Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

ช่วยชีวิตฉุกเฉิน ศิริกรณ์เชียงรายอบรมกู้ชีพ 100 คน

สมาคมศิริกรณ์เชียงรายบรรเทาสาธารณภัย จัดอบรมการช่วยชีวิตขั้นพื้นฐานในสถานการณ์ฉุกเฉินด้านสุขภาพในชุมชน

เชียงราย, 20 มีนาคม 2568 – สมาคมศิริกรณ์เชียงรายบรรเทาสาธารณภัย ได้จัดโครงการอบรมการช่วยชีวิตขั้นพื้นฐาน (Basic Life Support: BLS) สำหรับอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) ตำบลท่าสุด ประจำปีงบประมาณ 2568 โดยได้รับการสนับสนุนงบประมาณจากกองทุนหลักประกันสุขภาพเทศบาลตำบลท่าสุด การอบรมจัดขึ้น ณ อาคารอเนกประสงค์ เทศบาลตำบลท่าสุด อำเภอเมืองเชียงราย โดยมีผู้เข้ารับการอบรมจำนวน 100 คน

การช่วยเหลือผู้ป่วยหมดสติ

การอบรมครั้งนี้มุ่งเน้นการให้ความรู้และฝึกปฏิบัติการช่วยชีวิตในกรณีฉุกเฉิน เช่น การช่วยฟื้นคืนชีพ (CPR) การใช้เครื่องกระตุกหัวใจไฟฟ้าชนิดอัตโนมัติ (AED) การช่วยเหลือผู้ป่วยหมดสติ และการปฐมพยาบาลเบื้องต้นสำหรับอาการเจ็บป่วยหรือบาดเจ็บที่อาจเกิดขึ้นในชุมชน โดยมีวิทยากรจากสมาคมศิริกรณ์เชียงรายบรรเทาสาธารณภัย และเจ้าหน้าที่กู้ชีพที่มีความเชี่ยวชาญมาให้ความรู้และฝึกสอน

กองทุนหลักประกันสุขภาพเทศบาลตำบลท่าสุด

การอบรมครั้งนี้มีเป้าหมายเพื่อให้ อสม. และประชาชนในชุมชนมีทักษะที่จำเป็นในการช่วยเหลือผู้ป่วยฉุกเฉินได้อย่างถูกต้องและทันท่วงที ซึ่งจะช่วยลดอัตราการเสียชีวิตและภาวะแทรกซ้อนจากการบาดเจ็บหรือเจ็บป่วยกะทันหัน ซึ่งกองทุนหลักประกันสุขภาพเทศบาลตำบลท่าสุดให้ความสำคัญกับการพัฒนาศักยภาพด้านการแพทย์ฉุกเฉินในระดับชุมชน เพราะเชื่อว่าการมีบุคลากรที่สามารถให้การช่วยเหลือเบื้องต้นก่อนถึงมือแพทย์จะช่วยเพิ่มโอกาสรอดชีวิตของผู้ป่วยและลดภาระของโรงพยาบาลในพื้นที่ได้อย่างมีนัยสำคัญ

โดยการได้รับความรู้และทักษะจากการฝึกปฏิบัติจริงช่วยให้มีความมั่นใจมากขึ้นในการให้การช่วยเหลือผู้ป่วยฉุกเฉิน โดยเฉพาะในสถานการณ์ที่ต้องใช้ CPR หรือ AED ซึ่งเป็นทักษะที่มีความสำคัญอย่างยิ่งในกรณีที่เกิดภาวะหัวใจหยุดเต้นเฉียบพลัน

มีผู้ป่วยภาวะหัวใจหยุดเต้นฉับพลัน

สถิติที่เกี่ยวข้องกับการช่วยชีวิตขั้นพื้นฐาน จากข้อมูลของสถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ (สพฉ.) ระบุว่าในปี 2567 มีผู้ป่วยภาวะหัวใจหยุดเต้นฉับพลันนอกโรงพยาบาลในประเทศไทยมากกว่า 50,000 ราย แต่มีเพียง 10% เท่านั้นที่ได้รับการช่วยเหลือด้วยการทำ CPR หรือการใช้เครื่อง AED อย่างถูกต้องก่อนถึงโรงพยาบาล ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความจำเป็นในการเพิ่มพูนทักษะด้านการแพทย์ฉุกเฉินให้กับประชาชนในทุกระดับ

ทั้งนี้ สมาคมศิริกรณ์เชียงรายบรรเทาสาธารณภัยและเทศบาลตำบลท่าสุด ยังคงมุ่งมั่นดำเนินโครงการฝึกอบรมลักษณะนี้อย่างต่อเนื่อง เพื่อส่งเสริมศักยภาพของอาสาสมัครและประชาชนในพื้นที่ให้สามารถเป็นกำลังสำคัญในการช่วยเหลือผู้ป่วยฉุกเฉิน และสร้างเครือข่ายการแพทย์ฉุกเฉินระดับชุมชนที่มีประสิทธิภาพ

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สมาคมศิริกรณ์เชียงรายบรรเทาสาธารณภัย /สถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ (สพฉ.) / กองทุนหลักประกันสุขภาพเทศบาลตำบลท่าสุด

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

มอบแสงสว่าง โครงการแว่นตา ช่วย 400 ผู้สูงวัยเชียงราย

 กระทรวง พม. ร่วมมือกับมูลนิธิสงเคราะห์เด็กของสภากาชาดไทย และห้างแว่นท็อปเจริญ มอบแว่นสายตาให้ผู้สูงวัยด้อยโอกาส

กรุงเทพฯ, 19 มีนาคม 2568 – หอประชุมภูชี้ฟ้า โรงเรียนราชประชานุเคราะห์ 62 จังหวัดเชียงราย นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) เป็นประธานในพิธีเปิด โครงการแว่นตาผู้สูงวัยในสมเด็จพระเทพรัตนฯ เพื่อให้บริการตรวจวัดสายตาและประกอบแว่นให้แก่ผู้สูงวัยที่อยู่ในสภาวะยากลำบากและมีปัญหาด้านสายตา

โดยมีผู้เข้าร่วมงานสำคัญ ได้แก่

  • นายอนุกูล ปีดแก้ว ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์
  • รศ.พญ.นวลจันทร์ ปราบพาล กรรมการอำนวยการและเลขาธิการมูลนิธิสงเคราะห์เด็กของสภากาชาดไทย
  • นายกันตพงศ์ รังษีสว่าง อธิบดีกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ
  • นายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย
  • นายนพศักดิ์ ตรีพรชัยศักดิ์ ประธานกรรมการเจ้าหน้าที่บริหาร ห้างแว่นท็อปเจริญ
  • นางสินีนาฏ ทองสุข นายกเหล่ากาชาดจังหวัดเชียงราย

พร้อมด้วย คณะผู้บริหารกระทรวง พม. หัวหน้าส่วนราชการ และประชาชนในพื้นที่ ร่วมเป็นสักขีพยานในพิธีเปิดโครงการนี้

เป้าหมายของโครงการ และการดำเนินการ

นายวราวุธ ศิลปอาชา กล่าวว่า โครงการแว่นตาผู้สูงวัยในสมเด็จพระเทพรัตนฯ เป็นความร่วมมือระหว่าง กระทรวง พม., มูลนิธิสงเคราะห์เด็กของสภากาชาดไทย และห้างแว่นท็อปเจริญ เพื่อให้บริการตรวจวัดสายตาและประกอบแว่นสำหรับผู้สูงวัยที่มีอายุ ตั้งแต่ 45 ปีขึ้นไป ที่มีปัญหาด้านสายตา โดยในครั้งนี้มีจำนวน 400 คน ที่ได้รับการคัดเลือกจาก ศูนย์พัฒนาราษฎรบนพื้นที่สูง จังหวัดเชียงราย เพื่อเข้ารับบริการตรวจวัดสายตาประกอบแว่นจาก ทีมผู้เชี่ยวชาญและเครื่องมือที่ทันสมัยของห้างแว่นท็อปเจริญ

โครงการนี้ ได้รับพระราชทานพระราชานุญาตให้ใช้ชื่อโครงการแว่นตาผู้สูงวัยในสมเด็จพระเทพรัตนฯ และเริ่มดำเนินการมาตั้งแต่ วันที่ 1 มกราคม 2552 โดยมีการต่อระยะเวลาดำเนินโครงการทุก 5 ปี เพื่อเป็นพระราชกุศล ปัจจุบันอยู่ในระยะที่ 5 ของโครงการ (1 มกราคม 2568 – 31 ธันวาคม 2572)

