Categories
NEWS UPDATE

ญี่ปุ่นขึ้นทะเบียน GI ให้ ‘สับปะรดห้วยมุ่น’ ส่งเสริมส่งออกไทย

ข่าวดี! ญี่ปุ่นขึ้นทะเบียน GI ให้ ‘สับปะรดห้วยมุ่น’ ส่งเสริมการส่งออกไทยสู่ตลาดโลก

เมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน 2567 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายคารม พลพรกลาง รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยข่าวดีว่า กระทรวงเกษตร ป่าไม้ และประมงของประเทศญี่ปุ่น ได้ประกาศขึ้นทะเบียนสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ (GI) ให้กับ ‘สับปะรดห้วยมุ่น’ ของไทย ซึ่งนับเป็นผลไม้ไทยชนิดแรกที่ได้รับการขึ้นทะเบียน GI ในประเทศญี่ปุ่น และเป็นสินค้าลำดับที่ 3 ที่ได้รับการรับรองต่อจาก ‘กาแฟดอยช้าง’ และ ‘กาแฟดอยตุง’

สับปะรดห้วยมุ่น ผลไม้ที่มีเอกลักษณ์โดดเด่น

‘สับปะรดห้วยมุ่น’ มีคุณสมบัติพิเศษที่แตกต่างจากสับปะรดทั่วไป ด้วยเนื้อที่หนา นุ่ม รสชาติหวานอร่อย พร้อมทั้งมีคุณค่าทางโภชนาการสูง ทำให้เป็นที่ต้องการของผู้บริโภคชาวญี่ปุ่น นอกจากนี้ การขึ้นทะเบียน GI ในครั้งนี้ ยังเป็นการยืนยันถึงคุณภาพของสับปะรดห้วยมุ่น และสร้างความมั่นใจให้กับผู้บริโภคชาวญี่ปุ่นในการเลือกบริโภคสินค้าจากประเทศไทยมากยิ่งขึ้น

ส่งเสริมการส่งออก เพิ่มรายได้ให้เกษตรกร

ปัจจุบันประเทศไทยมีผู้ประกอบการมากกว่า 850 ราย ที่มีศักยภาพในการผลิตสับปะรดห้วยมุ่นได้มากกว่า 180,000 ตันต่อปี สร้างมูลค่าตลาดมากถึง 1,200 ล้านบาท การได้รับการขึ้นทะเบียน GI ในญี่ปุ่นครั้งนี้ เป็นก้าวสำคัญในการยกระดับสินค้าเกษตรของไทยเข้าสู่ตลาดโลก และยังช่วยสร้างโอกาสใหม่ ๆ ให้กับเกษตรกรไทยในการเพิ่มรายได้จากการส่งออกสินค้าไปยังต่างประเทศ

โอกาสทางการตลาดในญี่ปุ่น

นอกจากการส่งออกสับปะรดสดที่ได้รับความนิยมแล้ว ยังพบว่าตลาดญี่ปุ่นมีความต้องการสับปะรดแปรรูปสูง เช่น น้ำสับปะรด สับปะรดกระป๋อง และสับปะรดอบแห้ง ซึ่งประเทศไทยถือเป็นประเทศคู่ค้าสำคัญในการส่งออกสับปะรดมากเป็นอันดับที่ 4 รองจากฟิลิปปินส์ คอสตาริกา และอินโดนีเซีย

ใช้ประโยชน์จากความตกลงหุ้นส่วนเศรษฐกิจไทย-ญี่ปุ่น (JTEPA)

การที่ไทยได้รับการขึ้นทะเบียน GI จะช่วยให้ประเทศไทยสามารถใช้ประโยชน์จากความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจไทย-ญี่ปุ่น (JTEPA) ในการลดภาษีนำเข้าสินค้าสับปะรดไปยังญี่ปุ่น ซึ่งจะช่วยเพิ่มความสามารถในการแข่งขัน และเพิ่มโอกาสในการส่งออกสินค้าเกษตรของไทยในตลาดญี่ปุ่นได้มากขึ้น

