Categories
AROUND CHIANG RAI ECONOMY

เชียงรายต้องขยับ! เมื่อไทยครองใจเอเชีย-แปซิฟิก และคนไทยพร้อมเที่ยวญี่ปุ่น วางหมาก “หนองหลวง-ไม้ดอก” เป็นคำตอบ

เชียงรายต้องขยับอย่างไร เมื่อไทยครองใจนักท่องเที่ยวเอเชีย–แปซิฟิก และคนไทยพร้อมเที่ยวญี่ปุ่น – ถอดบทเรียนจาก SiteMinder สู่ยุทธศาสตร์ “หนองหลวง–ไม้ดอก–ตำนานท้องถิ่น–ดิจิทัลทัวริซึม”

เชียงราย, 10 ธันวาคม 2568 – รายงานวิจัยด้านการท่องเที่ยวล่าสุดจาก SiteMinder “Changing Traveller Report 2026” ซึ่งสำรวจนักเดินทางกว่า 12,000 คน ใน 14 ประเทศทั่วโลก สะท้อนภาพชัดเจนว่า “ประเทศไทย” ยังยืนหนึ่งในใจนักท่องเที่ยวเอเชีย–แปซิฟิก ขณะเดียวกัน “คนไทย” เองก็มีแรงเดินทางสูงกว่าค่าเฉลี่ยโลก และวางแผนไป “ญี่ปุ่น” มากที่สุดในปี 2569

ท่ามกลางคลื่นความต้องการเดินทางรูปแบบใหม่ เมืองรองอย่าง “เชียงราย” จึงไม่ได้ยืนอยู่นอกเวที หากแต่กำลังถูกผลักขึ้นสปอตไลต์ เมื่อมีทั้ง “ดีมานด์จากต่างประเทศ” ที่มองหาประสบการณ์เชิงวัฒนธรรม–ธรรมชาติ และ “ดีมานด์ในประเทศ” ที่นิยมเที่ยวเมืองรองใกล้บ้าน แต่ต้องการบริการที่เฉพาะตัว ทันสมัย และเชื่อมต่อดิจิทัลได้เต็มรูปแบบ

ในบริบทนี้ น่าจะต้องให้เป็นอีกหนึ่งโจรย์การขับเคลื่อนของท้องถิ่นภายใต้การนำของ นางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย (นายก นก) ที่เร่ง “คืนน้ำใสให้หนองหลวง” อำเภอเวียงชัย และเตรียมพื้นที่จัด “มหกรรมไม้ดอกอาเซียนเชียงราย 2025” ณ สวนสาธารณะหนองหลวง ระหว่างวันที่ 19 ธันวาคม 2568 – 7 มกราคม 2569 จึงไม่ใช่แค่โครงการภูมิทัศน์ แต่คือการวางหมากยุทธศาสตร์เพื่อพาเชียงรายขึ้นไปยืนในกระดานท่องเที่ยวระดับภูมิภาคอย่างมีทิศทางชัดเจน

บทความนี้ชวนเจาะลึกว่า จากข้อมูลเชิงสถิติของ SiteMinder และทิศทางการพัฒนาหนองหลวง–มหกรรมไม้ดอก เชียงรายควร “ทำอะไรต่อ” เพื่อไม่ให้โอกาสกลายเป็นเพียงกระแสวูบเดียว แล้วหายไปพร้อมฤดูกาลท่องเที่ยว

ไทยครองใจเอเชีย–แปซิฟิก แต่เชียงรายต้องแปลง “ความนิยมประเทศ” เป็น “ดีมานด์เมืองรอง”

รายงาน Changing Traveller Report 2026 ระบุว่า ประเทศไทยติด 10 อันดับจุดหมายปลายทางยอดนิยมของนักเดินทางในหลายตลาดหลักของเอเชีย–แปซิฟิก อาทิ นักท่องเที่ยวสิงคโปร์จัดให้ไทยอยู่ใน 5 อันดับแรก ขณะที่อินเดีย อินโดนีเซีย จีน และออสเตรเลีย ต่างก็จัดให้ไทยอยู่ในลิสต์จุดหมายสำคัญในภูมิภาค

แม้ “กรุงเทพฯ” ยังครองสถานะเมืองหลักที่ดึงดูดนักเดินทางต่างชาติ แต่แนวโน้มระดับโลกชี้ไปในทิศทางเดียวกันว่า เมืองรองที่มีอัตลักษณ์ชัดเจนและรองรับการเดินทางเชื่อมต่อได้สะดวก กำลังกลายเป็นตัวเลือกสำคัญของนักท่องเที่ยวที่ต้องการ “ประสบการณ์มากกว่าการเช็กอิน” หรือที่มักเรียกกันว่า Second City Tourism

สำหรับเชียงราย เมืองที่มีทั้งภูมิทัศน์ธรรมชาติ ความหลากหลายทางชาติพันธุ์ ตำนานเมืองโบราณอย่างโยนกไชยบุรี และมรดกวัฒนธรรมล้านนา การก้าวขึ้นมาเป็น “เมืองรองระดับภูมิภาค” จึงไม่ใช่เรื่องไกลตัว หากแต่ต้องจัดระเบียบ “เรื่องราว–พื้นที่–บริการ–เทคโนโลยี” ให้เชื่อมโยงกันอย่างมียุทธศาสตร์

