Categories
AROUND CHIANG RAI NEWS UPDATE

เชียงรายลดจุดความร้อน คุมไฟป่า PM2.5 ลดฮวบ 84%

จังหวัดเชียงรายสรุปผลสำเร็จ “เชียงรายฟ้าใส” ปี 2568 จุดความร้อนลด 84% คุณภาพอากาศดีขึ้นด้วยนวัตกรรมและความร่วมมือ

เชียงราย, 13 พฤษภาคม 2568 – จังหวัดเชียงรายประสบความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่ในการจัดการปัญหาไฟป่า หมอกควัน และฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM2.5 ในปี 2568 โดยสามารถลดจุดความร้อนได้ถึง 84.3% พื้นที่เผาไหม้ลดลงกว่า 10,000 ไร่ และคุณภาพอากาศดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ การแถลงข่าวสรุปผลการดำเนินงาน ณ ห้องธรรมลังกา ศาลากลางจังหวัดเชียงราย เมื่อวันที่ 13 พฤษภาคม 2568 นำโดยนายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย สะท้อนถึงประสิทธิภาพของยุทธศาสตร์ “เชียงรายฟ้าใส” และความร่วมมือจากทุกภาคส่วนที่ทำให้จังหวัดก้าวสู่เป้าหมายการเป็นเมืองสะอาดและยั่งยืน

ความท้าทายจากไฟป่าและหมอกควันในภาคเหนือ

จังหวัดเชียงราย ซึ่งตั้งอยู่ในภาคเหนือของประเทศไทย เป็นหนึ่งในพื้นที่ที่เผชิญกับปัญหาไฟป่า หมอกควัน และฝุ่นละออง PM2.5 อย่างรุนแรงในช่วงฤดูแล้งของทุกปี โดยเฉพาะในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ถึงเมษายน สาเหตุหลักมาจากการเผาในพื้นที่เกษตรกรรม การจัดการเชื้อเพลิงในป่า และหมอกควันข้ามพรมแดนจากประเทศเพื่อนบ้าน ปัญหาเหล่านี้ไม่เพียงส่งผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชน แต่ยังกระทบต่อการท่องเที่ยวและเศรษฐกิจท้องถิ่น ซึ่งเชียงรายเป็นจุดหมายปลายทางสำคัญของนักท่องเที่ยวทั้งในและต่างประเทศ

ในปี 2567 จังหวัดเชียงรายเผชิญกับวิกฤตหมอกควันที่มีจุดความร้อนสูงถึง 3,885 จุด และค่า PM2.5 เฉลี่ยเกินมาตรฐานถึง 64 วัน สร้างความกังวลเกี่ยวกับสุขภาพและสิ่งแวดล้อมอย่างมาก เพื่อรับมือกับสถานการณ์นี้ จังหวัดเชียงรายได้กำหนดยุทธศาสตร์ “เชียงรายฟ้าใส” ซึ่งมุ่งเน้นการป้องกันและแก้ไขปัญหาไฟป่าและหมอกควันอย่างเป็นระบบ โดยผสานความร่วมมือระหว่างภาครัฐ เอกชน ชุมชน และนานาชาติ เพื่อสร้างความยั่งยืนให้กับสิ่งแวดล้อมและคุณภาพชีวิตของประชาชน

ผลสำเร็จของการดำเนินงาน “เชียงรายฟ้าใส” ปี 2568

การแถลงข่าวเมื่อวันที่ 13 พฤษภาคม 2568 ณ ห้องธรรมลังกา ชั้น 3 ศาลากลางจังหวัดเชียงราย นำโดยนายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย ร่วมด้วยหัวหน้าส่วนราชการ หน่วยงานภาคี และสื่อมวลชน ได้นำเสนอผลการดำเนินงานป้องกันและแก้ไขปัญหาไฟป่า หมอกควัน และ PM2.5 ในช่วงฤดูไฟป่า (1 กุมภาพันธ์ – 10 พฤษภาคม 2568) ซึ่งแสดงถึงความก้าวหน้าที่สำคัญในหลายมิติ

การลดจุดความร้อนและพื้นที่เผาไหม้

จากรายงานของสำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัดเชียงราย (ทสจ.ชร.) และกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) ร่วมกับข้อมูลจากระบบดาวเทียม Suomi NPP และ VIIRS พบว่า จุดความร้อน (Hotspot) ในปี 2568 ลดลงจาก 3,885 จุดในปี 2567 เหลือเพียง 611 จุด คิดเป็นการลดลง 84.3% อำเภอที่มีจุดความร้อนสูงสุด ได้แก่ เวียงแก่น (114 จุด) เวียงป่าเป้า (95 จุด) และพาน (77 จุด) โดยตำบลปอ อำเภอเวียงแก่น มีจุดความร้อนสูงสุดที่ 72 จุด

ด้านพื้นที่เผาไหม้ พบว่าพื้นที่เผาไหม้สะสมในปี 2568 อยู่ที่ 52,312 ไร่ ลดลงจาก 62,520 ไร่ในปี 2567 หรือลดลง 10,208 ไร่ (16.3%) ซึ่งต่ำกว่าเป้าหมายที่กำหนดไว้ที่ 139,290 ไร่ ถึง 62% โดยพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติและป่าอนุรักษ์เป็นพื้นที่หลักที่เกิดการเผาไหม้ คิดเป็น 93.8% ของพื้นที่ทั้งหมด

การควบคุมคุณภาพอากาศ

คุณภาพอากาศในจังหวัดเชียงรายดีขึ้นอย่างชัดเจน โดยค่าเฉลี่ย PM2.5 รายวันในปี 2568 อยู่ที่ 39.18 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร (มคก./ลบ.ม.) ลดลงจาก 52.63 มคก./ลบ.ม. ในปี 2567 หรือลดลง 25.5% และจำนวนวันที่ PM2.5 เกินมาตรฐานลดลงจาก 64 วันในปี 2567 เหลือ 42 วันในปี 2568 หรือลดลง 34.4% สถานีตรวจวัดหลักในอำเภอเมืองเชียงราย แม่สาย และเชียงของ ต่างยืนยันถึงแนวโน้มการลดลงของฝุ่นละออง

มาตรการเชิงรุกและนวัตกรรม

จังหวัดเชียงรายได้ดำเนินมาตรการที่ครอบคลุม 3 ระดับ ดังนี้:

  1. การจัดการไฟในพื้นที่ป่า:
    • ปิดป่าหวงห้าม 26 แห่ง
    • จัดทำแนวกันไฟ 827.5 กิโลเมตร
    • ลาดตระเวน 1,297 ครั้ง และควบคุมไฟป่า 248 ครั้ง
    • สร้างฝายชะลอน้ำ 33 จุด เพื่อรักษาความชุ่มชื้นในป่า
  2. การจัดการเชื้อเพลิงในพื้นที่เกษตร:
    • ลงนาม MOU ควบคุมการเผาในภาคเกษตร 8 ครั้ง
    • อัดฟางด้วยเครื่องอัดฟาง 183,000 ตัน
    • ส่งเสริมการแปรรูปวัสดุเหลือใช้เป็นชีวมวล ปุ๋ย อาหารสัตว์ และเพาะเห็ด รวม 552,940 ตัน (ข้าว 449,790 ตัน และข้าวโพด 103,150 ตัน)
    • ดำเนินโครงการ “ไม่เผา ไม่เสียสิทธิ์” ซึ่งห้ามเกษตรกรที่มีประวัติการเผาเข้าร่วมโครงการสนับสนุนของรัฐ
  3. การดูแลสุขภาพและลดผลกระทบ:
    • แจกหน้ากากอนามัยและ N95 จำนวน 1,121,965 ชิ้น
    • เปิดห้องปลอดฝุ่น 903 แห่ง
    • ตรวจสุขภาพอาสาดับไฟป่า 3,686 ราย และคัดกรองกลุ่มเสี่ยง 5,694 ราย
    • เยี่ยมผู้ป่วยติดเตียงและกลุ่มโรคเรื้อรัง 11,261 ราย

การส่งเสริมเกษตรแบบไม่เผา

สำนักงานเกษตรจังหวัดเชียงรายได้ผลักดันโครงการ “เกษตรไม่เผา” โดยลดจุดความร้อนในพื้นที่เกษตรจาก 225 จุดในปี 2567 เหลือ 68 จุดในปี 2568 หรือลดลง 69.77% โดยเฉพาะการเผานาข้าว (61.8%) และข้าวโพด (17.6%) ผ่านการส่งเสริมการแปรรูปวัสดุเหลือใช้ เช่น ไถกลบ ทำปุ๋ยหมัก และผลิตชีวมวล รวมถึงการอบรมเกษตรกร 78,399 ราย และโครงการนำร่อง “PM2.5 Free Plus” ในอำเภอดอยหลวง ครอบคลุม 1,338 ไร่ เพื่อส่งเสริมการผลิตข้าวโพดแบบไม่เผา

ความยั่งยืนและการขยายผล

ผลสำเร็จของจังหวัดเชียงรายในปี 2568 เป็นผลจากการบูรณาการความร่วมมือในหลายระดับ รวมถึง:

