Categories
AROUND CHIANG RAI CULTURE

เชียงรายน้อมรำลึก “แม่ฟ้าหลวง” จัดพิธีทานหา สืบสานพระราชปณิธานยั่งยืน

ณ อุทยานศิลปะวัฒนธรรมแม่ฟ้าหลวงศูนย์รวมดวงใจแห่งการรำลึกและสืบสานพระราชปณิธาน

เชียงราย, 18 กรกฎาคม 2568 – เชียงรายน้อมรำลึก “แม่ฟ้าหลวง” จัดพิธีทานหา แสดงความกตัญญูในพระมหากรุณาธิคุณอันหาที่สุดมิได้ บรรยากาศที่อุทยานศิลปะวัฒนธรรมแม่ฟ้าหลวง (ไร่แม่ฟ้าหลวง) อำเภอเมืองเชียงราย เต็มไปด้วยความสงบและความศรัทธา เมื่อคณะผู้บริหารจังหวัดเชียงราย นำโดย นายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัด ร่วมด้วยนางสินีนาฏ ทองสุข ประธานแม่บ้านมหาดไทยจังหวัดเชียงราย, ข้าราชการ, ทหาร, ตำรวจ, นายอำเภอทั้ง 18 อำเภอ, ผู้บริหารสถานศึกษา, ผู้นำชุมชน, และประชาชนหลากหลายชาติพันธุ์ มาร่วมพิธี “ทานหาแม่ฟ้าหลวง” เพื่อรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณอันหาที่สุดมิได้ของสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี หรือ “แม่ฟ้าหลวง” ของชาวไทยภูเขา

พระราชกรณียกิจจากวิสัยทัศน์สู่ต้นแบบการพัฒนาโลก

สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ทรงเป็นพระราชชนนีในพระบาทสมเด็จพระอานันทมหิดล รัชกาลที่ 8 และพระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช รัชกาลที่ 9 พระองค์ทรงมีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งในการขับเคลื่อนสังคมไทยสู่ความเจริญก้าวหน้า โดยเฉพาะพื้นที่สูงในจังหวัดเชียงราย ที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นศูนย์กลางของปัญหายาเสพติด ความยากจน และการทำลายป่า

ด้วยสายพระเนตรอันกว้างไกล สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนีทรงเห็นว่าการ “ให้โอกาส” สำคัญกว่าการลงโทษ พระราชดำรัส “คนดีไม่มีใครอยากเป็นคนไม่ดี แต่เขาไม่มีโอกาส ไม่มีทางเลือก” กลายเป็นปรัชญาสำคัญของโครงการพัฒนาดอยตุงอันเนื่องมาจากพระราชดำริ ที่มุ่งเน้นการให้ทางเลือกอาชีพและความมั่นคงในชีวิตแก่ชาวบ้าน โดยเชื่อว่าหากมีอาชีพและสุขภาพที่ดี ก็จะหลุดพ้นจากวงจรความยากจนและความไม่รู้

จุดเปลี่ยนแห่งดอยตุงจาก “สามเหลี่ยมทองคำ” สู่ต้นแบบความยั่งยืน

เมื่อครั้งพระองค์เสด็จฯ ถึงดอยตุงในปี 2530 พื้นที่ป่าเสื่อมโทรมอย่างหนัก ชุมชนหลากหลายชาติพันธุ์กว่า 29 หมู่บ้านขาดโอกาสทั้งทางเศรษฐกิจและสังคม พระองค์ทรงมีพระราชดำริ “ตกลงจะมาสร้างบ้านที่นี่ แต่ถ้าไม่มีโครงการพัฒนาดอยตุงฯ ฉันก็จะไม่มา” สะท้อนพระราชหฤทัยแน่วแน่ที่จะเปลี่ยนแปลงพื้นที่แห่งนี้ให้เป็น “บ้าน” ที่มีทั้งป่าและผู้คนอยู่ร่วมกันได้อย่างยั่งยืน

โครงการพัฒนาดอยตุงแบ่งการดำเนินงานออกเป็น 3 ระยะ:

