Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

“ธรรมนัสโมเดล” ถึงเวียงป่าเป้า! รมช.เกษตรฯ มอบ “โฉนดเกษตร” พร้อมเร่งกู้ชีพพื้นที่หลังภัยพิบัติ

ธรรมนัสโมเดล” ถึงเวียงป่าเป้า รมช.เกษตรฯ มอบโฉนดเพื่อการเกษตร–โฉนดต้นไม้ 265 ราย เดินหน้าฟื้นฟูพื้นที่เกษตรเสียหายหลังพายุ “ยางิ” ปักหมุดความมั่นคงที่ดิน–ทุน–ดิน เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตชาวเชียงราย

เชียงราย, 24 ตุลาคม 2568 — เช้าวันฟ้าหลังฝนที่อำเภอเวียงป่าเป้า บริเวณลานกิจกรรมของสหกรณ์การเกษตรเวียงป่าเป้า จำกัด คลาคล่ำไปด้วยเกษตรกรจากหลายตำบล ผู้คนสวมหมวกผ้าคลุมไหล่ รอคอยเอกสารชิ้นสำคัญในชีวิตการทำกิน เสียงประกาศบนเวทีดังชัด “โฉนดเพื่อการเกษตร และโฉนดต้นไม้ พร้อมมอบแล้ว” และทันทีที่ชื่อนายแรกถูกเรียก เสียงปรบมือก็ลั่นขึ้นเป็นระลอก ความหวังเรื่อง “หลักประกัน” ที่จับต้องได้กำลังงอกงามกลางหุบเขาเชียงราย

พิธีมอบเอกสารสิทธิครั้งนี้นำโดย นายนเรศ ธำรงค์ทิพยคุณ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ทำหน้าที่ประธานในพิธี มอบ โฉนดเพื่อการเกษตร 250 ราย และ โฉนดต้นไม้ 15 ราย รวม 265 ราย แก่เกษตรกรในเขตปฏิรูปที่ดินของอำเภอเวียงป่าเป้า โดยมี นายประสงค์ หล้าอ่อน รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย กล่าวต้อนรับ และ นายเศรษฐเกียรติ กระจ่างวงษ์ เลขาธิการสำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม (ส.ป.ก.) รายงานวัตถุประสงค์และภาพรวมโครงการ

ภาพของซองเอกสารสีขาวเรียงรายบนโต๊ะยาวสะท้อนนโยบายที่รัฐบาลผลักดันต่อเนื่อง ภายใต้การกำกับของ ร้อยเอก ธรรมนัส พรหมเผ่า รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ซึ่งมุ่งแก้ปมเชิงโครงสร้างเรื่อง “ความมั่นคงในที่ดิน” ของเกษตรกรไทย และเชื่อมต่อสู่ความมั่นคงทางรายได้และคุณภาพชีวิตในระยะยาว

 “โฉนดเพื่อการเกษตร” คือกุญแจไขสู่ทุนและโอกาส

ส.ป.ก. ก่อตั้งตั้งแต่ปี 2518 เพื่อจัดการปัญหาการขาดแคลนที่ดินทำกิน ลดความเหลื่อมล้ำ และยกระดับประสิทธิภาพการใช้ที่ดิน เครื่องมือสำคัญในระยะหลังคือการ ปรับปรุงเอกสารสิทธิ ส.ป.ก. 4-01 ให้เป็น “โฉนดเพื่อการเกษตร” ซึ่งสามารถใช้เป็น หลักประกันทางเศรษฐกิจ เข้าถึงแหล่งทุน สินเชื่อและบริการทางการเงินได้ง่ายขึ้น ส่งผลให้เกษตรกรวางแผนลงทุนพัฒนาอาชีพได้อย่างมั่นคง

นายนเรศ ธำรงค์ทิพยคุณ กล่าวบนเวทีว่าวันนี้ไม่ใช่แค่มอบเอกสาร แต่คือการส่งต่อโอกาส “การมอบโฉนดครั้งนี้เป็นไปตามนโยบายของรัฐบาลและกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เพื่อเพิ่มสิทธิ์และโอกาสให้เกษตรกรในเขตปฏิรูปที่ดินสามารถใช้ที่ดินได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย เข้าถึงแหล่งทุน และยกระดับคุณภาพชีวิตได้อย่างยั่งยืน” คำกล่าวสั้นกระทัดรัด แต่มีน้ำหนักต่อชีวิตหลายครัวเรือน