ประโยชน์ของโครงการและผลกระทบเชิงบวก

โครงการนี้มุ่งเน้นให้ผู้สูงวัยที่อยู่ในภาวะยากลำบาก สามารถมองเห็นได้ชัดเจนขึ้น ส่งผลต่อคุณภาพชีวิตในด้านต่าง ๆ ได้แก่:

  • สุขภาพและความเป็นอยู่ – สามารถดำเนินชีวิตประจำวันได้สะดวกขึ้น ลดอุบัติเหตุจากการมองเห็นไม่ชัดเจน
  • เศรษฐกิจและอาชีพ – ผู้สูงวัยสามารถกลับมาทำงานได้บางส่วนหรือช่วยเหลือครอบครัวได้มากขึ้น
  • สังคมและจิตใจ – ทำให้ผู้สูงวัยมีความมั่นใจในตนเอง ลดภาวะซึมเศร้าและความโดดเดี่ยว

โครงการนี้สะท้อนถึงพระมหากรุณาธิคุณของสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ ที่ทรงห่วงใยสุขภาพสายตาของประชาชนไทย โดยเฉพาะกลุ่มผู้สูงวัยที่ขาดโอกาส” นายวราวุธ กล่าว

ความคิดเห็นจากฝ่ายต่าง ๆ

ในมุมของภาครัฐ กระทรวง พม. และภาคีเครือข่ายต่างเห็นพ้องว่าโครงการนี้เป็นตัวอย่างที่ดีของ ความร่วมมือระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชน และองค์กรการกุศล ที่สามารถช่วยเหลือประชาชนในระดับชุมชนได้อย่างแท้จริง

อย่างไรก็ตาม ฝ่ายที่ตั้งข้อสังเกตบางส่วน มองว่าโครงการนี้ยังครอบคลุมไม่ทั่วถึงในระดับประเทศ และอาจต้องมีการขยายโครงการให้ครอบคลุมพื้นที่ห่างไกลมากขึ้น พร้อมทั้ง เพิ่มจำนวนผู้ได้รับสิทธิ์ให้มากขึ้นในอนาคต

สถิติที่เกี่ยวข้องกับปัญหาสายตาในผู้สูงวัย

ข้อมูลจาก กระทรวงสาธารณสุข ปี 2567 ระบุว่า:

  • ประชากรสูงวัยในประเทศไทย (60 ปีขึ้นไป) มีจำนวนกว่า 13 ล้านคน หรือประมาณ 20% ของประชากรทั้งประเทศ
  • ประมาณ 45% ของผู้สูงวัยมีปัญหาด้านสายตา โดยเฉพาะภาวะสายตายาวตามวัย
  • ผู้สูงวัยในพื้นที่ชนบทมีโอกาสเข้าถึงบริการตรวจวัดสายตาเพียง 30% เท่านั้น เนื่องจากข้อจำกัดด้านรายได้และการเดินทาง

สรุป

โครงการแว่นตาผู้สูงวัยในสมเด็จพระเทพรัตนฯ เป็นโครงการที่มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุในประเทศไทย โดยเฉพาะกลุ่มที่อยู่ในสภาวะยากลำบาก การให้บริการตรวจวัดสายตาและแจกแว่นฟรี ช่วยให้ผู้สูงวัยสามารถดำเนินชีวิตประจำวันได้ดีขึ้นและไม่เป็นภาระของครอบครัว อย่างไรก็ตาม การขยายโครงการให้ครอบคลุมทั่วประเทศเป็นประเด็นที่ควรพิจารณาต่อไป

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย / กระทรวงสาธารณสุข

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI TOP STORIES

เชียงรายพายุถล่ม เสียหายหนัก เร่งช่วยด่วน

พายุฤดูร้อนถล่มเชียงราย หลายอำเภอเสียหายหนัก ผู้ว่าฯ เร่งสั่งการช่วยเหลือด่วน

เชียงราย, 18 มีนาคม 2568 – พายุฤดูร้อนสร้างความเสียหายในหลายพื้นที่

สำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดเชียงราย รายงานว่า เมื่อวันที่ 18 มีนาคม 2568 เวลาประมาณ 18.00-19.30 น. เกิดพายุฝนและลมกระโชกแรงจาก พายุฤดูร้อน ส่งผลให้หลายพื้นที่ของจังหวัดเชียงรายได้รับความเสียหายหนัก โดยเฉพาะใน 2 อำเภอ 5 ตำบล ได้แก่ ตำบลจอมหมอกแก้ว, ตำบลป่าก่อดำ, ตำบลบัวสลี, ตำบลดงมะดะ อำเภอแม่ลาว และตำบลธารทอง อำเภอพาน ขณะที่ฝนตกกระจายไปทั่ว 7 อำเภอ ได้แก่ อำเภอเมืองเชียงราย, อำเภอแม่จัน, อำเภอเทิง, อำเภอพาน, อำเภอแม่ลาว, อำเภอเวียงชัย และอำเภอพญาเม็งราย

อำเภอแม่ลาวได้รับผลกระทบหนักสุด

นายรุ่งโรจน์ ตันวุฒิ นายอำเภอแม่ลาว เปิดเผยว่า พายุฤดูร้อนที่เกิดขึ้นมีความรุนแรงและกินเวลานานประมาณ 30 นาที ส่งผลให้ 15 หมู่บ้านใน 4 ตำบล ได้แก่ ตำบลจอมหมอกแก้ว, ตำบลป่าก่อดำ, ตำบลบัวสลี และตำบลดงมะดะ ได้รับความเสียหายอย่างหนัก โดยเฉพาะ ตำบลจอมหมอกแก้วและตำบลป่าก่อดำ ซึ่งได้รับผลกระทบมากที่สุด

สถานที่ราชการที่ได้รับความเสียหาย ได้แก่:

  • โรงเรียนอนุบาลจอมหมอกแก้ว
  • โรงเรียนป่าก่อดำ
  • โรงพยาบาลแม่ลาว
  • วัดห้วยส้านดอนจั่น ได้รับผลกระทบจากหลังคาพังเสียหาย

ผู้บาดเจ็บและผลกระทบต่อโรงพยาบาลแม่ลาว

มีรายงาน ผู้ได้รับบาดเจ็บ 4 ราย โดยมี 1 รายแขนหัก และ 1 รายได้รับบาดเจ็บจากหน้าต่างพัดใส่จนหมดสติ ต้องส่งตัวเข้ารักษาที่ โรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์

นอกจากนี้ ตึกผู้ป่วยในของโรงพยาบาลแม่ลาว ได้รับความเสียหายจากพายุจนไม่สามารถให้บริการประชาชนได้ โดยต้องใช้เวลาปรับปรุงฟื้นฟู ประมาณ 3-5 วัน ส่งผลให้ต้องมีการเคลื่อนย้ายผู้ป่วยไปยัง โรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์และโรงพยาบาลสมเด็จพระญาณสังวร ที่อำเภอเวียงชัย

ผู้ว่าฯ เชียงราย สั่งการเร่งด่วนให้หน่วยงานเร่งช่วยเหลือ

นายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย ได้สั่งการให้ สำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดเชียงราย ประสานกับฝ่ายปกครองอำเภอต่าง ๆ รวมถึงองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากพายุฤดูร้อน ให้เร่งดำเนินการ สำรวจความเสียหาย และให้ความช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนโดยเร็วที่สุด

เบื้องต้น หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้นำเครื่องจักรเข้าฟื้นฟูพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบ รวมถึงการแจกจ่ายถุงยังชีพให้กับประชาชนในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบอย่างหนัก โดยเฉพาะผู้สูงอายุ และผู้ที่ไม่สามารถซ่อมแซมบ้านเรือนได้ด้วยตนเอง

สถิติที่เกี่ยวข้องกับพายุฤดูร้อนในภาคเหนือ

ข้อมูลจาก กรมอุตุนิยมวิทยา ปี 2567 ระบุว่า:

  • พายุฤดูร้อนในภาคเหนือมีแนวโน้มเกิดถี่ขึ้น โดยเฉพาะช่วงเดือนมีนาคม-เมษายนของทุกปี
  • เชียงรายเป็นจังหวัดที่ได้รับผลกระทบจากพายุฤดูร้อนบ่อยครั้ง โดยเฉลี่ย 5-7 ครั้งต่อปี
  • ในปี 2567 พายุฤดูร้อนทำให้เกิดความเสียหายในพื้นที่ภาคเหนือ คิดเป็นมูลค่ารวมกว่า 500 ล้านบาท

