวทีที่รวบรวมนักเต้นที่ดีที่สุดจากทั่วโลกมาแข่งขันกัน โดยในปี 2024 การแข่งขันได้มีรางวัลเงินสดสำหรับผู้ชนะในหมวด Ultimate Advanced Team สูงถึง 10,000 ปอนด์สเตอร์ลิง (ประมาณ 440,000 บาท) แสดงให้เห็นถึงความยิ่งใหญ่และความสำคัญของเวทีนี้

การแข่งขัน UDO WORLD 2026 จะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 12-16 สิงหาคม 2569 ณ เมือง Blackpool ประเทศอังกฤษ ซึ่งเป็นเมืองที่มีชื่อเสียงในด้านการจัดการแข่งขันเต้นระดับโลก การที่นักเต้นเยาวชนจากเชียงรายจะได้ก้าวขึ้นไปแข่งขันบนเวทีนี้ จะเป็นประสบการณ์ที่ล้ำค่าและเป็นการเปิดโลกทัศน์ให้กับเด็กๆ ได้เรียนรู้และพัฒนาทักษะของตนเองไปสู่อีกระดับหนึ่ง

นอกจากการแข่งขัน UDO WORLD แล้ว นักเต้นจาก MYDA ยังได้รับสิทธิ์เข้าร่วมการแข่งขัน UDO ASIA-PACIFIC CHAMPIONSHIPS อีกด้วย ซึ่งเป็นเวทีระดับภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก ที่จะช่วยสร้างประสบการณ์และความพร้อมให้กับนักเต้นก่อนที่จะไปแข่งขันในระดับโลก

รายชื่อและสมุดพกของความพยายาม คนทำงานเบื้องหน้า–เบื้องหลัง

  1. เด็กหญิงศุภกานต์ หลิวชาญพิมพ์ (โฟกัส) ป.3/2 โรงเรียนศิริมาตย์เทวี – CHAMPION SOLO U10
  2. เด็กหญิงธนิสา ไกรศรี (ใบทาย) ป.3/9 โรงเรียนอนุบาลเชียงราย – 2nd DUO U10
  3. เด็กหญิงหทัยชนก สุขวัฒนถาวรชัย (หยก) อายุ 13 ปี โรงเรียนเทศบาล 6 นครเชียงราย ม.2 – ผ่านรอบลึก
  4. น.ส.อารยา สัทธานนท์ (มีน) 17 ปี โรงเรียนสามัคคีวิทยาคม ม.5 – ทีม/เดี่ยว
  5. น.ส.โมนะ วังวิญญู (โมโม่) 17 ปี โรงเรียนปิติศึกษา ม.5 – TOP 8/16 หลายหมวด
  6. น.ส.ณิชารี ปงรังษี (พิมพ์) 16 ปี โรงเรียนสามัคคีวิทยาคม ม.5 – 4th SOLO U18
  7. เด็กหญิงนีรชา ณ ลำพูน (ขวัญ) 14 ปี โรงเรียนสามัคคีวิทยาคม ม.3 – ผ่านรอบลึก
  8. เด็กหญิงณิชนันท์ กันยานนท์ (นาน่า) 14 ปี โรงเรียนสามัคคีวิทยาคม ม.3 – ผ่านรอบลึก
  9. เด็กชายวัชรวีร์ เกาะทอง (ทรีทรี) 13 ปี โรงเรียนเชียงรายวิทยาคม ม.1 – ผ่านรอบลึก
  10. เด็กหญิงกัญพัชย์ วงค์ฮู้ (ทอฝัน) 14 ปี โรงเรียนเทศบาล 6 นครเชียงราย ม.2 – ผ่านรอบคัด
  11. ด.ญ.ปัญจสิริ สวัสดิวงศ์ (บุ้งกี๋) 14 ปี โรงเรียนสามัคคีวิทยาคม – ผ่านรอบลึก
  12. น.ส.วชิรญาณ์ นามวงค์ (ครูพี่เปีย) อายุ 22 ปี มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง – 5th DUO O18
  13. นายธนภูพรรณ วงค์อะทะชัย อายุ 21 ปี มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง – ทีมงาน/ผู้ร่วมกิจกรรม
  14. น.ส.ศุภกานต์ ปัญญาพล (ครูพี่ส้ม) อายุ 26 ปี MY DANCE ACADEMY – 5th DUO O18
  • คณะครู–ผู้ฝึกสอน: ครูสายเมฆ, ครูยุ้ย, ครูหมีพู, ครูเปีย, ครูส้ม, ครูกร้อ

เสียงจากครูผู้สอน มุมมองที่ลึกซึ้งกว่าความชนะแพ้

ในการให้สัมภาษณ์หลังการแข่งขัน ทีมครูของ MY DANCE ACADEMY ได้แสดงความรู้สึกและมุมมองที่ลึกซึ้งต่อการเติบโตของลูกศิษย์ ซึ่งไม่ได้เน้นแค่เรื่องของเหรียญรางวัล แต่เน้นไปที่กระบวนการเรียนรู้และการพัฒนาตัวตนของเด็กๆ

“เก่งมากๆ ตัวอ่อน MYDA ทั้งหลาย! มาไกลกันมากๆ! ก็เพราะมันยากนี่แหละ มันถึงพิเศษขนาดนี้ ไม่งั้นใครๆ ก็คงจะเดินเล่นได้รางวัลกันแบบไม่มีคุณค่าใด” คำพูดของครูทั้งสองสะท้อนถึงความเข้าใจในเส้นทางของการเป็นนักเต้นมืออาชีพ ที่ต้องผ่านความยากลำบากและการฝึกฝนอย่างหนักหน่วง

การที่ครูใช้คำว่า “ตัวอ่อน” ในการเรียกลูกศิษย์ แสดงให้เห็นถึงความรักและความห่วงใยที่มีต่อเด็กๆ พร้อมกับการเห็นพวกเขาเป็นเหมือนลูกหลานที่ต้องดูแลเอาใจใส่และผลักดันให้เติบโตไปในทิศทางที่ดี

ผลกระทบต่อชุมชนและสังคม แรงบันดาลใจที่แผ่ขยาย

ความสำเร็จของทีม MY DANCE ACADEMY ไม่ได้มีผลกระทบเฉพาะกับนักเต้นในทีมเท่านั้น แต่ยังส่งผลกระทบในวงกว้างต่อชุมชนและสังคมในหลายระดับ

ในระดับโรงเรียน นักเรียนที่เป็นนักเต้นของ MYDA ได้กลายเป็นต้นแบบที่ดีให้กับเพื่อนๆ ในโรงเรียน โดยเฉพาะน้องโฟกัสจากโรงเรียนศิริมาตย์เทวี น้องใบทายจากโรงเรียนอนุบาลเชียงราย และนักเต้นคนอื่นๆ ที่มาจากโรงเรียนต่างๆ ในจังหวัดเชียงราย อาทิ โรงเรียนเทศบาล 6 นครเชียงราย โรงเรียนสามัคคีวิทยาคม และโรงเรียนเชียงรายวิทยาคม ซึ่งการที่นักเรียนเหล่านี้สามารถสร้างผลงานได้ในระดับประเทศและจะได้ไปแข่งขันในระดับโลก จะเป็นแรงบันดาลใจให้กับนักเรียนคนอื่นๆ ได้เห็นว่า การตั้งใจเรียน ตั้งใจฝึกฝน และมีวินัย สามารถนำไปสู่ความสำเร็จได้จริง

ในระดับจังหวัด ความสำเร็จครั้งนี้ช่วยยกระดับภาพลักษณ์ของจังหวัดเชียงรายในด้านกีฬาและศิลปะการแสดง แสดงให้เห็นว่า จังหวัดเชียงรายไม่ได้มีความโดดเด่นแค่ด้านการท่องเที่ยวและวัฒนธรรมดั้งเดิมเท่านั้น แต่ยังสามารถผลิตนักกีฬาและศิลปินรุ่นใหม่ที่มีคุณภาพและสามารถแข่งขันได้ในระดับสากลอีกด้วย

ในระดับประเทศ ความสำเร็จของทีมจากภูมิภาคช่วยสร้างความหลากหลายและความเท่าเทียมในวงการสตรีทแดนซ์ไทย แสดงให้เห็นว่า ความสามารถไม่ได้จำกัดอยู่แค่ในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล แต่สามารถเกิดขึ้นได้ทุกที่ที่มีการสนับสนุนและการพัฒนาที่ดี

บทบาทของผู้ปกครอง กำลังใจที่สำคัญเบื้องหลัง

เบื้องหลังความสำเร็จของนักเต้นเยาวชนทุกคน ผู้ปกครองถือเป็นปัจจัยสำคัญที่ขาดไม่ได้ การที่ผู้ปกครองให้การสนับสนุน ทั้งด้านการเงิน เวลา และกำลังใจแก่ลูกหลาน เป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยผลักดันให้เด็กๆ สามารถฝึกซ้อมอย่างต่อเนื่องและมีสมาธิในการพัฒนาทักษะ

การเดินทางไปแข่งขันที่กรุงเทพมหานคร การพักค้างคืนหลายวัน และค่าใช้จ่ายต่างๆ ในการแข่งขัน ล้วนต้องอาศัยการสนับสนุนจากผู้ปกครอง นอกจากนี้ การให้กำลังใจและการเป็นแรงผลักดันทางใจของผู้ปกครองก็มีส่วนสำคัญต่อความมั่นใจและพลังใจของเด็กๆ บนเวทีการแข่งขัน

ความท้าทายข้างหน้า การเตรียมตัวสู่เวทีโลก

แม้จะคว้าแชมป์ประเทศไทยมาได้แล้ว แต่การเตรียมตัวไปแข่งขันในระดับโลกยังมีความท้าทายอีกมากมายที่รออยู่ข้างหน้า ทั้งในด้านการฝึกซ้อมเพื่อพัฒนาทักษะให้สูงขึ้น การเตรียมความพร้อมทางร่างกายและจิตใจ การจัดหาทุนทรัพย์สำหรับค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปต่างประเทศ และการปรับตัวให้เข้ากับบรรยากาศของการแข่งขันระดับสากลที่มีความเข้มข้นสูงกว่า

ค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปแข่งขันที่ประเทศอังกฤษ รวมถึงค่าตั๋วเครื่องบิน ค่าที่พัก ค่าอาหาร และค่าใช้จ่ายอื่นๆ อาจเป็นภาระที่หนักสำหรับครอบครัวและสถาบัน ดังนั้น การระดมทุนและการหาแหล่งสนับสนุนจากภาครัฐ ภาคเอกชน และชุมชน จึงเป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างยิ่ง

อย่างไรก็ตาม ด้วยความมุ่งมั่นของทีมครูและนักเต้น รวมถึงการสนับสนุนจากผู้ปกครองและชุมชน ความท้าทายเหล่านี้น่าจะสามารถผ่านพ้นไปได้ และจะกลายเป็นบทเรียนและประสบการณ์ที่มีค่าสำหรับเด็กๆ ในการเติบโตเป็นนักเต้นมืออาชีพในอนาคต

ข้อเสนอแนะและแนวทางการพัฒนาต่อไป

จากความสำเร็จครั้งนี้ มีข้อเสนอแนะและแนวทางการพัฒนาที่น่าสนใจหลายประการ

  1. การสนับสนุนจากภาครัฐและองค์กรท้องถิ่น หน่วยงานภาครัฐ โดยเฉพาะจังหวัดเชียงราย สำนักงานการท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัด และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ควรให้การสนับสนุนด้านงบประมาณและการประชาสัมพันธ์ เพื่อส่งเสริมให้นักกีฬาและศิลปินรุ่นเยาว์ได้มีโอกาสพัฒนาศักยภาพและแข่งขันในเวทีระดับสากล
  2. การสร้างเครือข่ายความร่วมมือ การสร้างเครือข่ายความร่วมมือระหว่างสถาบันสอนเต้นในภูมิภาคต่างๆ เพื่อแลกเปลี่ยนความรู้ ประสบการณ์ และร่วมกันพัฒนามาตรฐานการสอน จะช่วยยกระดับคุณภาพของนักเต้นไทยโดยรวม
  3. การพัฒนาหลักสูตรและมาตรฐาน การพัฒนาหลักสูตรการสอนที่สอดคล้องกับมาตรฐานสากล โดยเฉพาะมาตรฐาน UDO ที่เป็นที่ยอมรับในระดับโลก จะช่วยให้นักเต้นไทยมีความพร้อมในการแข่งขันระดับสากลมากขึ้น
  4. การสร้างระบบการสนับสนุนทางการเงิน การจัดตั้งกองทุนหรือทุนการศึกษาสำหรับนักเต้นที่มีความสามารถแต่ขาดแคลนทุนทรัพย์ จะช่วยเปิดโอกาสให้เยาวชนที่มีพรสวรรค์ได้รับการพัฒนาอย่างเต็มศักยภาพ
  5. การประชาสัมพันธ์และสร้างความเข้าใจ การประชาสัมพันธ์ให้สังคมเห็นคุณค่าของศิลปะการเต้น โดยเฉพาะสตรีทแดนซ์ ว่าไม่ได้เป็นเพียงความบันเทิง แต่เป็นกีฬาและศิลปะที่ต้องใช้ทักษะ ความมีวินัย และการฝึกฝนอย่างหนักหน่วง

บทเรียนแห่งความพยายามและความหวัง

เรื่องราวของ “น้องโฟกัส” วัย 8 ขวบ และทีม MY DANCE ACADEMY จากเชียงราย เป็นมากกว่าแค่ข่าวความสำเร็จทางกีฬา แต่เป็นเรื่องราวที่สะท้อนถึง “คุณค่าของความพยายาม” “พลังของความเชื่อมั่น” และ “ความหมายของการรอคอย”

การเดินทางจากห้องซ้อมเล็กๆ ในเชียงราย มาสู่แท่นแชมป์ประเทศไทย และจะก้าวต่อไปสู่เวทีโลกที่ประเทศอังกฤษ เป็นการพิสูจน์ให้เห็นว่า ความฝันไม่มีขีดจำกัด ไม่ว่าเราจะเริ่มต้นจากจุดใด หากมีความมุ่งมั่น มีครูที่ดี มีระบบการสนับสนุนที่เหมาะสม และที่สำคัญที่สุดคือ มีความเชื่อในตัวเอง ความสำเร็จก็อยู่ไม่ไกลเกินเอื้อม

ปรัชญา “Trust The Process” ที่ทีม MYDA ใช้ในการฝึกสอน ไม่ได้เป็นเพียงคำพูดหรือคำขวัญ แต่เป็นวิถีการดำเนินชีวิตที่สอนให้เด็กๆ เรียนรู้ที่จะอดทน มีวินัย เคารพกระบวนการ และเชื่อมั่นว่า การฝึกฝนและความพยายามที่สั่งสมมาทุกวันนี้ จะค่อยๆ แสดงผลออกมาในเวลาที่เหมาะสม

สำหรับน้องโฟกัสและเพื่อนๆ นักเต้นของ MYDA การแข่งขันที่ประเทศอังกฤษในปี 2026 จะเป็นอีกหนึ่งบทเรียนสำคัญในชีวิต ไม่ว่าผลการแข่งขันจะเป็นอย่างไร ประสบการณ์ที่ได้รับจะเป็นทรัพย์สินอันมีค่าที่จะอยู่กับพวกเขาไปตลอดชีวิต และจะเป็นรากฐานที่แข็งแกร่งในการพัฒนาตัวเองไปสู่ความเป็นนักเต้นมืออาชีพในอนาคต

ขอแสดงความยินดีกับ เด็กหญิงศุภกานต์ หลิวชาญพิมพ์ (น้องโฟกัส) นักเต้นและทีมครูทุกคนจาก MY DANCE ACADEMY จังหวัดเชียงราย ที่สร้างชื่อเสียงให้กับจังหวัดและประเทศไทย และขอเป็นกำลังใจให้กับการเดินทางสู่เวทีระดับเอเชียและระดับโลกในปี 2026

ข้อมูลการแข่งขันและผลการแข่งขัน

  • ข้อมูลจากการแถลงข่าวและรายงานผลการแข่งขัน UDO ACADEMY THAILAND STREET DANCE CHAMPIONSHIP 2025 จัดโดย UDO Academy Thailand
  • สถานที่จัดการแข่งขัน: THE STREET HALL, The Street Ratchada, กรุงเทพมหานคร
  • ระยะเวลาการแข่งขัน: 31 ตุลาคม – 2 พฤศจิกายน 2568

ข้อมูลเกี่ยวกับ UDO (United Dance Organisation)

  • UDO เป็นองค์กรระดับโลกที่ใหญ่ที่สุดในด้านการจัดการแข่งขันสตรีทแดนซ์ มีมาตรฐานการตัดสินและระบบการแข่งขันที่เป็นที่ยอมรับในระดับสากล
  • UDO WORLD STREET DANCE CHAMPIONSHIPS 2026 กำหนดจัดขึ้นระหว่างวันที่ 12-16 สิงหาคม 2569 ณ เมือง Blackpool ประเทศอังกฤษ (Great Britain)
  • มาตรฐานการแข่งขันและกฎเกณฑ์ต่างๆ เป็นไปตามระเบียบ UDO International Rules 2025/26

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • เขียนโดย : กันณพงศ์ ก.บัวเกษร
  • เรียบเรียง : มนรัตน์ ก.บัวเกษร
  • MY DANCE ACADEMY (MYDA)
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI EDITORIAL

1,406 กม. ข้ามจังหวัด เจ้าของฟาร์มสเตย์ระนอง พาทีม 50 คนเที่ยวเชียงราย กระตุ้นเศรษฐกิจเมืองรอง

จากระนองสู่เชียงราย เมื่อเจ้าของฟาร์มสเตย์พาทีม 50 คนเดินทาง 1,406 กม. สร้างปรากฏการณ์ท่องเที่ยวเมืองรอง

เชียงราย, 1 พฤศจิกายน 2568 – ในยุคที่การท่องเที่ยวกลายเป็นเครื่องมือสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจท้องถิ่น การตัดสินใจของผู้ประกอบการธุรกิจที่พักแห่งหนึ่งจากจังหวัดระนอง ที่เลือกนำพนักงานทั้ง 50 คนเดินทาง ระยะทางเหมือนข้ามประเทศ จากจังหวัดทางใต้สู่ล้านนาภาคเหนือ กลายเป็นกรณีศึกษาที่น่าสนใจของการท่องเที่ยวเชิงคุณภาพ ที่ไม่เพียงสร้างรายได้ให้กับจังหวัดปลายทาง แต่ยังเป็นการประชาสัมพันธ์ศักยภาพการท่องเที่ยวของเมืองรองอย่างเชียงรายไปยังกลุ่มผู้ท่องเที่ยว ที่มีฐานผู้ติดตามโซเชียลกว่า 1 ล้านคนทั่วประเทศและทั่วโลกในครั้งนี้

จากป่ารกร้างสู่ฟาร์มสเตย์ดัง พลังของการสื่อสารดิจิทัล

วิโรจน์ ฉิมมี หรือที่คนรู้จักในนาม “เบส” เจ้าของ “บ้านไร่ ไออรุณ” ฟาร์มสเตย์ในอำเภอกะเปอร์ จังหวัดระนอง เล่าถึงที่มาของการเดินทางครั้งนี้ว่า เริ่มจากความตั้งใจที่จะให้รางวัลกับพนักงานทุกคน หลังจากที่ทุกคนร่วมมือกันพัฒนาธุรกิจที่เคยเป็นเพียงป่ารกร้าง ให้กลายมาเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงเกษตรที่มีผู้ติดตามถึง 1 ล้านคนบนโซเชียลมีเดีย

“ผมหยอดกระปุกสะสมเงินมาได้ 1 ล้านบาท เพื่อจะพาพนักงานไปเติมพลัง ไปมีความสุขด้วยกันอีกครั้ง” วิโรจน์โพสต์ในช่องทาง บ้านไร่ ไออรุณ baan rai i arun  “อยากพาทุกคนไปไกลสุดในประเทศนี้ เท่าที่จะทำได้ ปีนี้เราจะไปอุดหนุนชาวจังหวัดเชียงรายกัน”

การตัดสินใจนี้ไม่ได้เกิดขึ้นง่ายๆ สำหรับธุรกิจขนาดเล็กที่มีพนักงานเพียง 50 คน โดยต้องปิดให้บริการตั้งแต่วันที่ 28-31 ตุลาคม 2568 และกลับมาเปิดบริการอีกครั้งในวันที่ 1 พฤศจิกายน 2568 ซึ่งหมายถึงการสูญเสียรายได้ช่วงปลายเดือนที่เป็นช่วงท่องเที่ยว

ภาพ : บ้านไร่ ไออรุณ baan rai i arun จังหวัดระนอง

1,406 กิโลเมตร ข้ามน้ำข้ามทะเล จากใต้ริมทะเลสู่เหนือสุดทะเลหมอก

การเดินทางครั้งนี้เริ่มต้นจากสนามบินระนอง ที่อยู่ห่างจากบ้านไร่เพียง 28 กิโลเมตร คณะเดินทางด้วยสายการบินแอร์เอเชีย โดยใช้งบประมาณค่าตั๋วเครื่องบินทั้งหมด 4 แสนบาท เดินทางไปต่อเครื่องที่สนามบินดอนเมือง ก่อนจะมุ่งหน้าสู่เชียงราย ระยะทางเกือบ 1,500 กิโลเมตร

“ครั้งแรกในชีวิตที่ทุกคนได้เดินทางมาที่จังหวัดนี้” วิโรจน์เล่า “หลายคนในทีมเป็นชาวบ้านที่เพิ่งเคยขึ้นเครื่องบินเป็นครั้งแรก ได้เห็นท้องฟ้า ท้องทะเล จากภาคใต้มาถึงเมืองเหนือ”

สิ่งที่น่าสนใจคือ สนามบินระนองในปัจจุบันมีเที่ยวบินให้บริการถึง 2 ไฟลต์ต่อวัน ซึ่งช่วยอำนวยความสะดวกให้กับนักท่องเที่ยวที่ต้องการเดินทางออกจากพื้นที่ได้มากขึ้น สะท้อนถึงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการบินที่เชื่อมโยงระหว่างเมืองรองด้วยกัน

เส้นทางท่องเที่ยว สัมผัสเชียงรายในทุกมิติ

โปรแกรมการเดินทาง 4 วัน 3 คืน ที่วิโรจน์วางแผนไว้ ครอบคลุมจุดท่องเที่ยวสำคัญของเชียงราย เริ่มจากมื้อแรกที่ร้านข้าวซอยวิจิตตรา ร้านอาหารพื้นเมืองที่ขึ้นชื่อ พร้อมเมนูข้าวซอยและน้ำเงี้ยวที่ทุกคนประทับใจ

คืนแรกพักกลางทุ่งดอกไฮเดรนเยียบนยอดดอย ท่ามกลางอากาศเย็นสบาย พร้อมหมูกระทะที่จัดเตรียมไว้ให้ ก่อนที่จะออกเดินทางสำรวจจุดท่องเที่ยวต่างๆ อาทิ ผาฮี้-ผาหมี, ไร่สิงห์ปาร์ค, อาข่า ฟาร์มวิว, สวนดอกไฮเดรนเยีย ดอยช้าง, ไร่ชาฉุยฟง และดอยตุง แต่ละจุดล้วนมอบประสบการณ์ที่แตกต่างกัน ตั้งแต่ความงามของธรรมชาติ ไร่กาแฟบนภูเขาสูง ฟาร์มแกะที่มีนักท่องเที่ยวต่อคิวซื้อบัตรเข้าชม ไปจนถึงดอกไม้หลากหลายสายพันธุ์

คืนที่สองเดินทางเข้าสู่ตัวเมืองเชียงราย พักที่โรงแรม The Riverie by Katathani ริมแม่น้ำกก ซึ่งทีมงานของโรงแรมได้ต้อนรับด้วยพวงมาลัยและการ์ดที่เขียนวางไว้บนเตียงทุกห้อง แม้จะไม่ได้แจ้งความเป็นพิเศษล่วงหน้า แต่การบริการที่เป็นเลิศทำให้ทุกคนประทับใจ

ภาพ : บ้านไร่ ไออรุณ baan rai i arun จังหวัดระนอง

ผลกระทบต่อเศรษฐกิจท้องถิ่น มากกว่าตัวเลข

การเดินทางของคณะ 50 คนจากระนองสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจให้กับเชียงรายในหลากหลายมิติ ตั้งแต่ค่าที่พัก ค่าอาหาร ค่าเข้าชมสถานที่ท่องเที่ยว ค่าเช่ารถ ไปจนถึงการซื้อของฝากจากชุมชนต่างๆ

หากประมาณการอย่างหยาบจากงบประมาณ 1 ล้านบาท หักค่าตั๋วเครื่องบิน 4 แสนบาท คงเหลืองบประมาณ 6 แสนบาท ที่ใช้จ่ายในพื้นที่เชียงราย เฉลี่ยคนละประมาณ 12,000 บาท ซึ่งครอบคลุมค่าที่พัก 2 คืน ค่าอาหาร 4 วัน ค่าเข้าชมสถานที่ต่างๆ และค่าใช้จ่ายอื่นๆ

สิ่งที่สำคัญไม่แพ้กันคือมูลค่าทางการตลาดที่เกิดขึ้น เมื่อเจ้าของธุรกิจที่มีผู้ติดตามถึง 1 ล้านคนบนโซเชียลมีเดีย โพสต์ภาพและเล่าประสบการณ์การท่องเที่ยวเชียงราย กลายเป็นการประชาสัมพันธ์ที่มีพลังมหาศาลโดยไม่ต้องใช้งบประมาณจากภาครัฐแต่อย่างใด

“การลงทุนของจังหวัดเชียงราย แค่การเป็นเจ้าบ้านที่ดี ยิ้มแย้ม ก็เป็นการสร้างกำไรในระยะยาว” วิโรจน์กล่าว “แม้จะมีบางคนมองว่า ทางร้านก็จะได้การลดหย่อนภาษี 1.5 เท่า แต่เราก็ต้องดูว่าทำไมต้องเลือกเดินทางมาไกลจากระนองถึงเชียงรายมากกว่า 1,406 กม.”

เชื่อมโยงกับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ “เที่ยวดี มีคืน”

การเดินทางของคณะบ้านไร่ ไออรุณ เกิดขึ้นในช่วงเวลาที่รัฐบาลเพิ่งเปิดตัวมาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยว “เที่ยวดี มีคืน” ซึ่งคณะรัฐมนตรีได้เห็นชอบให้ประชาชนผู้เสียภาษีทั้งบุคคลธรรมดาและนิติบุคคลได้รับสิทธิประโยชน์จากการท่องเที่ยวภายในประเทศ

สำหรับมาตรการสำหรับบุคคลธรรมดา ระหว่างวันที่ 29 ตุลาคม – 15 ธันวาคม 2568 สามารถลดหย่อนภาษีได้สูงสุด 30,000 บาทสำหรับการท่องเที่ยวในเมืองรอง (1.5 เท่าของค่าใช้จ่าย) และ 20,000 บาทสำหรับเมืองหลัก (1 เท่าของค่าใช้จ่าย) ครอบคลุมทั้งค่าที่พักและค่าบริการร้านอาหารที่จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม

ที่สำคัญยิ่งกว่าคือ มาตรการสำหรับบริษัทและห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล ที่สามารถหักค่าใช้จ่ายในการจัดอบรมหรือสัมมนาให้กับพนักงานได้ถึง 2 เท่าสำหรับเมืองรอง และ 1.5 เท่าสำหรับเมืองหลัก ซึ่งตรงกับกรณีของบ้านไร่ ไออรุณที่นำพนักงานเดินทางไปเพื่อเติมพลังและเรียนรู้ประสบการณ์ใหม่ๆ

ภาพ : บ้านไร่ ไออรุณ baan rai i arun จังหวัดระนอง

การเรียนรู้ที่คุ้มค่ากว่าเงิน

วิโรจน์เปิดเผยว่า ธุรกิจของเขาเป็นเพียงกิจการเล็กๆ ที่ผลประกอบการไม่ได้มีกำไรเหลือเงินเยอะ แต่เขาเลือกที่จะลงทุนกับคน ด้วยความเชื่อว่าการพาพนักงานออกไปสัมผัสประสบการณ์ภายนอก จะช่วยพัฒนาทักษะและทัศนคติในการทำงาน โดยเฉพาะธุรกิจบริการอย่างฟาร์มสเตย์

“เราเลือกใช้วิธีนี้ในการพัฒนาคนมาหลายปีแล้ว ปีละ 1 ครั้ง” เขากล่าว “อยากพาทุกคนออกเดินทางมาพัก มาชาร์จพลัง มาเป็นผู้ใช้บริการ มาเห็นว่าที่อื่นเค้าทำอะไรกัน ในสถานที่ที่เราไม่เคยไป”

ประสบการณ์ที่พนักงานได้รับนั้นครอบคลุมทุกมิติของการท่องเที่ยว ตั้งแต่การได้นั่งเครื่องบิน ได้เห็นการบริการของแอร์โฮสเตส ได้นั่งรถขึ้นดอยที่มีคนขับคอยเล่าประวัติสถานที่ ได้เห็นโฮมสเตย์ที่ตกแต่งด้วยวัสดุธรรมชาติ ได้สัมผัสการบริการที่ยอดเยี่ยมจากที่พักต่างๆ ทั้งหมดนี้คือการเรียนรู้ที่จะนำมาต่อยอดในการพัฒนา “บ้านไร่ ไออรุณ” ของตัวเองให้ดีขึ้น

“ประสบการณ์ในการเดินทางครั้งนี้ จะเป็นพลังบวกให้เราทุกคนกลับไปพัฒนาบ้านไร่ เพื่อกลับไปเป็นผู้ให้บริการที่ดีขึ้น” วิโรจน์กล่าวด้วยความภาคภูมิใจ

ภาคเหนือยุคใหม่ พร้อมรับนักท่องเที่ยว

การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ได้ประกาศเปิดฤดูกาลท่องเที่ยวภาคเหนืออย่างเป็นทางการ ภายใต้แคมเปญ “Season of North 2026 : สุขทันที…ฤดูนี้ฤดูเหนือ” พร้อมเผยกลยุทธ์เชิงรุกเพื่อกระตุ้นการเติบโตของการท่องเที่ยว

นายขจรเดช อภิชาติตรากุล ผู้อำนวยการภูมิภาคภาคเหนือ ททท. เปิดเผยว่า แม้ตัวเลข 9 เดือนแรกของปี 2568 จะทรงตัว แต่คาดการณ์ว่า 3 เดือนสุดท้ายของปีนี้การท่องเที่ยวจะเติบโตขึ้นอย่างชัดเจน เนื่องจากสถานการณ์ภายในประเทศคลี่คลายและมีกิจกรรมปลายปีที่ดึงดูดนักท่องเที่ยว โดยตั้งเป้าหมายว่าภาพรวมนักท่องเที่ยวทั้งปี 2568 จะเพิ่มขึ้นประมาณ 10% จากปีที่ผ่านมา

สำหรับปี 2569 ททท. ตั้งเป้าหมายที่ทะเยอทะยาน โดยคาดว่าจะมีนักท่องเที่ยวชาวไทยไม่น้อยกว่า 25 ล้านคน-ครั้ง และสร้างรายได้จากการท่องเที่ยวไม่น้อยกว่า 178 ล้านบาท ซึ่งเป็นการเติบโตอย่างก้าวกระโดดจากปีก่อนหน้า

กลยุทธ์ขับเคลื่อนการท่องเที่ยวเมืองรอง

ททท. ได้วางกลยุทธ์สำคัญ 3 ประการเพื่อขับเคลื่อนการท่องเที่ยวภาคเหนือ ประการแรกคือการใช้พลังของรีวิวและโซเชียลมีเดีย การตลาดแบบ “ตามรอยรีวิว” และการบอกต่อจากอินฟลูเอนเซอร์ได้รับความนิยมอย่างมากในกลุ่มคนรุ่นใหม่ ซึ่งกรณีของบ้านไร่ ไออรุณที่มีผู้ติดตาม 1 ล้านคนนั้น เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนของพลังทางการตลาดแบบนี้

ประการที่สองคือการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการบิน ผู้ประกอบการและสายการบินมีแผนเพิ่มเที่ยวบินทั้งในและระหว่างประเทศสู่ภาคเหนือ โดยเฉพาะเมืองรองอย่างเชียงรายที่เริ่มมีสายการบินตรงจากต่างประเทศเข้าสู่พื้นที่ ทำให้การเข้าถึงง่ายขึ้นและดึงดูดนักท่องเที่ยวได้มากขึ้น

ประการสุดท้ายคือการกระจายนักท่องเที่ยวสู่เมืองรอง ซึ่งพบว่ามีการกระจายตัวของนักท่องเที่ยวไปยังเมืองรองมากขึ้น เช่น เชียงราย แพร่ น่าน ลำพูน และแม่ฮ่องสอน ซึ่งช่วยกระจายรายได้สู่ชุมชนต่างๆ อย่างทั่วถึง

นอกจากนี้ ททท. ยังเน้นการขยายตลาดต่างชาติ โดยเฉพาะในภูมิภาคเอเชีย เช่น ไต้หวัน เกาหลี ฮ่องกง และญี่ปุ่น เพื่อชดเชยความผันผวนของตลาดหลักและสร้างความหลากหลายของนักท่องเที่ยว

ภาพ : บ้านไร่ ไออรุณ baan rai i arun จังหวัดระนอง

เทศกาลและกิจกรรมตลอดทั้งปี

แคมเปญ Season of North 2026 มุ่งเน้นให้ภาคเหนือเป็นจุดหมายที่ “เที่ยวได้ทุกฤดู” ผ่าน 3 มุมความสุขหลัก คือ ฤดูแห่งการให้รางวัลแก่ชีวิต (พักผ่อน/สุขภาพ) ฤดูแห่งการเฉลิมฉลอง (ความสุข/ฮีลใจ) และฤดูแห่งการแบ่งปัน (บอกเล่าเรื่องราวความเป็นเหนือ)

ในช่วงฤดูกาลนี้ ภาคเหนือมีกิจกรรมหลากหลายตลอดปี ไม่ว่าจะเป็นเทศกาลทุเรียนอุตรดิตถ์ งานสีสันดอยตุงและเทศกาลเชียงรายดอกไม้งาม งานแพร่คราฟต์ และเทศกาลใหญ่ในช่วงเดือนพฤศจิกายน อาทิ ยี่เป็งเชียงใหม่ โคมแสนดวงที่เมืองลำพูน ลอยกระทงเผาเทียนเล่นไฟสุโขทัย ลอยกระทงสายตาก และนมัสการพระธาตุดอยกองมู แม่ฮ่องสอน

บทเรียนและแรงบันดาลใจ

กรณีของบ้านไร่ ไออรุณ สะท้อนให้เห็นหลายมิติของการท่องเที่ยวยุคใหม่ ทั้งในด้านการพัฒนาทรัพยากรบุคคลผ่านประสบการณ์จริง การใช้โซเชียลมีเดียเป็นเครื่องมือประชาสัมพันธ์ที่มีประสิทธิภาพ การเชื่อมโยงระหว่างเมืองรองด้วยกัน และการสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจแบบกระจายรายได้สู่ชุมชน

วิโรจน์เล่าถึงที่มาของความฝันในการสร้างบ้านไร่ที่บ้านเกิดว่า “ผมคุยกับพ่อตลอดถึงสิ่งที่อยากทำ แต่กับแม่ผมต้องอ้างไปก่อนว่าจะกลับมาทำงานเป็นสถาปนิกในตัวเมืองระนอง เพราะแม่เป็นแม่ค้าในตลาด ถ้าเพื่อนที่เป็นแม่ค้าด้วยกันรู้เข้า ทุกคนจะแห่ถามแม่ว่า ลูกไปทำงานที่กรุงเทพฯ ไม่ใช่เหรอ แล้วกลับมาทำอะไรที่บ้าน ผมไม่อยากให้แม่ต้องกังวลกับคำถามเหล่านี้ ก็เลยบอกแม่ไปแบบนั้น แต่จริงๆ แล้วผมตั้งใจกลับมาสร้างบ้าน”

ความตั้งใจนั้นประสบผลสำเร็จ จากป่ารกร้างกลายเป็นฟาร์มสเตย์ที่ผสมผสานที่พัก คาเฟ่ ร้านอาหาร และขายของฝากงานแฮนด์เมด กลางสวนผักและผลไม้ เปิดให้บริการทุกวันตั้งแต่ 8.00-20.00 น. และที่สำคัญคือการสร้างทีมงานที่เข้มแข็ง มีพนักงาน 50 คนที่เติบโตไปพร้อมกับธุรกิจ

“ผลลัพธ์ที่ได้มัน คือความสุขทางใจ ไม่ใช่แค่พนักงานนะ นายจ้างอย่างผมใจมันก็ฟูไปด้วย” วิโรจน์กล่าวถึงการพาพนักงานเดินทาง “เดินคนเดียวไปได้ไว แต่เดินได้ไกล ก็ต้องไปด้วยกัน”

ภาพ : บ้านไร่ ไออรุณ baan rai i arun จังหวัดระนอง

มาตรการเสริมอื่นๆ ที่หนุนการท่องเที่ยว

นอกจากมาตรการ “เที่ยวดี มีคืน” สำหรับบุคคลธรรมดาและนิติบุคคลแล้ว รัฐบาลยังมีมาตรการเสริมอื่นๆ อีก 3 มาตรการ ได้แก่ การเร่งรัดเบิกจ่ายค่าใช้จ่ายภาครัฐด้านการฝึกอบรม (Front Load) ตั้งแต่เดือนตุลาคม 2568 – 31 มกราคม 2569 โดยให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นพิจารณาดำเนินการในจังหวัดท่องเที่ยวเมืองรองเป็นลำดับแรก และกำหนดให้เร่งรัดการเบิกค่าใช้จ่ายไม่น้อยกว่า 60% ของวงเงิน

มาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนการปรับปรุงโรงแรมที่พัก ระหว่าง 29 ตุลาคม 2568 – 31 มีนาคม 2569 ให้หักรายจ่ายการต่อเติม เปลี่ยนแปลง ขยายออก หรือทำให้ดีขึ้นซึ่งทรัพย์สินที่เกี่ยวเนื่องกับกิจการได้ 2 เท่าของรายจ่ายที่จ่ายจริง ซึ่งจะช่วยให้ผู้ประกอบการที่พักมีแรงจูงใจในการพัฒนาคุณภาพที่พัก

และมาตรการลดอัตราภาษีกิจกรรมบันเทิง ตั้งแต่ 1 มกราคม – 31 ธันวาคม 2569 สำหรับกิจการบันเทิงหรือหย่อนใจ อาทิ ไนต์คลับ ดิสโกเทค ผับ บาร์ ค็อกเทลเลาจน์ จาก 10% เป็น 5% ซึ่งจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจกลางคืนและดึงดูดนักท่องเที่ยวได้มากขึ้น

ความท้าทายและโอกาสข้างหน้า

แม้ว่าการท่องเที่ยวภาคเหนือจะมีศักยภาพสูง แต่ยังมีความท้าทายที่ต้องเผชิญ โดยเฉพาะการแข่งขันกับจุดหมายปลายทางอื่นๆ ทั้งในและต่างประเทศ ความผันผวนของสภาพอากาศ โดยเฉพาะปัญหาหมอกควันและฝุ่น PM2.5 ในช่วงฤดูแล้ง และการพัฒนาคุณภาพการบริการให้ได้มาตรฐานอย่างต่อเนื่อง

อย่างไรก็ตาม โอกาสก็มีมากมาย ทั้งการเติบโตของตลาดนักท่องเที่ยวจีนและเอเชียตะวันออกที่กำลังฟื้นตัว แนวโน้มการท่องเที่ยวเชิงคุณภาพที่นักท่องเที่ยวยินดีจ่ายมากขึ้นเพื่อประสบการณ์ที่ดี การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการคมนาคม และความหลากหลายของแหล่งท่องเที่ยวที่สามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวได้ตลอดทั้งปี

การมีอินฟลูเอนเซอร์และผู้ประกอบการอย่างวิโรจน์ ที่มีฐานผู้ติดตามจำนวนมากและเลือกมาท่องเที่ยวเชียงราย ถือเป็นโอกาสทองในการประชาสัมพันธ์ที่มีประสิทธิภาพสูง เพราะเป็นการสื่อสารแบบ organic ที่มีความน่าเชื่อถือมากกว่าการโฆษณาแบบดั้งเดิม

ภาพ : บ้านไร่ ไออรุณ baan rai i arun จังหวัดระนอง

เชียงราย แบบจำลองของการท่องเที่ยวเมืองรองที่ประสบความสำเร็จ

เชียงรายถือเป็นตัวอย่างที่น่าสนใจของการพัฒนาการท่องเที่ยวเมืองรอง จากจังหวัดที่เคยถูกมองว่าเล็กที่สุดในภาคเหนือ กลายเป็นจุดหมายปลายทางที่ได้รับความนิยมเพิ่มมากขึ้น ด้วยจุดเด่นหลายประการ

ประการแรกคือความหลากหลายของแหล่งท่องเที่ยว ทั้งธรรมชาติอันงดงามบนพื้นที่ภูเขาสูง วัดวาอารามที่มีสถาปัตยกรรมเป็นเอกลักษณ์ ไร่กาแฟและไร่ชาบนดอยสูง ฟาร์มแกะและสวนดอกไม้นานาพันธุ์ และวัฒนธรรมของกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ ที่อาศัยอยู่ในพื้นที่

ประการที่สองคือการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ทั้งสนามบินที่เริ่มมีเที่ยวบินระหว่างประเทศเพิ่มขึ้น ถนนและการคมนาคมที่สะดวกขึ้น และที่พักหลากหลายรูปแบบตั้งแต่โรงแรมระดับหรูจนถึงโฮมสเตย์ชุมชน

ประการที่สามคือคุณภาพการบริการที่ดี ดังที่วิโรจน์ให้ความเห็นว่า “พี่ๆพนักงานที่โรงแรม น่ารักมากดูแลพวกเราเป็นอย่างดี มีพวงมาลัยรอต้อนรับ มีการ์ดเขียนวางไว้บนที่นอนทุกห้อง ทุกคนประทับใจในงานบริการมากครับ” การบริการที่เป็นเลิศนี้คือสิ่งที่สร้างความประทับใจและทำให้นักท่องเที่ยวอยากกลับมาอีก

บทส่งท้าย เมื่อการท่องเที่ยวกลายเป็นการลงทุนในคน

เรื่องราวของวิโรจน์และทีมงาน 50 คนจากบ้านไร่ ไออรุณ สะท้อนให้เห็นมิติใหม่ของการท่องเที่ยว ที่ไม่ได้เป็นเพียงการพักผ่อนหย่อนใจ แต่เป็นการลงทุนในการพัฒนาคน การเรียนรู้ และการสร้างแรงบันดาลใจ

การเดินทาง 1,406 กิโลเมตร ข้ามจากจังหวัดเล็กที่สุดในภาคใต้มาสู่เมืองรองของภาคเหนือ ไม่ได้เป็นเพียงตัวเลขระยะทาง แต่เป็นการเชื่อมโยงเครือข่ายการท่องเที่ยวระหว่างเมืองรองด้วยกัน การสร้างความเข้าใจและแบ่งปันประสบการณ์ระหว่างผู้ประกอบการธุรกิจที่พักในพื้นที่ต่างๆ และที่สำคัญคือการประชาสัมพันธ์ที่มีพลังผ่านโซเชียลมีเดีย

จากผู้ติดตาม 1 ล้านคน ที่ได้เห็นภาพความสวยงามของเชียงราย ความอบอุ่นของการต้อนรับ และรอยยิ้มของทีมงานที่มีความสุขกับการเดินทาง กลายเป็นแรงจูงใจให้คนอื่นๆ อยากมาสัมผัสประสบการณ์เดียวกัน นี่คือพลังของการท่องเที่ยวแบบ storytelling ที่มีประสิทธิภาพมากกว่าการโฆษณาแบบเดิมๆ

ด้วยการสนับสนุนจากมาตรการภาครัฐอย่าง “เที่ยวดี มีคืน” ที่ให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีสูงสุดถึง 1.5 เท่าสำหรับเมืองรอง และแคมเปญ “Season of North 2026” ที่มุ่งส่งเสริมการท่องเที่ยวตลอดทั้งปี ย่อมเป็นแรงผลักดันสำคัญที่จะทำให้เกิดกรณีศึกษาแบบนี้มากขึ้นในอนาคต

สำหรับวิโรจน์และทีมงาน พวกเขาได้กลับมาเปิดให้บริการอีกครั้งในวันที่ 1 พฤศจิกายน 2568 พร้อมจัดดอกไม้และตกแต่งสถานที่ให้สวยงาม พร้อมต้อนรับนักท่องเที่ยวที่จะเดินทางมาเยือน บ้านไร่ ไออรุณ ในจังหวัดระนอง ด้วยการบริการที่ดียิ่งขึ้น จากประสบการณ์และแรงบันดาลใจที่ได้รับจากการเดินทางครั้งนี้

“โคตรภูมิใจ” คำพูดสั้นๆ ที่วิโรจน์ใช้สรุปทริปนี้ สะท้อนถึงความรู้สึกของผู้ประกอบการรายเล็กที่กล้าตัดสินใจลงทุนในคน และได้เห็นรอยยิ้มความสุขของพนักงานทุกคนที่ได้ออกไปสัมผัสโลกกว้าง ครั้งหนึ่งในชีวิตที่ไม่มีวันลืม บนยอดดอยแห่งเชียงราย จังหวัดเมืองรองเหนือสุดของประเทศไทย

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI

เชียงรายทะยาน! หลังรัฐใช้มาตรการภาษีท่องเที่ยว เมืองรอง กระตุ้นเงินสะพัด 3.5 หมื่นล้าน

เที่ยวไทยลดหย่อนภาษี” เขย่าดีมานด์ปลายปี—เชียงรายฉวยจังหวะกวาดรายได้ 3.59 หมื่นล้าน ใน 9 เดือนแรก จ่ออัพไซด์อีกระลอกหากมาตรการเดินหน้าเต็มรูปแบบ

เชียงราย, 15 ตุลาคม 2568 — ลมหนาวกำลังขยับตัวลงสู่ดอยนางนอน ขณะที่แสงเช้ายังแตะยอดชาเพียงบางส่วน ข่าวดีที่เดินทางมาพร้อมอากาศเย็นคือ “โอกาสทางเศรษฐกิจ” ของเชียงราย เมื่อ คณะกรรมการนโยบายเศรษฐกิจ (ครม.เศรษฐกิจ) มีมติเห็นชอบ มาตรการกระตุ้นท่องเที่ยวผ่านสิทธิลดหย่อนภาษี นำค่าใช้จ่ายท่องเที่ยวมาหักภาษีได้ สูงสุด 20,000 บาท กำหนดช่วงใช้สิทธิ 29 ต.ค.–15 ธ.ค. ซึ่งพ้องกับหน้าท่องเที่ยวปลายปีโดยตรง

สำหรับ “เมืองรอง” อย่างเชียงราย มาตรการยังให้น้ำหนักเป็นพิเศษด้วย ตัวคูณ 1.5 เท่า สำหรับค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นในพื้นที่เมืองรอง เพิ่มแรงดึงดูดให้เงินสะพัดกระจายสู่ชุมชนมากขึ้น ขณะเดียวกัน ฝั่งผู้ประกอบการโรงแรมในเมืองรองยังจะได้สิทธินำค่าใช้จ่าย ปรับปรุงโรงแรม” หักภาษีได้ 2 เท่า (เช่น ติดตั้งเครื่องปรับอากาศ ปรับปรุงระบบพลังงานสะอาดอย่างโซลาร์ ฯลฯ) เพื่อยกระดับคุณภาพบริการและลดต้นทุนในระยะยาว

ภาพรวม 9 เดือนแรกของปี 2568 (ม.ค.–ก.ย.) เชียงรายสร้างรายได้จากการท่องเที่ยว 35,926 ล้านบาท เป็น อันดับ 2 ของภาคเหนือ รองจากเชียงใหม่ที่ 78,249 ล้านบาท ตัวเลขดังกล่าวไม่เพียงยืนยันศักยภาพของจังหวัดในฐานะ “ดาวเด่นเมืองรอง” หากยังส่งสัญญาณว่ามาตรการลดหย่อนภาษีปลายปีนี้ อาจกลายเป็นตัวเร่ง (catalyst) ให้กราฟรายได้พุ่งขึ้นอีกระลอกในช่วงเวลาเพียง 48 วันของการใช้สิทธิ—ช่วงเวลาสั้นแต่ทรงพลังในปฏิทินท่องเที่ยวไทย

ทำไม “ลดหย่อนภาษีท่องเที่ยว” ถึงถูกมองว่าเป็น Quick Big Win

ปัญหาตั้งต้นที่ครม.เศรษฐกิจมองเห็น คือ สัญญาณการใช้จ่ายด้านท่องเที่ยวที่ชะลอ โดยมีดัชนีบางตัวติดลบราว 8% เทียบฐานก่อนหน้า ขณะเดียวกัน ภาคส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจซึ่งมีงบฝึกอบรมสัมมนาปีละกว่า 3,000 ล้านบาท มักเร่งใช้ในไตรมาสสุดท้ายจน “กระจุกเวลา” และเกิด งบเหลื่อมปี ในสัดส่วนสูงอย่างที่เพิ่งเกิดขึ้นปีที่ผ่านมา

สูตรคลี่คลาย จึงมาพร้อมกัน 3 ชุด

  • หักลดหย่อนภาษีท่องเที่ยว” เพื่อดึงกำลังซื้อประชาชนเข้าสู่ตลาดทันที
  • “Front Load สัมมนา” สั่งเร่งเบิกจ่ายงบสัมมนาให้ได้ 60% ภายในเดือนมกราคม เปลี่ยนพฤติกรรม “ไปสิ้นปี” ให้มา “ฉีดเม็ดเงินเร็วขึ้น”
  • แรงจูงใจผู้ประกอบการ” ผ่านหักภาษี 2 เท่า สำหรับการลงทุนปรับปรุงโรงแรม โดยเฉพาะในเมืองรอง ที่รัฐต้องการให้เกิดการยกระดับคุณภาพรองรับดีมานด์ใหม่

เมื่อนำ 3 คันโยกนี้ทำงานพร้อมกัน ผลที่คาดหวังคือ ดีมานด์ฝั่งนักท่องเที่ยวเพิ่ม (จากสิทธิลดหย่อน), ดีมานด์ฝั่งสัมมนารัฐเพิ่ม (จากการ front load), และ ซัพพลายคุณภาพเพิ่ม (จากการลงทุนปรับปรุงโรงแรม) ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นใน ไฮซีซันของเชียงราย ที่ปกติมีปริมาณนักท่องเที่ยวหนาแน่นอยู่แล้ว—จึงเป็นเหตุผลที่นโยบายถูกจัดอยู่ในหมวด Quick Big Win ทำช่วงสั้น แต่ให้ผลกว้างและเร็ว

เชียงรายในสมรภูมิแย่งชิงเม็ดเงินท่องเที่ยว “เมืองรอง” ที่ฟอร์มแรง

ข้อมูลรายได้ท่องเที่ยว 17 จังหวัดภาคเหนือ (ม.ค.–ก.ย. 2568) สะท้อนภาพที่น่าสนใจ

  1. เชียงใหม่ 78,249 ล้านบาท
  2. เชียงราย 35,926 ล้านบาท
  3. เพชรบูรณ์ 7,174 ล้านบาท
  4. พิษณุโลก 6,989 ล้านบาท
  5. ตาก 5,913 ล้านบาท
  6. นครสวรรค์ 5,124 ล้านบาท
  7. แม่ฮ่องสอน 4,856 ล้านบาท
  8. ลำปาง 3,991 ล้านบาท
  9. น่าน 3,298 ล้านบาท
  10.  สุโขทัย 2,623 ล้านบาท
  11. แพร่ 2,344 ล้านบาท
  12. อุตรดิตถ์ 1,864 ล้านบาท
  13. พะเยา 1,846 ล้านบาท
  14. ลำพูน 1,481 ล้านบาท
  15. กำแพงเพชร 1,428 ล้านบาท
  16. อุทัยธานี 1,343 ล้านบาท
  17. พิจิตร 1,203 ล้านบาท

สองตัวเลขแรก แสดง “ความต่างเชิงสเกล” ระหว่างเมืองหลักและเมืองรอง แต่สิ่งที่ทำให้เชียงรายโดดเด่นคือ อัตราเร่งของเม็ดเงิน ที่เติบโตตามโครงสร้างใหม่—ตั้งแต่ สนามบิน–โลจิสติกส์–ที่พัก–สินค้าเชิงวัฒนธรรม–ชายแดนเศรษฐกิจ ไปจนถึงแลนด์มาร์คธรรมชาติ–ศิลปะร่วมสมัย ที่สร้าง “เหตุผลซ้ำ” ให้คนกลับมาเยือน ประเทศไทยเคยพิสูจน์มาแล้วว่า นโยบายภาษีท่องเที่ยว เมื่อออกแบบคมและสื่อสารชัด สามารถสร้างแรงโค้ง (curvature) ให้กราฟรายได้พลิกขึ้นได้ในระยะสั้นโดยไม่ต้องใช้งบประมาณก้อนใหม่จำนวนมาก

สำหรับเชียงราย เมื่อตัวคูณ 1.5 เท่า เปิดใช้งานกับค่าใช้จ่ายท่องเที่ยวที่เกิดขึ้นในพื้นที่เมืองรอง เช่น ค่าที่พัก ค่าอาหาร บริการนำเที่ยว (ตามหลักเกณฑ์ที่จะประกาศโดยกรมสรรพากร) เม็ดเงินของนักท่องเที่ยวชาวไทย อาจถูก “รีรูต” จากเมืองหลักมาสู่เชียงราย มากขึ้น—โดยเฉพาะกลุ่ม “นักเดินทางสายวางแผน” ที่ต้องการเอกสารค่าใช้จ่ายชัดเจนสำหรับยื่นภาษีปลายปี

เสียงนโยบายจากส่วนกลาง “ทำสั้น ทำให้ใหญ่ ประชาชนได้ประโยชน์”

นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยหลังการประชุมครม.เศรษฐกิจว่า มาตรการนี้ออกแบบให้ ประชาชนทั่วไปนำค่าใช้จ่ายท่องเที่ยวมาหักภาษีได้สูงสุด 20,000 บาท และ ถ้าเดินทางเมืองรองจะหักได้ 1.5 เท่า (เช่น ใช้จ่าย 10,000 บาท หักได้ 15,000 บาท) ขณะเดียวกัน รัฐยังขอให้ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจ front load การสัมมนา-ฝึกอบรม อย่างน้อย 60% ภายในเดือนมกราคม เพื่ออัดฉีดดีมานด์ระยะสั้น ส่วนด้านซัพพลาย มาตรการ หักภาษี 2 เท่า สำหรับค่าใช้จ่ายปรับปรุงโรงแรม—โดยเฉพาะงานที่หนุนความยั่งยืน เช่นโซลาร์—ถูกผลักดันเพื่อให้ผู้ประกอบการกล้าลงทุนยกระดับคุณภาพและประหยัดพลังงานมากขึ้น

สาระสำคัญอีกด้านคือ การปรับลดภาษีสถานบริการจาก 10% เหลือ 5% โดยกรมสรรพสามิตและกระทรวงมหาดไทยร่วมกันผลักดัน เพื่อจูงใจให้ผู้ประกอบการ เข้าระบบ” และได้สิทธิภาษีตามกฎหมาย ควบคู่กับการตั้ง KPI การเบิกจ่ายภาครัฐ ทั้งปีไม่ต่ำกว่า 93% (และงบลงทุนไม่ต่ำกว่า 75%) ลดปัญหา “กันเหลื่อมปี” มูลค่าสูง

แกนคิดของนโยบาย  “Quick Big Win ทำสั้น ทำให้ใหญ่ และประชาชนได้ประโยชน์—โดยเฉพาะในช่วงเวลาจำกัดก่อนการยุบสภา” ซึ่งสะท้อนแรงขับเคลื่อนเชิงเวลาอย่างชัดเจน

เชียงรายคว้าโอกาสอย่างไร จาก “สิทธิของคนไทย” สู่ “รายได้ของท้องถิ่น”

  1. ตั้งโต๊ะข้อมูล—ทำโปรแกรม “เที่ยวเชียงรายให้คุ้มภาษี”
    ภาครัฐและเอกชนในพื้นที่ควรทำ ชุดข้อมูลพร้อมใช้ สำหรับนักท่องเที่ยวไทย เส้นทาง–ที่พัก–ร้านอาหาร–กิจกรรม–ค่าใช้จ่ายประมาณการ–จุดรับใบกำกับภาษีเต็มรูปแบบ พร้อม “Checklist เอกสาร” สำหรับยื่นหักภาษี (ใบกำกับภาษี/ใบเสร็จรับเงิน/หลักฐานชำระเงิน) แพ็กเป็นหน้าเดียวดาวน์โหลดได้ เพื่อให้ การตัดสินใจเดินทางเร็วขึ้น และลดความเสี่ยงเอกสารไม่ครบ
  2. กระตุ้นตลาดสัมมนา (MICE) ด้วย Front Load
    เชียงรายมีความพร้อมเชิงโครงสร้างพื้นฐาน (สนามบิน, ศูนย์ประชุม, ที่พักหลายระดับราคา) การเน้นขาย แพ็กเกจสัมมนา–ศึกษาดูงาน ที่มีโปรแกรมความยั่งยืน (เยี่ยมชมแหล่งเรียนรู้อาชีพ, กิจกรรม CSR ปลูกป่า–เก็บขยะ, เส้นทางกาแฟ–ชา) จะตอบโจทย์ทั้ง KPI เบิกจ่าย ของหน่วยงานและ ภาพลักษณ์องค์กร ไปพร้อมกัน
  3. สองเท่าเพื่อโรงแรม”—ลงทุนที่ลดต้นทุนระยะยาว
    โอกาสของผู้ประกอบการโรงแรมอยู่ที่ การคัดโครงการลงทุนที่คืนทุนไว และมีเอกสารครบถ้วนตามเกณฑ์ภาษี เช่น โซลาร์รูฟ–ระบบน้ำร้อนพลังงานแสงอาทิตย์–ประตูคีย์การ์ดประหยัดไฟ–ฉนวนกันความร้อน–ปรับปรุงเครื่องปรับอากาศประหยัดพลังงาน พร้อมจัดระบบเอกสารเพื่อใช้สิทธิได้เต็มมูลค่า
  4. แผนสื่อสาร “เมืองรอง x 1.5 เท่า” เจาะกลุ่มมนุษย์เงินเดือน
    กลุ่มผู้เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา (ฐานภาษีกลาง–บน) คือตลาดหลักของมาตรการนี้ เชียงรายควรสื่อสารแบบ ตรงกลุ่ม ผ่านบริษัท–สมาคมวิชาชีพ–เครือข่าย HR—ด้วยข้อความง่าย ๆ ว่า “พาเพื่อนไปเชียงรายช่วง 29 ต.ค.–15 ธ.ค. ใช้สิทธิ 1.5 เท่าได้” พร้อมลิงก์ดาวน์โหลด “แพ็กคู่มือภาษีท่องเที่ยวเชียงราย”

คำถาม–คำตอบที่ประชาชนอยากรู้ 

  • ใช้สิทธิอะไรได้บ้าง?
    โดยหลัก “ค่าใช้จ่ายท่องเที่ยว” ครอบคลุมที่พัก บริการท่องเที่ยว และค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้อง ซึ่ง ต้องรอประกาศหลักเกณฑ์จากกรมสรรพากร ระบุรายการและเอกสารที่ยอมรับอย่างชัดเจน
  • ทำไมต้องขอใบกำกับภาษีเต็มรูปแบบ?
    เพราะ ภาษีเป็นกฎหมายเอกสาร ใบกำกับภาษี (เต็มรูปแบบ) ตามมาตรา 86/4 เป็นหลักฐานสำคัญในการหักลดหย่อน ภาคเอกชนควรเตรียมระบบออกเอกสารถูกต้อง พร้อม e-Receipt/e-Tax Invoice เพื่อลดปัญหาตกหล่น
  • ถ้าไม่มีภาษีต้องจ่าย (รายได้ต่ำ) ยังได้ประโยชน์ไหม?
    ผู้ที่ไม่มีภาระภาษีปลายปี อาจไม่ได้ประโยชน์ทางภาษีโดยตรง แต่ยังได้ประโยชน์จากโปรโมชันที่ผู้ประกอบการทำตามแคมเปญ ทั้งนี้รัฐอาจมีมาตรการอื่นประกอบในอนาคต—ต้องติดตามมติ ครม. และประกาศทางการ
  • ตัวคูณ 1.5 เท่าใช้กับทุกจังหวัดเมืองรองหรือไม่?
    หลักการคือ “ค่าใช้จ่ายเกิดขึ้นในเมืองรอง” จึงได้ตัวคูณ 1.5 เท่า รายชื่อเมืองรอง ต้องยึดตามประกาศทางการ ที่จะออกมาพร้อมหลักเกณฑ์

ความเสี่ยงที่ต้องจับตา ทำเร็ว—แต่ต้องแม่น

  1. ไทม์ไลน์–รายละเอียดกฎหมาย
    แม้มติครม.เศรษฐกิจเห็นชอบหลักการแล้ว แต่ การบังคับใช้จริงต้องผ่าน ครม. และประกาศกรมสรรพากร ระบุรายการ–เงื่อนไข–ประเภทเอกสาร—หน่วยงานท้องถิ่นและเอกชนต้อง สื่อสารแบบมีเงื่อนไข ว่า “ใช้สิทธิตามหลักเกณฑ์ที่จะประกาศ” เพื่อลดความสับสน
  2. ความพร้อมเอกสารของผู้ประกอบการรายเล็ก
    ร้านอาหาร–โฮมสเตย์–ทัวร์ท้องถิ่นบางแห่ง ยังไม่มีระบบ e-Tax ควรได้รับการช่วยเหลือเชิงเทคนิคอย่างเร่งด่วน เช่น คลินิกภาษีเคลื่อนที่ ร่วมกับสำนักงานสรรพากรพื้นที่–หอการค้าจังหวัด–ททท. เพื่อให้ เม็ดเงินสิทธิภาษีไม่รั่วไหลเพราะเอกสารไม่ครบ
  3. กำลังรองรับไฮซีซัน
    หากดีมานด์พุ่งเร็ว ที่พัก–การคมนาคม–สถานที่ท่องเที่ยวต้อง บริหารสมดุล ระหว่างปริมาณ–คุณภาพ–ความปลอดภัย เช่น แผนจราจร–ที่จอดรถ–การจัดการขยะ–ห้องน้ำสาธารณะ—ทั้งหมดคือ “ประสบการณ์รวม” ที่กำหนดการกลับมาเยือน

มุมมองเศรษฐกิจท้องถิ่น 1 บาทของนักท่องเที่ยว หมุนเป็นกี่บาทในชุมชน

งานวิจัยด้านท่องเที่ยวจำนวนมากชี้ว่า ตัวคูณทางเศรษฐกิจ (tourism multiplier) ของเมืองรองมักสูงกว่าค่าเฉลี่ย เพราะเงินส่วนใหญ่กระจายสู่ SMEs และชุมชน ทั้งร้านอาหารท้องถิ่น–รถเช่า–งานฝีมือ–ไกด์ท้องถิ่น ในเชียงรายซึ่งมีฐานผู้ประกอบการสร้างสรรค์จำนวนมาก (กาแฟ–ชา–ศิลปะ–งานจักสาน–สิ่งทอ) มาตรการที่ ขยับคนให้เดินทาง” จึงเท่ากับ ขยับเศรษฐกิจฐานราก” ในทันที

โดยเฉพาะเมื่อจับคู่กับ ตลาดสัมมนา ที่กำลังถูก front load หากหน่วยงานรัฐเลือกเชียงรายเป็นที่จัดกิจกรรม สกุลเงินที่ไหลเข้ามักมีสัดส่วนใช้จ่ายต่อหัวสูงกว่า ทริปสั้นของครอบครัว และยังสร้างอุปสงค์ให้ห่วงโซ่อุปทาน บริการคุณภาพ เช่น รถบัสมาตรฐานสูง–ล่าม–ทีมเทคนิค–อุปกรณ์ประชุม—ช่วยยกระดับ ecosystem ท้องถิ่นให้เข้มแข็งขึ้น

เชียงรายต้อง “ขายอะไร” ใน 48 วันทองของภาษีท่องเที่ยว

  • เส้นทางลมหายใจปลายปี แม่ฟ้าหลวง–ดอยตุง–ไร่ชาฉุยฟง–ดอยผาหมี–สามเหลี่ยมทองคำ–เชียงแสน—แพ็กเป็น “วันธรรมชาติ x วันวัฒนธรรม” พร้อมจุดซื้อของฝากชุมชนและร้านอาหารที่ออกใบกำกับภาษีได้
  • สายศิลป์–กาแฟ พิพิธภัณฑ์–แกลเลอรี–สตรีทอาร์ต–คาเฟ่กาแฟพิเศษ—เชื่อมเป็น “ถนนศิลปิน” ในเมือง (เดินได้–ถ่ายรูปสวย–เอกสารครบ)
  • MICE x GREEN แพ็กเกจสัมมนาเช้า–บ่ายเยี่ยมชมแหล่งเรียนรู้กาแฟ/ชา/เกษตรอัจฉริยะ–เย็นงานชื่นใจในชุมชน ภายใต้แนวคิด Low-carbon Meeting มีรายงานคาร์บอนฟุตพริ้นท์เป็นของที่ระลึกองค์กร
  • เส้นทางข้ามพรมแดน เชื่อมด่านพรมแดนเชียงของ–โครงสร้างพื้นฐานใหม่ (เช่น ทางคู่เด่นชัย–เชียงของที่อยู่ระหว่างก่อสร้าง)—แม้ยังไม่เปิดใช้ แต่การ เล่าอนาคต สร้างแรงจูงใจให้ผู้ลงทุนและนักท่องเที่ยว “มองเชียงรายเป็นฮับ” ระยะยาว

ทำให้ “สิทธิ” กลายเป็น “รายได้” อย่างเที่ยงธรรมและยั่งยืน

มาตรการ เที่ยวไทยลดหย่อนภาษี” ที่ครม.เศรษฐกิจเห็นชอบหลักการ กำลังเปิด หน้าต่างเวลา 48 วัน ที่มีความหมายต่อเศรษฐกิจเชียงรายอย่างยิ่ง ตัวเลข 35,926 ล้านบาท ใน 9 เดือนแรกของปีคือฐานที่แข็งแรงอยู่แล้ว แต่การจะแปลง สิทธิของผู้เสียภาษี ให้กลายเป็น รายได้ของจังหวัด จำเป็นต้องอาศัย 3 คีย์เวิร์ด เร็ว–ชัด–ครบเอกสาร

  • เร็ว ในการสื่อสารแพ็กเกจ “เที่ยวเชียงรายให้คุ้มภาษี” สู่กลุ่มเป้าหมาย
  • ชัด ในการระบุเงื่อนไขว่าทุกอย่างเป็นไปตาม ประกาศกรมสรรพากร ที่จะออกมา
  • ครบเอกสาร ในฝั่งผู้ประกอบการ เพื่อให้ผู้บริโภค “ใช้สิทธิได้จริง”

หากเชียงรายทำได้ครบ ภาพที่เราจะเห็นหลังสิ้นสุดมาตรการไม่ใช่เพียง คูปองภาษีที่ถูกใช้หมด แต่คือ SMEs ที่แข็งแรงขึ้น—มาตรฐานบริการที่ดีขึ้น—ทรัพยากรท้องถิ่นที่ถูกเล่าอย่างภาคภูมิ และ เมืองรองที่ยืนอย่างสง่างามในสมรภูมิท่องเที่ยวไทย

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา
  • กระทรวงการคลัง
  • กรมสรรพากร
  • กรมสรรพสามิต & กระทรวงมหาดไทย
  • สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.)
  • ททท. (การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย) สำนักงานเชียงราย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI EDITORIAL

ผู้ว่าฯ เชียงราย ประหยัด สมานมิตร วาระสั้นสุด 4 เดือน 20 วัน

“4 เดือน 20 วัน” ที่เปลี่ยนความทรงจำของเมือง ไขปริศนา ‘ผู้ว่าฯ วาระสั้นที่สุด’ แห่งเชียงราย กับเหตุซุ่มโจมตีกลางยุคคอมมิวนิสต์ และความหมายของคำว่า ‘เสียสละ’ บนพรมแดนลุ่มน้ำโขง

เชียงราย, 13 ตุลาคม 2568 — หากนับรายชื่อผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงรายจากอดีตถึงปัจจุบัน มีทั้งผู้ว่าฯ ที่พาเมืองผ่านยุคเปลี่ยนผ่านเศรษฐกิจชายแดน GMS ยุคท่องเที่ยวเฟื่องฟู จนถึงยุคภัยพิบัติและโรคระบาด แต่มีเพียง “หนึ่งชื่อ” ที่ทำให้คนท้องถิ่นเมื่อเอ่ยถึงแล้วเงียบลงชั่วอึดใจ—นายประหยัด สมานมิตร” ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงรายซึ่งดำรงตำแหน่ง สั้นที่สุด เท่าที่บันทึกโดยละเอียดระบุไว้ 4 เดือน 20 วัน ก่อนจะจากไป ระหว่างปฏิบัติหน้าที่ ในวันที่ 20 กันยายน 2513

นี่ไม่ใช่สถิติเพื่อจดจำ “ความสั้น” ของวาระทำงาน แต่เป็น แผลเป็นร่วมของเมือง ที่เชื่อมคำว่า “ผู้ว่าฯ” เข้ากับคำว่า ชีวิตและความเสี่ยง”—ภาพซุ่มโจมตีที่ บ้านห้วยกว้าน อ.เชียงแสน เมื่อ 50 กว่าปีก่อน มิใช่เพียงเรื่องเล่าริมฝั่งโขง แต่แปรสภาพเป็น อนุสรณ์สถานสามผู้กล้า สำหรับผู้คนที่ยังคงสัญจรผ่าน เพื่อทบทวนว่าบทบาทผู้ว่าฯ นอกเหนือจากการอนุมัติโครงการและประชุมส่วนราชการ คือการ นำหน้า ในพื้นที่ที่ ไม่แน่นอน และพร้อม “เดินเข้าไป” เมื่อรัฐต้องเจรจากับความขัดแย้ง

ทำไม “วาระสั้น” จึงสำคัญต่อประวัติศาสตร์เมือง

เชียงรายไม่ใช่เพียงเมืองท่องเที่ยวหรือประตูการค้า แต่เป็น พื้นที่ประวัติศาสตร์ความมั่นคง มีพรมแดนติดลาวและใกล้พม่า อยู่ในเครือข่ายลุ่มน้ำโขงที่วัฒนธรรม เศรษฐกิจนอกระบบ และความขัดแย้งเคยปะทะกันอย่างซับซ้อน การ “ดำรงตำแหน่งสั้นที่สุด” ของผู้ว่าฯ จึงไม่ใช่เรื่องหมุนเวียนตำแหน่งธรรมดา แต่เป็น จุดยอดสามเหลี่ยม ของระบบราชการ—ตำแหน่งบริหารสูงสุดระดับจังหวัดที่ ยอมเสี่ยงชีวิต เพื่อให้กระบวนการรัฐเดินหน้าบนพื้นที่จริง

ข้อมูลลำดับรายชื่อผู้ว่าฯ ที่เรียงต่อกันจาก ยุค “เจ้าเมือง” สู่ ยุค “ผู้ว่าราชการจังหวัด” เผย “พิกัดเวลา” ของเมืองแห่งนี้ ตั้งแต่ เจ้าหลวงธรรมลังกา (พ.ศ. 2386–2407) สู่ พระยารัตนาณาเขต (พ.ศ. 2433–2442) จนถึงผู้ว่าฯ ในระบอบปกครองสมัยใหม่หลายสิบคน—บางคนอยู่ครบวาระยาว บางคนหมุนเวียนรวดเร็วด้วยเหตุผลด้านโยกย้ายราชการ แต่ กรณีปี 2513 มี “เงื่อนไขพิเศษ” ที่ประวัติศาสตร์ต้องจารึก ผู้ว่าฯ เสียชีวิตระหว่างปฏิบัติหน้าที่ใน ยุคความรุนแรงซ่อนเร้น ของขบวนการคอมมิวนิสต์ภาคเหนือ

ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงรายคนที่ 28 นายประหยัด สมานมิตร 1 พ.ค. พ.ศ. 2513 - 20 ก.ย. พ.ศ. 2513 (1 พ.ค. 1970 - 20 ก.ย. 1970)

รายนามผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงรายตั้งแต่อดีต

  1. เจ้าหลวงธรรมลังกา (ตำแหน่งเจ้าเมือง) พ.ศ. 2386 – 2407 (ค.ศ. 1843 – 1864)
  2. เจ้าหลวงฮุนเรือน (ตำแหน่งเจ้าเมือง) พ.ศ. 2407 – 2419 (ค.ศ. 1864 – 1876)
  3. เจ้าหลวงสุริยะ (ตำแหน่งเจ้าเมือง) พ.ศ. 2419 – 2433 (ค.ศ. 1876 – 1890)
  4. พระยารัตนาณาเขต (ตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัด) พ.ศ. 2433 – 2442 (ค.ศ. 1890 – 1899)
  5. พระพลอาษา พ.ศ. 2442 – 2445 (ค.ศ. 1899 – 1902)
  6. หลวงอาษาภูธร พ.ศ. 2445 – 2446 (ค.ศ. 1902 – 1903)
  7. พระยารามราชภักดี พ.ศ. 2447 – 2450 (ค.ศ. 1904 – 1907)
  8. พระยาอุดรกิจภูบาล พ.ศ. 2450 – 2453 (ค.ศ. 1907 – 1910)
  9. พระยารามราชเดช (ศุข ดิษยบุตร) พ.ศ. 2453 – 2458 (ค.ศ. 1910 – 1915)
  10. พระราชยา (เจิม ปันยารชุน) พ.ศ. 2458 – 2460 (ค.ศ. 1915 – 1917)
  11. พระยาราชดำรง (ผล ศรุตานนท์) พ.ศ. 2460 – 2479 (ค.ศ. 1917 – 1936)
  12. พระพนมครานุรักษ์ (ฮกไถ่ พิศาลบุตร) พ.ศ. 2479 – 2482 (ค.ศ. 1936 – 1939)
  13. พ.ต.อ. พระยานรากรบริรักษ์ พ.ศ. 2482 – 2485 (ค.ศ. 1939 – 1942)
  14. หลวงรักษ์นราธร (โชค ชมธวัช) พ.ศ. 2485 – 2487 (ค.ศ. 1942 – 1944)
  15. ขุนไตรกิตยานุกูล (อัมพร กิตยานุกุล) พ.ศ. 2487 – 2489 (ค.ศ. 1944 – 1946)
  16. นายชลอ จารุจินดา พ.ศ. 2489 – 2490 (ค.ศ. 1946 – 1947)
  17. ขุนวิสิฐอุดรการ (กรี วิสิฐอุดรการ) พ.ศ. 2490 – 2491 (ค.ศ. 1947 – 1948)
  18. ขุนสนิทประชาราษฎร์ พ.ศ. 2491 – 2491 (ค.ศ. 1948 – 1948)
  19. นายชลอ จารุจินดา พ.ศ. 2491 – 2492 (ค.ศ. 1948 – 1949)
  20. พ.ต.ท.ขุนวีรเดชกำแหง (ชม จารุสิทธิ์) พ.ศ. 2492 – 2493 (ค.ศ. 1949 – 1950)
  21. พ.ต.เล็ก ทองสุนทร พ.ศ. 2493 – 2497 (ค.ศ. 1950 – 1954)
  22. พ.อ.จำรูญ จำรูญรณสิทธ์ พ.ศ. 2497 – 2498 (ค.ศ. 1954 – 1955)
  23. พ.ต.อ.เลื่อน กฤษณามระ พ.ศ. 2498 – 2500 (ค.ศ. 1955 – 1957)
  24. พ.ต.อ.เนื่อง รายะนาค พ.ศ. 2500 – 2501 (ค.ศ. 1957 – 1958)
  25. นายเครือ สุวรรณสิงห์ พ.ศ. 2501 – 2504 (ค.ศ. 1958 – 1961)
  26. นายชูสง่า ไชยพันธุ์ (ฤทธิประศาสน์) พ.ศ. 2504 – 2512 (ค.ศ. 1961 – 1969)
  27. นายสิทธิ์ สงวนน้อย 20 พ.ค. พ.ศ. 2512 – 30 เม.ย พ.ศ. 2513 (20 พ.ค. 1969 – 30 เม.ย. 1970)
  28. นายประหยัด สมานมิตร 1 พ.ค. พ.ศ. 2513 – 20 ก.ย. พ.ศ. 2513 (1 พ.ค. 1970 – 20 ก.ย. 1970)
  29. นายศรศักดิ์ สุวรรณเทศ 1 ต.ค. พ.ศ. 2513 – 30 ก.ย. พ.ศ. 2514 (1 ต.ค. 1970 – 30 ก.ย. 1971)
  30. พล.ต.วิทย์ นิ่มนวล 1 ต.ค. พ.ศ. 2514 – 30 ก.ย. พ.ศ. 2516 (1 ต.ค. 1971 – 30 ก.ย. 1973)
  31. นายชุม บุญเรือง 1 ต.ค. พ.ศ. 2516 – 27 ส.ค. พ.ศ. 2522 (1 ต.ค. 1973 – 27 ส.ค. 1979)
  32. นายศักดา อ้อพงษ์ 1 ต.ค. พ.ศ. 2522 – 30 ก.ค. พ.ศ. 2525 (1 ต.ค. 1979 – 30 ก.ค. 1982)
  33. นายมนตรี ตระหง่าน 1 ต.ค. พ.ศ. 2524 – 30 ก.ย. พ.ศ. 2528 (1 ต.ค. 1981 – 30 ก.ย. 1985)
  34. นายอร่าม เอี่ยมอรุณ 1 ต.ค. พ.ศ. 2528 – 30 ก.ย. พ.ศ. 2531 (1 ต.ค. 1985 – 30 ก.ย. 1988)
  35. นายบรรณสิทธิ์ สลับแสง 1 ต.ค. พ.ศ. 2531 – 30 เม.ย พ.ศ. 2534 (1 ต.ค. 1988 – 30 เม.ย. 1991)
  36. นายคำรณ บุณเชิด 1 ต.ค. พ.ศ. 2534 – 30 ก.ย. พ.ศ. 2539 (1 ต.ค. 1991 – 30 ก.ย. 1996)
  37. นายวิจารณ์ ไชยนันทน์ 1 ต.ค. พ.ศ. 2539 – 30 ก.ย. พ.ศ. 2542 (1 ต.ค. 1996 – 30 ก.ย. 1999)
  38. นายสำเริง ปุณโยปกรณ์ 1 ต.ค. พ.ศ. 2542 – 30 ก.ย. พ.ศ. 2544 (1 ต.ค. 1999 – 30 ก.ย. 2001)
  39. นายรุงฤทธิ์ มกรพงษ์ 1 ต.ค. พ.ศ. 2544 – 27 ต.ค. พ.ศ. 2545 (1 ต.ค. 2001 – 27 ต.ค. 2002)
  40. นายนรินทร์ พานิชกิจ 28 ต.ค. พ.ศ. 2545 – 30 ก.ย. พ.ศ. 2547 (28 ต.ค. 2002 – 30 ก.ย. 2004)
  41. นายวรเกียรติ สมสร้อย 1 ต.ค. พ.ศ. 2547 – 28 ก.พ. พ.ศ. 2549 (1 ต.ค. 2004 – 28 ก.พ. 2006)
  42. นายอุดม พัวสกุล 5 มิ.ย. พ.ศ. 2549 – 12 พ.ย. พ.ศ. 2549 (5 มิ.ย. 2006 – 12 พ.ย. 2006)
  43. นายอมรพันธุ์ นิมานันท์ 13 พ.ย. พ.ศ. 2549 – 30 ก.ย. พ.ศ. 2550 (13 พ.ย. 2006 – 30 ก.ย. 2007)
  44. นายปรีชา กมลบุตร 1 ต.ค. พ.ศ. 2550 – 5 พ.ค. พ.ศ. 2551 (1 ต.ค. 2007 – 5 พ.ค. 2008)
  45. นายไตรสิทธิ์ สินสมบูรณ์ทอง 6 พ.ค. พ.ศ. 2551 – 15 มีนาคม พ.ศ. 2552 (6 พ.ค. 2008 – 15 มี.ค. 2009)
  46. นายสุเมธ แสงนิ่มนวล 16 มี.ค. พ.ศ. 2552 – 30 ก.ย. พ.ศ. 2553 (16 มี.ค. 2009 – 30 ก.ย. 2010)
  47. นายสมชัย หทยะตันติ 1 ต.ค. พ.ศ. 2553 – 27 พ.ย. พ.ศ. 2554 (1 ต.ค. 2010 – 27 พ.ย. 2011)
  48. นายธานินทร์ สุภาแสน 29 ธ.ค. พ.ศ. 2554 – 5 ต.ค. พ.ศ. 2555 (29 ธ.ค. 2011 – 5 ต.ค. 2012)
  49. นายพงษ์ศักดิ์ วังเสมอ 8 ต.ค. พ.ศ. 2555 – 30 ก.ย. พ.ศ. 2558 (8 ต.ค. 2012 – 30 ก.ย. 2015)
  50. นายบุญสง เตชะมณีสถิตย์ 1 ต.ค. พ.ศ. 2558 – 4 เม.ษ. พ.ศ. 2560 (1 ต.ค. 2015 – 4 เม.ย. 2017)
  51. นายณรงค์ศักดิ์ โอสถธนากร 5 เม.ษ. พ.ศ. 2560 – 29 มิ.ย. พ.ศ. 2561 (5 เม.ย. 2017 – 29 มิ.ย. 2018)
  52. นายประจญ ปรัชญ์สกุล 29 มิ.ย. พ.ศ. 2561 – 30 ก.ย. พ.ศ. 2564 (29 มิ.ย. 2018 – 30 ก.ย. 2021)
  53. นายภาสกร บุญญลักษม์ 1 ต.ค. พ.ศ. 2564 – 1 ธ.ค. พ.ศ. 2565 (1 ต.ค. 2021 – 1 ธ.ค. 2022)
  54. นายพุฒิพงศ์ ศิริมาตย์ 2 ธ.ค. พ.ศ. 2565 – 30 ก.ย. พ.ศ. 2567 (2 ธ.ค. 2022 – 30 ก.ย. 2024)
  55. นายชรินทร์ ทองสุข นายรัฐพล นราดิศร 17 พ.ย. พ.ศ. 2567 – 30 ก.ย. พ.ศ. 2568 (17 พ.ย. 2024 – 30 ก.ย. 2025)
  56. นายรัฐพล นราดิศร 1 ต.ค. พ.ศ. 2568 – ปัจจุบัน (1 ต.ค. 2025 – ปัจจุบัน)

20 กันยายน 2513 นาทีปะทะและ “ความทรงจำสาธารณะ” ที่ก่อตัว

เอกสารบันทึกและคำบอกเล่าที่ถูกรวบรวมภายหลังระบุว่า นายประหยัด สมานมิตร พร้อมด้วย พตท.ศรีเดช ภูมิประหมัน (อดีตผู้กำกับการตำรวจภูธรจังหวัดเชียงราย) และ พ.อ.จำเนียร มีสง่า (อดีตผู้ช่วยหัวหน้ากองข่าว กองทัพภาคที่ 3) เดินทางเพื่อ ภารกิจเจรจา ให้อดีตผู้ก่อการยอมมอบตัวและคืนสู่สังคมตามนโยบายภาครัฐ แต่ระหว่างทาง ถูกซุ่มยิง ที่บ้านห้วยกว้าน ต.บ้านแซว อ.เชียงแสน เหตุการณ์ครั้งนั้นไม่เพียงปลิดชีพเจ้าหน้าที่ระดับสูง 3 นาย หากยังกลายเป็น จุดหักเห ในความสัมพันธ์ระหว่าง “รัฐ–พื้นที่” ให้จำเป็นต้อง ปรับยุทธศาสตร์ การทำงานชายแดนจาก “การปราบปราม” สู่ การพัฒนาและมีส่วนร่วมของชุมชน ในระยะยาว

เพื่อ ไม่ให้ความทรงจำสูญหาย ชุมชนและหน่วยงานในพื้นที่ร่วมกันจัดสร้าง อนุสรณ์สถาน 3 ผู้กล้า ณ จุดเกิดเหตุ ให้กลายเป็น “ห้องเรียนเปิด” สำหรับคนรุ่นหลัง—เตือนความจำว่าความเปราะบางของชายแดนไม่ได้เป็นเพียงแผนที่ หากเป็น ชีวิตของคนทำงานภาครัฐ ที่ต้องเดินเข้าไปในพื้นที่เสี่ยงเพื่อปิด “รอยรั่ว” ของสังคม

ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงรายคนที่ 56. นายรัฐพล นราดิศร 1 ต.ค. พ.ศ. 2568 - ปัจจุบัน (1 ต.ค. 2025 - ปัจจุบัน)

บทบาทผู้ว่าราชการจังหวัด มากกว่าผู้บริหารบนโต๊ะประชุม

ตาม พระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. 2534 ผู้ว่าราชการจังหวัดคือ หัวหน้าบังคับบัญชาราชการส่วนภูมิภาค ในเขตจังหวัด มีหน้าที่รับนโยบายจากคณะรัฐมนตรี กระทรวง ทบวง กรม และนายกรัฐมนตรี นำมาปรับใช้ให้เหมาะกับพื้นที่ (มาตรา 54) พร้อมอำนาจกำกับดูแลองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นตามกฎหมาย และมีบทบาทสำคัญด้าน ความมั่นคง–สาธารณภัย ในฐานะ ผู้อำนวยการจังหวัด ตามกฎหมายป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย

กล่าวอีกนัยหนึ่ง—ผู้ว่าฯ ไม่ได้ยืนอยู่บน แผนพัฒนา อย่างว่างเปล่า แต่ยืนอยู่บน สนามจริง ที่ต้องกลั่นนโยบายผ่าน ภูมิศาสตร์–ชุมชน–การเมือง–ความมั่นคง เงื่อนไขเหล่านี้ทำให้ “ระยะเวลาดำรงตำแหน่ง” ของผู้ว่าฯ แต่ละคน ไม่ได้สะท้อน ประสิทธิภาพเชิงผลลัพธ์เพียงอย่างเดียว หากสะท้อน บริบทการทำงาน ณ เวลานั้น ๆ ด้วย

สถิติวาระ ภาพรวม “สั้น–ยาว” ที่ฉายพัฒนาการเมืองเชียงราย

เมื่อนับรายชื่อผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงรายในห้วง พ.ศ. 2536–2566 จำนวน 19 คน ที่ผู้ร้องขอข่าวสรุปไว้ จะเห็นภาพดังนี้

  • วาระ 1 ปี พบมากที่สุด 9 คน
  • วาระไม่ถึง 1 ปี 5 คน
  • วาระ 2 ปี 2 คน
  • วาระ 3 ปี 2 คน
  • วาระมากกว่า 4 ปี 1 คน

ขณะเดียวกัน ในจำนวนนี้มีผู้ว่าฯ ที่เป็น คนเชียงราย เองเพียง 2 คน (คิดเป็น 10.5%) คือ นายวรเกียรติ สมสร้อย และ นายประจญ ปรัชญ์สกุล ซึ่งสะท้อนภาพ “ระบบโยกย้ายกลาง–ภูมิภาค” ของไทยที่เน้น หมุนเวียนกำลังคน ตามความเหมาะสมเชิงระบบ มากกว่าการจำกัดผู้บริหารระดับจังหวัดให้มาจากท้องถิ่นเสมอไป

ในมิติ “วาระสั้นที่สุด” ที่ คำนวณได้จากวัน–เดือน–ปี ชัดเจน ข้อมูลยืนยันว่า นายประหยัด สมานมิตร อยู่ในตำแหน่ง 4 เดือน 20 วัน ขณะที่กรณีอื่น ๆ ที่ “สั้นมาก” เช่น นายอุดม พัวสกุล (5 มิ.ย. 2549 – 12 พ.ย. 2549) ก็ยังยาวกว่า และกรณี ขุนสนิทประชาราษฎร์ (พ.ศ. 2491 – 2491) แม้ดูสั้นแต่ขาดข้อมูลวัน–เดือน จึงไม่อาจฟันธงเทียบได้อย่างเป็นธรรม

ในอีกฟากหนึ่งของสเปกตรัม “ผู้ว่าฯ วาระยาว” ที่สุดในรายการ คือ เจ้าหลวงธรรมลังกา (หากนับสมัย “เจ้าเมือง”) รวม ประมาณ 21 ปี ตามผลต่างปี พ.ศ. 2386–2407 ส่วนห้วงสมัยระบบราชการสมัยใหม่ ผู้ว่าฯ ที่อยู่ยาวในยุคหลังคือ พระยาราชดำรง (ผล ศรุตานนท์) 19 ปี (พ.ศ. 2460–2479) และในยุคร่วมสมัยหลังปี 2536 ชื่อที่โดดเด่นด้านความต่อเนื่องคือ นายประจญ ปรัชญ์สกุล รวม 3 ปี 94 วัน—ตัวเลขที่บอกเล่าว่า “เสถียรภาพของนโยบายจังหวัด” มักมาจาก ความต่อเนื่องของคน ไม่ต่างจากความต่อเนื่องของงบประมาณ

เมื่อนับตั้งแต่ปี 2536 – 2566 มีผู้ดำรงตำแหน่ง เป็นคนเชียงราย วรเกียรติ สมสร้อย ผู้ว่าราชการเชียงราย คนที่ 41 ดำรงตำแหน่ง 1 ต.ค. พ.ศ. 2547 - 28 ก.พ. พ.ศ. 2549 (1 ต.ค. 2004 - 28 ก.พ. 2006)

สั้นที่สุดเพราะเสียสละ” บทเรียนจากบ้านห้วยกว้าน

เคสของ นายประหยัด สมานมิตร แตกต่างจากการโยกย้ายธรรมดา—วาระสั้นเกิดจาก การพลีชีพระหว่างหน้าที่ ในการนำข้อตกลงนโยบายรัฐไปสู่การเจรจาในพื้นที่ขัดแย้ง โดยมี พตท. ศรีเดช และ พ.อ.จำเนียร เป็นแนวร่วม การลอบโจมตีไม่เพียงพรากชีวิต 3 ผู้บังคับบัญชา แต่สะท้อน รอยเลื่อนความไว้วางใจ ระหว่างรัฐ–ขบวนการในเวลานั้น และชี้ให้เห็น “เส้นบาง ๆ” ของภาวะผู้นำผู้ว่าฯ ที่ต้องแบกรับทั้ง การปกป้องชีวิตประชาชน และ ชีวิตของตนเอง

อนุสรณ์สถานสามผู้กล้า จึงมิใช่เพียงก้อนหินแกะสลัก แต่มันคือ นโยบายความทรงจำ (policy of memory) ที่ชุมชนร่วมกันตระหนักว่า “ผู้ว่าฯ” ในพื้นที่ชายแดน ไม่ได้มีหน้าที่เฉพาะการอนุมัติโครงการหรือเร่งงบจังหวัด แต่ยังเป็น ผู้นำภาคสนาม ที่พร้อมเผชิญหน้าความไม่แน่นอนเพื่อ “เปิดประตูสู่สันติวิธี” ยุคต่อมา แม้โมเดลการจัดการความขัดแย้งจะค่อย ๆ เปลี่ยนทิศไปสู่ การพัฒนา–การสื่อสาร–การกระจายอำนาจ มากขึ้น แต่ ราคาที่ต้องจ่ายในอดีต ทำให้ทุกย่างก้าวของนโยบายชายแดนวันนี้ ระมัดระวังและฟังเสียงพื้นที่ มากกว่าเดิม

ผู้ว่าฯ ในโครงสร้างกฎหมาย อำนาจ–ข้อจำกัด และ “ความเสี่ยงส่วนบุคคล”

บทบาทผู้ว่าฯ ตาม พ.ร.บ. ระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. 2534 วางกรอบชัดเจนว่าเป็น ตัวแทนรัฐส่วนกลาง ในพื้นที่ มีหน้าที่ รับนโยบาย–สั่งการ–กำกับดูแล และในสถานการณ์ฉุกเฉินยังมีบทบาทพิเศษตาม กฎหมายสาธารณภัย ในการออกคำสั่งจำกัดพื้นที่หรือกำชับภารกิจช่วยเหลือ อย่างไรก็ดี โครงสร้างราชการไทยยังคงมี สายบังคับบัญชาซ้อนทับ (หน่วยงานภูมิภาคขึ้นตรงต่อกระทรวงต้นสังกัดด้านงานบุคคล) ทำให้ผู้ว่าฯ ต้องบริหารด้วย อิทธิพลเชิงบูรณาการ มากกว่าคำสั่งฝ่ายเดียว และเมื่อการตัดสินใจต้อง “เร็ว–เด็ดขาด” ในวิกฤต ผู้ว่าฯ ก็เผชิญ ความเสี่ยงทางกฎหมายส่วนบุคคล มากกว่าตำแหน่งบริหารพลเรือนทั่วไป

เคสปี 2513 จึงเป็น สัญลักษณ์สองชั้น—ชั้นแรกคือ ความเสี่ยงด้านความปลอดภัย ของผู้ว่าฯ ในพื้นที่ขัดแย้ง ชั้นที่สองคือ ความรับผิดชอบเชิงโครงสร้าง ที่ย้ำว่า “ผู้ว่าฯ คือด่านหน้า” ในการจับคู่นโยบายชาติกับภูมิสังคมของจังหวัด เมื่อพันธกิจเช่นนี้สืบทอดมาในยุคปัจจุบัน เทียบกับโจทย์ชายแดนที่เปลี่ยนจาก ความมั่นคงแบบเข้ม สู่ ความมั่นคงแบบใหม่ (อาชญากรรมข้ามชาติ ยาเสพติด การค้ามนุษย์ มลพิษข้ามแดน) บทบาทผู้ว่าฯ จึงยัง ยืนอยู่แถวหน้า—แต่เครื่องมืออาจเปลี่ยนจาก “ปืน–ค่าย” เป็น “ข้อมูล–เครือข่าย–การสื่อสารสาธารณะ”

เมื่อนับตั้งแต่ปี 2536 – 2566 มีผู้ดำรงตำแหน่ง เป็นคนเชียงราย ประจญ ปรัชญ์สกุล ผู้ว่าราชการเชียงราย คนที่ 52 ดำรงตำแหน่ง 29 มิ.ย. พ.ศ. 2561 - 30 ก.ย. พ.ศ. 2564 (29 มิ.ย. 2018 - 30 ก.ย. 2021)

5 ผู้ดำรงตำแหน่งที่สั้นที่สุด

  1. นายประหยัด สมานมิตร (พ.ศ. 2513): ดำรงตำแหน่งสั้นที่สุดคือ 4 เดือน 20 วัน (1 พฤษภาคม 2513 ถึง 20 กันยายน 2513)
  2. นายอุดม พัวสกุล (พ.ศ. 2549): ดำรงตำแหน่ง 5 เดือน 8 วัน (5 มิถุนายน 2549 ถึง 12 พฤศจิกายน 2549)
  3. ขุนสนิทประชาราษฎร์ (พ.ศ. 2491): ดำรงตำแหน่งในช่วงปี 2491 เพียงปีเดียว ทำให้มีวาระไม่เกิน 1 ปี (ไม่ระบุวันและเดือนที่แน่นอน)
  4. หลวงอาษาภูธร (พ.ศ. 2445 – 2446): ดำรงตำแหน่งในช่วง 2 ปีปฏิทิน ซึ่งมีผลต่างปี 1 ปี (วาระไม่เกิน 2 ปี)
  5. นายรุงฤทธิ์ มกรพงษ์ (พ.ศ. 2544 – 2545): ดำรงตำแหน่ง 1 ปี 27 วัน (1 ตุลาคม 2544 ถึง 27 ตุลาคม 2545)

5 ผู้ดำรงตำแหน่งที่ยาวนานที่สุด

การคำนวณในกลุ่มนี้ใช้ผลต่างของปี พ.ศ. เนื่องจากข้อมูลในช่วงแรกไม่มีวันและเดือนที่ชัดเจน

  1. เจ้าหลวงธรรมลังกา (พ.ศ. 2386 – 2407): ดำรงตำแหน่งยาวนานที่สุด โดยมีช่วงระยะเวลาครอบคลุมถึง 21 ปี
  2. พระยาราชดำรง (ผล ศรุตานนท์) (พ.ศ. 2460 – 2479): ดำรงตำแหน่งครอบคลุมช่วงระยะเวลา 19 ปี
  3. เจ้าหลวงสุริยะ (พ.ศ. 2419 – 2433): ดำรงตำแหน่งครอบคลุมช่วงระยะเวลา 14 ปี
  4. เจ้าหลวงฮุนเรือน (พ.ศ. 2407 – 2419): ดำรงตำแหน่งครอบคลุมช่วงระยะเวลา 12 ปี
  5. พระยารัตนาณาเขต (พ.ศ. 2433 – 2442): ดำรงตำแหน่งครอบคลุมช่วงระยะเวลา 9 ปี

ตัวเลขชวนคิด เมื่อวาระเปลี่ยน นโยบายเปลี่ยนหรือไม่?

ในทางบริหาร “วาระ” ของผู้ว่าฯ ที่สั้นกว่าหนึ่งปีซึ่งพบมากในช่วงสามทศวรรษหลัง สะท้อนวัฏจักรโยกย้ายที่เร็วและการปรับตัวต่อบริบทประเทศ แต่คำถามที่ผู้อ่านเชิงลึกอยากรู้คือ แล้วนโยบายจังหวัดเสียความต่อเนื่องหรือไม่?” ประสบการณ์หลายพื้นที่ชี้ว่าความต่อเนื่องขึ้นกับ สามสิ่ง:

  1. แผนพัฒนาจังหวัด ที่เขียนดีและมีฉันทามติ
  2. ทีมราชการประจำจังหวัด (รองผู้ว่าฯ, หัวหน้าส่วน) ที่รักษาเกมยาว
  3. ความร่วมมือท้องถิ่น–เอกชน–ภาคประชาสังคม ที่ “กว้างและแน่น” พอจนผู้ว่าฯ ใหม่เข้ามาแล้ว “สวมบทได้ทันที”

เชียงรายในช่วงหลังมีจุดแข็งด้าน เครือข่ายภาคส่วน และ บทบาทชายแดนเศรษฐกิจ ที่ชัดเจน ทำให้การเปลี่ยนตัวผู้ว่าฯ ไม่ทำให้นโยบายหยุด แต่แน่นอนว่าการมีผู้ว่าฯ ที่อยู่ ยาวพอ ย่อมช่วยให้ การประสานงบ–การเจรจานโยบาย กับส่วนกลางสะดวกขึ้น—ซึ่งอธิบายได้ว่าทำไมชื่ออย่าง นายประจญ ปรัชญ์สกุล (3 ปี 94 วัน) จึงปรากฏในความทรงจำของภาคธุรกิจ–ท้องถิ่นในฐานะ “ตัวกลางความต่อเนื่อง” ของยุคหนึ่ง

ความหมายร่วมสมัยของ “สามผู้กล้า” จากสนามรบสู่สนามเรียน

ทุกเดือนกันยายนที่เวียนมาถึง อนุสรณ์สถานสามผู้กล้า ณ บ้านห้วยกว้าน ไม่ได้เป็นเพียงสถานที่วางพวงมาลัย แต่เป็น บทเรียนพลเมือง ให้กับนักเรียน–ครู–ข้าราชการรุ่นใหม่ ว่าความมั่นคงของจังหวัดที่เราเห็นในวันนี้วางอยู่บน การเลือกรับความเสี่ยง ของคนรุ่นก่อน เราอาจไม่ต้องเดินเข้าป่าเพื่อเจรจาอีกแล้ว แต่เราต้อง กล้าเดินเข้าหากัน เมื่อความเห็นต่างในชุมชนทำให้โครงการพัฒนา “ชะงักงัน” การเชื่อม ข้อมูล–เหตุผล–ความไว้วางใจ คือ “อาวุธ” ของยุคใหม่ที่ผู้ว่าฯ ต้องใช้แทนปืนและเครื่องแบบหนัก

ทำไมเรื่องนี้ควรถูกเล่า “วันนี้”

ในขณะที่เชียงรายกำลังเผชิญโจทย์ยุคใหม่—ตั้งแต่ มลพิษข้ามแดนในแม่น้ำกก–โขง, การท่องเที่ยวสีเขียว, เศรษฐกิจชายแดนหลังโควิด, จนถึง การจัดการภัยพิบัติ—บทเรียนปี 2513 เตือนให้เรารู้ว่าการบริหารจังหวัดไม่เคยเป็น “งานเอกสาร” แต่เป็น งานสนามจริง ที่ยืนอยู่ตรงรอยต่อของ อำนาจรัฐ–ชีวิตคน–ภูมิประเทศ

เมื่อมีคนถามว่า “ใครคือผู้ว่าฯ เชียงรายที่ดำรงตำแหน่งสั้นที่สุด และเพราะอะไร”—คำตอบที่ตรงที่สุดคือ นายประหยัด สมานมิตร ผู้ว่าฯ ที่อยู่ในตำแหน่ง 4 เดือน 20 วัน เพราะ สละชีวิต บนเส้นทางไปปิดรอยร้าวของสังคม 20 กันยายน 2513 และคำตอบที่ “สำคัญกว่า” คือ เรา ในฐานะประชาชน–ชุมชน–สื่อ–นักการเมือง—จะทำอย่างไรให้ การสละชีวิตครั้งนั้นไม่สูญเปล่า โดยแปลง “ความทรงจำ” ให้เป็น “วัฒนธรรมการคุยกัน” ที่แข็งแรง และแปลง “บทเรียนความเสี่ยง” ให้เป็น “การออกแบบนโยบาย” ที่ฟังเสียงพื้นที่มากขึ้น

เส้นเวลาและรายละเอียดสำคัญที่เกี่ยวข้อง

  • วาระสั้นที่สุด (คำนวณได้จากวัน/เดือน/ปีแน่ชัด):
    นายประหยัด สมานมิตร ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย
    เริ่ม 1 พ.ค. 2513 – สิ้นสุด 20 ก.ย. 2513 = 4 เดือน 20 วัน
    เสียชีวิตจากเหตุซุ่มโจมตีระหว่างปฏิบัติภารกิจที่ บ้านห้วยกว้าน ต.บ้านแซว อ.เชียงแสน
  • เหตุการณ์ 20 ก.ย. 2513:
    ผู้เสียชีวิตร่วมเหตุการณ์: พตท.ศรีเดช ภูมิประหมัน และ พ.อ.จำเนียร มีสง่า
    ภายหลังมีการจัดสร้าง อนุสรณ์สถานสามผู้กล้า ณ จุดเกิดเหตุ
  • สถิติช่วง พ.ศ. 2536–2566 (19 คน):
    วาระ 1 ปี = 9 คน / วาระ < 1 ปี = 5 คน / วาระ 2 ปี = 2 คน / วาระ 3 ปี = 2 คน / วาระ > 4 ปี = 1 คน
    ผู้ว่าฯ “คนเชียงราย” = 2 คน (10.5%)
  • วาระยาวในยุคประวัติศาสตร์:
    เจ้าหลวงธรรมลังกา ~ 21 ปี (พ.ศ. 2386–2407)
    พระยาราชดำรง (ผล ศรุตานนท์) 19 ปี (พ.ศ. 2460–2479)
  • ฐานะตามกฎหมาย (สรุปย่อ):
    ผู้ว่าฯ เป็นหัวหน้าบริหารราชการส่วนภูมิภาค (มาตรา 54) รับนโยบายจากส่วนกลาง–กำกับดูแล อปท.–มีอำนาจพิเศษเมื่อเกิดสาธารณภัยตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องพตท.

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • เขียนโดย : กันณพงศ์ ก.บัวเกษร
  • เรียบเรียงโดย : มนรัตน์ ก.บัวเกษร
  •  ข้อมูลจังหวัดเชียงราย https://www.chiangrai.go.th/
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI TOP STORIES

คุณภาพวิจัย-นานาชาติ! มฟล. อันดับ 1 ของไทย 6 ปีซ้อน ขยับสู่ Top 1200 โลก

มฟล. ผงาดเวทีโลก คว้า “ดับเบิลแชมป์ไทย” ด้านคุณภาพงานวิจัย–ความเป็นนานาชาติ ขยับกลุ่ม 1001–1200 ของโลก ตอกย้ำเชียงรายสู่ศูนย์กลางวิชาการนานาชาติ

เชียงราย, 11 ตุลาคม 2568 — เช้าวันฝนพรำที่ดอยแม่ฟ้าหลวง ลมหอบกลิ่นดินชื้นพัดผ่านสวนสวยและอาคารเรียนทรงร่วมสมัย นักศึกษาต่างชาติกลุ่มเล็กกำลังยืนถ่ายภาพกับชุดครุยจำลองหน้าป้ายมหาวิทยาลัย ขณะที่นักวิจัยรุ่นใหม่ผลัดกันหิ้วกล่องตัวอย่างขึ้นตึกทดลอง บนสันเขาที่ทอดยาวนี้ “เมืองมหาวิทยาลัย” กำลังขยับตัว—และในสัปดาห์นี้การขยับตัวนั้นก้องไกลไปถึงแวดวงอุดมศึกษาทั่วโลก เมื่อ Times Higher Education (THE) ประกาศผล THE World University Rankings 2026 ให้ มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง (มฟล.) ขึ้นไปอยู่ในช่วง 1001–1200 ของโลก ขยับจากปีที่ผ่านมา และก้าวขึ้นเป็น อันดับ 4 ร่วมของประเทศไทย ในภาพรวม

มากกว่าตัวเลขอันดับโลก สอง “คะแนนยุทธศาสตร์” ยืนยันความก้าวกระโดดของ มฟล. แบบมี “ฐาน” และ “ความต่อเนื่อง” คือ
(1) Research Qualityอันดับ 1 ของประเทศ คะแนน 61.4 พุ่งจาก 49.3 และ
(2) International Outlookอันดับ 1 ของไทย ต่อเนื่องเป็นปีที่ 6 คะแนน 64.1 เพิ่มจาก 58.2

ทั้งสองแกนชี้ชัดว่า มฟล. มิได้เพียง “สวยงาม” ในเชิงภูมิทัศน์ หาก “เข้มแข็ง” ในระบบวิจัยและเครือข่ายนานาชาติที่ปลี่ยนเป็น “ทุนเชิงยุทธศาสตร์” ของจังหวัดเชียงรายและภาคเหนือ

“การเติบโตของคะแนน ‘คุณภาพงานวิจัย’ สะท้อนการยกระดับมาตรฐานเชิงวิชาการที่วัดผลได้ และการครองที่หนึ่งด้าน ‘ความเป็นนานาชาติ’ ต่อเนื่องหลายปี คือหลักฐานของโครงข่ายความร่วมมือที่ขยายตัวจริง” — ความเห็นเชิงวิเคราะห์จากแหล่งวิชาการในพื้นที่

เมื่อคะแนนไม่ใช่แค่คะแนน สัญญะของ “คุณภาพงานวิจัย” และ “ความเป็นนานาชาติ”

การจัดอันดับของ THE วัดสมรรถนะหลักผ่าน 5 เสาหลัก ได้แก่ Teaching, Research Environment, Research Quality, International Outlook, และ Industry (การเชื่อมกับภาคอุตสาหกรรม) ในมิตินี้ การที่ มฟล. ครองที่หนึ่งของไทยด้าน Research Quality พร้อมกับยืนหนึ่งด้าน International Outlook ต่อเนื่อง สื่อถึงสองพลังคู่ขนาน

  1. คุณภาพงานวิจัย—ไม่ใช่แค่จำนวนบทความ แต่รวมถึงผลกระทบเชิงวิชาการ (citation/field-weighted impact) ความเข้มแข็งของ peer recognition และมาตรฐานการตีพิมพ์ที่สม่ำเสมอ การขยับจาก 49.3 เป็น 61.4 คะแนน ภายในรอบปี คือการไต่ระดับที่ต้องมี “ฐานข้อมูล–ฐานคน–ฐานห้องปฏิบัติการ” รองรับ
  2. ความเป็นนานาชาติ—สะท้อนความร่วมมือข้ามพรมแดนในมิติการร่วมวิจัย (co-publication) ความหลากหลายของคณาจารย์–นักศึกษา การเคลื่อนย้ายนักวิชาการ และศักยภาพการดึงดูดทุนวิจัยต่างประเทศ คะแนนที่เพิ่มจาก 58.2 เป็น 64.1 พร้อมสถิติ อันดับ 1 ของไทย 6 ปีซ้อน คือหลักฐานของเครือข่ายที่หนาแน่นขึ้น ไม่ใช่ความสำเร็จเฉพาะกิจ

หากพิจารณาเชิงระบบ การขยับจากช่วง 1201–1500 ไปสู่ 1001–1200 ในปี 2026 (ในบริบทที่ THE จัดอันดับมหาวิทยาลัยทั่วโลก 2,191 แห่ง จาก 115 ประเทศ) แปลว่า มฟล. แข่งขันได้ในสนามที่ “แน่นขึ้นและยากขึ้น” กว่าทุกปี—การติด “ดับเบิลแชมป์ไทย” จึงให้สัญญะว่า “เชียงราย” ไม่ได้เป็นแค่เมืองปลายทางท่องเที่ยว แต่กำลังก้าวเป็น เมืองฐานความรู้” ในเชิงปฏิบัติ

เชียงรายในแผนที่อุดมศึกษาโลก เมื่อ “ภูมิศาสตร์ชายแดน” กลายเป็น “จุดยุทธศาสตร์ความรู้”

ผลการจัดอันดับมาถึงพร้อมข่าวใหญ่อีกชิ้น เชียงราย ถูกเลือกเป็นเจ้าภาพประชุมวิชาการนานาชาติ APACPH Conference ครั้งที่ 56 (4–7 พ.ย. 2568) ของ สมาพันธ์วิชาการสาธารณสุขภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ซึ่งหมายความว่า เมืองมหาวิทยาลัยบนภูเขาแห่งนี้จะต้อนรับผู้เชี่ยวชาญสาธารณสุขจากทั่วภูมิภาค ในหัวข้อ “ความท้าทายด้านสาธารณสุขในโลกที่มีการหยุดชะงัก”

ในแง่เศรษฐกิจฐานความรู้ (knowledge-based economy) และงานประชุมสัมมนานานาชาติ (MICE) การมี มหาวิทยาลัยที่มีอันดับโลกขยับขึ้น และ ถือธงความเป็นนานาชาติ เป็นตัวดึงดูดสำคัญทั้งวิทยากร–ทุนวิจัย–ผู้เข้าร่วมระดับผู้กำหนดนโยบาย ซึ่งท้ายที่สุดจะเปลี่ยนเป็น การจับจ่าย–การจ้างงาน–และชื่อเสียงเมือง ในระยะกลาง–ยาว

ทำไม “Research Quality” ถึงสำคัญต่อจังหวัด?

ในระดับมหภาค “คุณภาพงานวิจัย” คือสมการที่แปลงเป็น ทุนทางปัญญา–นวัตกรรม–และอุตสาหกรรมใหม่ ได้จริง ยิ่งในพื้นที่ชายแดนที่มีเศรษฐกิจสร้างสรรค์ การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ เกษตรมูลค่าสูง ชีวเวชภัณฑ์ และ BCG เป็นโอกาส มฟล. ที่มีคะแนนวิจัยขยับเด่นจึงเป็น “เข็มทิศ” ให้จังหวัดจัดวางยุทธศาสตร์ จับคู่ ห้องปฏิบัติการ–ศูนย์วิจัย–สตาร์ทอัพ–ผู้ประกอบการท้องถิ่น

  • เกษตร–อาหาร–สุขภาพ งานวิจัยด้านสมุนไพร การแปรรูปอาหารฟังก์ชัน การแพทย์แม่นยำ และสาธารณสุขชายแดน สามารถเชื่อมกับห่วงโซ่คุณค่าในพื้นที่
  • ท่องเที่ยวคุณภาพสูง ความเชี่ยวชาญด้านสุขภาพ/สิ่งแวดล้อม ช่วยเพิ่มมาตรฐาน “ปลายทางสุขภาพ–ธรรมชาติ–วัฒนธรรม” ของเชียงรายให้ต่างชาติมั่นใจ
  • ความร่วมมือ GMS ฐานวิชาการนานาชาติของ มฟล. ทำให้เชียงรายเป็นจุดนัดหมายใหม่ของนักวิจัย–ผู้กำหนดนโยบายในอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง

ตัวเลขที่เล่าเรื่อง จากคะแนน…สู่ความหมายเชิงระบบ

  • กลุ่มอันดับโลกของ มฟล.: จาก 1201–1500 (ปีก่อน) → 1001–1200 (ปี 2026)
  • อันดับในไทย (รวม): อันดับ 4 ร่วม (ในบรรดา 21 สถาบัน ที่ติดอันดับปีนี้)
  • Research Quality: ที่ 1 ของไทย คะแนน 61.4 (↑ จาก 49.3)
  • International Outlook: ที่ 1 ของไทย ต่อเนื่องปีที่ 6 คะแนน 64.1 (↑ จาก 58.2)
  • กรอบการแข่งขันโลก: มหาวิทยาลัยที่ได้รับการจัดอันดับ 2,191 แห่ง จาก 115 ประเทศ

ตัวเลขเหล่านี้แปลว่าอะไร? ในภาษาที่เข้าใจง่าย—งานวิจัยของ มฟล. ถูกอ่าน อ้างอิง และยอมรับมากขึ้น ในขณะที่ ความสัมพันธ์กับโลกภายนอกแน่นแฟ้นขึ้น ทำให้การชวน “พันธมิตรต่างชาติ” มาร่วมทดลอง–ลงทุน–หรือเปิดหลักสูตรร่วม มีโอกาสสำเร็จมากขึ้น และนี่เองคือ “ทุนมองไม่เห็น” ที่เมืองมหาวิทยาลัยต้องใช้เป็นคันโยก

เสียงสะท้อนจากพื้นที่ นักศึกษาต่างชาติ–อาจารย์–ผู้ประกอบการท้องถิ่น

แม้รายงานอันดับไม่ได้รวบรวมคำให้สัมภาษณ์อย่างเป็นทางการ แต่สัญญาณในพื้นที่สะท้อนคล้ายกัน—นักศึกษาต่างชาติ ให้ความสนใจหลักสูตรที่บูรณาการ “สุขภาพ–ความยั่งยืน–ธุรกิจ” มากขึ้น ขณะที่ อาจารย์–นักวิจัย เห็นโอกาสยื่นทุนข้ามพรมแดนชัดเจนขึ้น เช่น กองทุนวิจัยร่วมในอาเซียนและ GMS ส่วน ผู้ประกอบการท้องถิ่น เริ่มจับมือมหาวิทยาลัยพัฒนาผลิตภัณฑ์สุขภาพ–อาหารพื้นถิ่นมูลค่าสูง เพื่อสร้างแบรนด์สู่ตลาดนักท่องเที่ยวคุณภาพ

จากวิสัยทัศน์สู่สนามจริง “The University for Well-being and Sustainable Future”

คำประกาศวิสัยทัศน์ของ มฟล.—“The University for Well-being and Sustainable Future”—มองเผินๆ อาจเป็นเพียงถ้อยคำสวยงาม แต่เมื่อเทียบกับคะแนนที่พุ่งใน Research Quality และการครองเบอร์หนึ่งด้าน International Outlook ต่อเนื่อง หลายโครงการของมหาวิทยาลัยเริ่มมี “ฟันเฟือง” ที่หมุนจริง เช่น

  • การบูรณาการทุนวิชาการกับทุนท้องถิ่น โครงการวิจัยที่ดึงผู้ประกอบการและชุมชนเข้ามาร่วมตั้งแต่ต้นทาง เพื่อให้ผลวิจัยต่อยอดได้จริง
  • จับมือภาคอุตสาหกรรม ยกระดับงานวิจัยสู่ผลิตภัณฑ์/บริการ เชื่อมโยงกับแนวทาง BCG (Bio–Circular–Green) ที่สอดคล้องกับภูมิประเทศเชียงราย
  • หลักสูตรสอดรับความยั่งยืน สอดแทรกประเด็นสุขภาพ–สิ่งแวดล้อม–ดิจิทัล เข้าในรายวิชา เพื่อผลิตบัณฑิตที่พร้อมตอบโจทย์ตลาดแรงงานสมัยใหม่

APACPH 2025 เวทีพิสูจน์ “บทบาทชายแดน” ในสาธารณสุขโลก

การที่ APACPH เลือกเชียงรายเป็นเจ้าภาพประชุมครั้งที่ 56 ภายใต้หัวข้อ “Public Health Challenges in a Disruptive World” ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ ตำแหน่งที่ตั้งของเชียงราย—บรรจบเมียนมา–ลาว อยู่ในหัวใจอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง—ทำให้ประเด็น สุขภาพข้ามพรมแดน–ชนกลุ่มน้อย–ผู้อพยพ–ระบบสุขภาพชายแดน–ผลกระทบสิ่งแวดล้อม ถูกหยิบขึ้นมาวางบนโต๊ะเจรจาโดยมี มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง เป็น “เวทีวิชาการกลาง” การมีอันดับและคะแนนที่สะท้อนศักยภาพด้านวิจัย–นานาชาติ จึงเป็น “ตราประทับความน่าเชื่อถือ” เพิ่มเติม

ในทางปฏิบัติ เมืองเจ้าภาพอย่างเชียงรายต้องจัดการ โลจิสติกส์–ความปลอดภัย–การสื่อสารสองภาษา–โครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล ให้พร้อม การมีมหาวิทยาลัยที่คุ้นเคยกับความร่วมมือข้ามชาติอยู่แล้วช่วยลดแรงเสียดทานและยกระดับมาตรฐานงานประชุมโดยรวม

เงื่อนไขความยั่งยืน จากปีแห่ง “ชัยชนะ” สู่ “ระบบที่ชนะต่อเนื่อง”

คำถามสำคัญหลังเสียงปรบมือคือ “จะรักษา–และขยาย–ความสำเร็จอย่างไร” นักวิเคราะห์ชี้ 4 เงื่อนไขสำคัญ

  1. ทุนวิจัยที่ต่อเนื่องและพอเพียง คะแนน Research Quality จะทรุดเร็วหากแหล่งทุนสะดุด ต้องวางพอร์ตโฟลิโอทุนในประเทศ–ต่างประเทศที่หลากหลาย และใช้ระบบ guidance/mentoring ให้นักวิจัยรุ่นใหม่ยื่นขอทุนได้สำเร็จ
  2. คน–โครงสร้าง–อุปกรณ์ ห้องปฏิบัติการที่ได้มาตรฐาน เครื่องมือซ่อมบำรุงเร็ว และการเติมคนรุ่นใหม่อย่างสม่ำเสมอ คือฐานที่ทำให้งานวิจัย “วิ่ง” ต่อ
  3. พันธมิตรนานาชาติที่ลึกขึ้น จาก MOU สู่ co-author และจาก co-author สู่ co-fund/co-lab—เอาความเป็นอันดับ 1 ด้านนานาชาติมาแปลงเป็นโครงการที่วัดผลได้
  4. การสื่อสารสาธารณะ ดึงผลวิจัยออกไปสู่สังคมและตลาด—สร้าง “วงจรศรัทธา” ให้คนเชียงรายเห็นว่างานวิจัยช่วยชีวิต–ช่วยอาชีพอย่างไร

เมืองมหาวิทยาลัยที่ “จับต้องได้” เชียงรายในสายตานักลงทุนและนักวิจัยต่างชาติ

ด้วยสนามบินนานาชาติและความพร้อมของเมือง (โรงแรม ศูนย์ประชุม โครงข่ายการเดินทาง) การประกาศอันดับ THE ปีนี้เป็น “สัญญาณเชิญชวน” อย่างไม่เป็นทางการสำหรับ บริษัทเทคโนโลยีสุขภาพ–อาหาร–ท่องเที่ยวคุณภาพ–ดิจิทัลคอนเทนต์ ที่มองหา “ฐานวิจัย–ทดลองตลาด–ทดสอบผลิตภัณฑ์” ในเมืองที่ค่าใช้จ่ายเหมาะสมและมีบุคลากรพร้อม เชียงราย–มฟล. จึงมีโอกาสก่อรูปเป็น เขตนวัตกรรมระดับภูมิภาค ที่อิงศาสตร์สุขภาพและความยั่งยืนได้จริง

จากคะแนนบนกระดาษ…สู่การเปลี่ยนชีวิตผู้คนบนภูเขา

ท้ายที่สุด การได้ “ดับเบิลแชมป์ไทย” ของ มฟล. ไม่ใช่เพียงกล่องเช็คในเอกสารรับรองคุณภาพ หากคือ จุดเริ่มต้นของการใช้มหาวิทยาลัย “ขับเคลื่อนเมือง”—เมื่อห้องทดลองเชื่อมกับไร่กาแฟ–ไร่ชา–ชุมชนบนดอย งานประชุมวิชาการนานาชาติเดินทางมาที่ชายแดน และนักศึกษาไทย–ต่างชาติร่วมกันสร้างนวัตกรรมเล็กๆ ทุกวัน เมืองมหาวิทยาลัยบนสันเขาแห่งนี้จะค่อยๆ สะสม “ทุนความเชื่อมั่น” จนกลายเป็น ศูนย์กลางวิชาการระดับสากลของภาคเหนือ อย่างสมบูรณ์

ปีนี้ มฟล. ได้พิสูจน์ว่าคะแนนวิจัยและความเป็นนานาชาติ “แปล” เป็นความหมายที่จับต้องได้แล้ว ขั้นต่อไปคือการทำให้ความสำเร็จนี้ สถิต อยู่ในระบบ—ไม่ใช่เพียง สถิติ ในรายงาน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI TOP STORIES

แก้วิกฤตแม่น้ำกก รัฐ-วิชาการ-ประชาชน ผนึกกำลังหาแหล่งน้ำสำรองและหยุดมลพิษ

ปฏิบัติการลุ่มน้ำกก” รัฐ–ประชาชน–วิชาการ ร่วมคลี่ปมมลพิษข้ามพรมแดน รองนายกฯ สุชาติ เปิดเวทีรับฟัง–สั่งเร่งตรวจน้ำ–หาแหล่งน้ำสำรอง เดินเกมบูรณาการ “ข้อมูล–ความเชื่อมั่น–การทูตน้ำ”

เชียงราย/เชียงใหม่, 9 ตุลาคม 2568นายสุชาติ ชมกลิ่น รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เดินทางถึง ท่าอากาศยานนานาชาติแม่ฟ้าหลวง เชียงราย ก่อนเปลี่ยนเป็นอากาศยานปีกหมุนขึ้นสำรวจแนวลำน้ำกกต่อเนื่อง จากเชียงใหม่ถึงเชียงราย โดยมี ดร.ชญานันท์ ภักดีจิตต์ ปลัดกระทรวงฯ และคณะผู้บริหารในสังกัดร่วมภารกิจ และได้รับการต้อนรับ รายงานสถานการณ์จาก ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่–เชียงราย ตลอดจนหน่วยงานทรัพยากรน้ำ สาธารณสุข และปกครองท้องถิ่น

“สิ่งที่มารับฟังในวันนี้คือ ความตั้งใจจริง ของรัฐบาล เราจะเร่งช่วยเหลือบรรเทาความเดือดร้อนให้ประชาชนอย่างเป็นรูปธรรม”—นายสุชาติ ชมกลิ่น ย้ำต่อหน้าชาวบ้านและผู้นำชุมชนที่บ้านท่าตอน

น้ำ–ดิน–อาหาร–วิถีชีวิต ใต้เงามลพิษข้ามพรมแดน

ปมปัญหาที่ซับซ้อนเริ่มจาก ข้อกังวลเรื่องสารหนูและโลหะหนัก ในแม่น้ำกก–สาขา (รวก–สาย) ที่ไหลลงโขง สะท้อนผ่านความไม่มั่นใจของชุมชนต่อการ อุปโภค–บริโภค และผลกระทบ เศรษฐกิจท้องถิ่น–การท่องเที่ยว นานเดือน จนเกิดเสียงเรียกร้องให้รัฐ “เร่ง ตรงจุด โปร่งใส” โดยเฉพาะการตรวจวัดที่ “เร็วถึงพื้นที่” ไม่ต้องส่งตัวอย่างเข้าเมืองหลวงให้เสียเวลา

ด้านข้อมูลเชิงสุขภาพสิ่งแวดล้อม ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ รายงานว่าจากการเฝ้าระวังช่วงที่ผ่านมา ค่าคุณภาพน้ำเพื่อการอุปโภค (ประปาผิวดิน–ภูเขา–บาดาล–บ่อน้ำตื้น) รวมทั้งการตรวจ ค่าสารหนูในปัสสาวะของประชาชนกลุ่มเสี่ยง อยู่ในเกณฑ์ ไม่เกินมาตรฐาน เช่นเดียวกับผลตรวจ สารหนู–ตะกั่ว–ปรอท ในพืชผักและปลาในลุ่มน้ำ (ปริมาณ ไม่เกินค่ามาตรฐาน) ขณะ ศูนย์อนามัยที่ 1 เชียงใหม่ กรมอนามัย ยืนยันว่าการบริโภคปลาในแม่น้ำ “ทานได้ไม่เป็นอันตราย” ในเงื่อนไขที่พบโดยทั่วไปและร่างกายขับออกได้ตามธรรมชาติ

แต่ ผลตรวจ “ไม่เกินมาตรฐาน” ไม่ได้แปลว่า ความเชื่อมั่น” จะกลับมาในทันที—ตัวแทนชาวบ้านสะท้อน ราคาพืชผลตกต่ำ–นักท่องเที่ยวชะลอ–ธุรกิจย่อยต้องควักเงินสำรอง ขณะข้อเสนอบางแนวทางโครงสร้าง (เช่น ฝายดักตะกอน) ยังก่อคำถาม “จะซ้ำเติมระบบนิเวศหรือไม่” และ “จะทำให้ชาวบ้านกลายเป็นหนูทดลองหรือเปล่า”

เวทีเดียว หลายเสียง 10 ข้อเสนอประชาชน ฝ่ายค้าน นักวิชาการ

จุดแข็งของวันลงพื้นที่คือ “การเปิดพื้นที่ให้ทุกฝ่ายได้พูด” ในเวทีเดียวกัน นายกัณวีร์ สืบแสง ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเป็นธรรม (ฝ่ายค้าน) ร่วมภารกิจตามคำเชิญของรองนายกฯ พร้อมยื่น 10 ข้อเสนอ ตั้งแต่การ จัดหาแหล่งน้ำดิบใหม่ ทดแทนแม่น้ำกก–รวก–สาย–โขง สำหรับเมืองหลักของเชียงราย (อ.เมือง–เวียงชัย–แม่สาย–เชียงแสน–เชียงของ) การ จัดหาแหล่งน้ำใหม่/ปรับปรุงระบบประปาหมู่บ้าน อย่างน้อย 30 หมู่บ้าน ตลอดลำน้ำ การ ตรวจคุณภาพดิน–ผลผลิต ในลุ่มน้ำกก (พื้นที่ลุ่ม 12,000 ไร่ ใน ต.ท่าตอน) และ ข้าวนาปีมากกว่า 100,000 ไร่ ในเขตชลประทาน ก่อนเก็บเกี่ยว เพื่อคุ้มครองทั้งผู้ผลิตและผู้บริโภค

สาระสำคัญยังรวมถึงการตั้ง ศูนย์ตรวจโลหะหนักประจำจังหวัดเชียงราย–เชียงใหม่ เพื่อให้การเฝ้าระวังใน น้ำ–ตะกอน–ดิน–ผลผลิตเกษตร–ปลา–สัตว์น้ำ–มนุษย์ ทำได้ ใกล้–เร็ว–ต้นทุนต่ำ พ่วง “กลไกข้ามแดน” เช่น ยุติการนำเข้าแร่จากเมียนมา ที่เชื่อมโยงต้นเหตุ, ตั้ง คณะทำงานร่วม รัฐ–วิชาการ–ประชาชน เพื่อเฝ้าระวัง เยียวยาฟื้นฟูลุ่มน้ำ และการเปิดเวที การทูตน้ำ กับเมียนมา–จีน รวมถึงยกประเด็นสู่กรอบ GMS/ACMECS และเวทีโลกอย่าง COP (UNFCCC) เพื่อกดดันเชิงนโยบาย หยุดต้นตอมลพิษข้ามพรมแดน อย่างยั่งยืน

“เราเป็นฝ่ายค้าน แต่ถ้ารัฐบาลเชิญเพื่อประโยชน์ประชาชน เรายินดีไป และย้ำ 10 ข้อข้อเสนอเพื่อคืนความปลอดภัยน้ำ–ดิน–อาหารให้พี่น้อง”—นายกัณวีร์ สืบแสง

นักวิชาการมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง ชี้เฉพาะพื้นที่เกษตร ~130,000 ไร่ ที่กำลังออกผลผลิต ต้องตรวจโลหะหนักเร่งด่วน ขณะที่ ภาคประชาสังคม สะท้อนภาพเหมืองฝั่งต้นน้ำในรัฐฉานที่ “มองเห็นได้ด้วยตาเปล่า” ใกล้ชายแดนไทย—ตอกย้ำว่าทางออกจำเป็นต้อง คิดเชื่อมแดน–เชื่อมสถาบัน–เชื่อมข้อมูล” ไม่ใช่แก้เฉพาะหน้าฝั่งไทยเท่านั้น

คำตอบจากรัฐ เร่งตรวจ–เร่งน้ำ–เร่งข้อมูล และ “ไม่ยึดติดฝ่าย”

ต่อหน้าข้อเสนอและเสียงสะท้อน นายสุชาติ ขีดเส้น 3 งานเร่งด่วนที่ กระทรวง ทส. ทำได้ทันที

  1. งานข้อมูล–คุณภาพน้ำ มอบหมาย กรมควบคุมมลพิษ (คพ.) ตั้ง ชุดตรวจประจำจุด ในพื้นที่ให้ผลตรวจ “รวดเร็วและสื่อสารได้” ลดเวลารอจากการส่งเข้ากรุงเทพฯ และให้ผลระดับที่ประชาชน “อ่านเข้าใจได้”
  2. งานน้ำเร่งด่วน ให้ กรมทรัพยากรน้ำบาดาล (ทธบ.) สำรวจ–ขุดแหล่งน้ำบาดาลฉุกเฉิน และให้ กรมทรัพยากรน้ำ (ทรพ.) ประสาน การประปาส่วนภูมิภาค (กปภ.) หา แหล่งน้ำดิบสำรอง เพื่อกระบวนการผลิตน้ำประปาที่มีต้นทุน–สารเคมีต่ำลง ตอบโจทย์ “ปลอดภัย–เพียงพอ–ยืดหยุ่น”
  3. งานมีส่วนร่วม–โครงสร้าง กรณีโครงการ ฝายดักตะกอน ยืนยันต้องผ่าน เวทีรับฟัง/ประชาพิจารณ์ และการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมอย่างรอบด้าน “อาจสร้าง–ไม่สร้าง–หรือปรับวิธีแก้” ก็ได้—ไม่ใช้ชาวบ้านเป็นหนูทดลอง

“เราไม่ยึดติดว่าใครฝ่ายค้านหรือรัฐบาล เราไม่ได้เก่งทุกอย่าง คนที่เก่งกว่าเรายังมี—เชิญมาให้ความรู้ แล้วเอาไปใช้เพื่อประชาชน” — สุชาติ ชมกลิ่น เน้นวัฒนธรรมการทำงาน “ไร้เส้นแบ่ง” ระหว่างรัฐ–ฝ่ายค้าน–เอ็นจีโอ–นักวิชาการ

ขณะเดียวกัน รองนายกฯ ระบุได้พูดคุยกับ รองนายกฯ/รมว.เกษตรฯ ธรรมนัส พรหมเผ่า เพื่อบูรณาการภารกิจที่เกี่ยวข้อง โดยย้ำว่าหากประชาชน ไม่ต้องการฝาย” เจ้าหน้าที่รัฐก็ ทำไม่ได้” เพราะคนในพื้นที่รู้ดีที่สุด

บ่ายเชียงราย กำลังใจแนวหน้า–ตั้งหลัก PM2.5 ก่อนฤดูไฟป่า

จากแม่อายสู่เมืองเชียงราย บ่ายวันเดียวกัน นายสุชาติ เดินทางไป ศูนย์ฝึกอบรมที่ 4 (เชียงราย) มอบเสบียง–ถุงยังชีพให้ กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช และ กรมป่าไม้ เพื่อเป็นขวัญกำลังใจ “แนวหน้าดูแลผืนป่า” พร้อมเน้นการทำงานเชิงบูรณาการ อนุรักษ์–ฟื้นฟู–ใช้ประโยชน์อย่างสมดุล และการเตรียม แผนรับมือไฟป่า–หมอกควัน–PM2.5 ที่จะวนกลับมาในฤดูแล้ง

ภาพการให้กำลังใจเจ้าหน้าที่ “เสือไฟ–ชุดควบคุมไฟป่า–อนุรักษ์สัตว์ป่า” ไม่ได้เป็นเพียงพิธี หากเชื่อมกับ บริบทคุณภาพอากาศ ที่ภูมิภาคนี้ต้องเผชิญเป็นประจำ และเชื่อมกับ บริบทคุณภาพน้ำ ที่กำลังแก้ไข—เพราะท้ายที่สุด น้ำ–ดิน–อากาศ–ป่า คือระบบเดียวกัน

ตัวเลขสำคัญ เหตุผลที่ “เร็ว–ชัด–ร่วม” จำเป็น

  • 30 หมู่บ้าน ตลอดลำน้ำกก–รวก–โขง (ฝั่งเชียงใหม่–เชียงราย) ที่ต้องปรับปรุงระบบประปาหมู่บ้าน–แหล่งน้ำใหม่
  • 12,000 ไร่ (ที่ราบลุ่มน้ำกก ต.ท่าตอน) และ >100,000 ไร่ (ข้าวนาปีในเขตชลประทานลุ่มน้ำกก–สาย–รวก) ที่ภาควิชาการเสนอให้ตรวจโลหะหนักก่อนเก็บเกี่ยว เพื่อ ความปลอดภัยของผู้บริโภค–ความมั่นใจของตลาด
  • การตั้ง ศูนย์ตรวจโลหะหนักระดับจังหวัด จะลด “ค่าใช้จ่าย–เวลา–ระยะทาง” เมื่อเทียบกับการส่งตรวจในกรุงเทพฯ ทำให้ ข้อมูลทันการสื่อสารสาธารณะ
  • งาน แหล่งน้ำดิบสำรอง/บาดาลฉุกเฉิน ลดการพึ่งน้ำผิวดินช่วง “สภาวะเสี่ยง” และลด ต้นทุนสารเคมี ในกระบวนการทำประปา
  • มาตรการ การทูตน้ำ และ การค้าระหว่างประเทศ (เช่น หยุดนำเข้าแร่จากเมียนมา ที่โยงแหล่งเหมืองเสี่ยง) ทำให้ การแก้ต้นเหตุ เป็นไปได้จริงในระยะกลาง–ยาว

บทสนทนาที่เริ่มแล้ว จากฝั่งฟ้าถึงฝั่งน้ำ

ช่วงท้ายวัน นายสุชาติ เข้าร่วมประชุมที่ ศาลากลางจังหวัดเชียงราย กับผู้ว่าฯ เครือข่ายภาคประชาสังคม และหน่วยงานรัฐ โดยระบุว่า คพ. จะเป็น “แม่งานตรวจน้ำ” เพื่อให้ผลตรวจ เร็วและสม่ำเสมอ ส่วนงานประมง–ความปลอดภัยอาหาร ให้ สาธารณสุข ช่วยสื่อสาร “เกณฑ์–บริบท” อย่างเข้าใจง่ายและต่อเนื่อง

เสียงสะท้อนจากพื้นที่—ถนนกัดเซาะจากน้ำท่วม, ครัวเรือนต้องจัดหาน้ำเอง, พืชผล–การท่องเที่ยวสะดุด—ล้วนถูก จด–จำ–จับคู่หน่วย เพื่อให้การเยียวยา–กอบกู้ความเชื่อมั่นเดินคู่กับการเฝ้าระวังเชิงระบบ และการวาง แผนน้ำดิบระยะยาว (เช่น แนวทางปรับไปใช้แหล่งน้ำอื่นของ กปภ. ในบางจุด พร้อมกรอบก่อสร้างที่หน่วยงานแจ้งไทม์ไลน์ของตน)

“ปัญหาแม่น้ำกกเกี่ยวข้องความมั่นคงมนุษย์ เราต้องสู้เพื่อประชาชน ด้วยข้อมูล–ความร่วมมือ–และการสื่อสารที่ตรงไปตรงมา”—สารสำคัญที่รองนายกฯ ทิ้งไว้

เส้นทาง “สามขาความเชื่อมั่น” น้ำปลอดภัย–ข้อมูลโปร่งใส–ทูตน้ำเชิงรุก

  1. ความปลอดภัยเชิงปฏิบัติการ (Operational Safety) การตั้ง “จุดตรวจถี่–ผลเร็ว–อธิบายได้” ของ คพ. คือกุญแจเรียกความเชื่อมั่นกลับมา งานบาดาลฉุกเฉิน–แหล่งน้ำสำรองเป็น กันชนความเสี่ยง ให้ระบบประปาเดินได้แม้ในภาวะไม่แน่นอน
  2. ความโปร่งใสเชิงสื่อสาร (Risk Communication) ผล “ไม่เกินมาตรฐาน” ต้องมาคู่ บริบท–คำอธิบาย–คู่มือใช้ชีวิต (เช่น แนวทางบริโภคปลา, การล้าง–ปรุง, การคัดเลือกแหล่งน้ำในครัวเรือน) และ แดชบอร์ดสาธารณะ ที่อัปเดตรายวัน/รายสัปดาห์
  3. การทูตน้ำ–เศรษฐกิจ (Transboundary Governance) การยกระดับประเด็นสู่ GMS/ACMECS/COP และกลไกการค้า (หยุดนำเข้าแร่จากเหมืองเสี่ยง) คือ “แรงส่งต้นน้ำ” ที่ไทยต้องขับเคลื่อนคู่การแก้ปลายน้ำ เพื่อไม่ให้ “ลุ่มน้ำไทย” กลายเป็นผู้รับภาระฝ่ายเดียว

ลำน้ำเดียวกัน–ผลลัพธ์เดียวกัน

ภาพเฮลิคอปเตอร์ที่บินตามลำน้ำกกในเช้าวันนี้ เป็นทั้ง สัญลักษณ์ และ สัญญา ว่า “ลำน้ำเดียวกัน” ต้องได้ ผลลัพธ์เดียวกัน — น้ำที่ปลอดภัย อาหารที่ไว้วางใจได้ เศรษฐกิจชุมชนที่ฟื้นตัว และการตัดสินใจเชิงนโยบายที่ชัดเจนบนฐานข้อมูล รัฐ–ฝ่ายค้าน–นักวิชาการ–เอ็นจีโอ–ชุมชนต่างเห็นพ้อง “สู้ร่วมกันได้” หาก เป้าหมายคือประชาชน และ

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.)
  • กรมควบคุมมลพิษ (คพ.)
  • กรมทรัพยากรน้ำ (ทรพ.)
  • กรมทรัพยากรน้ำบาดาล (ทธบ.)
  • กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช / กรมป่าไม้
  • ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ / จังหวัดเชียงราย และศาลากลางจังหวัด
  • สำนักงานทรัพยากรน้ำที่ 1 / หน่วยงานปกครองท้องถิ่น
  • การประปาส่วนภูมิภาค (กปภ.) จังหวัดเชียงราย
  • ศูนย์อนามัยที่ 1 เชียงใหม่ กรมอนามัย / ศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ที่ 1/1 เชียงราย กระทรวงสาธารณสุข
  • ภาคประชาสังคมในพื้นที่ลุ่มน้ำกก–รวก–สาย และผู้แทนชุมชน
  • นักวิชาการมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง และเครือข่ายวิชาการที่เกี่ยวข้อง
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
ECONOMY

ตลาดกาแฟไทยโตสวนกระแส เชียงรายนำร่องยกระดับสู่กาแฟพิเศษ

Key Takeaways

  • ตลาดกาแฟโลกยังเติบโตต่อเนื่อง ขนาดตลาดปี 2024 ประมาณ 269,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และมีแนวโน้มแตะ 369,000 ล้านดอลลาร์ในปี 2030 (CAGR ราว 5.3%) ขณะที่ “ตลาดกาแฟไทย” ปี 2568 ประเมินมูลค่าราว 65,000 ล้านบาท สะท้อนพฤติกรรมผู้บริโภคที่ดื่มกาแฟเฉลี่ยมากกว่า 340 แก้ว/คน/ปีแล้ว และยังมีช่องว่างให้โตเทียบยุโรป (เฉลี่ยราว 600 แก้ว/คน/ปี)
  • ฝั่งอุปทาน ไทยผลิตเมล็ดกาแฟรวม 40,000–50,000 ตัน/ปี แต่ “กาแฟพิเศษ” (Specialty) มีเพียงราว 5,000 ตัน ไม่พอความต้องการในประเทศ ทำให้ช่วง ม.ค.–พ.ค. 2568 ต้องนำเข้าเมล็ดกาแฟคิดเป็นมูลค่า 8,387 ล้านบาท ขณะที่มูลค่าส่งออกอยู่ราว 2,412 ล้านบาท ช่องว่างนี้คือทั้ง “โจทย์” และ “โอกาส”
  • เชียงรายกำลังถูกมองเป็นห้องทดลองเชิงนโยบายและพื้นที่สาธิตของ “ยุทธศาสตร์กาแฟคุณภาพ” ตั้งแต่ไร่ (agroforestry ลดไฟป่า-ยกระดับคุณภาพเมล็ด) ถึงปลายน้ำ (เครือข่ายร้านกาแฟกว่า 1,000 ร้าน–กิจกรรม MICE ด้านกาแฟ–อีโคซิสเต็มนวัตกรรมมหาวิทยาลัย) สอดรับเทรนด์ผู้บริโภคที่หันมาหา Specialty และประสบการณ์กาแฟเชิงเรื่องเล่า (story/brand experience)
  • ภาพรวมธุรกิจแข่งขันสูง กำไรสุทธิโดยรวมของอุตสาหกรรมเริ่มหดตัว แต่เชนขนาดใหญ่ (Franchise/Chain) ยังรักษา Net Profit Margin เฉลี่ย ~17.5% ได้ ขณะที่ร้านอิสระ (Independent) เฉลี่ย ~4.6% ทางรอดคือ “ความต่างบนคุณภาพและเรื่องเล่า” ควบคู่การบริหารต้นทุนรัดกุมและสร้างเครือข่ายจับคู่ธุรกิจ (matching)

 “กาแฟไทย” ทะยานบนทางแยก—เชียงรายชูธงคุณภาพ ยกระดับสู่เวทีโลก

กรุงเทพฯ/เชียงราย, 14 กันยายน 2568— กลิ่นหอมของผงกาแฟคั่วใหม่ ไม่ได้เป็นเพียงพิธีกรรมของคนทำงานอีกต่อไป แต่กำลังกลายเป็น “เศรษฐกิจความหมาย” (meaning economy) ที่ขับเคลื่อนด้วยรสนิยม ประสบการณ์ และเรื่องเล่าเหนือแก้วกาแฟหนึ่งแก้ว ตัวเลขตอกย้ำทิศทางนั้นชัดเจน—ปี 2024 ตลาดกาแฟโลกมีมูลค่าราว 269,270 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และคาดว่าจะขยายสู่ 369,460 ล้านดอลลาร์ ในปี 2030 (CAGR โดยเฉลี่ยราว 5.3%) ขณะที่ประเทศไทยเอง กำลังขยับขึ้นสู่ มูลค่าตลาด 65,000 ล้านบาท ในปี 2568 จากพฤติกรรมการดื่มที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่องจนเฉลี่ยมากกว่า 340 แก้ว/คน/ปี

ใต้กราฟสวยงามมีปมซ้อนซ่อนอยู่—ฝั่งอุปทานไทยยัง “บาง” เกินกว่าจะรองรับดีมานด์ที่โตเร็ว เรามีพื้นที่ปลูกกว่า 220,053 ไร่ แบ่งเป็นอาราบิก้าในภาคเหนือ ~140,000 ไร่ และโรบัสต้าในภาคใต้ ~80,000 ไร่ แต่ “กำลังผลิตจริง” อยู่ราว 40,000–50,000 ตัน/ปี และที่สำคัญ กาแฟระดับพิเศษ (Specialty) มีเพียง ~5,000 ตัน เท่านั้น ผลคือไทยต้องนำเข้าเมล็ดกาแฟมากขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ—ช่วง ม.ค.–พ.ค. 2568 นำเข้ารวม 8,387 ล้านบาท ส่วนส่งออกมีเพียง 2,412 ล้านบาท สะท้อน “ช่องว่างมูลค่า” ที่ผู้เล่นไทยยังเติมไม่เต็ม

เมื่อ “รสนิยม” กลายเป็นแรงเหวี่ยงตลาด

ความเปลี่ยนแปลงทางดีมานด์ไม่ได้มาเล่น ๆ ผู้บริโภคไทยเคลื่อนจาก “กาแฟสำเร็จรูป” สู่ “กาแฟสด” และไกลไปถึง “กาแฟพิเศษ”—กลุ่มที่ยอมจ่ายตั้งแต่ 100–2,000 บาท/แก้ว เพื่อแลกรสชาติ/โพรไฟล์ และประสบการณ์ (experience) ตามมาตรฐานการให้คะแนนของ Specialty Coffee Association (SCA) เทรนด์นี้เด่นชัดในกลุ่ม Gen Y–Gen Z ที่มองกาแฟเป็น “ไลฟ์สไตล์” และ “เวทีแสดงตัวตน” ผ่านคาเฟ่ดีไซน์ งานคั่วละเอียด และเมนูซิกเนเจอร์ ขณะที่ Gen X ยังเน้นความสะดวก (กาแฟซอง/แคปซูล) และ Baby Boomer ยึดติดรสชาติเดิมจากร้านประจำ

ความซับซ้อนของผู้บริโภคทำให้ “กาแฟ” ไม่ใช่แค่วัตถุดิบเกษตรอีกต่อไป หากเป็นธุรกิจประสบการณ์ที่ต้องผสมผสานคุณภาพ ความคิดสร้างสรรค์ และเทคโนโลยี ตั้งแต่ไร่ถึงแก้ว—ใครจับเส้นเรื่องนี้ได้ จะได้ “ส่วนเพิ่มมูลค่า” (premium) เหนือตลาดมวลรวม

เชียงราย แบบฝึกหัดสู่ “ศูนย์กลางกาแฟ” ด้วยคุณภาพและความยั่งยืน

ในแผนที่กาแฟไทย จังหวัดเชียงรายกำลังเร่งเครื่องอย่างมีระบบ จาก “ดินแดนอาราบิก้าดอยสูง” ไปสู่ “ต้นแบบนิเวศกาแฟคุณภาพ” ที่ผสานเศรษฐกิจ วัฒนธรรม และสิ่งแวดล้อมเข้าด้วยกัน

  1. ยกระดับคุณภาพด้วยมาตรฐานสากล
    ผู้ผลิตเชียงรายเข้าร่วมเวทีประกวด “สุดยอดกาแฟไทย 2568 (Thai Coffee Excellence 2025)” ของกรมวิชาการเกษตร ซึ่งใช้เกณฑ์ SCA เป็น “ภาษากลาง” ในการตัดสินคุณภาพ กาแฟเชียงรายคว้าเหรียญหลายรายการในประเภทกระบวนการต่าง ๆ—ตั้งแต่ Natural/Dry ไปจนถึง Honey (Semi-dry)—คะแนนระดับ 82–85+ คือ “ไฟฉาย” ให้เกษตรกรเห็นช่องว่างพัฒนาอย่างเป็นรูปธรรม และเปิดประตูสู่ตลาดพรีเมียมที่ให้ผลตอบแทนสูงกว่าอย่างยั่งยืน (อ้างอิงประกาศผลการประกวดอย่างเป็นทางการของกรมวิชาการเกษตร)
  2. ปลูกอย่างรู้ป่า–แก้ปัญหาอย่างรู้โจทย์
    แนวทาง agroforestry หรือการปลูกกาแฟใต้ร่มไม้ใหญ่กำลังขยายผลในพื้นที่ราว 41,000 ไร่ ของจังหวัด ช่วยกักความชื้น รักษาธาตุอาหาร ลดการชะล้างหน้าดิน และ—สำคัญยิ่ง—ลดแรงจูงใจการเผาป่า ซึ่งเป็นต้นตอหมอกควัน PM2.5 ในภาคเหนือ ยิ่งปลูกดี “รสชาติ” ยิ่งดี คุณภาพยิ่งดี “ราคา” ยิ่งดี เป็นวงจรคุณภาพที่เชื่อมเศรษฐกิจชุมชนกับสิ่งแวดล้อมเข้าหากัน
  3. เศรษฐกิจปลายน้ำร้านกาแฟ > 1,000 ร้าน และ MICE ดันดีมานด์คุณภาพ
    เชียงรายมีเครือข่ายร้านกาแฟมากกว่า 1,000 ร้าน—อันดับสามของประเทศ—หนุนดีมานด์เมล็ดคุณภาพและสร้างวัฒนธรรมกาแฟให้กลายเป็น “ประสบการณ์ท่องเที่ยว” ของเมือง นอกจากนี้ จังหวัดยังใช้ยุทธศาสตร์ MICE สร้างการจับคู่ธุรกิจอย่างเป็นรูปธรรม ผ่านโครงการ “Chiangrai Specialty Coffee MICE Journey 2025” ที่ร่วมกับสำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (TCEB) และเครือข่ายผู้ประกอบการกาแฟ สร้างยอดสั่งซื้อเฉลี่ย 1 ตัน/โรงคั่ว มูลค่ารวม ~4.4 ล้านบาท—ตัวเลขที่สะท้อนว่า “คุณภาพ” แปลงเป็น “สัญญาซื้อขาย” ได้จริง ไม่ใช่แค่คำขวัญ
  4. มหาวิทยาลัยเป็นหัวรถจักรนวัตกรรม
    งาน MFU Coffee Fest 2025 ของมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง (มฟล.) ต่อเชื้อไฟนวัตกรรมตั้งแต่งานวิจัย “ทิศทางกาแฟไทยสู่ความยั่งยืน” ถึงเวิร์กช็อปสร้างมูลค่าเพิ่มจากของเหลือในกระบวนการ (เช่น เทียน/น้ำหอม/ออยล์จากกาแฟ) และเวที Global Coffee & Tea Association Forum 2025 ที่ดึงผู้เชี่ยวชาญทั่วโลกมาแลกเปลี่ยน ให้เชียงรายค่อย ๆ เปลี่ยนบทบาทจาก “ฐานผลิต” เป็น “ศูนย์กลางองค์ความรู้–นวัตกรรม” ของภูมิภาค

โครงสร้างอุตสาหกรรม แข่งขันดุเดือด—ผู้รอดคือผู้ที่ “แตกต่างบนมาตรฐาน”

ข้อมูลจากกรมพัฒนาธุรกิจการค้า (DBD) ชี้ว่าอุตสาหกรรมกาแฟไทย แข่งขันสูงมาก จำนวนกิจการใหม่เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง—ช่วง ม.ค.–มิ.ย. 2568 มีการจดทะเบียนตั้งใหม่ 415 ราย เพิ่มขึ้น 8.9% จากปีก่อน แต่ “ทุนจดทะเบียนรวม” หดลง 33.7% สะท้อนผู้เล่นหน้าใหม่ขนาดเล็ก (SMEs) เข้าตลาดถี่ขึ้น ขณะเดียวกัน ข้อมูลผลประกอบการรวมทั้งอุตสาหกรรมระบุว่า “รายได้รวม” ยังทรงตัว แต่ “กำไรสุทธิ” ลดต่อเนื่อง โดยเฉพาะกลุ่มผู้ผลิตที่เผชิญต้นทุนผันผวนจากราคาวัตถุดิบโลกและสงครามราคาหน้าร้าน

อย่างไรก็ดี ภาพไม่ได้มืดสนิท—เชน/แฟรนไชส์ รายใหญ่ อาทิ Café Amazon, Inthanin, กาแฟพันธุ์ไทย, Starbucks ฯลฯ ยังเกาะส่วนแบ่งตลาดแมสและรักษา Net Profit Margin เฉลี่ย ~17.5% ได้ต่อเนื่องจาก economies of scale และระบบสนับสนุนหลังบ้าน ขณะที่ Independent ที่เด่นเรื่องประสบการณ์–คุณภาพ–บาริสต้า มีอัตรากำไรเฉลี่ยเพียง ~4.6% และผันผวนสูงกว่า ทางรอดจึงอยู่ที่ “การสร้างแบรนด์เฉพาะ” (story/concept) บนมาตรฐานคุณภาพที่พิสูจน์ได้ด้วยคะแนน/ประกวด ร่วมกับการบริหารต้นทุนที่เข้มงวด และการต่อยอดไปสู่รายได้หลายขา (เมล็ดคั่ว–อบรม–ทัวร์ไร่–ของที่ระลึก)

“ช่องว่างมูลค่า” ด้วย Specialty + นวัตกรรม

เมื่อเชื่อมโยงทั้งฝั่งดีมานด์ (รสนิยมยกระดับ) กับฝั่งซัพพลาย (ปริมาณ specialty ยังน้อย) คำตอบเชิงยุทธศาสตร์ชัดเจน—ไทยต้อง เร่งแปลงไร่สู่คุณภาพ และ แปลงคุณภาพสู่มูลค่า อย่างเป็นระบบ

  • ยกระดับเมล็ดสู่มาตรฐานสากลสนับสนุนเกษตรกรเข้าถึงความรู้เรื่องพันธุ์/การเก็บเกี่ยว/การแปรรูป ร่วมกับการใช้คะแนน SCA เป็นเข็มทิศพัฒนา (ทำให้เห็น “ช่องว่าง” และ “ทางไป”) พร้อมเปิดเวทีประกวดในระดับจังหวัด/ภูมิภาคเพื่อสร้างแรงจูงใจ
  • ขยาย agroforestry และลดไฟป่างบวิจัย–สร้างแรงจูงใจทางการเงิน (เช่น carbon credit ระดับชุมชน) เพื่อให้การปลูกใต้ร่มไม้ใหญ่เป็น “ดีลที่คุ้ม” ทั้งกับชาวบ้านและสิ่งแวดล้อม
  • MICE + Tourism เป็นตัวคูณขยายโมเดล “Chiangrai Specialty Coffee MICE Journey” ไปยังหัวเมืองกาแฟอื่น (เชียงใหม่–น่าน–แม่ฮ่องสอน) เพื่อจับคู่ซื้อขาย specialty แบบล่วงหน้า (forward) ลดความเสี่ยงผู้ผลิต และยกระดับภาพลักษณ์ “เส้นทางกาแฟไทย”
  • มหาวิทยาลัย/สถาบันวิจัยเป็นสะพานตั้ง “คลินิกกาแฟคุณภาพ” เชิงพื้นที่ บ่มเพาะนักคั่ว–บาริสต้า–นักพัฒนาผลิตภัณฑ์ เชื่อมกับผู้ประกอบการ ผ่านโครงการฝึกงาน/เร่งรัดนวัตกรรม (accelerator) สร้างผลิตภัณฑ์ใหม่ เช่น กาแฟไร้ของเสีย (zero-waste coffee products) หรือส่วนผสมฟังก์ชันนัล
  • ข้อมูล–มาตรการภาษี–การเงินพัฒนาฐานข้อมูล traceability แหล่งปลูก–กระบวนการ–คะแนนคุณภาพ เพื่อขึ้นทะเบียน “origin” ไทย พร้อมมาตรการสินเชื่อ/ภาษีที่จูงใจให้ยกระดับคุณภาพแทนเพิ่มปริมาณอย่างเดียว

เชียงรายในกระจกอนาคตจาก “แหล่งปลูก” สู่ “ศูนย์กลางความรู้–ประสบการณ์กาแฟ”

เชียงรายกำลังบันทึก “เรื่องเล่ากาแฟ” ฉบับใหม่ที่เริ่มต้นจากดินและจบลงในใจผู้ดื่ม—ความเปลี่ยนแปลงไม่ได้อยู่ที่จำนวนไร่เพียงอย่างเดียว แต่อยู่ที่การเห็น “กาแฟ” เป็นระบบคุณค่า (value system):

  • ในไร่—ชาวบ้านมีรายได้มั่นคงขึ้นด้วยเมล็ดคุณภาพและการปลูกที่ไม่ทำร้ายป่า
  • ในเมือง—ร้านกาแฟเป็น “พื้นที่วัฒนธรรม” ให้เยาวชน–ครีเอเตอร์–นักท่องเที่ยว
  • ในตลาด—คะแนน/ประกวดกลายเป็น “ภาษากลาง” เชื่อมไทยเข้ากับโลก
  • ในประเทศ—กาแฟพิสูจน์ว่าการท่องเที่ยว–เกษตร–นวัตกรรม สามารถขับเคลื่อนร่วมกันได้

และเมื่อวงการกาแฟไทยยืนบน 3 ขา—คุณภาพ (ที่พิสูจน์ได้), นวัตกรรม (ที่แตกต่างได้), และ ความยั่งยืน (ที่ตรวจสอบได้)—เราไม่ได้แค่ขายเครื่องดื่ม แต่ขาย “ประสบการณ์ที่มีความหมาย” ให้คนทั้งโลก

เชิงนโยบาย/ข้อเสนอแนะสำหรับผู้ประกอบการ

  1. จับจุดแข็งของพื้นที่—ทำ origin story ให้ชัด (ดิน–ระดับความสูง–โพรไฟล์รสชาติ) แล้ว “แปล” เป็นภาษาแบรนด์/ป้ายหน้าเครื่อง/หน้าเมนู
  2. ลงทุนในคะแนน—ส่งเมล็ดเข้าทดสอบ/ประกวด ใช้ feedback เป็นเข็มทิศพัฒนา เมื่อมีคะแนน SCA ที่เสถียร ราคาจะขึ้นโดยอัตโนมัติ
  3. สร้างรายได้หลายขา—เมล็ดคั่ว–คอร์สชง–คาเฟ่ทัวร์–ของที่ระลึก เพื่อทนต่อรอบราคาวัตถุดิบ
  4. ใช้เครือข่าย MICE—เข้าร่วมเวทีจับคู่ธุรกิจ เจรจาสัญญาซื้อขายล่วงหน้า แบ่งเสี่ยงกับคู่ค้า
  5. บริหารต้นทุนอย่างมืออาชีพ—ล็อกต้นทุนบางส่วนด้วยสัญญา/กลยุทธ์คลังสินค้า และบริหารเมนู/ไซซ์/โปรโมชั่น เพื่อลดแรงกดจากสงครามราคา

ตลาดกาแฟไทยกำลังยืนบนทางแยกที่หอมกรุ่นด้วยโอกาส—ดีมานด์พุ่ง คุณภาพเป็นที่ต้องการ “เรื่องเล่า” ขายได้ราคา แต่ก็แข่งขันเข้มข้น ต้นทุนผันผวน และกำไรเฉลี่ยของทั้งอุตสาหกรรมไม่ได้ง่ายเหมือนเดิม แบบฝึกหัดที่เชียงรายทำอยู่—ยกระดับคุณภาพด้วยมาตรฐานโลก ปลูกอย่างรู้ป่า สร้างอีโคซิสเต็มปลายน้ำที่ขับเคลื่อนด้วย MICE และมหาวิทยาลัย—กำลังบอกเราว่าคำตอบไม่ได้อยู่ที่ปริมาณ หากอยู่ที่ “คุณค่า” ที่เราสร้างและพิสูจน์ได้

หากไทย “เติมช่องว่างมูลค่า” ให้เต็มด้วย Specialty และนวัตกรรมที่จับต้องได้ เราไม่เพียงปิดดุลการค้ากาแฟ แต่จะเปิดประเทศด้วย “เส้นทางกาแฟไทย” ที่โลกอยากมาลิ้มลอง—และอยากกลับมาอีก

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • กรมวิชาการเกษตร
  • มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง (มฟล.)
  • TCEB และเครือข่าย Chiangrai Coffee Lovers (CCL)
  • กรมพัฒนาธุรกิจการค้า DBD
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI WORLD PULSE

สะพานแม่สาย-ท่าขี้เหล็ก “ล็อกดาวน์สินค้า” ท่ามกลางวิกฤตเศรษฐกิจเมียนมา

ล็อกดาวน์สินค้า” สะพานแม่สาย–ท่าขี้เหล็ก สัญญาณสั่นคลอนเศรษฐกิจชายแดน—ของจำเป็นขาดแคลน ค่าใช้จ่ายขนส่งพุ่ง เสี่ยง “ค้าเถื่อน” คืนชีพ

เชียงราย, 26 สิงหาคม 2568 —วันที่ชายแดนไม่เหมือนเดิม รถบรรทุกจอดเรียงรายริมถนนพหลโยธินฝั่งอำเภอแม่สาย โดยมีแม่น้ำสายกั้นกลางสู่เมืองท่าขี้เหล็กของเมียนมา เหนือศีรษะคือคานเหล็กของสะพานมิตรภาพไทย–เมียนมา แห่งที่ 1 ที่เคยคึกคักด้วยกระแสสินค้าหลั่งไหล วันนี้กลับถูกบีบให้เหลือเพียง “ช่องเล็ก” สำหรับอาหารและเครื่องดื่มเท่านั้น สะท้อน “การล็อกดาวน์สินค้า” ที่สื่อเมียนมาอย่าง The People’s Voice รายงานเมื่อ 25 สิงหาคม 2568 ว่าทางการฝั่งท่าขี้เหล็ก จำกัดการขนส่งสินค้าทุกประเภท ยกเว้นอาหารและเครื่องดื่มในปริมาณจำกัด สร้างแรงกระเพื่อมต่อเศรษฐกิจ–สังคมทั้งฝั่งไทยและเมียนมาอย่างฉับพลัน

ข่าวสั้นไม่กี่บรรทัดจากฝั่งท่าขี้เหล็ก แปลความหมายเป็นภาพยาวไกล: สายพานค้าชายแดนที่พึ่งพาเวลานาทีต่อ นาที เริ่มสะดุด ตลาดเมืองหลักของรัฐฉานอย่าง ตองยี ร้องขาด “ของจำเป็น” โดยเฉพาะ ยา อุปกรณ์ไฟฟ้า–คอมพิวเตอร์ และชิ้นส่วนโทรศัพท์ที่พึ่งพาการนำเข้า—สินค้าที่ “ไม่ได้อยู่ในกรอบยกเว้น” เมื่อสะพานแคบลง คลื่นราคาในฝั่งเมียนมาก็สูงชันขึ้นตามรายงานภาคสนาม ขณะที่สายเดินรถขนส่งหลายสาย “หยุดให้บริการ” เพราะ ค่าธรรมเนียมท่าเรือสูงขึ้น และเกิดสภาวะ “มีแต่ขาไป ไม่มีขากลับ” ทำให้ต้นทุน/เที่ยว ขาดความคุ้มทุน ทวีคูณ

ปมเหตุที่เชื่อมถึง “ภูมิรัฐศาสตร์ของท้องตลาด”

มาตรการจำกัดสินค้าข้ามแดนครั้งนี้เกิดขึ้น ท่ามกลางสถานการณ์ความไม่สงบในเมียนมา ที่ยืดเยื้อ และแรงกดดันทางเศรษฐกิจภายในประเทศที่ทวีขึ้นอย่างต่อเนื่อง อาการสำคัญปรากฏที่ชายแดน: เมื่อช่องทางการค้า “ปกติ” ถูกบีบให้เล็กลง ความต้องการของตลาด—โดยเฉพาะ ยารักษาโรค–ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์–อุปกรณ์สื่อสาร—ไม่ได้หายไป แต่ถูกผลักให้ไหลลง ช่องทางไม่เป็นทางการ มากขึ้น เสี่ยงให้ การค้าเถื่อน” คืนชีพ อย่างที่ผู้ประกอบการหลายรายบนแนวชายแดนกังวล

แต่ผลสะเทือนมิได้จำกัดอยู่ฝั่งตะวันตกของแม่น้ำสาย ฝั่งไทย—โดยเฉพาะ เชียงราย—ซึ่งพึ่งพา การค้าชายแดน เป็นกลไกหลักของเศรษฐกิจท้องถิ่น ก็ต้องเผชิญแรงดึงกลับจากสองทิศทางพร้อมกัน

  1. ปริมาณธุรกรรมถูกหดรัด รายได้เกี่ยวเนื่องจากโลจิสติกส์–บริการชายแดนหดตัว
  2. ความเสี่ยงด้านความมั่นคงเพิ่ม เจ้าหน้าที่ต้องเฝ้าระวัง ลักลอบนำเข้า–ส่งออก สินค้าต้องห้าม/สินค้าที่ไม่ผ่านมาตรฐาน ซึ่งมักมาพร้อมกับ สินค้าปลอม–ยาปลอม และ อาชญากรรมข้ามชาติ รูปแบบต่างๆ

ของขาด–ราคาเพิ่ม–เส้นทางหยุด” เส้นทางวิกฤตที่ซ้ำเติมกันเอง

รายงานของ The People’s Voice ต่อจิ๊กซอว์สามชิ้นที่ร้อยเข้าด้วยกันอย่างน่ากังวล

  • ขาดแคลนยาและอะไหล่สื่อสาร: ร้านค้าบริเวณตลาดเมืองตองยีสะท้อนตรงกันว่า “ยา” และ อุปกรณ์ไฟฟ้า–คอมพิวเตอร์–ชิ้นส่วนโทรศัพท์ ขาดแคลนหนัก สินค้าที่เคยเดินทางผ่านชายแดนภาคเหนือของไทยด้วยรูปแบบปกติ กลับต้องหยุดชะงักเมื่อ “รายการสินค้าต้องห้าม” ของทางการเมียนมา ยืดตัว ไปครอบคลุมสินค้าจำเป็นจำนวนมาก
  • ต้นทุนโลจิสติกส์ถีบตัว: มาตรการจำกัดสินค้าบีบให้ ค่าธรรมเนียมท่าเรือ–ผ่านแดนสูงขึ้น ขณะเดียวกันบริษัทขนส่งเผชิญภาวะ เที่ยวขากลับว่างเปล่า เมื่อสินค้า “ไม่เข้าเกณฑ์ผ่านได้” ย่อมไม่มีสินค้าให้บรรทุกย้อนกลับ—ต้นทุนต่อเที่ยวจึง พุ่งขึ้นทันที
  • ความเสี่ยง “ตลาดมืด” แทรกตัว: เมื่อสินค้าในตลาดทางการขาดแคลนและราคาเด้งสูง ผู้ค้าบางส่วน—เพื่อความอยู่รอด—อาจหันไป ช่องทางนอกระบบ ซึ่งสำหรับแนวชายแดนที่สลับซับซ้อนและภูมิประเทศเอื้อต่อการเล็ดลอด นี่คือความเสี่ยงที่ฝ่ายความมั่นคงต้องคาดการณ์ล่วงหน้า

เชียงรายต้องเตรียมอะไร มาตรการ “ตั้งรับ–รุก–ประสาน” ในเวลาเดียวกัน

ในสถานการณ์ที่ข้อมูลอย่างเป็นทางการจากฝั่งเมียนมามักมาแบบกระท่อนกระแท่น หน่วยงานไทยจำเป็นต้องขยับเชิงรุก ทั้งมิติ การค้า–ความมั่นคง–ผู้บริโภค ไปพร้อมกัน

  1. เข้มด่าน–คุมคุณภาพสินค้าเข้มงวด
    • ศุลกากร–ตรวจคนเข้าเมือง–ฝ่ายปกครอง ควรประสาน เพิ่มการสแกนความเสี่ยงตามชนิดสินค้า (risk-based) บนสินค้าประเภทที่มีโอกาสลักลอบสูง เช่น ยา–อาหารเสริม–ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ โดยเน้น คุณภาพ–มาตรฐาน ป้องกันสินค้าปลอม/ไม่ปลอดภัย หลุดสู่ผู้บริโภคฝั่งไทย
  2. กัน “แร่–สินแร่สกปรก” และของผิด กม. ไม่ให้ปนสายในวิกฤต
    • วิกฤตฝั่งโน้นอาจเปิดช่องให้ แร่–สินแร่ จากพื้นที่เสี่ยง (รวมถึงสินค้าควบคุมอื่น) ไหลผ่านช่องทางผิดกฎหมาย เพื่อแปรรูป/ตบตาเอกสารในไทย จำเป็นต้อง ยกระดับตรวจสอบแหล่งที่มา (traceability) และ เครือข่ายข่าวกรองชุมชน บริเวณจุดผ่อนปรน/ทางลำลอง
  3. ดูแลผู้ประกอบการขนส่ง–ค้าชายแดนไทย
    • รัฐควรพิจารณา ผ่อนคลายน้ำหนักภาษี/ค่าธรรมเนียมบางประเภทชั่วคราว หรือจัด สินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ ให้ผู้ประกอบการขนส่งชายแดนที่ได้รับผลกระทบโดยตรง เพื่อ คงสภาพการจ้างงาน และไม่ให้ระบบโลจิสติกส์ท้องถิ่น “หยุดนิ่ง”
  4. คุ้มครองผู้บริโภค–สาธารณสุขชายแดน
    • องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น–สาธารณสุขจังหวัด ควร เผยแพร่คำเตือน เรื่องการซื้อ ยา/อุปกรณ์การแพทย์ ผ่านช่องทางนอกระบบ และตั้ง จุดให้คำปรึกษา สำหรับผู้ที่จำเป็นต้องเข้าถึงยา พร้อมจับมือ โรงพยาบาล–ร้านขายยา บริหารจัดการ ยาเทียบเคียง/ยาทดแทน ในภาวะเปลี่ยนผ่าน
  5. เดินหน้าช่องทางประสานงานเทคนิคกับฝั่งเมียนมา
    • นอกเหนือจากระดับรัฐบาลกลาง ควรใช้ ช่องทางชายแดน–จังหวัดคู่แฝด ระหว่าง แม่สาย–ท่าขี้เหล็ก เปิดโต๊ะหารือเทคนิคเพื่อ กำหนดรายการยกเว้นอย่างโปร่งใส (เช่น ยาจำเป็นเวชภัณฑ์, อุปกรณ์การแพทย์เร่งด่วน) และออก คิวโควตา ที่สามารถคาดการณ์ได้ ลดแรงจูงใจเข้าสู่ตลาดมืด

เมื่อเศรษฐกิจคลอนแคลน ความมั่นคงชายแดนย่อมเปราะบาง

ประวัติศาสตร์การค้าชายแดนไทย–เมียนมาบอกเราว่า เมื่อเศรษฐกิจฝั่งหนึ่งสะดุด ชายแดนจะเห็น “เส้นทางเงา” ขยับทันที ทั้ง สินค้าต้องห้าม–แรงงานผิดกฎหมาย–สารเสพติด–อาชญากรรมไซเบอร์ ความรุนแรงของลูกคลื่นขึ้นกับสองปัจจัย:

  • ช่องทางทางการเปิดแคบแค่ไหน (ยิ่งแคบ ยิ่งดันให้ไหลใต้ดิน)
  • ความเข้มแข็งของการบังคับใช้กฎหมาย ทั้งสองฝั่ง (ยิ่งรั่ว ยิ่งไหล)

ในกรอบนี้ เชียงรายต้อง รักษาสมดุลยาก ระหว่าง เอื้อต่อการค้าถูกกฎหมาย (เพื่อพยุงเศรษฐกิจท้องถิ่น) กับ ปิดช่องโหว่ ที่เปิดโอกาสให้สินค้าผิดกฎหมายเล็ดลอด สาระสำคัญไม่ใช่ “ปิด–เปิด” แต่คือ เปิดอย่างมีระบบ–ปิดอย่างมีข้อมูล” ผ่านการ แลกเปลี่ยนข้อมูลเรียลไทม์ ระหว่างศุลกากร–ตำรวจตรวจคนเข้าเมือง–กองกำลังผสมชายแดน–ด่านควบคุมโรคติดต่อระหว่างประเทศ

เสียงจากปลายน้ำ เมื่อตลาดเปลี่ยน ผู้ประกอบการไทยต้องเปลี่ยนแผน

สำหรับผู้ประกอบการไทย 3–6 เดือน ข้างหน้าควรถือเป็นช่วง “บริหารความเสี่ยง” มากกว่าขยายการลงทุน โดยมีแนวทางเบื้องต้นดังนี้

  • กระจายตลาด: หากพึ่งพาลูกค้าฝั่งท่าขี้เหล็กสูง ให้ กระจายสัดส่วน ไปสู่ตลาดในประเทศ–จังหวัดข้างเคียง พร้อมสำรวจ ช่องทางดิจิทัล สำหรับสินค้าที่ไม่ติดข้อกำหนดผ่านแดน
  • บริหารสต็อกแบบ Lean: สินค้าที่มีโอกาสติดขัดการคืนภาษี/กระบวนการผ่านแดน ควรลดสต็อกค้าง และหันมาใช้ สัญญาซื้อ–ขายแบบสั้น ลดความเสี่ยงจากการคาดการณ์ผิด
  • ติดตามกฎระเบียบรายสัปดาห์: มาตรการฝั่งเมียนมามีโอกาส เปลี่ยนกะทันหัน ผู้ประกอบการควรตั้ง “จุดเฝ้าฟัง” ข่าวจากหน่วยงานไทย–เมียนมา/สื่อท้องถิ่น เพื่อปรับแผนการส่งมอบแบบทันทีทันใด

ความเป็นไปได้ข้างหน้า 3 ฉากทัศน์ และผลต่อเชียงราย

  1. คลายบางส่วนแบบมีรายการยกเว้น
    ฝั่งท่าขี้เหล็กอนุญาตสินค้าจำเป็นเพิ่ม (เช่น เวชภัณฑ์ อะไหล่สื่อสารที่จำเป็นต่อโครงสร้างพื้นฐาน) ภายใต้ โควตา/คิว การค้าอย่างเป็นทางการฟื้นบางส่วน ความเสี่ยงค้าเถื่อนลดลงบ้าง เชียงรายได้ สภาพคล่องการค้า กลับส่วนหนึ่ง
  2. ล็อกเข้มยืดเยื้อ
    การขาดแคลนในรัฐฉาน–เมืองหลักลึกขึ้น ราคาพุ่ง ตลาดมืดโตเร็ว แรงกดดันต่อแนวชายแดนไทยสูงที่สุด หน่วยงานไทยต้อง ทุ่มกำลังตรวจ–สกัด มากขึ้น ผู้ประกอบการไทยหดตัวทางรายได้ช่วงสั้น–กลาง
  3. เปิด–ปิดสลับ (stop–go)
    ฝั่งเมียนมาปรับมาตรการรายช่วง ทำให้ผู้ประกอบการ วางแผนไม่ได้ เกิดต้นทุนแฝงจากความไม่แน่นอน เชียงรายต้องพึ่ง ระบบแจ้งเตือน–ศูนย์ข้อมูลชายแดน เพื่อลดความเสียหายจากการ “เลี้ยวโค้งกะทันหัน” ของกฎระเบียบ

ในทั้งสามฉากทัศน์ บทบาทเชิงรุกของ จังหวัดเชียงราย และด่านชายแดน แม่สาย ในการเป็น “ศูนย์เชื่อมประสานข้อมูล–นโยบาย” กับหน่วยงานส่วนกลาง จะเป็นตัวแปรว่าพื้นที่สามารถ ลดผลกระทบ และ รักษาความเชื่อมั่นทางการค้า ได้มากเพียงใด

ประเด็นมนุษยธรรม “ยาจำเป็น” ต้องไม่ติดคอข้ามสะพาน

แม้มาตรการจำกัดสินค้าจะมุ่งประเด็นเศรษฐกิจ–ความมั่นคง แต่เสียงสะท้อนจากร้านยาที่ ตองยี ชี้ให้เห็นชัดว่า มิติ มนุษยธรรม ต้องถูกจัดวางข้างหน้า หาก “ยาเร่งด่วน/เวชภัณฑ์จำเป็น” ไม่สามารถผ่านแดนได้ทันเวลา ผลกระทบต่อ ผู้ป่วยเรื้อรัง–ผู้สูงอายุ–เด็ก จะชัดเจนรวดเร็ว

นี่คือเหตุผลที่ฝ่ายไทยควรเสนอ กลไก “ทางด่วนมนุษยธรรม” (Humanitarian Fast-Track) สำหรับรายการเวชภัณฑ์จำเป็น โดยกำหนด รายการ–เอกสาร–โควตา–จุดรับมอบ ที่ตรวจสอบได้ ลดแรงจูงใจให้ ยาเถื่อน–ยาปลอม แทรกซึมเข้ามาในตลาด

สะพานที่แคบลงกำลังทดสอบ “ภูมิคุ้มกัน” เศรษฐกิจชายแดนไทย

การจำกัดการขนส่งสินค้าข้าม สะพานแม่สาย–ท่าขี้เหล็ก คือสัญญาณเตือนชัดเจนว่า ความปั่นป่วนทางการเมือง–เศรษฐกิจในเมียนมากำลัง สาดซัด มาถึงเสาหลักการค้าชายแดนของไทย หากมองเพียงมิติ “ปิด–เปิด” สะพาน เราอาจเห็นแค่ การหยุดชะงัก แต่หากมองให้ครบทั้ง “เส้นเลือดเศรษฐกิจ–ความมั่นคง–ผู้บริโภค–มนุษยธรรม” จะเห็นว่า เชียงรายมีทางเลือก ในการเปลี่ยนวิกฤตให้เป็น “บทเรียนยกระดับระบบชายแดน” ได้

กุญแจอยู่ที่ ข้อมูล–ความเร็ว–ความร่วมมือ

  • ข้อมูล: ด่าน–จังหวัด–ผู้ประกอบการต้องแชร์สัญญาณตลาดแบบใกล้จริง
  • ความเร็ว: มาตรการชั่วคราวด้านภาษี–สินเชื่อ–คิวเวชภัณฑ์ต้อง “ทันเวลา”
  • ความร่วมมือ: ประสานงานข้ามพรมแดนในระดับพื้นที่ เพื่อ เว้นช่องมนุษยธรรม แต่ปิดประตู สินค้าอันตราย–ผิดกฎหมาย

สะพานที่แคบลงวันนี้ อาจกว้างกลับไม่ช้า—ถ้าเรารู้ เลือกเปิด ในสิ่งที่สังคมต้องการ และ กล้าปิด ในสิ่งที่ทำร้ายความมั่นคงร่วมกัน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • The People’s Voice (Myanmar) — รายงานวันที่ 25–26 สิงหาคม 2568
  • ด่านศุลกากรแม่สาย / กรมศุลกากร
  • สำนักงานพาณิชย์จังหวัดเชียงราย
  • สำนักงานตำรวจแห่งชาติ / กอ.รมน.ภาค 3 / ตม.
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI ENVIRONMENT

เวทีเชียงรายชำแหละวิกฤต “แรร์เอิร์ทข้ามพรมแดน” เตือนฟื้นฟูธรรมชาติกินเวลา 100 ปี

เวทีเชียงรายชำแหละวิกฤต “แรร์เอิร์ทข้ามพรมแดน” นักวิจัยคะฉิ่นเตือนฟื้นฟูธรรมชาติอาจกินเวลา 50–100 ปี แนะไทยเร่งตั้งการ์ด ตรวจน้ำ–คัดกรองแร่ และเปิดเจรจากลุ่มชาติพันธุ์

เชียงราย, 26 สิงหาคม 2568 — ยามเย็นปลายฤดูฝน เม็ดฝนจางๆ เคล้าสายลมเหนือพัดผ่านลุ่มน้ำกก ผู้คนหลากวัยแน่นหอจัดแสดงของ พิพิธภัณฑ์ศิลปะร่วมสมัยเมืองเชียงราย ศูนย์กลางศิลปะที่วันนี้กลายเป็น “เวทีนโยบายสาธารณะฉุกเฉิน” กับเสวนา จากคะฉิ่นถึงไทย: เหมืองแร่แรร์เอิร์ทกับผลกระทบด้านสังคมและสิ่งแวดล้อม” ผู้ร่วมเสวนาครอบคลุมทั้งนักวิชาการและนักสิ่งแวดล้อมจากไทยและคะฉิ่น อาทิ นายธารา บัวคำศรี (Climate Connector), ผศ.ดร.นัทมน คงเจริญ (คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่), ดร.สงกรานต์ ป้องบุญจันทร์, ดร.สืบสกุล กิจนุกร (มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง), Zung Ting และ Seng Li จาก Shaba Foundation (Kachin State)

แม้ชื่อเวทีจะเริ่มจาก “คะฉิ่น” ที่ดูห่างไกล แต่สารที่ส่งมาถึงชายแดนเหนือของไทยนั้นใกล้กว่าที่คิด—ใกล้เท่า สายน้ำเดียวกัน ที่ไหลจากสันเขาสูงลงสู่ แม่โขง–แม่กก–แม่รวก–แม่สาย ซึ่งบำรุงโลกทั้งการกินอยู่และเศรษฐกิจของเชียงราย

จุดตั้งต้นของสัญญาณเตือน “50–100 ปี” ไม่ใช่คำขู่ แต่คือเวลาฟื้นฟูระบบนิเวศ

ไฮไลท์ที่ทำให้ทั้งห้องเงียบงัน คือคำให้สัมภาษณ์ของ นาย Seng Li นักวิจัยชาวคะฉิ่นจาก Shaba Foundation ที่ระบุอย่างตรงไปตรงมาว่า ผลกระทบสิ่งแวดล้อมจาก การทำเหมืองแรร์เอิร์ท ในคะฉิ่นนั้น รุนแรงลึก ถึงขั้นที่ธรรมชาติอาจต้องใช้เวลา 50–100 ปี จึงจะฟื้นคืนสภาพใกล้เดิมได้ พร้อมเตือนว่า “หลายอย่างในคะฉิ่น สายเกินแก้ ไปแล้ว ไทยจึงต้อง ตื่นตัว ตั้งแต่วันนี้”

สารของเขาไม่ได้เป็นเพียง “เสียงจากต่างแดน” หากเป็นประสบการณ์ตรงจาก พื้นที่ต้นน้ำ ที่กำลังถูกไชทะลวงด้วยกระบวนการ ละลายชะแร่ในชั้นดิน (in-situ leaching) จนหน้าดินพรุน น้ำปนเปื้อน และภูเขากลายเป็นโพรง—ภาพที่สอดรับกับวิดีโอจากแรงงานเหมืองและภาพถ่ายดาวเทียมที่องค์กรสิทธิในรัฐฉานเผยแพร่เมื่อไม่นานนี้

ทำไมเรื่องคะฉิ่นจึง “ถึงเชียงราย” โยงสายธาร—โยงเศรษฐกิจ—โยงความมั่นคงมนุษย์

ดร.สืบสกุล กิจนุกร จากมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง ขยายภาพให้เห็นความเชื่อมโยงทางภูมิศาสตร์ที่หลีกเลี่ยงไม่ได้: เหมืองแรร์เอิร์ทในรัฐฉาน–คะฉิ่นจำนวนหนึ่งตั้งอยู่ บนลำน้ำสาขา ที่ไหลลงทั้ง สาละวิน และ โขง ก่อนแผ่ผลสะเทือนถึง เชียงราย–เชียงของ–เชียงแสน แน่นอนว่าการปนเปื้อนที่ต้นน้ำ ไม่จำเป็นต้องรุนแรงทันที แต่การสะสมซ้ำซากในฤดูฝน—โดยเฉพาะในช่วงที่เกิดฝนหนักต่อเนื่อง—อาจทำให้ ตะกอน–โลหะหนัก เดินทางลงสู่ปลายน้ำได้

แม้ปัจจุบัน ข้อมูลการปนเปื้อนเชิงวิทยาศาสตร์บนสาขาแม่น้ำต้นทาง ยังต้องเร่งตรวจสอบอย่างเป็นระบบ แต่ดร.สืบสกุลชี้ว่า งานร่วมกับ คณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง (MRC) พบ โลหะหนักในลำน้ำโขง แล้วในบางช่วงเวลา อีกทั้งเวทียังหยิบยกประเด็น “แร่–สินแร่ที่นำเข้าจากเมียนมา” ซึ่งไทยควรมีมาตรการ คัดกรองสารปนเปื้อน และ ตรวจสอบที่มา (traceability) เพื่อลดความเสี่ยงไม่ให้ แร่สกปรก” หลุดเข้าสู่ห่วงโซ่อุตสาหกรรมของประเทศ

เบื้องลึกเหมืองแรร์เอิร์ทคะฉิ่น–ฉาน เมื่อภูเขาถูกฉีดสารเคมี และระบบอำนาจอ่อนต่อทุน

Zung Ting นักสิ่งแวดล้อมคะฉิ่นที่ทำงานภาคสนามมากว่า 20 ปี เล่าถึงจุดเปลี่ยนว่า หลัง จีนปรับนโยบายควบคุมผลกระทบสิ่งแวดล้อม ภายในประเทศ กิจการ “แรร์เอิร์ท” ส่วนหนึ่งจึง ย้ายฐาน มายังพื้นที่ชายแดน โดยเฉพาะหลัง รัฐประหารเมียนมา ปี 2564 กลไกกำกับดูแลอ่อนแรงลง ความเข้มข้นของการทำเหมือง พุ่งสูงอย่างรวดเร็ว ปัจจุบันคะฉิ่นคาดว่ามีเหมือง ราว 370 แห่ง หลายแห่งเป็น HREEs (แร่หายากหนัก) ที่มี มูลค่าและความสำคัญเชิงยุทธศาสตร์ สูง ใช้ผลิต แม่เหล็กถาวร–กังหันลม–อุปกรณ์ทหาร–อิเล็กทรอนิกส์ขั้นสูง

ผลกระทบที่เห็นชัดและต่อเนื่อง ได้แก่

  • น้ำท่วม–ดินโคลนถล่ม ถี่ขึ้น เพราะโครงสร้างภูเขา “กลวงพรุน” จากการฉีดสารลงชั้นดิน
  • น้ำผิวดิน–น้ำใต้ดิน เปลี่ยนสีและคุณภาพ ชุมชน ขาดแคลนน้ำสะอาด บริโภค
  • ผู้คนเผชิญ โรคผิวหนัง และอาการผิดปกติทางสุขภาพเพิ่มขึ้น
  • ความมั่นคงทางอาหาร ถดถอย: จากเดิมที่ขายสมุนไพร–เครื่องเทศให้จีน กลับถูก ปิดรับซื้อ เมื่อกิจการเหมืองขยาย

ด้านโครงสร้างอำนาจ Seng Li ระบุว่า ปัจจุบันพื้นที่จำนวนมากอยู่ในการควบคุมของ KIO/KIA แต่ ธรรมาภิบาลเหมือง ยังอ่อน ทั้งกระบวนอนุญาตที่ ไม่โปร่งใส, การไม่ฟื้นฟูพื้นที่ หลังทำเหมือง, และข้อพิพาทแรงงานที่ เอนเอียงเข้าข้างทุน โดยเฉพาะทุนจีน เขาชี้ให้เห็น “ด้านสว่าง” เพียงเล็กน้อยว่า ช่องทางการเข้าถึงพื้นที่ของ นักวิชาการและสื่อ ยังพอเป็นไปได้—และควรถูกใช้เพื่อผลักดัน มาตรฐานสิ่งแวดล้อมขั้นต่ำ ที่วัดผลได้จริง

หลักฐานจากอวกาศ SHRF ชี้เหมือง 19 แห่งห่างโขง ~40 กม. ภายใต้ NDAA/เมืองลา เพิ่มพรวดใน 4 ปี

เสวนายังหยิบยกแถลงการณ์ล่าสุดของ Shan Human Rights Foundation (SHRF) ที่เผย ภาพถ่ายดาวเทียม (พ.ค. 2568) และวิดีโอจากแรงงานเหมือง ระบุการกระจายตัวของเหมืองแรร์เอิร์ท 19 แห่ง ในเขตควบคุมของ กองกำลังเมืองลา (NDAA) ใกล้ เมืองยอง ทางตะวันออกของรัฐฉาน ห่างแม่น้ำโขงเพียงราว 40 กิโลเมตร จากเดิมเมื่อ ต้นปี 2564 ตรวจพบบริเวณเดียวกัน เพียง 3 แห่ง (และทยอยร้าง) ปัจจุบันพบว่า 16 แห่งเดินเครื่อง และ อีก 3 แห่งกำลังก่อสร้าง ลักษณะเด่นคือ บ่อสกัดแร่เป็นวงแหวนซ้อน และ ท่อฉีดสารเคมี ลงเชิงเขา น้ำทิ้งจากเหมืองไหลผ่าน คลองน้ำนับ แม่น้ำโหลย (Lwe River) → แม่น้ำโขง ซึ่งหากประกอบกับฝนหนักต่อเนื่อง ก็ยิ่งเพิ่ม โอกาสพัดพาตะกอนปนเปื้อน ลงสู่ ระบบทางน้ำสายหลัก ได้

จากเวทีสู่ข้อเสนอเชิงนโยบาย “การ์ดไทย” ที่ทำได้ทันที

เสียงส่วนใหญ่ในเวทีสรุปไปในทิศทางเดียวกันว่า ไทยต้อง ยกระดับการเฝ้าระวังคุ้มกันความเสี่ยง ทั้งด้านสิ่งแวดล้อม สาธารณสุข และเศรษฐกิจท้องถิ่น โดยเร่งดำเนินการอย่างน้อย 4 แนวทางหลัก ดังนี้

  1. ตั้งเครือข่ายตรวจคุณภาพน้ำข้ามพรมแดนแบบต่อเนื่อง
    • กำหนด “จุดตรวจหลัก” บน แม่กก–แม่รวก–แม่สาย–แม่โขง ในเชียงราย (เช่น เชียงแสน–แม่สาย–แม่จัน) ตรวจ โลหะหนัก/สารหนู/ค่าความขุ่น เป็น รายสัปดาห์ ช่วงฤดูฝน และ รายเดือน ช่วงปกติ
    • แสดงผลผ่าน แดชบอร์ดสาธารณะ ให้ชุมชนประมง–ผู้ประกอบการท่องเที่ยว–ประชาชนเข้าถึงแบบเรียลไทม์ สร้างความเชื่อมั่นด้วย ข้อมูลเปิด (open data)
  2. คัดกรอง “แร่–สินแร่” ขาเข้าที่ด่านเหนือ
    • เพิ่มขั้นตอน สุ่มตรวจสารปนเปื้อน ในสินแร่–วัตถุดิบที่ผ่านแดนเข้าสู่ไทย โดยเฉพาะสินค้าจำพวก หินดินทราย/ดินสกัด ที่เกี่ยวข้องกับวงจรผลิตแรร์เอิร์ท
    • จัดทำระบบ traceability ครอบคลุม ที่มา–เส้นทาง–ผู้ค้า และเชื่อม มาตรฐานสิ่งแวดล้อม–แรงงาน เพื่อกัน “แร่สกปรก” ออกจากห่วงโซ่อุตสาหกรรมไทย
  3. เปิดโต๊ะคุยกับ “ผู้ควบคุมพื้นที่จริง” ควบคู่รัฐบาลกลางเมียนมา
    • นอกเหนือจากช่องทางทวิภาคีกับรัฐบาลทหารเมียนมา ไทยควร หารือทางเทคนิค กับกลุ่มที่ควบคุมพื้นที่เหมือง เช่น KIO/KIA, NDAA/เมืองลา, และเครือข่ายชาติพันธุ์อื่นๆ เพื่อกำหนด มาตรฐานสิ่งแวดล้อมขั้นต่ำ–ขั้นตอนตรวจร่วม–ช่องทางร้องเรียน ที่ทำงานได้จริงในพื้นที่
  4. ตั้งการ์ดสาธารณสุข–เตือนภัยชุมชน
    • เมื่อพบสัญญาณผิดปกติ (สี–กลิ่น–ค่าความขุ่นของน้ำ, ปลา/สัตว์น้ำตายผิดธรรมชาติ) ให้ แจ้งเตือน งดจับ–งดบริโภคสัตว์น้ำชั่วคราว พร้อมจัดชุดแพทย์ คัดกรองโรคผิวหนัง–ระบบทางเดินอาหาร ลงพื้นที่
    • สนับสนุน ชุดทดสอบชุมชน สำหรับแกนนำท้องถิ่น และจัด งบฟื้นรายได้ ให้กลุ่มประมง–ท่องเที่ยว หากจำเป็นต้องออกประกาศงดกิจกรรมชั่วคราว

เชียงรายต้องระวัง “ตรงไหน–อย่างไร” ใน 3 เดือนข้างหน้า

  • จุดเสี่ยงธรรมชาติ: คลอง–ลำห้วยที่รับน้ำจากแนวป่าชายแดนซึ่งไหลลง แม่กก–แม่รวก–แม่สาย รวมถึง ตอนบนของแม่โขง ในเขตเชียงแสน/เชียงของ
  • สัญญาณเตือนเร็ว: น้ำเปลี่ยนเป็น เขียวใสผิดธรรมชาติ/ขุ่นจัด, มี ตะกอน–ฟอง มากผิดปกติ, พบ ปลาลอยหัว/ตาย เป็นหย่อม
  • สื่อสารชุมชน: ใช้เครือข่าย ผู้ใหญ่บ้าน–เทศบาล–อปพร. ส่งสัญญาณผ่าน ไลน์กลุ่ม/เสียงตามสาย และป้ายเตือนริมน้ำแบบ เข้าใจง่าย
  • ผู้ประกอบการริมน้ำ: แพ–ล่องเรือ–ร้านอาหาร ควรติดตามคำแนะนำจาก สาธารณสุขจังหวัด–สำนักสิ่งแวดล้อมภาค อย่างใกล้ชิด พร้อม ประกาศความปลอดภัย–มาตรการเฝ้าระวัง ต่อผู้ใช้บริการอย่างโปร่งใส

มิติภูมิรัฐศาสตร์ของ “แร่อนาคต” พลังงานสะอาดกับราคาที่ธรรมชาติต้องจ่าย

บทสนทนาในเวทีสะท้อนความย้อนแย้งของโลกยุคเปลี่ยนผ่านพลังงาน: โลกต้องการ แม่เหล็กถาวร–กังหันลม–รถไฟฟ้า มากขึ้น จึงต้องใช้ HREEs มากขึ้น แต่กระบวนการผลิตที่ ไม่รับผิดชอบ กลับผลัก ต้นทุนสิ่งแวดล้อม ไปที่สันเขาและชุมชนชายแดน หากไม่มี มาตรฐานสากล–แรงกดดันผู้ซื้อ–กลไกตรวจสอบแหล่งที่มา ก็เสมือนโลกกำลังขับ “การเปลี่ยนผ่านสีเขียว” ด้วย วัตถุดิบสีเทา

Seng Li เน้นว่า ประเทศผู้นำเข้า—ทั้งรัฐและเอกชน—ควร ตรวจสอบต้นทาง ให้ชัดเจนก่อนซื้อ โดยยึด เกณฑ์สิ่งแวดล้อม–สิทธิมนุษยชน ที่ตรวจได้จริง ขณะที่ฝั่งไทยควร ยืนอยู่บนข้อมูล ที่เก็บเอง ตรวจเอง และเปิดเผยเอง ไม่ใช่รอเพียงรายงานจากภายนอก

ให้ “เชียงราย” เป็นต้นแบบการป้องกันความเสี่ยงข้ามพรมแดนของลุ่มน้ำโขง

ความจริงจากเวทีเชียงรายบอกเรา 3 ประการ

  1. ความเสี่ยงเป็นจริงและเพิ่มขึ้น: หลักฐานภาพถ่ายดาวเทียม–ภาคสนามชี้ว่าการทำเหมืองแรร์เอิร์ท ขยายเร็ว ใกล้แนวแม่น้ำโขง
  2. ผลกระทบลึกและยืดเยื้อ: หากปล่อยให้ธรรมชาติพัง “50–100 ปี” จะไม่ใช่คำคาดคะเน แต่นาฬิกานับถอยหลังของ รุ่นลูก–รุ่นหลาน
  3. ทางออกอยู่ที่การลงมือทำอย่างเป็นระบบ: ตรวจน้ำต่อเนื่อง–คัดกรองแร่ขาเข้า–เจรจากับผู้ควบคุมพื้นที่จริง–สร้างระบบเตือนภัยชุมชน

เชียงราย—เมืองชายแดนที่เชื่อมโลกด้วยสายน้ำ—ไม่ต้องรอให้ “ปัญหาเดินทางมาถึงประตูบ้าน” จึงค่อยเริ่มตั้งการ์ด หากเราเริ่มวันนี้ เมืองศิลป์–เมืองท่องเที่ยว–เมืองเกษตรคุณภาพแห่งนี้จะกลายเป็น ต้นแบบการจัดการความเสี่ยงข้ามพรมแดน ของทั้งลุ่มน้ำโขงได้จริง ไม่ใช่เพียงในหนังสือรายงาน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI NEWS UPDATE

เชียงรายพร้อมรับมือ “คาจิกิ” วอร์รูม 24 ชม. เตือนฝนหนัก-น้ำหลาก

เชียงรายยกระดับรับมือ “คาจิกิ” วอร์รูมพร้อม 24 ชม. เฝ้าระวัง 25–27 ส.ค. เสี่ยงฝนหนักมาก–น้ำหลาก จุดเสี่ยงเชิงเขาและลุ่มต่ำต้องระมัดระวัง

เชียงราย, 25 สิงหาคม 2568 — ท้องฟ้าตอนบ่ายคล้อยของเชียงรายมืดสลัวเร็วกว่าปกติ กลุ่มเมฆหนาตาเคลื่อนตัวจากทิศตะวันออกเฉียงเหนือ—เป็นสัญญาณเดียวกับที่ประกาศของกรมอุตุนิยมวิทยา “ฉบับที่ 9 (212/2568)” ย้ำเมื่อคืนวาน (24 ส.ค.) ว่า ไต้ฝุ่น “คาจิกิ” บนทะเลจีนใต้ตอนบนกำลังเดินหน้าเข้าสู่แผ่นดินเวียดนาม จากนั้นจะอ่อนกำลังผ่านลาวและเข้าถึงภาคเหนือของไทย โดยจังหวัด เชียงราย อยู่ใน “หน้าต่างความเสี่ยง” ช่วง 25–27 สิงหาคม 2568 คาดมีฝนตกหนักถึงหนักมากหลายพื้นที่และลมแรง โดยเฉพาะบริเวณใกล้เส้นทางเดินพายุและพื้นที่ลาดเชิงเขาใกล้ทางน้ำไหลผ่าน

พร้อมกันนี้ กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) เปิด วอร์รูม (War Room) รับมือพายุ “คาจิกิ” ตลอด 24 ชั่วโมง ขานรับนโยบายรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย (ผู้บัญชาการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ) กระจายเครื่องจักรกลสาธารณภัยล่วงหน้า กำหนด ศูนย์ ปภ. เขต 9 พิษณุโลก เป็นจุดระดมทรัพยากรสนับสนุนภาคเหนือ พร้อมแจ้งเตือน 58 จังหวัด เฝ้าระวังฝนหนัก น้ำท่วมฉับพลัน น้ำป่าไหลหลาก ดินโคลนถล่ม และคลื่นลมแรงในช่วง 24–27 ส.ค. 68 โดยในภาคเหนือระบุชื่อ เชียงราย ในบัญชีเฝ้าระวังของวันที่ 25–27 ส.ค. อย่างชัดเจน

เส้นทางพายุ “คาจิกิ” และหน้าต่างความเสี่ยงของเชียงราย

ประกาศกรมอุตุนิยมวิทยาเมื่อเวลา 16.00 น. วันที่ 24 ส.ค. 68 ระบุว่า พายุไต้ฝุ่น “คาจิกิ” มีศูนย์กลางห่างเมืองวิญ (เวียดนาม) ราว 450 กม. ที่พิกัด ละติจูด 17.6°N ลองจิจูด 109.9°E ความเร็วลมใกล้ศูนย์กลางประมาณ 150 กม./ชม. เคลื่อนที่ทางทิศตะวันตกค่อนไปทางเหนือเล็กน้อยราว 20 กม./ชม. คาดขึ้นฝั่งเวียดนามตอนบนและอ่อนกำลังเป็นพายุโซนร้อนใน 25 ส.ค. ก่อนลดระดับเป็นดีเปรสชันเข้า สปป.ลาว เช้าวันที่ 26 ส.ค. และมีแนวโน้มอ่อนกำลังเป็น หย่อมความกดอากาศต่ำกำลังแรง เคลื่อนเข้าสู่ฝั่งไทยบริเวณ จ.น่าน ในช่วงเย็นวันเดียวกัน

สำหรับ เชียงราย การประเมินของกรมอุตุนิยมวิทยาระบุให้อยู่ในช่วงได้รับผลกระทบระหว่าง 25–27 ส.ค. โดยร่วมกับจังหวัดภาคเหนืออื่น ๆ เช่น แพร่ พะเยา น่าน เชียงใหม่ ลำพูน ลำปาง แม่ฮ่องสอน และอุตรดิตถ์ ทั้งนี้คำเตือนสำคัญคือ ฝนตกหนักถึงหนักมาก ลมแรง และฝนสะสม” ที่เพิ่มโอกาสเกิด น้ำท่วมฉับพลัน–น้ำป่าไหลหลาก โดยเฉพาะ พื้นที่ลาดเชิงเขา พื้นที่แนวทางน้ำไหลผ่าน และพื้นที่ลุ่มต่ำในเขตเมือง ซึ่งมักท่วมขังซ้ำซาก

ตัวเลขชวนคิด: พายุระดับไต้ฝุ่นด้วยลมใกล้ศูนย์กลาง 150 กม./ชม. แม้เมื่ออ่อนกำลังบนบกจะลดลงเร็ว แต่ “มวลความชื้น” ที่ติดมากับระบบยังทำให้เกิดฝนหนักเป็นบริเวณกว้างได้ โดยเฉพาะเมื่อโครงสร้างภูมิประเทศเป็นภูเขาสลับลุ่มน้ำ—ลักษณะเด่นของภาคเหนือ

กลไกฉุกเฉิน “วอร์รูม” และการระดมทรัพยากร—เชียงรายในเครือข่ายช่วยเหลือภาคเหนือ

ปภ. เปิด วอร์รูมส่วนกลาง เฝ้าระวังตลอด 24 ชั่วโมง นัดประชุมติดตามสถานการณ์ทุกวัน และ สั่งการศูนย์ ปภ. เขต ระดมชุดปฏิบัติการพร้อมเครื่องจักรกลสาธารณภัยเข้าประจำ “พื้นที่เสี่ยง” ล่วงหน้า โดยกำหนด ศูนย์ ปภ. เขต 9 พิษณุโลก เป็น Staging Area รับผิดชอบการสนับสนุนภาคเหนือ ขณะเดียวกันเครื่องจักรกลจาก ศูนย์ ปภ. เขต 2 สุพรรณบุรี และ เขต 16 ชัยนาท ได้เคลื่อนเข้าสู่แนวรับภาคเหนือแล้ว

สาระสำคัญของคำสั่งการ ได้แก่

  • ให้ 76 จังหวัดและ กทม. ปฏิบัติตามแผนเผชิญเหตุ เตรียมอพยพประชาชนเมื่อจำเป็น ดูแลปัจจัยยังชีพ และรายงานสถานการณ์อย่างต่อเนื่อง
  • ให้ แจ้งเตือนประชาชนในพื้นที่เสี่ยง ล่วงหน้า หากแนวโน้มรุนแรง พร้อมจัดทีมเผชิญเหตุเข้าพื้นที่ทันที
  • หากมีการประกาศเขตให้ความช่วยเหลือกรณีฉุกเฉิน ให้ จังหวัดรายงาน–ขอขยายวงเงินทดรองราชการ โดยเร็ว เมื่อวงเงินเดิมไม่พอ
  • ให้ประชาชน ติดต่อสายด่วนนิรภัย 1784 ตลอด 24 ชม. และติดตามการแจ้งเตือนผ่านแอป THAI DISASTER ALERT

สำหรับ เชียงราย โครงสร้างการรับมือในจังหวัดจะขับเคลื่อนโดยจังหวัดและท้องถิ่นร่วมกับแขนขาของ ปภ., สาธารณสุข, แขวงทางหลวง/ชลประทาน, ตำรวจ/ทหาร, ผู้นำหมู่บ้าน/อปพร. และเครือข่ายอาสาสมัคร—รูปแบบ “บูรณาการ” ที่ต้องพร้อมยกกำลังสูบ–เครื่องผลักดันน้ำ–รถบรรทุกสูง–ไฟส่องสว่าง–เรือท้องแบน และเวรเฝ้าระวังจุดเสี่ยงตลอดคืนในห้วงฝนหนัก

เชียงรายต้องระวัง “ตรงไหน–เมื่อไร–อย่างไร” แผนที่ความเสี่ยงเชิงสถานการณ์

แม้ประกาศจะไม่ระบุจุดพิกัดรายตำบล แต่จากลักษณะพื้นที่ ภูเขาสลับลุ่มน้ำ ของเชียงราย แนวทางปฏิบัติที่ “ลดความเสี่ยงได้จริง” มีดังนี้

  1. ช่วงเวลาความเสี่ยงสูง (25–27 ส.ค.)
  • ก่อนฝนมา: เคลียร์ท่อ–รางระบายน้ำหน้าอาคาร–ตลาด–ชุมชน, เก็บของสูง, เตรียมกระสอบทรายจุดลุ่มต่ำ
  • ระหว่างฝนจัดต่อเนื่อง: หลีกเลี่ยงการสัญจรผ่าน แนวทางน้ำไหลผ่าน–ใต้สะพาน–ทางเชิงเขา, งดเที่ยวชม น้ำตก/แก่ง และอย่าจอดรถในจุดที่เคยท่วมซ้ำ
  • หลังฝน: ระวัง ไฟฟ้ารั่ว–ถนนทรุด–ดินอุ้มน้ำ และแจ้งเหตุผ่าน 1784 หากพบความเสียหาย
  1. ครัวเรือนเสี่ยงพิเศษ
  • ผู้สูงอายุ–ผู้ป่วยติดเตียง–เด็กเล็ก ควรเตรียม ยาประจำตัว, อาหารพร้อมทาน 1–2 วัน, ไฟฉาย, วิทยุ, power bank, เอกสารสำคัญใส่ซองกันน้ำ
  • เกษตรกรตรวจแนว คันนา–ทางน้ำเข้าสวน–โรงเรือน, ย้ายเครื่องมือและสารเคมีขึ้นที่สูง ปิดฝาภาชนะทุกครั้ง
  1. ธุรกิจ–โรงแรม–ค้าชายแดน
  • สำรวจ จุดเสี่ยงท่วมขังในลานจอด–ชั้นใต้ดิน, เตรียมปั๊มน้ำ–เครื่องไฟสำรอง
  • อัปเดตข้อมูลให้ลูกค้า–แขกพัก และวางแผนเส้นทางเลี่ยง ถนนต่ำ–ทางผ่านลำห้วย หากต้องรับ–ส่งสนามบิน

ข้อเท็จจริงจากประกาศ 3 ประเด็นที่ชาวเชียงรายควรรู้

1) พายุจะอ่อนกำลังเมื่อขึ้นฝั่ง แต่ฝนยัง “หนัก” ได้
เมื่อ “คาจิกิ” แตะฝั่งเวียดนาม แรงลมจะลด แต่ มวลไอน้ำ จะป้อนเข้าภาคเหนือ–อีสานอย่างต่อเนื่อง ทำให้เกิดฝนวงกว้าง โดยเชียงรายถูกย้ำอยู่ในช่วงเสี่ยง 25–27 ส.ค.

2) พื้นที่เสี่ยงหลักคือ “ลาดเชิงเขา–ลำทางน้ำ–ลุ่มต่ำ”
ฝนสะสมคือปัจจัยชี้ชะตา หากฝนตกหนักต่อเนื่องหลายชั่วโมง โอกาสเกิด น้ำป่า–น้ำหลาก เพิ่มขึ้นทันที โดยเฉพาะใกล้ทางน้ำไหลผ่าน

3) คลื่นลมแรงกระทบโดยอ้อม
แม้เชียงรายไม่ติดทะเล แต่การขนส่งระหว่างภูมิภาคอาจได้รับผลกระทบจาก ทะเลอันดามันและอ่าวไทยตอนบนมีคลื่นสูง 2–3 เมตร (ฝนฟ้าคะนองอาจเกิน 3 เมตร) ส่งผลต่อโลจิสติกส์สินค้า/ท่องเที่ยวทะเลที่เชื่อมโยงกับภาคเหนือ

มาตรการภาครัฐและสิทธิประชาชน ต้องรู้–ต้องใช้

  • ศูนย์โควต้าเครื่องจักรกลสาธารณภัย: จังหวัดสามารถร้องขอเสริมกำลังจาก ศูนย์ ปภ. เขต 9 พิษณุโลก ซึ่งทำหน้าที่คล้ายคลังยุทธภัณฑ์เพื่อกระจายไปพื้นที่ภาคเหนือ
  • งบช่วยเหลือฉุกเฉิน: หากประกาศเป็นเขตให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน จังหวัดสามารถ ขอขยายวงเงินทดรองราชการ เพื่อเยียวยาเร่งด่วน
  • ช่องทางรับแจ้งเหตุและแจ้งเตือน:
    • สายด่วนนิรภัย 1784 (ปภ.) ตลอด 24 ชม.
    • แอป THAI DISASTER ALERT (แจ้งเตือนพิบัติภัย)
    • 1182 และ 0-2399-4012-13 (กรมอุตุนิยมวิทยา)
    • เว็บไซต์ tmd.go.th (ประกาศ–เรดาร์–พยากรณ์)

คำถามที่พบบ่อย” ในห้วงฝนหนัก

Q: ฝนจะ “หนักแค่ไหน” ในเชียงราย?
A: ประกาศระบุ “หนักถึงหนักมาก” ในช่วง 25–27 ส.ค. ความหนักขึ้นกับตำแหน่งเมฆฝนและภูมิประเทศ จุดสำคัญคือ “ฝนสะสม” หากฝนตกต่อเนื่องหลายชั่วโมง พื้นที่เชิงเขา/แนวลำน้ำต้อง เตรียมอพยพชั่วคราว ตามสัญญาณเตือนของท้องถิ่น

Q: ถ้าอยู่คอนโด/ตึกสูงในเขตเมือง ยังเสี่ยงหรือไม่?
A: เสี่ยงน้อยกว่าลุ่มต่ำ แต่ให้ระวัง ไฟฟ้าลัดวงจร–น้ำรั่วซึม–ลิฟต์ และการสัญจรเข้า–ออกอาคาร หากรอบอาคารเป็นแอ่งรับน้ำ

Q: ต้องกักตุนอาหารยาวนานหรือไม่?
A: โดยทั่วไป 1–2 วัน สำหรับครัวเรือนในจุดเสี่ยงเพียงพอ สิ่งสำคัญคือ ยาประจำตัว–น้ำดื่ม–ไฟฉาย–Power Bank และ เอกสารสำคัญใส่ซองกันน้ำ

Q: หากน้ำเริ่มหลากเข้ารวดเร็ว ควรทำอย่างไร?
A: ตัดไฟฟ้าเฉพาะวงจรในจุดที่น้ำท่วมถึง (หากทำได้อย่างปลอดภัย), ย้ายขึ้นที่สูง, อย่าฝืนเดินลุยน้ำเชี่ยว, โทร 1784 หรือ 1669 กรณีฉุกเฉินทางการแพทย์

บทเรียน “น้ำท่วมฉับพลัน” กับเมืองชายขอบภูเขา

เชียงรายเป็นจังหวัดที่ ภูมิประเทศสูง–ต่ำสลับซับซ้อน การเผชิญฝนหนักช่วงสั้น ๆ อาจนำไปสู่ “น้ำหลากเร็ว” จากหุบเขาเข้าสู่ชุมชน ขณะที่เขตเมืองลุ่มต่ำมีความเสี่ยง ท่วมขังเฉียบพลัน หากท่อระบายน้ำรับไม่ทัน เมื่อเชื่อมปัจจัยเหล่านี้เข้ากับ “คาจิกิ” ที่พา มวลไอน้ำขนาดใหญ่ เข้าภาคเหนือ ภาพรวมจึงไม่ใช่คำถามว่า “จะตกหรือไม่” แต่คือ “ฝนสะสมจะกี่ชั่วโมง–กี่รอบ” และ “จุดคอขวดการระบายน้ำอยู่ตรงไหน” การ ลดความเสี่ยงเชิงพฤติกรรม เช่น งดผ่านทางลุ่มต่ำ/เชิงเขาในห้วงฝนจัด และการ พร้อมอพยพชั่วคราว เมื่อมีประกาศเตือน จึงเป็นตัวแปรที่ประชาชนควบคุมได้ทันที

ภาครัฐในระดับพื้นที่—ตั้งแต่จังหวัด เทศบาล อบต. จนถึงหมู่บ้าน—จำเป็นต้อง เปิดข้อมูลจุดเสี่ยงและจุดปลอดภัยให้ชัดเจน ตั้งจุดเวรยามเฝ้าระวังน้ำ 24 ชม. ใน 2–3 วันที่เสี่ยงสูง รวมถึง ซ้อมแผนอพยพแบบเร็ว (Quick Evac) กับครัวเรือนเปราะบางในชุมชน หากปฏิบัติพร้อมกันทั้ง “ฝั่งประชาชน–ฝั่งรัฐ” โอกาสสูญเสียจะลดลงอย่างมีนัยสำคัญ

 “คาจิกิ” คือบททดสอบระบบเตือนภัย—แผนพร้อม ชีวิตปลอดภัย

25–27 สิงหาคม 2568 คือช่วงเวลาที่เชียงรายต้อง ตั้งการ์ดสูง ประกาศของกรมอุตุนิยมวิทยาชี้ชัดว่าเชียงรายอยู่ในแถบฝนหนักถึงหนักมาก ขณะที่กลไกส่วนกลางนำโดย ปภ. ได้เปิดวอร์รูมและระดมทรัพยากรล่วงหน้าแล้ว สิ่งที่เหลืออยู่คือ การลงมือในระดับครัวเรือนและชุมชน—เคลียร์ระบายน้ำ เตรียมของยังชีพ เฝ้าระวังข่าวเตือน และพร้อมอพยพเมื่อจำเป็น

“ฝนจะผ่านไป แต่การเตรียมพร้อมจะอยู่กับเรา” หากเชียงรายผ่านห้วงนี้ด้วย ข้อมูลที่ถูกต้อง–การตัดสินใจที่รวดเร็ว–และความร่วมมือของทุกฝ่าย เมืองจะยืนหยัดได้โดยไม่ต้องแลกด้วยความสูญเสียที่ป้องกันได้

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
  • กรมอุตุนิยมวิทยา
  • กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.)
  • กองอำนวยการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยกลาง (กอปภ.ก.)
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News