ด้าน นายเศรษฐเกียรติ กระจ่างวงษ์ อธิบาย “โฉนดเพื่อการเกษตร” ว่าเป็นหัวใจของการปฏิรูปที่ดินยุคใหม่ เพราะเชื่อมโยง “สิทธิในที่ดิน” เข้ากับ “ทุนและตลาด” ทำให้เกษตรกรต่อยอดได้จริง ตั้งแต่การปรับปรุงระบบน้ำ การซื้อเครื่องจักรขนาดเล็ก ไปจนถึงการเปลี่ยนผ่านสู่เกษตรคุณภาพสูงและเกษตรยั่งยืน

ข้อมูลสำคัญระดับจังหวัด สะท้อนความก้าวหน้าในภาพใหญ่ของเชียงราย คือ มีพื้นที่เขตปฏิรูปที่ดินรวมประมาณ 932,061 ไร่ จัดสรรให้เกษตรกรแล้วกว่า 76,000 ราย รวมกว่า 583,000 ไร่ และ ปรับปรุงเอกสารสิทธิเป็นโฉนดเพื่อการเกษตรแล้วกว่า 22,000 ราย รวมกว่า 178,000 ไร่ ส่วนในอำเภอเวียงป่าเป้า มีเกษตรกรได้รับจัดสรรที่ดินกว่า 3,800 ราย รวมกว่า 32,000 ไร่ ตัวเลขเหล่านี้ทำให้วันนี้ไม่ใช่เหตุการณ์โดดเดี่ยว แต่คือจิ๊กซอว์อีกชิ้นในแผนงานระยะยาวของพื้นที่

เมื่อ “ดิน–น้ำ–โครงสร้าง” บาดเจ็บจากภัยพิบัติ

ช่วงบ่าย คณะรัฐมนตรีช่วยฯ เคลื่อนคาราวานไปยัง โรงเรียนดอยเวียงผาพิทยา ตำบลเวียง เพื่อประชุมติดตามการฟื้นฟูพื้นที่การเกษตรที่ได้รับผลกระทบจากอิทธิพล พายุ “ยางิ” เมื่อเดือนกันยายน 2567 ภาพจำของคนเวียงป่าเป้าคือสายน้ำเชี่ยวและดินโคลนหนาทึบกวาดผ่านทุ่งนาทุ่งข้าวโพด เหลือร่องรอยคล้ายรอยแผลเป็นบนภูมิประเทศ

ดร.สุมิตรา วัฒนา รองอธิบดี รักษาราชการแทนอธิบดีกรมพัฒนาที่ดิน รายงานว่า พายุครั้งนั้นสร้างความเสียหายในพื้นที่ บ้านแม่ปูนล่าง ตำบลเวียง เป็นบริเวณกว้าง รวมกว่า 12,000 ไร่ โดยเฉพาะนาข้าวและข้าวโพดราว 400 ไร่ ที่ถูกตะกอนดินทับถมจนหน้าดินเสียสมดุล การฟื้นฟูจึงต้องใช้ทั้งวิทยาศาสตร์ดินและการมีส่วนร่วมของชุมชน

แผนฟื้นฟูแบบเป็นขั้นตอน ของกรมพัฒนาที่ดินประกอบด้วย

  • สำรวจและออกแบบระบบอนุรักษ์ดินและน้ำแบบมีส่วนร่วมรายแปลง เพื่อให้มาตรการเหมาะกับลักษณะพื้นที่จริง
  • อนุรักษ์ดินและน้ำในพื้นที่ป่าแม่ลาวฝั่งซ้าย (ได้รับอนุญาตจากสำนักจัดการทรัพยากรป่าไม้ที่ 2 เชียงราย) เน้น จัดระบบขั้นบันไดดิน ฝายชะลอน้ำ และคูเบนน้ำ เพื่อลดความเร็วการไหลบ่าของน้ำและพัดพาตะกอน
  • ปรับปรุงพื้นที่นาที่ถูกตะกอนทับถม 350 ไร่ ด้วยการปรับระดับแปลงนา เติมอินทรียวัตถุ และปรับปรุงโครงสร้างดิน
  • สนับสนุนพืชปุ๋ยสด วัสดุปรับปรุงดิน และปุ๋ยหมัก เพื่อคืนความอุดมสมบูรณ์อย่างยั่งยืน
  • ถ่ายทอดองค์ความรู้เรื่องหญ้าแฝก ให้เกษตรกรใช้เป็นแนวกันชะล้างพังทลาย ลดความเสี่ยงดินถล่มในฤดูฝนหน้า