  • ระยะ “อยู่รอด” สนองความต้องการพื้นฐาน
  • ระยะ “พอเพียง” ฟื้นฟูสิ่งแวดล้อมและยกระดับอาชีพ
  • ระยะ “ยั่งยืน” มุ่งสร้างชุมชนที่บริหารจัดการตนเองได้

สิ่งที่เกิดขึ้นในรอบ 30 ปีคือป่าไม้ดอยตุงขยายจาก 28% เป็น 77% (หรือ 87% ในบางช่วงเวลา) พื้นที่ที่เคยปลูกฝิ่นกลายเป็นพื้นที่เกษตร วิสาหกิจชุมชน และท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ รายได้เฉลี่ยเพิ่มขึ้นถึง 18 เท่า เร็วกว่าค่าเฉลี่ยประเทศถึง 3 เท่า จนยูเอ็นและ UNODC ยอมรับให้ “ดอยตุงโมเดล” เป็นแบบอย่างของโลกในการแก้ปัญหายาเสพติดและพัฒนาชนบทแบบครบวงจร

สะท้อนรากเหง้าความกตัญญูและพลังศรัทธาชุมชน

พิธีทานหาในวันนี้ถือเป็นการรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณที่พระองค์ทรงมีต่อพสกนิกร โดยเฉพาะชาวไทยภูเขา ซึ่งต่างยกย่องพระองค์ว่า “แม่ฟ้าหลวง” หรือ “แม่ของแผ่นดิน” ไม่เพียงเพราะพระราชกรณียกิจด้านการแพทย์ เช่น การจัดตั้งหน่วยแพทย์อาสา (พอ.สว.) เพื่อดูแลผู้ป่วยในถิ่นทุรกันดารเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการบุกเบิกโครงการบำบัดฟื้นฟูผู้ติดยาเสพติด (บ้านผาหมี) การพัฒนาอาชีพ สร้างโรงเรียน สร้างสาธารณูปโภค และก่อตั้งมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง ซึ่งเป็นศูนย์กลางองค์ความรู้ของภาคเหนือ

ในพิธีทานหา บรรยากาศเต็มไปด้วยความเคารพและความกตัญญูยิ่งยวด เมื่อคุณหญิงพวงร้อย ดิศกุล ณ อยุธยา และอาจารย์นคร พงษ์น้อย ได้นำถวายเครื่องราชสักการะ ณ พระราชานุสาวรีย์ ท่ามกลางการร่วมแรงร่วมใจของข้าราชการ ผู้นำชุมชน และเยาวชนรุ่นใหม่ แสดงให้เห็นว่าสายใยแห่งความผูกพันระหว่าง “แม่ฟ้าหลวง” กับประชาชนยังคงเหนียวแน่น ไม่เสื่อมคลาย

พระราชมรดกที่ยังคงขับเคลื่อนสังคมและชุมชน

นอกเหนือจากโครงการพัฒนาดอยตุง สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนียังมีพระราชกรณียกิจมากมายในเชียงราย ไม่ว่าจะเป็นการก่อตั้งมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง พระตำหนักดอยตุง สวนแม่ฟ้าหลวง พระบรมธาตุเจดีย์ศรีนครินทราสถิตมหาสันติคีรี หรือแม้แต่การริเริ่มโครงการต้นแบบด้านการจัดการขยะเป็นศูนย์ ส่งเสริมศิลปะวัฒนธรรมล้านนา (อุทยานศิลปะวัฒนธรรมแม่ฟ้าหลวง) และผลักดันผลิตภัณฑ์ “ดอยตุง” สู่ตลาดโลก

มูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ ยังคงดำเนินการสืบสานพระราชปณิธาน ส่งเสริมโมเดล “ธุรกิจที่ทำให้โลกดีขึ้น” ขยายผลสู่การพัฒนาชุมชนในประเทศและต่างประเทศ ภายใต้หลักการ “มหาวิทยาลัยที่มีชีวิต” และ “ชุมชนต้องช่วยเหลือตัวเองได้”

