จากผู้ซื้อสู่ผู้สร้าง! ไทยเปิดตัวนวัตกรรม HERDARA และ Thai-LLM ประกาศความพร้อมบนเวทีเทคโนโลยีโลก
เชียงราย, 30 ธันวาคม 2568 – ในห้วงเวลาที่โลกกำลังก้าวสู่ยุคเศรษฐกิจฐานความรู้ ประเทศไทยกลับยังเผชิญโจทย์ใหญ่เรื่อง “การพึ่งพาเทคโนโลยีต่างชาติ” ทั้งในภาคอุตสาหกรรม การแพทย์ พลังงาน ไปจนถึงโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล คำถามสำคัญคือ ไทยจะยังเป็นเพียง “ผู้ซื้อเทคโนโลยี” ต่อไป หรือพร้อมพลิกบทบาทสู่การเป็น “ผู้สร้างนวัตกรรม” ที่มีอธิปไตยทางปัญญาเป็นของตนเอง
ภายใต้บริบทดังกล่าว สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.) ร่วมกับธนาคารโลก (World Bank) จึงเปิดตัวรายงาน “10 เทคโนโลยีระดับโลกและระดับประเทศที่มีอิทธิพลต่อการเปลี่ยนแปลงสำคัญในปี 2568” ควบคู่กับการประกาศผลดัชนีวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมไทย (Thailand SRI Index 2025) และการเดินหน้าโครงการ “การทบทวนประสิทธิผลเชิงนโยบายด้านวิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม ระยะที่ 2 (PER Phase 2)” เพื่อเร่งยกระดับประเทศไทยให้ก้าวสู่การเป็นศูนย์กลางนวัตกรรมในภูมิภาคอย่างเป็นรูปธรรม
SRI Index 2025 ฉายภาพจุดแข็ง–จุดอ่อน ไทยผลิตงานวิจัยเพิ่ม 2.48 เท่า แต่ดุลเทคโนโลยียังติดลบหนัก
ศาสตราจารย์สิริฤกษ์ ทรงศิวิไล ประธานกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (กสว.) เปิดเผยผลการตรวจวัด Thailand SRI Index 2025 ว่า “สุขภาพมวลรวมด้าน ววน. ของไทย” ในปี 2568 อยู่ที่ 7.77 คะแนน แม้จะชะลอลงเล็กน้อยจากแรงปัจจัยภายนอก แต่เมื่อมองเชิงโครงสร้างกลับพบสัญญาณบวกหลายด้าน
ตลอดช่วงราวสิบปีที่ผ่านมา ปริมาณผลงานวิจัยและตีพิมพ์ของนักวิจัยไทยเติบโตขึ้นถึง 2.48 เท่า สะท้อนว่าศักยภาพทางวิชาการและฐานองค์ความรู้ของประเทศกำลังขยายตัวอย่างมีนัยสำคัญ แต่อีกด้านหนึ่ง ดุลการชำระเงินทางเทคโนโลยีกลับเพิ่มขึ้นถึง 1.37 เท่า แสดงให้เห็นว่าไทยยังต้องจ่ายเงินจำนวนมากเพื่อนำเข้าเทคโนโลยีจากต่างประเทศ ทั้งด้านเครื่องจักร ซอฟต์แวร์ ลิขสิทธิ์ และองค์ความรู้เชิงลึก
“แม้คะแนนความร่วมมือระหว่างภาครัฐ เอกชน และสถาบันอุดมศึกษาจะขยับดีขึ้นเล็กน้อย แต่ช่องว่างยังใหญ่มาก เราไม่สามารถพอใจเพียงแค่มีงานวิจัยจำนวนมาก หากยังปล่อยให้เงินจำนวนมหาศาลไหลออกนอกประเทศในรูปค่าซื้อเทคโนโลยี” ศาสตราจารย์สิริฤกษ์กล่าว พร้อมเน้นย้ำว่า ไทยจำเป็นต้องเร่งปรับโครงสร้างการลงทุนวิจัยให้ “รวมศูนย์เชิงยุทธศาสตร์” มีเจ้าภาพชัดเจนในการกำหนดเป้าหมาย มอบทุน และบริหารบุคลากร เพื่อให้ทุกโครงการเคลื่อนในทิศทางเดียวกันและสร้างผลกระทบต่อเศรษฐกิจได้จริง
หนึ่งในเครื่องมือสำคัญคือการทำงานร่วมกับธนาคารโลกผ่านโครงการ PER Phase 2 ซึ่งจะช่วยประเมินประสิทธิผลของนโยบายด้านวิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรมทั่วทั้งระบบ ทั้งด้านงบประมาณ มาตรการภาษี กลไกสนับสนุนภาคเอกชน ตลอดจนการพัฒนาทักษะแรงงานให้รองรับเทคโนโลยีใหม่
10 เทคโนโลยีระดับโลกปี 2568 จาก AI ครองโลกถึงการรักษาล้ำยุค
ศาสตราจารย์สมปอง คล้ายหนองสรวง ผู้อำนวยการ สกสว. อธิบายว่า รายงานฉบับล่าสุดได้คัดเลือก “10 นวัตกรรมระดับโลก” ที่มีศักยภาพจะเปลี่ยนโฉมโครงสร้างเศรษฐกิจและสังคมในทศวรรษหน้า แบ่งออกเป็น 3 กลุ่มใหญ่ ได้แก่ “AI ครองโลก”, “พลังงานยุคใหม่” และ “การรักษาแบบล้ำยุค”
กลุ่มที่ 1 AI ครองโลก
เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ไม่ได้หยุดอยู่แค่แชตบอตหรือการสร้างภาพ แต่กำลังกลายเป็น “สมองส่วนกลาง” ของเมือง อุตสาหกรรม และระบบความปลอดภัย
- Collaborative Sensing – การรับรู้ร่วมอัจฉริยะ
ระบบที่เชื่อมโยงข้อมูลจากเซนเซอร์จำนวนมหาศาลรอบเมือง ตั้งแต่กล้องจราจร เครื่องวัดมลพิษ ไปจนถึงระบบตรวจวัดน้ำท่วม แล้วใช้ AI วิเคราะห์แบบเรียลไทม์ ช่วยคาดการณ์จุดเสี่ยงอุบัติเหตุ จัดการจราจร และรับมือภัยพิบัติได้อย่างแม่นยำ หลักคิดสำคัญคือ “ข้อมูลจากจุดเดียวไม่พอ” เมืองยุคใหม่ต้องเรียนรู้จากการรวมศูนย์ข้อมูลและประมวลผลร่วมกัน - Autonomous Biochemical Sensing – เซนเซอร์เฝ้าระวังอัตโนมัติ
ระบบเฝ้าระวังสารปนเปื้อนและมลพิษชีวภาพแบบอัตโนมัติ ซึ่งจะส่งสัญญาณเตือนทันทีเมื่อพบสารพิษในอากาศ น้ำ หรืออาหาร แนวคิดคือหากตรวจพบเมื่อเกิดภัยแล้ว ย่อม “สายเกินไป” การมีระบบเซนเซอร์ที่รายงานผลต่อเนื่องจึงเป็นกลไกสำคัญในการคุ้มครองความปลอดภัยของสังคม - Generative Watermarking – ลายน้ำดิจิทัลในยุค Deepfake
เมื่อภาพ เสียง และวิดีโอถูกปลอมได้อย่างแนบเนียน เทคโนโลยีลายน้ำดิจิทัลที่ฝังลงในเนื้อไฟล์โดยมองไม่เห็นด้วยตาเปล่า จึงถูกพัฒนาเป็น “เกราะคุ้มกันความจริง” ช่วยยืนยันแหล่งที่มา ป้องกันการฉ้อโกงและการบิดเบือนข้อมูลข่าวสาร ซึ่งมีผลโดยตรงต่อความเชื่อมั่นในระบอบประชาธิปไตยและระบบสื่อสารสาธารณะ
กลุ่มที่ 2 พลังงานยุคใหม่
การเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาดไม่อาจเกิดขึ้นได้ หากยังขาดเทคโนโลยีที่ตอบโจทย์ทั้งด้านความมั่นคงและต้นทุน
- Structural Battery Composites – แบตเตอรี่ไร้น้ำหนัก
นวัตกรรมวัสดุที่ทำให้ “ตัวถัง” ยานยนต์ไฟฟ้าหรือโดรนสามารถเก็บพลังงานไฟฟ้าได้เอง ลดการพึ่งพาแบตเตอรี่ก้อนใหญ่ซึ่งเป็นทั้งน้ำหนักและต้นทุนสำคัญ แนวคิด “Massless Energy” นี้ถูกมองว่าจะปฏิวัติทั้งอุตสาหกรรมยานยนต์และการบินในอนาคต - Osmotic Power Systems – พลังงานจากความต่างความเค็ม
เทคโนโลยีผลิตไฟฟ้าจากการไหลของน้ำระหว่างน้ำจืดและน้ำเค็มที่ปากแม่น้ำหรือพื้นที่ปากอ่าว สามารถผลิตพลังงานต่อเนื่อง 24 ชั่วโมง ทำหน้าที่เป็น “Base-load” พลังงานสะอาด เสริมระบบโซลาร์และลมที่ขึ้นอยู่กับสภาพอากาศ เหมาะอย่างยิ่งสำหรับประเทศที่มีชายฝั่งยาวอย่างไทย - Advanced Nuclear Technologies – นิวเคลียร์ขนาดเล็กปลอดภัย (SMRs)
เตาปฏิกรณ์นิวเคลียร์ขนาดเล็กที่ออกแบบให้ปลอดภัยยิ่งขึ้น ใช้พื้นที่น้อย และติดตั้งใกล้แหล่งใช้ไฟฟ้าได้ เป็นคำตอบของความต้องการไฟฟ้ามหาศาลจากศูนย์ข้อมูล (Data Center) และระบบ AI ทั่วโลก โดยยังคงตั้งอยู่บนเป้าหมายลดการปล่อยคาร์บอนอย่างมีนัยสำคัญ - Green Nitrogen Fixation – ปุ๋ยคาร์บอนต่ำเพื่อเกษตรสีเขียว
เทคโนโลยีการผลิตแอมโมเนียและปุ๋ยไนโตรเจนด้วยพลังงานสะอาดแทนการใช้ก๊าซธรรมชาติ ช่วยลดต้นทุนการนำเข้าปุ๋ยเคมีและลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก นับเป็นโอกาสสำคัญในการยกระดับเกษตรกรรมไทยสู่มาตรฐาน “เกษตรคาร์บอนต่ำ” และการบรรลุเป้าหมาย Net Zero ในภาคการเกษตร
กลุ่มที่ 3 การรักษาแบบล้ำยุค
วิทยาศาสตร์ชีวการแพทย์กำลังทำให้ “การรักษาเฉพาะบุคคล” กลายเป็นจริง และลดการพึ่งพายานำเข้าราคาแพง
- Engineered Living Therapeutics – จุลชีพออกแบบรักษาโรค
การใช้ชีววิทยาสังเคราะห์ (Synthetic Biology) เพื่อออกแบบจุลินทรีย์ให้เป็น “โรงงานผลิตยาในตัวมนุษย์” ช่วยรักษาโรคเรื้อรังบางประเภท ลดต้นทุนการผลิตยาและขยายโอกาสการเข้าถึงของผู้ป่วย - GLP-1s for Neurodegenerative – ยาชะลอสมองเสื่อมในสังคมสูงวัย
การค้นพบศักยภาพของยากลุ่ม GLP-1 ที่เดิมใช้รักษาเบาหวานและโรคอ้วน ว่าสามารถช่วยชะลอการดำเนินโรคอัลไซเมอร์และพาร์กินสันได้ กำลังกลายเป็นความหวังใหม่ของประเทศที่เข้าสู่สังคมสูงวัยเต็มตัวอย่างไทย เพราะช่วยลดภาระงบประมาณสาธารณสุขในระยะยาว - Nanozymes – นาโนเอนไซม์สังเคราะห์ราคาย่อมเยา
เทคโนโลยีเอนไซม์เทียมที่มีความเสถียรและต้นทุนต่ำกว่าเอนไซม์ธรรมชาติ สามารถประยุกต์ใช้ทั้งในด้านการวินิจฉัยโรค การรักษาเฉพาะทาง และการบำบัดน้ำเสีย ช่วยลดการใช้สารเคมีที่มีราคาแพงและเป็นมลพิษ
ศาสตราจารย์สมปองระบุว่า การติดตามเทคโนโลยีเหล่านี้ไม่ใช่เพียงเพื่อ “รู้เท่าทันโลก” แต่เป็นการชี้เป้าว่าไทยควรลงทุนตรงไหน จะจับจุดแข็งอะไรของประเทศมาผนวกกับเทคโนโลยีเหล่านี้ เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มและลดการพึ่งพาผู้อื่น
10 นวัตกรรมไทยปี 2568
ประกาศ “อธิปไตยทางปัญญา” บนเวทีโลก
ควบคู่กับเทคโนโลยีระดับโลก รายงานของ สกสว. ยังรวบรวม “10 นวัตกรรมไทย” ที่สร้างการเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญในปี 2568 แบ่งเป็น 4 มิติสำคัญ ได้แก่ การแพทย์และสาธารณสุข วิทยาศาสตร์ขั้นแนวหน้า เศรษฐกิจชีวภาพและอาหาร และยุทธศาสตร์ความมั่นคงทางสังคม
มิติที่ 1 การแพทย์และสาธารณสุข – จากประเทศผู้นำเข้ายา สู่ผู้พึ่งพาตัวเอง