คนไทยเที่ยวมากขึ้น มองญี่ปุ่นเป็นอันดับหนึ่ง – สัญญาณว่าการแข่งขันเรื่อง “ประสบการณ์” จะดุเดือดกว่าเดิม

ด้านฝั่งนักท่องเที่ยวไทย รายงานเดียวกันสะท้อนว่า แรงเดินทางปี 2569 เข้มข้นยิ่งกว่าค่าเฉลี่ยโลก โดย 64% ของคนไทยต้องการเดินทางมากขึ้น ขณะที่ทั่วโลกอยู่ที่ราวครึ่งหนึ่งเท่านั้น

จุดหมายปลายทางในฝันของคนไทยยังคงเป็น “ญี่ปุ่น” ซึ่ง 56% ระบุว่ามีแผนเดินทางในปีหน้า ตามด้วยเกาหลีใต้ จีน สิงคโปร์ และไต้หวัน เมืองยอดนิยมในญี่ปุ่น เช่น โตเกียว โอซาก้า เกียวโต และภูเขาฟูจิ ยังคงสะท้อนภาพของประสบการณ์ “ครบชุด” ทั้งเมืองใหญ่ วัฒนธรรม อาหาร และธรรมชาติ ในจุดหมายเดียว

คำถามสำคัญสำหรับเชียงรายจึงไม่ใช่เพียง “จะแข่งกับญี่ปุ่นอย่างไร” แต่คือ “จะอยู่ในแผนการเดินทางของคนไทยและนักท่องเที่ยวต่างชาติอย่างไร” ในยุคที่ผู้คนพร้อมจะบินข้ามประเทศเพื่อหาประสบการณ์ที่ละเอียดอ่อนและแตกต่างมากขึ้น

ในอีกด้านหนึ่ง นักท่องเที่ยวจำนวนมาก รวมถึงคนไทยเอง ก็หันมาให้ความสำคัญกับการเที่ยว “ใกล้บ้าน” เพื่อลดค่าใช้จ่ายและความซับซ้อนในการวางแผน โดย 31% ของคนไทยระบุว่าจะเลือกเที่ยวใกล้บ้านมากขึ้น ซึ่งเป็นสัดส่วนสูงที่สุดเมื่อเทียบกับประเทศอื่นในรายงานเดียวกัน

เมื่อจับสองเทรนด์นี้มารวมกัน คนไทยพร้อมบินไกลไปญี่ปุ่น แต่ขณะเดียวกันก็ยังต้องการทริปใกล้บ้านที่คุ้มค่า มีความหมาย และวางแผนง่าย เชียงรายซึ่งเชื่อมต่อได้สะดวกทั้งทางอากาศและทางบก จึงมีโอกาสที่จะเป็น “คำตอบในประเทศ” ของคนไทยกลุ่มเดียวกับที่รักญี่ปุ่น หากสามารถนำเสนอประสบการณ์ที่ครบทั้งธรรมชาติ วัฒนธรรม และเรื่องเล่าได้อย่างมีกลยุทธ์

พฤติกรรมนักเดินทางยุคใหม่ จองล่วงหน้า เปิดรับ Dynamic Pricing ใช้ AI ตัดสินใจ โจทย์ใหม่ของผู้ประกอบการเชียงราย

SiteMinder ชี้ให้เห็นการเปลี่ยนแปลงเชิงพฤติกรรมที่ผู้ประกอบการที่พักในไทยต้องรับมืออย่างเร่งด่วน

  • 38% ของนักท่องเที่ยวไทยบอกว่าจะ “จองที่พักล่วงหน้ามากขึ้น”
  • 27% ใช้แพลตฟอร์ม OTA เป็นจุดเริ่มต้นค้นหาที่พัก และอีก 13% อ้างอิงจากบล็อกท่องเที่ยว ซึ่งเป็นสัดส่วนสูงที่สุดในโลก
  • เกือบ 80% เห็นด้วยกับการ “ปรับราคาโรงแรมตามดีมานด์” หรือ Dynamic Pricing สูงกว่าค่าเฉลี่ยโลกที่ราว 65%
  • 86% ยินดีให้โรงแรมใช้ข้อมูลส่วนบุคคล เพื่อแลกกับประสบการณ์ที่ปรับให้ตรงใจมากขึ้น
  • 51% พร้อมจ่ายเพิ่มเพื่ออาหารกูร์เมต์หรือไวน์เทสติ้ง 48% พร้อมจ่ายค่าอาหาร เครื่องดื่มแบบ walk-in ในโรงแรม และ 40% สนใจสปา ขณะที่ 33% สนใจการแสดงดนตรีสดในที่พัก

ตัวเลขเหล่านี้สะท้อนภาพที่ชัดเจนว่า “ราคา” ไม่ใช่ปัจจัยเดียวอีกต่อไป แต่ “ประสบการณ์ในที่พัก” และ “ความสมเหตุสมผลระหว่างราคากับคุณภาพ” ต่างหากที่เป็นตัวตัดสินใจสุดท้าย

สำหรับเชียงราย ซึ่งมีผู้ประกอบการโรงแรมขนาดกลาง และเล็ก โฮมสเตย์ และที่พักประเภท Bed & Breakfast อยู่จำนวนมาก โครงสร้างตลาดกลับสอดคล้องอย่างยิ่งกับเทรนด์นี้ เพราะนักท่องเที่ยวไทยยังนิยม “Standard Room” ถึง 58% และเลือก B&B มากที่สุดในโลกที่ 21%