แผนการขยายตลาดสับปะรดห้วยมุ่น

รัฐบาลยังมุ่งมั่นที่จะส่งเสริมให้เกษตรกรไทยผลิตสินค้าคุณภาพและสามารถแข่งขันในตลาดโลกได้ โดยการสนับสนุนทั้งในด้านเทคโนโลยีการผลิต การพัฒนาบรรจุภัณฑ์ และการเพิ่มประสิทธิภาพการขนส่ง เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคในญี่ปุ่นและประเทศอื่น ๆ อย่างเต็มที่

ความหวังใหม่สำหรับเกษตรกรไทย

การขึ้นทะเบียน GI ของ ‘สับปะรดห้วยมุ่น’ เป็นก้าวสำคัญในการเพิ่มศักยภาพทางการค้าของไทย และเป็นแรงจูงใจให้เกษตรกรไทยหันมาพัฒนาคุณภาพสินค้าเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มในตลาดโลก การส่งออกสินค้าเกษตรที่มีคุณภาพสูง ไม่เพียงแต่ช่วยสร้างรายได้ให้กับเกษตรกร แต่ยังเป็นการเสริมสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้กับประเทศไทยในฐานะประเทศที่มีสินค้าคุณภาพสูงในตลาดโลก

สวนสับปะรดห้วยมุ่นตั้งอยู่ที่ ต.ห้วยมุ่น อ.น้ำปาด จ.อุตรดิตถ์ 

    “ สับปะรดห้วยมุ่น ” หลายคนอาจจะได้ยินชื่อเสียงกันมาบ้างแล้วว่าเป็นผลไม้ที่ขึ้นชื่ออีกชนิดหนึ่งของจังหวัดอุตรดิตถ์  มีรสชาติอร่อยไม่แพ้กับของจังหวัดอื่น สวนสับปะรดห้วยมุ่นตั้งอยู่ที่ ต.ห้วยมุ่น อ.น้ำปาด จ.อุตรดิตถ์  ซึ่งหมู่บ้านของเราได้ปลูกสับปะรดมายาวนานตั้งแต่บรรพบุรุษ จนถึงปัจจุบันหมู่บ้านของเราได้ขยายพื้นการปลูกสับปะรดไปรอบๆหมู่บ้านใกล้เคียงเพิ่มขึ้นมา

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักนายกรัฐมนตรี 

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
FOLLOW ME
MOST POPULAR
Categories
NEWS UPDATE

ครม.ไฟเขียวร่างกฎหมายใหม่ ปลดล็อกที่ดินทำกินในอุทยานฯ

เมื่อวันที่ 12 พฤศจิกายน 2567 คณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเห็นชอบร่างพระราชกฤษฎีกา 2 ฉบับ ที่เสนอโดย กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เพื่อแก้ไขปัญหาการใช้ที่ดินทำกินในเขตอุทยานแห่งชาติและเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า โดยมี นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นผู้แถลงข่าวหลังการประชุม

สาระสำคัญของร่างพระราชกฤษฎีกา 2 ฉบับ

ร่างพระราชกฤษฎีกาทั้งสองฉบับนี้ประกอบด้วย:

  1. ร่างพระราชกฤษฎีกาโครงการอนุรักษ์และดูแลรักษาทรัพยากรธรรมชาติในอุทยานแห่งชาติ ตามมาตรา 64 แห่ง พระราชบัญญัติอุทยานแห่งชาติ พ.ศ. 2562
  2. ร่างพระราชกฤษฎีกาโครงการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าและเขตห้ามล่าสัตว์ป่า ตามมาตรา 121 ของ พระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. 2562

ร่างพระราชกฤษฎีกาเหล่านี้จัดทำขึ้นเพื่ออนุญาตให้ประชาชนที่อยู่อาศัยหรือทำกินในพื้นที่ดังกล่าวก่อนที่กฎหมายจะมีผลบังคับใช้ สามารถดำรงชีวิตต่อไปได้ โดยรัฐไม่ได้ให้สิทธิ์ในที่ดิน แต่ให้สามารถอยู่อาศัยและทำกินได้อย่างถูกกฎหมาย พร้อมกับมีหน้าที่ในการอนุรักษ์และฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติในพื้นที่นั้น ๆ