- HERDARA ยาชีววัตถุสู้มะเร็งเต้านม
สถาบันวิจัยจุฬาภรณ์ (CRI) ประสบความสำเร็จในการพัฒนาและปิดห่วงโซ่การผลิตยาชีววัตถุชนิด trastuzumab biosimilar จนได้รับการขึ้นทะเบียนจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) เป็นครั้งแรก ความสำเร็จนี้ไม่เพียงลดต้นทุนการรักษาผู้ป่วยมะเร็งเต้านม แต่ยังเป็นการประกาศ “อธิปไตยด้านชีวเภสัชภัณฑ์” ของไทยในเวทีภูมิภาค - CAR-T Cell ฝีมือคนไทย
ความร่วมมือระหว่างคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ และจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้พัฒนาแพลตฟอร์มการรักษามะเร็งเม็ดเลือดด้วยเซลล์บำบัด CAR-T Cell ภายในประเทศ ลดการพึ่งพาการรักษาในต่างประเทศที่มีค่าใช้จ่ายสูง และมีเป้าหมายต่อยอดไปสู่การรักษามะเร็งชนิดก้อนในอนาคต - การถอดรหัส “อ้วนลงพุงสู่สมองเสื่อม” ของมหาวิทยาลัยเชียงใหม่
งานวิจัยที่ชี้ให้เห็นความเชื่อมโยงระหว่างพฤติกรรมการกิน จุลินทรีย์ในลำไส้ และการเสื่อมของสมอง จนได้รับรางวัลนักวิทยาศาสตร์ดีเด่นปี 2568 ขณะนี้กำลังต่อยอดสู่ชุดตรวจคัดกรองเชิงป้องกัน (Preventive Health Tech) เพื่อรับมือสังคมสูงวัยและลดภาระโรคสมองเสื่อมในระยะยาว
มิติที่ 2 วิทยาศาสตร์ขั้นแนวหน้าและโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล
- Thai-LLM ปัญญาประดิษฐ์หัวใจไทย
ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (NECTEC/สวทช.) ร่วมพัฒนาโมเดลภาษาขนาดใหญ่ (Large Language Model) ที่เข้าใจภาษาไทยและบริบทวัฒนธรรมไทยอย่างลึกซึ้ง แก้ปัญหา AI ต่างชาติที่มักตีความข้อมูลไทยผิดพลาด Thai-LLM จึงเป็นรากฐานสำคัญของ GovTech และ Enterprise AI ที่ต้องการความปลอดภัยของข้อมูลและความแม่นยำในภาษาท้องถิ่น - เพย์โหลดไทยบนสถานีอวกาศนานาชาติ (ISS)
มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ร่วมกับสำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (GISTDA) และองค์การ NASA ส่งชุดทดลองด้าน “ผลึกเหลว” ขึ้นสู่วงโคจรบนสถานีอวกาศนานาชาติสำเร็จ เป็นการยืนยันว่ามาตรฐานวิศวกรรมระบบของนักวิจัยไทยสามารถผ่านเกณฑ์ความปลอดภัยระดับโลก และเปิดประตูให้ไทยก้าวสู่การเป็นผู้พัฒนาอุปกรณ์อวกาศในอนาคต - การค้นพบพัลซาร์ระบบ “แมงมุมแม่ม่ายดำ” โดย NARIT
สถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ (NARIT) ใช้ศักยภาพด้านการจัดการข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data) ร่วมกับเครือข่ายกล้องโทรทรรศน์ทั่วโลก ค้นพบระบบดาวคู่พัลซาร์ชนิดพิเศษ ช่วยต่อยอดองค์ความรู้ด้านฟิสิกส์พลังงานสูง และสร้างบุคลากรด้าน Data Science ขั้นสูงให้ประเทศในเวลาเดียวกัน
มิติที่ 3 เศรษฐกิจชีวภาพและความมั่นคงทางอาหาร
- ข้าวเจ้า “ไบโอเทค 1” นักรบต้านเพลี้ย
ศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (BIOTEC/สวทช.) พัฒนาพันธุ์ข้าวที่มีความต้านทานเพลี้ยกระโดดสีน้ำตาลและให้ผลผลิตสูง ใช้ระยะเวลาเพาะปลูกสั้น ช่วยลดการใช้สารเคมีทางการเกษตรและเพิ่มรายได้ให้เกษตรกร สอดคล้องกับเป้าหมายเกษตรคาร์บอนต่ำและความมั่นคงทางอาหารของประเทศ - Future Food แพลตฟอร์มเร่งสปีดนวัตกรรมอาหาร
เมืองนวัตกรรมอาหาร (Food Innopolis) ภายใต้ สวทช. พัฒนากระบวนการแปลงผลงานวิจัยด้านอาหารอนาคตให้พร้อมสู่ตลาดในเวลาสั้นลงจาก 2–3 ปี เหลือเพียงราว 6 เดือน สนับสนุนการเกิดแบรนด์อาหารฟังก์ชันและโปรตีนทางเลือกจากวัตถุดิบไทยสู่ตลาดโลก
มิติที่ 4 ยุทธศาสตร์ความมั่นคงและรากฐานทางสังคม
- กรอบกฎหมายรองรับเทคโนโลยี SMR โดยสำนักงานปรมาณูเพื่อสันติ (OAP)
แม้ไทยยังไม่เดินหน้าสร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ใหม่ แต่ OAP ได้วางรากฐานด้านกฎหมายและธรรมาภิบาลเพื่อรองรับเตาปฏิกรณ์นิวเคลียร์ขนาดเล็ก (SMR) ที่มีมาตรฐานความปลอดภัยสูง เท่าทันเทคโนโลยีโลก ช่วยเพิ่มอำนาจต่อรองด้านพลังงานสะอาดและดึงดูดการลงทุนอุตสาหกรรมไฮเทคในอนาคต - “ปังปอน” มนุษย์ยุคน้ำแข็ง 29,000 ปี และเศรษฐกิจฐานมรดก
การค้นพบโครงกระดูกมนุษย์ยุคน้ำแข็งที่สมบูรณ์ที่สุดในประเทศไทย ณ ถ้ำดิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ โดยกรมศิลปากร นำไปสู่การใช้เทคโนโลยี 3D Scan และการวิเคราะห์ DNA โบราณ เชื่อมโยงประวัติศาสตร์ไทยกับภูมิภาค ภายใต้แนวคิด “Heritage Economy” ที่ใช้มรดกทางวัฒนธรรมสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน
ศาสตราจารย์สมปอง สรุปภาพรวมว่า “ปี 2568 เป็นก้าวสำคัญที่ประเทศไทยประกาศ ‘อธิปไตยทางปัญญา’ ผ่านกองทุนวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (ววน.) และหน่วยบริหารจัดการทุน (PMU) ต่างๆ เรากำลังเปลี่ยนงบประมาณวิจัยให้กลายเป็นคุณภาพชีวิตที่จับต้องได้ ทั้งด้านสุขภาพ เศรษฐกิจ และสิ่งแวดล้อม ภายใต้วิสัยทัศน์ ‘SRI for ALL’ ที่มุ่งให้นวัตกรรมกลายเป็นสิ่งที่ประชาชนทุกกลุ่มเข้าถึงได้จริง”
จากห้องทดลองสู่ชีวิตจริง โจทย์ต่อไป ปิดช่องว่างทักษะ–เงินทุน และบูรณาการนโยบาย
แม้ภาพรวมจะสะท้อนพลังศักยภาพใหม่ของประเทศไทย แต่รายงานของ สกสว. และธนาคารโลกยังชี้ให้เห็น “จุดอ่อนสำคัญ” สองด้าน คือ ช่องว่างทักษะบุคลากรกับเทคโนโลยีใหม่ และข้อจำกัดการเข้าถึงแหล่งเงินทุนของภาคเอกชน โดยเฉพาะผู้ประกอบการนวัตกรรมขนาดกลางและขนาดย่อม
โครงการ PER Phase 2 จึงถูกออกแบบมาเพื่อทบทวนทั้งกฎหมาย ระเบียบ และมาตรการสนับสนุน ตั้งแต่ขั้นการให้ทุนวิจัย การสร้างแรงจูงใจทางภาษีสำหรับเอกชนที่ลงทุน R&D ไปจนถึงการพัฒนากลไก “เงินร่วมลงทุนภาครัฐ–เอกชน” (Co-investment) ในสตาร์ตอัปเทคโนโลยีเชิงลึก