แต่จุดเปลี่ยนสำคัญคือ ผู้ประกอบการต้องไม่มองห้องพักเป็นแค่ “เตียงและอาหารเช้า” อีกต่อไป หากแต่ต้องออกแบบให้เป็น “แพ็กเกจประสบการณ์” ที่เชื่อมโยงกับพื้นที่รอบตัว เช่น

  • แพ็กเกจห้องพัก + ล่องเรือหนองหลวง + ชมตำนานเมืองโยนกไชยบุรี
  • แพ็กเกจสำหรับนักท่องเที่ยวสิงคโปร์หรือออสเตรเลีย ที่ผสานการเที่ยวเชิงเกษตร ชา–กาแฟ และดินเนอร์พื้นเมืองในโรงแรม
  • แพ็กเกจสำหรับนักเดินทางสายสุขภาพ ที่รวมการนวดแผนไทย สปา และกิจกรรมเดินป่าเบา ๆ รอบหนองหลวงหรือพื้นที่ใกล้เคียง

ทั้งหมดนี้ต้องถูกนำเสนอผ่านช่องทางดิจิทัล ตั้งแต่ OTA เว็บไซต์โรงแรม ไปจนถึงคอนเทนต์ในบล็อกและโซเชียลมีเดีย ที่ใช้ทั้งข้อมูลและเรื่องเล่าท้องถิ่นเป็น “สินทรัพย์หลัก”

หนองหลวง–ตำนานเมืองโยนกไชยบุรี–ไม้ดอกอาเซียน 2025 เมื่อโครงสร้างพื้นฐานน้ำ เชื่อมกับ “เศรษฐกิจประสบการณ์”

หนองหลวง อำเภอเวียงชัย เคยเป็นเพียงแหล่งน้ำสาธารณะเพื่อการเกษตรและประมงของชุมชน แต่ในช่วงปี 2568 พื้นที่แห่งนี้ถูกดันขึ้นมาเป็น “หัวใจของงานมหกรรมไม้ดอกอาเซียนเชียงราย 2025” โซนเวียงชัย อย่างเต็มรูปแบบ หลังจากมีการลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือกำจัดผักตบชวาและวัชพืชในหนองน้ำ ร่วมกันระหว่างองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย อำเภอเมืองเชียงราย อำเภอเวียงชัย และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นโดยรอบ

การ “คืนน้ำใสให้หนองหลวง” ไม่ได้หมายถึงเพียงการปรับภูมิทัศน์ให้สวยงาม แต่คือการคืนศักยภาพเชิงระบบนิเวศให้กลับมาเป็นทั้งแหล่งน้ำเพื่อเกษตร แหล่งอาหารของชุมชน และฐานทรัพยากรในการพัฒนาการท่องเที่ยวเชิงนิเวศในระยะยาว

ในวันลงพื้นที่เมื่อวันที่ 9 ธันวาคม 2568 นายก นก พร้อมคณะผู้บริหาร อบจ.เชียงราย และสมาชิกสภา อบจ. เขตเวียงชัย ได้สำรวจและประเมินความพร้อมของเส้นทางเดินเรือในสวนสาธารณะหนองหลวง เพื่อเตรียมใช้เป็นโซนจัดกิจกรรมภายในงานมหกรรมไม้ดอกอาเซียนเชียงราย 2025 ซึ่งจะดึงดูดนักท่องเที่ยวจากทั้งในประเทศและต่างประเทศให้มาสัมผัสเชียงรายในมิติที่ลึกกว่าการเที่ยวชมดอกไม้เพียงอย่างเดียว

จากน้ำใสสู่ “ล่องเรือเกาะแม่หม้าย” – เมื่อเรื่องเล่าตำนานกลายเป็นสินทรัพย์ทางการท่องเที่ยว

ข้อเสนอสำคัญที่สร้างความสนใจให้กับผู้สังเกตการณ์นโยบายด้านการท่องเที่ยว คือไอเดียของนายก นก ที่ต้องการให้มีการจัดกิจกรรม “ล่องเรือชมเกาะแม่หม้าย” เกาะเล็ก ๆ กลางหนองหลวง ซึ่งผูกโยงกับตำนานเมืองโยนกไชยบุรี เมืองโบราณที่เล่ากันว่าล่มสลายจากอาเพศ เนื่องจากชาวเมืองกินเนื้อปลาไหลเผือก ยกเว้นหญิงชราผู้หนึ่งเพียงคนเดียวที่ไม่ได้กินและรอดชีวิตอยู่บนเกาะ

เมื่อนำตำนานนี้มาเชื่อมกับประสบการณ์ล่องเรือในบรรยากาศหนองน้ำกว้าง การเล่าเรื่องโดยไกด์ท้องถิ่น หรือแม้กระทั่งการใช้สื่อดิจิทัล–AR/VR ช่วยเล่าเรื่อง เชียงรายกำลังสร้าง “ประสบการณ์ที่มีความหมาย” ซึ่งสอดคล้องอย่างยิ่งกับแนวโน้มที่ SiteMinder พบว่า นักเดินทางยุคใหม่ทั้งในไทยและต่างประเทศต้องการทริปที่มีเนื้อหาและคุณค่าเชิงวัฒนธรรม ไม่ใช่เพียงภาพสวย ๆ สำหรับโพสต์โซเชียล

นางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ ให้มุมมองที่สะท้อนวิสัยทัศน์ดังกล่าวอย่างชัดเจนว่า หนองหลวงไม่ใช่เพียงแหล่งน้ำเพื่อการเกษตรและประมง แต่มีศักยภาพจะพัฒนาเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงนิเวศที่เชื่อมโยงธรรมชาติ ประวัติศาสตร์ และวัฒนธรรมของเชียงรายได้ในเวลาเดียวกัน ผ่านกิจกรรมล่องเรือชมเกาะและการเล่าตำนานโบราณ ซึ่งตรงกับเทรนด์ที่นักเดินทางต้องการประสบการณ์เชิงความหมายมากขึ้น

ในเชิงเศรษฐกิจ “กิจกรรมบนหนองน้ำ” ยังสามารถต่อยอดไปสู่โครงสร้างรายได้รูปแบบใหม่ ตั้งแต่แพ็กเกจล่องเรือ–อาหารพื้นเมือง–ผลิตภัณฑ์ชุมชน ไปจนถึงการพัฒนาเส้นทางท่องเที่ยวเชื่อมโยงกับโซนอื่นของงานมหกรรมไม้ดอกอาเซียน ทั้งฝั่งเวียงชัยและแม่สาย ที่กระทรวงการต่างประเทศและหน่วยงานด้านการท่องเที่ยวของไทยนำเสนอว่าเป็นเทศกาลสำคัญระดับอาเซียนในช่วงปลายปี 2568 ถึงต้นปี 2569

AI, OTA และคอนเทนต์เชิงลึก สามเครื่องมือดิจิทัลที่เชียงรายต้องใช้ให้เป็น

รายงาน SiteMinder ยังสะท้อนบทบาทที่เพิ่มขึ้นของ “ปัญญาประดิษฐ์” ในการตัดสินใจด้านการเดินทางของผู้บริโภค โดยคนไทยให้ความสำคัญกับฟีเจอร์อย่างระบบแจ้งเตือนราคา การสรุปรีวิวโรงแรม และการแนะนำจุดเที่ยวตามสไตล์ส่วนตัวในระดับสูงกว่าค่าเฉลี่ยโลกอย่างชัดเจน

สำหรับเชียงราย การใช้ AI และระบบดิจิทัลควรถูกวางไว้ในสามระดับหลัก ได้แก่

  1. ระดับข้อมูลและการค้นหา (Discovery)
    ผู้ประกอบการโรงแรมและที่พักต้องดูแลโปรไฟล์บน OTA ให้ครบถ้วน มีการตอบรีวิวอย่างมืออาชีพ และใช้คอนเทนต์คุณภาพสูง ทั้งภาพ วิดีโอ และเรื่องเล่าท้องถิ่นเพื่อเพิ่มโอกาสในการปรากฏในผลค้นหา ขณะเดียวกันหน่วยงานภาครัฐและเอกชนควรร่วมกันพัฒนา “ฐานข้อมูลดิจิทัลกลาง” ของแหล่งท่องเที่ยว–กิจกรรมในเชียงราย ที่สามารถเชื่อมต่อให้ AI ของแพลตฟอร์มต่าง ๆ ดึงไปใช้แนะนำได้โดยอัตโนมัติ
  2. ระดับประสบการณ์ในพื้นที่ (In-Destination Experience)
    โรงแรมสามารถใช้ AI Chatbot ช่วยแนะนำเส้นทางเที่ยวในเชียงรายแบบเฉพาะบุคคล เช่น สำหรับนักท่องเที่ยวที่พักในเมืองและมีเวลา 2 วัน สามารถเสนอโปรแกรมเที่ยววัด–คาเฟ่กาแฟพิเศษ–ล่องเรือหนองหลวง–ชมตำนานโยนกไชยบุรี โดยเชื่อมต่อการจองล่วงหน้ากับผู้ให้บริการทัวร์และชุมชนได้ในระบบเดียว
  3. ระดับวางแผนรายได้ (Revenue & Dynamic Pricing)
    เมื่อ 80% ของนักท่องเที่ยวไทยเปิดรับราคาห้องพักที่เปลี่ยนแปลงตามดีมานด์ โรงแรมในเชียงรายจึงควรใช้ระบบบริหารรายได้ (Revenue Management System) ร่วมกับข้อมูลการจองล่วงหน้าในช่วงงานมหกรรมไม้ดอกอาเซียนหรือเทศกาลสำคัญอื่น ๆ เพื่อบริหารราคาให้สมดุลระหว่างรายได้ต่อห้องกับความพึงพอใจของลูกค้า โดยต้องไม่ลืมว่าการขึ้นราคาต้องคู่กับการยกระดับบริการให้สอดคล้องกับความคาดหวังที่สูงขึ้นด้วย

 กลยุทธ์สามเสาหลักของเชียงราย Experience – Digital – Local Preservation

เมื่อเชื่อมโยงข้อมูลจาก SiteMinder เข้ากับทิศทางพัฒนาหนองหลวงและงานมหกรรมไม้ดอกอาเซียนเชียงราย 2025 สามารถสรุปเป็น “ยุทธศาสตร์สามเสาหลัก” ที่เชียงรายควรเดินหน้าต่อเนื่อง ดังนี้