การฟื้นฟูเช่นนี้ไม่ได้ให้ผลลัพธ์ทันที แต่เป็นการ “รักษาแผลลึก” ให้ดินกลับมาแข็งแรง ซึ่งเมื่อผนวกกับ “โฉนดเพื่อการเกษตร” ที่เพิ่งได้ จะทำให้เกษตรกรมีทั้ง สิทธิในที่ดิน และ ศักยภาพของดิน ไปพร้อมกัน

จากใบตองรองข้าวสู่เอกสารรองชีวิต

บนเก้าอี้แถวหลังเวที ชายชาวนาในวัยห้าสิบปลายก้มลงลูบซองเอกสาร เขาเล่าว่าพายุปีที่แล้วพัดตะกอนเข้าทุ่งข้าวจนเทือกดินเสียรูป ต้องทำนาแบบไม่รู้ผล “แต่พอมีทีมกรมพัฒน์ฯ เข้ามาช่วยวางคันนาใหม่ สอนปลูกหญ้าแฝก แถมวันนี้ได้โฉนดเพื่อการเกษตรอีก ก็คงกล้าคุยกับธนาคารเรื่องน้ำและเครื่องสูบแล้ว” ประโยคสั้นอาจไม่ใช่คำสัมภาษณ์อย่างเป็นทางการ หากคือภาพสะท้อนโครงสร้างโอกาสที่เปลี่ยนไป

เรื่องเล่าทำนองนี้ทำให้พิธีมอบเอกสารสิทธิไม่ใช่เรื่อง “พิธีกรรม” แต่เป็นจุดเริ่มของ เส้นทางทุน–ความรู้–การตลาด ที่เกษตรกรจะก้าวเดินต่อไป

ความมั่นคง 3 มิติ “ที่ดิน–ทุน–ดิน” และผลต่อเศรษฐกิจฐานราก

  1. มิติที่ดิน (Land Security)
    โฉนดเพื่อการเกษตรช่วยรับรองสิทธิการใช้ประโยชน์ในที่ดินที่ชัดเจน ลดความเสี่ยงข้อพิพาท และเพิ่มความสามารถในการวางแผนระยะยาว เปิดทางสู่การรวมกลุ่มจัดการน้ำ การรับรองมาตรฐาน GAP/ออร์แกนิก และการเชื่อมโยงสหกรณ์
  2. มิติทุน (Financial Inclusion)
    เอกสารสิทธิรูปแบบใหม่นี้ถูกออกแบบให้ใช้เป็นหลักประกัน จึงช่วยให้เข้าถึงแหล่งทุนดอกเบี้ยเหมาะสม เกิดการลงทุนย่อยจำนวนมาก เช่น ระบบน้ำหยด โรงเรือนเพาะปลูก เครื่องจักรกลขนาดเล็ก ซึ่งสร้าง ผลิตภาพ และ รายได้ต่อไร่ ที่สูงขึ้นกว่าการทำแบบเดิม
  3. มติดิน (Soil Health & Climate Resilience)
    แผนฟื้นฟูหลังพายุยางิที่เน้น “โครงสร้างดิน–ระบบชะลอน้ำ–หญ้าแฝก” ช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นต่อสภาพอากาศสุดขั้ว และลดความเสี่ยงซ้ำซากในฤดูฝนหน้า เมื่อดินดี น้ำดี การผลิตก็กลับมาเร็วขึ้น ต้นทุนลดลง และวงจรหนี้ระยะสั้นของเกษตรกรคลายตัว

เชิงเศรษฐกิจระดับท้องถิ่น ผลคูณจากการลงทุนเล็กๆ หลายร้อยแปลงสามารถขับเคลื่อน ห่วงโซ่ธุรกิจชุมชน ตั้งแต่ร้านปุ๋ย–เครื่องมือเกษตร–ช่างซ่อม–ขนส่ง ไปจนถึงตลาดชุมชนและท่องเที่ยวชุมชน ที่เชื่อมกับภาพรวมของจังหวัดที่กำลังผลักดัน “เมืองท่องเที่ยวคุณภาพ” คู่ขนานไปกับ “เมืองเกษตรคุณภาพสูง”

