Categories
AROUND CHIANG RAI NEWS UPDATE

“โฮงยาไทย Premium Clinic” กลางเซ็นทรัล นำร่องบริการสุขภาพถึงมือถึงชุมชน

เชียงรายพลิกโฉมบริการสุขภาพ “ถึงมือ-ถึงใจ-ถึงชุมชน” เซ็นทรัล เชียงราย จับมือ ‘โฮงยาไทย’ เปิด ‘ศูนย์ตรวจสุขภาพครบวงจร’ นำร่องลดแออัดโรงพยาบาล เชื่อมประสบการณ์การรักษาเข้ากับวิถีชีวิตเมือง

เชียงราย, 29 กันยายน 2568 เสียงปรบมือดังก้องลานชั้น 2 ของศูนย์การค้าเซ็นทรัล เชียงราย ในบ่ายวันอาทิตย์—ภาพของแพทย์ พยาบาล ผู้บริหารศูนย์การค้า และประชาชนที่หลั่งไหลมารอรับฟังข่าวดี สะท้อน “จุดตัดสำคัญ” ของระบบสุขภาพจังหวัดบนดอย เมื่อ โรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์ หรือที่คนเมืองเรียกติดปากว่า “โฮงยาไทย” ประกาศความร่วมมือกับ เซ็นทรัล เชียงราย เพื่อเปิด ศูนย์ตรวจสุขภาพครบวงจร” ภายในศูนย์การค้า—บริการแพทย์คุณภาพที่เลื่อนไหลไปกับจังหวะชีวิตในเมือง โดยตั้งเป้าช่วย “กระจายภาระ” ผู้ป่วยนอกจากโรงพยาบาลหลัก ลดระยะรอคอย และเพิ่มความสะดวกในการเข้าถึงบริการสำหรับคนเชียงรายและจังหวัดรอบข้างอย่างเป็นรูปธรรม

 “MOU” กลางเมือง เมื่อโรงพยาบาลไปหาประชาชน

ความร่วมมือครั้งนี้ “ไม่ใช่เพียงเช่าพื้นที่” หากคือการออกแบบประสบการณ์สุขภาพใหม่ทั้งระบบ จุดยืนชัดจากโพสต์ทางการของโรงพยาบาลที่ระบุการลงนาม บันทึกความร่วมมือ (MOU) ระหว่าง โฮงยาไทย กับ ศูนย์การค้าเซ็นทรัล เชียงราย เพื่อเตรียมเปิด “โฮงยาไทย Premium Clinic” ซึ่งพัฒนาต่อยอดเป็น ศูนย์ตรวจสุขภาพครบวงจร ให้บริการตรวจสุขภาพ เจาะเลือด วัคซีน และปรึกษาแพทย์โดยทีมผู้เชี่ยวชาญ ภายในโลเคชันที่เดินถึงง่าย จอดรถสะดวก และเชื่อมต่อการใช้ชีวิตประจำวันของผู้คนในเมืองโดยตรง

การเคลื่อนย้าย “บริการหน้าเคาน์เตอร์” มาไว้ใน “ศูนย์กลางการใช้ชีวิต” สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ Center of Life ของผู้พัฒนาศูนย์การค้าอย่าง Central Pattana (CPN) ที่ประกาศบทบาทศูนย์การค้าเป็นแพลตฟอร์มสำหรับทุกไลฟ์สไตล์ ไม่ใช่เพียงการจับจ่าย ซึ่งเมื่อบรรจบกับบริการสุขภาพ จะสร้าง “ประสบการณ์ที่จำเป็น” ใกล้มือประชาชนยิ่งขึ้น

โรงพยาบาลใหญ่—ผู้ป่วยนอกล้น ระบบนัดแน่น

“การรอคอย” คือความจริงที่คนไข้รับรู้ร่วมกัน โฮงยาไทยในฐานะ โรงพยาบาลศูนย์ระดับตติยภูมิ มีขนาดเตียงใช้งานจริงกว่า 800 เตียง—ตัวเลขสะท้อนภาระงานที่สูงของจังหวัดชายแดนที่เป็น “แม่เหล็ก” ให้บริการทางการแพทย์แก่ประชาชนทั้งในจังหวัดและพื้นที่ข้างเคียง ข้อมูลจากระบบฐานข้อมูลของกระทรวงสาธารณสุขระบุว่า โรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์มีเตียงผู้ป่วยใน 821 เตียง (รวม ICU หลายสาขา) ซึ่งอยู่ในระดับโรงพยาบาลศูนย์ชั้นนำของภูมิภาคเหนือ

แนวโน้มระดับประเทศก็ชี้ว่าโรงพยาบาลใหญ่กำลังปรับตัวเพื่อลดความแออัดผู้ป่วยนอก (OPD) ผ่าน Telemedicine และการกระจายจุดบริการ ข้อมูลล่าสุดระบุว่า จำนวนผู้รับบริการผู้ป่วยนอกเฉลี่ยต่อวันของโรงพยาบาลศูนย์ทั่วประเทศลดลงจาก 23,022 คน/วัน (ปี 2565) เหลือ 13,341 คน/วัน (ปี 2567) หลังหน่วยบริการเร่งใช้เครื่องมือดิจิทัลและรีดีไซน์เส้นทางบริการ—ตัวเลขที่สอดรับกับทิศทาง “ดึงบริการเบา” ออกจากโรงพยาบาลหลัก เพื่อตอบโจทย์ผู้ป่วยหนักและซับซ้อนมากขึ้น

ดังนั้น ศูนย์ตรวจสุขภาพที่ “ไปหา” ประชาชนในห้าง จึงไม่ใช่แฟชั่น หากเป็น “การปฏิรูปเชิงพื้นที่” ให้บริการป้องกันโรคและดูแลโรคไม่รุนแรงใกล้บ้าน เพื่อให้โรงพยาบาลหลัก “ว่างพอ” สำหรับกรณีฉุกเฉินและซับซ้อน—คลี่ปมหลักของระบบ

ตรวจ เจาะ วัคซีน ปรึกษาแพทย์—ครบวงจรในจุดเดียว

จากข้อมูลประชาสัมพันธ์ของเซ็นทรัล เชียงรายและเครือข่ายท้องถิ่น บริการหลักของ ศูนย์ตรวจสุขภาพครบวงจร ประกอบด้วย
1) โปรแกรมตรวจสุขภาพและ การตรวจโลหิต (Blood Work) สำหรับคัดกรองความเสี่ยงโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) และติดตามผลอย่างต่อเนื่อง
2) วัคซีน จำเป็นตามช่วงวัย และตามฤดูกาล เพื่อยกระดับภูมิคุ้มกันชุมชน
3) ปรึกษาแพทย์เฉพาะทาง ครอบคลุมเวชปฏิบัติทั่วไป เวชศาสตร์ครอบครัว รวมถึงการบูรณาการแพทย์แผนไทย/แพทย์แผนจีนกับเวชกรรมสมัยใหม่ ให้คำแนะนำด้านโภชนาการ การเลิกบุหรี่ และสุขภาวะองค์รวมในคนทำงานและผู้สูงอายุ

ทิศทาง “แพทย์บูรณาการ” ไม่ใช่เรื่องใหม่ในนโยบายสาธารณสุขไทย ช่วงหลัง กระทรวงสาธารณสุข ขับเคลื่อนความร่วมมือระหว่าง กรมการแพทย์ และ กรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก เพื่อผสาน “ตะวันตก–ตะวันออก” ให้บริการตอบโจทย์ปัจเจก—แนวทางนี้ถูกถ่ายทอดสู่ระดับพื้นที่ผ่านคลินิกปฐมภูมิและบริการส่งเสริมสุขภาพในเมืองอย่างต่อเนื่อง

ทำเลและเวลา สุขภาพที่ไม่ต้อง “ลางานทั้งวัน”

การตั้งจุดบริการในศูนย์การค้าใจกลางเมือง ทำให้ประชาชนสามารถ “ตรวจ–ฉีด–ปรึกษา” ควบคู่กับภารกิจประจำวัน ลดต้นทุนแฝงจากการเดินทางและการรอคอย โดยแนวปฏิบัติของโฮงยาไทยก่อนหน้านี้ก็เคลื่อนบริการบางส่วนไปใกล้ชุมชน เช่น โครงการเจาะเลือดล่วงหน้าใกล้บ้าน ร่วมกับพันธมิตรแล็บในจังหวัดเพื่อย่นเวลา รอผลสั้น พบแพทย์ไว—กรอบคิดเดียวกับการเปิด ศูนย์ตรวจสุขภาพ ในห้าง ที่พยายาม “วางเส้นทาง” ให้สั้นและง่ายที่สุดสำหรับประชาชนที่ต้องการบริการป้องกันและติดตามโรคเรื้อรังที่ควบคุมได้

ดุลยภาพใหม่ระหว่าง “คุณภาพ–ความสะดวก–ความเท่าเทียม”

แม้ในงานเปิดตัวจะเน้นภาพรวมมากกว่าคำกล่าวยาว ๆ ของผู้บริหาร แต่สาระที่หน่วยงานสาธารณสุขจังหวัดสื่อสารตลอดปีที่ผ่านมา คือภารกิจ ยกระดับภูมิคุ้มกันชุมชน” และ ขยายจุดเข้าถึงวัคซีน–คัดกรอง เพื่อไล่ทันความเสี่ยงในทุกอำเภอ—การมี “แขนขา” ในห้างจึงช่วยเพิ่มการเข้าถึงกลุ่มวัยทำงานและครอบครัวที่เดินห้างเป็นกิจวัตร พร้อมย้ำบทบาท “สาธารณสุขเชิงรุก” ในพื้นที่เมืองหลักของจังหวัด

ในอีกมุมหนึ่ง การจับมือครั้งนี้ยังสะท้อน “ดุลยภาพใหม่” ระหว่าง คุณภาพทางการแพทย์ ของโรงพยาบาลศูนย์ (ซึ่งมีศักยภาพเตียงรวมกว่า 800 เตียง และบุคลากรสหสาขาวิชาชีพครบถ้วน) กับ ความสะดวก และ ประสบการณ์ผู้ใช้บริการ ที่เครือเซ็นทรัลขับเคลื่อนภายใต้แนวคิด Center of Life—ทำให้บริการสุขภาพฐานราก “น่าไป” ไม่ใช่ “จำใจไป”

ข้อมูลชวนคิด ตัวเลขที่บอกว่า “ใกล้ขึ้น–เร็วขึ้น–คุ้มค่าขึ้น”

  • ผู้ป่วยนอกในโรงพยาบาลศูนย์ทั่วประเทศลดลงต่อเนื่อง 3 ปีซ้อน หลังใช้ Telemedicine และออกแบบเส้นทางบริการใหม่—จาก 23,022 คน/วัน (2565) เหลือ 13,341 คน/วัน (2567) สะท้อนว่าการ “ย้ายบริการเบาออกนอกอาคารใหญ่” มีผลลัพธ์จริงระดับระบบ
  • ศักยภาพเตียงโฮงยาไทย 821 เตียง คือทรัพยากรอันจำกัดที่ควรถูกใช้กับผู้ป่วยซับซ้อน—การให้บริการตรวจสุขภาพพื้นฐานและวัคซีนในเมือง จึงช่วย กันคิว ห้องตรวจและเตียงสำหรับผู้ป่วยที่ต้องการความเชี่ยวชาญสูง
  • วาระการแพทย์บูรณาการ ระดับกระทรวง ทำให้ แพทย์แผนไทย/จีน ก้าวเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของการดูแลโรคทั่วไปและส่งเสริมสุขภาพ—เหมาะกับบริการในห้างที่ต้องการความ “นุ่มนวล–เข้าถึงง่าย” แต่ยังคงมาตรฐานทางการแพทย์

จากจุดตั้งต้นสู่แผนขยาย ฐานรากของ “เมืองสุขภาวะ”

การเปิดศูนย์ตรวจสุขภาพในศูนย์การค้า ไม่ใช่จุดสิ้นสุด แต่คือ “ฐาน” ของการขยายเครือข่ายบริการสุขภาพในเมือง—โมเดลที่อาจต่อยอดสู่ คลินิกเรื้อรังคงที่, มุมสุขภาพวัยทำงาน, บริการวัคซีนตามฤดูกาล หรือ กิจกรรมคัดกรองกลุ่มเสี่ยง เชิงรุกในวันหยุด ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มที่ สาธารณสุขจังหวัด ใช้มาต่อเนื่องผ่านการตั้งจุดบริการนอกโรงพยาบาลในพื้นที่ชุมชนและอำเภอรอบนอก

และเมื่อ ศูนย์การค้าสมัยใหม่ กลายเป็น “สนามปฏิบัติการ” ของสุขภาวะ เมืองย่อมได้ประโยชน์มากกว่าตัวเลขผู้ใช้บริการ—เพราะทุกกิจกรรมสุขภาพที่เกิดขึ้นในพื้นที่ใช้สอยของห้าง ส่งต่อ รายได้แก่ผู้ประกอบการท้องถิ่น (ร้านอาหาร–คาเฟ่–สินค้าเพื่อสุขภาพ) ขณะเดียวกันก็ช่วยบ่มเพาะ “วัฒนธรรมดูแลตัวเอง” ให้เป็น กิจวัตร มากกว่า ภาระ

เสียงสะท้อนจากชุมชน “โฮงยาไทย” ที่ใกล้ขึ้น

สื่อท้องถิ่นหลายสำนักและคอนเทนต์ครีเอเตอร์ในเชียงรายติดตามเรื่องนี้อย่างใกล้ชิด โดยพาดหัวร่วมกันว่า พรีเมียมคลินิกในห้าง—ทางเลือกใหม่เพื่อลดแออัด” พร้อมอธิบายขอบเขตบริการที่ “เหมาะกับอาการทั่วไปและโรคเรื้อรังคงที่” เพื่อไม่ให้ประชาชนสับสนกับบริการฉุกเฉิน ซึ่งยังต้องไปที่โรงพยาบาลหลักเหมือนเดิม—การสื่อสารเช่นนี้ช่วยปรับความคาดหวังของผู้ใช้บริการให้ตรงกับธรรมชาติของคลินิกในเมือง

นอกจากนี้ บัญชีทางการของ โฮงยาไทย ยังสื่อสารอย่างต่อเนื่องผ่าน Facebook Live ทั้งเรื่องก้าวต่อไปขององค์กร และบริการใหม่ ๆ เช่น Telehealth Center—เป็นสัญญาณว่าโรงพยาบาลกำลัง “เดินสองขา” ทั้ง ทางไกล และ ทางใกล้ เพื่อเพิ่มช่องทางบริการหลากหลายให้ประชาชนเลือกใช้ตามความเหมาะสม

ความเสี่ยง–ข้อพึงระวัง คุณภาพมาตรฐานและการเชื่อมข้อมูล

แม้ศูนย์ในห้างจะตอบโจทย์ “เข้าถึงง่าย” แต่โจทย์เชิงเทคนิคสำคัญคือ การเชื่อมต่อข้อมูลสุขภาพ ระหว่างคลินิกในเมืองกับโรงพยาบาลหลัก ทั้ง แฟ้มเวชระเบียน, ผลแลบบนระบบ, ยานัดหมาย, และ การดูแลต่อเนื่อง โดยเฉพาะผู้ป่วยเรื้อรัง—หากออกแบบระบบดี จะทำให้ผู้ป่วย ตรวจ–รับยา–ติดตาม ได้ในเมือง และกลับโรงพยาบาลเฉพาะเมื่อจำเป็น ซึ่งโฮงยาไทยมีประสบการณ์ทำงานร่วมกับแล็บเครือข่ายและการนัดหมายล่วงหน้าอยู่แล้ว จึงมีฐานข้อมูลพร้อมต่อยอดสู่บริการในห้างได้รวดเร็ว

อีกด้าน มาตรฐานความปลอดภัย ของการให้บริการในพื้นที่ศูนย์การค้า ต้องคงคุณภาพเทียบเท่าพื้นที่โรงพยาบาล ทั้งการควบคุมการติดเชื้อ การจัดการเวชภัณฑ์ และระบบส่งต่อฉุกเฉิน—ซึ่งการมี พันธมิตรภาคเอกชน ที่มีระบบบริหารจัดการพื้นที่เข้มแข็ง (เช่น CPN) ช่วยลดความเสี่ยงปฏิบัติการในวันแรก ๆ ได้อย่างมีนัยสำคัญ

เมืองที่ “กอดสุขภาพ” ไว้ในชีวิตประจำวัน

เมื่อเรื่องเล่ามาถึงฉากสุดท้าย—เชียงรายกำลังวางรากฐาน เมืองสุขภาวะ” ด้วยการเหลื่อมซ้อนบริการสาธารณสุขลงบนพื้นที่ชีวิตจริง บนทางเดินที่ใคร ๆ ก็แวะได้ โฮงยาไทยยังคงเป็น แบ็กโบน ของการรักษาระดับสูง ส่วน ศูนย์ตรวจสุขภาพในห้าง รับช่วงงานป้องกัน–คัดกรอง–ติดตามอาการทั่วไป—นี่คือ ระบบสองชั้น ที่พยายามส่ง “ทรัพยากรแพทย์” ไปอยู่ “ที่ถูกที่–ถูกเวลา–ถูกคน”

และเมื่อประชาชน “พบหมอ” ง่ายขึ้น “ฉีดวัคซีน” ใกล้ขึ้น “เจาะเลือด” สะดวกขึ้น—ระบบสุขภาพทั้งจังหวัดก็จะ หายใจโล่งขึ้น เฉกเช่นอากาศยามเช้าบนดอยตุง

ข้อมูลสำคัญโดยสรุป

  • MOU โฮงยาไทย x เซ็นทรัล เชียงราย เพื่อเปิด “โฮงยาไทย Premium Clinic / ศูนย์ตรวจสุขภาพครบวงจร” ในห้าง—นำบริการตรวจสุขภาพ วัคซีน และปรึกษาแพทย์ใกล้ชุมชนเมือง เพื่อลดแออัดโรงพยาบาลหลักและเพิ่มการเข้าถึงบริการเชิงป้องกันของประชาชน
  • โฮงยาไทย = โรงพยาบาลศูนย์ ศักยภาพเตียง 821 เตียง (หลาย ICU)—ทรัพยากรสำคัญที่ควรถูกกันไว้สำหรับกรณีซับซ้อนและฉุกเฉิน การดึงบริการเบาออกนอกโรงพยาบาลจึงช่วยใช้เตียงให้ตรงภารกิจมากขึ้น
  • แนวโน้มประเทศ ผู้ป่วยนอกโรงพยาบาลศูนย์ลดลงต่อเนื่องหลังปรับใช้ Telemedicine และรีดีไซน์บริการ—ยืนยันประสิทธิผลของ “การกระจายจุดบริการ” และ “ดิจิทัลเฮลท์” ในการคลายคอขวดระบบ
  • นโยบายบูรณาการแพทย์ กรมการแพทย์จับมือกรมการแพทย์แผนไทยฯ ผลักดันบริการผสมผสาน—สอดรับบริการแพทย์แผนไทย/จีนในศูนย์ตรวจสุขภาพรูปแบบใหม่ในเมือง
  • สาธารณสุขจังหวัด ขับเคลื่อนวัคซีนพื้นฐานและงานส่งเสริมสุขภาพเชิงรุก—การมีจุดบริการในห้างช่วยเข้าถึงกลุ่มวัยทำงานและครอบครัวได้มากขึ้น

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • โรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์
  • Central Chiangrai
  • สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงราย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
ECONOMY

รับสร้างบ้านปี 67 วูบ 20% คนไทยสร้างบ้านเองน้อยลง

สร้างบ้านเองลดฮวบ! ตลาดรับสร้างบ้านปี 67 ดิ่งลง 20%

ประเทศไทย, 18 กุมภาพันธ์ 2568 – HBA เผยตลาดรับสร้างบ้านปี 2567 หดตัว 20% คาดปี 2568 ทรงตัวที่ 200,000 ล้านบาท

นายอนันต์กร อมรวาที นายกสมาคมธุรกิจรับสร้างบ้าน (HBA: Home Builder Association) เปิดเผยว่า ภาพรวมตลาดรับสร้างบ้านทั่วประเทศในปี 2567 มีมูลค่าประมาณ 211,000 ล้านบาท ลดลง 20% จากปีก่อนหน้า เนื่องจากคนไทยสร้างบ้านเองลดลง โดยเฉพาะในพื้นที่ กรุงเทพฯ และปริมณฑล ที่ลดลงมากกว่าต่างจังหวัด

หากแบ่งเป็นรายพื้นที่ กรุงเทพฯ และปริมณฑลมีสัดส่วน 24.37% มูลค่า 51,421 ล้านบาท ส่วนต่างจังหวัดมีสัดส่วน 75.63% มูลค่า 159,579 ล้านบาท กระจายอยู่ในทุกภูมิภาคทั่วประเทศ ดังนี้:

  1. ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 18.76% มูลค่า 39,584 ล้านบาท ตลาดใหญ่สุด: นครราชสีมา ขอนแก่น บุรีรัมย์
  2. ภาคใต้ 16.83% มูลค่า 35,511 ล้านบาท ตลาดใหญ่สุด: สงขลา นครศรีธรรมราช ภูเก็ต
  3. ภาคเหนือ 15.72% มูลค่า 33,169 ล้านบาท ตลาดใหญ่สุด: เชียงใหม่ ลำปาง เชียงราย
  4. ภาคตะวันออก 12.58% มูลค่า 26,544 ล้านบาท ตลาดใหญ่สุด: ชลบุรี ระยอง ฉะเชิงเทรา
  5. ภาคตะวันตก 7.52% มูลค่า 15,867 ล้านบาท ตลาดใหญ่สุด: ราชบุรี ประจวบคีรีขันธ์ เพชรบุรี
  6. ภาคกลาง 4.22% มูลค่า 8,904 ล้านบาท ตลาดใหญ่สุด: สระบุรี พระนครศรีอยุธยา ลพบุรี

ธุรกิจรับสร้างบ้านไม่ถดถอย แต่ชะลอตัวจากปัจจัยเศรษฐกิจ

ขณะที่มูลค่าตลาดรับสร้างบ้านในส่วนของสมาชิกสมาคมฯ อยู่ที่ประมาณ 10,000 ล้านบาท ซึ่งยังอยู่ในภาวะทรงตัว เนื่องจากขาดปัจจัยสนับสนุนที่ชัดเจน เช่น อัตราดอกเบี้ยสูง ความเชื่อมั่นผู้บริโภคต่อภาวะเศรษฐกิจ และภาระหนี้สินครัวเรือนที่เพิ่มขึ้น แม้ว่าเศรษฐกิจจะถดถอยหรือเติบโต ธุรกิจรับสร้างบ้านก็ไม่ได้รับผลกระทบมากนัก

นายอนันต์กรกล่าวว่า แม้ปัจจุบันผู้บริโภคจะชะลอการตัดสินใจสร้างบ้าน แต่คาดว่าตัวเลขรายได้ในปี 2568 น่าจะเติบโตใกล้เคียงกับปี 2567 ที่มีมูลค่ามากกว่า 200,000 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม ภาครัฐควรเร่งกระตุ้นเศรษฐกิจโดยเฉพาะการสร้างเสถียรภาพทางการเมือง และแก้ไขข้อจำกัดทางกฎหมายเกี่ยวกับแรงงาน เพื่อให้แรงงานต่างด้าวสามารถเข้ามาทำงานในไทยได้ง่ายขึ้น

โครงการบ้านเพื่อคนไทยไม่กระทบตลาดรับสร้างบ้าน

สำหรับโครงการ บ้านเพื่อคนไทย” ซึ่งมีเป้าหมายช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อยให้มีบ้านเป็นของตนเองนั้น นายอนันต์กรมองว่า ไม่มีผลกระทบต่อตลาดรับสร้างบ้าน เนื่องจากเป็นกลุ่มเป้าหมายที่แตกต่างกัน โดย ตลาดรับสร้างบ้านส่วนใหญ่เป็นบ้านมูลค่า 2-3 ล้านบาทขึ้นไป และส่วนใหญ่เป็นบ้านระดับ 3-100 ล้านบาท ซึ่งแตกต่างจากโครงการบ้านเพื่อคนไทยที่เน้นกลุ่มผู้ซื้อบ้านหลังแรกที่มีรายได้น้อย

ปรับเงื่อนไขบ้านบีโอไอไม่มีผลต่อตลาดรับสร้างบ้าน

ในกรณีการปรับเงื่อนไขบ้านบีโอไอเพื่อจูงใจเอกชนให้เข้าร่วมโครงการบ้านเพื่อคนไทย นายอนันต์กรมองว่า ไม่มีผลกระทบ เนื่องจากเป็นกลุ่มเป้าหมายที่แตกต่างกัน โดยกลุ่มลูกค้าของบริษัทรับสร้างบ้านส่วนใหญ่ เป็นเจ้าของที่ดินเอง และต้องการบ้านที่มีดีไซน์เฉพาะ ไม่ใช่บ้านจัดสรรหรือบ้านในโครงการทั่วไป

ธุรกิจรับสร้างบ้านไม่หวั่นกลุ่มทุนต่างชาติ-จีนเทา

สำหรับกระแสข่าวเกี่ยวกับ นักลงทุนต่างชาติและกลุ่มทุนจีนเทา ที่เข้ามาลงทุนในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ไทย นายอนันต์กรมองว่า ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อตลาดรับสร้างบ้าน เนื่องจากธุรกิจรับสร้างบ้านของสมาคมฯ มีลักษณะเฉพาะเจาะจง และลูกค้าส่วนใหญ่เป็นคนไทยที่มีที่ดินเป็นของตนเอง

“กลุ่มทุนจีนเทาที่เข้ามาในไทยมักเน้นลงทุนใน ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ศูนย์เหรียญ หรือโครงการคอนโดมิเนียม มากกว่าธุรกิจรับสร้างบ้าน ซึ่งเป็นตลาดที่มีลักษณะเฉพาะและไม่ได้พึ่งพาการลงทุนจากต่างชาติ” นายอนันต์กรกล่าว

HBA เตรียมมาตรการส่งเสริมตลาดรับสร้างบ้านปี 2568

สมาคมธุรกิจรับสร้างบ้าน เตรียมดำเนินมาตรการส่งเสริมตลาดรับสร้างบ้านในปี 2568 โดยเน้น การสร้างความเข้าใจและกระตุ้นการรับรู้ของผู้บริโภค ผ่านการให้ข้อมูลด้านการออกแบบ เทคโนโลยีการก่อสร้าง และแนวโน้มการสร้างบ้านในอนาคต พร้อมทั้งร่วมมือกับภาครัฐและภาคเอกชนเพื่อพัฒนาแรงงานก่อสร้าง และผลักดันให้เกิดมาตรการกระตุ้นตลาดอย่างเป็นรูปธรรม

ปี 2568 เป็นปีแห่งความท้าทาย แต่เรามั่นใจว่าธุรกิจรับสร้างบ้านจะยังคงเติบโตได้ภายใต้เงื่อนไขเศรษฐกิจที่เหมาะสม และการสนับสนุนจากภาครัฐ” นายอนันต์กรกล่าวสรุป

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สมาคมธุรกิจรับสร้างบ้าน (HBA: Home Builder Association)

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
ECONOMY

บ้าน-รถยนต์โคม่า เอกชนชงรัฐ ลดหย่อนภาษีกระตุ้นกำลังซื้อ

วิกฤตกำลังซื้อบ้าน-รถยนต์ปี 2568: ความท้าทายและแนวทางกระตุ้นตลาด

กรุงเทพฯ, 15 กุมภาพันธ์ 2568 – สำนักข่าว ประชาชาติธุรกิจ รายงานว่าตลาดรถยนต์และอสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทยกำลังเผชิญกับวิกฤตการณ์ครั้งใหญ่ จากปัญหากำลังซื้อที่ลดลงอย่างรุนแรง สาเหตุหลักมาจากสถาบันการเงินที่เข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อ รวมถึงภาระหนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูง ส่งผลให้ตลาดหดตัวอย่างหนัก ทั้งในภาคอสังหาริมทรัพย์และอุตสาหกรรมยานยนต์ ซึ่งภาคธุรกิจและภาครัฐต่างเร่งมือหาแนวทางกระตุ้นเศรษฐกิจให้ฟื้นตัว

ภาวะตลาดอสังหาริมทรัพย์และยานยนต์ในปี 2567 – 2568

  1. ตลาดรถยนต์ซบเซาหนักสุดในรอบ 15 ปี
  • ยอดขายรถยนต์ในปี 2567 ลดลงเหลือเพียง 570,000 คัน หดตัวเกือบ 30% เมื่อเทียบกับปีก่อน
  • ตลาดรถกระบะได้รับผลกระทบหนัก เนื่องจากประชาชนขาดสภาพคล่องและไม่สามารถขอสินเชื่อได้
  • ลีสซิ่งและสินเชื่อรถยนต์ได้รับผลกระทบจากอัตราปฏิเสธสินเชื่อที่สูงขึ้น
  1. ภาวะตลาดบ้านและคอนโดฯ ลดลงกว่า 40%
  • ความเข้มงวดของสถาบันการเงินทำให้ประชาชนขอสินเชื่อบ้านได้ยากขึ้น
  • โครงการอสังหาฯ ใหม่ลดลง โดยเฉพาะโครงการขนาดกลางและเล็กที่แทบไม่มีที่ยืน
  • นโยบาย Loan to Value (LTV) ส่งผลกระทบต่อกลุ่มบ้านราคาแพง ทำให้ยอดขายลดลง

มาตรการภาครัฐและสถาบันการเงิน

  1. บสย. เสนอค้ำประกันสินเชื่อรถกระบะ
  • บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) เตรียมเข้ามาช่วยค้ำประกันสินเชื่อรถยนต์ เพื่อเพิ่มโอกาสให้ประชาชนสามารถซื้อรถได้ง่ายขึ้น
  • เน้นช่วยเหลือกลุ่มที่ใช้รถเพื่อประกอบอาชีพ เช่น เกษตรกร และผู้ขับขี่รับจ้าง
  1. การถกมาตรการปลดล็อก LTV กับ ธปท.
  • 3 สมาคมอสังหาฯ และ 3 แบงก์ใหญ่เข้าหารือกับ ธปท. เพื่อขอผ่อนปรนมาตรการ LTV
  • ข้อเสนอหลักคือการลดภาระเงินดาวน์สำหรับบ้านหลังที่ 2 และ 3
  • มาตรการนี้จะช่วยให้กลุ่มผู้มีรายได้ปานกลางถึงสูงสามารถซื้อบ้านได้ง่ายขึ้น
  1. ข้อเสนอ “ลดหย่อนภาษีค่างวดรถยนต์”
  • บริษัทลีสซิ่งเสนอให้ผู้ซื้อรถยนต์สามารถนำค่างวดมาลดหย่อนภาษีได้
  • แนวคิดนี้คล้ายกับมาตรการภาษีสำหรับผู้ซื้อบ้าน ซึ่งช่วยให้ผู้ที่ต้องการซื้อรถมีกำลังซื้อเพิ่มขึ้น
  • ข้อเสนอนี้ยังอยู่ในระหว่างการพิจารณาของกระทรวงการคลัง

ผลกระทบที่เกิดขึ้นกับภาคประชาชนและธุรกิจ

  1. กลุ่มประชาชนทั่วไป
  • ผู้ที่ต้องการซื้อบ้านและรถยนต์ได้รับผลกระทบจากการเข้มงวดสินเชื่อ
  • หนี้ครัวเรือนที่สูงทำให้ความสามารถในการชำระหนี้ลดลง
  • ปัญหาการขอสินเชื่อไม่ผ่านส่งผลให้ประชาชนต้องเช่าที่อยู่อาศัยหรือใช้รถเก่าแทนการซื้อใหม่
  1. ผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์และค่ายรถยนต์
  • ผู้พัฒนาโครงการขนาดเล็กและกลางได้รับผลกระทบหนักจากยอดขายที่ตกต่ำ
  • โรงงานผลิตรถยนต์และดีลเลอร์ต้องปรับกลยุทธ์เพื่อรับมือกับความต้องการที่ลดลง

ข้อเสนอ 6 มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาคอสังหาฯ

  1. ผ่อนปรน LTV ทุกระดับราคา
  2. ขยายมาตรการลดค่าโอนและจดจำนองถึงสิ้นปี 2568
  3. ลดหย่อนภาษีเงินได้สำหรับผู้ซื้อบ้านทุกระดับราคา
  4. ให้ผู้ซื้อสามารถนำราคาบ้านมาหักลดหย่อนภาษีได้
  5. ลดภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง 50% ในปี 2568
  6. ยกเว้นภาษีธุรกิจเฉพาะ 3.3% เพื่อช่วยลดต้นทุนของผู้พัฒนาโครงการ

สรุป

ตลาดอสังหาริมทรัพย์และยานยนต์ของไทยกำลังเผชิญวิกฤตจากปัญหากำลังซื้อที่ลดลง แม้ภาคธุรกิจและภาครัฐจะพยายามหาทางออกด้วยมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ แต่ปัจจัยสำคัญยังอยู่ที่ความสามารถของประชาชนในการเข้าถึงสินเชื่อ หากมาตรการที่เสนอสามารถดำเนินการได้อย่างมีประสิทธิภาพ ก็อาจช่วยให้ตลาดฟื้นตัวได้ในช่วงครึ่งหลังของปี 2568

FAQ: คำถามที่พบบ่อย

  1. ทำไมตลาดรถยนต์และบ้านถึงหดตัวหนักในปี 2567 – 2568?

เศรษฐกิจที่ชะลอตัว หนี้ครัวเรือนที่สูง และการเข้มงวดของสถาบันการเงินทำให้ประชาชนไม่สามารถขอสินเชื่อได้ง่าย

  1. มาตรการของภาครัฐในการช่วยเหลือผู้ซื้อบ้านมีอะไรบ้าง?

มีมาตรการลดค่าโอน-จดจำนอง, การผ่อนปรน LTV และข้อเสนอการลดหย่อนภาษีสำหรับผู้ซื้อบ้าน

  1. ทำไมภาคธุรกิจต้องการให้ลดหย่อนภาษีค่างวดรถยนต์?

เพื่อช่วยให้ประชาชนสามารถซื้อรถได้ง่ายขึ้น ลดภาระการผ่อนชำระ และกระตุ้นยอดขายในอุตสาหกรรมรถยนต์

  1. LTV คืออะไร และมีผลกระทบต่อประชาชนอย่างไร?

LTV (Loan to Value) เป็นมาตรการที่กำหนดเงินดาวน์สำหรับการขอสินเชื่อบ้าน การเข้มงวดของมาตรการนี้ทำให้ผู้ซื้อบ้านต้องวางเงินดาวน์สูงขึ้น

  1. มีโอกาสที่ตลาดจะฟื้นตัวในปี 2568 หรือไม่?

หากมาตรการกระตุ้นกำลังซื้อถูกนำมาใช้และเศรษฐกิจปรับตัวดีขึ้น อาจช่วยให้ตลาดอสังหาริมทรัพย์และยานยนต์ฟื้นตัวได้ในช่วงครึ่งปีหลัง

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ประชาชาติธุรกิจ

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
ECONOMY

ตลาดอสังหาฯ ปี 68 มีสัญญาณฟื้นตัว หลังมาตรการลดค่าธรรมเนียมหนุน

 

ภาพรวมตลาดที่อยู่อาศัยไตรมาส 3 ปี 2567 สัญญาณฟื้นตัวแม้ยังติดลบเล็กน้อย

เมื่อวันที่ 18 พฤศจิกายน 2567 นายกมลภพ วีระพละ กรรมการผู้จัดการ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) และรักษาการผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ (REIC) เปิดเผยถึงสถานการณ์ตลาดที่อยู่อาศัยในช่วงไตรมาสที่ 2 – 3 ของปี 2567 ว่ายังคงเผชิญกับการชะลอตัวเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน อย่างไรก็ตาม พบว่าการติดลบลดลงจากไตรมาส 2 ซึ่งสะท้อนถึงแนวโน้มการฟื้นตัวของตลาดที่อยู่อาศัยหลังได้รับแรงสนับสนุนจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ โดยเฉพาะการลดค่าธรรมเนียมโอนและจดจำนองเหลือ 0.01% สำหรับที่อยู่อาศัยที่มีมูลค่าไม่เกิน 7 ล้านบาท ซึ่งขยายจากเดิมที่กำหนดไว้เพียง 3 ล้านบาทเท่านั้น

ยอดโอนกรรมสิทธิ์ฟื้นตัวในกลุ่มอาคารชุด

มาตรการดังกล่าวส่งผลให้ยอดการโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยในกลุ่มราคาเกิน 7 ล้านบาทเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะอาคารชุดที่มีการโอนเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน ในขณะที่การโอนกรรมสิทธิ์ของที่อยู่อาศัยแนวราบกลับลดลงเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ทั้งนี้ REIC คาดการณ์ว่าการโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยทั่วประเทศในปี 2567 จะมีจำนวนทั้งสิ้น 350,545 หน่วย ลดลงจากปีก่อนหน้าประมาณ 4.4% แบ่งเป็นที่อยู่อาศัยแนวราบ 243,088 หน่วย ลดลง 6.0% และอาคารชุด 107,456 หน่วย ลดลงเพียง 0.6%

แนวโน้มการฟื้นตัวในปี 2568

สำหรับปี 2568 คาดว่าจะมีสัญญาณการฟื้นตัวที่ชัดเจนขึ้น โดย REIC ประมาณการณ์ว่าจำนวนหน่วยโอนกรรมสิทธิ์จะเพิ่มขึ้นเป็น 363,600 หน่วย คิดเป็นอัตราการเติบโต 3.7% หรืออยู่ในช่วง -4.5% ถึง 12.3% โดยที่อยู่อาศัยแนวราบคาดว่าจะมีการโอนจำนวน 254,520 หน่วย เพิ่มขึ้น 4.7% ส่วนอาคารชุดคาดว่าจะมีการโอน 109,080 หน่วย เพิ่มขึ้น 1.5%

ในด้านมูลค่าการโอนกรรมสิทธิ์คาดว่าจะมีมูลค่ารวมทั้งสิ้น 1,043,300 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3.0% จากปี 2567 ซึ่งที่อยู่อาศัยแนวราบจะมีมูลค่าการโอนประมาณ 739,700 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3.2% ส่วนอาคารชุดจะมีมูลค่าการโอน 303,600 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2.7%

ตลาดอสังหาฯ รับแรงสนับสนุนจากมาตรการลดค่าธรรมเนียม

นายกมลภพกล่าวเพิ่มเติมว่า การปรับลดค่าธรรมเนียมโอนและจดจำนองเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยกระตุ้นความต้องการซื้อที่อยู่อาศัย โดยเฉพาะในกลุ่มที่มีมูลค่าสูงกว่า 7 ล้านบาท นอกจากนี้ การผ่อนคลายมาตรการทางการเงินและการให้สินเชื่อของธนาคารพาณิชย์และสถาบันการเงินต่างๆ ส่งผลให้ผู้บริโภคเข้าถึงสินเชื่อได้ง่ายขึ้น และเป็นแรงผลักดันสำคัญในการกระตุ้นการเติบโตของตลาด

ทิศทางตลาดอสังหาฯ ปีหน้า: ฟื้นตัวต่อเนื่อง

สำหรับปี 2568 นายกมลภพคาดการณ์ว่าแนวโน้มการฟื้นตัวของตลาดที่อยู่อาศัยจะยังคงดำเนินต่อไป โดยเฉพาะในกลุ่มอาคารชุดและบ้านแนวราบ เนื่องจากผู้บริโภคเริ่มกลับมามีความเชื่อมั่นในการลงทุนอีกครั้ง ทั้งนี้ตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทยยังคงต้องจับตาดูปัจจัยทั้งภายในและภายนอกประเทศ เช่น สถานการณ์เศรษฐกิจโลก อัตราดอกเบี้ย และมาตรการของภาครัฐที่จะส่งผลต่อกำลังซื้อของผู้บริโภค

สรุป แม้ตลาดอสังหาฯ ในปี 2567 จะเผชิญกับความท้าทาย แต่การสนับสนุนจากมาตรการภาครัฐและการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ คาดว่าจะทำให้ปี 2568 เป็นปีที่ตลาดกลับมาเติบโตอย่างมั่นคง

เครดิตข้อมูลจาก : ทีมข่าวนครเชียงรายนิวส์

เครดิตภาพ : รับบินโดรนเชียงราย โดรนเชียงราย ถ่ายภาพมุมสูง

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI ECONOMY

ตลาดซ่อมแซมบ้านเชียงรายคึกคักหลังน้ำท่วม

ตลาดซ่อมแซมบ้านในเชียงรายคึกคักหลังน้ำท่วม แต่ค่าแรงเพิ่มขึ้นและวัสดุก่อสร้างยังทรงตัว

ตลาดซ่อมแซมบ้านในเชียงรายฟื้นตัว คึกคักหลังน้ำท่วม

หลังจากสถานการณ์น้ำท่วมในจังหวัดเชียงรายคลี่คลายลง ทำให้ความต้องการในการซ่อมแซมบ้านเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว นายชินะ สุทธาธนโชติ นายกสมาคมอสังหาริมทรัพย์เชียงราย เปิดเผยว่า ตลาดซ่อมแซมบ้านเริ่มมีความคึกคัก แม้ว่าเศรษฐกิจโดยรวมยังคงซบเซาอยู่ก็ตาม

ราคาวัสดุก่อสร้างทรงตัว แนวโน้มอาจลดลง

แม้ว่าความต้องการวัสดุก่อสร้างจะสูงขึ้น แต่ราคาวัสดุก่อสร้างกลับยังคงทรงตัว มีแนวโน้มจะลดลงเพื่อช่วยเหลือผู้ที่ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วม ร้านค้าวัสดุก่อสร้างในท้องถิ่นบางแห่งรายงานว่ามียอดขายลดลงถึง 20% เมื่อเทียบกับช่วงปกติ ซึ่งสะท้อนถึงการชะลอตัวของตลาดอสังหาริมทรัพย์ที่ไม่มีโครงการใหม่ๆ ก่อสร้าง

ค่าแรงแรงงานเพิ่มขึ้น 10% หลังแรงงานขาดแคลน

การขาดแคลนแรงงานก่อสร้างในเชียงรายส่งผลให้ค่าแรงเพิ่มสูงขึ้น โดยแรงงานไร้ฝีมือปรับจาก 300-350 บาทต่อวันเป็น 400 บาท ส่วนแรงงานมีฝีมือค่าจ้างเพิ่มขึ้นเกิน 500-600 บาทต่อวัน นายชินะกล่าวว่า สถานการณ์นี้เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้การซ่อมแซมบ้านมีต้นทุนที่สูงขึ้น ซึ่งสร้างความท้าทายแก่ผู้ที่ต้องการปรับปรุงบ้านหลังน้ำท่วม

ตลาดอสังหาริมทรัพย์ในเชียงรายยังคงชะลอตัวต่อเนื่อง

ในขณะที่ตลาดซ่อมแซมบ้านมีความคึกคัก แต่ตลาดอสังหาริมทรัพย์ในเชียงรายยังคงชะลอตัว โดยเฉพาะการซื้อขายบ้านใหม่ที่ยังไม่ฟื้นตัว เนื่องจากธนาคารเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อ อัตราการปฏิเสธสินเชื่อสำหรับบ้านราคาต่ำกว่า 3 ล้านบาท สูงถึง 60-70% ในขณะที่บ้านราคา 3-5 ล้านบาทมีการปฏิเสธที่ 30-40%

สถานการณ์คล้ายคลึงกันในเชียงใหม่

นายสรนันท์ เศรษฐี นายกสมาคมอสังหาริมทรัพย์เชียงใหม่ รายงานว่าสถานการณ์น้ำท่วมที่เชียงใหม่คลี่คลายลง ทำให้ความต้องการซ่อมแซมบ้านเพิ่มสูงขึ้นเช่นกัน อย่างไรก็ตาม ตลาดอสังหาริมทรัพย์ในเชียงใหม่ยังคงได้รับผลกระทบจากการปล่อยสินเชื่อที่เข้มงวด และความกังวลของลูกค้าเกี่ยวกับโครงการที่อยู่ในพื้นที่เสี่ยงน้ำท่วม

แนวโน้มของราคาวัสดุก่อสร้างในอนาคต

นายสรนันท์เสริมว่า ราคาวัสดุก่อสร้างหลังน้ำลดยังคงทรงตัว ไม่ได้เพิ่มขึ้นมากตามดีมานด์ แม้จะมีการปรับราคาขึ้นไปแล้วประมาณ 3-5% ตามภาวะเงินเฟ้อและค่าแรงในช่วงสามไตรมาสที่ผ่านมา ราคายังคงเป็นปัจจัยสำคัญที่จะส่งผลต่อการตัดสินใจของผู้ที่ต้องการซ่อมแซมและปรับปรุงบ้านในพื้นที่น้ำท่วม

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : มิติชน

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI ECONOMY

ตลาดอสังหาริมทรัพย์เชียงรายชะลอตัวหลังน้ำท่วม

ตลาดอสังหาริมทรัพย์เชียงรายยังชะลอตัวหลังน้ำท่วม พร้อมเรียกร้องมาตรการกระตุ้นจากรัฐบาล

เชียงราย, 22 ต.ค. 2567 – แม้ว่าน้ำท่วมในจังหวัดเชียงรายจะคลี่คลายลงแล้ว แต่ตลาดอสังหาริมทรัพย์ในพื้นที่ยังคงชะลอตัวอย่างต่อเนื่องตามสถานการณ์เศรษฐกิจที่ยังไม่ฟื้นตัว นายชินะ สุทธาธนโชติ นายกสมาคมอสังหาริมทรัพย์เชียงราย เปิดเผยในรายงานล่าสุดของมติชน ว่าตลาดอสังหาริมทรัพย์ยังไม่สามารถกลับมาฟื้นตัวได้อย่างเต็มที่และคาดว่ากำลังซื้อจะยังชะลอตัวไปถึงปี 2568 ก่อนที่จะเริ่มฟื้นตัวในปี 2569

สาเหตุที่ทำให้ตลาดชะลอตัว

นายชินะกล่าวว่า ปัญหาหลักที่ทำให้ตลาดอสังหาริมทรัพย์ชะลอตัวคืออัตราการถูกปฎิเสธสินเชื่อ (รีเจ็กต์เรต) ที่สูงถึง 70-80% โดยเฉพาะในกลุ่มบ้านราคาต่ำ 3 ล้านบาท นอกจากนี้ ความไม่เชื่อมั่นต่อเศรษฐกิจยังทำให้ผู้ซื้อบ้านไม่ต้องการก่อหนี้ระยะยาว ส่งผลให้กำลังซื้อลดลงประมาณ 20-30% เมื่อเทียบกับปี 2566

ผลกระทบต่อผู้ประกอบการอสังหาฯ

สถานการณ์นี้ส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ทุกระดับ ทั้งรายใหญ่ รายกลาง และรายย่อย โดยรายใหญ่จะมีสายป่านที่ยาวกว่า ทำให้สามารถรับมือกับสถานการณ์ได้ดีกว่ารายย่อยที่มีสต๊อกคงเหลือเยอะ นายชินะกล่าวว่า ผู้ประกอบการรายย่อยที่มีสต๊อกคงเหลือมากจะประสบปัญหาในการขาย เนื่องจากต้องเผชิญกับภาวะเศรษฐกิจที่ยังไม่ดี ความต้องการซื้อที่ลดลง และปัญหาน้ำท่วมที่ยังคงอยู่

กลยุทธ์การปรับตัวของตลาดอสังหาริมทรัพย์

เพื่อรับมือกับสถานการณ์นี้ นายชินะแจ้งว่ามีการนำโครงการขายลดราคาเพื่อปิดการขาย โดยเฉพาะโครงการที่เหลือขายไม่มาก เช่น 1-2 ยูนิต อาจมีการตัดลดราคาขายลง นอกจากนี้ ที่ดินในทำเลที่น้ำท่วมหนัก เช่น โซนปลายแม่น้ำกก อาจมีการปรับราคาขายลง เพื่อให้การซื้อขายเป็นไปได้ง่ายขึ้น เนื่องจากราคาที่ดินในตลาดในปัจจุบันไม่ได้ปรับขึ้นอย่างหวือหวาเหมือนเมื่อก่อน

เรียกร้องมาตรการจากรัฐบาล

นายชินะเรียกร้องให้รัฐบาลออกมาตรการกระตุ้นภาคอสังหาริมทรัพย์อย่างต่อเนื่อง เช่น การขยายเวลาลดค่าโอนกรรมสิทธิ์และค่าจดจำนอง ซึ่งกำหนดจะสิ้นสุดปลายปี 2567 และต้องขยายออกไปอีก รวมถึงการลดภาษีต่างๆ เช่น ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างที่เก็บ 100% เพื่อเป็นการลดภาระให้กับผู้ซื้อบ้าน

การสนับสนุนจากภาครัฐ

นายชินะกล่าวว่าการปล่อยสินเชื่อซอฟต์โลนผ่านธนาคารของรัฐ เช่น ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) และธนาคารออมสิน ถือเป็นการช่วยประคองตลาดในระดับหนึ่ง แต่ยังไม่เพียงพอ เนื่องจากผู้บริโภคยังไม่มีความเชื่อมั่นด้านเศรษฐกิจ ทำให้การตัดสินใจซื้อบ้านยังชะลอตัวไป

สถานการณ์ปัจจุบันของตลาดอสังหาริมทรัพย์

ในปี 2567 ตลาดอสังหาริมทรัพย์เชียงรายคาดว่าจะยังคงชะลอตัวไปถึงปีหน้า เนื่องจากผู้ซื้อบ้านยังไม่กลับมามีความพร้อมในการก่อหนี้และมีความเชื่อมั่นต่อเศรษฐกิจที่ยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่ ปัญหาการถูกปฎิเสธสินเชื่อที่สูงและภาวะเศรษฐกิจที่ยังไม่ดีเป็นอุปสรรคหลักที่ทำให้ตลาดอสังหาริมทรัพย์ยังไม่สามารถกลับมาฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็ว

มุมมองในอนาคต

นายชินะยังกล่าวว่าในอนาคตการฟื้นตัวของตลาดอสังหาริมทรัพย์เชียงรายจะขึ้นอยู่กับความสามารถในการปรับตัวของผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์และมาตรการกระตุ้นจากรัฐบาล หากรัฐบาลสามารถออกมาตรการที่เหมาะสมและครอบคลุม รวมถึงการฟื้นฟูเศรษฐกิจอย่างรวดเร็ว ตลาดอสังหาริมทรัพย์เชียงรายก็มีโอกาสที่จะกลับมาฟื้นตัวได้ในปี 2569

บทสรุป

ตลาดอสังหาริมทรัพย์เชียงรายยังคงเผชิญกับความท้าทายหลายประการหลังเหตุการณ์น้ำท่วม แม้สถานการณ์น้ำท่วมจะคลี่คลายลงแล้ว แต่เศรษฐกิจที่ยังไม่ฟื้นตัวและปัญหาการถูกปฎิเสธสินเชื่อที่สูงยังคงทำให้ตลาดอสังหาริมทรัพย์ชะลอตัว นายชินะ สุทธาธนโชติ นายกสมาคมอสังหาริมทรัพย์เชียงราย จึงเรียกร้องให้รัฐบาลออกมาตรการกระตุ้นภาคอสังหาริมทรัพย์อย่างต่อเนื่อง เพื่อช่วยให้ตลาดสามารถกลับมาฟื้นตัวได้ในอนาคต

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : มติชน

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
ECONOMY

บ้านใหม่และมือสองมีการ”ชะลอตัว” แต่มีทิศทางที่ติดลบน้อยลง

 

เมื่อวันที่ 18 สิงหาคม 2567 วิชัย วิรัตกพันธ์ ผู้ตรวจการธนาคาร และ รักษาการผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ กล่าวว่าภาวะการณ์โอนกรรมสิทธิ์แยกตามประเภทที่อยู่อาศัยทั่วประเทศ ระหว่างบ้านแนวราบและห้องชุด ในไตรมาส 2 ปี 2567 ภาพรวมบ้านแนวราบปรับตัว”ลดลง”ร้อยละ -9.9 โดยมีจำนวน 58,567 หน่วย และ มูลค่าภาพรวมบ้านแนวราบลดลงร้อยละ -6.4 โดยมีมูลค่า 172,889 ล้านบาท 

สำหรับระดับราคาที่มีการขยายตัวลดลงน้อยกว่าภาพรวม ได้แก่ ระดับราคาไม่เกิน 2 ล้านบาท ระดับราคา 5.01-7.50 ล้านบาท และบ้านแนวราบราคามากกว่า 10 ล้านบาท มีการขยายตัวเพิ่มขึ้นทั้งจำนวนหน่วยและมูลค่า ร้อยละ 3.2 และ 12.4 ตามลำดับ เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2566

เมื่อพิจารณาเปรียบเทียบระหว่างหน่วยโอนกรรมสิทธิ์บ้านแนวราบใหม่และมือสอง พบว่า บ้านแนวราบมือสอง มีการ”ชะลอตัว”ทั้งหน่วยและมูลค่า โดยลดลงร้อยละ -7.0 และ -7.1 ขณะที่บ้านแนวราบใหม่”ชะลอตัว”ลดลงร้อยละ -16.2 และ -5.7 ตามลำดับ โดยระดับราคาของบ้านแนวราบใหม่ที่ลดลงน้อยกว่าภาพรวมได้แก่ ระดับราคา 1.01-2.00 ล้านบาท  และ 5.01-10.00 ล้านบาท และบ้านแนวราบใหม่ราคามากกว่า 10 ล้านบาท มีการขยายตัวร้อยละ 10.1

ในขณะที่จำหน่วยโอนกรรมสิทธิ์อาคารชุด/คอนโดมิเนียมเพิ่มขึ้นร้อยละ 8.9 โดยมีจำนวน 28,431 หน่วย และมูลค่าลดลงร้อยละ -3.9 โดยมีมูลค่า 70,515 ล้านบาท ซึ่งระดับราคาที่มีขยายตัวเป็นบวก เป็นกลุ่มอาคารชุดที่ราคาไม่เกินกว่า 5 ล้านบาท

อย่างไรก็ตาม ทางศูนย์ข้อมูลอสังหาฯ ยังพบการ”ชะลอตัว”ด้านอุปสงค์ต่อเนื่องในไตรมาส 2 ปี 2567 แต่ก็มีทิศทางที่ดีขึ้นจากไตรมาสแรกพอสมควร แม้ว่าการขยายตัวของจำนวนหน่วยและมูลค่าการโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยทั่วประเทศ และจำนวนเงินสินเชื่อที่อยู่อาศัยบุคคลปล่อยใหม่ ในไตรมาส 2 ปี 2567 ยังคงติดลบเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่มีทิศทางที่ติดลบน้อยลง แต่มีการขยายตัวจากไตรมาส 1 ปี 2567 อย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งคาดว่าน่าจะเป็นผลจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านภาคอสังหาริมทรัพย์ของรัฐบาลที่เริ่มใช้ตั้งแต่ 9 เมษายน 2567 

หน่วยโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยทั่วประเทศในไตรมาส 2 ปี 2567 มีจำนวน 86,998 หน่วย มูลค่า 243,404 ล้านบาท โดยจำนวนหน่วยลดลงร้อยละ -4.5 และ มูลค่าลดลง ร้อยละ -5.7 ซึ่งน่าจะเป็นผลจาการที่สถาบันการเงินยังคงเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อ โดยพบว่ามูลค่าสินเชื่อที่อยู่อาศัยบุคคลปล่อยใหม่ทั่วประเทศมีจำนวน 144,115 ล้านบาท ลดลงร้อยละ -10.1  เมื่อเทียบกับไตรมาส 2 ปี 2566 แต่การชะลอตัวของด้านอุปสงค์ในไตรมาสนี้ มีการติดลบน้อยลงจากไตรมาส 1 ปี 2567 ที่เคยติดลบสูงถึงร้อยละ -13.8 ร้อยละ -13.4 และ ร้อยละ -20.5 ตามลำดับ 

หากพิจารณาถึงการขยายตัวจากการปรียบเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า (QoQ) แล้ว พบว่า จำนวนหน่วยและมูลค่าการโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยมีการขยายตัวถึงร้อยละ 19.3 และ 16.6 ตามลำดับ ขณะที่จำนวนเงินสินเชื่อที่อยู่อาศัยบุคคลปล่อยใหม่มีการขยายตัวร้อยละ 18.6 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
ECONOMY

อสังหาเชียงใหม่-เชียงรายแข่งลดราคา กู้ไม่ผ่านพุ่ง คาดในช่วงครึ่งหลังปี 2567 ดีขึ้น

 
เมื่อวันที่ 13 มีนาคม นายวิชัย วิรัตกพันธ์ ผู้ตรวจการธนาคารอาคารสงเคราะห์ และรักษาการผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์(REIC) เปิดเผยว่าจากการสำรวจโครงการที่อยู่อาศัยภาคเหนือ 5 จังหวัด ประกอบด้วย เชียงใหม่ เชียงราย นครสวรรค์ พิษณุโลก ลำพูน

ในครึ่งหลังปี 2566 พบว่าอุปทานพร้อมขายมี 16,954 หน่วย ลดลงจากครึ่งปีแรก 0.2% แต่มีมูลค่า 68,440 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1% แบ่งเป็น

 

  • อาคารชุด 1,795  หน่วย เพิ่มขึ้น 26.3 % มูลค่า 5,289 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 25.3 %
  • บ้านจัดสรร 15,159 หน่วย ลดลง 2.6% มูลค่า 63,151 ล้านบาท เพิ่มขึ้น  0.6 % เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า

แต่เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2565 จำนวนหน่วยพร้อมขายเพิ่มขึ้น 1.9% มูลค่าเพิ่มขึ้น 3.1% ทำให้ภาพรวมปี 2566 มีที่อยู่อาศัยใหม่เข้าสู่ตลาด 3,096 หน่วย มูลค่า 12,287 ล้านบาท

มีหน่วยขายได้ใหม่ลดลง 31.9% และมีหน่วยเหลือขาย 15,441 หน่วย เพิ่มขึ้น 3.6% มูลค่า 62,793 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4.5%

คาดการณ์ปี 2567  ภาพรวมเริ่มเป็นบวก ยอดขายใหม่มีจำนวนหน่วยเพิ่มขึ้น 27.5% และอัตราดูดซับจะขยับขึ้นเป็น 1.8%

 

“จากจำนวนหน่วยเหลือขายแยกตามประเภทก่อสร้าง มีที่อยู่อาศัยสร้างเสร็จเหลือขายถึง 4,877 หน่วยหรือ31.6% ของจำนวนหน่วยเหลือขายทั้งหมด เป็นอาคารชุดอยู่ระหว่างก่อสร้างและสร้างเสร็จเหลือขาย 1,543 หน่วย คิดเป็น 10% ส่วนบ้านจัดสรรสร้างเสร็จ 4,040 หน่วย อยู่ระหว่างสร้าง 2,497หน่วย ซึ่งเป็นที่น่าจับตา”นายวิชัยกล่าว

 

นายวิชัย กล่าวว่า สำหรับ 5 ทำเลที่มียอดขายสูงสุดในครึ่งปีหลัง ได้แก่ สันทราย เมืองเชียงราย แม่โจ้ ม.พายัพ และสารภี ส่วน 5 ทำเลที่มีหน่วยเหลือขายสูงสุด ได้แก่ เมืองเชียงราย 1,468 หน่วย มูลค่า 6,418 ล้านบาท สันทราย 1,339 หน่วย มูลค่า 4,434 ล้านบาท บ่อสร้าง-ดอยสะเก็ด 1,279 หน่วย มูลค่า 6,136 ล้านบาท ม.พายัพ 1,209 หน่วย มูลค่า 5,810 ล้านบาทและสนามบิน-ม.แม่ฟ้าหลวง 1,169 หน่วย มูลค่า 4,167 ล้านบาท

 

นายวิชัยกล่าวว่า คาดการณ์ปี 2567 จะมีที่อยู่อาศัยเปิดขายใหม่ 3,142 หน่วย มูลค่า 12,487 ล้านบาท เป็นบ้านจัดสรร 2,629 หน่วย มูลค่า 11,047 ล้านบาท และอาคารชุด 512 หน่วย มูลค่า 1,440 ล้านบาท โดยภาพรวมมีจำนวนเพิ่มขึ้น 1.5%  และคาดว่าจะมีหน่วยขายได้ใหม่ 4,105 หน่วย มูลค่า 17,323 ล้านบาท เป็นบ้านจัดสรร 3,034 หน่วย มูลค่า 14,360 ล้านบาท  และอาคารชุด 1,071 หน่วย มูลค่า 2,963 ล้านบาท

 

“จากการลงพื้นที่ภาคสนามพบเชียงใหม่จะแข่งขันลดราคาบ้านจัดสรร ขายดีเป็นบ้านเดี่ยว 3-5 ล้านบาท ส่วนอาคารชุดเน้นของแถมมากกว่าลดราคา ขายดีราคา 2-3 ล้านบาท ส่วนเชียงรายทำเลในเมืองยังได้รับความสนใจ โดยบ้านเป็นราคา 3-5 ล้านบาท อาคารชุด 1.5-2 ล้านบาท และใช้กลยุทธ์ลดราคาจูงใจในการซื้อ” นายวิชัยกล่าว

 

นายชินะ สุทธาธนโชติ นายกสมาคมอสังหาริมทรัพย์เชียงราย กล่าวว่า การฟื้นตัวของตลาดอสังหาฯในเชียงราย ยังล้อไปกับเศรษฐกิจของประเทศ เพราะเป็นเมืองรอง การท่องเที่ยวจึงขึ้นลงตามฤดูกาล ขณะที่สถานการณ์ตลาดกลุ่มบ้านเดี่ยวยังขยายตัวได้ดีโดยเฉพาะราคา 5 ล้านบาทขึ้นไป ลูกค้าไม่ได้รับผลกระทบจากดอกเบี้ยขาขึ้น ขณะที่กลุ่ม 1-3 ล้านบาท ชะลอตัวลงอย่างชัดเจนและตลาดมีสต๊อกสะสมอยู่จำนวนมา ทำให้การแข่งขันในตลาดรุนแรง และโดยมากถูกพัฒนาโดยบริษัทอสังหาท้องถิ่นรายเล็ก มีปัญหาขาดสภาพคล่อง ต้องใช้กลยุทธ์ลดราคาขายเพื่อดึงกระแสเงินสดกลับมา ขณะที่การเข้มงวดการปล่อยสินเชื่อของสถาบันการเงินก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ทำให้ตลาดแข่งขันสูง คาดในช่วงครึ่งหลังปี 2567 ตลาดอสังหาฯเชียงรายน่าจะมีการปรับตัวดีขึ้น

 

นายปรีดิกร บูรณุปกรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อรสิริน โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ภาพรวมตลาดอสังหาฯเชียงใหม่ฟื้นตัวต่อเนื่อง โดยได้รับอานิสงส์ภาคการท่องเที่ยวและต่างชาติที่เข้ามาจำนวนมาก โดยปี 2566 มีกว่า 3.5 ล้านคน เติบโต 50% จากปีก่อน โดยชาวจีนยังเป็นกลุ่มหลัก กว่า 50% รองลงมาอินเดีย ซึ่งส่งผลให้มีความต้องการซื้อคอนโดมิเนียมเพื่ออยู่อาศัยในระยะยาว ทำให้ทุกโครงการของบริษัทที่เปิดขายตั้งแต่ปี 2565 ถึงปัจจุบันมีต่างชาติจองซื้อเกือบเต็ม
โควต้า 49%แล้ว

 
 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ธนาคารอาคารสงเคราะห์ 

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News