  1. Experience สร้างและยกระดับ “ประสบการณ์ที่มีความหมาย”
    • ใช้หนองหลวงเป็นเวทีทดลองโมเดลท่องเที่ยวเชิงนิเวศ–ตำนาน–ชุมชน ที่ผสานกิจกรรมล่องเรือ เล่าเรื่องเมืองโยนกไชยบุรี ชิมอาหารพื้นเมือง และชมวิถีชีวิตริมหนองน้ำ
    • เชื่อมประสบการณ์ในงานมหกรรมไม้ดอกอาเซียน กับการท่องเที่ยวในเมืองเชียงรายและอำเภออื่น เช่น เมืองเชียงราย–เวียงชัย–แม่สาย ในแพ็กเกจเดียว เพื่อเพิ่มระยะเวลาพำนัก (length of stay) และการใช้จ่ายเฉลี่ยต่อคน
  2. Digital/Technology ใช้ดิจิทัลและ AI เป็นโครงสร้างพื้นฐานใหม่ของการท่องเที่ยว
    • สนับสนุนผู้ประกอบการให้ใช้ OTA เว็บไซต์ตรง และระบบจองออนไลน์แบบครบวงจร โดยเฉพาะในช่วงงานใหญ่อย่างมหกรรมไม้ดอกอาเซียน ที่ต้องรองรับการจองล่วงหน้าจำนวนมาก
    • พัฒนา “ศูนย์ข้อมูลดิจิทัลการท่องเที่ยวเชียงราย” ที่รวบรวมข้อมูลแหล่งท่องเที่ยว เรื่องเล่าท้องถิ่น กิจกรรม และเทศกาล เพื่อให้แพลตฟอร์มระดับโลกสามารถดึงไปใช้ในการแนะนำปลายทางได้สะดวก
  3. Local Preservation อนุรักษ์ทรัพยากรและเรื่องเล่าท้องถิ่นควบคู่ไปกับการสร้างมูลค่าเพิ่ม
    • เดินหน้าจัดการทรัพยากรน้ำและระบบนิเวศหนองหลวงอย่างต่อเนื่อง ไม่ให้การคืนน้ำใสเป็นเพียง “ครั้งเดียวจบ”
    • สร้างกระบวนการมีส่วนร่วมของชุมชนในการเล่าเรื่องตำนานและดูแลกิจกรรมท่องเที่ยว เพื่อให้รายได้หมุนเวียนกลับสู่ชุมชนและทำให้การอนุรักษ์มีแรงจูงใจทางเศรษฐกิจ
    • ผลักดันระบบมาตรฐานด้านความปลอดภัย การควบคุมจำนวนนักท่องเที่ยวต่อรอบล่องเรือ และการประเมินผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้การท่องเที่ยวเติบโตบนฐานความยั่งยืน

นายสุภกฤษฎิ์ แผนสมบูรณ์ ผู้จัดการประจำประเทศไทยของ SiteMinder ให้ความเห็นต่อแนวโน้มดังกล่าวว่า โรงแรมและผู้ประกอบการต้องยกระดับบริการ ลงทุนกับประสบการณ์ และใช้เทคโนโลยีอย่าง AI ควบคู่ไปกับระบบราคาแบบยืดหยุ่น จึงจะสามารถรักษาความสามารถในการแข่งขันและสร้างความประทับใจให้กับนักเดินทางยุคใหม่ได้ ในบริบทของเชียงราย ข้อสังเกตนี้ยิ่งทวีความสำคัญ เมื่อจังหวัดกำลังใช้เวทีระดับอาเซียนอย่างมหกรรมไม้ดอก เป็น “โชว์รูม” ของศักยภาพด้านการท่องเที่ยวทั้งระบบ

จากรายงานวิจัยสู่การลงมือในพื้นที่ – โอกาสของเชียงรายอยู่ที่การ “เชื่อมทุกจุดเข้าด้วยกัน”

เมื่อพิจารณาภาพรวมทั้งหมด จะเห็นว่า รายงานวิจัยระดับโลกของ SiteMinder ไม่ได้เป็นเพียงตัวเลขสถิติ หากแต่ทำหน้าที่สะท้อน “เงื่อนไขใหม่ของการแข่งขันด้านการท่องเที่ยว” ที่ทุกเมืองต้องเผชิญ

สำหรับเชียงราย โอกาสสำคัญอยู่ในสามประเด็นใหญ่

  • ประเทศไทยได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางในฐานะจุดหมายปลายทางของเอเชีย–แปซิฟิก ซึ่งเชียงรายสามารถอาศัย “แบรนด์ประเทศไทย” เป็นแรงส่ง
  • นักเดินทางทั้งไทยและต่างชาติให้ความสำคัญกับประสบการณ์เฉพาะตัว พร้อมจ่ายเพื่ออาหาร บริการสปา และกิจกรรมในที่พัก โดยเปิดรับเทคโนโลยีและการใช้ข้อมูลส่วนบุคคลเพื่อปรับประสบการณ์ให้ตรงใจ
  • การขับเคลื่อนของหน่วยงานท้องถิ่น โดยเฉพาะ อบจ.เชียงราย ที่เร่งฟื้นฟูหนองหลวงและเตรียมจัดมหกรรมไม้ดอกอาเซียนเชียงราย 2025 ทำให้เชียงรายมี “เวทีและพื้นที่จริง” สำหรับทดลองและพัฒนานวัตกรรมการท่องเที่ยวเชิงนิเวศ–วัฒนธรรมอย่างเป็นรูปธรรม

