Categories
ECONOMY

รับสร้างบ้านปี 67 วูบ 20% คนไทยสร้างบ้านเองน้อยลง

สร้างบ้านเองลดฮวบ! ตลาดรับสร้างบ้านปี 67 ดิ่งลง 20%

ประเทศไทย, 18 กุมภาพันธ์ 2568 – HBA เผยตลาดรับสร้างบ้านปี 2567 หดตัว 20% คาดปี 2568 ทรงตัวที่ 200,000 ล้านบาท

นายอนันต์กร อมรวาที นายกสมาคมธุรกิจรับสร้างบ้าน (HBA: Home Builder Association) เปิดเผยว่า ภาพรวมตลาดรับสร้างบ้านทั่วประเทศในปี 2567 มีมูลค่าประมาณ 211,000 ล้านบาท ลดลง 20% จากปีก่อนหน้า เนื่องจากคนไทยสร้างบ้านเองลดลง โดยเฉพาะในพื้นที่ กรุงเทพฯ และปริมณฑล ที่ลดลงมากกว่าต่างจังหวัด

หากแบ่งเป็นรายพื้นที่ กรุงเทพฯ และปริมณฑลมีสัดส่วน 24.37% มูลค่า 51,421 ล้านบาท ส่วนต่างจังหวัดมีสัดส่วน 75.63% มูลค่า 159,579 ล้านบาท กระจายอยู่ในทุกภูมิภาคทั่วประเทศ ดังนี้:

  1. ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 18.76% มูลค่า 39,584 ล้านบาท ตลาดใหญ่สุด: นครราชสีมา ขอนแก่น บุรีรัมย์
  2. ภาคใต้ 16.83% มูลค่า 35,511 ล้านบาท ตลาดใหญ่สุด: สงขลา นครศรีธรรมราช ภูเก็ต
  3. ภาคเหนือ 15.72% มูลค่า 33,169 ล้านบาท ตลาดใหญ่สุด: เชียงใหม่ ลำปาง เชียงราย
  4. ภาคตะวันออก 12.58% มูลค่า 26,544 ล้านบาท ตลาดใหญ่สุด: ชลบุรี ระยอง ฉะเชิงเทรา
  5. ภาคตะวันตก 7.52% มูลค่า 15,867 ล้านบาท ตลาดใหญ่สุด: ราชบุรี ประจวบคีรีขันธ์ เพชรบุรี
  6. ภาคกลาง 4.22% มูลค่า 8,904 ล้านบาท ตลาดใหญ่สุด: สระบุรี พระนครศรีอยุธยา ลพบุรี

ธุรกิจรับสร้างบ้านไม่ถดถอย แต่ชะลอตัวจากปัจจัยเศรษฐกิจ

ขณะที่มูลค่าตลาดรับสร้างบ้านในส่วนของสมาชิกสมาคมฯ อยู่ที่ประมาณ 10,000 ล้านบาท ซึ่งยังอยู่ในภาวะทรงตัว เนื่องจากขาดปัจจัยสนับสนุนที่ชัดเจน เช่น อัตราดอกเบี้ยสูง ความเชื่อมั่นผู้บริโภคต่อภาวะเศรษฐกิจ และภาระหนี้สินครัวเรือนที่เพิ่มขึ้น แม้ว่าเศรษฐกิจจะถดถอยหรือเติบโต ธุรกิจรับสร้างบ้านก็ไม่ได้รับผลกระทบมากนัก

นายอนันต์กรกล่าวว่า แม้ปัจจุบันผู้บริโภคจะชะลอการตัดสินใจสร้างบ้าน แต่คาดว่าตัวเลขรายได้ในปี 2568 น่าจะเติบโตใกล้เคียงกับปี 2567 ที่มีมูลค่ามากกว่า 200,000 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม ภาครัฐควรเร่งกระตุ้นเศรษฐกิจโดยเฉพาะการสร้างเสถียรภาพทางการเมือง และแก้ไขข้อจำกัดทางกฎหมายเกี่ยวกับแรงงาน เพื่อให้แรงงานต่างด้าวสามารถเข้ามาทำงานในไทยได้ง่ายขึ้น

โครงการบ้านเพื่อคนไทยไม่กระทบตลาดรับสร้างบ้าน

สำหรับโครงการ บ้านเพื่อคนไทย” ซึ่งมีเป้าหมายช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อยให้มีบ้านเป็นของตนเองนั้น นายอนันต์กรมองว่า ไม่มีผลกระทบต่อตลาดรับสร้างบ้าน เนื่องจากเป็นกลุ่มเป้าหมายที่แตกต่างกัน โดย ตลาดรับสร้างบ้านส่วนใหญ่เป็นบ้านมูลค่า 2-3 ล้านบาทขึ้นไป และส่วนใหญ่เป็นบ้านระดับ 3-100 ล้านบาท ซึ่งแตกต่างจากโครงการบ้านเพื่อคนไทยที่เน้นกลุ่มผู้ซื้อบ้านหลังแรกที่มีรายได้น้อย

ปรับเงื่อนไขบ้านบีโอไอไม่มีผลต่อตลาดรับสร้างบ้าน

ในกรณีการปรับเงื่อนไขบ้านบีโอไอเพื่อจูงใจเอกชนให้เข้าร่วมโครงการบ้านเพื่อคนไทย นายอนันต์กรมองว่า ไม่มีผลกระทบ เนื่องจากเป็นกลุ่มเป้าหมายที่แตกต่างกัน โดยกลุ่มลูกค้าของบริษัทรับสร้างบ้านส่วนใหญ่ เป็นเจ้าของที่ดินเอง และต้องการบ้านที่มีดีไซน์เฉพาะ ไม่ใช่บ้านจัดสรรหรือบ้านในโครงการทั่วไป