สรุป

พายุฤดูร้อนที่พัดถล่มจังหวัดเชียงรายในครั้งนี้ ได้สร้างความเสียหายให้กับหลายพื้นที่ โดยเฉพาะอำเภอแม่ลาวและอำเภอพาน ซึ่งมีบ้านเรือนพังเสียหาย รวมถึงสถานที่ราชการ โรงเรียน และโรงพยาบาลได้รับผลกระทบ ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงรายได้สั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการช่วยเหลือประชาชนโดยเร็วที่สุด เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนและฟื้นฟูพื้นที่ให้กลับสู่สภาพปกติโดยเร็ว

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย / กรมอุตุนิยมวิทยา, 2567

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

อบจ.เชียงรายลุย พัฒนาบุคลากร เครื่องจักรกล

อบจ.เชียงรายจัดโครงการพัฒนาศักยภาพบุคลากร เสริมทักษะสู่การทำงานอย่างมืออาชีพ

เชียงราย, 17 มีนาคม 2568 – องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย (อบจ.เชียงราย) จัดโครงการพัฒนาศักยภาพบุคลากรเพื่อการทำงานอย่างมืออาชีพ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568ศูนย์เครื่องจักรกลดอยเขาควาย โดยมี นายรามิล พัฒนมงคลเชฐ ปลัดองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย เป็นประธานเปิดโครงการ แทน นางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายก อบจ.เชียงราย ซึ่งมอบหมายให้ดำเนินการ

หลักสูตรและเป้าหมายของโครงการ

โครงการนี้จัดขึ้นเพื่อ เพิ่มทักษะและประสิทธิภาพการทำงานของบุคลากร อบจ.เชียงราย ให้สามารถ ใช้และบำรุงรักษาเครื่องจักรกลหนักอย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะเครื่องจักรที่ใช้ในภารกิจสำคัญขององค์กร โดยในปีนี้มุ่งเน้นที่หลักสูตร การใช้งานและการบำรุงรักษาเครื่องจักรกลและยานพาหนะเบื้องต้น รถขุดสะเทินน้ำสะเทินบก และรถเครน”

เป้าหมายของการอบรม

  • พัฒนาทักษะของบุคลากรให้สามารถปฏิบัติงานได้อย่างมืออาชีพ
  • เพิ่มประสิทธิภาพการใช้และบำรุงรักษาเครื่องจักรกลหนักของ อบจ.เชียงราย
  • รองรับภารกิจเร่งด่วน เช่น การป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย, การพัฒนาแหล่งน้ำ, และการก่อสร้างเส้นทางคมนาคม
  • กระจายบุคลากรและเครื่องจักรไปยังพื้นที่ต่าง ๆ ในจังหวัดอย่างทั่วถึง

ในครั้งนี้มีผู้เข้าร่วมอบรม จำนวน 47 คน ซึ่งประกอบด้วย เจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการเครื่องจักรกลหนัก และ เจ้าหน้าที่ฝ่ายซ่อมบำรุง

โยบาย 7 เรือธงของ อบจ.เชียงราย

โครงการนี้เป็นส่วนหนึ่งของ นโยบาย 7 เรือธงของ อบจ.เชียงราย ซึ่งให้ความสำคัญกับ การกระจายเครื่องจักรกลและบุคลากรสู่ชุมชน เพื่อให้สามารถ รองรับภารกิจและแก้ไขปัญหาฉุกเฉินของจังหวัดได้อย่างมีประสิทธิภาพ อาทิ:

  1. การขุดเจาะน้ำบาดาล – เพื่อเพิ่มแหล่งน้ำสะอาดให้ประชาชน
  2. การสร้างธนาคารน้ำใต้ดิน – เพื่อจัดการน้ำในพื้นที่แล้งซ้ำซาก
  3. การพัฒนาแหล่งน้ำเพื่อการเกษตร – สนับสนุนภาคเกษตรกรรม
  4. เครื่องจักรกลสำหรับการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย – เตรียมพร้อมรับมือภัยพิบัติ
  5. พัฒนาเส้นทางเข้าสู่พื้นที่การเกษตรและแหล่งท่องเที่ยว – ส่งเสริมเศรษฐกิจชุมชน

เสียงสะท้อนจากทั้งสองฝ่าย

ฝ่ายที่สนับสนุนโครงการ

  • เจ้าหน้าที่ภาคสนามมองว่า การอบรมช่วยให้สามารถบำรุงรักษาเครื่องจักรกลได้ดีขึ้น ลดการสึกหรอของอุปกรณ์ และช่วยให้เครื่องจักรมีอายุการใช้งานยาวนานขึ้น
  • ผู้นำท้องถิ่นชื่นชมโครงการว่าเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาพื้นที่ห่างไกล โดยเฉพาะการซ่อมบำรุงถนน และการสร้างแหล่งน้ำ

ฝ่ายที่มีข้อกังวลเกี่ยวกับโครงการ

  • บางกลุ่มมองว่าจำนวนเครื่องจักรกลของ อบจ.เชียงราย อาจยังไม่เพียงพอต่อความต้องการของทุกพื้นที่ ควรมีแผนการจัดสรรที่เป็นระบบมากขึ้น
  • เจ้าหน้าที่บางรายระบุว่าควรเพิ่มหลักสูตรการซ่อมบำรุงเชิงลึก เพื่อให้สามารถซ่อมเครื่องจักรได้ทันทีโดยไม่ต้องรอการซ่อมจากศูนย์กลาง

สรุป

โครงการพัฒนาศักยภาพบุคลากรของ อบจ.เชียงราย เป็นส่วนหนึ่งของแผนยุทธศาสตร์ที่มุ่งเน้น การพัฒนาทักษะบุคลากรให้สามารถใช้งานและบำรุงรักษาเครื่องจักรกลได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการพัฒนาพื้นที่ชนบท และการรับมือกับภารกิจฉุกเฉิน

แม้ว่าโครงการนี้จะได้รับการยอมรับว่าเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาจังหวัด แต่ยังมีข้อกังวลเกี่ยวกับ ความเพียงพอของเครื่องจักรและการเพิ่มหลักสูตรอบรมที่ครอบคลุมมากขึ้น ซึ่งอาจต้องมีการปรับปรุงแผนการจัดสรรงบประมาณและการขยายโครงการในอนาคต

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย  / ศูนย์เครื่องจักรกลดอยเขาควาย  / สำนักงานโยธาธิการและผังเมืองจังหวัดเชียงราย 

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

เชียงรายปั้น “โคก หนอง นา“ ผู้ว่าฯ หนุนสร้าง เศรษฐกิจพอเพียง

ผู้ว่าฯ เชียงราย เยี่ยมศูนย์เรียนรู้ “โคก หนอง นา” ส่งเสริมเศรษฐกิจพอเพียง สร้างต้นแบบการพัฒนาชุมชนอย่างยั่งยืน

เชียงราย, 17 มีนาคม 2568 – นายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมศูนย์เรียนรู้ต้นแบบการพัฒนาคุณภาพชีวิตตามหลักทฤษฎีใหม่ประยุกต์สู่ “โคก หนอง นา”บ้านสันธาตุ หมู่ที่ 9 ตำบลแม่คำ อำเภอแม่จัน จังหวัดเชียงราย โดยมี นายญาณวุฒิ สุดพิมศรี นายอำเภอแม่จัน พร้อมด้วย หัวหน้าส่วนราชการ ผู้นำท้องถิ่น และเจ้าหน้าที่สำนักงานพัฒนาชุมชนจังหวัดเชียงราย ร่วมลงพื้นที่

แนวคิดและเป้าหมายของศูนย์เรียนรู้

ศูนย์เรียนรู้ต้นแบบฯ ดำเนินการโดย นายธนกร โชคชัดชาญพัฒนา ครัวเรือนต้นแบบการพัฒนาคุณภาพชีวิต ซึ่งเป็นผู้ที่นำแนวคิดเศรษฐกิจพอเพียงมาประยุกต์ใช้ โดยยึดหลัก โคก หนอง นา” ซึ่งเป็นแนวทางการบริหารจัดการดิน น้ำ และป่า ให้เกิดประโยชน์สูงสุดในการพึ่งพาตนเองและพัฒนาชุมชน โดยมุ่งเน้นให้เกษตรกรสามารถ จัดการน้ำได้อย่างมีประสิทธิภาพ มีแหล่งอาหารที่ยั่งยืน และสร้างอาชีพในพื้นที่

กลุ่มอาชีพที่เกิดขึ้นจากการดำเนินงานของศูนย์ ได้แก่:

  • กลุ่มข้าวอินทรีย์ – ผลิตข้าวที่ปลอดสารเคมีเพื่อการบริโภคและส่งออก
  • กลุ่มผักผลไม้อินทรีย์ – ส่งเสริมการปลูกพืชปลอดสารเคมี และจัดจำหน่ายให้กับตลาดชุมชนและเมืองใหญ่
  • กลุ่มกล้วยตาก – เพิ่มมูลค่าผลผลิตทางการเกษตรด้วยการแปรรูป
  • กลุ่มพริกลาบ – สร้างผลิตภัณฑ์จากวัตถุดิบท้องถิ่น ส่งออกสู่ตลาดทั้งในและต่างจังหวัด

ข้อเสนอแนะจากผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย

นายชรินทร์ ทองสุข ได้ให้แนวทางเพิ่มเติมในการพัฒนา ศูนย์เรียนรู้ “โคก หนอง นา” ให้สามารถขยายผลสู่ชุมชนอื่น ๆ ได้ โดยเน้นเรื่อง การบริหารจัดการน้ำ การจัดการขยะ และการสร้างเครือข่ายเกษตรกร

  1. การบริหารจัดการน้ำ
  • ส่งเสริมการขุดหนองน้ำและทำธนาคารน้ำใต้ดิน เพื่อให้เกษตรกรมีแหล่งน้ำสำรองในฤดูแล้ง
  • สร้างระบบคลองไส้ไก่และหลุมขนมครก เพื่อช่วยกระจายน้ำไปทั่วพื้นที่อย่างมีประสิทธิภาพ
  1. การจัดการขยะและการเพิ่มมูลค่าทรัพยากร
  • ใช้ขยะเปียกเป็นอาหารสัตว์หรือปุ๋ยหมัก ลดปริมาณขยะในชุมชน
  • ส่งเสริมการรีไซเคิลและแปรรูปขยะ ให้กลายเป็นวัสดุที่สามารถนำกลับมาใช้ประโยชน์และสร้างรายได้
  1. การสร้างเครือข่ายเกษตรกรและตลาดรองรับผลผลิต
  • สร้างเครือข่ายเกษตรกรเพื่อกำหนดราคาผลผลิตได้อย่างเป็นธรรม
  • ส่งเสริมความร่วมมือกับภาคเอกชนและตลาดกลาง เพื่อให้เกษตรกรสามารถจำหน่ายผลผลิตได้ในราคาที่เหมาะสม

ศูนย์เรียนรู้ “โคก หนอง นา” เป็นต้นแบบการพัฒนาอย่างเป็นรูปธรรม

ศูนย์เรียนรู้แห่งนี้ เป็นต้นแบบของการจัดการพื้นที่การเกษตรแบบยั่งยืน โดยเน้นการใช้ทรัพยากรธรรมชาติอย่างคุ้มค่า เช่น การขุดหนองน้ำ 4 บ่อ ระบบคลองไส้ไก่ และการทำเกษตรอินทรีย์ ซึ่งทำให้สามารถ เชื่อมโยงผลผลิตเข้าสู่ตลาดทั้งในและต่างจังหวัด รวมถึงการเป็น คู่ค้ากับบริษัทรายใหญ่ระดับประเทศ ซึ่งถือเป็นความสำเร็จที่สามารถนำไปขยายผลในพื้นที่อื่น ๆ

สถิติและข้อมูลอ้างอิง

  • จำนวนศูนย์เรียนรู้ “โคก หนอง นา” ในประเทศไทย: กว่า 3,500 แห่ง (ข้อมูลจากกรมพัฒนาชุมชน ปี 2568)
  • งบประมาณสนับสนุนการพัฒนาโครงการ: 2,500 ล้านบาท (ข้อมูลจากกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ปี 2568)
  • พื้นที่ที่มีการนำหลักการ “โคก หนอง นา” ไปใช้ในเชียงราย: มากกว่า 2,000 ไร่ (ข้อมูลจากสำนักงานพัฒนาชุมชนจังหวัดเชียงราย ปี 2568)
  • อัตราการเติบโตของเกษตรอินทรีย์ในเชียงราย: เพิ่มขึ้น 18% ต่อปี (ข้อมูลจากสำนักงานเกษตรจังหวัดเชียงราย ปี 2568)

สรุป

ศูนย์เรียนรู้ โคก หนอง นา” เป็นหนึ่งในโครงการที่ส่งเสริมแนวคิด เศรษฐกิจพอเพียง และ การบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติอย่างยั่งยืน โดยเฉพาะ การจัดการน้ำและขยะในชุมชน ซึ่งช่วยให้เกษตรกรสามารถพึ่งพาตนเองและพัฒนาคุณภาพชีวิตได้อย่างเป็นรูปธรรม

อย่างไรก็ตาม การนำหลักการนี้ไปขยายผลในพื้นที่อื่น ๆ ยังต้องอาศัยการสนับสนุนจากภาครัฐในการจัดสรรเงินทุนและการอบรมความรู้เพิ่มเติม เพื่อให้เกษตรกรสามารถปรับตัวและใช้ประโยชน์จากโครงการได้อย่างเต็มที่

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กรมพัฒนาชุมชน (ปี 2568) / กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (ปี 2568) / สำนักงานพัฒนาชุมชนจังหวัดเชียงราย (ปี 2568) / สำนักงานเกษตรจังหวัดเชียงราย (ปี 2568)

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI TOP STORIES

รถไฟเด่นชัย-เชียงของ เคลียร์ปัญหา เวนคืนที่ดิน

เชียงรายประชุมความคืบหน้ารถไฟเด่นชัย-เชียงของ พร้อมถกปัญหาค่าเวนคืนที่ดิน

เชียงราย, 17 มีนาคม 2568 – จังหวัดเชียงรายจัดประชุมหารือแนวทางแก้ไขปัญหาและอุปสรรคโครงการก่อสร้างทางรถไฟสายเด่นชัย – เชียงราย – เชียงของ โดยมี นายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เป็นประธาน ณ ห้องประชุมพญาพิภักดิ์ ศาลากลางจังหวัดเชียงราย พร้อมด้วยหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วม อาทิ การรถไฟแห่งประเทศไทย, สำนักงานที่ดินจังหวัดเชียงราย, สำนักงานธนารักษ์พื้นที่เชียงราย และหน่วยงานในจังหวัดเชียงราย

ความคืบหน้าโครงการก่อสร้างทางรถไฟ

ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 8 ธันวาคม 2563 มีมติเห็นชอบ ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินที่จะเวนคืนในจังหวัดเชียงราย ครอบคลุม อำเภอป่าแดด, อำเภอเทิง, อำเภอเมืองเชียงราย, อำเภอเวียงชัย, อำเภอเวียงเชียงรุ้ง, อำเภอดอยหลวง และอำเภอเชียงของ เพื่อดำเนินโครงการก่อสร้างทางรถไฟสายเด่นชัย – เชียงราย – เชียงของ

โครงการนี้เป็นส่วนหนึ่งของแผนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของภาคเหนือ โดย มีระยะทาง 323.1 กิโลเมตร ครอบคลุม 59 ตำบล 17 อำเภอ ใน 4 จังหวัด ได้แก่ แพร่, ลำปาง, พะเยา และเชียงราย มี 26 สถานี แบ่งเป็น 4 สถานีขนาดใหญ่, 9 สถานีขนาดเล็ก และ 13 ป้ายหยุดรถ ใช้งบประมาณ 85,345 ล้านบาท กำหนดแล้วเสร็จภายใน 7 ปี โครงการนี้ยังรวมถึง ศูนย์เปลี่ยนถ่ายสินค้าชายแดนเชียงของ บนพื้นที่ 150 ไร่ ใกล้พรมแดน สปป.ลาว เพื่อรองรับการเชื่อมต่อสู่จีน

ข้อกังวลเรื่องการเวนคืนที่ดิน

ขณะนี้มีความคืบหน้าในการเวนคืนที่ดินไปแล้ว 87% (550 แปลง จากทั้งหมด 634 แปลง) แต่ยังเหลืออีก 84 แปลง ที่อยู่ระหว่างการเจรจา โดยมีกรณีปัญหาการคัดค้านจากเจ้าของที่ดินบางส่วน โดยเฉพาะ พื้นที่ ต.เวียงชัย อ.เวียงชัย ซึ่งมีประชาชนร้องเรียนว่าค่าเวนคืนต่ำและไม่เพียงพอสำหรับซื้อที่ดินใหม่

เสียงสะท้อนจากประชาชน

  • นายศรัณย์ (สงวนนามสกุล) อายุ 49 ปี และ น.ส.ณัฐภา (สงวนนามสกุล) อายุ 46 ปี เจ้าของร้านค้าของเก่าใน อ.เวียงชัย กล่าวว่า ตนได้รับค่าเวนคืน ตารางวาละ 19,000 บาท รวมแล้วเป็นเงิน 7.5 ล้านบาท แต่ราคาตลาดที่ดินในพื้นที่สูงกว่า ไร่ละ 8-9 ล้านบาท ทำให้เงินเวนคืนไม่พอซื้อที่ดินใหม่
  • นางพิศมัย ชัยสิทธิ์ ชาวบ้าน อ.เชียงของ ระบุว่า ตนได้รับแจ้งว่าที่ดินของตนจะได้เวนคืนเพียง ไร่ละ 400,000 บาท ซึ่งต่ำกว่าการประเมินในพื้นที่ที่อยู่ที่ 2.5-3.5 ล้านบาทต่อไร่
  • กลุ่มตัวแทนชาวบ้านร้องขอให้ รฟท. ปรับเพิ่มค่าเวนคืน หรือ จัดสรรที่ดินทดแทนในรัศมีไม่เกิน 1 กิโลเมตรจากพื้นที่เดิม พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวก

จุดยืนของการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.)