สิ่งที่ต้องทำต่อจากนี้ จึงไม่ใช่เพียงการจัดงานใหญ่ให้สำเร็จครั้งเดียว แต่คือการวางระบบที่จะทำให้หนองหลวง กลายเป็น “ห้องทดลองนโยบายท่องเที่ยว” ของเชียงราย ที่ผสานงานโครงสร้างพื้นฐาน ทรัพยากรธรรมชาติ เรื่องเล่าท้องถิ่น กลไกตลาดดิจิทัล และการมีส่วนร่วมของชุมชนเข้าไว้ด้วยกันอย่างยั่งยืน

หากเชียงรายสามารถทำให้ “น้ำใสในหนองหลวง” สะท้อนให้เห็นถึง “ความชัดเจนของยุทธศาสตร์ท่องเที่ยวทั้งจังหวัด” ได้จริง เมืองเหนือปลายแหลมแห่งนี้อาจไม่ได้เป็นเพียงจุดหมายรองในแผนการเดินทางของนักท่องเที่ยวเอเชีย–แปซิฟิก แต่มีศักยภาพจะยกระดับขึ้นเป็น “ศูนย์รวมประสบการณ์ล้านนาเชิงลึก” ที่ช่วยขับเคลื่อนทั้งเศรษฐกิจฐานราก คุณภาพชีวิตของชุมชน และภาพลักษณ์ของประเทศไทยในระยะยาว

สำนักข่าวนครเชียงรายนิวส์

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • SiteMinder, Changing Traveller Report 2026
  • PPTV Online, “ไทยยังครองใจนักท่องเที่ยวเอเชีย–แปซิฟิก คนไทยพร้อมเที่ยวญี่ปุ่นปี 69 – อินไซต์จาก SiteMinder” (เผยแพร่ปี 2568)
  •  “Chiang Rai ASEAN Flower Festival 2025: Reflect of Seasons
  • องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
MOST POPULAR
FOLLOW ME
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

“ธรรมนัส“ ร่วม “อบจ.เชียงราย” พัฒนาหนองหลวง ปล่อยปลาหมื่นตัว

นายก อบจ.เชียงรายบูรณาการภาครัฐเดินหน้าพัฒนาหนองหลวง พร้อมผลักดันเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงนิเวศเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตประชาชนอย่างยั่งยืน

เชียงราย, 9 พฤษภาคม 2568 – ความหวังใหม่กำลังจะเกิดขึ้นสำหรับประชาชนในพื้นที่รอบหนองหลวง อำเภอเวียงชัย จังหวัดเชียงราย เมื่อนายก นก อทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย (อบจ.เชียงราย) พร้อมด้วยร้อยเอกธรรมนัส พรหมเผ่า ที่ปรึกษาคณะกรรมาธิการน้ำ สภาผู้แทนราษฎร ได้ลงพื้นที่เพื่อรับฟังปัญหาและความต้องการของประชาชน พร้อมนำเสนอแนวทางการพัฒนาพื้นที่หนองหลวงอย่างเป็นรูปธรรม

การลงพื้นที่ในครั้งนี้ได้รับความสนใจจากประชาชนในพื้นที่เป็นจำนวนมาก สะท้อนให้เห็นถึงความคาดหวังของชาวบ้านที่มีต่อการพัฒนาแหล่งน้ำธรรมชาติขนาดใหญ่แห่งนี้ หลังจากต้องเผชิญกับปัญหาการตื้นเขิน วัชพืชน้ำที่แพร่กระจาย และศักยภาพในการกักเก็บน้ำที่ลดลงมาโดยตลอด

การลงพื้นที่ครั้งสำคัญของผู้บริหารระดับสูง

เมื่อเวลา 13.30 น. ของวันที่ 9 พฤษภาคม 2568 นายก นก อทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย ได้เดินทางมายังบริเวณหนองน้ำสาธารณะหนองหลวง อำเภอเวียงชัย จังหวัดเชียงราย พร้อมกับร้อยเอกธรรมนัส พรหมเผ่า ที่ปรึกษาคณะกรรมาธิการน้ำ สภาผู้แทนราษฎร เพื่อรับฟังปัญหาและความต้องการของประชาชนในพื้นที่โดยตรง

ในการลงพื้นที่ครั้งนี้ มีนายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เป็นผู้กล่าวต้อนรับคณะผู้บริหารและแขกผู้มีเกียรติ พร้อมด้วย ดร.ฐิติพร หลาวประเสริฐ รองอธิบดีกรมประมง นายประเสริฐ จิตต์พลีชีพ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย หัวหน้าส่วนราชการ ผู้นำท้องที่ ผู้นำท้องถิ่น และประชาชนที่มาร่วมต้อนรับกว่า 800 คน แสดงให้เห็นถึงความสำคัญของการพัฒนาพื้นที่หนองหลวงที่มีต่อชุมชนโดยรอบ

หนองหลวง แหล่งน้ำธรรมชาติที่ใหญ่ที่สุดของจังหวัดเชียงราย

หนองหลวงถือเป็นอ่างเก็บน้ำตามธรรมชาติที่มีขนาดใหญ่ที่สุดของจังหวัดเชียงราย ตั้งอยู่ในพื้นที่ 3 ตำบล 2 อำเภอ ประกอบด้วย ตำบลเวียงชัย ตำบลดอนศิลา อำเภอเวียงชัย และตำบลห้วยสัก อำเภอเมืองเชียงราย จังหวัดเชียงราย มีพื้นที่ประมาณ 9,816 ไร่ ด้วยปริมาณความจุประมาณ 19 ล้านลูกบาศก์เมตร