พระราชมรดกเพื่ออนาคตและแรงบันดาลใจสำหรับการพัฒนา

ปรัชญา “ช่วยชาวบ้านให้ช่วยตัวเอง” ที่สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนีทรงวางรากฐานไว้ กลายเป็นแนวทางการพัฒนาที่ยั่งยืนในศตวรรษที่ 21 ไม่ว่าจะเป็นการฟื้นฟูป่าไม้ การแก้ไขปัญหายาเสพติดอย่างองค์รวม หรือการสร้างโอกาสทางการศึกษาและเศรษฐกิจ “ดอยตุงโมเดล” ไม่ได้หยุดอยู่แค่เชียงราย แต่ขยายผลไปยังประเทศเพื่อนบ้านและกลายเป็นกรณีศึกษาของโลกในเวทีสหประชาชาติ

พระราชกรณียกิจที่ครอบคลุมตั้งแต่ “การปลูกป่า ปลูกคน” ไปจนถึงการพัฒนาคุณภาพชีวิตและสร้างความมั่นคงให้กับชุมชน ตอกย้ำว่าการพัฒนาที่ยั่งยืนต้องอาศัยการให้โอกาส มองเห็นคุณค่าและศักยภาพในตัวคน เป็นการสร้างรากฐานที่มั่นคงให้สังคมไทยเดินหน้าต่อไปอย่างไม่หยุดยั้ง

พิธีทานหาแม่ฟ้าหลวงในวันนี้ คือการยืนยันถึงพระราชมรดกอันทรงคุณค่าของสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ที่ยังคงสร้างแรงบันดาลใจให้กับชุมชน ผู้บริหาร นักพัฒนา และประชาชนทุกหมู่เหล่า ตราบจนวันนี้และตลอดไป

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
  • มูลนิธิแม่ฟ้าหลวง ในพระบรมราชูปถัมภ์
  • อุทยานศิลปะวัฒนธรรมแม่ฟ้าหลวง
  • สำนักข่าวนครเชียงรายนิวส์
  • รายงานสรุปโครงการพัฒนาดอยตุงฯ
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI FEATURED NEWS

ปีทองชา-กาแฟเชียงราย ‘ม.แม่ฟ้าหลวง’ เจ้าภาพ Global Forum ดันสู่ศูนย์กลางอุตสาหกรรมโลก

เชียงรายเปิดเวทีโลก! จัดงาน Global Coffee and Tea Association Forum 2025 ยกระดับไทยสู่ศูนย์กลางชา-กาแฟนานาชาติ

เชียงราย,14 กรกฎาคม 2568 – แม้โลกกำลังเผชิญกับความท้าทายใหม่ในอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่ม จังหวัดเชียงรายพร้อมเขียนประวัติศาสตร์ต่อเนื่องด้วยการเตรียมจัดงาน “Global Coffee and Tea Association Forum 2025: Shaping the Future Together” โดยได้รับการสนับสนุนการจัดงานจากสำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) หรือ สสปน. ระหว่างวันที่ 17-20 กรกฎาคม 2568 ณ โรงแรม เลอ เมอริเดียน เชียงราย รีสอร์ท และอุทยานศิลปะวัฒนธรรมแม่ฟ้าหลวง

งานครั้งนี้ไม่เพียงแต่จะเป็นการรวมพลังผู้เล่นระดับโลกในอุตสาหกรรมชาและกาแฟ แต่ยังเป็นการเฉลิมฉลองความสำเร็จที่สั่งสมมาอย่างยาวนาน ทั้งในฐานะจังหวัดที่ผลิตชาและกาแฟคุณภาพสูงระดับโลก และเป็นการเฉลิมฉลองครบรอบ 50 ปี ความสัมพันธ์ทางการทูตไทย-จีน พร้อมกับการเฉลิมฉลอง 1 ทศวรรษแห่งความร่วมมือทางวิชาการระหว่างสถาบันชาและกาแฟ มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง กับ Tea Research Institute, Chinese Academy of Agricultural Sciences

จากหมู่บ้านเล็กสู่เมืองหลวงแห่งชาและกาแฟ

เรื่องราวของเชียงรายกับอุตสาหกรรมชาและกาแฟเริ่มต้นจากศักยภาพทางธรรมชาติที่พระเจ้าประทานให้ ด้วยสภาพภูมิประเทศที่เป็นเทือกเขาสูง ภูมิอากาศเย็นสบาย และความอุดมสมบูรณ์ของดินที่เหมาะสมต่อการเพาะปลูกพืชเมืองหนาว ทำให้พื้นที่แห่งนี้กลายเป็นแหล่งผลิตชาและกาแฟที่มีคุณภาพเป็นที่ยอมรับในระดับสากล