ในเชิงพื้นที่ รายงานยังเสนอให้พัฒนานิคมอุตสาหกรรมและเมืองนวัตกรรมที่เชื่อมโยงกับมหาวิทยาลัยและสถาบันวิจัยโดยตรง เพื่อดึงดูดทั้งนักลงทุนต่างชาติและผู้เชี่ยวชาญระดับโลก ขณะเดียวกันต้องให้ความสำคัญกับการยกระดับทักษะแรงงานในภูมิภาค ผ่านหลักสูตร Reskill–Upskill ด้านดิจิทัล AI พลังงาน และชีววิทยาสังเคราะห์
ก้าวสู่ปี 2569 จาก “ผู้ซื้อ” สู่ “ผู้สร้าง” นวัตกรรมที่กินได้ สัมผัสได้ และแข่งขันได้
เมื่อมองภาพรวมทั้งดัชนี SRI, รายงาน 10 เทคโนโลยีโลก และ 10 นวัตกรรมไทย จะเห็นว่าประเทศไทยไม่ได้ขาด “ความสามารถทางวิชาการ” หากแต่ความท้าทายคือการทำให้ความรู้ดังกล่าว “ไหลออกจากห้องปฏิบัติการ” สู่ภาคธุรกิจ ชุมชน และชีวิตประจำวันของประชาชนอย่างแท้จริง
หากไทยสามารถใช้ความร่วมมือกับธนาคารโลกผ่านโครงการ PER เพื่อปรับระบบงบประมาณและนโยบายให้คล่องตัวมากขึ้น ควบคู่กับการลงทุนอย่างต่อเนื่องในโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัล พลังงานสะอาด และเศรษฐกิจชีวภาพ เป้าหมายการก้าวข้ามกับดักรายได้ปานกลางเพื่อเป็นประเทศพัฒนาแล้วก็จะไม่ใช่เพียงวาทกรรม แต่เป็นอนาคตที่ “วัดได้” จากคุณภาพชีวิต สุขภาพ และรายได้ของประชาชน
“สิ่งที่ สกสว. พยายามทำไม่ใช่เพียงสร้างผลงานวิจัยให้มากขึ้น แต่คือการทำให้นวัตกรรมกลายเป็น ‘สิ่งที่กินได้ สัมผัสได้ และแข่งขันได้’ ในตลาดโลก” ศาสตราจารย์สมปองกล่าวทิ้งท้าย พร้อมย้ำว่า การเดินหน้าของระบบวิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรมไทยในวันนี้ จะเป็นตัวกำหนดว่าประเทศไทยจะเป็นเพียงผู้บริโภคเทคโนโลยีจากต่างชาติ หรือจะลุกขึ้นมาเป็น “ผู้สร้างสรรค์เทคโนโลยี” ที่ยืนอย่างสง่างามบนเวทีโลกในทศวรรษหน้า
เครดิตภาพและข้อมูลจาก :
- สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.) – รายงาน “10 เทคโนโลยีระดับโลกและระดับประเทศที่มีอิทธิพลต่อการเปลี่ยนแปลงสำคัญในปี 2568” และข้อมูลโครงการ PER ระยะที่ 2
- คณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (กสว.) – ผลการตรวจวัดดัชนี Thailand SRI Index 2025 และคำให้สัมภาษณ์ของศาสตราจารย์สิริฤกษ์ ทรงศิวิไล
- ธนาคารโลก (World Bank) – ข้อมูลความร่วมมือด้านการทบทวนประสิทธิผลเชิงนโยบายวิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรมของประเทศไทย
- สถาบันวิจัยจุฬาภรณ์, NECTEC/สวทช., BIOTEC/สวทช., NARIT, Food Innopolis, มหาวิทยาลัยและหน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้อง – ข้อมูลโครงการ HERDARA, Thai-LLM, ข้าวไบโอเทค 1, CAR-T Cell, โครงการทดลองบนสถานีอวกาศนานาชาติ และการค้นพบ “ปังปอน” มนุษย์ยุคน้ำแข็ง
- กรมศิลปากร และสำนักงานปรมาณูเพื่อสันติ – ข้อมูลการค้นพบโครงกระดูกมนุษย์ยุคน้ำแข็งและกรอบกฎหมายรองรับเทคโนโลยีเตาปฏิกรณ์นิวเคลียร์ขนาดเล็ก (SMR)