แหล่งน้ำแห่งนี้มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อวิถีชีวิตของประชาชนในพื้นที่มาอย่างยาวนาน เป็นทั้งแหล่งน้ำเพื่อการเกษตร แหล่งอาหารของชุมชน และมีศักยภาพในการพัฒนาเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงนิเวศ อย่างไรก็ตาม ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา หนองหลวงประสบปัญหาหลายประการ ทั้งการตื้นเขิน การแพร่ระบาดของผักตบชวาและวัชพืชน้ำ รวมถึงปัญหาด้านการบริหารจัดการน้ำที่ขาดประสิทธิภาพ

แผนพัฒนาหนองหลวงอย่างเป็นรูปธรรม

ในการลงพื้นที่ครั้งนี้ นายก นก อทิตาธร วันไชยธนวงศ์ ได้นำเสนอแนวทางพัฒนาพื้นที่หนองหลวงอย่างเป็นรูปธรรม โดยมีแผนการดำเนินงานที่ครอบคลุมหลายมิติ ดังนี้

  1. การขุดลอกและปรับปรุงระบบระบายน้ำ: เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการกักเก็บน้ำและป้องกันปัญหาน้ำท่วมในพื้นที่โดยรอบ
  2. การกำจัดผักตบชวาและวัชพืชน้ำ: เพื่อฟื้นฟูระบบนิเวศและเพิ่มปริมาณออกซิเจนในน้ำ ซึ่งจะส่งผลดีต่อการขยายพันธุ์ของสัตว์น้ำ
  3. การส่งเสริมให้หนองหลวงเป็นพื้นที่อนุรักษ์ควบคู่กับการท่องเที่ยวเชิงนิเวศ: เพื่อสร้างความสมดุลระหว่างการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและการสร้างรายได้ให้แก่ชุมชน

แผนการพัฒนาดังกล่าวสอดคล้องกับนโยบายสำคัญของ อบจ.เชียงราย ได้แก่ นโยบายกระจายเครื่องจักรกลและบุคลากรสู่ชุมชน นโยบายศูนย์บริหารจัดการสาธารณภัยแบบเบ็ดเสร็จ (PDOSS) และนโยบาย “เที่ยวได้ทุกสไตล์ เที่ยวเชียงรายได้ทั้งปีมีดีทุกอำเภอ” ตามข้อมูลจากสำนักช่าง อบจ.เชียงราย

การบูรณาการความร่วมมือจากทุกภาคส่วน

นายก อบจ.เชียงราย ยังได้เน้นย้ำถึงความสำคัญของการบูรณาการความร่วมมือจากทุกภาคส่วน โดยจะมีการประสานงานร่วมกับหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้อง ทั้งกรมทรัพยากรน้ำ กรมชลประทาน กรมประมง และหน่วยงานอื่นๆ เพื่อรวบรวมข้อมูลและจัดทำแผนแม่บทในการพัฒนาหนองหลวงอย่างเป็นระบบ

“การพัฒนาหนองหลวงจำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน เราไม่สามารถทำเพียงลำพังได้ แต่ต้องบูรณาการความร่วมมือทั้งจากหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชน เพื่อให้การพัฒนาเกิดประโยชน์สูงสุดต่อชุมชนและเป็นไปอย่างยั่งยืน” นายก อทิตาธร กล่าว

ร้อยเอกธรรมนัส พรหมเผ่า ที่ปรึกษาคณะกรรมาธิการน้ำ สภาผู้แทนราษฎร ยังได้แสดงความมุ่งมั่นที่จะผลักดันให้โครงการพัฒนาหนองหลวงได้รับการสนับสนุนงบประมาณจากรัฐบาลในระยะต่อไป โดยเน้นย้ำว่าการพัฒนาแหล่งน้ำเป็นหนึ่งในนโยบายสำคัญของรัฐบาลในการแก้ไขปัญหาความยากจนและยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน

ความคาดหวังของประชาชนในพื้นที่

นายสมชาย ใจดี ผู้ใหญ่บ้านตำบลเวียงชัย หนึ่งในผู้เข้าร่วมรับฟังการนำเสนอแผนพัฒนาหนองหลวง กล่าวว่า “ชาวบ้านในพื้นที่มีความหวังอย่างมากกับโครงการพัฒนาหนองหลวงในครั้งนี้ เพราะเราประสบปัญหาน้ำท่วมในฤดูฝนและขาดแคลนน้ำในฤดูแล้งมานาน การพัฒนาระบบบริหารจัดการน้ำของหนองหลวงจะช่วยแก้ไขปัญหาเหล่านี้ได้อย่างยั่งยืน”

นางสาวประภา วงศ์สมบูรณ์ ประธานกลุ่มวิสาหกิจชุมชนท่องเที่ยวตำบลดอนศิลา เสริมว่า “หากหนองหลวงได้รับการพัฒนาให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงนิเวศ จะช่วยสร้างรายได้ให้แก่ชุมชนอย่างมาก เรามีทั้งภูมิปัญญาท้องถิ่น ผลิตภัณฑ์ OTOP และวัฒนธรรมที่น่าสนใจ รอเพียงโอกาสในการนำเสนอสิ่งเหล่านี้แก่นักท่องเที่ยวเท่านั้น”

