Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

เขื่อนแม่สรวยเข้ม เจ้าหน้าที่ตั้งด่าน รวบนักดื่ม 6 ราย เมาไม่ขับจับจริง

แม่สรวยตรวจเข้ม! เมาแล้วขับไม่รอด วันที่ 2 สงกรานต์ 2568 พบผู้กระทำผิด 6 ราย

อำเภอแม่สรวยเดินหน้าเชิงรุก บูรณาการทุกภาคส่วนตั้งด่านตรวจรอบเขื่อน คุมเข้มความปลอดภัยทางถนนในช่วงสงกรานต์

เชียงราย, 12 เมษายน 2568 – เวลา 16.00 น. นายปฤษฎางค์ สามัคคีนิชย์ นายอำเภอแม่สรวย และผู้อำนวยการศูนย์ปฏิบัติการความปลอดภัยทางถนนอำเภอแม่สรวย ได้สั่งการให้ฝ่ายความมั่นคง นำโดยปลัดอำเภอ พร้อมด้วยสมาชิกกองอาสารักษาดินแดน (อส.) บูรณาการร่วมกับสถานีตำรวจภูธรแม่สรวย สำนักงานสาธารณสุขอำเภอแม่สรวย และกำนันตำบลแม่สรวย จัดตั้งจุดตรวจบริเวณเขื่อนแม่สรวย ซึ่งเป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญในพื้นที่ เพื่อควบคุมการใช้รถใช้ถนนของประชาชนและนักท่องเที่ยว โดยเฉพาะการขับขี่ยานพาหนะขณะมึนเมา

ผลการดำเนินการเข้ม พบผู้กระทำผิดเมาแล้วขับจำนวน 6 ราย

จากการดำเนินการตรวจเข้มในวันที่สองของช่วงควบคุมเข้มสงกรานต์ 2568 เจ้าหน้าที่ได้ตั้งจุดตรวจหลักบริเวณทางเข้าออกเขื่อนแม่สรวย ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีการจราจรหนาแน่นในช่วงวันหยุด โดยมีประชาชนและนักท่องเที่ยวจำนวนมากเดินทางมาเล่นน้ำที่ “แพเปียก” และกิจกรรมสงกรานต์ริมน้ำ ส่งผลให้การตั้งจุดตรวจต้องมีความเข้มข้นและต่อเนื่องตลอดทั้งวัน

ผลการตรวจวัดปริมาณแอลกอฮอล์ในร่างกายผู้ขับขี่ พบผู้กระทำผิดรวมทั้งสิ้น 6 ราย มีปริมาณแอลกอฮอล์เกินกว่าที่กฎหมายกำหนด เจ้าหน้าที่จึงได้ดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมายทันที โดยนำตัวผู้กระทำผิดส่งพนักงานสอบสวน สถานีตำรวจภูธรแม่สรวย เพื่อดำเนินคดีตามพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522 ต่อไป

ดำเนินมาตรการเชิงรุก เพื่อป้องปรามพฤติกรรมเสี่ยง

การดำเนินการตรวจจับเมาแล้วขับครั้งนี้ ถือเป็นหนึ่งในมาตรการเชิงรุกของอำเภอแม่สรวย ที่มีเป้าหมายเพื่อป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนอย่างเป็นรูปธรรม โดยเฉพาะในพื้นที่ท่องเที่ยวที่มีประชาชนเดินทางเข้าออกจำนวนมาก ทั้งยังเป็นการส่งเสริมให้ผู้ใช้รถใช้ถนนตระหนักถึงความปลอดภัยของตนเองและผู้อื่น และหลีกเลี่ยงพฤติกรรมที่ฝ่าฝืนกฎหมาย

นายปฤษฎางค์ สามัคคีนิชย์ เปิดเผยว่า การตรวจเข้มในพื้นที่รอบเขื่อนแม่สรวยไม่เพียงแต่เพื่อบังคับใช้กฎหมายเท่านั้น แต่ยังเป็นการแสดงออกถึงความจริงจังของภาครัฐในการปกป้องชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนในช่วงเทศกาลสำคัญ พร้อมกำชับให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการอย่างต่อเนื่องทุกวันตลอดช่วงเทศกาลสงกรานต์

ศูนย์ปฏิบัติการฯ เผยแนวโน้มผู้ฝ่าฝืนยังคงพบต่อเนื่อง จำเป็นต้องใช้มาตรการควบคุมเข้ม

จากข้อมูลของศูนย์ปฏิบัติการความปลอดภัยทางถนนอำเภอแม่สรวย ระบุว่า ในช่วง 2 วันที่ผ่านมาของเทศกาลสงกรานต์ มีผู้กระทำผิดในข้อหาเมาแล้วขับเฉพาะในพื้นที่เขื่อนแม่สรวยรวม 9 ราย เฉลี่ยวันละ 4.5 ราย ซึ่งยังถือเป็นตัวเลขที่สูง และบ่งชี้ถึงความจำเป็นที่ต้องดำเนินมาตรการควบคุมอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในช่วงเวลาหลัง 15.00 น. ซึ่งเป็นช่วงที่ประชาชนมักเริ่มดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์

นอกจากนี้ยังพบว่าผู้กระทำผิดส่วนใหญ่อยู่ในช่วงอายุระหว่าง 25–40 ปี ซึ่งเป็นกลุ่มวัยทำงานที่มีอัตราการเดินทางท่องเที่ยวสูงในช่วงเทศกาล โดยมากใช้รถจักรยานยนต์เป็นพาหนะหลัก

ผสานความร่วมมือภาครัฐ-ท้องถิ่น-ชุมชน สร้างวินัยจราจรอย่างยั่งยืน

มาตรการที่อำเภอแม่สรวยดำเนินการในครั้งนี้ ไม่ได้หยุดอยู่เพียงการตรวจจับผู้กระทำผิดเท่านั้น แต่ยังเน้นการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน ไม่ว่าจะเป็นองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ผู้นำชุมชน โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล และอาสาสมัครในพื้นที่ ซึ่งร่วมมือกันในการรณรงค์ ประชาสัมพันธ์ และแจ้งเตือนผู้ที่มีพฤติกรรมเสี่ยง

โดยเฉพาะการให้ความรู้ในระดับชุมชนเกี่ยวกับอันตรายของการขับขี่ยานพาหนะขณะมึนเมา การแจกใบปลิวให้ความรู้แก่ผู้มาเที่ยว รวมถึงการใช้เสียงตามสายประกาศเตือนในเขตหมู่บ้านล้อมรอบเขื่อน เป็นอีกหนึ่งกลยุทธ์ที่ช่วยลดความเสี่ยงในระดับรากหญ้า

เมาแล้วขับยังเป็นปัญหาเรื้อรัง ต้องบูรณาการหลายมิติ

จากการติดตามข้อมูลและรายงานจากหลายหน่วยงาน พบว่าปัญหาเมาแล้วขับยังคงเป็นสาเหตุหลักของอุบัติเหตุทางถนนในประเทศไทย โดยเฉพาะในช่วงเทศกาลสงกรานต์ที่ประชาชนเดินทางและเฉลิมฉลองกันอย่างครึกครื้น แม้ว่าจะมีการดำเนินมาตรการอย่างเข้มงวดในช่วงหลายปีที่ผ่านมา แต่พฤติกรรมเสี่ยงของบางกลุ่มยังคงเป็นปัจจัยเสี่ยงที่ต้องเฝ้าระวัง

การดำเนินการของอำเภอแม่สรวยจึงนับเป็นต้นแบบของการดำเนินงานเชิงรุกในระดับอำเภอ ที่สามารถใช้ศักยภาพของภาครัฐและชุมชนท้องถิ่นได้อย่างมีประสิทธิภาพ นำไปสู่การสร้างวินัยจราจร และลดสถิติอุบัติเหตุในระยะยาว

ข้อมูลสถิติที่เกี่ยวข้อง และแหล่งอ้างอิง

  • รายงานจากกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข ระบุว่า ในช่วงเทศกาลสงกรานต์ปี 2567 มีผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางถนนทั่วประเทศ 264 ราย โดยกว่า 38% ของอุบัติเหตุเกิดจากการดื่มแล้วขับ
  • จากสถิติของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ปี 2567 พบว่า อัตราการจับกุมผู้ขับขี่ที่มีแอลกอฮอล์ในเลือดเกินกว่ากฎหมายกำหนดในช่วงสงกรานต์เพิ่มขึ้นจากปีก่อนร้อยละ 12
  • สำนักงานคณะกรรมการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ รายงานว่า กลุ่มวัยทำงานอายุ 25–45 ปี เป็นกลุ่มที่มีสัดส่วนการดื่มแล้วขับสูงที่สุดในช่วงเทศกาล

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : 

  • กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข (www.ddc.moph.go.th)
  • สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (www.royalthaipolice.go.th)
  • คณะกรรมการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ (www.alcoholwatch.in.th)
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

สงกรานต์วันแรก! เชียงรายดับ 1 เจ็บ 8 เมาแล้วขับ

เชียงรายเผยสถิติอุบัติเหตุวันแรกสงกรานต์ 2568 เสียชีวิต 1 ราย บาดเจ็บ 8 ราย

จังหวัดเชียงรายสรุปผลปฏิบัติการเข้ม ลดอุบัติเหตุบนท้องถนน สั่งเข้มทุกหน่วยงานเดินหน้าควบคุมแอลกอฮอล์

เชียงราย, 12 เมษายน 2568 – ที่ห้องประชุมศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนน จังหวัดเชียงราย นายประเสริฐ จิตต์พลีชีพ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เป็นประธานการประชุมสรุปผลการปฏิบัติงานศูนย์ปฏิบัติการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนในช่วงเทศกาลสงกรานต์ พ.ศ. 2568 โดยมีหน่วยงานภาครัฐ ภาคีเครือข่าย และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมประชุมอย่างพร้อมเพรียง เพื่อรายงานผลการดำเนินงานของวันที่ 11 เมษายน 2568 ซึ่งเป็นวันแรกของการควบคุมเข้มข้นด้านความปลอดภัยในการเดินทางช่วงเทศกาลสงกรานต์

สถิติอุบัติเหตุวันแรก 8 เหตุการณ์ บาดเจ็บ 8 ราย เสียชีวิต 1 ราย

จากรายงานของศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนนจังหวัดเชียงราย เมื่อวันที่ 11 เมษายน 2568 พบว่าเกิดอุบัติเหตุทางถนนในพื้นที่รวม 8 ครั้ง ส่งผลให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บจำนวน 8 ราย แบ่งเป็นเพศชาย 6 ราย เพศหญิง 2 ราย และมีผู้เสียชีวิต 1 ราย โดยพาหนะที่เกิดอุบัติเหตุส่วนใหญ่คือรถจักรยานยนต์ส่วนบุคคล จำนวน 7 คัน และรถเพื่อการเกษตร หรือที่เรียกว่า “รถอีแต๊ก” อีก 1 คัน

ช่วงเวลาที่พบการเกิดอุบัติเหตุสูงสุด คือระหว่างเวลา 12.00 – 15.00 น. ซึ่งเป็นช่วงที่ประชาชนเดินทางกลับจากการทำบุญ หรือเริ่มออกเดินทางเพื่อท่องเที่ยวตามสถานที่ต่าง ๆ

สาเหตุหลักยังคงเดิม “ดื่มแล้วขับ” และ “ขับเร็วเกินกำหนด”

สาเหตุของการเกิดอุบัติเหตุในวันดังกล่าว ยังคงมีลักษณะใกล้เคียงกับทุกปีที่ผ่านมา ได้แก่

  • การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์แล้วขับขี่ยานพาหนะ
  • การขับรถเร็วเกินกว่ากฎหมายกำหนด
  • การตัดหน้ากระชั้นชิด และ
  • ทัศนวิสัยไม่ดีขณะขับขี่

ทั้งนี้ จังหวัดเชียงรายได้ดำเนินมาตรการในการประชาสัมพันธ์และบังคับใช้กฎหมายอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์ ซึ่งมักเป็นกลุ่มเสี่ยงในการเกิดอุบัติเหตุรุนแรง

ตั้งจุดตรวจ 33 จุดหลัก และ 177 ด่านชุมชน ระดมกำลังดูแลทั่วพื้นที่

เพื่อเพิ่มความปลอดภัยให้แก่ประชาชน จังหวัดเชียงรายได้จัดตั้งจุดตรวจหลักรวม 33 จุด และตั้งด่านชุมชนกระจายตามพื้นที่ต่าง ๆ รวมทั้งสิ้น 177 จุด โดยมีกำลังเจ้าหน้าที่ปฏิบัติหน้าที่ประจำจุดรวม 1,065 นาย ครอบคลุมถนนสายสำคัญ เส้นทางเข้า-ออกชุมชน และพื้นที่จัดกิจกรรมสงกรานต์

ตำรวจภูธรจังหวัดเชียงรายจับกุมผู้ฝ่าฝืนกฎหมายกว่า 1,800 รายในวันเดียว

จากการรายงานของตำรวจภูธรจังหวัดเชียงราย ระบุว่า ในวันที่ 11 เมษายน 2568 มีการดำเนินคดีตามมาตรการ “10 รสขม” (10 ข้อหาหลักที่มักนำไปสู่อุบัติเหตุ) โดยมีการออกใบสั่งจำนวน 1,896 ราย และมีการว่ากล่าวตักเตือนผ่านแอปพลิเคชัน “ขับดี” อีกจำนวน 51 ราย ซึ่งสะท้อนถึงการบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจังเพื่อป้องปรามพฤติกรรมเสี่ยงบนท้องถนน

ขนส่งจังหวัดเชียงรายตรวจเข้มรถโดยสารสาธารณะ สร้างความมั่นใจผู้โดยสาร

สำนักงานขนส่งจังหวัดเชียงรายได้ดำเนินการตรวจสอบสภาพรถโดยสารสาธารณะรวม 390 คัน และตรวจความพร้อมพนักงานขับรถ 406 ราย เพื่อสร้างความมั่นใจให้แก่ผู้โดยสารว่าการเดินทางในช่วงเทศกาลจะเป็นไปอย่างปลอดภัยและมีมาตรฐานตามที่กฎหมายกำหนด

เร่งควบคุมแอลกอฮอล์ในชุมชน เน้นป้องกันเชิงรุก

ในที่ประชุม นายประเสริฐ จิตต์พลีชีพ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย ได้เน้นย้ำให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินมาตรการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์อย่างเคร่งครัด โดยให้รายงานผลการดำเนินงานต่อที่ประชุมทุกวัน พร้อมกำชับให้ประสานงานกับโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) เพื่อตรวจและประเมินผู้มีพฤติกรรมเสี่ยง รวมถึงจัดกิจกรรมประชาสัมพันธ์ให้ความรู้แก่ประชาชนในชุมชนตามแนวทางที่คณะกรรมการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์แห่งชาติกำหนด

นอกจากนี้ ยังให้ความสำคัญกับการประสานงานกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และผู้นำชุมชน เพื่อส่งเสริมบทบาทของด่านชุมชน และเฝ้าระวังในพื้นที่เสี่ยง เช่น ถนนใกล้สถานที่จัดงาน หรือตลาดที่มีการจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์อย่างเปิดเผย

เยาวชนคือจุดอ่อนใหม่ของการเกิดอุบัติเหตุ คำสั่งเข้มให้ผู้ปกครองร่วมควบคุม

ที่ประชุมได้หยิบยกประเด็นสำคัญอีกประการคือ พฤติกรรมของเด็กและเยาวชนที่ขับขี่รถจักรยานยนต์ในช่วงเทศกาล โดยเฉพาะในช่วงกลางคืนและหลังจากดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ซึ่งเป็นหนึ่งในสาเหตุของอุบัติเหตุที่เพิ่มขึ้นทุกปี จึงขอความร่วมมือจากผู้ปกครองในการกำชับบุตรหลานให้ใช้งานรถจักรยานยนต์อย่างปลอดภัย และไม่ฝ่าฝืนกฎหมาย

ข้อมูลสถิติที่เกี่ยวข้องและแหล่งอ้างอิง

  • รายงานศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนน (ศปถ.) ระบุว่าในปี 2567 จังหวัดเชียงรายเกิดอุบัติเหตุในช่วงสงกรานต์รวม 69 ครั้ง มีผู้เสียชีวิต 8 ราย และบาดเจ็บ 72 ราย
  • รายงานของสำนักงานตำรวจแห่งชาติระบุว่า พฤติกรรม “ดื่มแล้วขับ” เป็นสาเหตุของอุบัติเหตุกว่า 42% ของทั้งหมดที่เกิดขึ้นในช่วงเทศกาลสงกรานต์ ปี 2567
  • ข้อมูลจากกรมควบคุมโรค ระบุว่า เด็กและเยาวชนอายุระหว่าง 15 – 24 ปี เป็นกลุ่มที่มีอัตราการเกิดอุบัติเหตุจากรถจักรยานยนต์สูงที่สุดในช่วงเทศกาลสงกรานต์

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
  • ศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนน (www.roadsafetythai.org)
  • สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (www.royalthaipolice.go.th)
  • กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข (www.ddc.moph.go.th)
  •  
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI CULTURE

เจ็ดเป็งเชียงราย สรงน้ำพระธาตุ ผู้ว่าฯ ร่วมวางศิลาฤกษ์กุฏิ

เชียงรายจัดงาน “เจ็ดเป็ง สรงน้ำพระธาตุเจ็ดยอด” อย่างยิ่งใหญ่ สืบสานประเพณีปี๋ใหม่เมือง

คณะสงฆ์และพุทธศาสนิกชนร่วมงานพร้อมใจ วางศิลาฤกษ์กุฏิสงฆ์ใหม่ เสริมสิริมงคลรับปีใหม่เมือง

เชียงราย, 12 เมษายน 2568 – ณ วัดเจ็ดยอด พระอารามหลวง อำเภอเมืองเชียงราย จังหวัดเชียงราย ได้จัดงานประเพณี “เจ็ดเป็ง สรงน้ำพระธาตุเจ็ดยอด” ประจำปี 2568 อย่างสมเกียรติ เพื่อสืบสานวัฒนธรรมล้านนาเนื่องในเทศกาลสงกรานต์ หรือที่ชาวเหนือเรียกว่า “ปี๋ใหม่เมือง” โดยพิธีเริ่มต้นขึ้นในเวลา 10.00 น. ท่ามกลางบรรยากาศอิ่มเอิบด้วยศรัทธาและความร่วมมือจากทุกภาคส่วนในจังหวัดเชียงราย

พระธรรมวชิโรดม เป็นประธานฝ่ายสงฆ์ เสริมความศักดิ์สิทธิ์แห่งพิธีกรรม

ในพิธีครั้งนี้ พระธรรมวชิโรดม รศ.ดร. เจ้าคณะภาค 6 เจ้าอาวาสวัดสังเวชวิศยารามวรวิหาร ได้เมตตาเป็นประธานฝ่ายสงฆ์ พร้อมด้วยพระราชวชิรคณี ดร. เจ้าคณะจังหวัดเชียงราย เจ้าอาวาสวัดพระธาตุผาเงา พระรัตนมุนี ที่ปรึกษาเจ้าคณะจังหวัดเชียงราย พระครูขันติพลาธร รองเจ้าคณะจังหวัดเชียงราย รวมทั้งเจ้าคณะอำเภอ เจ้าคณะตำบล และคณะสงฆ์-สามเณรจากหลายวัดทั่วจังหวัดเชียงราย ร่วมประกอบพิธีอย่างพร้อมเพรียง

พิธีสรงน้ำพระธาตุเจ็ดยอด ถือเป็นจุดเริ่มต้นสำคัญของงานเจ็ดเป็ง ซึ่งเป็นหนึ่งในประเพณีเก่าแก่ที่สะท้อนความผูกพันระหว่างศาสนาและชุมชน งานนี้ได้รับการประสานงานอย่างใกล้ชิดโดยพระครูกิตติพัฒนานุยุต ดร. ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดเจ็ดยอด พระอารามหลวง ซึ่งทำหน้าที่เป็นประธานจัดงาน และเป็นผู้ดูแลกระบวนการพิธีกรรมทั้งหมดให้ดำเนินไปอย่างเรียบร้อย สมพระเกียรติ

ผู้ว่าฯ เชียงรายร่วมเป็นประธานฝ่ายฆราวาส ขับเคลื่อนงานร่วมกับพุทธศาสนิกชน

นายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย ได้ให้เกียรติเป็นประธานฝ่ายฆราวาสในการประกอบพิธี โดยมีนางสินีนาฎ ทองสุข นายกเหล่ากาชาด และประธานแม่บ้านมหาดไทยจังหวัดเชียงราย ร่วมนำข้าราชการ หัวหน้าส่วนราชการ เจ้าหน้าที่รัฐ และประชาชนทั่วไป เข้าร่วมพิธีอย่างพร้อมเพรียง ซึ่งถือเป็นการแสดงพลังศรัทธาและความร่วมมือของชุมชนในจังหวัดเชียงรายได้อย่างงดงาม

ในโอกาสนี้ คณะสงฆ์จังหวัดเชียงราย นำโดยพระราชวชิรคณี ดร. เจ้าคณะจังหวัดเชียงราย ได้ร่วมกันถวายน้ำสรงแด่พระธรรมวชิโรดม เจ้าคณะภาค 6 ตามประเพณีปี๋ใหม่เมือง อันเป็นการแสดงความเคารพและสืบสานจารีตโบราณที่ปฏิบัติกันมาอย่างยาวนานของพุทธศาสนิกชนในภาคเหนือ

พิธีวางศิลาฤกษ์กุฏิสงฆ์ใหม่ ยกระดับบทบาทวัดเจ็ดยอดในฐานะศูนย์กลางพุทธศาสนาเชียงราย

ภายหลังพิธีสรงน้ำพระธาตุ คณะสงฆ์ร่วมกับประชาชนในพื้นที่ยังได้ร่วมกันประกอบพิธีวางศิลาฤกษ์ “กุฏิสงฆ์หลังใหม่” ภายในวัดเจ็ดยอด พระอารามหลวง เพื่อรองรับการขยายบทบาทของวัดในการเป็นศูนย์กลางการศึกษาพระพุทธศาสนา และการปฏิบัติธรรมของชาวพุทธในภูมิภาค

พิธีวางศิลาฤกษ์ในครั้งนี้ นอกจากจะมีความหมายทางสถาปัตยกรรมแล้ว ยังแฝงไว้ด้วยนัยยะเชิงสัญลักษณ์ถึงการเริ่มต้นสิ่งใหม่ที่มั่นคง และการสืบทอดศาสนาอย่างต่อเนื่อง โดยได้รับความร่วมมือจากสำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย ซึ่งมีนายพิสันต์ จันทร์ศิลป์ วัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย เป็นผู้รับผิดชอบหลัก พร้อมทั้งเจ้าหน้าที่ในสังกัด ร่วมปฏิบัติงานในพิธีดังกล่าว

งานประเพณี “เจ็ดเป็ง” สะท้อนอัตลักษณ์ล้านนา-รากเหง้าทางศาสนาและวัฒนธรรม

“เจ็ดเป็ง” เป็นประเพณีที่มีเอกลักษณ์เฉพาะของภาคเหนือ โดยเฉพาะในจังหวัดเชียงราย ถือเป็นการเริ่มต้นกิจกรรมในช่วงเทศกาลปีใหม่เมือง โดยมีกิจกรรมหลักคือการสรงน้ำพระธาตุประจำวัด ซึ่งเป็นเสมือนศูนย์รวมจิตใจของประชาชนในพื้นที่ การจัดงานดังกล่าวไม่เพียงแต่เป็นกิจกรรมเชิงศาสนาเท่านั้น แต่ยังสะท้อนให้เห็นถึงความร่วมมือระหว่างคณะสงฆ์ หน่วยงานราชการ และชุมชนท้องถิ่นอย่างแท้จริง

การสืบสานประเพณี = การพัฒนาจิตใจและชุมชน

งานเจ็ดเป็งถือเป็นเวทีสำคัญในการส่งเสริมการมีส่วนร่วมของชุมชน โดยเฉพาะกลุ่มเยาวชน ที่ได้มีโอกาสเรียนรู้วัฒนธรรมพื้นถิ่น ศาสนพิธี และจิตวิญญาณแห่งพุทธศาสนา ผ่านการมีส่วนร่วมในงานอย่างเป็นระบบ เช่น การจัดขบวนแห่ การบรรเลงดนตรีพื้นเมือง การสวดมนต์ และการฟังธรรมเทศนา ซึ่งนับเป็นกระบวนการพัฒนาทางจิตใจและสังคมควบคู่กันไป

นอกจากนี้ยังช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจฐานราก โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ผลิตงานหัตถกรรมพื้นบ้าน ร้านค้าอาหารท้องถิ่น และผู้ให้บริการด้านการท่องเที่ยว ซึ่งมีรายได้จากนักท่องเที่ยวที่เดินทางมาร่วมงานและแสวงบุญในช่วงเทศกาล

ข้อมูลสถิติและแหล่งอ้างอิงที่เกี่ยวข้อง

  • จากรายงานของสำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย ปี 2566 ระบุว่า งานประเพณีเจ็ดเป็งดึงดูดนักท่องเที่ยวทั้งในและต่างประเทศมากกว่า 8,000 คนในปีที่ผ่านมา โดยคิดเป็นรายได้ทางเศรษฐกิจท้องถิ่นกว่า 12 ล้านบาท
  • ข้อมูลจากกรมการศาสนา กระทรวงวัฒนธรรม ปี 2567 พบว่า กิจกรรมทางพระพุทธศาสนาในช่วงสงกรานต์ในภาคเหนือ มีประชาชนเข้าร่วมงานรวมกันมากกว่า 1.2 ล้านคน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : 

  • สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย (www.m-culture.go.th/chiangrai)
  • กรมการศาสนา กระทรวงวัฒนธรรม (www.dra.go.th)
  • รายงานประจำปีของสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (www.onab.go.th)
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

จับแล้ว! หนุ่มแม่ลาวเผาป่า อ้างหารังผึ้ง พบทั้งปืน ยา

แม่ลาวสนธิกำลังจับผู้ต้องหาเผาป่า พบสารเสพติด-อาวุธปืน พร้อมดำเนินคดีตามกฎหมาย

นายอำเภอแม่ลาวสั่งการฉับไว หลังได้รับแจ้งเหตุเผาป่าในพื้นที่ป่าสงวน พบผู้ก่อเหตุรับสารภาพ จุดไฟเผาเพื่อเอารังผึ้ง

เชียงราย, 10 เมษายน 2568 – จากกรณีที่มีพลเมืองดีแจ้งเหตุต่อฝ่ายปกครองอำเภอแม่ลาวว่ามีการลักลอบจุดไฟเผาป่าในเขตป่าสงวนแห่งชาติ พื้นที่หมู่ที่ 9 ตำบลโป่งแพร่ อำเภอแม่ลาว จังหวัดเชียงราย ล่าสุดนายรุ่งโรจน์ ตันวุฒิ นายอำเภอแม่ลาว ได้สั่งการโดยเร่งด่วนให้นายภัคพงษ์ ภูเวียงจันทร์ ปลัดอำเภอหัวหน้าฝ่ายความมั่นคง นำชุดปฏิบัติการลงพื้นที่ทันที พร้อมสนธิกำลังกับหน่วยป้องกันรักษาป่าที่ ชร.5 (ดอยช้าง), ชุดปฏิบัติการพิเศษป่าไม้ สจป.ที่ 2 (เชียงราย), ผู้ใหญ่บ้าน, ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน และเจ้าหน้าที่ท้องถิ่น เข้าตรวจสอบและดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมาย

พบพื้นที่เผาไหม้กว่า 6 ไร่ เร่งติดตามผู้กระทำผิด

จากการลงพื้นที่ตรวจสอบของเจ้าหน้าที่ พบพื้นที่ถูกเผาไหม้เสียหายเป็นวงกว้างประมาณ 6 ไร่ ลักษณะพื้นที่เป็นป่าทึบ มีร่องรอยการจุดไฟเผาหลายจุด และพบกลิ่นไหม้หลงเหลืออยู่ในอากาศ ประกอบกับข้อมูลที่ได้จากพลเมืองดีและการสืบสวนเบื้องต้น ชี้เป้าชัดเจนว่านายอดิศักดิ์ แก้วประกายทรัพย์ อายุประมาณ 39 ปี ชาวบ้านหมู่ที่ 9 ตำบลโป่งแพร่ เป็นผู้มีพฤติกรรมต้องสงสัยและเคยมีประวัติพัวพันกับยาเสพติด

เข้าตรวจค้นบ้านพัก พบหลักฐานชัดเจน

เจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง พร้อมด้วยพนักงานเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ได้เดินทางไปยังบ้านพักของนายอดิศักดิ์ และแสดงตนพร้อมบัตรเจ้าหน้าที่ เพื่อขออนุญาตทำการตรวจค้น โดยในระหว่างการตรวจค้น พบว่านายอดิศักดิ์ถือไฟแช็คอยู่ในมือขวา ซึ่งเป็นหลักฐานสำคัญในคดีดังกล่าว เจ้าหน้าที่จึงสอบถามและได้รับการยอมรับจากเจ้าตัวว่าเป็นผู้จุดไฟเผาป่าจริง โดยใช้ขุยมะพร้าวเป็นเชื้อเพลิงเพื่อจะนำรังผึ้งจากต้นไม้ แต่ขณะจุดไฟนั้นสะเก็ดไฟได้กระเด็นไปโดนใบไม้แห้ง จึงเกิดไฟลุกลามอย่างรวดเร็ว

ตรวจค้นเพิ่มเติมพบอาวุธปืนไทยประดิษฐ์ และรับสารภาพเสพยาบ้า

ภายหลังการสอบถามเบื้องต้น เจ้าหน้าที่ได้ทำการตรวจค้นบ้านเพิ่มเติม และพบอาวุธปืนยาวไทยประดิษฐ์ 1 กระบอก ซุกซ่อนอยู่ภายในตู้เสื้อผ้า ซึ่งนายอดิศักดิ์รับว่าเป็นของเพื่อนที่ยืมมาและเก็บไว้ในบ้าน อีกทั้งเจ้าหน้าที่สังเกตเห็นพฤติกรรมของผู้ต้องหามีอาการกระวนกระวายอย่างเห็นได้ชัด จึงได้ซักถามเพิ่มเติมเกี่ยวกับการใช้สารเสพติด ซึ่งนายอดิศักดิ์ยอมรับว่าได้เสพยาบ้า จำนวน 3 เม็ด ก่อนเกิดเหตุไม่นาน

แจ้งข้อกล่าวหาและดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมาย

เจ้าหน้าที่ได้ดำเนินการแจ้งข้อกล่าวหาแก่ผู้ต้องหา ดังนี้

  1. กระทำผิดฐานเผาป่าตามพระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ. 2484
  2. มีอาวุธปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต
  3. เสพสารเสพติดให้โทษประเภท 1 (ยาบ้า)

รวมถึงได้แจ้งสิทธิของผู้ถูกจับตามกระบวนการยุติธรรมอย่างครบถ้วน และได้ทำการควบคุมตัวโดยบันทึกภาพและเสียงตลอดกระบวนการจับกุม อ้างอิงตามมาตรา 22 วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย พ.ศ. 2565

ผู้ต้องหาถูกส่งตัวให้พนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรแม่ลาว เพื่อดำเนินการตามกระบวนการยุติธรรมในลำดับถัดไป โดยเจ้าหน้าที่ได้รายงานผลการจับกุมอย่างเป็นทางการต่อผู้บังคับบัญชาในพื้นที่เพื่อเตรียมรายงานต่อหน่วยเหนือ

วิเคราะห์สถานการณ์และผลกระทบจากการเผาป่า

การลักลอบจุดไฟเผาป่าถือเป็นปัญหาสำคัญที่จังหวัดเชียงรายเผชิญมาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในช่วงฤดูแล้งของทุกปี ซึ่งส่งผลให้เกิดไฟป่าลุกลามเป็นวงกว้าง นำไปสู่ปัญหาหมอกควันฝุ่น PM2.5 และกระทบต่อสุขภาพของประชาชนในวงกว้าง อีกทั้งยังทำลายระบบนิเวศ ความหลากหลายทางชีวภาพ และแหล่งต้นน้ำที่สำคัญของภาคเหนือ

ในปีที่ผ่านมา จังหวัดเชียงรายเผชิญกับปัญหาไฟป่ารุนแรงหลายจุด โดยเฉพาะในพื้นที่อำเภอแม่สรวย แม่ฟ้าหลวง แม่ลาว และเวียงป่าเป้า ซึ่งล้วนแต่เป็นพื้นที่ป่าสงวนและป่าอนุรักษ์ การกระทำดังกล่าวจึงถือเป็นภัยร้ายแรงที่ต้องควบคุมอย่างเด็ดขาดและมีบทลงโทษที่เหมาะสม

มาตรการเชิงรุกที่ภาครัฐควรดำเนินการ

ภาครัฐควรเร่งดำเนินมาตรการเชิงรุกเพื่อป้องกันและลดปัญหาไฟป่าในระยะยาว ได้แก่

  • การสร้างความตระหนักรู้แก่ประชาชนในพื้นที่เกี่ยวกับผลกระทบของไฟป่า
  • การส่งเสริมการเฝ้าระวังแบบมีส่วนร่วมจากชุมชน
  • การเพิ่มการลาดตระเวนในพื้นที่เสี่ยง
  • การประสานงานกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และหน่วยงานป่าไม้ให้มีแผนป้องกันล่วงหน้า

ข้อมูลสถิติและแหล่งอ้างอิง

  • รายงานสถานการณ์ไฟป่าของกรมควบคุมมลพิษ ปี 2567 ระบุว่า จังหวัดเชียงรายมีจุดความร้อน (Hotspot) เกิดขึ้นกว่า 2,640 จุดตลอดทั้งปี และมีพื้นที่เสียหายจากไฟป่ากว่า 28,000 ไร่
  • ข้อมูลจากกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ปี 2567 รายงานว่า พื้นที่ภาคเหนือได้รับผลกระทบจากไฟป่ามากที่สุดในประเทศไทย โดยเฉพาะในจังหวัดเชียงราย แม่ฮ่องสอน และเชียงใหม่

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
  • กรมควบคุมมลพิษ (www.pcd.go.th)
  • กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช (www.dnp.go.th)
  • กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (www.isoc.go.th)
  •  
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI CULTURE

เตรียมปลูก “พระศรีมหาโพธิ์” ที่เชียงราย เฉลิมพระเกียรติ

เชียงรายเตรียมปลูก “พระศรีมหาโพธิทศมราชบพิตร” เนื่องในโอกาสพระราชพิธีสมมงคลสำคัญแห่งปี 2568

เชียงรายเร่งประชุมวางแผนปลูกพระศรีมหาโพธิ์ในพื้นที่พุทธมณฑลสมโภช 750 ปี สะท้อนพระมหากรุณาธิคุณล้นพ้น

เชียงราย, 10 เมษายน 2568 – ที่ห้องประชุมอูหลง ชั้น 3 ศาลากลางจังหวัดเชียงราย นายนรศักดิ์ สุขสมบูรณ์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เป็นประธานในการประชุมหารือร่วมกับหัวหน้าส่วนราชการ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อเตรียมความพร้อมในการปลูกต้นพระศรีมหาโพธิ์พระราชทาน “พระศรีมหาโพธิทศมราชบพิตร” ซึ่งเป็นพระราชพิธีสำคัญเนื่องในโอกาสพระชนมายุเท่าพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช องค์ปฐมกษัตริยาธิราชแห่งราชวงศ์จักรี

พระราชดำริพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เพื่อความเป็นสิริมงคลแก่ปวงประชา

ด้วยพระมหากรุณาธิคุณอันหาที่สุดมิได้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม พระราชทานต้นพระศรีมหาโพธิ์ให้แก่กระทรวงมหาดไทย เพื่อมอบให้แก่ทุกจังหวัดทั่วราชอาณาจักรไทย โดยให้ปลูกไว้ในสถานที่อันเป็นสิริมงคล เพื่อเป็นศูนย์รวมจิตใจของประชาชน และเป็นสัญลักษณ์แห่งความมั่นคง ร่มเย็น และสันติสุขในบ้านเมือง

ต้นพระศรีมหาโพธิ์ดังกล่าว ทรงพระราชทานนามว่า “พระศรีมหาโพธิทศมราชบพิตร” (อ่านว่า พระ-สี-มะ-หา-โพ-ทิ-ทด-สะ-มะ-ราด-ชะ-บอ-พิด) ซึ่งมีความหมายว่า “พระศรีมหาโพธิ์ที่พระราชทานจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว” นับเป็นต้นไม้ที่มีความศักดิ์สิทธิ์ เป็นที่เคารพนับถือในพุทธศาสนา และมีคุณค่าทางจิตใจอย่างสูงสุด

เชียงรายพร้อมเสนอ “พุทธมณฑลสมโภช 750 ปีเมืองเชียงราย” เป็นสถานที่ปลูกพระศรีมหาโพธิ์

ในที่ประชุม จังหวัดเชียงรายได้มีมติให้ “พุทธมณฑลสมโภช 750 ปีเมืองเชียงราย” ตั้งอยู่ที่บ้านต้นง้าว อำเภอแม่ลาว จังหวัดเชียงราย เป็นสถานที่ที่เหมาะสมในการปลูกพระศรีมหาโพธิทศมราชบพิตรในครั้งนี้ ด้วยลักษณะพื้นที่อันสงบเงียบ มีความพร้อมด้านภูมิทัศน์และสิ่งอำนวยความสะดวก ทั้งยังเป็นสถานที่จัดกิจกรรมทางพระพุทธศาสนาในระดับจังหวัดมาอย่างต่อเนื่อง

สถานที่ดังกล่าวยังถือเป็นศูนย์รวมจิตใจของพุทธศาสนิกชนในภาคเหนือ และเคยเป็นสถานที่จัดงานสมโภชครั้งยิ่งใหญ่ของจังหวัดเชียงรายในอดีต การปลูกต้นพระศรีมหาโพธิ์ ณ สถานที่แห่งนี้ จึงนับเป็นเกียรติอันสูงสุดของประชาชนในพื้นที่

การเตรียมความพร้อมของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

ในการประชุมครั้งนี้ ได้มีการหารือถึงการจัดเตรียมพื้นที่ให้พร้อมรับการปลูกต้นพระศรีมหาโพธิ์ ไม่ว่าจะเป็นการเตรียมหลุมปลูก การปรับสภาพดิน การติดตั้งระบบรดน้ำ การจัดแสงสว่าง และการดูแลรักษาต้นไม้ในระยะยาว โดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น สำนักงานโยธาธิการและผังเมืองจังหวัดเชียงราย สำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สำนักงานพระพุทธศาสนา และองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย ต่างให้ความร่วมมือและวางแผนการดำเนินการอย่างรัดกุม

นอกจากนี้ ยังมีการหารือถึงพิธีกรรมทางศาสนาที่จะจัดขึ้นในวันปลูกต้นพระศรีมหาโพธิ์ โดยจะมีพระเถระชั้นผู้ใหญ่ในจังหวัดเข้าร่วมพิธี รวมถึงจะเชิญชวนประชาชนในพื้นที่เข้าร่วมอย่างพร้อมเพรียง เพื่อแสดงความจงรักภักดีและร่วมเป็นสักขีพยานในโอกาสสำคัญนี้

พระศรีมหาโพธิ์  สัญลักษณ์แห่งศรัทธา ความร่มเย็น และพระราชไมตรี

พระศรีมหาโพธิ์มิใช่เพียงต้นไม้ แต่ยังเปรียบเสมือนตัวแทนแห่งพระธรรมคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ต้นโพธิ์ยังเป็นสถานที่ที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ธรรมอันยิ่งใหญ่ จึงมีนัยยะทางจิตวิญญาณที่ลึกซึ้ง สำหรับการปลูกพระศรีมหาโพธิ์ในครั้งนี้ จึงมิได้เป็นเพียงพิธีปลูกต้นไม้ หากแต่เป็นการสื่อถึงสายใยแห่งศรัทธาและพระราชไมตรีที่พระองค์มีต่อประชาชนทุกหมู่เหล่า

มิติด้านศาสนา วัฒนธรรม และสังคมที่ได้รับจากโครงการฯ

การปลูกต้นพระศรีมหาโพธิ์ ยังมีนัยสำคัญในมิติของการส่งเสริมพระพุทธศาสนา การทำนุบำรุงวัฒนธรรมท้องถิ่น และการเสริมสร้างจิตสำนึกสาธารณะของประชาชนในเรื่องการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม โดยมีเป้าหมายให้สถานที่แห่งนี้กลายเป็น “แลนด์มาร์กทางจิตวิญญาณ” ที่ผู้คนสามารถเดินทางมาสักการะ ทำบุญ และปฏิบัติธรรมได้ตลอดปี

บทวิเคราะห์และความสำคัญในระยะยาว

การปลูกต้นพระศรีมหาโพธิ์พระราชทานในจังหวัดเชียงรายครั้งนี้ สะท้อนถึงการบูรณาการของหลายภาคส่วน ที่ร่วมกันทำงานอย่างมีเป้าหมายร่วมกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องของการสร้างจุดศูนย์รวมทางศาสนาและวัฒนธรรมของภาคเหนือ ตลอดจนสร้างพื้นที่สีเขียวที่มีความหมายทางจิตใจต่อประชาชน

นอกจากนี้ ยังถือเป็นหนึ่งในโครงการที่ส่งเสริมภาพลักษณ์ของจังหวัดเชียงราย ในฐานะเมืองพุทธศาสนาและเมืองแห่งวัฒนธรรมล้านนาอันลึกซึ้ง ซึ่งจะส่งผลดีต่อการท่องเที่ยวเชิงจิตวิญญาณในระยะยาว

ข้อมูลสถิติและแหล่งอ้างอิง

  • ปี 2567 กระทรวงมหาดไทยได้รายงานว่า มีการปลูกต้นไม้เฉลิมพระเกียรติในโอกาสสำคัญกว่า 1.2 ล้านต้นทั่วประเทศ โดยในจำนวนนี้มีต้นพระศรีมหาโพธิ์พระราชทานกว่า 7,000 ต้น
  • จากการสำรวจโดยกรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อม ปี 2566 ระบุว่า ต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ที่ปลูกในสถานที่ทางศาสนา มีอัตราการรอดชีวิตเฉลี่ยถึง 94%

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI NEWS UPDATE

ผู้ว่าฯ เชียงราย สั่ง สงกรานต์นี้ ดื่มแล้วขับ เจอจับแน่

เชียงรายเปิดศูนย์ฯ เข้มมาตรการลดอุบัติเหตุสงกรานต์ 2568

เชียงรายเดินหน้าแผนงานความปลอดภัย ชูมาตรการเข้มสกัดพฤติกรรมเสี่ยง

เชียงราย, 10 เมษายน 2568 – ณ ห้องประชุมธรรมลังกา ศาลากลางจังหวัดเชียงราย นายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เป็นประธานเปิด “ศูนย์อำนวยการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลสงกรานต์ 2568” อย่างเป็นทางการ ท่ามกลางความร่วมมือของภาครัฐ ภาคเอกชน และองค์กรท้องถิ่น ที่พร้อมใจเดินหน้ารับมือสถานการณ์เสี่ยงในช่วงวันหยุดยาว

ผนึกกำลังทุกภาคส่วน สร้างเกราะความปลอดภัยให้ประชาชน

ในโอกาสนี้ มีการส่งมอบอุปกรณ์จราจร น้ำดื่ม และเครื่องบริโภคจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัยจังหวัดเชียงราย ชมรมวินาศภัยเชียงราย และบริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) ซึ่งถือเป็นการร่วมแรงร่วมใจครั้งสำคัญเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ทุกพื้นที่

ประชุมวิดีโอคอนเฟอเรนซ์เชื่อมโยงทั่วประเทศ

ก่อนเข้าสู่พิธีเปิดศูนย์ฯ ผู้ว่าราชการจังหวัดพร้อมด้วยหัวหน้าส่วนราชการ ได้เข้าร่วมประชุมเปิดศูนย์ฯ ระดับประเทศผ่านระบบวิดีโอคอนเฟอเรนซ์ โดยมี นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นประธาน ณ ห้องประชุม 1 ปภ. กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กระทรวงมหาดไทย ซึ่งแสดงถึงความพร้อมในการประสานงานแบบเรียลไทม์กับทุกจังหวัด

3 ปัจจัยเสี่ยงหลักของอุบัติเหตุ ต้องเร่งแก้ไข

นายชรินทร์ ทองสุข เปิดเผยว่า อุบัติเหตุทางถนนช่วงสงกรานต์ มักเกิดจาก 3 ปัจจัยหลัก ได้แก่

  1. สภาพถนนและสิ่งแวดล้อมที่ไม่ปลอดภัย
  2. สภาพรถยนต์ที่ไม่พร้อมใช้งาน
  3. พฤติกรรมเสี่ยงของผู้ขับขี่ อาทิ ดื่มแอลกอฮอล์ ง่วงนอน หรือขาดทักษะในการขับขี่

มาตรการที่จังหวัดเน้นหนักในปีนี้ คือ การตั้งด่านตรวจ โดยเฉพาะ “ด่านชุมชน” เพื่อป้องกันการออกสู่ถนนของผู้มีพฤติกรรมเสี่ยง ทั้งยังสั่งการให้เจ้าหน้าที่จัดตั้งด่านในพื้นที่ปลอดภัย หลีกเลี่ยงการตั้งใกล้ถนน และควบคุมการจำหน่ายสุราให้เข้มงวดตามกฎหมาย

รณรงค์หยุดพักรถทุก 2 ชั่วโมง ลดง่วงหลับใน

จุดพักรถขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ได้รับคำสั่งให้รณรงค์ให้ผู้ขับขี่หยุดพักทุก 2 ชั่วโมง หรือทุกระยะทาง 150 กิโลเมตร เพื่อป้องกันอาการง่วงหลับใน ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญที่มักนำไปสู่อุบัติเหตุรุนแรง

ถ่ายทอดสดประชุมศูนย์ทุกวัน เสริมประสิทธิภาพติดตาม

ในช่วงเทศกาลสงกรานต์ จังหวัดเชียงรายจะมีการประชุมศูนย์อำนวยความปลอดภัยทางถนนทุกวันตลอด 7 วันของช่วงควบคุมเข้ม พร้อมถ่ายทอดสดการประชุมของศูนย์ฯ จังหวัดทุกวัน เพื่อให้ทุกหน่วยงานรับทราบข้อมูลและแนวทางอย่างทันท่วงที และพร้อมรับมือกับสถานการณ์ที่อาจเกิดขึ้น

เป้าหมายสูงสุดคือศูนย์อุบัติเหตุและการสูญเสีย

จังหวัดเชียงรายตั้งเป้าลดจำนวนผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตให้ได้มากที่สุด โดยยึดแนวทาง “ความร่วมมือ ความพร้อม และความต่อเนื่อง” ทั้งในด้านการประชาสัมพันธ์ การจัดกำลังเจ้าหน้าที่ และการใช้เทคโนโลยีช่วยสอดส่องการจราจรและพฤติกรรมของผู้ขับขี่

สถิติและข้อมูลที่เกี่ยวข้อง

จากข้อมูลของกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ปี 2567 จังหวัดเชียงรายมีจำนวนอุบัติเหตุทางถนนในช่วงสงกรานต์รวม 68 ครั้ง มีผู้เสียชีวิต 9 ราย และผู้บาดเจ็บ 72 ราย โดยสาเหตุหลักมาจากเมาแล้วขับถึง 58% ขับเร็วเกินกำหนด 27% และหลับใน 15%

ในระดับประเทศ สถิติของศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนน ระบุว่า ในช่วงสงกรานต์ปี 2567 ทั่วประเทศมีอุบัติเหตุเกิดขึ้น 2,203 ครั้ง มีผู้เสียชีวิต 264 ราย และผู้บาดเจ็บรวม 2,208 ราย โดยจังหวัดที่มีอุบัติเหตุสูงสุดคือ เชียงใหม่ นครราชสีมา และอุดรธานี ตามลำดับ

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
  • กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.)
  • ศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนน (ศปถ.)
  • รายงานสถิติอุบัติเหตุสงกรานต์ 2567, www.roadaccidentdata.go.th
  •  
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI ENTERTAINMENT

“Colors of Chiang Rai” หนังสั้นกระตุ้นเที่ยว สิริหวนคืนจอ

มรภ.เชียงราย-เทศบาลนครเชียงราย เปิดตัวหนังสั้น “Colours of Chiang Rai” ดึง Soft Power กระตุ้นการท่องเที่ยว

เชียงรายปลุกพลัง Soft Power ด้วยหนังสั้นสร้างสรรค์

เชียงราย,วันที่ 10 เมษายน 2568 –  มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย (มรภ.เชียงราย) ร่วมกับเทศบาลนครเชียงราย เปิดตัวหนังสั้นเรื่อง “Colours of Chiang Rai” เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวและเผยแพร่อัตลักษณ์วัฒนธรรมของจังหวัด โดยมีเป้าหมายในการกระตุ้นเศรษฐกิจท้องถิ่นผ่านการท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์

สิริ ณิชาวรินทร์ หวนคืนวงการในบทบาทใหม่

หนังสั้นเรื่องนี้ได้นักแสดงมากฝีมือ สิริ ณิชาวรินทร์ เพิ่มทรัพย์ (อรุณรุ่งไพศาล) กลับมารับบทนำอีกครั้ง หลังจากห่างหายจากวงการบันเทิงไปนาน โดยเธอเผยว่า ปัจจุบันประกอบธุรกิจส่วนตัวในจังหวัดเชียงราย และต้องการมีส่วนร่วมในการประชาสัมพันธ์จังหวัดให้กลับมาคึกคักอีกครั้ง

เรื่องราวของ “แอลลี่” กับการค้นหาตัวตนในเชียงราย

“Colours of Chiang Rai” ถ่ายทอดเรื่องราวของ “แอลลี่” อดีตนักแสดงที่เดินทางมาค้นหาความสงบในเชียงราย หลังจากเผชิญความเปลี่ยนแปลงในวงการบันเทิง ที่นี่เธอได้พบกับ “ท๊อป” หนุ่มเหนือที่พาเธอท่องเที่ยวและสัมผัสความงดงามของจังหวัดเชียงราย

แนวคิดและเนื้อหาของหนังสั้น

หนังสั้น “Colors of Chiang Rai” นำเสนอเรื่องราวของ ‘แอลลี่’ อดีตนักแสดงที่เดินทางมาค้นหาความสงบในเชียงราย เธอได้พบกับ ‘ท๊อป’ หนุ่มท้องถิ่นที่พาเธอเที่ยวชมสถานที่สำคัญต่างๆ เช่น วัดร่องขุ่น วัดร่องเสือเต้น วัดห้วยปลากั้ง พระตำหนักดอยตุง สิงห์ปาร์คเชียงราย หมู่บ้านกะเหรี่ยงรวมมิตร และร้าน Abonzo Yama Mitsu การเดินทางครั้งนี้ทำให้แอลลี่ได้ค้นพบสีสันใหม่ในชีวิตและเริ่มต้นใหม่ที่เชียงราย

การท่องเที่ยวเชียงรายฟื้นตัวหลังวิกฤต

หลังจากประสบปัญหาน้ำท่วมและฝุ่น PM2.5 เศรษฐกิจของเชียงรายได้รับผลกระทบอย่างมาก อย่างไรก็ตาม การท่องเที่ยวเริ่มฟื้นตัว โดยในปี 2566 มีนักท่องเที่ยวเยือนเชียงรายกว่า 5 ล้านคน สร้างรายได้กว่า 46,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2565 ที่มีรายได้ 34,400 ล้านบาท

การส่งเสริมการท่องเที่ยวผ่านแคมเปญต่างๆ

การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) สำนักงานเชียงราย ได้จัดแคมเปญ “เที่ยวสบายๆ สไตล์เชียงราย Amazing Chiang Rai Lifestyle” เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวและส่งเสริมภาพลักษณ์ของจังหวัด

การเติบโตของธุรกิจที่พักในเชียงราย

ข้อมูลจากสำนักงานปกครองจังหวัดเชียงราย ระบุว่า จำนวนโรงแรมที่จดทะเบียนในจังหวัดเพิ่มขึ้นจาก 236 แห่งในปี 2557 เป็น 285 แห่งในปี 2559 ขณะที่โฮมสเตย์และเกสต์เฮาส์ก็มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเช่นกัน