  • ระดับชุมชน: การสร้างหมู่บ้านปลอดการเผา 438 หมู่บ้าน และพัฒนาศักยภาพอาสาดับไฟป่า “อส.สู้ไฟ” 372 นาย
  • ระดับจังหวัด: การใช้เทคโนโลยีดาวเทียมและแอปพลิเคชัน GISTDA รวมถึงโดรนตรวจการณ์ เพื่อแจ้งเตือนและควบคุมไฟป่าแบบเรียลไทม์
  • ระดับนานาชาติ: การประชุมความร่วมมือข้ามพรมแดนไทย–ลาว–เมียนมา 2 ครั้ง เพื่อจัดการหมอกควันข้ามแดน
  • นวัตกรรม: การพัฒนาตลาดคาร์บอนเครดิตใน 111 หมู่บ้าน และส่งเสริมพืชทางเลือก เช่น กาแฟ แมคคาเดเมีย และอะโวคาโด เพื่อลดการเผาในภาคเกษตร

การดำเนินงานเหล่านี้ช่วยลดผลกระทบต่อสุขภาพและสิ่งแวดล้อม ขณะเดียวกันก็สร้างโอกาสทางเศรษฐกิจให้กับชุมชน เช่น การแปรรูปวัสดุเหลือใช้เป็นปุ๋ยและชีวมวล ซึ่งสามารถสร้างรายได้เสริมให้เกษตรกร โครงการ “เชียงรายฟ้าใส” ยังเป็นต้นแบบที่สามารถขยายผลไปยังจังหวัดอื่นในภาคเหนือ และเป็นแนวทางสำหรับการจัดการปัญหาหมอกควันในระดับภูมิภาค

ปัจจัยความสำเร็จและความท้าทายในอนาคต

ความสำเร็จของจังหวัดเชียงรายในปี 2568 เกิดจากปัจจัยหลัก 3 ประการ:

  1. ความร่วมมือระดับชุมชน: การมีส่วนร่วมของหมู่บ้าน ผู้นำท้องถิ่น และเกษตรกร ในการปฏิบัติตามนโยบาย “ไม่เผา ไม่เสียสิทธิ์” และการพัฒนาหมู่บ้านปลอดการเผา
  2. เทคโนโลยีและข้อมูล: การใช้ระบบดาวเทียม Suomi NPP และ VIIRS รวมถึงแอปพลิเคชันแจ้งเตือน ทำให้สามารถควบคุมไฟป่าได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำ
  3. นโยบายที่ชัดเจน: การกำหนดเป้าหมายที่วัดผลได้ เช่น การลดจุดความร้อนและพื้นที่เผาไหม้ รวมถึงการใช้มาตรการจูงใจ เช่น คาร์บอนเครดิต และมาตรการลงโทษ เช่น การตัดสิทธิ์เกษตรกรที่เผา

อย่างไรก็ตาม ความท้าทายในระยะยาวยังคงมีอยู่ ได้แก่:

  • การพึ่งพาการเผาในภาคเกษตร: เกษตรกรบางกลุ่มยังคงใช้การเผาเป็นวิธีเตรียมพื้นที่เพาะปลูก เนื่องจากต้นทุนต่ำและสะดวก การเปลี่ยนพฤติกรรมจึงต้องอาศัยแรงจูงใจทางเศรษฐกิจและการสนับสนุนอย่างต่อเนื่อง
  • หมอกควันข้ามพรมแดน: ปัญหาหมอกควันจากประเทศเพื่อนบ้านยังคงเป็นปัจจัยที่ควบคุมได้ยาก ต้องอาศัยความร่วมมือในระดับนานาชาติที่เข้มข้นมากขึ้น
  • การขยายพื้นที่เกษตร: ความต้องการพื้นที่เพาะปลูกที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะพืชเชิงเดี่ยว เช่น ข้าวโพด อาจนำไปสู่การบุกรุกป่าและเพิ่มความเสี่ยงต่อไฟป่า

เพื่อรับมือกับความท้าทายเหล่านี้ จังหวัดเชียงรายควรวางแผนระยะยาวที่เน้นการส่งเสริมเกษตรยั่งยืน การพัฒนาตลาดคาร์บอนเครดิต และการลงทุนในเทคโนโลยีสีเขียว เช่น การใช้โดรนและระบบเซ็นเซอร์ตรวจวัดฝุ่นละอองในระดับตำบล

สถิติและแหล่งอ้างอิง

เพื่อให้เห็นภาพความสำเร็จและบริบทของการจัดการไฟป่าและหมอกควันในจังหวัดเชียงราย ข้อมูลต่อไปนี้รวบรวมจากแหล่งที่น่าเชื่อถือ:

  1. จุดความร้อนและพื้นที่เผาไหม้:
    • จุดความร้อนลดลงจาก 3,885 จุดในปี 2567 เหลือ 611 จุดในปี 2568 (-84.3%)
    • พื้นที่เผาไหม้ลดลงจาก 62,520 ไร่ในปี 2567 เหลือ 52,312 ไร่ในปี 2568 (-16.3%)
    • แหล่งอ้างอิง: สำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัดเชียงราย และกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (2568)
  2. คุณภาพอากาศ:
    • ค่าเฉลี่ย PM2.5 ลดลงจาก 52.63 มคก./ลบ.ม. ในปี 2567 เหลือ 39.18 มคก./ลบ.ม. ในปี 2568 (-25.5%)
    • จำนวนวันที่ PM2.5 เกินมาตรฐานลดลงจาก 64 วันในปี 2567 เหลือ 42 วันในปี 2568 (-34.4%)
    • แหล่งอ้างอิง: ศูนย์อำนวยการแก้ไขปัญหาไฟป่า PM2.5 จังหวัดเชียงราย (2568)
  3. การจัดการในภาคเกษตร:
    • จุดความร้อนในพื้นที่เกษตรลดลงจาก 225 จุดในปี 2567 เหลือ 68 จุดในปี 2568 (-69.77%)
    • ปริมาณวัสดุเหลือใช้ที่แปรรูป: ข้าว 449,790 ตัน และข้าวโพด 103,150 ตัน
    • เกษตรกรที่เข้าร่วมอบรม 78,399 ราย
    • แหล่งอ้างอิง: สำนักงานเกษตรจังหวัดเชียงราย (2568)
  4. การดูแลสุขภาพ:
    • แจกหน้ากากอนามัย 1,121,965 ชิ้น และเปิดห้องปลอดฝุ่น 903 แห่ง
    • ตรวจสุขภาพอาสาดับไฟป่า 3,686 ราย และเยี่ยมผู้ป่วย 11,261 ราย
    • แหล่งอ้างอิง: กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (2568)

สรุปและคำแนะนำ

จังหวัดเชียงรายประสบความสำเร็จในการจัดการไฟป่าและหมอกควันในปี 2568 ผ่านยุทธศาสตร์ “เชียงรายฟ ฟ้าใส” ซึ่งแสดงถึงพลังของความร่วมมือและนวัตกรรม การลดจุดความร้อน พื้นที่เผาไหม้ และฝุ่น PM2.5 เป็นผลจากนโยบายที่ชัดเจน เทคโนโลยีทันสมัย และการมีส่วนร่วมของชุมชน เพื่อรักษาความยั่งยืน ควรส่งเสริมเกษตรยั่งยืน พัฒนาคาร์บอนเครดิต และเสริมความร่วมมือข้ามพรมแดน

สำหรับชุมชนและ อปท. แนะนำให้เข้าร่วมโครงการหมู่บ้านปลอดการเผาและอบรม “อส.สู้ไฟ” ส่วนหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ควรลงทุนในเทคโนโลยีตรวจวัดและขยายผลโครงการ “เกษตรไม่เผา” เพื่อลดผลกระทบจากหมอกควันในระยะยาว

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ทีมข่าวนครเชียงรายนิวส์

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

เชียงรายสู้ฝุ่น! อบจ. ผนึกกำลังแก้วิกฤต PM 2.5

อบจ.เชียงรายระดมสมองแก้วิกฤติไฟป่า-หมอกควัน ผุดแผนจัดการวัสดุเกษตรยั่งยืน

เชียงราย, 2 พฤษภาคม 2568 – องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย (อบจ.เชียงราย) จัดประชุมครั้งใหญ่ หารือแก้ไขปัญหาไฟป่า หมอกควัน และฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5 ซึ่งเป็นปัญหาเรื้อรังที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพประชาชนและสิ่งแวดล้อมอย่างต่อเนื่อง พร้อมผลักดันนโยบายศูนย์บริหารจัดการสาธารณภัยแบบเบ็ดเสร็จ (Provincial Disaster Operation and Support System: PDOSS) มุ่งบูรณาการความร่วมมือจากทุกภาคส่วนในจังหวัดอย่างจริงจัง

เชียงรายเผชิญวิกฤตหมอกควันต่อเนื่องยาวนาน

ปัญหาไฟป่า หมอกควัน และฝุ่น PM 2.5 ในจังหวัดเชียงรายเป็นวิกฤตสำคัญที่สร้างผลกระทบอย่างรุนแรงต่อสุขภาพอนามัยของประชาชน เศรษฐกิจ และสิ่งแวดล้อมในพื้นที่ โดยเฉพาะในช่วงฤดูแล้งที่เกิดเหตุการณ์ไฟไหม้ป่าและการเผาวัสดุทางการเกษตรเพิ่มสูงขึ้น ส่งผลให้เชียงรายต้องเผชิญกับวิกฤตหมอกควันทุกปี กลายเป็นปัญหาเรื้อรังที่ต้องเร่งแก้ไขโดยด่วน

เพื่อคลี่คลายปัญหาดังกล่าว อบจ.เชียงราย นำโดยนางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย พร้อมด้วยนายจิราวุฒิ แก้วเขื่อน รองนายก อบจ.เชียงราย และนางอุบลรัตน์ พ่วงภิญโญ ผู้ทรงคุณวุฒิด้านการวางแผนและงบประมาณ ได้เปิดเวทีประชุมหารืออย่างเป็นทางการขึ้นในวันที่ 2 พฤษภาคม 2568 ณ ห้องประชุมธรรมรับอรุณ ชั้น 2 สำนักงานองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย โดยมีหน่วยงานสำคัญทั้งจากภาครัฐและองค์กรที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมประชุมอย่างคับคั่ง เพื่อร่วมกันกำหนดแนวทางการแก้ไขปัญหาที่เป็นรูปธรรม

บูรณาการหน่วยงานรัฐ เน้นการจัดการวัสดุเกษตรอย่างยั่งยืน

ประเด็นสำคัญที่ถูกยกมาหารือในที่ประชุมครั้งนี้คือ การบริหารจัดการวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตร ซึ่งเป็นต้นเหตุสำคัญของการเกิดไฟป่าและหมอกควันในพื้นที่ โดยจังหวัดเชียงรายเป็นจังหวัดที่มีเกษตรกรรมเป็นอาชีพหลักของประชากรส่วนใหญ่ ทำให้ในแต่ละปีเกิดการเผาวัสดุการเกษตร เช่น ซังข้าวโพด เศษใบอ้อย ตอซังข้าว และวัสดุเหลือใช้อื่นๆ เป็นจำนวนมาก หากไม่มีการจัดการที่ถูกต้อง วัสดุเหล่านี้จะถูกเผาและกลายเป็นแหล่งกำเนิดควันพิษที่กระทบสุขภาพของประชาชนโดยตรง

ในการประชุมมีหน่วยงานสำคัญที่เกี่ยวข้องเข้าร่วม ได้แก่ สำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัดเชียงราย สำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดเชียงราย สำนักงานเกษตรและสหกรณ์จังหวัดเชียงราย และสำนักงานเกษตรจังหวัดเชียงราย โดยมีการเสนอแนวทางบริหารจัดการวัสดุการเกษตรอย่างครบวงจรและยั่งยืน เพื่อลดปัญหาการเผาและส่งเสริมการนำวัสดุเกษตรเหล่านี้ไปใช้ประโยชน์ในทางอื่น เช่น การทำปุ๋ยหมัก หรือเชื้อเพลิงชีวมวล

ผลักดันศูนย์ PDOSS บริหารจัดการภัยแบบเบ็ดเสร็จ

อบจ.เชียงราย ยังได้เสนอให้มีการจัดตั้งศูนย์บริหารจัดการสาธารณภัยแบบเบ็ดเสร็จ (PDOSS) เพื่อเป็นศูนย์กลางการบูรณาการทุกภาคส่วนในการจัดการภัยพิบัติทั้งด้านการป้องกัน เตรียมพร้อม และรับมือกับภัยต่างๆ รวมถึงการจัดการปัญหาไฟป่า หมอกควัน และ PM 2.5 โดยศูนย์นี้จะเน้นการบริหารข้อมูลแบบครบวงจร มีระบบแจ้งเตือนภัยและจัดการเหตุการณ์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อให้จังหวัดเชียงรายมีศักยภาพในการรับมือภัยพิบัติได้อย่างทันท่วงที

วิเคราะห์แนวทางแก้ปัญหาอย่างยั่งยืน

จากการหารือครั้งนี้ที่ประชุมได้เสนอแนวทางสำคัญในการแก้ปัญหาในระยะยาว ดังนี้

  1. การส่งเสริมความรู้และการสร้างจิตสำนึก โดยรณรงค์ให้เกษตรกรเลิกเผาวัสดุเกษตรและหันมานำไปใช้ประโยชน์ในรูปแบบอื่นที่ไม่ก่อให้เกิดมลพิษทางอากาศ
  2. การจัดหาเครื่องมืออุปกรณ์และเทคโนโลยี สนับสนุนให้เกษตรกรมีเครื่องมือในการแปรรูปวัสดุเกษตรเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าเพิ่ม
  3. การบูรณาการการทำงานของหน่วยงานทุกระดับ เพื่อให้การจัดการปัญหาเป็นไปอย่างมีเอกภาพ
  4. การผลักดันเชิงนโยบายอย่างเข้มข้น เช่น การสนับสนุนงบประมาณจากภาครัฐ เพื่อให้เกิดการลงทุนและดำเนินงานในพื้นที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

สถิติที่เกี่ยวข้องสะท้อนความรุนแรงของปัญหา

จากรายงานของศูนย์แก้ไขปัญหามลพิษทางอากาศ (ศกพ.) จังหวัดเชียงราย ปี 2567 พบว่า ค่าฝุ่น PM 2.5 ในจังหวัดเชียงรายสูงเกินค่ามาตรฐาน 50 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร มากถึง 65 วันต่อปี โดยเฉพาะในพื้นที่อำเภอเมืองเชียงราย อำเภอแม่สาย และอำเภอเชียงของ ซึ่งมีจำนวนวันที่ค่า PM 2.5 สูงเกินมาตรฐานคิดเป็นสัดส่วนถึงร้อยละ 35 ของทั้งปี นอกจากนี้กรมควบคุมมลพิษยังรายงานว่า ในปีที่ผ่านมา จังหวัดเชียงรายมีจุดความร้อน (Hotspot) จากการเผาป่าและวัสดุการเกษตรรวมสูงถึง 3,678 จุด สูงเป็นอันดับต้นๆ ของประเทศ (ข้อมูลจากกรมควบคุมมลพิษ, 2567)

จากข้อมูลข้างต้นแสดงให้เห็นว่า ปัญหาไฟป่า หมอกควัน และ PM 2.5 ในจังหวัดเชียงราย จำเป็นต้องได้รับการแก้ไขอย่างเร่งด่วนและเป็นระบบ เพื่อให้จังหวัดเชียงรายสามารถกลับมาเป็นพื้นที่ที่มีอากาศสะอาด ปลอดภัยต่อสุขภาพของประชาชน และยั่งยืนในอนาคต

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : 

  • ศูนย์แก้ไขปัญหามลพิษทางอากาศ (ศกพ.) จังหวัดเชียงราย (2567)
  • รายงานกรมควบคุมมลพิษ (2567)
  •  องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

เชียงรายคุมไฟป่าดีขึ้น เตรียมมอบรางวัล “หมู่บ้านสีเขียว”

เชียงรายชนะศึกไฟป่า ลดจุดความร้อนกว่า 72% ปี 2568

เชียงรายตั้งเป้าสู้ไฟป่าหมอกควันอย่างจริงจัง

เชียงราย,23 เมษายน 2568 – จังหวัดเชียงรายเดินหน้าจริงจังกับปัญหาไฟป่าและหมอกควัน โดยกำหนดห้ามเผาเด็ดขาดในที่โล่ง ตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ถึงเมษายน 2568 ผลลัพธ์ที่ได้คือจุดความร้อนลดลงกว่า 72% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา สร้างความพึงพอใจให้กับหน่วยงานและชุมชนในพื้นที่อย่างมาก

สถิติพื้นที่เผาไหม้ลดลงต่อเนื่อง

ในช่วงเดือนมกราคม 2568 พื้นที่เผาไหม้จังหวัดเชียงรายลดลงจากปี 2567 ถึง 6.57% โดยปีที่แล้วมีการเผาไหม้จำนวน 23,027 ไร่ ปีนี้ลดเหลือ 21,514 ไร่ เดือนกุมภาพันธ์พื้นที่เผาไหม้ลดลง 1.05% จาก 47,760 ไร่ เหลือ 47,260 ไร่ และเดือนมีนาคมลดลงอย่างชัดเจนถึง 65.77% จากเดิม 14,760 ไร่ เหลือเพียง 5,052 ไร่เท่านั้น

ประชุมวางแผนป้องกันไฟป่าอย่างเข้มข้น

เมื่อวันที่ 23 เมษายน 2568 ที่ศูนย์ปฏิบัติการหมอกควันไฟป่าและ PM2.5 จังหวัดเชียงราย ชั้น 1 ศาลากลางจังหวัดเชียงราย นายประเสริฐ จิตต์พลีชีพ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เป็นประธานประชุมติดตามสถานการณ์ไฟป่าครั้งที่ 7/2568 โดยมีตัวแทนจากทุกอำเภอเข้าร่วมประชุมผ่านระบบวิดีโอคอนเฟอเรนซ์ พร้อมรายงานสถานการณ์และผลดำเนินการป้องกันไฟป่าในพื้นที่อย่างละเอียด

อำเภอแม่สายไร้จุดความร้อนตลอดฤดู

จากรายงานของที่ประชุมพบว่า อำเภอแม่สายไม่มีจุดความร้อนเลยตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ถึงวันที่ 21 เมษายน 2568 แสดงให้เห็นถึงการทำงานที่มีประสิทธิภาพของทุกภาคส่วน โดยเฉพาะการมีส่วนร่วมจากประชาชนที่ให้ความร่วมมืออย่างดีเยี่ยม ถือเป็นต้นแบบให้กับพื้นที่อื่นได้เรียนรู้และปฏิบัติตาม

บังคับใช้กฎหมายเคร่งครัด ล่าตัวผู้กระทำผิด

ในเดือนเมษายนที่ผ่านมา หน่วยงานที่เกี่ยวข้องสามารถจับกุมผู้ลักลอบเผาป่าในพื้นที่อำเภอแม่ฟ้าหลวงและอำเภอแม่ลาวได้ โดยดำเนินคดีตามกฎหมายทันที รองผู้ว่าฯ ย้ำชัดว่าการบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มงวดจะช่วยให้สถานการณ์ดีขึ้นอย่างต่อเนเชื่อมโยงกับการลดปัญหาหมอกควันในอนาคต

มอบรางวัลพลเมืองดี สนับสนุนการมีส่วนร่วม

ในที่ประชุมมีการพิจารณามอบเงินรางวัลให้พลเมืองดี 2 ราย ที่แจ้งเบาะแสการกระทำผิดเกี่ยวกับการเผาป่า ถือเป็นการกระตุ้นให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหาไฟป่าและหมอกควันมากยิ่งขึ้น ซึ่งจะช่วยสร้างแรงจูงใจให้ชาวบ้านช่วยกันสอดส่องดูแลพื้นที่ของตนเอง

เตรียมมอบ “รางวัลหมู่บ้านสีเขียว” สร้างแรงจูงใจ

จังหวัดเชียงรายเตรียมจัดกิจกรรมมอบ “รางวัลหมู่บ้านสีเขียว” เพื่อยกย่องหมู่บ้านที่มีการจัดการไฟป่าอย่างมีประสิทธิภาพในระดับหมู่บ้าน ตำบล และอำเภอ โดยหวังว่ารางวัลนี้จะช่วยกระตุ้นให้ชุมชนมีแรงบันดาลใจในการดูแลพื้นที่ของตนเองอย่างต่อเนื่อง รวมถึงลดการเกิดไฟป่าในอนาคต

ปรับกลยุทธ์บริหารจัดการเชื้อเพลิงอย่างเหมาะสม

ในที่ประชุมยังมีการหารือถึงการปรับช่วงเวลาการบริหารจัดการเชื้อเพลิงให้เหมาะสมกับสภาพอากาศและวิถีชีวิตของประชาชนในพื้นที่ เพื่อให้สามารถควบคุมสถานการณ์ไฟป่าและลดผลกระทบที่เกิดขึ้นจากหมอกควันอย่างยั่งยืนในระยะยาว

ประชาสัมพันธ์กฎหมาย สร้างความตระหนักรู้

หน่วยงานต่างๆ ได้เร่งดำเนินการประชาสัมพันธ์กฎหมายและบทลงโทษที่เกี่ยวข้องกับการเผาป่าในพื้นที่อย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างความเข้าใจและตระหนักรู้แก่ประชาชนทุกระดับ โดยเชื่อว่าความเข้าใจที่ชัดเจนจะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมที่ยั่งยืน

สถิติสำคัญในการลดปัญหาไฟป่า

สถิติพื้นที่เผาไหม้ของจังหวัดเชียงรายตั้งแต่เดือนมกราคมถึงมีนาคม 2568 ลดลงเฉลี่ยถึง 24.46% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะจุดความร้อนลดลงถึง 72.60% นับเป็นตัวเลขที่สะท้อนถึงความสำเร็จของมาตรการต่างๆ ที่จังหวัดเชียงรายนำมาใช้อย่างจริงจังในปีนี้

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
  • ศูนย์ปฏิบัติการหมอกควันไฟป่าและ PM2.5 จังหวัดเชียงราย
  • กรมควบคุมมลพิษ (รายงานสถานการณ์คุณภาพอากาศและหมอกควันปี 2568)
  • สำนักป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดเชียงราย (รายงานสถิติการเผาไหม้ปี 2567-2568)
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

ทหารเชียงราย เคาะประตูบ้าน ต้านไฟป่า PM2.5

มทบ.37 เดินหน้ากิจกรรม “เคาะประตู สู่ความห่วงใย” รณรงค์ลดหมอกควัน PM2.5 เชียงแสน

กองทัพภาคที่ 3 ผสานพลังจิตอาสา “เราทำความดีด้วยหัวใจ” ลงพื้นที่หมู่บ้านแนวชายแดนจังหวัดเชียงราย ย้ำความร่วมมือทุกภาคส่วนในการหยุดเผา ลดปัญหาฝุ่นพิษ

ประเทศไทย, 16 เมษายน 2568 – มณฑลทหารบกที่ 37 โดยกำลังพลจิตอาสาพระราชทานภายใต้โครงการ “เราทำความดีด้วยหัวใจ” ลงพื้นที่จัดกิจกรรม “เคาะประตู สู่ความห่วงใย ใส่ใจสุขภาพประชาชน” ณ บ้านปงของ หมู่ 5 บ้านปงของเหนือ หมู่ 10 และบ้านธารทอง หมู่ 11 ตำบลแม่เงิน อำเภอเชียงแสน จังหวัดเชียงราย เพื่อสร้างการรับรู้แก่ประชาชนในการป้องกันและแก้ไขปัญหาไฟป่า หมอกควัน และฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM2.5 ตามนโยบายของจังหวัดเชียงราย ที่ได้ประกาศมาตรการ “92 วันปลอดการเผา” ระหว่างวันที่ 1 มีนาคม – 31 พฤษภาคม 2568 อย่างเข้มข้น

ร้อยตรี ณัฐพลพล บุญทับ นำจิตอาสาลงพื้นที่

การปฏิบัติงานครั้งนี้ นำโดย ร้อยตรี ณัฐพลพล บุญทับ หัวหน้าชุดประสานการคุ้มครองป้องกันชุมชน สถานีพัฒนาการเกษตรที่สูงตามพระราชดำริ บ้านธารทอง พร้อมด้วยกำลังพลจิตอาสา “เราทำความดีด้วยหัวใจ” ของมณฑลทหารบกที่ 37 ซึ่งได้แสดงออกถึงความจงรักภักดีและสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ด้วยการลงพื้นที่พบปะประชาชนอย่างใกล้ชิด ให้คำแนะนำ สร้างความเข้าใจ และแจกจ่ายอุปกรณ์ป้องกันสุขภาพในห้วงสถานการณ์ฝุ่นควัน

สร้างการรับรู้ หยุดไฟ หยุดควัน อย่างยั่งยืน

กิจกรรมในครั้งนี้มุ่งเน้นการส่งเสริมพฤติกรรมเชิงบวก และการมีส่วนร่วมของชุมชนในการแก้ปัญหาเชิงรุก โดยเฉพาะเรื่องการหลีกเลี่ยงการเผาในที่โล่งทุกชนิด และการลดการก่อให้เกิดเชื้อเพลิงที่อาจลุกลามเป็นไฟป่าในฤดูแล้ง โดยจุดเน้นที่ถ่ายทอดแก่ประชาชนในพื้นที่ ได้แก่

  • หลีกเลี่ยงการเผาขยะ หญ้าแห้ง ตอซังข้าว กิ่งไม้ หรือวัสดุใด ๆ ที่ติดไฟง่าย
  • สอนแนวทางการทำปุ๋ยหมักจากเศษพืชแทนการเผา
  • ส่งเสริมการแยกขยะอย่างถูกวิธี และการนำวัสดุอินทรีย์ไปใช้ให้เกิดประโยชน์
  • สนับสนุนการทำแนวกันไฟในพื้นที่ล่อแหลมใกล้แนวป่า
  • แนะนำการจัดการเชื้อไฟในพื้นที่การเกษตรอย่างปลอดภัย

แจกหน้ากากอนามัย รับมือ PM2.5 เกินมาตรฐาน

จากการตรวจวัดคุณภาพอากาศในพื้นที่พบว่ามีค่า PM2.5 เกินมาตรฐานที่องค์การอนามัยโลกกำหนด ส่งผลต่อสุขภาพโดยเฉพาะกลุ่มเสี่ยง มณฑลทหารบกที่ 37 จึงได้แจกจ่ายหน้ากากอนามัยให้ประชาชนในพื้นที่ เพื่อใช้ป้องกันตนเองจากฝุ่นละอองขนาดเล็กที่อาจก่อให้เกิดโรคระบบทางเดินหายใจ ทั้งนี้การแจกจ่ายหน้ากากอนามัยได้รับความร่วมมือจากผู้นำชุมชนและอสม.ในพื้นที่อย่างดียิ่ง

ประกาศ 92 วันปลอดการเผา – กลไกขับเคลื่อนสู่การลดฝุ่นควัน

จังหวัดเชียงรายได้ประกาศ “92 วัน ปลอดการเผาในที่โล่ง” ระหว่างวันที่ 1 มีนาคม – 31 พฤษภาคม 2568 เป็นนโยบายสำคัญในช่วงฤดูแล้ง เพื่อแก้ไขปัญหาไฟป่าและฝุ่น PM2.5 อย่างเป็นรูปธรรม โดยบูรณาการการทำงานร่วมกับหน่วยงานท้องถิ่น ผู้นำชุมชน องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และภาคประชาชน เพื่อให้เกิดผลลัพธ์อย่างยั่งยืน พร้อมตั้งเป้าหมายการลดจุดความร้อน (Hotspot) ในพื้นที่ให้ลดลงอย่างน้อย 30% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา

ชุมชนคือหัวใจสำคัญของการป้องกันไฟป่า

แม้จะมีมาตรการจากภาครัฐอย่างเข้มข้น การลดปัญหาไฟป่าและหมอกควันจะเกิดขึ้นไม่ได้หากขาดความร่วมมือจากประชาชนในระดับรากหญ้า การลงพื้นที่พบประชาชนของจิตอาสาทหารในกิจกรรม “เคาะประตู สู่ความห่วงใย” ครั้งนี้ จึงถือเป็นการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพ สามารถเปลี่ยนพฤติกรรมจาก “การเผาโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์” ให้กลายเป็น “ความเข้าใจและการมีส่วนร่วม” ได้อย่างแท้จริง

ข้อมูลสถิติที่เกี่ยวข้อง และแหล่งอ้างอิง

  • ข้อมูลจาก กรมควบคุมมลพิษ (PCD) ระบุว่า จังหวัดเชียงรายพบจุดความร้อน (Hotspot) เฉลี่ย 1,800 จุดต่อปีในช่วงฤดูแล้ง โดยมากเกิดจากการเผาในพื้นที่เกษตร
  • จากข้อมูล กรมอนามัย ปี 2566 พบว่า ค่าเฉลี่ย PM2.5 ในภาคเหนือตอนบนในช่วงมีนาคม-เมษายน สูงถึง 55-70 µg/m³ ซึ่งเกินค่ามาตรฐานที่กำหนดไว้ไม่เกิน 50 µg/m³
  • องค์การอนามัยโลก (WHO) ระบุว่า การสัมผัส PM2.5 ต่อเนื่องสามารถเพิ่มความเสี่ยงของโรคหัวใจและโรคระบบทางเดินหายใจได้ถึง 20–30%
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

เชียงรายเปิดศูนย์บัญชาการ สู้ศึกหมอกควัน PM2.5

เชียงรายลั่น! เอาผิดคนเผาป่า เข้มมาตรการ PM2.5

เชียงราย, 17 กุมภาพันธ์ 2568 – เชียงรายเปิดศูนย์ปฏิบัติการหมอกควันไฟป่าและ PM2.5 เดินหน้าคุมเข้มมาตรการลดปัญหามลพิษ

ผู้ว่าฯ เชียงรายเปิดศูนย์ปฏิบัติการหมอกควันไฟป่าและ PM2.5

วันนี้ (17 กุมภาพันธ์ 2568) นายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เป็นประธานในพิธีเปิด ศูนย์ปฏิบัติการหมอกควันไฟป่าและ PM2.5 จังหวัดเชียงรายอาคารศาลากลางจังหวัดเชียงราย โดยมีผู้แทนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง กองทัพ และภาคประชาสังคมเข้าร่วม

ศูนย์ปฏิบัติการแห่งนี้จัดตั้งขึ้นเพื่อเป็นศูนย์กลางการบริหารจัดการปัญหาหมอกควันและไฟป่าอย่างเป็นระบบ โดยมีการบูรณาการการทำงานระหว่างหน่วยงานรัฐ เอกชน และภาคประชาชน เน้น การบัญชาการ วางแผน และติดตามมาตรการควบคุมหมอกควันและไฟป่าในพื้นที่ โดยมีเจ้าหน้าที่จากหน่วยงานต่าง ๆ ได้แก่ มณฑลทหารบกที่ 37, กอ.รมน. จังหวัดเชียงราย, สำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม, สำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดเชียงราย และหน่วยงานอื่น ๆ ประจำการตั้งแต่วันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2568 เป็นต้นไป จนกว่าสถานการณ์จะคลี่คลาย

แนวทางแก้ปัญหา PM2.5 และการบังคับใช้กฎหมาย

นายชรินทร์ ทองสุข เน้นย้ำถึงความสำคัญของการควบคุมแหล่งกำเนิดหมอกควันไฟป่า โดยชี้ว่าปัญหา PM2.5 ไม่ได้เกิดจากจุดความร้อนของไฟป่าเพียงอย่างเดียว แต่ยังรวมถึงปัจจัยอื่น เช่น ควันดำจากยานพาหนะ และฝุ่นละอองจากพื้นที่ก่อสร้าง ทั้งนี้ จังหวัดเชียงรายจะใช้มาตรการเข้มข้นในการควบคุมการเผาอย่างเคร่งครัด โดยมี แนวทางป้องกันที่ชัดเจน ดังนี้:

  • เพิ่มมาตรการตรวจจับการเผาในที่โล่ง โดยใช้ภาพถ่ายจากดาวเทียมและโดรนตรวจการณ์
  • ประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนตระหนักถึงผลกระทบของ PM2.5 ผ่านช่องทางต่าง ๆ
  • บังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจัง สำหรับผู้ฝ่าฝืนมาตรการห้ามเผา

คนเผาต้องได้รับผลจากการกระทำ เช่น การดำเนินคดีทางกฎหมาย หรือการตัดสิทธิ์จากการรับบริการภาครัฐ” นายชรินทร์กล่าว พร้อมย้ำว่าทุกภาคส่วนต้องร่วมมือกันแก้ไขปัญหาอย่างจริงจังเพื่อให้เกิดผลเป็นรูปธรรม

มาตรการ “เชียงรายฟ้าใส 3 พื้นที่ 3 ช่วงเวลา”

จังหวัดเชียงรายได้ประกาศ มาตรการควบคุมการเผาในพื้นที่ 3 ระดับ ได้แก่ พื้นที่ป่า พื้นที่การเกษตร และพื้นที่เมือง โดยใช้ 3 ช่วงเวลาหลัก เพื่อควบคุมสถานการณ์หมอกควัน:

  1. ช่วงที่ 1: ห้ามเผาในที่โล่งตั้งแต่วันนี้ – 28 กุมภาพันธ์ 2568 โดยการเผาในพื้นที่เกษตรกรรมจะได้รับอนุญาต เฉพาะการบริหารจัดการโดยเจ้าหน้าที่ของรัฐเท่านั้น
  2. ช่วงที่ 2: ระหว่างวันที่ 1 มีนาคม – 31 พฤษภาคม 2568 เป็นช่วงบังคับใช้มาตรการ ห้ามเผาอย่างเด็ดขาด โดยผู้ฝ่าฝืนจะถูกดำเนินคดีตามกฎหมายขั้นสูงสุด
  3. ช่วงที่ 3: หลังวันที่ 31 พฤษภาคม 2568 เป็นต้นไป จะมีการติดตามและประเมินผลมาตรการ รวมถึงกำหนดแนวทางระยะยาวในการป้องกันปัญหาหมอกควัน

ประชาชนสามารถแจ้งเหตุผ่านสายด่วน

เพื่อให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการควบคุมสถานการณ์ไฟป่าและหมอกควัน ศูนย์ปฏิบัติการฯ ได้เปิด สายด่วนรับแจ้งเหตุเผาในพื้นที่ หมายเลข 053-602547 โดยมีเจ้าหน้าที่คอยรับเรื่องตลอด 24 ชั่วโมง

ความร่วมมือระหว่างภาครัฐ เอกชน และประชาชน

นายชรินทร์ ทองสุข กล่าวเพิ่มเติมว่า การแก้ปัญหาฝุ่นควัน ต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน โดยเฉพาะภาคประชาชน เราต้องทำให้ประชาชนตระหนักว่า หมอกควันและฝุ่น PM2.5 เป็นภัยที่กระทบต่อสุขภาพของทุกคน”

นอกจากนี้ จังหวัดเชียงรายยังได้บูรณาการทำงานร่วมกับ กลุ่มเกษตรกร เพื่อให้ความรู้เรื่องการจัดการเชื้อเพลิงอย่างปลอดภัย และสนับสนุนการนำเศษพืชมาใช้เป็นวัตถุดิบเชื้อเพลิงชีวมวล ลดการเผาทำลาย ซึ่งจะช่วยลดปัญหามลพิษในระยะยาว

สรุป

จังหวัดเชียงรายเปิด ศูนย์ปฏิบัติการหมอกควันไฟป่าและ PM2.5 เพื่อแก้ไขปัญหามลพิษจากไฟป่าและหมอกควันอย่างจริงจัง โดยใช้ มาตรการ “เชียงรายฟ้าใส 3 พื้นที่ 3 ช่วงเวลา” ควบคุมการเผา พร้อมบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มข้นและให้ประชาชนสามารถแจ้งเหตุเผาผ่านสายด่วน

ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงรายมั่นใจว่า ด้วยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน จังหวัดเชียงรายจะสามารถลดปัญหาฝุ่น PM2.5 และสร้างอากาศที่บริสุทธิ์ให้กับประชาชนได้อย่างแน่นอน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

อบจ.เชีงราย รวมพลังดับไฟป่า MOU สร้างแนวป้องกัน

เชียงรายลงนาม MOU แก้ไขปัญหาไฟป่าและหมอกควัน เสริมความร่วมมือทุกภาคส่วน

เชียงราย, 11 กุมภาพันธ์ 2568 – องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย (อบจ.เชียงราย) ร่วมกับหน่วยงานภาครัฐและท้องถิ่น ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) ในโครงการส่งเสริมการมีส่วนร่วมด้านการอนุรักษ์ ป้องกัน และแก้ไขปัญหาไฟป่าและหมอกควัน ณ องค์การบริหารส่วนตำบลแม่พริก อำเภอแม่สรวย จังหวัดเชียงราย

พิธีลงนามครั้งนี้จัดขึ้นโดยมี นายญาณาฤทธิ์ หนสมสุข รองปลัดองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย ปฏิบัติหน้าที่ปลัดองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย เป็นประธาน พร้อมด้วย นางนภาภัณฑ์ ต่วนชะเอม เลขานุการองค์การบริหารส่วนจังหวัด และ นางสาวปราณปรียา โพธิเลิศ ผู้อำนวยการกองป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย อบจ.เชียงราย นอกจากนี้ยังมี พันจ่าเอก ทวีป เชี่ยวสุวรรณ หัวหน้าฝ่ายป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย และ นางวรินทร ยานะนวล หัวหน้าฝ่ายสงเคราะห์และฟื้นฟูผู้ประสบภัย ร่วมลงนาม

ในส่วนของพื้นที่อำเภอแม่สรวย นายศิวกร ใจบุญมี ปลัดอำเภอแม่สรวย ได้กล่าวต้อนรับและสนับสนุนการดำเนินงาน เพื่อแก้ไขปัญหาหมอกควันที่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสุขภาพประชาชน

ผนึกกำลัง 9 หน่วยงาน ร่วมบูรณาการป้องกันไฟป่า

การลงนามครั้งนี้ถือเป็นการบูรณาการความร่วมมือระหว่างหลายหน่วยงานในพื้นที่อำเภอแม่สรวย ได้แก่

  • องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย
  • อำเภอแม่สรวย
  • อุทยานแห่งชาติดอยหลวง
  • เทศบาลตำบลเวียงสรวย
  • องค์การบริหารส่วนตำบลแม่พริก
  • องค์การบริหารส่วนตำบลเจดีย์หลวง
  • องค์การบริหารส่วนตำบลท่าก๊อ
  • กำนันตำบลแม่พริก
  • กำนันตำบลเจดีย์หลวง

ดำเนินโครงการ 8 จุดสำคัญ ป้องกันปัญหาหมอกควันระยะยาว

โครงการนี้จะดำเนินการในพื้นที่ 8 จุดสำคัญ ของอำเภอแม่สรวย โดยใช้ เครื่องจักรกลของ อบจ.เชียงราย และ อบต.แม่พริก ในการสร้างแนวกันไฟป่า และได้รับการสนับสนุนแรงงานจากประชาชนในพื้นที่ เพื่อร่วมกันป้องกันการลุกลามของไฟป่าในฤดูแล้ง

โครงการดังกล่าวมีเป้าหมายเพื่อลดผลกระทบจากหมอกควันที่เกิดจากไฟป่า ซึ่งเป็นปัญหาสำคัญที่ส่งผลต่อคุณภาพอากาศและสุขภาพของประชาชนในจังหวัดเชียงราย โดยมุ่งเน้นการป้องกันและควบคุมไฟป่าอย่างเป็นระบบ

เชียงรายเร่งแผนรับมือปัญหาหมอกควัน เดินหน้าต่อเนื่องในปี 2568

องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงรายได้เน้นย้ำถึงความสำคัญของการมีส่วนร่วมของชุมชนในการป้องกันไฟป่าและหมอกควัน โดยจะมีการรณรงค์ให้ประชาชนตระหนักถึงผลกระทบของไฟป่า และให้ความร่วมมือกับภาครัฐในการป้องกันการเกิดไฟป่า โดยเฉพาะในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ – เมษายน ซึ่งเป็นช่วงที่มีความเสี่ยงสูง

อบจ.เชียงราย ยังมีแผนทำงานร่วมกับ หน่วยงานสิ่งแวดล้อมระดับชาติ เพื่อพัฒนาแนวทางการจัดการหมอกควันที่มีประสิทธิภาพ พร้อมทั้งวางมาตรการระยะยาวเพื่อควบคุมการเกิดไฟป่าในอนาคต

คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับปัญหาไฟป่าและหมอกควันในเชียงราย

  1. ทำไมจังหวัดเชียงรายจึงเผชิญปัญหาหมอกควันทุกปี?

สาเหตุหลักมาจากไฟป่าที่เกิดขึ้นในช่วงฤดูแล้ง และการเผาพื้นที่เกษตรกรรม ซึ่งส่งผลกระทบต่อคุณภาพอากาศในภูมิภาค

  1. โครงการนี้ช่วยลดปัญหาหมอกควันได้อย่างไร?

การทำแนวกันไฟในพื้นที่เสี่ยงสูงจะช่วยป้องกันการลุกลามของไฟป่า และลดปริมาณหมอกควันที่เกิดจากการเผา

  1. ใครบ้างที่มีส่วนร่วมในโครงการนี้?

ทั้งภาครัฐ ท้องถิ่น และประชาชนในพื้นที่ ร่วมกันดำเนินโครงการเพื่อแก้ไขปัญหานี้อย่างเป็นระบบ

  1. แนวทางการป้องกันไฟป่าในระยะยาวของเชียงรายคืออะไร?

มีแผนพัฒนาเทคโนโลยีตรวจจับไฟป่า เพิ่มเจ้าหน้าที่ลาดตระเวน และรณรงค์ให้ความรู้แก่ประชาชน

  1. ประชาชนทั่วไปมีส่วนร่วมกับโครงการนี้ได้อย่างไร?

สามารถเข้าร่วมการอบรม และเป็นอาสาสมัครช่วยลาดตระเวนและป้องกันไฟป่าในพื้นที่ของตนเอง

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : อบจ.เชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

กองทัพบกที่ 37 เข้มงวดป้องกันไฟป่า-หมอกควันในพื้นที่

มณฑลทหารบกที่ 37 จัดชุดลาดตระเวนและประชาสัมพันธ์งดเผา ป้องกันปัญหาหมอกควันในเชียงราย

เชียงราย,10 กุมภาพันธ์ 2568 – ผู้สื่อข่าวรายงานว่า มณฑลทหารบกที่ 37 จัดกำลังชุดปฏิบัติการลาดตระเวน 3 ชุด ลงพื้นที่ในอำเภอแม่จันและอำเภอเทิง จังหวัดเชียงราย เพื่อป้องปรามการเผาป่า และประชาสัมพันธ์มาตรการงดเผาในที่โล่งของจังหวัดเชียงราย พร้อมให้ความรู้ประชาชนเกี่ยวกับแนวทางป้องกันและแก้ไขปัญหาไฟป่า หมอกควัน และฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5

การลาดตระเวนและประชาสัมพันธ์เชิงรุก

ชุดปฏิบัติการลาดตระเวนทั้ง 3 ชุด ได้กระจายกำลังลงพื้นที่ในหมู่ที่ 13 และ 15 ตำบลป่าตึง อำเภอแม่จัน และหมู่ที่ 1 ตำบลตับเต่า อำเภอเทิง ซึ่งเป็นพื้นที่เสี่ยงต่อการเกิดไฟป่า โดยเจ้าหน้าที่ได้ทำการลาดตระเวนในพื้นที่ป่า และพื้นที่เกษตรกรรมอย่างเข้มงวด เพื่อป้องปรามไม่ให้มีการลักลอบเผาป่า นอกจากนี้ เจ้าหน้าที่ยังได้พบปะพูดคุยกับประชาชนในพื้นที่ เพื่อให้ความรู้เกี่ยวกับอันตรายของไฟป่าและหมอกควัน รวมถึงประชาสัมพันธ์มาตรการงดเผาในที่โล่งของจังหวัดเชียงราย

มาตรการงดเผาในที่โล่งของจังหวัดเชียงราย

จังหวัดเชียงรายได้ประกาศมาตรการงดเผาในที่โล่ง เพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหาไฟป่าและหมอกควัน ประจำปี 2568 โดยมีรายละเอียดดังนี้

  • ตั้งแต่บัดนี้ – 28 กุมภาพันธ์ 2568: ห้ามเผาในที่โล่ง ยกเว้นกรณีที่ได้รับอนุญาตจากเจ้าหน้าที่รัฐ เพื่อควบคุมปริมาณเชื้อเพลิงในพื้นที่เสี่ยง
  • ระหว่างวันที่ 1 มีนาคม – 31 พฤษภาคม 2568: ห้ามเผาในที่โล่งทุกกรณีโดยเด็ดขาด

ความมุ่งมั่นของมณฑลทหารบกที่ 37 ในการแก้ไขปัญหาหมอกควัน

มณฑลทหารบกที่ 37 ยังคงเดินหน้าลาดตระเวนและสร้างการรับรู้ให้กับประชาชนอย่างต่อเนื่อง เพื่อร่วมกันลดปัญหาหมอกควันและมลพิษทางอากาศในพื้นที่ โดย พล.ต. [ชื่อและยศ] ผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ 37 ได้กล่าวว่า “ปัญหาหมอกควันเป็นปัญหาที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชน และเศรษฐกิจของจังหวัดเชียงราย กองทัพบกจึงมีความมุ่งมั่นที่จะร่วมมือกับทุกภาคส่วนในการแก้ไขปัญหาดังกล่าวอย่างเต็มที่”

ความสำคัญของการมีส่วนร่วมของประชาชน

มณฑลทหารบกที่ 37 เห็นว่า การแก้ไขปัญหาไฟป่าและหมอกควัน จะสำเร็จได้ต้องอาศัยความร่วมมือจากประชาชนทุกคน จึงขอความร่วมมือประชาชนในการงดเผาในที่โล่ง และแจ้งเบาะแสการลักลอบเผาป่าให้กับเจ้าหน้าที่

อนาคตของการแก้ไขปัญหาหมอกควันในเชียงราย

มณฑลทหารบกที่ 37 เชื่อมั่นว่า ด้วยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน จะทำให้ปัญหาหมอกควันในจังหวัดเชียงรายลดลง และประชาชนจะมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ทีมข่าวนครเชียงรายนิวส์

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

เชียงรายเปิดกิจกรรมหยุดเผา หยุดฝุ่น ต้าน PM 2.5

จังหวัดเชียงรายเดินหน้ามาตรการรณรงค์ป้องกันไฟป่าและฝุ่น PM 2.5

เมื่อวันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2568 ที่ศาลาอเนกประสงค์บ้านห้วยทรายขาว หมู่ที่ 3 ตำบลแม่ยาว อำเภอเมืองเชียงราย นายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เป็นประธานเปิดกิจกรรมรณรงค์ประชาสัมพันธ์ (Kick Off) เพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหาไฟป่า หมอกควัน และฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM 2.5) ภายใต้แนวคิด “หยุดเผา หยุดฝุ่น เพื่อคุณ เพื่อเรา” โดยมุ่งเน้นสร้างความตระหนักรู้แก่ประชาชนถึงความสำคัญของการห้ามเผาในทุกครัวเรือนทั่วจังหวัดเชียงราย พร้อมขยายผลไปทั่วประเทศผ่านการแจกสื่อประชาสัมพันธ์ต่างๆ เช่น แผ่นพับ โปสเตอร์ และสื่อโซเชียลเพื่อให้เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

การรณรงค์เพื่อการเปลี่ยนแปลงที่ยั่งยืน

กิจกรรมครั้งนี้ได้มีการเข้าถึงชุมชนและประชาชนในพื้นที่อย่างใกล้ชิด โดยใช้วิธีการเคาะประตูบ้านเพื่อให้ความรู้เกี่ยวกับผลกระทบจากไฟป่าและการเผา รวมถึงแนวทางการป้องกันเพื่อช่วยลดปัญหามลพิษทางอากาศ นอกจากนี้ยังมีการสนับสนุนการปลูกต้นไม้และส่งเสริมการใช้พลังงานสะอาดเพื่อช่วยลดมลพิษจากการใช้ทรัพยากรธรรมชาติอย่างมีประสิทธิภาพ

นายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย กล่าวว่า จังหวัดเชียงรายได้กำหนดมาตรการหลัก 3 ด้านเพื่อแก้ไขปัญหาหมอกควันและไฟป่า ซึ่งประกอบไปด้วยการส่งเสริมการทำเกษตรแบบไม่ใช้การเผา เช่น การไถกลบตอซัง การทำปุ๋ยหมัก และการใช้เทคโนโลยีชีวภาพ รวมถึงการใช้มาตรการตัดสิทธิประโยชน์ทางการเกษตร โดยมีการควบคุมการใช้มาตรการต่างๆ ผ่านการร่วมมือจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

การใช้มาตรการเข้มงวดและเชิงรุก

จังหวัดเชียงรายยังได้ตั้งทีมเฝ้าระวังในชุมชนเพื่อตรวจสอบและแจ้งเตือนการเกิดมลพิษ พร้อมทั้งบังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัดในทุกพื้นที่เพื่อให้การจัดการปัญหาหมอกควันและไฟป่ามีประสิทธิภาพสูงสุด ขณะเดียวกัน ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงรายยังได้กล่าวเพิ่มเติมว่า การลดจุดความร้อนในจังหวัดเชียงรายเป็นผลสำเร็จที่เห็นได้ชัด โดยช่วงสองวันที่ผ่านมาไม่พบจุดความร้อนเลย ซึ่งสะท้อนถึงความสำเร็จจากการบังคับใช้มาตรการเหล่านี้

ความสำคัญของการร่วมมือจากประชาชน

อย่างไรก็ตาม ในการแก้ไขปัญหานี้ยังคงต้องพึ่งพาความร่วมมือจากประชาชนอย่างจริงจัง โดยเฉพาะในส่วนของการลดการเผาและการช่วยควบคุมมลพิษจากยานพาหนะและภาคอุตสาหกรรม ซึ่งยังคงเป็นส่วนสำคัญในการเสริมสร้างการพัฒนาอย่างยั่งยืนของจังหวัดเชียงราย ในขณะเดียวกันยังได้มีการส่งเสริมให้ประชาชนปลูกต้นไม้เพื่อเพิ่มพื้นที่สีเขียว ซึ่งเป็นแนวทางที่ช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและช่วยฟื้นฟูสภาพแวดล้อมที่ดียิ่งขึ้น

การพัฒนาเชียงรายสู่เมืองท่องเที่ยวที่ยั่งยืน

จุดมุ่งหมายหลักของการรณรงค์นี้คือการทำให้จังหวัดเชียงรายกลายเป็นเมืองท่องเที่ยวที่มีอากาศบริสุทธิ์ พร้อมด้วยการสร้างเศรษฐกิจที่ยั่งยืนให้กับพื้นที่ ผ่านการลดมลพิษและการรักษาสิ่งแวดล้อมอย่างมีประสิทธิภาพ และไม่เพียงแต่การพัฒนาสภาพแวดล้อมเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการส่งเสริมให้มีการพัฒนาในทุกด้านเพื่อให้เมืองเชียงรายเป็นที่รู้จักในระดับโลกในฐานะที่เป็นเมืองท่องเที่ยวที่มีคุณภาพอากาศที่ดีที่สุด

สรุป

การรณรงค์เพื่อป้องกันไฟป่าและมลพิษทางอากาศที่จังหวัดเชียงรายจัดขึ้นในครั้งนี้ เป็นการสร้างการตระหนักรู้ให้กับประชาชนเกี่ยวกับปัญหาสิ่งแวดล้อมและการร่วมมือในการหาทางออกเพื่อแก้ไขปัญหาหมอกควันและไฟป่า โดยการใช้มาตรการบังคับใช้กฎหมายควบคู่กับการร่วมมือจากประชาชนในการลดการเผาและการใช้พลังงานสะอาด เพื่อให้เชียงรายกลายเป็นเมืองท่องเที่ยวที่สะอาดและยั่งยืนต่อไปในอนาคต

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
SOCIETY & POLITICS

การประชุมแก้ปัญหาหมอกควันและฝุ่น PM 2.5 รัฐบาลเร่งดำเนินการแก้ไข

การประชุมแก้ปัญหาหมอกควันไฟป่าและฝุ่น PM 2.5 โดยรองนายกรัฐมนตรี อนุทิน ชาญวีรกูล

เมื่อวันที่ 29 มกราคม 2568 อนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย (รมว.มหาดไทย) เป็นประธานการประชุมกองอำนวยการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ (ปภ.ช.) ซึ่งจัดขึ้นเพื่อติดตามปัญหาหมอกควันจากไฟป่าและฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5 โดยมีหน่วยงานต่างๆ และผู้ว่าราชการจังหวัด 76 จังหวัด ร่วมประชุมผ่านระบบวิดีโอคอนเฟอร์เร้นซ์ เพื่อรับมอบนโยบายและแนวทางการแก้ไขปัญหาดังกล่าว

นายกรัฐมนตรีห่วงใยสถานการณ์หมอกควัน

รองนายกรัฐมนตรี อนุทิน ชาญวีรกูล กล่าวว่า นายกรัฐมนตรีมีความห่วงใยอย่างยิ่งต่อสถานการณ์หมอกควันและฝุ่น PM 2.5 และได้ติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดแม้ในช่วงที่เดินทางไปต่างประเทศ โดยตลอดระยะเวลาที่นายกรัฐมนตรีอยู่ต่างประเทศ ได้มีการติดต่อประสานงานและเรียกประชุมหารือกับตนเองทุกเวลา เพื่อให้ทุกฝ่ายเตรียมพร้อมรับมือกับปัญหานี้

การแต่งตั้งที่ปรึกษากองบัญชาการปภ.ช.

ในที่ประชุม นายกรัฐมนตรีได้แต่งตั้งผู้แทนสำคัญหลายท่านเพื่อเป็นที่ปรึกษาของกองบัญชาการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ ได้แก่ นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกฯ และ รมว.กลาโหม, นายประเสริฐ จันทรวงทอง รองนายกฯ และ รมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม, รวมทั้ง นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ซึ่งจะรับผิดชอบในการเผยแพร่ข้อมูลให้ประชาชนรับทราบและเข้าใจสถานการณ์ รวมทั้งส่งเสริมให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการลดมลพิษจากฝุ่น PM 2.5

สถานการณ์หมอกควันในภาคเหนือ

อนุทินกล่าวว่า เมื่อวันที่ 27 มกราคมที่ผ่านมา ได้เดินทางไปที่จังหวัดเชียงใหม่เพื่อติดตามสถานการณ์ในพื้นที่ โดยเฉพาะใน 17 จังหวัดภาคเหนือที่มีการเผาวัชพืชและผลผลิตทางการเกษตรอย่างมาก ซึ่งเป็นพื้นที่ Hotspot ที่มีปัญหาหมอกควันฝุ่น PM 2.5 สูงที่สุด ผู้ว่าราชการจังหวัดได้ประกาศห้ามเผาและกำหนดมาตรการต่างๆ เพื่อบรรเทาสถานการณ์ โดยใช้ระบบบริหารจัดการแบบ Single Command เพื่อให้การทำงานร่วมกันของทุกหน่วยงานมีความเข้มข้นและมีประสิทธิภาพ

การบูรณาการความร่วมมือของทุกภาคส่วน

รองนายกรัฐมนตรีเน้นย้ำถึงการบูรณาการความร่วมมือจากทุกภาคส่วน เพื่อให้การแก้ไขปัญหาไฟป่าและหมอกควันเกิดผลอย่างแท้จริง โดยให้หน่วยงานต่างๆ ร่วมมือกันและทำงานอย่างเป็นทีม โดยไม่มุ่งหวังให้กระทรวงมหาดไทยเป็นผู้ดำเนินการเพียงลำพัง

มูลเหตุสำคัญจากการเผา

อนุทินยังกล่าวต่อว่า สาเหตุหลักที่ทำให้เกิดหมอกควันและมลพิษ PM 2.5 คือการเผาวัชพืชและซากพืชทางการเกษตร หากไม่ให้ประชาชนเผาทำลายซากพืชเหล่านี้ จะช่วยลดมลพิษได้อย่างมาก โดยการเผานั้นไม่ได้มีแค่ผลกระทบในประเทศเท่านั้น แต่ยังส่งผลต่อประเทศเพื่อนบ้านอีกด้วย จึงมีการเจรจาระหว่างรัฐบาลไทยและประเทศเพื่อนบ้านเพื่อแก้ไขปัญหามลพิษข้ามพรมแดน

การเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตเกษตรกร

นายอนุทินกล่าวว่า การเกษตรในพื้นที่ภาคเหนือและทั่วประเทศได้รับการเปลี่ยนแปลง โดยเกษตรกรหันมาผลิตพืชระยะสั้นแทนพืชผลทางการเกษตรระยะยาว เช่น มะม่วง ทุเรียน หรือมังคุด ที่ต้องใช้เวลาหลายปีในการเก็บเกี่ยว ซึ่งทำให้เกิดการเผาเศษวัชพืชมากขึ้น เนื่องจากพืชผลเหล่านี้ไม่ได้ให้ผลทันที และต้องเร่งปลูกพืชใหม่จึงต้องใช้การเผาเป็นวิธีการจัดการที่สะดวกและรวดเร็ว

แนวทางในการลดมลพิษจากการเผา

สำหรับการลดมลพิษจากการเผา การใช้วิธีการใหม่ๆ เช่น การฝังกลบ หรือการแปรสภาพเศษวัชพืชไปเป็นพลังงานชีวภาพ หรืออาหารสัตว์ รวมทั้งการทำปุ๋ยชีวภาพ เป็นทางเลือกที่รัฐบาลสนับสนุน พร้อมทั้งให้ความช่วยเหลือในด้านเครื่องจักรและอุปกรณ์ที่จำเป็น

ความเสียหายจากหมอกควันและฝุ่น PM 2.5

รองนายกรัฐมนตรียังได้กล่าวถึงความเสียหายจากหมอกควันที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชนและสิ่งแวดล้อม ซึ่งต้องการการสนับสนุนจากทุกภาคส่วนเพื่อหาทางออกที่ยั่งยืนและมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้รัฐบาลจะต้องมีมาตรการในการให้ความช่วยเหลือชาวบ้านอย่างรวดเร็ว เมื่อสถานการณ์เริ่มเกิดผลกระทบต่อสุขภาพและชีวิตของประชาชน

มาตรการในการช่วยเหลือชาวบ้าน

การใช้เงินช่วยเหลือเป็นหนึ่งในมาตรการที่รัฐบาลจะดำเนินการเพื่อชดเชยความเดือดร้อนของประชาชน โดยเฉพาะในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากหมอกควันฝุ่น PM 2.5 โดยรัฐบาลจะจัดสรรงบประมาณเพื่อช่วยเหลือในระยะยาว รวมทั้งมาตรการในการแก้ไขปัญหาภัยพิบัติในอนาคต

บทสรุป

การแก้ไขปัญหาหมอกควันและฝุ่น PM 2.5 เป็นเรื่องสำคัญที่ต้องได้รับการบูรณาการความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ทั้งรัฐบาล หน่วยงานท้องถิ่น และประชาชน เพื่อหาทางออกที่ยั่งยืนและมีประสิทธิภาพ รัฐบาลพร้อมที่จะสนับสนุนการดำเนินการทุกวิถีทางเพื่อให้เกิดผลสำเร็จในการลดมลพิษและแก้ไขปัญหาหมอกควันไฟป่าในอนาคต

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กระทรวงมหาดไทย 

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

เชียงรายเดินหน้ารับมือไฟป่า หมอกควัน เตรียมแผนปี 2568 อย่างเข้มข้น

การประชุมแก้ไขปัญหาไฟป่าและหมอกควัน เชียงรายเตรียมความพร้อมปี 2568

เมื่อวันที่ 6 มกราคม 2567 นายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย พร้อมด้วยนายประเสริฐ จิตต์พลีชีพ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เข้าร่วมการประชุมมอบนโยบายและแนวทางการปฏิบัติงานแก้ไขปัญหาไฟป่า หมอกควัน และฝุ่นละอองในพื้นที่ภาคเหนือ ประจำปี 2568 ผ่านระบบวิดีโอคอนเฟอเรนซ์ ณ ศาลากลางจังหวัดเชียงราย โดยมี พลโท กิตติพงษ์ แจ่มสุวรรณ แม่ทัพภาคที่ 3 เป็นประธานการประชุมจากศูนย์ปฏิบัติการกองพลทหารราบที่ 7 อำเภอแม่ริม จังหวัดเชียงใหม่

แผนการรับมือและแนวทางการปฏิบัติ

การประชุมได้แบ่งแผนดำเนินงานออกเป็น 3 ระยะ ได้แก่

  1. ช่วงเตรียมความพร้อม (15 พ.ย. 67 – 28 ก.พ. 68): เตรียมความพร้อมด้านกำลังพล วัสดุอุปกรณ์ และระบบประสานงาน
  2. ช่วงเผชิญเหตุ (1 มี.ค. 68 – 30 เม.ย. 68): ดำเนินการดับไฟป่าในพื้นที่ป่า พื้นที่เกษตร และพื้นที่เมือง
  3. ช่วงฟื้นฟู (1 พ.ค. 68 – 30 ต.ค. 68): ฟื้นฟูพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบและเตรียมป้องกันเหตุซ้ำซาก

พื้นที่เป้าหมายรวมถึงเขตป่าสงวน ป่าอนุรักษ์ พื้นที่เกษตรกรรม และเขตเมือง โดยเฉพาะ 7 อำเภอชายแดนที่มีหมอกควันข้ามแดน ซึ่งต้องประสานงานผ่านกลไก TBC และศูนย์สั่งการชายแดนเพื่อป้องกันจุดความร้อน (Hot Spot) และฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM2.5)

รายละเอียดแนวทางการดำเนินงาน

  • การจัดการไฟป่า: มอบหมายให้กรมชลประทานดูแลแหล่งน้ำสำหรับดับไฟ และใช้โดรนเกษตรเพื่อลำเลียงน้ำในพื้นที่เข้าถึงยาก
  • การลดการเผา: ขอความร่วมมือประชาชนในพื้นที่สูงและเกษตรกรที่ปลูกพืชเชิงเดี่ยว ใช้วิธีการจัดการเศษวัสดุทางการเกษตรอื่นแทนการเผา พร้อมส่งเสริมการปลูกพืชเศรษฐกิจ
  • การควบคุมฝุ่นในเมือง: ควบคุมฝุ่นจากชุมชน การก่อสร้าง และยานพาหนะ โดยเฉพาะในพื้นที่เสี่ยง
  • การปฏิบัติการด้านอากาศ: กองพลทหารราบที่ 7 จ.เชียงใหม่ เป็นจุดระดมพลอากาศยานและสนับสนุนน้ำมันเชื้อเพลิง
  • การทำงานแบบ Single Command: ผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นหัวหน้าศูนย์ควบคุมหลัก โดยทหารและตำรวจเป็นหน่วยสนับสนุน

การจัดตั้งศูนย์อำนวยการภาค 3

กองทัพภาคที่ 3 ได้จัดตั้งศูนย์อำนวยการป้องกันและแก้ไขปัญหาไฟป่า หมอกควัน และฝุ่นละออง ณ สโมสรยอดทัพบันเทิง กองพลทหารราบที่ 7 ตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม 2567 โดยมอบหมายให้ พลตรีชายแดน กฤษณสุวรรณ เป็นผู้บัญชาการศูนย์ เพื่อประสานงานและปฏิบัติการในพื้นที่ภาคเหนือ

ความสำคัญของการประชุม

การประชุมครั้งนี้เน้นย้ำให้ทุกหน่วยงานรับฟังความคิดเห็น ร่วมกันแก้ปัญหาอย่างมีประสิทธิภาพ ใช้งบประมาณให้คุ้มค่า และสร้างความมั่นใจให้ประชาชน โดยเฉพาะพื้นที่เสี่ยงที่เคยเกิดไฟป่าซ้ำซาก การปฏิบัติงานในเวลากลางคืนต้องคำนึงถึงความปลอดภัยสูงสุด พร้อมสร้างความร่วมมือกับชุมชนเพื่อป้องกันปัญหาไฟป่าและหมอกควันอย่างยั่งยืน

การประชุมครั้งนี้แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของทุกฝ่ายในการเตรียมรับมือสถานการณ์ไฟป่าและหมอกควันในปี 2568 เพื่อความปลอดภัยและสุขภาพของประชาชนในพื้นที่ภาคเหนือ

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News