ตัวเลขจากสำนักงานจังหวัดเชียงรายในปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 เผยให้เห็นถึงความเป็นผู้นำของเชียงรายในอุตสาหกรรมนี้อย่างชัดเจน

  • ชา จังหวัดเชียงรายมีพื้นที่ปลูกชากว้างใหญ่ถึง 91,541 ไร่ คิดเป็น 68.94% ของพื้นที่ปลูกชาทั่วประเทศ และให้ผลผลิตรวม 76,893 ตัน หรือคิดเป็น 72.31% ของผลผลิตชาทั้งประเทศ
  • กาแฟ มีพื้นที่ปลูก 54,892 ไร่ คิดเป็น 25.36% ของพื้นที่ปลูกกาแฟทั่วประเทศ และให้ผลผลิตรวม 4,736 ตัน คิดเป็น 28.49% ของผลผลิตกาแฟทั้งประเทศ

ตัวเลขเหล่านี้สะท้อนให้เห็นว่าเชียงรายไม่ได้เป็นเพียงแหล่งผลิต แต่คือศูนย์กลางและหัวใจสำคัญของอุตสาหกรรมชาและกาแฟของไทย ที่พร้อมจะเติบโตและสร้างมูลค่าเพิ่มสู่ตลาดโลก

ก้าวสำคัญจากประสบการณ์ที่สั่งสม

การเดินทางสู่การเป็นเจ้าภาพงาน Global Coffee and Tea Association Forum 2025 ไม่ได้เกิดขึ้นในชั่วข้ามคืน แต่เป็นผลจากการสั่งสมประสบการณ์และการพัฒนาอย่างต่อเนื่องของสถาบันชาและกาแฟ มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง ในการจัดงานระดับนานาชาติ 5 ครั้ง ตั้งแต่ปี 2009 และการจัดงานก็ได้รับการสนับสนุนจากสำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (TCEB) หรือ สสปน. อย่างต่อเนื่อง

ย้อนกลับไปในปี 2567 งาน Tea and Coffee International Symposium 2024 (TCIS2024) และ The 3rd International Congress on Cocoa Coffee and Tea Asia ที่จัดขึ้นในเดือนกรกฎาคม ได้สร้างความประทับใจและผลลัพธ์ที่เกินความคาดหมาย การจัดงานในรูปแบบ Hybrid ร่วมกับ The State Key Laboratory of Tea Plant Biology and Utilization Anhui Agricultural University สาธารณรัฐประชาชนจีน ได้รับการตอบรับอย่างล้นหลาม โดยมีผู้เข้าร่วมถึง 437 คน จาก สาธารณรัฐประชาชนจีน ประเทศญี่ปุ่น อินโดนีเซีย ไต้หวัน อินเดีย เวียดนาม ฝรั่งเศส เยอรมนี ฮังการี สหราชอาณาจักร แคนาดา รวม 11 ประเทศ

สิ่งที่น่าสนใจยิ่งกว่าคือผลลัพธ์ทางธุรกิจที่เกิดขึ้น มีการออกบูธแสดงสินค้าจากผู้ประกอบการทั้งในและต่างประเทศมากกว่า  40 บูธ  เช่นจากประเทศจีนและญี่ปุ่น ซึ่งนำไปสู่การเจรจาจับคู่ธุรกิจมากถึง 7 ธุรกิจ และที่สำคัญที่สุดคือการสร้างมูลค่าผลกระทบทางเศรษฐกิจในพื้นที่ประมาณ 8.47 ล้านบาท ตามข้อมูลของสำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (TCEB)

ความสำเร็จนี้ไม่ได้หยุดอยู่เพียงแค่นั้น ในเดือนกุมภาพันธ์ 2568 งาน Chiangrai Brewtopia 2025 ที่จัดร่วมกับสิงห์ปาร์ค เชียงราย ได้สร้างปรากฏการณ์ใหม่ในวงการกาแฟอีกครั้ง ภายในงานมีการสัมมนาหัวข้อ “Sustainability in Specialty Coffee: Challenges and Opportunities” กับบูธแสดงสินค้า 44 ร้าน ผลลัพธ์ที่ได้คือการเชื่อมโยงเครือข่ายกาแฟระหว่างประเทศที่แข็งแกร่งยิ่งขึ้น การกระตุ้นยอดขาย และการส่งเสริมเศรษฐกิจท้องถิ่นอย่างยั่งยืน

วิสัยทัศน์แห่งอนาคตการสร้างสังคมที่ยั่งยืน

งาน Global Coffee and Tea Association Forum 2025 ไม่ใช่เพียงแค่การประชุมทางวิชาการหรือเวทีทางการค้า แต่เป็นการรวมพลังเพื่อเตรียมรับความท้าทายที่อุตสาหกรรมชาและกาแฟทั่วโลกกำลังเผชิญอยู่ในปัจจุบัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเด็นความยั่งยืนที่กลายเป็นหัวใจสำคัญของการพัฒนาอุตสาหกรรมในศตวรรษที่ 21

จากข้อมูลสถาบันชาและกาแฟ มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง ได้เผยถึงความสำคัญของงานนี้ถึงการเชื่อมั่นว่า “งาน Global Coffee and Tea Association Forum 2025 จะเป็นแพลตฟอร์มสำคัญที่ช่วยให้ผู้เล่นในอุตสาหกรรมชาและกาแฟทั่วโลกได้มาทำงานร่วมกัน แลกเปลี่ยนองค์ความรู้ และหาแนวทางรับมือกับความท้าทายใหม่ๆ โดยเฉพาะประเด็นความยั่งยืน ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของการพัฒนาอุตสาหกรรมในระยะยาว”

การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การขาดแคลนวัตถุดิบ และความต้องการของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป เป็นสามประเด็นหลักที่งานนี้จะมุ่งเน้นหาแนวทางแก้ไขผ่านการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ การวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ และการสร้างเครือข่ายความร่วมมือที่เข้มแข็งระหว่างประเทศ

หลากหลายมิติกิจกรรมจากห้องประชุมสู่ไร่นา

การจัดงานในระยะเวลา 4 วันเต็ม ตั้งแต่วันที่ 17-20 กรกฎาคม 2568 โดยวันที่ 17 กรกฎาคม จะเป็นวันเปิดงานประชุม Global Coffee and Tea Association Forum 2025 ณ โรงแรม เลอ เมอริเดียน เชียงราย รีสอร์ท โดยคาดการณ์ว่าจะมีผู้ที่สนใจเข้าร่วมมากถึง 250 คน จากประเทศไทย 210 คน และต่างประเทศมากถึง 40 คน หลายทวีป รวมถึงเอเชีย ยุโรป และอเมริกา

ส่วนไฮไลต์ของงานที่บรรดาประชาชนจะมาร่วมในวันที่ 18 กรกฎาคม จะเป็นวันสำคัญสำหรับการสร้างเครือข่ายระดับสูง ด้วยการจัด Round table: Shaping future together สำหรับผู้แทนสมาคมชาและกาแฟ หน่วยงานภาครัฐ และมหาวิทยาลัย นอกจากนี้ยังเป็นวันเปิดงานแสดงสินค้า Chiang Rai Brewtopia (Green Season) ณ อุทยานศิลปะวัฒนธรรมแม่ฟ้าหลวง ซึ่งจะเป็นการนำเสนอผลิตภัณฑ์ชาและกาแฟคุณภาพสูงจากผู้ผลิตท้องถิ่นและนานาชาติ

วันที่ 19 กรกฎาคม ผู้แทนสมาคมทั้งในและต่างประเทศ ที่จะได้เข้าร่วมกิจกรรม Farm visit: A Cup to Village ซึ่งเป็นการเยี่ยมชมแปลงปลูกและกระบวนการผลิตชาและกาแฟในพื้นที่จริง การเดินทางนี้จะพาผู้เข้าร่วมไปสู่ World Award-Winning Tea Route เส้นทางดอยแม่สลองและเส้นทาง Coffee: A cup to village ที่จะให้ประสบการณ์ตรงจากต้นทางสู่ปลายทางของอุตสาหกรรมชาและกาแฟ