สรุป

หนังสั้น “Colours of Chiang Rai” เป็นอีกหนึ่งความพยายามในการใช้ Soft Power เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวและเศรษฐกิจของจังหวัดเชียงราย โดยการนำเสนอความงดงามของสถานที่ท่องเที่ยวและวัฒนธรรมท้องถิ่น ผ่านเรื่องราวที่เข้าถึงง่ายและสร้างแรงบันดาลใจให้กับผู้ชม

สถิติที่เกี่ยวข้อง

  • ปี 2565: นักท่องเที่ยว 5,051,642 คน รายได้ 34,413 ล้านบาท
  • ปี 2566: นักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้น 27.29% รายได้ 46,000 ล้านบาท

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : 

  • สำนักงานปกครองจังหวัดเชียงราย
  • การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) สำนักงานเชียงราย
  • ลงทุนแมน
  • prop2morrow
  • มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย (มรภ.เชียงราย)
  • เทศบาลนครเชียงราย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI CULTURE

เชียงรายเฟ้นหา 46 ศิลปิน คนรุ่นใหม่ ขัวศิลปะ

เชียงรายเปิดโครงการ “Artbridge Young Artist 2025” ปลุกพลังศิลปินรุ่นใหม่ สู่เวทีศิลปะร่วมสมัยนานาชาติ

ประเทศไทย, 10 เมษายน 2568 – จังหวัดเชียงรายเดินหน้าส่งเสริมศิลปะร่วมสมัยอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดเมื่อวันที่ 8 เมษายน 2568 ได้มีการจัดพิธีเปิดโครงการ “ศิลปินรุ่นใหม่ขัวศิลปะ Artbridge Young Artist 2025” ณ พิพิธภัณฑ์ศิลปะร่วมสมัยเมืองเชียงราย (Chiang Rai Contemporary Art Museum: CCAM) ตำบลริมกก อำเภอเมืองเชียงราย จังหวัดเชียงราย โดยมี อาจารย์นคร พงษ์น้อย ผู้อำนวยการอุทยานศิลปะและวัฒนธรรมแม่ฟ้าหลวง เป็นประธานในพิธีเปิดงานอย่างเป็นทางการ

ขัวศิลปะ จุดศูนย์กลางพลังสร้างสรรค์ของศิลปินเชียงราย

โครงการศิลปินรุ่นใหม่ขัวศิลปะ “Artbridge Young Artist 2025” จัดขึ้นโดย สมาคมขัวศิลปะ จังหวัดเชียงราย ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการส่งเสริม สนับสนุน และพัฒนาศิลปินในภาคเหนือ โดยเฉพาะจังหวัดเชียงรายซึ่งมีรากฐานทางศิลปะเข้มแข็งมาอย่างยาวนาน โครงการในปีนี้จัดขึ้นระหว่างเดือนเมษายน – มิถุนายน 2568 โดยมีเป้าหมายเพื่อเปิดพื้นที่การแสดงออกทางศิลปะให้แก่ ศิลปินรุ่นใหม่จำนวน 46 คน ที่ผ่านการคัดเลือกจากคณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ

พิพิธภัณฑ์ศิลปะร่วมสมัยเมืองเชียงราย พื้นที่แห่งนิเวศน์ศิลปะ

การจัดโครงการครั้งนี้มีสถานที่หลักอยู่ที่ พิพิธภัณฑ์ศิลปะร่วมสมัยเมืองเชียงราย (CCAM) ซึ่งเป็นศูนย์กลางทางศิลปะร่วมสมัยแห่งใหม่ของภาคเหนือ โครงการมุ่งส่งเสริมให้ศิลปินรุ่นใหม่ได้พัฒนาผลงานภายใต้ “นิเวศน์แห่งศิลปะ” (Artistic Ecosystem) ซึ่งรวมถึงการฝึกปฏิบัติจริง การรับคำแนะนำจากศิลปินอาวุโส การนำเสนอผลงานสู่สาธารณะ และการเรียนรู้ผ่านเวิร์กชอปเชิงลึกจากผู้เชี่ยวชาญในหลากหลายสาขา

ภายในพิธีเปิด มีศิลปินอาวุโสและศิลปินเชียงรายผู้มีชื่อเสียงหลายท่านร่วมให้กำลังใจแก่เยาวชนที่เข้าร่วมโครงการ พร้อมร่วมแลกเปลี่ยนประสบการณ์และถ่ายทอดแรงบันดาลใจในการทำงานศิลปะอย่างใกล้ชิด

บทบาทของภาครัฐและท้องถิ่นในการผลักดันศิลปะร่วมสมัย

ภายในงานมีการมอบหนังสือสูจิบัตร Thailand Biennale Chiang Rai 2023 ให้แก่ศิลปินรุ่นใหม่ทั้ง 46 คน โดย นายพิสันต์ จันทร์ศิลป์ วัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย พร้อมด้วย นางวนิดาพร ธิวงศ์ ผู้อำนวยการกลุ่มส่งเสริมศาสนาศิลปะและวัฒนธรรม และ นายวรพล จันทร์คง นักวิชาการวัฒนธรรมปฏิบัติการ เป็นผู้แทนมอบ เพื่อเป็นต้นทุนทางความรู้ที่ช่วยส่งเสริมวิสัยทัศน์และแนวคิดด้านศิลปะร่วมสมัย

การสนับสนุนดังกล่าวสะท้อนถึงแนวทางเชิงรุกของจังหวัดเชียงรายในการผลักดัน “Soft Power” ผ่านศิลปะและวัฒนธรรม โดยมุ่งหวังให้ศิลปินรุ่นใหม่มีบทบาทในการขับเคลื่อนเมืองแห่งศิลปะและสร้างเศรษฐกิจสร้างสรรค์ที่ยั่งยืน

เป้าหมายระยะยาว เชียงรายกับบทบาทบนเวทีศิลปะนานาชาติ

จังหวัดเชียงรายกำลังอยู่ในกระบวนการผลักดันเข้าสู่การเป็นสมาชิก เครือข่ายเมืองสร้างสรรค์ของยูเนสโก (UNESCO Creative Cities Network) โดยใช้ศิลปะร่วมสมัยเป็นกลไกสำคัญ โครงการ Artbridge Young Artist ถือเป็นหนึ่งในกลยุทธ์ที่ช่วยเตรียมความพร้อมด้านบุคลากร ความรู้ และการสร้างผลงานที่มีคุณภาพระดับสากล เพื่อยกระดับเชียงรายสู่ศูนย์กลางศิลปะระดับภูมิภาคและระดับโลก

ศิลปินรุ่นใหม่ พลังแห่งความหวังในโลกศิลปะร่วมสมัย

ศิลปินรุ่นใหม่ที่ได้รับคัดเลือกในปี 2568 นี้ มีทั้งนักศึกษาศิลปะจากมหาวิทยาลัยในภาคเหนือ เยาวชนจากชุมชน และศิลปินอิสระจากพื้นที่ต่าง ๆ ทั่วประเทศ โดยแต่ละคนจะได้รับโอกาสในการสร้างสรรค์ผลงานภายใต้การดูแลของพี่เลี้ยงศิลปินมืออาชีพ ทั้งยังมีโอกาสจัดแสดงนิทรรศการ ณ CCAM และมีส่วนร่วมในการสร้างกิจกรรมศิลปะในชุมชน

บทวิเคราะห์ ขัวศิลปะกับการสร้างระบบนิเวศศิลปะของภาคเหนือ

การจัดตั้งโครงการเชิงต่อเนื่องของสมาคมขัวศิลปะ เช่น Artbridge Young Artist ช่วยให้เชียงรายสามารถสร้าง ระบบนิเวศศิลปะ” (Art Ecosystem) ที่ประกอบด้วย

  • พื้นที่แสดงงานและแลกเปลี่ยน
  • กลไกการสนับสนุนศิลปินรุ่นใหม่
  • การบ่มเพาะศิลปินอย่างเป็นระบบ
  • การพัฒนาทุนวัฒนธรรมให้เกิดคุณค่าทางเศรษฐกิจและสังคม

ในภาพรวม การขับเคลื่อนของขัวศิลปะสะท้อนถึงแนวโน้มของจังหวัดเชียงรายที่จะกลายเป็น มหานครแห่งศิลปะร่วมสมัย ของภูมิภาคลุ่มน้ำโขงในอนาคตอันใกล้

สถิติที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหาข่าว

  • จำนวนศิลปินรุ่นใหม่ที่เข้าร่วมโครงการ Artbridge Young Artist 2025: 46 คน
  • จำนวนผู้เข้าชมนิทรรศการศิลปะในเชียงราย ปี 2567: กว่า 180,000 คน (ข้อมูลจากสมาคมขัวศิลปะ)
  • มูลค่าเศรษฐกิจสร้างสรรค์ของเชียงรายในสาขาศิลปะร่วมสมัย ปี 2567: ประมาณ 87 ล้านบาท (สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย)
  • จำนวนพิพิธภัณฑ์และแกลเลอรีในเชียงราย: 23 แห่ง (รวมทั้งภาครัฐและเอกชน)
  • นักท่องเที่ยวที่เดินทางเพื่อเยี่ยมชมงานศิลปะโดยตรงในจังหวัดเชียงราย: คิดเป็น 12.4% ของนักท่องเที่ยวทั้งจังหวัด (จากจำนวนนักท่องเที่ยวทั้งหมด 6.19 ล้านคน ปี 2567)
  • งาน Thailand Biennale Chiang Rai 2023: มีผู้เข้าร่วมกว่า 350,000 คน ตลอดระยะเวลาจัดงาน (ข้อมูลจากกระทรวงวัฒนธรรม)

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : 

  • สมาคมขัวศิลปะ จังหวัดเชียงราย
  • สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย
  • กระทรวงวัฒนธรรม
  • พิพิธภัณฑ์ศิลปะร่วมสมัยเมืองเชียงราย (CCAM)
  • ศูนย์วิจัยและพัฒนาการท่องเที่ยว มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
  • รายงานผลการจัดงาน Thailand Biennale Chiang Rai 2023
  • UNESCO Creative Cities Network Thailand Coordination Unit
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI TOP STORIES

เชียงรายโล่ง! ปลาน้ำกกปลอดภัย สารหนูในตัวปลาต้องใช้นาน 10 ปี

ประมงฯ เชียงรายยืนยัน “ปลาน้ำกกยังปลอดภัยบริโภคได้” แม้พบสารหนูในระดับต่ำ – เตรียมเฝ้าระวังระยะยาว