การปล่อยพันธุ์ปลาเพื่อฟื้นฟูระบบนิเวศ

ในโอกาสเดียวกันนี้ คณะผู้บริหารและประชาชนที่มาร่วมงานได้ร่วมกันปล่อยพันธุ์ปลานิลและพันธุ์ปลาตะเพียน รวมจำนวน 20,000 ตัว ลงสู่หนองหลวง เป็นการเริ่มต้นฟื้นฟูระบบนิเวศในแหล่งน้ำและเพิ่มความอุดมสมบูรณ์ของทรัพยากรสัตว์น้ำ

ดร.ฐิติพร หลาวประเสริฐ รองอธิบดีกรมประมง กล่าวว่า “การปล่อยพันธุ์ปลาลงสู่แหล่งน้ำธรรมชาติเป็นหนึ่งในแนวทางการฟื้นฟูระบบนิเวศทางน้ำที่ได้ผลดี โดยเฉพาะปลานิลและปลาตะเพียนซึ่งเป็นปลากินพืชจะช่วยควบคุมปริมาณสาหร่ายและพืชน้ำไม่ให้เกิดการแพร่ระบาดมากเกินไป อีกทั้งยังเป็นแหล่งโปรตีนที่สำคัญของประชาชนในพื้นที่”

ความท้าทายและอนาคตของหนองหลวง

แม้การพัฒนาหนองหลวงจะมีแนวโน้มที่ดี แต่ก็ยังมีความท้าทายหลายประการที่ต้องได้รับการแก้ไข ทั้งปัญหาการบุกรุกพื้นที่ การปล่อยน้ำเสียจากชุมชนและภาคเกษตรกรรม รวมถึงการบริหารจัดการทรัพยากรอย่างยั่งยืน

นายก อทิตาธร วันไชยธนวงศ์ ได้ย้ำว่า “การพัฒนาหนองหลวงไม่ใช่เพียงการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า แต่เป็นการวางรากฐานสำหรับอนาคตของลูกหลานเชียงราย เราต้องการให้หนองหลวงเป็นทั้งแหล่งน้ำที่อุดมสมบูรณ์ แหล่งท่องเที่ยวที่สวยงาม และเป็นแหล่งเรียนรู้ด้านระบบนิเวศ ซึ่งจะต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วนและการมีส่วนร่วมของประชาชนในพื้นที่”

การลงพื้นที่หนองหลวงในครั้งนี้นับเป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญของการพัฒนาแหล่งน้ำธรรมชาติขนาดใหญ่ของจังหวัดเชียงราย โดยมีเป้าหมายที่จะยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนและสร้างรายได้อย่างยั่งยืน สอดคล้องกับยุทธศาสตร์การพัฒนาจังหวัดเชียงรายและนโยบายของรัฐบาลในการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำอย่างมีประสิทธิภาพ

สถิติที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาแหล่งน้ำในประเทศไทย

ตามข้อมูลจากกรมทรัพยากรน้ำและสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) พบว่าประเทศไทยมีแหล่งน้ำธรรมชาติขนาดใหญ่กว่า 8,000 แห่งทั่วประเทศ แต่มีเพียงร้อยละ 43 เท่านั้นที่ได้รับการพัฒนาและบริหารจัดการอย่างเหมาะสม

ข้อมูลจากสำนักงานสถิติแห่งชาติ ปี 2567 ระบุว่า มีประชาชนกว่า 25 ล้านคนที่ยังประสบปัญหาการเข้าถึงน้ำเพื่อการเกษตรอย่างเพียงพอ และมีถึง 5.7 ล้านครัวเรือนที่ประสบปัญหาการขาดแคลนน้ำในช่วงฤดูแล้ง

สำหรับด้านการท่องเที่ยวเชิงนิเวศ จากรายงานของกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา พบว่า ในปี 2567 มีนักท่องเที่ยวที่สนใจการท่องเที่ยวเชิงนิเวศและการท่องเที่ยวชุมชนเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 18 เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา สร้างรายได้ให้แก่ชุมชนท้องถิ่นกว่า 12,000 ล้านบาท

นอกจากนี้ การศึกษาของมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ด้านการพัฒนาแหล่งน้ำในภาคเหนือของประเทศไทย พบว่า การพัฒนาแหล่งน้ำธรรมชาติควบคู่กับการส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงนิเวศสามารถเพิ่มรายได้ให้แก่ชุมชนได้เฉลี่ยร้อยละ 35 ต่อปี และยังช่วยลดอัตราการย้ายถิ่นฐานของประชากรในท้องถิ่นได้ถึงร้อยละ 22

สถิติเหล่านี้แสดงให้เห็นถึงความสำคัญของการพัฒนาแหล่งน้ำธรรมชาติอย่างหนองหลวงต่อการพัฒนาเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมของชุมชนโดยรอบอย่างยั่งยืน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : 

  • กรมทรัพยากรน้ำ, กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม. (2567). รายงานสถานการณ์น้ำประจำปี 2567.
  • สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.). (2567). แผนแม่บทการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ 20 ปี (2560-2580) ฉบับปรับปรุง.
  • สำนักงานสถิติแห่งชาติ. (2567). ผลสำรวจภาวะเศรษฐกิจและสังคมของครัวเรือน ปี 2567.
  • กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา. (2567). รายงานสถิติการท่องเที่ยวเชิงนิเวศและการท่องเที่ยวชุมชน.
  • คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่. (2567). รายงานการศึกษาผลกระทบทางเศรษฐกิจและสังคมจากการพัฒนาแหล่งน้ำในภาคเหนือของประเทศไทย.
  • องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE