Categories
ECONOMY WORLD PULSE

เวียดนามทุบสถิติส่งออกกาแฟทะลุ 7 พันล้านดอลลาร์ บทเรียนยุทธศาสตร์อาเซียน

เวียดนามทุบสถิติโลก “ส่งออกกาแฟทะลุ 7 พันล้านดอลลาร์” ท่ามกลางศึกภาษีสหรัฐฯ บทเรียนเชิงยุทธศาสตร์และแรงสั่นสะเทือนในอาเซียน

กรุงฮานอย/เวียดนาม, 7 ตุลาคม 2568 —ต้นไตรมาสสี่ บนถนนกาแฟย่านโบราณของกรุงฮานอย กลิ่นหอมเข้มจาก โรบัสตา ที่ถูกชงด้วย “ฟินฟิลเตอร์” ยังอยู่คู่วัฒนธรรมเวียดนามดังเดิม แต่สิ่งที่เปลี่ยนไปอย่างมีนัยสำคัญคือ “มูลค่าทางเศรษฐกิจ” ของเมล็ดเล็ก ๆ เหล่านี้—ที่เพิ่งพาเศรษฐกิจทั้งชาติสร้างสถิติ มูลค่าการส่งออกกาแฟทะลุหลัก 7 พันล้านดอลลาร์สหรัฐเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ ท่ามกลางพายุการค้าโลกและมาตรการภาษีจากสหรัฐฯ ที่ยังร้อนระอุ

รายงานจากหน่วยงานเศรษฐกิจเวียดนามสะท้อนภาพเดียวกัน ช่วง 9 เดือนแรก (ม.ค.–ก.ย. 2568) มูลค่าการส่งออกกาแฟพุ่งขึ้น 61% เมื่อเทียบปีก่อน แตะ 6.98 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ และเมื่อรวมระหว่าง ต.ค. 2567–ส.ค. 2568 ตัวเลขรายปี ทะลุ 7 พันล้านดอลลาร์ แล้ว เป็น “การทุบเพดาน” ที่สะท้อนทั้งอุปสงค์โลกที่ยังแกร่ง ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่ผันผวนในทางบวก และความสามารถในการผลักดันห่วงโซ่มูลค่า (value chain) ของประเทศผู้ส่งออกอันดับสองของโลก รองจากบราซิล

ขณะเดียวกัน ในสนามการค้ารายใหญ่ที่สุดอย่างสหรัฐอเมริกา เวียดนามยังทำ ดุลการค้าเกินดุลกับสหรัฐฯ ราว 9.9 หมื่นล้านดอลลาร์ ในช่วง 9 เดือน เพิ่มขึ้นถึง 28% แม้จะเจอ “ภาษีทรัมป์ 20%” กับสินค้าหลายรายการตั้งแต่สิงหาคมเป็นต้นมา ภาพรวมจึงไม่ได้มีเพียง กาแฟที่แพงขึ้น” แต่รวมถึงการ ยืนระยะ” ด้านเครื่องใช้ไฟฟ้า อิเล็กทรอนิกส์ เครื่องจักร และสินค้าที่อาศัยยุทธศาสตร์ China+1 เป็นแรงหนุนหลัง

กาแฟคือ “ทองคำดำ” ของปี

  • ทำสถิติใหม่ใน 9 เดือน มูลค่าส่งออกกาแฟเวียดนาม 6.98 พันล้านดอลลาร์ เพิ่ม 61% YoY แซงทั้งปีที่ผ่านมาแล้ว
  • รายปีทะลุ 7 พันล้านดอลลาร์ เมื่ออิงรอบ 12 เดือน ต.ค. 2567–ส.ค. 2568 สื่อนานาชาติรายงาน ทะลุ 7 พันล้านดอลลาร์ครั้งแรก
  • โรบัสตาคือพระเอก สายพันธุ์โรบัสตายังเป็นแกนหลัก คิดเป็นมูลค่าราว 4.9 พันล้านดอลลาร์ ในปีนี้ ขณะที่อราบิกายังมีสัดส่วนรอง
  • อานิสงส์ “ราคาโลก + ยุโรป”  ราคากาแฟโลกทำจุดสูงสุดช่วงต้นปี ก่อนปรับฐานและดีดกลับใน ส.ค.–ก.ย. ขณะที่อุปสงค์ยุโรปยังแข็งแรง โดยเฉพาะภาคอุตสาหกรรมกาแฟสำเร็จรูปและเบลนด์

ความหมายเชิงโครงสร้าง คือ เวียดนามไม่ได้ชนะเพียง “ปริมาณ” แต่ชนะที่ “มูลค่า” จาก ราคาตลาดโลกที่เป็นใจ + ความพร้อมของซัพพลายเชนปลายน้ำ ตั้งแต่การแปรรูปไปจนถึงการทำสัญญาซื้อขายล่วงหน้า (hedging) เพื่อบริหารความเสี่ยงราคา

ศึกภาษีสหรัฐฯ ทำไม “เกินดุล” ยังพุ่ง?

แม้สหรัฐฯ จะบังคับใช้มาตรการภาษีในอัตรา 20% กับสินค้าหลายหมวดจากเวียดนามตั้งแต่เดือนสิงหาคม เวียดนามยังรักษา “แรงส่ง” ได้ด้วย 4 ปัจจัยหลัก

  1. ค่าเงินดองอ่อนค่า ทำให้ราคาสินค้าเวียดนามถูกลงในสกุลดอลลาร์ เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน
  2. ภาษีตอบโต้ยังแข่งขันได้ เทียบกับผู้ผลิตในเอเชียบางประเทศที่เผชิญอัตราภาษี 19%–50%
  3. ย้ายฐาน China+1 ผู้ผลิตข้ามชาติเร่งกระจายความเสี่ยงจากจีน สร้างคำสั่งซื้อใหม่ในเวียดนาม
  4. โครงสร้างสินค้า ไปสหรัฐฯ ยังมีหมวดที่ฟอร์มดี เช่น คอมพิวเตอร์/อิเล็กทรอนิกส์ (~30.3 พันล้านดอลลาร์) และ เครื่องจักร (~17.4 พันล้านดอลลาร์)

อย่างไรก็ดี ไม่ใช่ทุกหมวดจะชนะ เสื้อผ้า โทรศัพท์มือถือ และรองเท้า หดตัวแรง ตามรายงานรายเดือน สะท้อนว่า “ภาษี + อุปสงค์เฉพาะหมวด” สั่นคลอนอุตสาหกรรมที่พึ่งแรงงานเข้มข้นมากกว่าอุตสาหกรรมเทคและเครื่องจักร

GDP โต 8.2% ในไตรมาส 3 แต่เป้าหมายทั้งปียัง “โหด”

  • GDP ไตรมาส 3/2568 = 8.2% YoY แข็งแกร่งอันดับสองตั้งแต่ปี 2554 แรงขับจาก อุตสาหกรรม–ก่อสร้าง–บริการ
  • 9 เดือนแรก โต 7.85% และ เกินดุลการค้ารวม 16.8 พันล้านดอลลาร์
  • โจทย์ไตรมาส 4 หากต้องการแตะเป้าหมายทั้งปี 8.5% จำเป็นต้องโต 10.2% ในไตรมาส 4 ซึ่งสูงกว่าฐานจริงของปีก่อน (ไตรมาส 4/2567 = 7.6%)

ภาพรวมเชิงนโยบาย เวียดนามยังคงยึดเส้นทาง “ประเทศกำลังพัฒนาฐานอุตสาหกรรมสมัยใหม่ รายได้ปานกลางระดับบนภายในปี 2573” โดย GDP ต่อหัว ปี 2567 อยู่ราว 4,700 ดอลลาร์ หัวรถจักรคือภาคอุตสาหกรรม–บริการ ขณะที่เกษตร–ป่าไม้–ประมงมีสัดส่วนต่ำกว่า 10% แต่ยังมี “สินค้าเรือธง” อย่างกาแฟที่ต่อท่อรายได้สกุลดอลลาร์ให้ประเทศ

กลไกกาแฟเวียดนาม ทำไมถึง “วิ่งแซง” ตลาดโลก

  1. ฐานการผลิตกระจาย—แต่รวมศูนย์เชิงระบบ
    ภูมิภาค Central Highlands (โดยเฉพาะดั๊กลั๊ก ลำดง เกียไล) ปลูกโรบัสตาเป็นหลัก มีระบบ สหกรณ์–ผู้ส่งออก–ผู้แปรรูป ที่เชื่อมต่อกันและเข้าถึงการเงิน/ความรู้มากขึ้น
  2. ยกระดับหลังสวน (post-harvest) และมาตรฐาน
    การคัดคุณภาพ การลดความชื้น การคั่ว–บด และมาตรฐานความปลอดภัยอาหารทำได้สม่ำเสมอมากขึ้น จึง ขายมูลค่า ไม่ใช่แค่ขาย “ตันละเท่าไร”
  3. บริหารราคาเชิงรุก
    ผู้เล่นรายใหญ่ใช้สัญญาล่วงหน้า (hedging) และกระจายตลาดทั้งยุโรป–เอเชีย–อเมริกา ช่วยคุมความเสี่ยง ราคาผันผวน และล็อกส่วนต่างกำไร
  4. เล่าเรื่องชาติ—วางแบรนด์กาแฟ
    จาก “กาแฟข้น–เข้ม–หวาน” เวียดนามขยับสู่ ความหลากหลายของเมนูและโพรไฟล์รสชาติ เปิดพื้นที่พรีเมียมควบคู่โรบัสตาแมส

สารสะท้อนถึงไทย โอกาสและแรงกดดัน “สองชั้น” ในตลาดกาแฟโลก

ไทย—โดยเฉพาะ ภาคเหนือ (เชียงใหม่–เชียงราย) และ ภาคใต้ (ชุมพร)—มีทรัพยากรภูมิอากาศเหมาะสมสำหรับ อราบิกา และโรบัสตาเชิงพาณิชย์ แต่จุดอ่อนคือ สเกลและมาตรฐานหลังสวน ที่ยังไม่สม่ำเสมอเท่าเวียดนาม หากไทยต้องการ “เข้าเส้นเลือด” ของตลาดยุโรป–ภูมิภาคที่เน้นมาตรฐาน จำเป็นต้อง:

  • ยกระดับ post-harvest ให้ได้มาตรฐานเดียว (ความชื้น–การคัด–การเก็บรักษา)
  • รวมกลุ่ม–สัญญาการตลาด กับผู้คั่ว–ผู้ซื้อรายใหญ่ เพื่อสร้างความแน่นอนด้านราคา
  • แบรนด์ภูมิภาค ผลักดัน GI/Single Origin (เช่น ดอยตุง ดอยช้าง แม่สลอง) ให้มีเรื่องเล่า–มาตรฐาน–รสชาติที่คาดเดาได้

ในศึกส่งออกไปสหรัฐฯ และอาเซียน

หากเวียดนามยัง “รักษาระยะ” เกินดุลกับสหรัฐฯ ได้แม้ภาษีขึ้น ขณะที่ฐานการผลิตอิเล็กทรอนิกส์–เครื่องจักร กระชับกับห่วงโซ่โลก มากขึ้น ไทยจำเป็นต้อง:

  • ลดต้นทุนเชิงโครงสร้าง (โลจิสติกส์–พลังงาน–กฎระเบียบ) ให้แข่งขันได้
  • เจาะช่องว่างที่เวียดนามอ่อนแรง จากภาษีในหมวดเสื้อผ้า/รองเท้า ด้วยคุณภาพ–ความเร็ว–ดีไซน์
  • ดึง FDI คุณภาพสูง ในหมวดที่ไทยมีระบบซัพพลายเชนเข้มแข็ง (ยานยนต์ใหม่–ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์เฉพาะทาง–อาหารแปรรูปพรีเมียม)

สงครามราคาที่ไม่ใช่แค่ “ราคา”  บริหารความเสี่ยงเหวี่ยงของโภคภัณฑ์

ราคากาแฟที่พุ่งและผันผวนคือ ดาบสองคม ด้านดีช่วยเพิ่มมูลค่าการส่งออก ด้านเสี่ยงคือ ความผันผวนรายได้เกษตรกร–ผู้ประกอบการ หากไม่มีเครื่องมือบริหารความเสี่ยง ไทยและผู้ผลิตรายย่อยในอาเซียนควรเร่ง:

  • เข้าถึงองค์ความรู้สัญญาล่วงหน้า–ประกันความเสี่ยง ผ่านสหกรณ์/ธนาคารของรัฐ
  • กระจายพืช–กระจายตลาด เพื่อไม่ “ผูกชะตา” กับพืชชนิดเดียว
  • ยกระดับข้อมูลตลาด (market intelligence) แบบใกล้เคียงเรียลไทม์ เพื่อปรับแผนการขาย–สต็อก

เวียดนามในเส้นทาง “ประเทศอุตสาหกรรมสมัยใหม่”

  • เป้าหมาย 2573 เป็นประเทศรายได้ปานกลางระดับบน ฐานอุตสาหกรรมสมัยใหม่
  • โครงสร้าง GDP บทบาทบริการ >50%, อุตสาหกรรม–ก่อสร้าง >40%, เกษตร <10%
  • เครื่องยนต์ กาแฟคือ soft power ทางเกษตรที่แปรเป็นดอลลาร์ ส่วนเครื่องจักร–อิเล็กทรอนิกส์คือฐานรายได้ใหม่

สำหรับไทย บทเรียนจากเวียดนามคือ ความสม่ำเสมอเชิงระบบ” ตั้งแต่หลังสวน–แปรรูป–โลจิสติกส์–การเงิน ไปจนถึง สัญญาตลาดและแบรนด์ เมื่อองค์ประกอบทั้งห้า “ล็อกเข้าที่” ผลลัพธ์ที่ได้คือ ตัวเลขส่งออกที่ยืนระยะ แม้เผชิญแรงกดดันภายนอก

จะ “ไล่ให้ทัน” หรือ “แซงในเลนถนัด” ของไทย

  1. กาแฟไทย = คุณค่าไม่ใช่ปริมาณ
    ใช้ “เรื่องเล่าภูมิประเทศ + มาตรฐานหลังสวน + นักคั่ว–บาริสต้ามืออาชีพ” จับตลาดพรีเมียม–ท่องเที่ยวกาแฟ (coffee tourism) โดยเฉพาะภาคเหนือ
  2. เครื่องจักร–อิเล็กทรอนิกส์ = โฟกัสช่องเฉพาะ
    ลงทุนใน นิคมอัจฉริยะ พลังงานสะอาด–โลจิสติกส์รวดเร็ว–ทักษะฝีมือขั้นสูง สร้างข้อได้เปรียบเชิงคุณภาพแทนสงครามราคาตรง ๆ
  3. การค้ายุคภาษี–ภูมิรัฐศาสตร์
    เร่ง ทำความตกลงย่อยกับรัฐ–เมือง–ผู้ซื้อรายใหญ่ สร้าง “ทางลัด” ให้ผู้ประกอบการไทยเข้าถึงซัพพลายเชน แม้เผชิญภาษี
  4. ข้อมูล–การเงิน–ความเสี่ยง
    ตั้ง ศูนย์ข้อมูลโภคภัณฑ์ระดับจังหวัด/ภูมิภาค เชื่อมตลาดโลก + เครื่องมือป้องกันความเสี่ยงสำหรับเกษตรกร–SMEs

การที่เวียดนาม ส่งออกกาแฟทะลุ 7 พันล้านดอลลาร์ พร้อมรักษาแรงส่งการค้ากับสหรัฐฯ ในเงื่อนไขภาษีใหม่ สะท้อน ความพร้อมของระบบ มากกว่าวาระแห่งปี กาแฟจึงไม่ใช่เพียงเครื่องดื่ม แต่คือ ยุทธศาสตร์ชาติ ที่เชื่อมเกษตร—อุตสาหกรรม—การค้า—การเงินเข้าไว้ด้วยกัน

สำหรับไทย สัญญาณนี้เป็นทั้ง แรงบันดาลใจและสัญญาณเตือน ว่า การยกระดับ หลังสวน–มาตรฐาน–แบรนด์–ตลาด–การเงิน ต้องเดินพร้อมกัน จึงจะเปลี่ยน “ของดีในพื้นที่” ให้เป็น “มูลค่าในโลก” ได้อย่างยั่งยืน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • Vietnam General Statistics Office (GSO)
  • Vietnam Customs (General Department of Vietnam Customs)
  • Nikkei Asia
  • Xinhua News Agency
  • Vietnam National Coffee & Cocoa Association (VICOFA)
  • International Coffee Organization (ICO)
  • U.S. Trade Policy/Notices
  • กระทรวงอุตสาหกรรม–กระทรวงพาณิชย์ไทย / กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
SPORT

สะเทือนอาเซียน! ฟีฟ่าลงดาบคดี “7 แข้งโอนสัญชาติ” เสี่ยงโมฆะเกมชนะเวียดนาม 4–0

สะเทือนอาเซียน! ฟีฟ่าลงดาบคดี “7 แข้งโอนสัญชาติ” เขย่าวงการลูกหนังมาเลเซีย—เปิดสมรภูมิกฎหมายสิทธิ์ทีมชาติ เสี่ยงลามถึง “โมฆะ–ปรับแพ้” เกมชนะเวียดนาม 4–0

กัวลาลัมเปอร์/มาเลเซีย, 26 กันยายน 2568 — เหตุการณ์ที่วันหนึ่งถูกจารึกเป็น “คืนแห่งความสุข” ของแฟนบอลเสือเหลือง กลับกำลังกลายเป็น “คดีตัวอย่าง” วัดกล้ามนุษย์กับกติกาโลก เมื่อรายงานว่า สหพันธ์ฟุตบอลนานาชาติ (ฟีฟ่า) ได้พิจารณาลงโทษ สมาคมฟุตบอลมาเลเซีย (FAM) และผู้เล่น “โอนสัญชาติ” 7 ราย ฐาน ปลอมแปลง/ใช้เอกสารที่ไม่ชอบด้วยระเบียบ เพื่อให้ได้สิทธิ์ลงสนามทีมชาติ นำไปสู่โทษปรับ–โทษแบนระดับบุคคล และความเสี่ยง “โยกคะแนน” ในเกม เอเชียนคัพ 2027 รอบคัดเลือก ที่มาเลเซียเปิดบ้านชนะเวียดนาม 4–0 เมื่อ 10 มิถุนายน 2025 — สกอร์ที่เคยปลุกความหวังทั้งประเทศ กำลังถูกเครื่องหมายคำถามขนาดใหญ่ปักทับอยู่

ตัวเลขตามรายงาน: FAM ถูกปรับ 350,000 ฟรังก์สวิส ขณะที่ผู้เล่นทั้ง 7 คน ถูก พักงานจากกิจกรรมฟุตบอล 12 เดือน และ ปรับคนละ 2,000 ฟรังก์สวิส โดยคดี “สิทธิ์เป็นตัวแทนทีมชาติ” (Player eligibility) ซึ่งกระทบผลการแข่งขัน ถูกส่งต่อให้ FIFA Football Tribunal พิจารณาในประเด็น “โมฆะ/ปรับแพ้” เป็นการเฉพาะ

แม้ในชั้นข่าว FAM เคยยืนยันต่อสาธารณะว่า ผู้เล่นทั้งหมด “ลงทะเบียนถูกต้อง” และหลังเกม 4–0 ก็ไม่ต่างจากชัยชนะทางความเชื่อมั่น แต่การไต่สวนวินัยของฟีฟ่าตั้งคำถามต่อ ที่มาของเอกสาร/การตีความสิทธิ์ อย่างเป็นระบบ และหากคณะตุลาการฟุตบอลตัดสินว่า “สิทธิ์ไม่ชอบด้วยระเบียบ” ผลลัพธ์อาจย้อนแย้งความทรงจำทั้งแมตช์—จาก “ชนะ 4–0” สู่ “แพ้เทคนิค 0–3” ตามสูตรกติกาที่ใช้กันทั่วโลกในคดีลักษณะนี้

หมายเหตุด้านบรรณาธิการ: ขณะเผยแพร่ข่าวนี้ ฝ่ายข่าวตรวจพบเพียงหลักฐานยืนยัน “ผลการแข่งขัน–วันแข่ง” จากสื่อต่างประเทศสายหลัก แต่ยัง ไม่พบ เอกสารประกาศโทษ ฉบับเป็นทางการ บนช่องทางสาธารณะของฟีฟ่า/เอเอฟซี จึงรายงานโดยแยก “ข้อเท็จจริงที่ตรวจสอบได้” ออกจาก “รายละเอียดบทลงโทษตามรายงาน” และระบุชัดว่า “คำพิพากษา/คำสั่งสุดท้าย” ต้องอ้างอิงเอกสารทางการของฟีฟ่าเป็นที่ยุติ

จาก 90 นาทีอันสมบูรณ์แบบ สู่สนามกฎหมายที่เข้มกว่าสนามหญ้า

คืนวันที่ 10 มิ.ย. 2025 คือค่ำคืนที่ “เสือเหลือง” พุ่งชนแบบไร้รอยขีดข่วน ชนะเวียดนามอย่างขาดลอย 4–0 ในรอบคัดเลือกเอเชียนคัพ 2027 ท่ามกลางเสียงเชียร์ที่เชื่อว่าทีมชาติกลับมายืนบนทางแห่งความหวังอีกครั้ง แต่หลังเสียงนกหวีดสุดท้าย ข่าวลือเริ่มลอยเหนือมาเลเซียนซูเปอร์ลีก—คู่แข่งในภูมิภาคยื่นคำร้องต่อฟีฟ่า ว่าผู้เล่นโอนสัญชาติ 7 ราย ขาดคุณสมบัติตามกติกาสิทธิ์ทีมชาติ

รายชื่อที่ถูกระบุในเอกสารคดี (ตามรายงานที่เผยแพร่) ได้แก่

  1. Gabriel Felipe Arrocha 2) Facundo Tomás Garcés 3) Rodrigo Julián Holgado 4) Imanol Javier Machuca 5) João Vitor Brandão Figueiredo 6) Jon Irazabal Iraurgui 7) Héctor Alejandro Hevel Serrano

FAM ออกท่าทีเชิงปฏิเสธตั้งแต่แรก โดยยืนกรานว่า “ขึ้นทะเบียนถูกต้องทั้งหมด” และชี้ว่ามีการประสานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องครบถ้วน ขณะเดียวกัน ฝ่ายที่ร้องเรียน ชี้เป้าตรงไปที่ กระบวนการโอนสัญชาติ/เส้นทางสิทธิ์ตามเชื้อสาย–พำนัก–ประวัติลงเล่น” ที่อาจไม่ผ่านเงื่อนไขของกฎ ข้อ 5–8 ว่าด้วยสิทธิ์การเล่นทีมชาติใน Regulations Governing the Application of the FIFA Statutes ซึ่งเป็น “รัฐธรรมนูญลูกหนังโลก” ในเรื่องนี้

เมื่อลูกบอลถูกส่งต่อให้ “กฎหมายกีฬา” ฟ้องร้อง–ตอบโต้ จึงต้องอาศัย พยานเอกสาร–ไทม์ไลน์ชีวิต–ประวัติการลงเล่นระดับทีมชาติ/เยาวชน ของผู้เล่นแต่ละคน ประกอบกับ กฎหมายสัญชาติ ภายในของมาเลเซีย และหลักฐานการพำนักถาวร—แทบทุกช่องโหว่ถูกขยายใต้แว่นขยายระดับฟีฟ่า

กรอบกติกาสิทธิ์ทีมชาติไม่ใช่เรื่องความสามารถล้วน ๆ แต่คือ “ชุดเงื่อนไขทางกฎหมาย”

ฟีฟ่า ใส่ใจเรื่องนี้มากเป็นพิเศษ เพราะมันเกี่ยวกับ ความเสมอภาคในการแข่งขัน และ อัตลักษณ์ของทีมชาติ ตัวบทสำคัญอยู่ที่ข้อ 5–8 ของข้อบังคับฟีฟ่า—อธิบายว่า นักเตะจะเล่นให้ชาติใดได้บ้างภายใต้เงื่อนไข เช่น

  • ความเป็น พลเมือง ของประเทศนั้นตามกฎหมาย
  • หลักฐาน สายสัมพันธ์โดยกำเนิด/เชื้อสาย (บิดา–มารดา–ปู่ย่า/ตายาย)
  • เงื่อนไข พำนักระยะยาว นับปีอย่างต่อเนื่อง
  • ข้อจำกัดเรื่องการ เปลี่ยนสังกัดทีมชาติ (switch) หลังลงเล่นอย่างเป็นทางการให้ชาติหนึ่งไปแล้ว

หากฝ่าฝืน—หรือใช้ เอกสาร/ถ้อยคำที่ทำให้เข้าใจผิด เพื่อให้ได้สิทธิ์—คดีจะเข้า ระเบียบวินัยฟีฟ่า (FIFA Disciplinary Code) ที่ให้บทลงโทษตั้งแต่ ปรับ–แบน–โมฆะผล–ปรับแพ้ ไปจนถึง ลงโทษสมาคม หากพบว่า “มีส่วนรู้เห็น/บกพร่องร้ายแรง” ต่อการกำกับดูแลเอกสารและการขึ้นทะเบียนนักเตะในทีมชาติ (นี่คือกรอบสำคัญที่อธิบายว่า ทำไมคดีประเภทนี้จึง “แรง” เสมอ)

บทลงโทษตามรายงาน ตัวเลขที่สะเทือน และ “เส้นตาย 10 วัน” ของ FAM

ตามรายงานที่ถูกอ้างถึงในครั้งนี้ คณะกรรมการวินัยฟีฟ่า มีคำสั่ง ปรับ FAM 350,000 ฟรังก์สวิส ขณะที่ผู้เล่น 7 รายถูก พักงานกิจกรรมฟุตบอล 12 เดือน และ ปรับคนละ 2,000 ฟรังก์สวิส โดยเปิดโอกาสให้ อุทธรณ์ภายใน 10 วัน หลังรับทราบคำตัดสิน

ส่วน ข้อพิพาทผลการแข่งขัน ถูกส่งต่อให้ ศาลฟุตบอลฟีฟ่า ดำเนินการแยกต่างหาก—ซึ่งตามธรรมเนียมคดีสิทธิ์ไม่ชอบ มักลงเอยด้วยมาตรการ ปรับแพ้ 0–3” หากยืนยันการผิดกติกาอย่างสิ้นสงสัย (แต่จะใช้กับทุกแมตช์ที่นักเตะไม่มีสิทธิ์ลงเล่นหรือเฉพาะนัดที่มีการร้อง—ขึ้นกับ “คำขอ” และ “ข้อเท็จจริงเฉพาะคดี”)

ย้ำอีกครั้ง: รายละเอียดเชิงตัวเลข–คำพิพากษาฉบับเต็ม ต้องยึด ประกาศอย่างเป็นทางการของฟีฟ่า เป็นที่สุด ซึ่งฝ่ายข่าวยังไม่พบเอกสารดังกล่าวบนช่องทางสาธารณะ ณ เวลายกร่างข่าวนี้ จึงรายงานโดยอาศัยกรอบกติกาทางการของฟีฟ่าในการอธิบายผลลัพธ์ “ที่เป็นไปได้” ควบคู่กับข้อมูลที่ผู้เกี่ยวข้องเผยแพร่

ผลกระทบ 4 ชั้น คะแนน–ภาพลักษณ์–ขุมกำลัง–ภูมิรัฐศาสตร์ลูกหนังอาเซียน

  1. คะแนนและเส้นทางเอเชียนคัพ — ถ้าศาลฟุตบอลมีมติ “ปรับแพ้” คะแนนในกลุ่มจะเปลี่ยนทิศทันที แผนการผ่านเข้ารอบที่วางไว้ต้องทบทวนใหม่ และอาจ “โดมิโน่” ไปยังแมตช์อื่นที่ผู้เล่นเหล่านี้ลงสนาม
  2. ภาพลักษณ์และธรรมาภิบาล FAM — วิกฤตนี้ท้าทาย “ระบบกำกับดูแลเอกสาร” ของทีมชาติ เริ่มตั้งแต่ กระบวนการคัดกรองสิทธิ์ ไปจนถึง ความโปร่งใส ในการสื่อสารกับสาธารณะ ภายใต้สายตาสมาชิกฟีฟ่าทั่วโลก
  3. ขุมกำลังทีมชาติ — การ แบน 12 เดือน (ตามรายงาน) เท่ากับตัด “ผังผู้เล่น” ในช่วงเปลี่ยนผ่านโค้ช/แผนงานระยะกลางทันที เงื่อนไขนี้อาจบีบให้ทีมชาติเร่ง ปั้นแข้งท้องถิ่น–ดาวรุ่ง เติมเต็มช่องว่าง
  4. ภูมิรัฐศาสตร์ลูกหนังอาเซียน — ชาติในอาเซียนหลายประเทศหันมาใช้ “โมเดลโอนสัญชาติ/เชื้อสาย” เพื่อยกระดับทีมชาติ กรณีนี้จะกลายเป็น บทเรียน เรื่อง มาตรฐานพิสูจน์สิทธิ์ (due diligence) และ ปิดช่องโหว่เอกสาร หากตั้ง “บรรทัดฐานใหม่” แรงเกินคาด อาจทำให้สมาคมต่าง ๆ ต้อง ปรับปรุงระบบ KYC ฝ่ายทีมชาติ เข้มขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม

ความหวัง–ความกังวล และคำถาม 3 ข้อที่ FAM ต้องตอบ

แม้ FAM จะมีสิทธิ์อุทธรณ์ แต่โจทย์ที่ต้องตอบต่อสาธารณะมีอย่างน้อย 3 ข้อ

  • หนึ่ง: ระบบพิสูจน์สิทธิ์ทำงานอย่างไร ตั้งแต่ด่านลีก–ด่านสมาคม–ด่านทีมชาติ ใครเป็นผู้รับรองขั้นสุดท้าย
  • สอง: ความสอดคล้องของ “กฎหมายสัญชาติภายใน” กับ “เกณฑ์สิทธิ์ทีมชาติของฟีฟ่า” มีช่องว่างตรงไหน
  • สาม: แผนเยียวยาผลกระทบ หากคำตัดสินรอบสุดท้ายทำให้ผลการแข่งขันต้องถูกแก้ไข—FAM จะจัดการผลทางกีฬา/สังคม/เศรษฐกิจแฟนฟุตบอลอย่างไร

บนมิติของแฟนบอล คำถามที่ดังก้องคือ “ชัยชนะ 4–0” ควรถูกจำได้อย่างไร หากท้ายที่สุดมันถูกเครื่องหมายดอกจัน (*) ต่อท้าย—นี่ไม่ใช่เพียงเรื่องของสกอร์บอร์ด แต่คือ ความศรัทธาในความยุติธรรมของเกม ที่ทุกคนร่วมกันรักษา

ทางออกเชิงระบบ จากวิกฤตสู่มาตรฐานใหม่ของอาเซียน

หากมองในเชิงโครงสร้าง วิกฤตคราวนี้อาจเป็น โอกาสในการยกระดับมาตรฐานภูมิภาค ข้อเสนอเชิงระบบที่เป็นไปได้ เช่น

  • ตั้ง “ศูนย์พิสูจน์สิทธิ์อาเซียน” (ASEAN Eligibility Hub) ร่วมกันระหว่างสมาคมสมาชิก เพื่อตรวจสอบข้ามชาติ–แลกข้อมูลทะเบียนราษฎร/ถาวรพำนัก และประวัติทีมชาติ/เยาวชน
  • บังคับใช้ “สองชั้น”: ชั้นสมาคม (FA) ตรวจร่างเอกสารกับฝ่ายกฎหมายโดยตรง และชั้นลีก/ทีมชาติ (Sporting) ตรวจซ้ำก่อนส่งรายชื่อ
  • สื่อสารเชิงรุก: เผยแพร่หลักเกณฑ์–ไทม์ไลน์–เช็กลิสต์สิทธิ์สาธารณะ ลดความสับสนประชาชน และป้องกัน “ความเชื่อผิด ๆ” ในโลกโซเชียล

ท้ายที่สุด ฟุตบอลเป็นเกมของความหวัง แต่ความหวังนั้นต้อง ผูกกับกติกา และ ความโปร่งใส อย่างแน่นหนา—ไม่เช่นนั้น “ชัยชนะวันนี้” อาจกลายเป็น “คำถามคาใจ” ในวันพรุ่งนี้

สรุปย่อสำหรับผู้บริหาร/ผู้กำหนดนโยบาย

  • คดีนี้เป็น stress test ระบบพิสูจน์สิทธิ์ทีมชาติในอาเซียน
  • หากคำตัดสินสุดท้ายยืนยันความผิด—คาด ปรับ–แบน–ปรับแพ้ ตามกรอบฟีฟ่า
  • FAM ต้องเร่ง: (1) แผนอุทธรณ์ (2) ตรวจสอบภายในอิสระ (3) แผนเยียวยา/สื่อสาร
  • สมาคมในภูมิภาคควรนำไป ยกระดับกระบวนการ KYC ฝ่ายทีมชาติ เพื่อคุ้มกันวิกฤตรูปแบบเดียวกัน

เชิงบรรณาธิการและความโปร่งใสของข้อมูล

เพื่อไม่ให้สาธารณะสับสน ฝ่ายข่าวยืนยันว่า ผลการแข่งขัน มาเลเซีย 4–0 เวียดนาม วันที่ 10 มิ.ย. 2025 มีหลักฐานยืนยันจากสื่อกระแสหลักด้านกีฬา ขณะที่ รายละเอียดคำตัดสินวินัยเฉพาะคดี ในเชิงเอกสารทางการของฟีฟ่าที่เปิดเผยต่อสาธารณะ ยังอยู่ระหว่างการสืบค้น/รอยืนยัน ในชั่วโมงข่าวนี้ เราจึงรายงาน กรอบบทลงโทษที่เป็นไปได้ พร้อมระบุว่า คำวินิจฉัยสุดท้าย ต้องอ้าง แถลง/คำพิพากษา ของฟีฟ่าเท่านั้น หากฟีฟ่าเผยแพร่เอกสารภายหลัง ฝ่ายข่าวพร้อมอัปเดตความคืบหน้าโดยอิงเอกสารทางการทันที

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • บันทึกการแข่งขันและบริบทนัด มาเลเซีย–เวียดนาม (10 มิ.ย. 2025): ESPN match/event record (ยืนยันวัน–สกอร์–บริบทแข่งขัน).
  • กรอบกติกาฟีฟ่า: สิทธิ์การเล่นทีมชาติ (Eligibility to play for representative teams) — ข้อ 5–8 ในข้อบังคับฟีฟ่า (Regulations Governing the Application of the FIFA Statutes) อธิบายเกณฑ์สัญชาติ–เชื้อสาย–พำนัก–การเปลี่ยนทีมชาติ. (แหล่งสรุปอ้างอิงความเข้าใจสาธารณะ)
  • FIFA Disciplinary Code (แนวทางบทลงโทษ) — ครอบคลุม “forgery/falsification” และมาตรการทางวินัยที่อาจใช้กับสมาคม/นักเตะ (ปรับ–แบน–ปรับแพ้–โมฆะผล) ใช้เป็นกรอบอธิบายเพดานบทลงโทษที่เป็นไปได้.
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
WORLD PULSE

เวียดนามพุ่งทะลุเป้า! เครื่องยนต์ไฮเทคขับเคลื่อน GDP แซงไทยผู้นำภูมิภาค

เศรษฐกิจเวียดนามผงาด เครื่องยนต์ไฮเทคขับเคลื่อนทะลุเป้า ส่งออกโตกระฉูด ‘แซงไทย’ พร้อมก้าวขึ้นแท่นผู้นำภูมิภาค”

ฮานอย เวียดนาม, 7 กรกฎาคม 2568 –Reporter Journey รายงานว่าการผงาดขึ้นของเศรษฐกิจเวียดนามในปี 2025 กลายเป็นประเด็นจับตาของทั้งภูมิภาคอาเซียนและเศรษฐกิจโลก หลังสำนักงานสถิติแห่งชาติเวียดนาม (NSO) เผยตัวเลขไตรมาส 2 ปี 2025 ว่า GDP เวียดนามขยายตัวสูงถึง 7.96% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน (YoY) ขณะที่ GDP ไตรมาสแรกอยู่ที่ 6.93% ถือเป็นอัตราเติบโตที่สูงสุดในกลุ่มประเทศอาเซียน สะท้อนถึงพลังการขับเคลื่อนของภาคอุตสาหกรรมและส่งออกซึ่งเป็น “เครื่องยนต์หลัก” ของเวียดนาม

ขับเคลื่อนด้วยการส่งออก เบื้องหลังสถิติที่น่าทึ่ง

รายงานล่าสุดระบุว่า มูลค่าการส่งออกของเวียดนามในช่วงไตรมาส 2 ปี 2025 พุ่งขึ้น 18.0% อยู่ที่ 117,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ขณะที่การนำเข้าขยายตัว 18.8% อยู่ที่ 112,000 ล้านดอลลาร์ ทำให้เวียดนามยังคงรักษาสถานะ “เกินดุลการค้า” ได้ถึง 4,410 ล้านดอลลาร์ สร้างความเชื่อมั่นในศักยภาพการแข่งขันของสินค้าเวียดนามในตลาดโลกอย่างต่อเนื่อง

ที่สำคัญ ภาคการผลิต ขยายตัวถึง 10.3% ในไตรมาสเดียวกัน สวนกระแสความท้าทายทางเศรษฐกิจโลกในยุคหลังโควิด-19 และวิกฤตภูมิรัฐศาสตร์

พระเอกของเกม อุตสาหกรรมไฮเทค-เซมิคอนดักเตอร์และบทบาทต่างชาติ

จุดเปลี่ยนสำคัญของเวียดนามในรอบ 10 ปีที่ผ่านมา คือการยกระดับภาคการผลิตให้เข้าสู่อุตสาหกรรมไฮเทคและเซมิคอนดักเตอร์ บริษัทข้ามชาติรายใหญ่ เช่น Samsung ได้ตั้งโรงงานขนาดใหญ่ในเวียดนามจนปัจจุบันมือถือ Samsung กว่า 60% ที่จำหน่ายทั่วโลก ผลิตจากเวียดนาม ขณะที่ Apple ก็ขยับฐานการผลิต iPhone และ iPad จากจีนมายังเวียดนามอย่างต่อเนื่อง

บริษัทยักษ์ใหญ่ด้านชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์และเซมิคอนดักเตอร์ เช่น Foxconn, Nvidia, Intel ต่างเข้ามาตั้งโรงงานเพื่อผลิตไมโครชิปและชิ้นส่วนส่งออกไปตลาดโลก ส่งผลให้มูลค่าการส่งออกปี 2024 ของเวียดนามพุ่งแตะ 403,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เติบโตสูงถึง 13.8% แซงหน้าประเทศไทยซึ่งมีมูลค่าการส่งออกในปีเดียวกันที่ 305,529 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ขยายตัวเพียง 5.4% ชี้ให้เห็นถึงโครงสร้างเศรษฐกิจที่เอื้อต่ออุตสาหกรรมมูลค่าสูงของเวียดนาม

จุดเปลี่ยนสำคัญ สหรัฐฯ ลดภาษีนำเข้า หนุนการค้าเวียดนามสู่โลก

การเติบโตอย่างก้าวกระโดดของเวียดนามไม่ได้เกิดขึ้นจากการบริหารจัดการภายในประเทศเพียงอย่างเดียว แต่ยังได้รับแรงหนุนจากปัจจัยภายนอกที่สำคัญ เช่น ข้อตกลงกับสหรัฐอเมริกาในการ ลดภาษีนำเข้าสินค้าเวียดนามจาก 46% เหลือเพียง 20% ขณะที่สินค้าจากประเทศอื่นยังเสียภาษีถึง 40% นอกจากนี้ สหรัฐฯ ยังอนุญาตให้ส่งสินค้าเข้าสู่ตลาดเวียดนามโดยไม่เสียภาษีอีกด้วย

นักวิเคราะห์เศรษฐกิจประเมินว่าข้อตกลงนี้เปรียบเสมือน “ใบเบิกทาง” ให้ภาคธุรกิจเวียดนามขยายตลาดไปยังสหรัฐฯ ได้มากขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มสินค้าอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์และไฮเทค ซึ่งเป็นตลาดส่งออกหลักของเวียดนามอยู่แล้ว สะท้อนจากสถิติปี 2024 ที่สหรัฐฯ ขาดดุลการค้ากับเวียดนามถึง 123,000 ล้านดอลลาร์ สูงสุดในประวัติการณ์

รายได้ต่อหัวพุ่งแรง เวียดนามแคบช่องว่างกับไทย-อินโดนีเซีย

ผลพวงจากการพัฒนาโครงสร้างเศรษฐกิจเชิงรุก ทำให้ รายได้ต่อหัว (GNI per capita) ของชาวเวียดนามในปี 2025 ขยับขึ้นเป็น 4,806 ดอลลาร์/ปี (จาก 4,540 ดอลลาร์ในปี 2024) ใกล้เคียงกับอินโดนีเซียซึ่งอยู่ที่ 5,027 ดอลลาร์/ปี และเป็นอัตราการเติบโตของรายได้ประชาชาติที่เร็วที่สุดในอาเซียน

เทียบกับไทย แม้ว่ารายได้ต่อหัวของไทยในปี 2025 จะคาดว่าอยู่ที่ 7,766.7 ดอลลาร์/ปี แต่แนวโน้มการแคบช่องว่างชัดเจน เมื่อรายได้ต่อหัวเวียดนามคิดเป็น 62% ของไทย และยังมีแนวโน้มเติบโตเร็วกว่าหลายประเทศในภูมิภาคนี้

การวิเคราะห์โอกาสและความท้าทายข้างหน้า

ปัจจัยขับเคลื่อนสำคัญ

  • นโยบายดึงดูด FDI เชิงรุก: เวียดนามตั้งเป้าเป็น “ศูนย์กลางการผลิตโลกใหม่” ด้วยแพ็กเกจจูงใจด้านภาษี สิทธิประโยชน์ทางธุรกิจ และการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน
  • แรงงานคุณภาพ-ค่าแรงแข่งขัน: เวียดนามมีแรงงานหนุ่มสาวจำนวนมาก ต้นทุนค่าแรงต่ำแต่ศักยภาพสูง ดึงดูดบริษัทเทคโนโลยีและอุตสาหกรรมต่อเนื่อง
  • ความคล่องตัวของรัฐบาล: รัฐบาลเวียดนามบริหารจัดการเชิงรุก มีความยืดหยุ่นสูงในการรับมือวิกฤต

ความท้าทายที่ต้องระวัง

  • ความเหลื่อมล้ำและค่าแรง: แม้ภาพรวมเศรษฐกิจเติบโตแต่ยังมีช่องว่างระหว่างเมืองกับชนบท และความเหลื่อมล้ำด้านรายได้
  • แรงกดดันจากภูมิรัฐศาสตร์: การแข่งขันด้านเทคโนโลยีระหว่างจีน-สหรัฐฯ อาจส่งผลกระทบต่อห่วงโซ่อุปทานของเวียดนามในอนาคต
  • สิ่งแวดล้อมและสังคม: อุตสาหกรรมไฮเทคสร้างแรงกดดันต่อทรัพยากรธรรมชาติและระบบนิเวศ
  • ทักษะแรงงานในอนาคต: เวียดนามจำเป็นต้องลงทุนในการพัฒนาแรงงานทักษะสูงและการศึกษา เพื่อรองรับอุตสาหกรรมมูลค่าสูง

เวียดนามกำลังกลายเป็น “ดาวรุ่ง” แห่งเศรษฐกิจเอเชีย

กรณีศึกษาของเวียดนามในไตรมาส 2 ปี 2025 สะท้อน “ยุทธศาสตร์เชิงรุก” ของรัฐบาลในการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจให้รองรับโลกใหม่ได้อย่างคล่องตัว ไม่เพียงแต่ยึดครองตลาดอิเล็กทรอนิกส์และไฮเทคระดับโลก แต่ยังขยับรายได้ประชาชาติต่อหัวแซงหน้าประเทศกำลังพัฒนาในภูมิภาค เป็นบทเรียนสำคัญว่าประเทศขนาดกลางก็สามารถ “ผงาดขึ้น” ได้ถ้าปรับตัวทันต่อเศรษฐกิจโลกที่เปลี่ยนเร็ว

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานสถิติแห่งชาติเวียดนาม (NSO)
  • ธนาคารโลก (World Bank)
  • ข้อมูลประกอบจากสำนักข่าวระดับนานาชาติ เช่น Nikkei Asia, Reuters, VnExpress, BBC Vietnamese
  • วิเคราะห์โดยทีมข่าวเศรษฐกิจ สำนักข่าวนครเชียงรายนิวส์
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI ECONOMY

เวียดนามแซงไทย! ชิงเจ้าการบิน เจ้าการเกษตร ไทยจะตามทันไหม?

การแข่งขันทางเศรษฐกิจ ไทยเผชิญความท้าทายจากเวียดนามในอุตสาหกรรมการบินและการเกษตร

เวียดนาม, 12 พฤษภาคม 2568 – การเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศไทยในช่วงปีที่ผ่านมาสะท้อนถึงความท้าทายที่กำลังเผชิญ โดยเฉพาะเมื่อเปรียบเทียบกับคู่แข่งในภูมิภาคอย่างเวียดนาม ซึ่งกำลังพัฒนาอย่างรวดเร็วในทุกมิติของเศรษฐกิจ ด้วยมูลค่าผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) ที่ขยายตัวเพียง 1.9% ในปี 2566 ซึ่งต่ำที่สุดในกลุ่มประเทศสมาชิกประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) ประเทศไทยกำลังเผชิญกับแรงกดดันจากการพัฒนาที่ชะลอตัว ขณะที่เวียดนามก้าวขึ้นเป็นผู้นำในหลายอุตสาหกรรม โดยเฉพาะการบิน การท่องเที่ยว และการเกษตร

เศรษฐกิจไทยในมุมมองภูมิภาค

ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา ประเทศไทยเคยเป็นหนึ่งในผู้นำทางเศรษฐกิจของอาเซียน ด้วยโครงสร้างพื้นฐานที่แข็งแกร่งและอุตสาหกรรมที่หลากหลาย อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนแปลงนโยบายที่ไม่ต่อเนื่องและการขาดวิสัยทัศน์ระยะยาวทำให้การพัฒนาในหลายภาคส่วนเริ่มชะลอตัว ข้อมูลจากธนาคารโลกและกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ระบุว่า การเติบโตของจีดีพีไทยในปี 2566 ที่ 1.9% นั้นต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของอาเซียนที่อยู่ราว 4.2% สะท้อนถึงความท้าทายในการรักษาความสามารถในการแข่งขัน

ในทางตรงกันข้าม เวียดนามแสดงให้เห็นถึงศักยภาพในการพัฒนาเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง ด้วยนโยบายของรัฐบาลที่ชัดเจนและมุ่งเน้นการลงทุนในอุตสาหกรรมหลัก เช่น การผลิต การท่องเที่ยว และการเกษตร การสนับสนุนจากรัฐบาลเวียดนามที่มีความต่อเนื่องช่วยให้ภาคเอกชนสามารถขยายตัวได้อย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมการบิน ซึ่งมีสายการบินเวียตเจ็ทเป็นตัวอย่างที่โดดเด่น

การบินและการท่องเที่ยว – เวียตเจ็ทขับเคลื่อนเศรษฐกิจเวียดนาม

นาวาอากาศตรีสมชนก เทียมเทียบรัตน์ ผู้อำนวยการท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย เปิดเผยว่า สัปดาห์ที่ผ่านมา มีข้อมูลที่น่าสนใจเกี่ยวกับการขยายตัวของเศรษฐกิจเวียดนาม โดยเฉพาะในภาคการบินและการท่องเที่ยว ซึ่งเป็นหนึ่งในกลไกสำคัญที่ขับเคลื่อนการเติบโตของจีดีพี สายการบินเวียตเจ็ท ซึ่งเป็นสายการบินราคาประหยัดชั้นนำของเวียดนาม ได้แสดงให้เห็นถึงความสำเร็จในการขยายเครือข่ายการบินทั้งในและต่างประเทศ พร้อมทั้งสร้างรายได้เสริมจากธุรกิจที่เกี่ยวข้อง เช่น การขนส่งสินค้าทางอากาศ (Air Cargo) และการให้บริการภาคพื้น

จากงบการเงินประจำไตรมาสที่ 1 ปี 2568 เวียตเจ็ทรายงานรายได้รวม 17.952 ล้านล้านดอง (ประมาณ 690 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) และกำไรก่อนหักภาษี 836,000 ล้านดอง (ประมาณ 32.1 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) เพิ่มขึ้น 24% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า รายได้เสริมจากบริการต่างๆ คิดเป็นสัดส่วนถึง 35% ของรายได้รวม สะท้อนถึงความสามารถในการสร้างมูลค่าเพิ่มจากธุรกิจที่หลากหลาย

เวียตเจ็ทยังขยายเส้นทางบินระหว่างประเทศอย่างต่อเนื่อง โดยในไตรมาสแรกของปี 2568 ได้เปิดเส้นทางใหม่เชื่อมโยงกรุงฮานอยและโฮจิมินห์ ซิตี กับเมืองสำคัญในจีน (ปักกิ่งและกวางโจว) และอินเดีย (เบงกาลูรูและไฮเดอราบาด) รวมถึงวางแผนเปิดเส้นทางใหม่ไปยังนิวซีแลนด์ (โฮจิมินห์ ซิตี – โอ๊คแลนด์) ภายในปลายปี 2568 ปัจจุบัน เวียตเจ็ทให้บริการ 137 เส้นทางทั่วโลก โดยมีเส้นทางระหว่างประเทศ 97 เส้นทาง และภายในประเทศ 40 เส้นทาง

นอกจากนี้ เวียตเจ็ทยังลงทุนในฝูงบินที่ทันสมัย โดยเพิ่มเครื่องบินใหม่ 2 ลำในไตรมาสแรกของปี 2568 ทำให้มีเครื่องบินทั้งสิ้น 106 ลำ ซึ่งเป็นหนึ่งในฝูงบินที่ทันสมัยที่สุดในภูมิภาค ด้วยอัตราขนส่งผู้โดยสารเฉลี่ย 87% และความน่าเชื่อถือทางเทคนิคสูงถึง 99.72% เวียตเจ็ทจึงเป็นตัวอย่างของความสำเร็จในการบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพ

การขนส่งสินค้าทางอากาศ จุดแข็งของเวียตเจ็ท

ในช่วงการแพร่ระบาดของโควิด-19 เวียตเจ็ทแสดงให้เห็นถึงความยืดหยุ่นในการปรับตัว โดยมุ่งเน้นการขนส่งสินค้าทางอากาศเพื่อชดเชยรายได้ที่สูญเสียจากการเดินทางของผู้โดยสาร การขนส่งแบบ Cargo in Cabin และการโหลดสินค้าใต้ท้องเครื่องบินช่วยให้เวียตเจ็ทรักษาผลการดำเนินงานที่โดดเด่นในช่วงวิกฤต บริษัทลูกอย่างสายการบินไทยเวียตเจ็ทยังได้รับการถ่ายทอดความเชี่ยวชาญด้านการขนส่งสินค้าทางอากาศ ซึ่งเห็นได้จากโครงการต่างๆ เช่น “ลิ้นจี่บินได้” “ลำไยบินได้” และ “สับปะรดบินได้” ที่ท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย รวมถึงโครงการ “ทะเลบินได้” และ “กุ้งบินได้” จากภูเก็ต

ความสามารถในการขนส่งสินค้าเกษตรทางอากาศของเวียตเจ็ทและไทยเวียตเจ็ทแสดงถึงความเข้าใจในความต้องการของตลาดและการตอบสนองต่อโอกาสทางธุรกิจอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยให้เวียดนามสามารถแข่งขันในอุตสาหกรรมเกษตรได้อย่างมีประสิทธิภาพ

การเกษตร เวียดนามแซงหน้าด้วยตัวเลขการส่งออก

นอกเหนือจากภาคการบิน อุตสาหกรรมเกษตรของเวียดนามยังเป็นอีกหนึ่งจุดแข็งที่ทำให้สามารถแซงหน้าประเทศไทยในแง่ของมูลค่าการส่งออก ข้อมูลจากกระทรวงเกษตรและการพัฒนาชนบทของเวียดนาม (MARD) ระบุว่า ในปี 2567 มูลค่าการส่งออกผักและผลไม้ของเวียดนามคาดว่าจะสูงถึง 7,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ สูงกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ที่ 6,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หากรวมการส่งออกสินค้าเกษตร ป่าไม้ และประมง มูลค่ารวมจะสูงถึง 62,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้น 18.7% จากปี 2566

ในทางกลับกัน ประเทศไทยมีมูลค่าการส่งออกสินค้าเกษตรในปี 2567 อยู่ที่ 52,185 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งแม้จะเป็นตัวเลขที่สูง แต่ก็ถูกเวียดนามแซงหน้าไปเล็กน้อย สินค้าเกษตรหลักของเวียดนาม เช่น ผลไม้ ข้าว กาแฟ และเม็ดมะม่วงหิมพานต์ ได้รับการสนับสนุนจากนโยบายของรัฐบาลที่มุ่งเน้นการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตและการขยายตลาดส่งออก

ไทยจะก้าวต่อไปอย่างไร

การแข่งขันระหว่างไทยและเวียดนามในอุตสาหกรรมการบินและการเกษตรสะท้อนถึงความท้าทายที่ประเทศไทยต้องเผชิญในการรักษาความสามารถในการแข่งขัน การพัฒนาที่ชะลอตัวและนโยบายที่เปลี่ยนแปลงบ่อยครั้งตามการเมืองเป็นอุปสรรคสำคัญที่ทำให้ไทยเสียเปรียบในการแข่งขันกับเวียดนาม ซึ่งมีนโยบายที่ต่อเนื่องและชัดเจน

อย่างไรก็ตาม ประเทศไทยยังมีจุดแข็งในด้านโครงสร้างพื้นฐานที่แข็งแกร่งและบุคลากรที่มีศักยภาพ การลงทุนในนวัตกรรมและเทคโนโลยี รวมถึงการสร้างความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชน จะเป็นกุญแจสำคัญในการยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันของไทย การเรียนรู้จากความสำเร็จของเวียดนาม เช่น การบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพของเวียตเจ็ท และการสนับสนุนอุตสาหกรรมเกษตรอย่างเป็นระบบ จะช่วยให้ประเทศไทยสามารถก้าวทันและแข่งขันในเวทีโลกได้

โอกาสและความท้าทาย

การพัฒนาอย่างรวดเร็วของเวียดนามแสดงให้เห็นถึงความสำคัญของนโยบายที่ต่อเนื่องและการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานที่ทันสมัย ในขณะที่ประเทศไทยมีศักยภาพในด้านการท่องเที่ยวและการเกษตร การขาดความชัดเจนในนโยบายและการเปลี่ยนแปลงบ่อยครั้งทำให้เสียโอกาสในการแข่งขัน การลงทุนในเทคโนโลยี เช่น การใช้ระบบดิจิทัลในการจัดการซัพพลายเชนเกษตร และการพัฒนาฝูงบินที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม จะช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของไทย

นอกจากนี้ การสร้างความร่วมมือในระดับภูมิภาค เช่น การแลกเปลี่ยนองค์ความรู้และเทคโนโลยีระหว่างไทยและเวียดนาม จะช่วยยกระดับอุตสาหกรรมของทั้งสองประเทศ การแข่งขันที่สร้างสรรค์จะเป็นแรงผลักดันให้ทั้งสองฝ่ายพัฒนาต่อไปอย่างยั่งยืน

สถิติที่เกี่ยวข้อง

  1. การเติบโตของจีดีพี:
    • ประเทศไทย: 1.9% ในปี 2566 (ที่มา: ธนาคารโลก)
    • เวียดนาม: 5.0% ในปี 2566 (ที่มา: ธนาคารโลก)
  2. มูลค่าการส่งออกสินค้าเกษตร:
    • เวียดนาม: 62,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในปี 2567 (ที่มา: กระทรวงเกษตรและการพัฒนาชนบทของเวียดนาม)
    • ประเทศไทย: 52,185 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในปี 2567 (ที่มา: กระทรวงพาณิชย์ของประเทศไทย)
  3. ผลการดำเนินงานของเวียตเจ็ท:
    • รายได้รวมไตรมาสที่ 1 ปี 2568: 17.952 ล้านล้านดอง (690 ล้านดอลลาร์สหรัฐ)
    • กำไรก่อนหักภาษี: 836,000 ล้านดอง (32.1 ล้าน初心
  4. จำนวนผู้โดยสารของเวียตเจ็ท:
    • ไตรมาสที่ 1 ปี 2568: 6.87 ล้านคน (ที่มา: รายงานผลประกอบการของเวียตเจ็ท)

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : 

  • ธนาคารโลก: รายงานการเติบโตของจีดีพีในอาเซียน ปี 2566
  • กระทรวงเกษตรและการพัฒนาชนบทของเวียดนาม: รายงานการส่งออกสินค้าเกษตร ปี 2567
  • กระทรวงพาณิชย์ของประเทศไทย: รายงานการส่งออกสินค้าเกษตร ปี 2567
  • รายงานผลประกอบการไตรมาสที่ 1 ปี 2568 ของสายการบินเวียตเจ็ท
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI TOP STORIES

เชียงรายคุมเข้ม ห้ามกรอกน้ำมันใส่ภาชนะ ป้องกันลักลอบข้ามแดน

เชียงรายเข้มงวด! ห้ามกรอกน้ำมันใส่ภาชนะ ป้องกันลักลอบขนส่งข้ามแดน ฝ่าฝืนมีโทษตามกฎหมาย พร้อมแนวทางซื้อน้ำมันอย่างถูกต้อง

เชียงราย, 9 กุมภาพันธ์ 2568  –เชียงรายประกาศเตือน ห้ามกรอกน้ำมันใส่ภาชนะ ฝ่าฝืนดำเนินคดีตามกฎหมาย

นายปรศักดิ์ งามสมภาค พลังงานจังหวัดเชียงราย พร้อมเจ้าหน้าที่ลงพื้นที่ ตรวจสอบและแจ้งเตือน สถานีบริการน้ำมันทุกแห่ง ห้ามกรอกน้ำมันลงภาชนะ เช่น ถังน้ำมัน กระป๋องน้ำมัน หรือแกลลอน โดยเด็ดขาด ตามมาตรการควบคุมน้ำมันเชื้อเพลิงและนโยบายปราบปรามเครือข่าย แก๊งคอลเซ็นเตอร์ ซึ่งใช้เชื้อเพลิงจากชายแดนไทยไปดำเนินกิจกรรมผิดกฎหมายในเมียนมา

มาตรการเข้มงวด: ห้ามจำหน่ายน้ำมันลงภาชนะ

จากการพิจารณาของ จังหวัดเชียงราย พบว่า การจำหน่ายน้ำมันลงภาชนะอื่นนอกเหนือจากการเติมในยานพาหนะ ไม่เป็นไปตาม พระราชบัญญัติควบคุมน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2544 มาตรา 4 ซึ่งกำหนดให้สถานีบริการน้ำมันต้องให้บริการแก่ยานพาหนะเท่านั้น

ประกอบกับรัฐบาลไทยได้ ระงับการส่งออกน้ำมันไปยังเมียนมา เพื่อตัดวงจรการลักลอบใช้น้ำมันในกิจกรรมผิดกฎหมาย จึงมีการแจ้งเตือนไปยังผู้ประกอบการสถานีบริการน้ำมัน หากฝ่าฝืนคำสั่งจะถูกดำเนินคดีตามกฎหมายทันที

หากต้องการซื้อน้ำมันในภาชนะ ต้องทำอย่างไร?

สำหรับผู้ที่ต้องการซื้อน้ำมันเพื่อใช้งานในภาชนะสามารถซื้อได้จากแหล่งที่ได้รับอนุญาตตามกฎหมาย แบ่งเป็น 2 ประเภท ได้แก่:

  1. สถานที่เก็บรักษาน้ำมันลักษณะที่ 1 (สำหรับปริมาณน้อย)
  • น้ำมันชนิดไวไฟมาก: เก็บได้ไม่เกิน 40 ลิตร
  • น้ำมันชนิดไวไฟปานกลาง: เก็บได้ไม่เกิน 227 ลิตร
  • น้ำมันชนิดไวไฟน้อย: เก็บได้ไม่เกิน 454 ลิตร

สามารถซื้อจากร้านค้าปลีกที่ได้รับอนุญาต เช่น ร้านค้าที่มีการกรอกน้ำมันใส่ขวดหรือแกลลอนขายภายใต้ข้อกำหนดทางกฎหมาย

  1. สถานที่เก็บรักษาน้ำมันลักษณะที่ 2 (สำหรับปริมาณมาก ต้องได้รับอนุญาตจากองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น)
  • น้ำมันชนิดไวไฟมาก: เก็บได้ตั้งแต่ 40 – 454 ลิตร
  • น้ำมันชนิดไวไฟปานกลาง: เก็บได้ตั้งแต่ 227 – 1,000 ลิตร
  • น้ำมันชนิดไวไฟน้อย: เก็บได้ตั้งแต่ 454 – 15,000 ลิตร

หากต้องการใช้ในปริมาณมาก ผู้ประกอบการต้อง ขอใบอนุญาตเก็บรักษาน้ำมัน จากองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเพื่อให้ดำเนินการได้ถูกต้องตามกฎหมาย

มาตรการนี้ช่วยป้องกันอะไร?

  • ป้องกัน การลักลอบนำน้ำมันข้ามพรมแดน ไปใช้ในกิจกรรมผิดกฎหมาย
  • ควบคุม การใช้น้ำมันเชื้อเพลิงให้เป็นไปตามกฎหมาย และลดความเสี่ยงด้านความปลอดภัย
  • สนับสนุนนโยบายรัฐบาลในการ ปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์ และ กลุ่มอาชญากรรมข้ามชาติ

จังหวัดเชียงราย ขอความร่วมมือจากประชาชนและผู้ประกอบการทุกฝ่าย ให้ปฏิบัติตามข้อกำหนดดังกล่าวเพื่อให้การบังคับใช้กฎหมายเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ หากพบเห็นการฝ่าฝืน สามารถแจ้งเจ้าหน้าที่เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายได้ทันที

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานพลังงานจังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI CULTURE

เชียงรายจัดมหกรรมอิ้วเมี่ยนไทย 2568 สร้างสัมพันธ์ระดับโลก

เชียงรายจัดมหกรรมอิ้วเมี่ยนไทยสานสัมพันธ์อิ้วเมี่ยนโลก ส่งเสริมวัฒนธรรมและการท่องเที่ยว

เชียงราย, 8 กุมภาพันธ์ 2568  –  ณ ข่วงศึกษาวิถีชีวิตวัฒนธรรมล้านนาและอาเซียน องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย นางสินีนาฏ ทองสุข นายกเหล่ากาชาดจังหวัดเชียงราย ร่วมงาน มหกรรมอิ้วเมี่ยนไทยสานสัมพันธ์อิ้วเมี่ยนโลก ประจำปี พ.ศ. 2568 เพื่อส่งเสริมและสืบสานประเพณีวัฒนธรรมอันดีงามของกลุ่มชาติพันธุ์อิ้วเมี่ยน อีกทั้งยังเป็นเวทีพบปะแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมระหว่างกลุ่มชาติพันธุ์อิ้วเมี่ยนทั้งในไทยและต่างประเทศ เสริมสร้างความร่วมมือ พัฒนาความเข้มแข็งและความสามัคคีของชุมชนอิ้วเมี่ยน ตลอดจนส่งเสริมการท่องเที่ยวและการเรียนรู้พหุวัฒนธรรมในสังคมไทย

ความสำคัญของงานมหกรรมอิ้วเมี่ยนไทย

งานนี้จัดขึ้นโดย มูลนิธิอิ้วเมี่ยนไทย ร่วมกับภาคีเครือข่าย โดยจัดขึ้นต่อเนื่องมาแล้ว 6 ครั้ง โดยครั้งที่ 1-3 จัดขึ้นที่จังหวัดเชียงราย ครั้งที่ 4-5 จัดที่จังหวัดน่าน และครั้งที่ 6 จัดที่จังหวัดพะเยา การจัดงานในปีนี้มีขึ้นระหว่างวันที่ 7-9 กุมภาพันธ์ 2568 ณ ข่วงศึกษาวิถีชีวิตวัฒนธรรมล้านนาและอาเซียน องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย

กิจกรรมภายในงาน

ภายในงานมีการจัดกิจกรรมที่หลากหลายเพื่อสะท้อนวิถีชีวิตและอัตลักษณ์ของกลุ่มชาติพันธุ์อิ้วเมี่ยน ได้แก่:

  • นิทรรศการเกี่ยวกับวิถีชีวิตและวัฒนธรรมของอิ้วเมี่ยน

  • การแสดงศิลปะและการละเล่นพื้นบ้านของกลุ่มชาติพันธุ์อิ้วเมี่ยน

  • การสาธิตงานหัตถกรรมและการจำหน่ายสินค้าโอทอปของชุมชนอิ้วเมี่ยน

  • การประชุมและเสวนาเพื่อแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเกี่ยวกับการพัฒนาชุมชนอิ้วเมี่ยนในอนาคต

อัตลักษณ์ของชาติพันธุ์อิ้วเมี่ยนในประเทศไทย

อิ้วเมี่ยน หรือที่รู้จักกันในชื่อ เย้า เป็นกลุ่มชาติพันธุ์ที่อพยพมาจากประเทศจีนมายังประเทศไทยเมื่อประมาณ 160 ปีที่ผ่านมา โดยปัจจุบันกระจายตัวอยู่ในหลายจังหวัดของภาคเหนือ ได้แก่ เชียงราย พะเยา น่าน ลำปาง เชียงใหม่ กำแพงเพชร สุโขทัย ตาก ระนอง และกาญจนบุรี มีประชากรกว่า 60,000 คน ในประเทศไทย

อัตลักษณ์ที่โดดเด่นของชาวอิ้วเมี่ยนได้แก่:

  • เครื่องแต่งกายประจำเผ่า ที่มีการปักลวดลายอย่างปราณีต

  • เครื่องเงิน ที่ใช้เป็นเครื่องประดับและสัญลักษณ์ของสถานะในสังคม

  • การเขียนตำราโบราณ ด้วยอักษรจีนในภาษาฮั่น

  • ประเพณีและพิธีกรรมทางศาสนา ที่ได้รับการถ่ายทอดจากรุ่นสู่รุ่น

ผลกระทบของงานต่อเศรษฐกิจและการท่องเที่ยว

การจัดงานมหกรรมครั้งนี้ไม่เพียงแต่ช่วย อนุรักษ์และเผยแพร่วัฒนธรรมของชุมชนอิ้วเมี่ยน เท่านั้น แต่ยังเป็นโอกาสในการ ส่งเสริมการท่องเที่ยวในจังหวัดเชียงราย ดึงดูดนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างชาติให้เข้ามาสัมผัสวิถีชีวิตของกลุ่มชาติพันธุ์อิ้วเมี่ยน ซึ่งช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจท้องถิ่นและเพิ่มรายได้ให้กับชุมชน

บทสรุป

มหกรรมอิ้วเมี่ยนไทยสานสัมพันธ์อิ้วเมี่ยนโลก ประจำปี 2568 เป็นกิจกรรมสำคัญที่ช่วยส่งเสริมวัฒนธรรมของกลุ่มชาติพันธุ์อิ้วเมี่ยน ควบคู่ไปกับการสร้างความร่วมมือระหว่างกลุ่มชาติพันธุ์จากนานาชาติ อีกทั้งยังช่วยส่งเสริมการท่องเที่ยวและเศรษฐกิจในท้องถิ่นให้เติบโตอย่างยั่งยืน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
WORLD PULSE

“ดีอี” ร่วมลงนาม ‘อาเซียน-จีน’ ยกระดับความร่วมมือด้านดิจิทัล

 

เมื่อวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2567 นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) ได้ร่วมลงนามบันทึกความเข้าใจ (MOU) ระหว่างสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และสาธารณรัฐประชาชนจีน ว่าด้วยความร่วมมือด้านการสื่อสารและเทคโนโลยีดิจิทัล (Memorandum of Understanding between the Association of Southeast Asian Nations and the People’s Republic of China on Co – operation in Communications and Digital Technology) ในช่วงระหว่างการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้านดิจิทัลและสาธารณรัฐประชาชนจีน ณ สาธารณรัฐสิงคโปร์ โดยบันทึกความเข้าใจดังกล่าวจะมีระยะเวลา 5 ปี มีเนื้อหาและขอบเขตความร่วมมือ อาทิ
 
1) การแลกเปลี่ยนนโยบายและกฎระเบียบด้านดิจิทัลและ ICT (Policies and Regulations) เพื่อยกระดับการแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างอาเซียนกับสาธารณรัฐประชาชนจีน
 
2) ด้านโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัล (Digital Infrastructure) เพื่อที่จะร่วมกันสนับสนุนการพัฒนาทางตรงและทางอ้อม
 
3) ด้านเทคโนโลยีเกิดใหม่ (Emerging Technologies) ซึ่งประกอบด้วย 5G Use Cases, Artificial Intelligence, Cloud Computing, Big Data, Digital Governance, Smart Cities, และ Future Networks
 
4) ด้านความมั่นคงปลอดภัยทางดิจิทัล (Digital Security) เพื่อยกระดับความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์และความมั่นคงปลอดภัยทางข้อมูล
 
5) ด้านทักษะความเข้าใจและการใช้เทคโนโลยีดิจิทัล (Digital Literacy)
 
6) ด้านคลื่นความถี่และการบริหารจัดการคลื่นความถี่ (Radio Frequency Spectrum and Management) เพื่อยกระดับความร่วมมือในการประชุมการสื่อสารโทรคมนาคมวิทยุระดับโลกภายใต้กรอบการทำงานของสหภาพโทรคมนาคม หรือ International Telecommunication Union (ITU)
 
7) ด้านอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับดิจิทัลและข้อมูล (Other Fields)
 
นอกจากนี้ ศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ได้ลงนามบันทึกความเข้าใจร่วมระหว่างกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งราชอาณาจักรไทย และกระทรวงการสื่อสารและสารสนเทศแห่งอินโดนีเซีย ว่าด้วยความร่วมมือด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารและการเปลี่ยนแปลงสู่ดิจิทัล (Memorandum of Understanding between the Ministry of Digital Economy and Society of the Kingdom of Thailand and The Ministry of Communications and Informatics of Indonesia on Information and Communication Technology and Digitalization Cooperation) โดยมีนายประเสริฐ รัฐมนตรีดีอี เข้าร่วมเป็นสักขีพยาน สำหรับความร่วมมือสำคัญ ประกอบด้วย บริการแพลตฟอร์มดิจิทัล (Digital platform services) การกำกับดูแลบริการดิจิทัล (Digital service governance) การป้องกันปัญหาการหลอกลวงผ่านสื่อออนไลน์ (Anti-online scamming) การเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัล (Digital transformation) การใช้เทคโนโลยีดิจิทัลส่งเสริมโอกาสและศักยภาพของประชาชนอย่างครอบคลุม (Digital inclusion) กำลังคนทางดิจิทัล (Digital manpower) และเศรษฐกิจดิจิทัล (Digital economy)

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News