ธุรกิจรับสร้างบ้านไม่หวั่นกลุ่มทุนต่างชาติ-จีนเทา

สำหรับกระแสข่าวเกี่ยวกับ นักลงทุนต่างชาติและกลุ่มทุนจีนเทา ที่เข้ามาลงทุนในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ไทย นายอนันต์กรมองว่า ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อตลาดรับสร้างบ้าน เนื่องจากธุรกิจรับสร้างบ้านของสมาคมฯ มีลักษณะเฉพาะเจาะจง และลูกค้าส่วนใหญ่เป็นคนไทยที่มีที่ดินเป็นของตนเอง

“กลุ่มทุนจีนเทาที่เข้ามาในไทยมักเน้นลงทุนใน ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ศูนย์เหรียญ หรือโครงการคอนโดมิเนียม มากกว่าธุรกิจรับสร้างบ้าน ซึ่งเป็นตลาดที่มีลักษณะเฉพาะและไม่ได้พึ่งพาการลงทุนจากต่างชาติ” นายอนันต์กรกล่าว

HBA เตรียมมาตรการส่งเสริมตลาดรับสร้างบ้านปี 2568

สมาคมธุรกิจรับสร้างบ้าน เตรียมดำเนินมาตรการส่งเสริมตลาดรับสร้างบ้านในปี 2568 โดยเน้น การสร้างความเข้าใจและกระตุ้นการรับรู้ของผู้บริโภค ผ่านการให้ข้อมูลด้านการออกแบบ เทคโนโลยีการก่อสร้าง และแนวโน้มการสร้างบ้านในอนาคต พร้อมทั้งร่วมมือกับภาครัฐและภาคเอกชนเพื่อพัฒนาแรงงานก่อสร้าง และผลักดันให้เกิดมาตรการกระตุ้นตลาดอย่างเป็นรูปธรรม

ปี 2568 เป็นปีแห่งความท้าทาย แต่เรามั่นใจว่าธุรกิจรับสร้างบ้านจะยังคงเติบโตได้ภายใต้เงื่อนไขเศรษฐกิจที่เหมาะสม และการสนับสนุนจากภาครัฐ” นายอนันต์กรกล่าวสรุป

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สมาคมธุรกิจรับสร้างบ้าน (HBA: Home Builder Association)

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
MOST POPULAR
FOLLOW ME
Categories
ECONOMY

บ้าน-รถยนต์โคม่า เอกชนชงรัฐ ลดหย่อนภาษีกระตุ้นกำลังซื้อ

วิกฤตกำลังซื้อบ้าน-รถยนต์ปี 2568: ความท้าทายและแนวทางกระตุ้นตลาด

กรุงเทพฯ, 15 กุมภาพันธ์ 2568 – สำนักข่าว ประชาชาติธุรกิจ รายงานว่าตลาดรถยนต์และอสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทยกำลังเผชิญกับวิกฤตการณ์ครั้งใหญ่ จากปัญหากำลังซื้อที่ลดลงอย่างรุนแรง สาเหตุหลักมาจากสถาบันการเงินที่เข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อ รวมถึงภาระหนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูง ส่งผลให้ตลาดหดตัวอย่างหนัก ทั้งในภาคอสังหาริมทรัพย์และอุตสาหกรรมยานยนต์ ซึ่งภาคธุรกิจและภาครัฐต่างเร่งมือหาแนวทางกระตุ้นเศรษฐกิจให้ฟื้นตัว

ภาวะตลาดอสังหาริมทรัพย์และยานยนต์ในปี 2567 – 2568

  1. ตลาดรถยนต์ซบเซาหนักสุดในรอบ 15 ปี
  • ยอดขายรถยนต์ในปี 2567 ลดลงเหลือเพียง 570,000 คัน หดตัวเกือบ 30% เมื่อเทียบกับปีก่อน
  • ตลาดรถกระบะได้รับผลกระทบหนัก เนื่องจากประชาชนขาดสภาพคล่องและไม่สามารถขอสินเชื่อได้
  • ลีสซิ่งและสินเชื่อรถยนต์ได้รับผลกระทบจากอัตราปฏิเสธสินเชื่อที่สูงขึ้น
  1. ภาวะตลาดบ้านและคอนโดฯ ลดลงกว่า 40%
  • ความเข้มงวดของสถาบันการเงินทำให้ประชาชนขอสินเชื่อบ้านได้ยากขึ้น
  • โครงการอสังหาฯ ใหม่ลดลง โดยเฉพาะโครงการขนาดกลางและเล็กที่แทบไม่มีที่ยืน
  • นโยบาย Loan to Value (LTV) ส่งผลกระทบต่อกลุ่มบ้านราคาแพง ทำให้ยอดขายลดลง

มาตรการภาครัฐและสถาบันการเงิน

  1. บสย. เสนอค้ำประกันสินเชื่อรถกระบะ
  • บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) เตรียมเข้ามาช่วยค้ำประกันสินเชื่อรถยนต์ เพื่อเพิ่มโอกาสให้ประชาชนสามารถซื้อรถได้ง่ายขึ้น
  • เน้นช่วยเหลือกลุ่มที่ใช้รถเพื่อประกอบอาชีพ เช่น เกษตรกร และผู้ขับขี่รับจ้าง
  1. การถกมาตรการปลดล็อก LTV กับ ธปท.
  • 3 สมาคมอสังหาฯ และ 3 แบงก์ใหญ่เข้าหารือกับ ธปท. เพื่อขอผ่อนปรนมาตรการ LTV
  • ข้อเสนอหลักคือการลดภาระเงินดาวน์สำหรับบ้านหลังที่ 2 และ 3
  • มาตรการนี้จะช่วยให้กลุ่มผู้มีรายได้ปานกลางถึงสูงสามารถซื้อบ้านได้ง่ายขึ้น
  1. ข้อเสนอ “ลดหย่อนภาษีค่างวดรถยนต์”
  • บริษัทลีสซิ่งเสนอให้ผู้ซื้อรถยนต์สามารถนำค่างวดมาลดหย่อนภาษีได้
  • แนวคิดนี้คล้ายกับมาตรการภาษีสำหรับผู้ซื้อบ้าน ซึ่งช่วยให้ผู้ที่ต้องการซื้อรถมีกำลังซื้อเพิ่มขึ้น
  • ข้อเสนอนี้ยังอยู่ในระหว่างการพิจารณาของกระทรวงการคลัง