ประเทศไทย, 10 เมษายน 2568 – ภายหลังมีรายงานข่าวเกี่ยวกับการพบสัตว์น้ำตายและข่าวสารการปนเปื้อนของโลหะหนักในแม่น้ำกก จังหวัดเชียงราย ล่าสุด สำนักงานประมงจังหวัดเชียงราย ยืนยันว่า จากการตรวจสอบเบื้องต้นพบว่าสภาพน้ำยังอยู่ในเกณฑ์ที่ปลอดภัยต่อการดำรงชีวิตของสัตว์น้ำ และปลายังคงสามารถบริโภคได้โดยไม่มีอันตรายในระยะสั้น พร้อมย้ำถึงแผนเฝ้าระวังคุณภาพน้ำในระยะยาวเพื่อความปลอดภัยของประชาชน

ตรวจสอบคุณภาพน้ำแม่น้ำกก จากภาพข่าวสู่การลงพื้นที่

เมื่อวันที่ 9 เมษายน 2568 นายณัฐรัฐ พรเดชอนันต์ ประมงจังหวัดเชียงราย พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่จาก ศูนย์วิจัยและพัฒนาประมงน้ำจืดพะเยา ได้ลงพื้นที่บริเวณแม่น้ำกก ด้านหน้าสำนักงานประมงจังหวัดเชียงราย เพื่อเก็บตัวอย่างน้ำและตรวจสอบสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติ หลังมีข่าวเผยแพร่ภาพเต่าตายและความกังวลของประชาชนในพื้นที่เกี่ยวกับความปลอดภัยในการบริโภคปลาจากแม่น้ำสายนี้

จากการตรวจสอบเบื้องต้น พบว่า

  • ลูกปลาวัยอ่อนว่ายน้ำได้ตามปกติ
  • ไม่มีปลาที่แสดงอาการอ่อนแอ สีซีด หรือผิดปกติ
  • ค่าออกซิเจนละลายในน้ำ (DO) อยู่ในเกณฑ์เหมาะสม
  • แม้ระดับความขุ่นของน้ำจะเพิ่มขึ้นในช่วงน้ำหลาก แต่ยังไม่ส่งผลร้ายแรงต่อสัตว์น้ำ

ชี้แจงภาพ “เต่านาตาย” ไม่ใช่ผลจากสารพิษ

ประเด็นภาพข่าวเต่าตายที่ถูกเผยแพร่ในโลกออนไลน์นั้น นายณัฐรัฐชี้แจงว่า เต่าที่พบเป็น “เต่านา” ซึ่งไม่ควรนำมาปล่อยลงแม่น้ำ เนื่องจากไม่ใช่ถิ่นอาศัยตามธรรมชาติของสัตว์ชนิดนี้ เต่าจึงมีโอกาสจมน้ำตายได้หากไม่มีพื้นที่ขึ้นหายใจที่เพียงพอ โดยสันนิษฐานว่าอาจเกิดจากความตั้งใจของประชาชนที่ปล่อยสัตว์น้ำเพื่อทำบุญ แต่ไม่ได้ประเมินความเหมาะสมของแหล่งน้ำ

ผลการตรวจวิเคราะห์น้ำ พบ “สารหนู” ในระดับต่ำ

จากการเก็บตัวอย่างน้ำในบริเวณสวนสาธารณะใกล้กับองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย พบว่า

  • ตรวจพบสารหนู (Arsenic) ที่ระดับ 0.013 มิลลิกรัมต่อลิตร
  • แม้จะเกินค่ามาตรฐานของน้ำดื่ม (0.01 มก./ลิตร) เล็กน้อย แต่ยังต่ำกว่าระดับอันตรายสำหรับสัตว์น้ำ
  • ยังไม่พบผลกระทบในลักษณะที่รุนแรงต่อสิ่งมีชีวิตในน้ำ
  • อย่างไรก็ตาม หากมีการสะสมในตัวปลานานหลายปี อาจส่งผลต่อสุขภาพผู้บริโภค

ยังไม่พบสารพิษในตัวปลาโดยตรง แต่เตรียมตรวจเชิงลึก

ในประเด็นสารพิษสะสมในตัวปลา นายณัฐรัฐ เปิดเผยว่า ขณะนี้ยังไม่ได้มีการเก็บตัวอย่างปลาจากแม่น้ำกกไปตรวจวิเคราะห์ในห้องปฏิบัติการเพื่อหาสารหนูโดยตรง แต่มีแผนจะดำเนินการในระยะถัดไปเพื่อยืนยันความปลอดภัยอย่างเป็นรูปธรรม และจะเร่งประสานกับหน่วยงานวิชาการที่เกี่ยวข้อง เช่น กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ หรือศูนย์วิจัยประมงในภูมิภาค

ทั้งนี้ แนะนำให้ประชาชนในพื้นที่ สามารถบริโภคปลาจากแม่น้ำกกได้ตามปกติ แต่ควรหลีกเลี่ยงการบริโภคซ้ำต่อเนื่องเป็นเวลานาน และควรปรุงสุกก่อนบริโภคเสมอ เพื่อความปลอดภัย

ข้อมูลสัตว์น้ำในพื้นที่ แม่น้ำกกไม่ใช่แหล่งเลี้ยงปลาในกระชัง

ประมงจังหวัดเชียงรายระบุว่า ปัจจุบันแม่น้ำกกไม่ได้เป็นแหล่งเลี้ยงปลาในกระชัง โดยปลาที่จับได้ส่วนใหญ่เป็นปลาธรรมชาติ และมีปริมาณไม่มาก คิดเป็นไม่ถึง 10% ของปลาทั้งหมดที่บริโภคในจังหวัดเชียงราย ส่วนปลาที่บริโภคทั่วไปมาจากแหล่งเพาะเลี้ยงในบ่อดิน อ่างเก็บน้ำ และแหล่งน้ำสาธารณะของชุมชน

เตรียมแผนเฝ้าระวังระยะยาว ติดตามต่อเนื่องตลอดฤดูน้ำหลาก

เนื่องจากแม่น้ำกกเป็นแม่น้ำสายหลักของจังหวัดเชียงราย และมีการเปลี่ยนแปลงคุณภาพน้ำตามฤดูกาล โดยเฉพาะช่วงหน้าฝนที่อาจเกิดน้ำหลากและน้ำขุ่นมาก ประมงจังหวัดเชียงรายได้เตรียมแผนเฝ้าระวังคุณภาพน้ำในระยะยาว ร่วมกับหน่วยงานด้านสิ่งแวดล้อม และกรมควบคุมมลพิษ เพื่อป้องกันความเสี่ยงในอนาคต

นอกจากนี้ ยังอยู่ระหว่างการหารือกับจังหวัดใกล้เคียง เช่น จังหวัดพะเยา และหน่วยงานชายแดน เพื่อสำรวจต้นน้ำจากฝั่งประเทศเมียนมา ซึ่งเป็นจุดกำเนิดของแม่น้ำกก และอาจมีส่วนต่อการปนเปื้อนของสารโลหะหนัก

บทวิเคราะห์ แม่น้ำกกในมิติเชิงสาธารณสุขและสิ่งแวดล้อม

แม่น้ำกกมีความสำคัญต่อระบบนิเวศและการดำรงชีวิตของชุมชนในจังหวัดเชียงรายอย่างมาก ทั้งในด้านการประมง การใช้น้ำอุปโภคบริโภค และการท่องเที่ยวเชิงธรรมชาติ การพบสารหนูในระดับต่ำเป็นสัญญาณที่ควรใส่ใจ โดยเฉพาะในยุคที่การเปลี่ยนแปลงทางสิ่งแวดล้อมเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว

แม้ปลาจะยังบริโภคได้ในขณะนี้ แต่การบริหารจัดการความเสี่ยง และการสื่อสารสาธารณะที่ชัดเจน โปร่งใส เป็นสิ่งที่จำเป็น เพื่อไม่ให้ประชาชนตื่นตระหนกเกินเหตุ และในขณะเดียวกันต้องสร้างความมั่นใจว่ารัฐติดตามสถานการณ์อย่างต่อเนื่อง

สถิติที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหาข่าว

  • ค่าเฉลี่ยสารหนูในน้ำที่ปลอดภัยต่อการบริโภค: ไม่เกิน 0.01 มก./ลิตร (กรมอนามัย, 2567)
  • ระดับที่พบในแม่น้ำกก: 0.013 มก./ลิตร (ศูนย์วิจัยและพัฒนาประมงน้ำจืดพะเยา, เม.ย. 2568)
  • สัตว์น้ำในแม่น้ำกก: ยังไม่พบอาการผิดปกติจากผลกระทบสารพิษ (สำนักงานประมงจังหวัดเชียงราย, 9 เม.ย. 2568)
  • ปลาที่จับจากแม่น้ำกก: คิดเป็นไม่ถึง 10% ของปลาที่บริโภคในจังหวัดเชียงราย (สถิติประมงภาคเหนือ, 2566)
  • แม่น้ำกกเป็นแหล่งน้ำหลักของจังหวัดเชียงราย ที่ใช้ในระบบประปาในบางพื้นที่ และการประมงพื้นบ้าน
  • เชียงรายมีแหล่งเพาะเลี้ยงปลาในบ่อดินและอ่างเก็บน้ำ มากกว่า 3,000 แห่ง ทั่วจังหวัด (กรมประมง, 2567)

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
  • สำนักงานประมงจังหวัดเชียงราย
  • ศูนย์วิจัยและพัฒนาประมงน้ำจืดพะเยา
  • กรมประมง
  • กรมควบคุมมลพิษ
  • กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข
  • สำนักข่าวกรมประชาสัมพันธ์ จังหวัดเชียงราย
  • รายงานสถานการณ์สิ่งแวดล้อมภาคเหนือ ปี 2566 – 2567
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI NEWS UPDATE

ข้อมูลปี 2567 พบว่า ‘เชียงราย’ ดื่มแอลกอฮอล์ ติดอันดับ 4

เชียงรายติดอันดับ 4 ประเทศไทย ผู้ดื่มสุราสูงสุดต่อแสนประชากร รณรงค์ 3 ต. สงกรานต์ 2568

เชียงใหม่, 9 เมษายน 2568 – จากข้อมูลสถานการณ์ล่าสุดด้านการบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในภาคเหนือ โดยเฉพาะจังหวัดเชียงราย พบแนวโน้มที่น่ากังวลในช่วงก่อนเข้าสู่เทศกาลสงกรานต์ 2568 ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่มีอุบัติเหตุและการสูญเสียจากการดื่มสุรามากเป็นพิเศษ สำนักงานป้องกันและควบคุมโรคที่ 1 จังหวัดเชียงใหม่ เปิดเผยว่า จังหวัดเชียงรายถูกจัดอยู่ใน ลำดับที่ 4 ของประเทศ ในจำนวนประชากรผู้ดื่มสุราต่อแสนคน โดยมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง

สถานการณ์แอลกอฮอล์โลก-ไทย และผลกระทบที่ตามมา

จากรายงานสถานการณ์ระดับโลกโดยองค์การอนามัยโลก (WHO) ระบุว่า ประชากรโลกดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เฉลี่ย ร้อยละ 43 หรือคิดเป็น 6.4 ลิตรต่อคนต่อปี ขณะที่ทั่วโลกมีผู้เสียชีวิตจากการดื่มแอลกอฮอล์มากถึง 3 ล้านคนต่อปี หรือเฉลี่ยเสียชีวิต 1 คนในทุก ๆ 10 วินาที

ประเทศไทยเองก็เผชิญกับปัญหาดังกล่าวอย่างรุนแรง โดยเฉพาะช่วงเทศกาลสงกรานต์ที่ถือเป็นช่วงเสี่ยงที่สุดของปี ข้อมูลจากปี 2567 ระบุว่า มีอุบัติเหตุกว่า 20,000 ครั้ง และมีผู้เสียชีวิตมากกว่า 300 คน โดยพบว่าวันที่ 13 เมษายน เป็นวันที่เกิดอุบัติเหตุสูงสุด และสาเหตุส่วนใหญ่เกิดจาก “ดื่มแล้วขับ

เชียงรายในภาพรวมของภาคเหนือ: ความน่ากังวลในเชิงพฤติกรรมและสุขภาพ

ในภาคเหนือมีโรงกลั่นสุราที่ขึ้นทะเบียนทั้งหมด 985 แห่ง โดยเพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้า 10 แห่ง จังหวัดเชียงรายเองถือว่าเป็นหนึ่งในจังหวัดที่มีความเข้มข้นของการบริโภคสุราสูงที่สุด โดยถูกจัดอยู่ใน อันดับที่ 4 ของประเทศ รองจากจังหวัดขอนแก่น ลำปาง และมหาสารคาม ส่วนจังหวัดพะเยาอยู่ในอันดับที่ 5

สำหรับจังหวัดเชียงราย สถิติชี้ว่ามีการบริโภคสุราสูงถึง 7.17 ลิตรต่อคนต่อปี และยังพบว่า นักดื่มหน้าใหม่มีอายุน้อยลงเรื่อย ๆ บางรายอยู่ในระดับประถมศึกษา โดยส่วนใหญ่เริ่มต้นจากการได้รับสุราจากผู้ปกครองหรือคนในครอบครัว

สงกรานต์วิถีไทย สนุก ปลอดภัย ไร้แอลกอฮอล์” 

เมื่อวันที่ 3 เม.ย. 2568 ที่ลานด้านหน้าหอศิลปวัฒนธรรมกรุงเทพมหานคร สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ร่วมกับเครือข่ายงดเหล้า และมูลนิธิเครือข่ายพลังสังคม จัดแถลงข่าว “สงกรานต์วิถีไทย สนุก ปลอดภัย ไร้แอลกอฮอล์”  โดย นพ.พงศ์เทพ วงศ์วัชรไพบูลย์ ผู้จัดการกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) กล่าวว่า  งานประเพณีสงกรานต์ ถือเป็นวาระพิเศษของสังคมไทย เป็นกิจกรรมสำหรับครอบครัว หลายปีที่ผ่านมา คนไทยต้องเผชิญความสูญเสียจากอุบัติเหตุ การคุกคามทางเพศ การทะเลาะวิวาทและความรุนแรง จากพฤติกรรมเสี่ยงโดยเฉพาะในพื้นที่จัดงานเล่นน้ำที่มีเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ โดยเฉพาะการเดินทางในช่วงเทศกาลสงกรานต์ ที่มีจุดเริ่มต้นของปัญหาส่วนหนึ่งมาจาก “เครื่องดื่มแอลกอฮอล์”

ซึ่งข้อมูลจากกระทรวงสาธารณสุข พบว่าช่วงเทศกาลสงกรานต์ปี 2562-2566 มีผู้บาดเจ็บหรือเสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางถนนสูงเฉลี่ยถึง 4,519 ราย ผลกระทบสำคัญคือ “เหยื่อจากผู้ดื่มแล้วขับ” มีจำนวนเพิ่มสูงขึ้นทุกปี เฉพาะเทศกาลสงกรานต์ 2567 มีเหยื่อจากผู้ดื่มแล้วขับมากถึง 207 ราย เฉลี่ยชั่วโมงละ 1 ราย 

“จากการสำรวจข้อมูลโดยมูลนิธิเครือข่ายพลังสังคม ปี 2567 ครอบคลุม 18 จังหวัด มีกลุ่มตัวอย่าง 1,000 คน พบว่า ประชาชน 91.4% เห็นด้วยว่าการจัดงานสงกรานต์ปลอดเหล้าช่วยลดอุบัติเหตุจากการดื่มแล้วขับ 90%  เห็นด้วยว่าการจัดงานปลอดเหล้าช่วยลดปัญหาการทะเลาะวิวาท 87% เห็นว่าจัดงานไม่มีเหล้าจะช่วยลดพฤติกรรมลวนลามและการล่วงละเมิดทางเพศ ขณะที่ 75.2% ชอบงานสงกรานต์แบบปลอดเหล้ามากกว่างานที่มีเหล้า” นพ.พงศ์เทพ กล่าว 

ขอเชิญชวนให้ปรับค่านิยมและพฤติกรรมใน 6 เรื่อง

ด้านนายวิษณุ ศรีทะวงศ์ ประธานมูลนิธิเครือข่ายพลังสังคม กล่าวว่า ความสูญเสียต่างๆ ที่เกิดขึ้นในช่วงเทศกาลสงกรานต์ เกิดจากค่านิยมและความเชื่อของสังคมที่เชื่อว่า การดื่มช่วยทำให้สนุก และช่วยทำให้สนิทสนมกันไว รวมถึงความเครียดจากการทำงานและสภาพสังคมทำให้เกิดการดื่มหนักในช่วงสงกรานต์เพราะต้องการปลดปล่อยความเครียด นอกจากนี้สังคมไทยเกิดอาการชินและยอมรับพฤติกรรมดื่มแล้วขับ ดังนั้นในช่วงเทศกาลสงกรานต์ปีนี้ สคล. มูลนิธิเครือข่ายพลังสังคม และภาคีเครือข่ายขอเชิญชวนให้ปรับค่านิยมและพฤติกรรมใน 6 เรื่อง ได้แก่

  1. ดื่มไม่ขับ 
  2. ไม่ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในพื้นที่สาธารณะ 
  3. ไม่ขาย ไม่ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในพื้นที่จัดงานสงกรานต์
  4. ให้ความสำคัญต่อความสนุกที่ยั่งยืนมากกว่าความสนุกชั่วคราว
  5. สนุกได้โดยไม่มีเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
  6. สนิทได้โดยไม่พึงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ทั้งนี้ หากทุกภาคส่วนร่วมกันควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และเอาจริงจังกับมาตรการโซนนิ่งพื้นที่เล่นน้ำปลอดภัย ปลอดเหล้าแล้ว สงกรานต์เป็นเทศกาลแห่งความสุขของครอบครัวอย่างแท้จริง

เชียงรายกับการแก้ปัญหาอย่างเป็นระบบ

จังหวัดเชียงรายมีความพยายามอย่างต่อเนื่องในการลดอัตราการบริโภคสุรา โดยมีการประสานความร่วมมือกับหน่วยงานระดับอำเภอ ตำบล และชุมชน ตั้งแต่ระดับการเรียนรู้ในโรงเรียน การส่งเสริมการจัดงานปลอดเหล้าในช่วงเทศกาล ไปจนถึงการเชิญชวนร้านค้าเข้าร่วมเป็น “พื้นที่ปลอดแอลกอฮอล์

อย่างไรก็ตาม จากสถิติในปีที่ผ่านมา ยังพบว่าผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุที่เกี่ยวข้องกับสุราในพื้นที่จังหวัดเชียงรายยังคงอยู่ในระดับสูง โดยเฉพาะในกลุ่มวัยทำงานและวัยรุ่นชาย ซึ่งสะท้อนถึงความจำเป็นในการเพิ่มประสิทธิภาพของมาตรการเชิงป้องกัน และพัฒนาระบบติดตามพฤติกรรมดื่มสุราของกลุ่มเสี่ยงในพื้นที่

การมีส่วนร่วมของภาคประชาชน และภาคเอกชน

นอกจากหน่วยงานรัฐแล้ว ภาคเอกชนและประชาชนในพื้นที่ก็มีบทบาทสำคัญอย่างยิ่ง โดยเฉพาะการส่งเสริมกิจกรรมสร้างสรรค์ในชุมชน เช่น งานสงกรานต์ปลอดเหล้า กิจกรรมกีฬาชุมชน หรือเวทีเยาวชนเพื่อเรียนรู้ผลกระทบของแอลกอฮอล์

ในปีนี้ จังหวัดเชียงรายยังเปิดเวทีให้หน่วยงานหรือบุคคลที่มีผลงานดีเด่นในการรณรงค์และควบคุมการบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ส่งผลงานเข้ารับการคัดเลือกเพื่อรับรางวัลเกียรติยศ เนื่องในวันงดดื่มสุราแห่งชาติ ประจำปี 2568 ซึ่งถือเป็นอีกแรงจูงใจที่ช่วยสร้างเครือข่ายในการขับเคลื่อนงานอย่างยั่งยื

สถิติที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหาข่าว

  • ประชากรโลก ดื่มแอลกอฮอล์เฉลี่ย 6.4 ลิตรต่อคนต่อปี (WHO, 2023)
  • ประเทศไทย มีประชากรดื่มแอลกอฮอล์เฉลี่ย 7.17 ลิตรต่อคนต่อปี (สำนักงานสถิติแห่งชาติ, 2566)
  • เชียงราย ติดอันดับ 4 ของประเทศ ในอัตราผู้ดื่มสุราต่อแสนประชากร (สำนักงานควบคุมโรคที่ 1 จังหวัดเชียงใหม่, 2567)
  • โรงกลั่นสุราในภาคเหนือ มีจำนวน 985 แห่ง โดยจังหวัดเชียงรายมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นจากเดิม
  • อุบัติเหตุช่วงสงกรานต์ปี 2567 ทั่วประเทศเกิดกว่า 20,000 ครั้ง เสียชีวิตมากกว่า 300 คน (ศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนน)
  • วันเสี่ยงสูงสุด คือวันที่ 13 เมษายน ซึ่งมีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บสูงที่สุดในรอบสัปดาห์

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : 

  • สำนักงานป้องกันและควบคุมโรคที่ 1 จังหวัดเชียงใหม่
  • สำนักงานสถิติแห่งชาติ
  • องค์การอนามัยโลก (WHO)
  • ศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนน
  • สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงราย
  • เครือข่ายองค์กรงดเหล้า จังหวัดเชียงราย
  • ภาพโดย : KANJO Review
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News