นายจักรี วิสุทธิพนัง พนักงานเทคนิค 8 ฝ่ายโครงการพิเศษและก่อสร้าง รฟท. ระบุว่า ราคาค่าเวนคืนที่ดินคำนวณตามเกณฑ์ของกรมธนารักษ์ และเป็นไปตาม พ.ร.บ.เวนคืนที่ดินและการได้มาซึ่งอสังหาริมทรัพย์ พ.ศ. 2562 เจ้าของที่ดินที่ไม่พอใจราคาสามารถ ยื่นอุทธรณ์ได้ภายใน 1 ปี

นอกจากนี้ รฟท. ยังเสนอซื้อที่ดินส่วนที่เหลือเพิ่มเติม อีก 1 งาน เป็นเงิน 11 ล้านบาท เพื่อช่วยเหลือเจ้าของร้านค้าของเก่า แต่เจ้าของเรียกร้อง 79 ล้านบาท ซึ่งสูงกว่าราคาประเมิน ทำให้ไม่สามารถดำเนินการตามข้อเรียกร้องได้

มาตรการแก้ไขปัญหาของภาครัฐ

ที่ประชุมมีมติให้ สำนักงานจังหวัดเชียงราย, กรมที่ดิน และธนารักษ์พื้นที่เชียงราย ร่วมกันตรวจสอบราคาเวนคืนที่ดินใหม่ เพื่อหาทางออกที่เป็นธรรม ขณะเดียวกัน ให้ รฟท. เร่งรัดการจ่ายค่าชดเชยให้กับประชาชนที่ได้รับผลกระทบ

สำหรับ ผู้ที่ต้องการอุทธรณ์การประเมินราคาเวนคืน สามารถยื่นเรื่องต่อ สำนักงานการรถไฟแห่งประเทศไทย หรือ ศาลปกครอง เพื่อเข้าสู่กระบวนการพิจารณาทางกฎหมาย

สถิติและข้อมูลอ้างอิง

  • ความคืบหน้าการเวนคืนที่ดิน: เวนคืนแล้ว 87% (ข้อมูลจาก รฟท. ปี 2568)
  • งบประมาณโครงการรถไฟทางคู่ เด่นชัย – เชียงของ: 85,345 ล้านบาท (ข้อมูลจากกระทรวงคมนาคม ปี 2568)
  • จำนวนสถานีและระยะทาง: 323.1 กิโลเมตร, 26 สถานี (ข้อมูลจากกรมการขนส่งทางราง ปี 2568)
  • ราคาค่าเวนคืนที่ดินในพื้นที่: ตารางวาละ 19,000 บาท (ข้อมูลจากกรมธนารักษ์ ปี 2568)

สรุป

การประชุมหารือแนวทางแก้ไขปัญหาการเวนคืนที่ดินเพื่อก่อสร้างทางรถไฟสายเด่นชัย – เชียงของ สะท้อนถึงความก้าวหน้าของโครงการและอุปสรรคที่ต้องแก้ไข โดยฝ่ายรัฐยืนยันว่าค่าเวนคืนเป็นไปตามหลักเกณฑ์ของ กรมธนารักษ์และกฎหมายเวนคืนที่ดิน ในขณะที่ประชาชนบางส่วนยังคงเห็นว่าราคาที่ได้รับต่ำกว่าราคาตลาด ทำให้เกิดข้อเรียกร้องให้ทบทวน

แนวทางแก้ไขในขณะนี้คือ การตรวจสอบราคาประเมินใหม่ และเปิดโอกาสให้ประชาชนที่ไม่พอใจยื่นอุทธรณ์ผ่านกระบวนการทางกฎหมาย เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย ขณะที่โครงการเดินหน้าต่อไป เพื่อให้โครงสร้างพื้นฐานสำคัญของภาคเหนือเกิดขึ้นตามแผนที่วางไว้

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) / กระทรวงคมนาคม / กรมธนารักษ์ / กรมการขนส่งทางราง

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

‘แม่จัน’ ลุยไถกลบ ลดเผาแก้ฝุ่น PM 2.5 วิกฤต

เชียงรายเปิดโครงการ “Kick Off ชิงไถ ลดการเผา” ลดปัญหาหมอกควันและ PM2.5

เชียงราย, 17 มีนาคม 2568 – จังหวัดเชียงรายร่วมกับอำเภอแม่จัน เปิดโครงการ “Kick Off ชิงไถ ลดการเผา” เพื่อรณรงค์ลดการเผาในพื้นที่การเกษตรซึ่งเป็นหนึ่งในสาเหตุหลักของฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM2.5 ที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพประชาชนและเศรษฐกิจการท่องเที่ยวของจังหวัด ณ แปลงปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ บ้านผาเรือ หมู่ที่ 11 ตำบลท่าข้าวเปลือก อำเภอแม่จัน โดยมี นายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เป็นประธานในพิธีเปิดโครงการ พร้อมด้วย นายญาณวุฒิ สุดพิมศรี นายอำเภอแม่จัน หัวหน้าส่วนราชการ เกษตรกร และภาคเอกชนเข้าร่วมอย่างคับคั่ง

การจัดการวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตร ลดมลพิษทางอากาศ

นายญาณวุฒิ สุดพิมศรี นายอำเภอแม่จัน เปิดเผยว่า อำเภอแม่จันมีพื้นที่การเกษตรรวม 146,524 ไร่ และมีวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตรประมาณ 44,000 ตัน ซึ่งหากบริหารจัดการอย่างถูกวิธีจะช่วยลดปัญหาการเผา ลดมลพิษทางอากาศ และเพิ่มมูลค่าให้กับวัสดุเหลือใช้แทนการปล่อยให้เป็นควันพิษ โดยกิจกรรมภายในงานประกอบด้วย:

  • นิทรรศการให้ความรู้เกี่ยวกับ การทำเกษตรที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม
  • การสาธิต วิธีการจัดการวัสดุเหลือใช้โดยไม่ต้องเผา
  • การให้ข้อมูลเกี่ยวกับ ผลกระทบของฝุ่น PM2.5 และแนวทางรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

การดำเนินนโยบายเพื่อแก้ไขปัญหาฝุ่น PM2.5

นายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย กล่าวว่า ปัญหาหมอกควันและฝุ่น PM2.5 เป็นเรื่องเร่งด่วนที่ต้องได้รับความร่วมมือจากทุกภาคส่วน โดยเฉพาะช่วงเดือน พฤศจิกายนถึงเมษายนของทุกปี ซึ่งเป็นช่วงที่มีการเผาวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตรมากที่สุด โครงการครั้งนี้เป็นส่วนหนึ่งของแนวทางเชิงรุกที่ภาครัฐให้ความสำคัญ ภายใต้นโยบายส่งเสริมการทำเกษตรที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม พร้อมผลักดันให้เกษตรกรใช้แนวทางอื่นแทนการเผา เช่น:

  • การไถกลบตอซังข้าวโพด
  • การปลูกพืชปุ๋ยสด เช่น ปอเทือง
  • การใช้เศษพืชทำปุ๋ยหมักและเชื้อเพลิงชีวมวล

ภายในงานยังมีกิจกรรม สาธิตการไถกลบตอซังข้าวโพด โดย ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย และนายอำเภอแม่จัน ได้ขับรถไถสาธิตด้วยตนเอง จากนั้นได้ร่วมกัน หว่านเมล็ดพันธุ์ปอเทือง เพื่อสร้างปุ๋ยพืชสด โดยได้รับความร่วมมือจากหน่วยงานภาครัฐและเครือข่ายเกษตรกรปลอดการเผาในพื้นที่อำเภอแม่จัน

เสียงสะท้อนจากประชาชนและเกษตรกร

ฝ่ายที่สนับสนุนโครงการ

  • เกษตรกรบางส่วนเห็นว่า การไถกลบตอซังแทนการเผาสามารถเพิ่มอินทรียวัตถุให้ดิน และช่วยลดต้นทุนปุ๋ยเคมี
  • นักอนามัยสิ่งแวดล้อมสนับสนุนว่า การลดการเผาจะช่วยลดฝุ่น PM2.5 และปัญหาสุขภาพของประชาชนในพื้นที่

ฝ่ายที่มีข้อกังวล

  • เกษตรกรบางรายมองว่า การไถกลบอาจต้องใช้ต้นทุนเพิ่มขึ้น เช่น ค่าแรงและค่าการใช้เครื่องจักร
  • ผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐกิจบางส่วนระบุว่า หากไม่มีมาตรการช่วยเหลือเกษตรกร อาจทำให้เกษตรกรรายย่อยมีภาระค่าใช้จ่ายสูงขึ้น

สถิติและข้อมูลอ้างอิง

  • พื้นที่การเกษตรในอำเภอแม่จัน: 146,524 ไร่ (ข้อมูลจากสำนักงานเกษตรจังหวัดเชียงราย)
  • วัสดุเหลือใช้ทางการเกษตรในอำเภอแม่จัน: ประมาณ 44,000 ตันต่อปี (ข้อมูลจากกรมวิชาการเกษตร)
  • ค่าฝุ่น PM2.5 ในเชียงราย: มีแนวโน้มสูงขึ้นในช่วงเดือนพฤศจิกายน-เมษายน (ข้อมูลจากกรมควบคุมมลพิษ)
  • แนวโน้มการลดลงของฝุ่น PM2.5 ในพื้นที่นำร่องที่ใช้การไถกลบแทนการเผา: ลดลงเฉลี่ย 20-30% (ข้อมูลจากงานวิจัยของมหาวิทยาลัยแม่โจ้)

สรุป

โครงการ “Kick Off ชิงไถ ลดการเผา” เป็นมาตรการสำคัญที่จังหวัดเชียงรายดำเนินการเพื่อแก้ไขปัญหาฝุ่น PM2.5 โดยมุ่งส่งเสริมการเกษตรที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และลดการเผาในที่โล่งเพื่อป้องกันมลพิษทางอากาศ

อย่างไรก็ตาม ความสำเร็จของโครงการนี้ขึ้นอยู่กับความร่วมมือของเกษตรกร ภาครัฐ และภาคเอกชน หากสามารถหามาตรการสนับสนุนทางเศรษฐกิจเพื่อช่วยเหลือเกษตรกร ควบคู่กับการรณรงค์ให้ความรู้ เชื่อว่าแนวทางนี้จะเป็นอีกหนึ่งวิธีที่สามารถช่วยลดปัญหาฝุ่นละออง และสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีให้กับประชาชนในระยะยาว

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI TOP STORIES

‘เชียงราย’ วิกฤตฝุ่น PM 2.5 เกินค่า เตือนภัยหนัก

เชียงรายเตือนภัยหมอกควัน ฝุ่น PM 2.5 พุ่งสูง หน่วยงานเร่งรับมือ

เชียงราย, 16 มีนาคม 2568 – รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงรายออกหนังสือแจ้งด่วน เตือนประชาชนในพื้นที่เฝ้าระวังสถานการณ์คุณภาพอากาศ โดยเฉพาะในพื้นที่อำเภอชายแดน (แม่สาย, แม่ฟ้าหลวง, แม่จัน, เชียงแสน, เวียงแก่น, เทิง และเชียงของ) หลังจากค่าฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5 มีแนวโน้มสูงขึ้นและอาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพ

สถานการณ์จุดความร้อนในพื้นที่

ข้อมูลจาก GISTDA และกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) รายงานว่า เมื่อวันที่ 15 มีนาคม 2568 พบจุดความร้อนในประเทศไทยรวม 1,288 จุด โดยกระจายอยู่ในพื้นที่ต่าง ๆ ดังนี้:

  • พื้นที่ป่าอนุรักษ์ – 550 จุด
  • พื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ – 420 จุด
  • พื้นที่เกษตรกรรม – 146 จุด
  • พื้นที่เขตปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม (ส.ป.ก.) – 96 จุด
  • พื้นที่ชุมชนและอื่น ๆ – 75 จุด
  • พื้นที่ริมทางหลวง – 1 จุด

ขณะที่ จุดความร้อนในประเทศเพื่อนบ้านสูงกว่าประเทศไทยหลายเท่า โดยพบใน เมียนมา 9,949 จุด, ลาว 2,023 จุด, กัมพูชา 707 จุด และเวียดนาม 550 จุด ส่งผลให้ มลพิษทางอากาศข้ามแดนไหลเข้าสู่ภาคเหนือของไทย

คุณภาพอากาศในเชียงรายอยู่ในระดับส่งผลกระทบต่อสุขภาพ

ผลการตรวจวัดคุณภาพอากาศของจังหวัดเชียงราย วันที่ 16 มีนาคม 2568 พบว่า ค่าฝุ่นละออง PM 2.5 เกินค่ามาตรฐาน ทำให้คุณภาพอากาศโดยรวมอยู่ในระดับ ปานกลางถึงมีผลกระทบต่อสุขภาพ” โดยเฉพาะกลุ่มเสี่ยง ได้แก่ เด็ก, ผู้สูงอายุ, สตรีมีครรภ์ และผู้ป่วยโรคทางเดินหายใจ จำเป็นต้องหลีกเลี่ยงกิจกรรมกลางแจ้ง และสวมใส่หน้ากากป้องกันฝุ่นอย่างเคร่งครัด

มาตรการเร่งด่วนของจังหวัดเชียงราย

เพื่อบรรเทาผลกระทบและควบคุมสถานการณ์ กองอำนวยการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดเชียงราย (กอปภ.จ.ชร.) ได้ออกมาตรการเร่งด่วนดังนี้:

  1. ควบคุมการเผาในที่โล่งอย่างเข้มงวด
  • ห้ามเผาในที่โล่งทุกชนิดอย่างเด็ดขาด
  • ดำเนินมาตรการ “92 วันปลอดการเผา” ตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม – 31 พฤษภาคม 2568
  1. ฉีดพ่นละอองน้ำและเพิ่มความชุ่มชื้นในอากาศ
  • ขอให้หน่วยงานที่มีเครื่องจักรกลสาธารณภัย ฉีดพ่นละอองน้ำ และฉีดล้างถนน ในพื้นที่ที่มีปริมาณฝุ่นสะสมสูง
  • ขอความร่วมมือประชาชน รดน้ำต้นไม้, ฉีดพ่นละอองน้ำบนหลังคาและรอบบริเวณบ้าน เพื่อลดปริมาณฝุ่นในอากาศ
  1. จัดเตรียมสถานพยาบาลรองรับผู้ป่วยจากมลพิษอากาศ
  • เปิด คลินิกมลพิษ และห้องปลอดฝุ่น ในโรงพยาบาลทุกระดับ ตั้งแต่ โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.), โรงพยาบาลชุมชน, โรงพยาบาลศูนย์, โรงพยาบาลเอกชน และศูนย์แพทย์มหาวิทยาลัย
  • ประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากฝุ่นสามารถเข้ารับการรักษาได้ทันที

เสียงสะท้อนจากประชาชนและผู้เชี่ยวชาญ

ฝ่ายที่สนับสนุนมาตรการเข้มงวด

  • นักอนามัยสิ่งแวดล้อมและผู้เชี่ยวชาญเห็นว่า มาตรการห้ามเผา 92 วัน จะช่วยลดมลพิษได้ในระยะยาว
  • ประชาชนบางส่วนสนับสนุนให้ รัฐบาลร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้านในการแก้ไขปัญหาหมอกควันข้ามแดน

ฝ่ายที่มีข้อกังวล

  • เกษตรกรบางกลุ่มมองว่า มาตรการห้ามเผาอย่างเข้มงวดอาจส่งผลกระทบต่อการเตรียมพื้นที่เพาะปลูก
  • นักเศรษฐศาสตร์บางส่วนชี้ว่า มลพิษทางอากาศอาจส่งผลกระทบต่อภาคการท่องเที่ยวและเศรษฐกิจของเชียงราย หากสถานการณ์ยังยืดเยื้อ

สถิติและข้อมูลอ้างอิง

  • จำนวนจุดความร้อนในประเทศไทย (15 มีนาคม 2568): 1,288 จุด (ข้อมูลจาก GISTDA)
  • จำนวนจุดความร้อนในประเทศเพื่อนบ้าน: เมียนมา 9,949 จุด, ลาว 2,023 จุด, กัมพูชา 707 จุด, เวียดนาม 550 จุด (ข้อมูลจากดาวเทียม Suomi NPP)
  • ค่าฝุ่น PM 2.5 ในเชียงราย: เกินค่ามาตรฐานและอยู่ในระดับที่อาจมีผลกระทบต่อสุขภาพ (ข้อมูลจากสถานีตรวจวัดคุณภาพอากาศเชียงราย)
  • มาตรการห้ามเผาในพื้นที่เชียงราย: ระหว่างวันที่ 1 มีนาคม – 31 พฤษภาคม 2568 (ข้อมูลจาก กอปภ.จ.ชร.)

สรุป

ปัญหาหมอกควันและมลพิษทางอากาศจาก จุดความร้อนทั้งในประเทศและประเทศเพื่อนบ้าน กำลังส่งผลกระทบต่อคุณภาพอากาศในจังหวัดเชียงราย โดยเฉพาะฝุ่น PM 2.5 ที่เกินค่ามาตรฐาน ทำให้ประชาชนโดยเฉพาะกลุ่มเสี่ยงต้องเพิ่มความระมัดระวังในการดูแลสุขภาพ

ภาครัฐและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ดำเนินมาตรการเร่งด่วนในการ ควบคุมการเผา, ฉีดพ่นละอองน้ำ, และเตรียมสถานพยาบาลรับมือ อย่างไรก็ตาม การแก้ปัญหาในระยะยาวจำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน รวมถึงการหารือกับประเทศเพื่อนบ้าน เพื่อหาทางออกที่ยั่งยืนในการลดมลพิษข้ามแดน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย / GISTDA  / กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.)

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI TOP STORIES

23 บริษัททุนจีนเหมืองทองเมียนมา ทำน้ำกกขุ่น ชาวบ้านผวาไม่ปลอดภัย

เหมืองทองริมแม่น้ำกกฝั่งพม่า สร้างผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม ชาวบ้านหวั่นกระทบน้ำประปาเชียงราย

เชียงราย, 16 มีนาคม 2568 – สำนักข่าวชายขอบรายงานว่า พื้นที่ริมแม่น้ำกกตอนใต้ของรัฐฉาน ประเทศเมียนมา ใกล้ชายแดนไทย ด้านอำเภอแม่อาย จังหวัดเชียงใหม่ กำลังเผชิญปัญหาผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมจากการทำเหมืองทองคำ โดยมีการระบุว่า กลุ่มทุนจีนได้รับอนุญาตจากกองกำลังว้า (United Wa State Army – UWSA) ให้ดำเนินกิจการเหมืองแร่บริเวณนี้กว่า 23 บริษัท ซึ่งส่งผลให้แม่น้ำกกขุ่นข้นและอาจมีสารปนเปื้อนลงสู่ระบบนิเวศ

ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและชุมชนท้องถิ่น

สต.ทศพร สามหน่อวงศ์ ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านหมู่ 14 ตำบลท่าตอน อำเภอแม่อาย จังหวัดเชียงใหม่ เปิดเผยว่า สภาพน้ำในแม่น้ำกกเปลี่ยนเป็นสีขุ่นผิดปกติ อันเป็นผลมาจากกระบวนการชะล้างแร่ของเหมืองทองคำบริเวณดังกล่าว โดยที่ผ่านมาเคยมีปัญหาสารเคมีจากอุตสาหกรรมยางพาราไหลลงแม่น้ำ ส่งผลให้น้ำมีสีขาวขุ่น และล่าสุดเมื่อเริ่มมีการทำเหมืองทองบริเวณนี้ก็ยิ่งทำให้น้ำขุ่นมากขึ้น

ชาวบ้านจากฝั่งรัฐฉานแจ้งว่า เหมืองทองตั้งอยู่ติดแม่น้ำกก และของเสียจากเหมืองถูกปล่อยลงน้ำโดยตรง ขณะนี้ยังไม่มีหน่วยงานภาครัฐเข้ามาตรวจสอบคุณภาพน้ำเพื่อให้คำตอบแก่ประชาชน ทำให้เกิดความกังวลอย่างมาก” สต.ทศพร กล่าว

ผลกระทบต่อสุขภาพและวิถีชีวิตของประชาชน

ขณะนี้ ประชาชนในพื้นที่ท่าตอนและบริเวณใกล้เคียงได้รับผลกระทบจากปัญหาน้ำกกขุ่น โดยเฉพาะผู้ที่ใช้น้ำกกเป็นแหล่งน้ำอุปโภคบริโภค พบว่าหลายคนเริ่มมีอาการ แพ้ทางผิวหนังและมีผื่นคัน หลังจากลงเล่นน้ำหรือใช้น้ำกกอาบน้ำ นอกจากนี้ ประชาชนบางส่วนต้องปรับเปลี่ยนแหล่งน้ำเพื่อความปลอดภัย โดยหันไปใช้น้ำประปาภูเขาแทน

“ปีก่อนก็เคยมีเหตุการณ์แบบนี้ และพบว่ามีประชาชนที่ลงเล่นน้ำในช่วงสงกรานต์ต้องเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลจากอาการแพ้ เรากังวลว่า สงกรานต์ปีนี้อาจเกิดปัญหาแบบเดิมอีก ทางการควรเข้ามาตรวจสอบคุณภาพน้ำโดยด่วน” สต.ทศพร กล่าวเพิ่มเติม

ข้อเรียกร้องให้ภาครัฐและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้ามาแก้ไขปัญหา

สต.ทศพรและชาวบ้านในพื้นที่เรียกร้องให้ รัฐบาลไทยและหน่วยงานด้านสิ่งแวดล้อมเข้ามาตรวจสอบคุณภาพน้ำ รวมถึงประสานงานกับรัฐบาลเมียนมาเพื่อหาทางออกที่เหมาะสมในการควบคุมการทำเหมืองที่อาจส่งผลกระทบข้ามพรมแดน โดยเฉพาะในพื้นที่ที่พึ่งพาแม่น้ำกกเป็นแหล่งน้ำหลัก

ทั้งนี้ แม่น้ำกกถือเป็นแหล่งน้ำดิบสำคัญที่ การประปาส่วนภูมิภาคจังหวัดเชียงราย ใช้ผลิตน้ำประปาให้กับประชาชนในอำเภอเมืองเชียงรายและอำเภอใกล้เคียง นอกจากนี้ ในฤดูแล้งบางส่วนของน้ำกกยังถูกนำไปใช้ผลิตน้ำประปาในอำเภอฝาง จังหวัดเชียงใหม่ ทำให้หลายฝ่ายวิตกกังวลเกี่ยวกับการปนเปื้อนของน้ำที่อาจส่งผลต่อสุขภาพของประชาชนในวงกว้าง

ภาพถ่ายยืนยันน้ำขุ่นจากการทำเหมืองทองคำ

เพจ จัดให้ มีเดีย ได้เผยแพร่ภาพถ่ายเมื่อวันที่ 16 มีนาคม 2568 ซึ่งแสดงให้เห็นว่า จุดที่แม่น้ำรวกไหลบรรจบกับแม่น้ำโขงบริเวณสามเหลี่ยมทองคำ น้ำจากแม่น้ำรวกที่มีต้นทางจากแม่น้ำสาย (ในเมียนมา) มีสีขุ่นอย่างเห็นได้ชัดก่อนจะไหลลงสู่แม่น้ำโขงซึ่งยังคงมีความใสสะอาดตามฤดูกาล ปรากฏการณ์นี้มีความคล้ายคลึงกับปัญหาน้ำกกขุ่นที่กำลังส่งผลกระทบต่อพื้นที่อำเภอฝางและอำเภอเมืองเชียงราย

ความคิดเห็นจากทั้งสองฝ่าย

ฝ่ายสนับสนุนการตรวจสอบและแก้ไขปัญหา

  • ประชาชนในพื้นที่ต้องการให้หน่วยงานภาครัฐเร่งดำเนินการตรวจสอบคุณภาพน้ำกกและเปิดเผยข้อมูลให้ชัดเจน
  • นักสิ่งแวดล้อมเรียกร้องให้มีการดำเนินมาตรการป้องกันและเจรจากับเมียนมาเพื่อแก้ไขปัญหานี้ในระยะยาว

ฝ่ายที่มองต่างมุม

  • ผู้ประกอบการด้านการทำเหมืองมองว่า การทำเหมืองเป็นส่วนสำคัญของเศรษฐกิจท้องถิ่นในรัฐฉาน และการควบคุมเหมืองที่เข้มงวดอาจกระทบต่อรายได้ของประชาชนบางส่วน
  • เจ้าหน้าที่บางฝ่ายให้ความเห็นว่า การตรวจสอบผลกระทบข้ามพรมแดนเป็นเรื่องซับซ้อน และต้องอาศัยความร่วมมือระหว่างประเทศ จึงอาจต้องใช้เวลาในการแก้ไข