สำหรับวันที่ 19-20 กรกฎาคม งานแสดงสินค้า Chiang Rai Brewtopia (Green Season) จะเปิดให้บุคคลทั่วไปเข้าชม ณ อุทยานศิลปะวัฒนธรรมแม่ฟ้าหลวง โดยคาดการณ์ว่าจะมีผู้เข้าชมงานตลอด 3 วัน ไม่น้อยกว่า 2,500 คน พร้อมมีร้านค้าจากในประเทศและต่างประเทศ  40 ร้านค้า และกิจกรรม Workshop ที่น่าสนใจสำหรับเกษตรกร ผู้ประกอบการ และผู้สนใจทั่วไป

เฉลิมฉลองมิตรภาพรากฐานความสัมพันธ์ไทย-จีน

อีกหนึ่งความพิเศษของงานในปีนี้คือการจัดกิจกรรมเฉลิมฉลองในโอกาสครบรอบ 50 ปี ความสัมพันธ์ทางการทูตไทย-จีน ซึ่งเป็นการยืนยันถึงความแข็งแกร่งของมิตรภาพระหว่างสองประเทศที่ได้พัฒนาและเติบโตมาอย่างต่อเนื่อง

นอกจากนี้ยังเป็นการเฉลิมฉลองครบรอบ 1 ทศวรรษแห่งความร่วมมือระหว่างสถาบันชาและกาแฟ มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง กับ Tea Research Institute, Chinese Academy of Agricultural Sciences จากสาธารณรัฐประชาชนจีน ซึ่งได้ดำเนินการมาตั้งแต่ปี 2558

ความร่วมมือที่ยาวนานนี้ไม่ได้เป็นเพียงแค่การแลกเปลี่ยนทางวิชาการ แต่ยังเป็นการสร้างรากฐานที่มั่นคงสำหรับการพัฒนาอุตสาหกรรมชาและกาแฟของทั้งสองประเทศ ผลจากความร่วมมือนี้ทำให้เกิดการถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิต การพัฒนาคุณภาพผลิตภัณฑ์ การจัดกิจกรรมฝึกอบรมเพื่อเพิ่มศักยภาพของผู้ประกอบการชาไทย และการสร้างเครือข่ายการค้าที่เชื่อมโยงตลาดในภูมิภาคเอเชียอย่างแข็งแกร่ง

การเปลี่ยนแปลงในระดับภูมิภาคเส้นทางแห่งความสำเร็จกับประสบการณ์จากงานระดับนานาชาติ

การจัดงาน Global Coffee and Tea Association Forum 2025 ไม่ได้มีเป้าหมายเพียงแค่การสร้างเครือข่ายหรือการแลกเปลี่ยนความรู้ แต่ยังมุ่งหวังที่จะสร้างผลกระทบเชิงบวกที่ยาวนานและครอบคลุมหลายมิติ

ในมิติทางสังคม (Social Impact) งานนี้คาดว่าจะช่วยพัฒนาและยกระดับทักษะของเกษตรกรและผู้ประกอบการในพื้นที่ ผ่านการเข้าถึงองค์ความรู้และเทคโนโลยีสมัยใหม่ที่จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต การสร้างเครือข่ายความร่วมมือระดับนานาชาติที่จะเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการไทยเข้าสู่ตลาดโลก และการส่งเสริมการทำเกษตรแบบยั่งยืนที่จะช่วยรักษาสิ่งแวดล้อมและสร้างรายได้ที่มั่นคงให้กับชุมชน

ในมิติทางเศรษฐกิจ (Economic Impact) ผลลัพธ์ที่คาดหวังคือการเพิ่มศักยภาพการแข่งขันของอุตสาหกรรมชาและกาแฟไทยในตลาดโลก ซึ่งจะนำไปสู่การเพิ่มขึ้นของมูลค่าการส่งออกและการสร้างรายได้ให้กับประเทศ นอกจากนี้ยังจะเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจในจังหวัดเชียงรายผ่านการจัดงานและการท่องเที่ยวเชิงธุรกิจ การเพิ่มยอดขายสินค้าและผลิตภัณฑ์ในงานแสดงสินค้า และการสร้างโอกาสในการลงทุนและพัฒนาโครงการความร่วมมือระหว่างประเทศ