การอนุญาตให้ใช้ที่ดินทำกิน

ครม. ได้กำหนดให้มีการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติในพื้นที่อุทยานแห่งชาติและเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าในระยะเวลา 20 ปี โดยจะมีการกำหนดเขตที่อยู่อาศัยและที่ทำกินให้ชัดเจน โดยไม่ขยายพื้นที่เพิ่มเติม

พื้นที่ที่ครอบคลุมภายใต้โครงการนี้ ได้แก่:

  • อุทยานแห่งชาติ จำนวน 4 แห่ง เช่น อุทยานแห่งชาติน้ำหนาว (เพชรบูรณ์) และอุทยานแห่งชาติเขาคิชฌกูฏ (จันทบุรี)
  • เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า จำนวน 1 แห่ง เช่น เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าภูผาแดง (เพชรบูรณ์)
  • เขตห้ามล่าสัตว์ป่า จำนวน 1 แห่ง เช่น เขตห้ามล่าสัตว์ป่าเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ (ลพบุรี)

การช่วยเหลือเกษตรกรและประชาชนในพื้นที่

สำหรับผู้ที่อยู่อาศัยในพื้นที่เหล่านี้ จะได้รับการสำรวจสิทธิ์โดย กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ซึ่งกำหนดให้แต่ละครอบครัวถือครองที่ดินไม่เกิน 20 ไร่ และหากมีครัวเรือนร่วมทำกิน จะถือครองได้ไม่เกิน 40 ไร่ ทั้งนี้ การโอนสิทธิ์หรือยินยอมให้บุคคลภายนอกเข้าใช้ที่ดินไม่ได้

การปฏิบัติงานของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

นายภูมิธรรม เวชยชัย ระบุว่าครม. ได้มอบหมายให้ คณะกรรมการที่ดินแห่งชาติ และ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ร่วมมือกันจัดตั้งคณะกรรมการเพื่อติดตามและทบทวนกฎหมายที่เกี่ยวข้อง โดยเน้นการแก้ไขปัญหาที่ดินทำกินให้มีความยั่งยืนและเกิดประโยชน์สูงสุดแก่ประชาชน

นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กล่าวเสริมว่า ร่างพระราชกฤษฎีกานี้เป็นการช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากการประกาศเขตอุทยานและเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า เพื่อให้ประชาชนสามารถอยู่อาศัยและทำกินได้อย่างปลอดภัย โดยไม่ละเมิดกฎหมาย

ความสำคัญของการแก้ไขกฎหมาย

นายปกรณ์ นิลประพันธ์ เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา ได้กล่าวถึงหลักการสำคัญในการแก้ไขกฎหมายนี้ เพื่อให้ประชาชนสามารถทำมาหากินในพื้นที่ป่าโดยไม่ถือเป็นความผิดทางอาญาอีกต่อไป พร้อมทั้งย้ำว่าการแก้ไขครั้งนี้เป็นการช่วยบรรเทาความขัดแย้งระหว่างหน่วยงานรัฐและประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากกฎหมายเดิม

“เป้าหมายสำคัญคือให้ประชาชนอยู่ร่วมกับป่าอย่างมีความสุขและถูกต้องตามกฎหมาย” นายปกรณ์กล่าวทิ้งท้าย พร้อมเน้นว่าการแก้ไขกฎหมายนี้จะช่วยสร้างความเป็นธรรมและลดความขัดแย้งที่เกิดขึ้นในอดีต

สรุปผลการประชุม

ครม. ได้เห็นชอบให้ดำเนินการตามร่างพระราชกฤษฎีกา 2 ฉบับนี้ เพื่อตอบสนองความต้องการของประชาชนที่ได้รับผลกระทบ พร้อมทั้งให้ความสำคัญกับการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ และสนับสนุนการใช้ที่ดินทำกินอย่างยั่งยืนเพื่อประโยชน์ของชุมชนในระยะยาว

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News