ผลกระทบที่เกิดขึ้นกับภาคประชาชนและธุรกิจ

  1. กลุ่มประชาชนทั่วไป
  • ผู้ที่ต้องการซื้อบ้านและรถยนต์ได้รับผลกระทบจากการเข้มงวดสินเชื่อ
  • หนี้ครัวเรือนที่สูงทำให้ความสามารถในการชำระหนี้ลดลง
  • ปัญหาการขอสินเชื่อไม่ผ่านส่งผลให้ประชาชนต้องเช่าที่อยู่อาศัยหรือใช้รถเก่าแทนการซื้อใหม่
  1. ผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์และค่ายรถยนต์
  • ผู้พัฒนาโครงการขนาดเล็กและกลางได้รับผลกระทบหนักจากยอดขายที่ตกต่ำ
  • โรงงานผลิตรถยนต์และดีลเลอร์ต้องปรับกลยุทธ์เพื่อรับมือกับความต้องการที่ลดลง

ข้อเสนอ 6 มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาคอสังหาฯ

  1. ผ่อนปรน LTV ทุกระดับราคา
  2. ขยายมาตรการลดค่าโอนและจดจำนองถึงสิ้นปี 2568
  3. ลดหย่อนภาษีเงินได้สำหรับผู้ซื้อบ้านทุกระดับราคา
  4. ให้ผู้ซื้อสามารถนำราคาบ้านมาหักลดหย่อนภาษีได้
  5. ลดภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง 50% ในปี 2568
  6. ยกเว้นภาษีธุรกิจเฉพาะ 3.3% เพื่อช่วยลดต้นทุนของผู้พัฒนาโครงการ

สรุป

ตลาดอสังหาริมทรัพย์และยานยนต์ของไทยกำลังเผชิญวิกฤตจากปัญหากำลังซื้อที่ลดลง แม้ภาคธุรกิจและภาครัฐจะพยายามหาทางออกด้วยมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ แต่ปัจจัยสำคัญยังอยู่ที่ความสามารถของประชาชนในการเข้าถึงสินเชื่อ หากมาตรการที่เสนอสามารถดำเนินการได้อย่างมีประสิทธิภาพ ก็อาจช่วยให้ตลาดฟื้นตัวได้ในช่วงครึ่งหลังของปี 2568

FAQ: คำถามที่พบบ่อย

  1. ทำไมตลาดรถยนต์และบ้านถึงหดตัวหนักในปี 2567 – 2568?

เศรษฐกิจที่ชะลอตัว หนี้ครัวเรือนที่สูง และการเข้มงวดของสถาบันการเงินทำให้ประชาชนไม่สามารถขอสินเชื่อได้ง่าย

  1. มาตรการของภาครัฐในการช่วยเหลือผู้ซื้อบ้านมีอะไรบ้าง?

มีมาตรการลดค่าโอน-จดจำนอง, การผ่อนปรน LTV และข้อเสนอการลดหย่อนภาษีสำหรับผู้ซื้อบ้าน

  1. ทำไมภาคธุรกิจต้องการให้ลดหย่อนภาษีค่างวดรถยนต์?

เพื่อช่วยให้ประชาชนสามารถซื้อรถได้ง่ายขึ้น ลดภาระการผ่อนชำระ และกระตุ้นยอดขายในอุตสาหกรรมรถยนต์

  1. LTV คืออะไร และมีผลกระทบต่อประชาชนอย่างไร?

LTV (Loan to Value) เป็นมาตรการที่กำหนดเงินดาวน์สำหรับการขอสินเชื่อบ้าน การเข้มงวดของมาตรการนี้ทำให้ผู้ซื้อบ้านต้องวางเงินดาวน์สูงขึ้น

  1. มีโอกาสที่ตลาดจะฟื้นตัวในปี 2568 หรือไม่?

หากมาตรการกระตุ้นกำลังซื้อถูกนำมาใช้และเศรษฐกิจปรับตัวดีขึ้น อาจช่วยให้ตลาดอสังหาริมทรัพย์และยานยนต์ฟื้นตัวได้ในช่วงครึ่งปีหลัง

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ประชาชาติธุรกิจ

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
ECONOMY

ตลาดอสังหาฯ ปี 68 มีสัญญาณฟื้นตัว หลังมาตรการลดค่าธรรมเนียมหนุน

 

ภาพรวมตลาดที่อยู่อาศัยไตรมาส 3 ปี 2567 สัญญาณฟื้นตัวแม้ยังติดลบเล็กน้อย

เมื่อวันที่ 18 พฤศจิกายน 2567 นายกมลภพ วีระพละ กรรมการผู้จัดการ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) และรักษาการผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ (REIC) เปิดเผยถึงสถานการณ์ตลาดที่อยู่อาศัยในช่วงไตรมาสที่ 2 – 3 ของปี 2567 ว่ายังคงเผชิญกับการชะลอตัวเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน อย่างไรก็ตาม พบว่าการติดลบลดลงจากไตรมาส 2 ซึ่งสะท้อนถึงแนวโน้มการฟื้นตัวของตลาดที่อยู่อาศัยหลังได้รับแรงสนับสนุนจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ โดยเฉพาะการลดค่าธรรมเนียมโอนและจดจำนองเหลือ 0.01% สำหรับที่อยู่อาศัยที่มีมูลค่าไม่เกิน 7 ล้านบาท ซึ่งขยายจากเดิมที่กำหนดไว้เพียง 3 ล้านบาทเท่านั้น

ยอดโอนกรรมสิทธิ์ฟื้นตัวในกลุ่มอาคารชุด

มาตรการดังกล่าวส่งผลให้ยอดการโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยในกลุ่มราคาเกิน 7 ล้านบาทเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะอาคารชุดที่มีการโอนเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน ในขณะที่การโอนกรรมสิทธิ์ของที่อยู่อาศัยแนวราบกลับลดลงเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ทั้งนี้ REIC คาดการณ์ว่าการโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยทั่วประเทศในปี 2567 จะมีจำนวนทั้งสิ้น 350,545 หน่วย ลดลงจากปีก่อนหน้าประมาณ 4.4% แบ่งเป็นที่อยู่อาศัยแนวราบ 243,088 หน่วย ลดลง 6.0% และอาคารชุด 107,456 หน่วย ลดลงเพียง 0.6%

แนวโน้มการฟื้นตัวในปี 2568

สำหรับปี 2568 คาดว่าจะมีสัญญาณการฟื้นตัวที่ชัดเจนขึ้น โดย REIC ประมาณการณ์ว่าจำนวนหน่วยโอนกรรมสิทธิ์จะเพิ่มขึ้นเป็น 363,600 หน่วย คิดเป็นอัตราการเติบโต 3.7% หรืออยู่ในช่วง -4.5% ถึง 12.3% โดยที่อยู่อาศัยแนวราบคาดว่าจะมีการโอนจำนวน 254,520 หน่วย เพิ่มขึ้น 4.7% ส่วนอาคารชุดคาดว่าจะมีการโอน 109,080 หน่วย เพิ่มขึ้น 1.5%

ในด้านมูลค่าการโอนกรรมสิทธิ์คาดว่าจะมีมูลค่ารวมทั้งสิ้น 1,043,300 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3.0% จากปี 2567 ซึ่งที่อยู่อาศัยแนวราบจะมีมูลค่าการโอนประมาณ 739,700 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3.2% ส่วนอาคารชุดจะมีมูลค่าการโอน 303,600 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2.7%

ตลาดอสังหาฯ รับแรงสนับสนุนจากมาตรการลดค่าธรรมเนียม

นายกมลภพกล่าวเพิ่มเติมว่า การปรับลดค่าธรรมเนียมโอนและจดจำนองเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยกระตุ้นความต้องการซื้อที่อยู่อาศัย โดยเฉพาะในกลุ่มที่มีมูลค่าสูงกว่า 7 ล้านบาท นอกจากนี้ การผ่อนคลายมาตรการทางการเงินและการให้สินเชื่อของธนาคารพาณิชย์และสถาบันการเงินต่างๆ ส่งผลให้ผู้บริโภคเข้าถึงสินเชื่อได้ง่ายขึ้น และเป็นแรงผลักดันสำคัญในการกระตุ้นการเติบโตของตลาด

ทิศทางตลาดอสังหาฯ ปีหน้า: ฟื้นตัวต่อเนื่อง

สำหรับปี 2568 นายกมลภพคาดการณ์ว่าแนวโน้มการฟื้นตัวของตลาดที่อยู่อาศัยจะยังคงดำเนินต่อไป โดยเฉพาะในกลุ่มอาคารชุดและบ้านแนวราบ เนื่องจากผู้บริโภคเริ่มกลับมามีความเชื่อมั่นในการลงทุนอีกครั้ง ทั้งนี้ตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทยยังคงต้องจับตาดูปัจจัยทั้งภายในและภายนอกประเทศ เช่น สถานการณ์เศรษฐกิจโลก อัตราดอกเบี้ย และมาตรการของภาครัฐที่จะส่งผลต่อกำลังซื้อของผู้บริโภค

สรุป แม้ตลาดอสังหาฯ ในปี 2567 จะเผชิญกับความท้าทาย แต่การสนับสนุนจากมาตรการภาครัฐและการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ คาดว่าจะทำให้ปี 2568 เป็นปีที่ตลาดกลับมาเติบโตอย่างมั่นคง

เครดิตข้อมูลจาก : ทีมข่าวนครเชียงรายนิวส์

เครดิตภาพ : รับบินโดรนเชียงราย โดรนเชียงราย ถ่ายภาพมุมสูง

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI ECONOMY

ตลาดซ่อมแซมบ้านเชียงรายคึกคักหลังน้ำท่วม

ตลาดซ่อมแซมบ้านในเชียงรายคึกคักหลังน้ำท่วม แต่ค่าแรงเพิ่มขึ้นและวัสดุก่อสร้างยังทรงตัว

ตลาดซ่อมแซมบ้านในเชียงรายฟื้นตัว คึกคักหลังน้ำท่วม

หลังจากสถานการณ์น้ำท่วมในจังหวัดเชียงรายคลี่คลายลง ทำให้ความต้องการในการซ่อมแซมบ้านเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว นายชินะ สุทธาธนโชติ นายกสมาคมอสังหาริมทรัพย์เชียงราย เปิดเผยว่า ตลาดซ่อมแซมบ้านเริ่มมีความคึกคัก แม้ว่าเศรษฐกิจโดยรวมยังคงซบเซาอยู่ก็ตาม

ราคาวัสดุก่อสร้างทรงตัว แนวโน้มอาจลดลง

แม้ว่าความต้องการวัสดุก่อสร้างจะสูงขึ้น แต่ราคาวัสดุก่อสร้างกลับยังคงทรงตัว มีแนวโน้มจะลดลงเพื่อช่วยเหลือผู้ที่ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วม ร้านค้าวัสดุก่อสร้างในท้องถิ่นบางแห่งรายงานว่ามียอดขายลดลงถึง 20% เมื่อเทียบกับช่วงปกติ ซึ่งสะท้อนถึงการชะลอตัวของตลาดอสังหาริมทรัพย์ที่ไม่มีโครงการใหม่ๆ ก่อสร้าง

ค่าแรงแรงงานเพิ่มขึ้น 10% หลังแรงงานขาดแคลน

การขาดแคลนแรงงานก่อสร้างในเชียงรายส่งผลให้ค่าแรงเพิ่มสูงขึ้น โดยแรงงานไร้ฝีมือปรับจาก 300-350 บาทต่อวันเป็น 400 บาท ส่วนแรงงานมีฝีมือค่าจ้างเพิ่มขึ้นเกิน 500-600 บาทต่อวัน นายชินะกล่าวว่า สถานการณ์นี้เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้การซ่อมแซมบ้านมีต้นทุนที่สูงขึ้น ซึ่งสร้างความท้าทายแก่ผู้ที่ต้องการปรับปรุงบ้านหลังน้ำท่วม

ตลาดอสังหาริมทรัพย์ในเชียงรายยังคงชะลอตัวต่อเนื่อง

ในขณะที่ตลาดซ่อมแซมบ้านมีความคึกคัก แต่ตลาดอสังหาริมทรัพย์ในเชียงรายยังคงชะลอตัว โดยเฉพาะการซื้อขายบ้านใหม่ที่ยังไม่ฟื้นตัว เนื่องจากธนาคารเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อ อัตราการปฏิเสธสินเชื่อสำหรับบ้านราคาต่ำกว่า 3 ล้านบาท สูงถึง 60-70% ในขณะที่บ้านราคา 3-5 ล้านบาทมีการปฏิเสธที่ 30-40%

สถานการณ์คล้ายคลึงกันในเชียงใหม่

นายสรนันท์ เศรษฐี นายกสมาคมอสังหาริมทรัพย์เชียงใหม่ รายงานว่าสถานการณ์น้ำท่วมที่เชียงใหม่คลี่คลายลง ทำให้ความต้องการซ่อมแซมบ้านเพิ่มสูงขึ้นเช่นกัน อย่างไรก็ตาม ตลาดอสังหาริมทรัพย์ในเชียงใหม่ยังคงได้รับผลกระทบจากการปล่อยสินเชื่อที่เข้มงวด และความกังวลของลูกค้าเกี่ยวกับโครงการที่อยู่ในพื้นที่เสี่ยงน้ำท่วม

แนวโน้มของราคาวัสดุก่อสร้างในอนาคต

นายสรนันท์เสริมว่า ราคาวัสดุก่อสร้างหลังน้ำลดยังคงทรงตัว ไม่ได้เพิ่มขึ้นมากตามดีมานด์ แม้จะมีการปรับราคาขึ้นไปแล้วประมาณ 3-5% ตามภาวะเงินเฟ้อและค่าแรงในช่วงสามไตรมาสที่ผ่านมา ราคายังคงเป็นปัจจัยสำคัญที่จะส่งผลต่อการตัดสินใจของผู้ที่ต้องการซ่อมแซมและปรับปรุงบ้านในพื้นที่น้ำท่วม

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : มิติชน

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI ECONOMY

ตลาดอสังหาริมทรัพย์เชียงรายชะลอตัวหลังน้ำท่วม

ตลาดอสังหาริมทรัพย์เชียงรายยังชะลอตัวหลังน้ำท่วม พร้อมเรียกร้องมาตรการกระตุ้นจากรัฐบาล

เชียงราย, 22 ต.ค. 2567 – แม้ว่าน้ำท่วมในจังหวัดเชียงรายจะคลี่คลายลงแล้ว แต่ตลาดอสังหาริมทรัพย์ในพื้นที่ยังคงชะลอตัวอย่างต่อเนื่องตามสถานการณ์เศรษฐกิจที่ยังไม่ฟื้นตัว นายชินะ สุทธาธนโชติ นายกสมาคมอสังหาริมทรัพย์เชียงราย เปิดเผยในรายงานล่าสุดของมติชน ว่าตลาดอสังหาริมทรัพย์ยังไม่สามารถกลับมาฟื้นตัวได้อย่างเต็มที่และคาดว่ากำลังซื้อจะยังชะลอตัวไปถึงปี 2568 ก่อนที่จะเริ่มฟื้นตัวในปี 2569

สาเหตุที่ทำให้ตลาดชะลอตัว

นายชินะกล่าวว่า ปัญหาหลักที่ทำให้ตลาดอสังหาริมทรัพย์ชะลอตัวคืออัตราการถูกปฎิเสธสินเชื่อ (รีเจ็กต์เรต) ที่สูงถึง 70-80% โดยเฉพาะในกลุ่มบ้านราคาต่ำ 3 ล้านบาท นอกจากนี้ ความไม่เชื่อมั่นต่อเศรษฐกิจยังทำให้ผู้ซื้อบ้านไม่ต้องการก่อหนี้ระยะยาว ส่งผลให้กำลังซื้อลดลงประมาณ 20-30% เมื่อเทียบกับปี 2566

ผลกระทบต่อผู้ประกอบการอสังหาฯ

สถานการณ์นี้ส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ทุกระดับ ทั้งรายใหญ่ รายกลาง และรายย่อย โดยรายใหญ่จะมีสายป่านที่ยาวกว่า ทำให้สามารถรับมือกับสถานการณ์ได้ดีกว่ารายย่อยที่มีสต๊อกคงเหลือเยอะ นายชินะกล่าวว่า ผู้ประกอบการรายย่อยที่มีสต๊อกคงเหลือมากจะประสบปัญหาในการขาย เนื่องจากต้องเผชิญกับภาวะเศรษฐกิจที่ยังไม่ดี ความต้องการซื้อที่ลดลง และปัญหาน้ำท่วมที่ยังคงอยู่

กลยุทธ์การปรับตัวของตลาดอสังหาริมทรัพย์

เพื่อรับมือกับสถานการณ์นี้ นายชินะแจ้งว่ามีการนำโครงการขายลดราคาเพื่อปิดการขาย โดยเฉพาะโครงการที่เหลือขายไม่มาก เช่น 1-2 ยูนิต อาจมีการตัดลดราคาขายลง นอกจากนี้ ที่ดินในทำเลที่น้ำท่วมหนัก เช่น โซนปลายแม่น้ำกก อาจมีการปรับราคาขายลง เพื่อให้การซื้อขายเป็นไปได้ง่ายขึ้น เนื่องจากราคาที่ดินในตลาดในปัจจุบันไม่ได้ปรับขึ้นอย่างหวือหวาเหมือนเมื่อก่อน

เรียกร้องมาตรการจากรัฐบาล

นายชินะเรียกร้องให้รัฐบาลออกมาตรการกระตุ้นภาคอสังหาริมทรัพย์อย่างต่อเนื่อง เช่น การขยายเวลาลดค่าโอนกรรมสิทธิ์และค่าจดจำนอง ซึ่งกำหนดจะสิ้นสุดปลายปี 2567 และต้องขยายออกไปอีก รวมถึงการลดภาษีต่างๆ เช่น ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างที่เก็บ 100% เพื่อเป็นการลดภาระให้กับผู้ซื้อบ้าน

การสนับสนุนจากภาครัฐ

นายชินะกล่าวว่าการปล่อยสินเชื่อซอฟต์โลนผ่านธนาคารของรัฐ เช่น ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) และธนาคารออมสิน ถือเป็นการช่วยประคองตลาดในระดับหนึ่ง แต่ยังไม่เพียงพอ เนื่องจากผู้บริโภคยังไม่มีความเชื่อมั่นด้านเศรษฐกิจ ทำให้การตัดสินใจซื้อบ้านยังชะลอตัวไป

สถานการณ์ปัจจุบันของตลาดอสังหาริมทรัพย์

ในปี 2567 ตลาดอสังหาริมทรัพย์เชียงรายคาดว่าจะยังคงชะลอตัวไปถึงปีหน้า เนื่องจากผู้ซื้อบ้านยังไม่กลับมามีความพร้อมในการก่อหนี้และมีความเชื่อมั่นต่อเศรษฐกิจที่ยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่ ปัญหาการถูกปฎิเสธสินเชื่อที่สูงและภาวะเศรษฐกิจที่ยังไม่ดีเป็นอุปสรรคหลักที่ทำให้ตลาดอสังหาริมทรัพย์ยังไม่สามารถกลับมาฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็ว

มุมมองในอนาคต

นายชินะยังกล่าวว่าในอนาคตการฟื้นตัวของตลาดอสังหาริมทรัพย์เชียงรายจะขึ้นอยู่กับความสามารถในการปรับตัวของผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์และมาตรการกระตุ้นจากรัฐบาล หากรัฐบาลสามารถออกมาตรการที่เหมาะสมและครอบคลุม รวมถึงการฟื้นฟูเศรษฐกิจอย่างรวดเร็ว ตลาดอสังหาริมทรัพย์เชียงรายก็มีโอกาสที่จะกลับมาฟื้นตัวได้ในปี 2569

บทสรุป

ตลาดอสังหาริมทรัพย์เชียงรายยังคงเผชิญกับความท้าทายหลายประการหลังเหตุการณ์น้ำท่วม แม้สถานการณ์น้ำท่วมจะคลี่คลายลงแล้ว แต่เศรษฐกิจที่ยังไม่ฟื้นตัวและปัญหาการถูกปฎิเสธสินเชื่อที่สูงยังคงทำให้ตลาดอสังหาริมทรัพย์ชะลอตัว นายชินะ สุทธาธนโชติ นายกสมาคมอสังหาริมทรัพย์เชียงราย จึงเรียกร้องให้รัฐบาลออกมาตรการกระตุ้นภาคอสังหาริมทรัพย์อย่างต่อเนื่อง เพื่อช่วยให้ตลาดสามารถกลับมาฟื้นตัวได้ในอนาคต

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : มติชน

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
ECONOMY

บ้านใหม่และมือสองมีการ”ชะลอตัว” แต่มีทิศทางที่ติดลบน้อยลง

 

เมื่อวันที่ 18 สิงหาคม 2567 วิชัย วิรัตกพันธ์ ผู้ตรวจการธนาคาร และ รักษาการผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ กล่าวว่าภาวะการณ์โอนกรรมสิทธิ์แยกตามประเภทที่อยู่อาศัยทั่วประเทศ ระหว่างบ้านแนวราบและห้องชุด ในไตรมาส 2 ปี 2567 ภาพรวมบ้านแนวราบปรับตัว”ลดลง”ร้อยละ -9.9 โดยมีจำนวน 58,567 หน่วย และ มูลค่าภาพรวมบ้านแนวราบลดลงร้อยละ -6.4 โดยมีมูลค่า 172,889 ล้านบาท 

สำหรับระดับราคาที่มีการขยายตัวลดลงน้อยกว่าภาพรวม ได้แก่ ระดับราคาไม่เกิน 2 ล้านบาท ระดับราคา 5.01-7.50 ล้านบาท และบ้านแนวราบราคามากกว่า 10 ล้านบาท มีการขยายตัวเพิ่มขึ้นทั้งจำนวนหน่วยและมูลค่า ร้อยละ 3.2 และ 12.4 ตามลำดับ เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2566

เมื่อพิจารณาเปรียบเทียบระหว่างหน่วยโอนกรรมสิทธิ์บ้านแนวราบใหม่และมือสอง พบว่า บ้านแนวราบมือสอง มีการ”ชะลอตัว”ทั้งหน่วยและมูลค่า โดยลดลงร้อยละ -7.0 และ -7.1 ขณะที่บ้านแนวราบใหม่”ชะลอตัว”ลดลงร้อยละ -16.2 และ -5.7 ตามลำดับ โดยระดับราคาของบ้านแนวราบใหม่ที่ลดลงน้อยกว่าภาพรวมได้แก่ ระดับราคา 1.01-2.00 ล้านบาท  และ 5.01-10.00 ล้านบาท และบ้านแนวราบใหม่ราคามากกว่า 10 ล้านบาท มีการขยายตัวร้อยละ 10.1

ในขณะที่จำหน่วยโอนกรรมสิทธิ์อาคารชุด/คอนโดมิเนียมเพิ่มขึ้นร้อยละ 8.9 โดยมีจำนวน 28,431 หน่วย และมูลค่าลดลงร้อยละ -3.9 โดยมีมูลค่า 70,515 ล้านบาท ซึ่งระดับราคาที่มีขยายตัวเป็นบวก เป็นกลุ่มอาคารชุดที่ราคาไม่เกินกว่า 5 ล้านบาท

อย่างไรก็ตาม ทางศูนย์ข้อมูลอสังหาฯ ยังพบการ”ชะลอตัว”ด้านอุปสงค์ต่อเนื่องในไตรมาส 2 ปี 2567 แต่ก็มีทิศทางที่ดีขึ้นจากไตรมาสแรกพอสมควร แม้ว่าการขยายตัวของจำนวนหน่วยและมูลค่าการโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยทั่วประเทศ และจำนวนเงินสินเชื่อที่อยู่อาศัยบุคคลปล่อยใหม่ ในไตรมาส 2 ปี 2567 ยังคงติดลบเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่มีทิศทางที่ติดลบน้อยลง แต่มีการขยายตัวจากไตรมาส 1 ปี 2567 อย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งคาดว่าน่าจะเป็นผลจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านภาคอสังหาริมทรัพย์ของรัฐบาลที่เริ่มใช้ตั้งแต่ 9 เมษายน 2567 

หน่วยโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยทั่วประเทศในไตรมาส 2 ปี 2567 มีจำนวน 86,998 หน่วย มูลค่า 243,404 ล้านบาท โดยจำนวนหน่วยลดลงร้อยละ -4.5 และ มูลค่าลดลง ร้อยละ -5.7 ซึ่งน่าจะเป็นผลจาการที่สถาบันการเงินยังคงเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อ โดยพบว่ามูลค่าสินเชื่อที่อยู่อาศัยบุคคลปล่อยใหม่ทั่วประเทศมีจำนวน 144,115 ล้านบาท ลดลงร้อยละ -10.1  เมื่อเทียบกับไตรมาส 2 ปี 2566 แต่การชะลอตัวของด้านอุปสงค์ในไตรมาสนี้ มีการติดลบน้อยลงจากไตรมาส 1 ปี 2567 ที่เคยติดลบสูงถึงร้อยละ -13.8 ร้อยละ -13.4 และ ร้อยละ -20.5 ตามลำดับ 

หากพิจารณาถึงการขยายตัวจากการปรียบเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า (QoQ) แล้ว พบว่า จำนวนหน่วยและมูลค่าการโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยมีการขยายตัวถึงร้อยละ 19.3 และ 16.6 ตามลำดับ ขณะที่จำนวนเงินสินเชื่อที่อยู่อาศัยบุคคลปล่อยใหม่มีการขยายตัวร้อยละ 18.6 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
ECONOMY

อสังหาเชียงใหม่-เชียงรายแข่งลดราคา กู้ไม่ผ่านพุ่ง คาดในช่วงครึ่งหลังปี 2567 ดีขึ้น

 
เมื่อวันที่ 13 มีนาคม นายวิชัย วิรัตกพันธ์ ผู้ตรวจการธนาคารอาคารสงเคราะห์ และรักษาการผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์(REIC) เปิดเผยว่าจากการสำรวจโครงการที่อยู่อาศัยภาคเหนือ 5 จังหวัด ประกอบด้วย เชียงใหม่ เชียงราย นครสวรรค์ พิษณุโลก ลำพูน

ในครึ่งหลังปี 2566 พบว่าอุปทานพร้อมขายมี 16,954 หน่วย ลดลงจากครึ่งปีแรก 0.2% แต่มีมูลค่า 68,440 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1% แบ่งเป็น

 

  • อาคารชุด 1,795  หน่วย เพิ่มขึ้น 26.3 % มูลค่า 5,289 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 25.3 %
  • บ้านจัดสรร 15,159 หน่วย ลดลง 2.6% มูลค่า 63,151 ล้านบาท เพิ่มขึ้น  0.6 % เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า

แต่เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2565 จำนวนหน่วยพร้อมขายเพิ่มขึ้น 1.9% มูลค่าเพิ่มขึ้น 3.1% ทำให้ภาพรวมปี 2566 มีที่อยู่อาศัยใหม่เข้าสู่ตลาด 3,096 หน่วย มูลค่า 12,287 ล้านบาท

มีหน่วยขายได้ใหม่ลดลง 31.9% และมีหน่วยเหลือขาย 15,441 หน่วย เพิ่มขึ้น 3.6% มูลค่า 62,793 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4.5%

คาดการณ์ปี 2567  ภาพรวมเริ่มเป็นบวก ยอดขายใหม่มีจำนวนหน่วยเพิ่มขึ้น 27.5% และอัตราดูดซับจะขยับขึ้นเป็น 1.8%

 

“จากจำนวนหน่วยเหลือขายแยกตามประเภทก่อสร้าง มีที่อยู่อาศัยสร้างเสร็จเหลือขายถึง 4,877 หน่วยหรือ31.6% ของจำนวนหน่วยเหลือขายทั้งหมด เป็นอาคารชุดอยู่ระหว่างก่อสร้างและสร้างเสร็จเหลือขาย 1,543 หน่วย คิดเป็น 10% ส่วนบ้านจัดสรรสร้างเสร็จ 4,040 หน่วย อยู่ระหว่างสร้าง 2,497หน่วย ซึ่งเป็นที่น่าจับตา”นายวิชัยกล่าว

 

นายวิชัย กล่าวว่า สำหรับ 5 ทำเลที่มียอดขายสูงสุดในครึ่งปีหลัง ได้แก่ สันทราย เมืองเชียงราย แม่โจ้ ม.พายัพ และสารภี ส่วน 5 ทำเลที่มีหน่วยเหลือขายสูงสุด ได้แก่ เมืองเชียงราย 1,468 หน่วย มูลค่า 6,418 ล้านบาท สันทราย 1,339 หน่วย มูลค่า 4,434 ล้านบาท บ่อสร้าง-ดอยสะเก็ด 1,279 หน่วย มูลค่า 6,136 ล้านบาท ม.พายัพ 1,209 หน่วย มูลค่า 5,810 ล้านบาทและสนามบิน-ม.แม่ฟ้าหลวง 1,169 หน่วย มูลค่า 4,167 ล้านบาท

 

นายวิชัยกล่าวว่า คาดการณ์ปี 2567 จะมีที่อยู่อาศัยเปิดขายใหม่ 3,142 หน่วย มูลค่า 12,487 ล้านบาท เป็นบ้านจัดสรร 2,629 หน่วย มูลค่า 11,047 ล้านบาท และอาคารชุด 512 หน่วย มูลค่า 1,440 ล้านบาท โดยภาพรวมมีจำนวนเพิ่มขึ้น 1.5%  และคาดว่าจะมีหน่วยขายได้ใหม่ 4,105 หน่วย มูลค่า 17,323 ล้านบาท เป็นบ้านจัดสรร 3,034 หน่วย มูลค่า 14,360 ล้านบาท  และอาคารชุด 1,071 หน่วย มูลค่า 2,963 ล้านบาท

 

“จากการลงพื้นที่ภาคสนามพบเชียงใหม่จะแข่งขันลดราคาบ้านจัดสรร ขายดีเป็นบ้านเดี่ยว 3-5 ล้านบาท ส่วนอาคารชุดเน้นของแถมมากกว่าลดราคา ขายดีราคา 2-3 ล้านบาท ส่วนเชียงรายทำเลในเมืองยังได้รับความสนใจ โดยบ้านเป็นราคา 3-5 ล้านบาท อาคารชุด 1.5-2 ล้านบาท และใช้กลยุทธ์ลดราคาจูงใจในการซื้อ” นายวิชัยกล่าว

 

นายชินะ สุทธาธนโชติ นายกสมาคมอสังหาริมทรัพย์เชียงราย กล่าวว่า การฟื้นตัวของตลาดอสังหาฯในเชียงราย ยังล้อไปกับเศรษฐกิจของประเทศ เพราะเป็นเมืองรอง การท่องเที่ยวจึงขึ้นลงตามฤดูกาล ขณะที่สถานการณ์ตลาดกลุ่มบ้านเดี่ยวยังขยายตัวได้ดีโดยเฉพาะราคา 5 ล้านบาทขึ้นไป ลูกค้าไม่ได้รับผลกระทบจากดอกเบี้ยขาขึ้น ขณะที่กลุ่ม 1-3 ล้านบาท ชะลอตัวลงอย่างชัดเจนและตลาดมีสต๊อกสะสมอยู่จำนวนมา ทำให้การแข่งขันในตลาดรุนแรง และโดยมากถูกพัฒนาโดยบริษัทอสังหาท้องถิ่นรายเล็ก มีปัญหาขาดสภาพคล่อง ต้องใช้กลยุทธ์ลดราคาขายเพื่อดึงกระแสเงินสดกลับมา ขณะที่การเข้มงวดการปล่อยสินเชื่อของสถาบันการเงินก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ทำให้ตลาดแข่งขันสูง คาดในช่วงครึ่งหลังปี 2567 ตลาดอสังหาฯเชียงรายน่าจะมีการปรับตัวดีขึ้น

 

นายปรีดิกร บูรณุปกรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อรสิริน โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ภาพรวมตลาดอสังหาฯเชียงใหม่ฟื้นตัวต่อเนื่อง โดยได้รับอานิสงส์ภาคการท่องเที่ยวและต่างชาติที่เข้ามาจำนวนมาก โดยปี 2566 มีกว่า 3.5 ล้านคน เติบโต 50% จากปีก่อน โดยชาวจีนยังเป็นกลุ่มหลัก กว่า 50% รองลงมาอินเดีย ซึ่งส่งผลให้มีความต้องการซื้อคอนโดมิเนียมเพื่ออยู่อาศัยในระยะยาว ทำให้ทุกโครงการของบริษัทที่เปิดขายตั้งแต่ปี 2565 ถึงปัจจุบันมีต่างชาติจองซื้อเกือบเต็ม
โควต้า 49%แล้ว

 
 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ธนาคารอาคารสงเคราะห์ 

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News