เส้นทางสู่ “Chiang Rai Tea and Coffee Destination”

งาน Global Coffee and Tea Association Forum 2025 เป็นก้าวสำคัญในเส้นทางที่จะขับเคลื่อนจังหวัดเชียงรายให้กลายเป็น “Chiang Rai Tea and Coffee Destination” ที่แท้จริง ไม่เพียงแค่ในฐานะแหล่งผลิตชาและกาแฟคุณภาพสูง แต่ยังเป็นศูนย์กลางการค้า การวิจัยและพัฒนา และการจัดงานเทศกาลระดับนานาชาติในอุตสาหกรรมนี้

ความสำเร็จของงานนี้จะเป็นเครื่องพิสูจน์ถึงความพร้อมของเชียงรายในการเป็นผู้นำด้านอุตสาหกรรมชาและกาแฟในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และเป็นการสร้างแรงบันดาลใจให้กับจังหวัดอื่นๆ ในการพัฒนาอุตสาหกรรมเกษตรแปรรูปสู่ระดับสากล

การรวมตัวของผู้เชี่ยวชาญ นักวิจัย เกษตรกร และผู้ประกอบการจากทั่วโลกในครั้งนี้ จะเป็นการสร้างพลังขับเคลื่อนที่สำคัญสำหรับการพัฒนาอุตสาหกรรมชาและกาแฟไทยให้มีความยั่งยืน สร้างสรรค์ และสามารถแข่งขันได้ในตลาดโลกในยุคที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว

อนาคตที่เต็มไปด้วยความหวัง

งาน Global Coffee and Tea Association Forum 2025 ไม่ใช่เพียงแค่งานประชุมหรือเทศกาลสินค้า แต่เป็นการสร้างอนาคตที่ยั่งยืนสำหรับอุตสาหกรรมชาและกาแฟทั่วโลก ผ่านการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ การสร้างเครือข่ายความร่วมมือ และการหาแนวทางแก้ไขความท้าทายร่วมกัน

สำหรับจังหวัดเชียงราย งานนี้จะเป็นการยืนยันสถานะในฐานะ “เมืองหลวงแห่งชาและกาแฟของไทย” และเป็นก้าวสำคัญสู่การเป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมชาและกาแฟของภูมิภาค การสร้างผลกระทบเชิงบวกต่อเศรษฐกิจท้องถิ่น การพัฒนาคุณภาพชีวิตของเกษตรกรและชุมชน และการยกระดับความสามารถในการแข่งขันของผลิตภัณฑ์ไทยในตลาดโลก

ในขณะที่โลกกำลังเผชิญกับความท้าทายใหม่ๆ อย่างการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและความต้องการของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลง การรวมตัวของผู้เล่นในอุตสาหกรรมเพื่อหาแนวทางแก้ไขร่วมกันจึงเป็นสิ่งสำคัญยิ่ง งาน Global Coffee and Tea Association Forum 2025 จะเป็นจุดเริ่มต้นของการสร้างอนาคตที่ยั่งยืนและเต็มไปด้วยความหวังสำหรับอุตสาหกรรมชาและกาแฟทั่วโลก

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สถาบันชาและกาแฟ มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง
  • บริษัท สิงห์ปาร์ค เชียงราย จำกัด
  • สำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (TCEB)
  • สำนักงานจังหวัดเชียงราย, ข้อมูลสถิติการเกษตร ปีงบประมาณ พ.ศ. 2567
  • สถาบันชาและกาแฟ มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง, รายงานผลการจัดงาน TCIS2024
  • สำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (TCEB), รายงานผลกระทบทางเศรษฐกิจ 2567
  • Tea Research Institute, Chinese Academy of Agricultural Sciences, รายงานความร่วมมือด้านการวิจัยชา 2558-2568
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News