สถิติและข้อมูลอ้างอิง

  • จำนวนบริษัทที่ดำเนินกิจการเหมืองทองในพื้นที่แม่น้ำกกฝั่งพม่า: 23 บริษัท (ข้อมูลจากรายงานภาคสนามของสำนักข่าวชายขอบ)
  • อัตราการปนเปื้อนของน้ำจากการทำเหมืองในภูมิภาค: รายงานจากหน่วยงานสิ่งแวดล้อมพบว่า 80% ของแม่น้ำที่อยู่ใกล้เหมืองแร่มีระดับตะกอนสูงกว่ามาตรฐาน (ข้อมูลจากองค์กรอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมเมียนมา)
  • จำนวนประชาชนที่ใช้น้ำกกเป็นแหล่งน้ำประปา: กว่า 200,000 คนในจังหวัดเชียงราย (ข้อมูลจากการประปาส่วนภูมิภาค)
  • สถิติการร้องเรียนปัญหาคุณภาพน้ำในภาคเหนือ: เพิ่มขึ้น 35% ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา (ข้อมูลจากสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ)

สรุป

ปัญหาการทำเหมืองทองคำในพื้นที่ต้นน้ำกกของเมียนมากำลังส่งผลกระทบโดยตรงต่อสิ่งแวดล้อมและสุขภาพของประชาชนในจังหวัดเชียงรายและเชียงใหม่ แม้ว่าจะยังไม่มีการยืนยันทางวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับระดับสารปนเปื้อนในน้ำ แต่ความเปลี่ยนแปลงของคุณภาพน้ำที่สังเกตได้ชัดเจนสร้างความกังวลในวงกว้าง อย่างไรก็ตาม การแก้ไขปัญหานี้จำเป็นต้องอาศัยการประสานงานระหว่างประเทศ รวมถึงการดำเนินมาตรการที่เหมาะสมทั้งในด้านสิ่งแวดล้อมและเศรษฐกิจเพื่อให้เกิดความสมดุลและยั่งยืนในระยะยาว

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักข่าวชายขอบ / จัดให้ มีเดีย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

โรงรียนบ้านสันโค้งเจ๋งจริง เด็ก ป.1 สอบ RT เต็ม 100

13 เด็กเก่งโรงเรียนบ้านสันโค้ง สอบ RT ได้ 100 คะแนนเต็ม สร้างความภาคภูมิใจให้จังหวัดเชียงราย

เชียงราย, 14 มีนาคม 2568 – โรงเรียนบ้านสันโค้ง (เชียงรายจรูญราษฎร์) ได้จัดกิจกรรม เปิดบ้านวิชาการสู่โลกกว้างแห่งการเรียนรู้” (BSK Open House 2567) เพื่อแสดงศักยภาพทางวิชาการของนักเรียน โดยมี นายมรกต อนุเคราะห์ ผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงราย เขต 1 เป็นประธานเปิดงาน พร้อมด้วยแขกผู้มีเกียรติและคณะครู นักเรียน และผู้ปกครองเข้าร่วมงานอย่างคับคั่ง

เปิดบ้านวิชาการ เสริมสร้างการเรียนรู้สู่โลกอนาคต

กิจกรรม BSK Open House จัดขึ้นเพื่อส่งเสริมการเรียนรู้แบบบูรณาการ โดยมีแนวคิด “Integrate Knowledge to the New World – Think Creativity – Be aware of Technology” ซึ่งมุ่งเน้นการเรียนรู้ผ่านการปฏิบัติจริง และพัฒนาความคิดสร้างสรรค์ของนักเรียน ในปีนี้มีการจัดแสดงผลงานทางวิชาการของแต่ละระดับชั้น รวมถึงนิทรรศการด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรมการศึกษา

13 นักเรียนสอบ RT ได้คะแนนเต็ม 100 คะแนน

ไฮไลต์สำคัญของงานคือการประกาศผลสอบ RT (Reading Test) ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 ปีการศึกษา 2567 ซึ่งมีนักเรียนจำนวน 13 คน สามารถทำคะแนนได้ 100 คะแนนเต็ม สร้างความภาคภูมิใจให้กับโรงเรียนและจังหวัดเชียงรายเป็นอย่างยิ่ง

การสอบ RT หรือ Reading Test เป็นการทดสอบวัดความสามารถด้านการอ่านของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 จัดโดย สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) โดยมีการประเมิน 2 ส่วน ได้แก่:

  1. การอ่านรู้เรื่อง – นักเรียนต้องสามารถอ่านคำศัพท์ และประโยค รวมถึงเข้าใจเนื้อหาได้อย่างถูกต้อง
  2. ความสามารถด้านการจับใจความ – เป็นการทดสอบความสามารถในการทำความเข้าใจเนื้อหาที่อ่าน และตอบคำถามตามบริบทของเรื่อง

โรงเรียนมอบเกียรติบัตร เชิดชูเกียรติเด็กเก่ง

นายสุพัฒน์ เตชาติ ผู้อำนวยการโรงเรียนบ้านสันโค้ง (เชียงรายจรูญราษฎร์) ได้มอบเกียรติบัตรเพื่อแสดงความยินดีแก่ 13 นักเรียนที่ทำคะแนนเต็ม พร้อมกล่าวว่า ความสำเร็จนี้เกิดจากความตั้งใจของนักเรียน ครู และผู้ปกครอง ที่ร่วมมือกันส่งเสริมทักษะการอ่านให้กับเด็กๆ” นอกจากนี้ ยังมีการยกย่องครูผู้สอนที่มีบทบาทสำคัญในการผลักดันให้นักเรียนสามารถบรรลุเป้าหมายทางการศึกษาครั้งนี้ได้สำเร็จ

เสียงสะท้อนจากสองมุมมอง

ฝ่ายสนับสนุน

  • ผู้ปกครองและครูต่างเห็นพ้องกันว่า การสอบ RT เป็นตัวชี้วัดสำคัญที่ช่วยให้โรงเรียนสามารถประเมินและพัฒนาแนวทางการเรียนการสอนได้อย่างเหมาะสม
  • ผลการสอบที่โดดเด่นสะท้อนถึงประสิทธิภาพของระบบการศึกษาและความสามารถของนักเรียนที่มีคุณภาพ

ข้อกังวล

  • นักวิชาการบางส่วนให้ความเห็นว่า การทดสอบที่มุ่งเน้นเฉพาะทักษะการอ่านอาจไม่เพียงพอ ควรมีการประเมินในด้านการคิดวิเคราะห์และการใช้ภาษาเพิ่มเติม
  • มีข้อเสนอว่าควรเพิ่มวิธีการสอนแบบ Interactive Learning เพื่อให้นักเรียนสามารถพัฒนาทักษะในหลากหลายมิติ

สถิติและข้อมูลอ้างอิง

  • นักเรียนที่สอบ RT ได้คะแนนเต็ม: 13 คน จากโรงเรียนบ้านสันโค้ง (เชียงรายจรูญราษฎร์)
  • อัตราการอ่านออกเขียนได้ของนักเรียนชั้น ป.1 ปี 2567: 95% (ข้อมูลจาก สพฐ.)
  • ผลสำรวจความสามารถด้านการอ่านของเด็กไทย: คะแนนเฉลี่ยระดับประเทศอยู่ที่ 85 คะแนน จาก 100 คะแนน (ข้อมูลจากกระทรวงศึกษาธิการ)
  • โรงเรียนบ้านสันโค้งเป็น 1 ใน 10 โรงเรียนของเชียงรายที่มีนักเรียนสอบ RT ได้คะแนนเต็มมากที่สุด

สรุป

การสอบ RT ปีนี้ถือเป็นอีกหนึ่งความสำเร็จของโรงเรียนบ้านสันโค้ง ที่สามารถผลิตนักเรียนที่มีทักษะการอ่านในระดับดีเยี่ยมถึง 13 คน ซึ่งสะท้อนถึงคุณภาพการศึกษาและแนวทางการเรียนการสอนที่มีประสิทธิภาพ อย่างไรก็ตาม แนวโน้มของระบบการศึกษายังต้องพัฒนาให้ครอบคลุมทักษะด้านอื่นๆ ควบคู่ไปกับการอ่าน เพื่อให้เด็กไทยสามารถเติบโตเป็นบุคคลที่มีความสามารถรอบด้านในอนาคต

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News