บทบาทสหกรณ์และท้องถิ่นสะพานเชื่อมรัฐสู่ไร่นา

การมอบโฉนดวันนี้เกิดขึ้นที่ สหกรณ์การเกษตรเวียงป่าเป้า ซึ่งทำหน้าที่เป็น “ศูนย์รวม” ของข้อมูล สมาชิก และบริการทางการเงินของเกษตรกรในพื้นที่ สหกรณ์มีบทบาทสำคัญสามด้าน

  • คัดกรอง–ยืนยันข้อมูลแปลง เพื่อความถูกต้องของเอกสารสิทธิ
  • ออกแบบผลิตภัณฑ์ทางการเงินร่วมธนาคารคู่ค้าสหกรณ์ ให้สอดรับฤดูกาลผลิต
  • ทำตลาดร่วม ช่วยรวมผลผลิตและยกระดับคุณภาพเพื่อให้ขายได้ราคาดีขึ้น

องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในเวียงป่าเป้ายังเดินหน้าจัดการโครงสร้างพื้นฐานหมู่บ้าน เช่น ถนนคันนา ฝายในลำเหมือง และพื้นที่ปลอดภัยจากอุทกภัย ร่วมกับหน่วยงานกระทรวงเกษตรฯ เพื่อให้ผลของ “เอกสารสิทธิ + การฟื้นฟูดิน” ส่งผลจริงในไร่นา

ตัวเลขสำคัญที่ควรรู้ (เชียงรายและเวียงป่าเป้า)

  • มอบเอกสารสิทธิวันนี้โฉนดเพื่อการเกษตร 250 ราย, โฉนดต้นไม้ 15 ราย รวม 265 ราย
  • เชียงรายทั้งจังหวัด เขตปฏิรูปที่ดินรวม ประมาณ 932,061 ไร่; จัดสรรแล้วกว่า 76,000 ราย รวมกว่า 583,000 ไร่; ปรับเป็น โฉนดเพื่อการเกษตรกว่า 22,000 ราย รวมกว่า 178,000 ไร่
  • เวียงป่าเป้า เกษตรกรได้รับจัดสรรที่ดินกว่า 3,800 ราย รวมกว่า 32,000 ไร่
  • ความเสียหายจากพายุ “ยางิ”  พื้นที่เกษตรเสียหายรวมกว่า 12,000 ไร่; แปลงข้าว–ข้าวโพดเสียหายราว 400 ไร่; โครงการปรับปรุงพื้นที่นาที่ถูกตะกอนทับถม 350 ไร่

ตัวเลขเหล่านี้ไม่ได้เป็นเพียงสถิติ แต่คือ แนวเส้นทาง ของการทำงานเชิงระบบ ตั้งแต่ปฏิรูปที่ดินจนถึงการพัฒนาดิน ช่วยให้ประชาชนเห็นภาพก้าวต่อไปของอำเภอและจังหวัด

มองไปข้างหน้า จาก “เอกสารในมือ” สู่ “รายได้ในกระเป๋า”

การได้โฉนดเพื่อการเกษตรคือจุดเริ่ม ไม่ใช่ปลายทาง เพื่อให้ เงินลงทุน กลายเป็น รายได้ อย่างยั่งยืน หน่วยงานเกี่ยวข้องควรเดินหน้า 5 ประเด็นเร่งด่วน

  1. แพ็กเกจสินเชื่อชลประทานย่อย–ระบบน้ำอัจฉริยะ สำหรับแปลงนาและพืชไร่ที่ผ่านการฟื้นฟู ช่วยลดความเสี่ยงภัยแล้งสั้นและยกระดับคุณภาพผลผลิต
  2. แผนปรับตัวภัยพิบัติชุมชน จัดทำแผนที่เสี่ยงน้ำหลาก–ดินถล่ม ควบคู่ระบบเตือนภัยและประกันภัยพืชผลภาคสมัครใจ
  3. เร่งเครื่องมาตรฐานคุณภาพ เช่น GAP/เกษตรอินทรีย์ เพื่อให้เข้าถึงตลาดที่ราคาดีกว่า และสอดรับดีมานด์ผู้บริโภคยุคใหม่
  4. ส่งเสริมรวมกลุ่มการตลาดผ่านสหกรณ์ เชื่อมอีคอมเมิร์ซท้องถิ่นและตลาดท่องเที่ยวจังหวัด สร้างเรื่องเล่าต้นทาง–ปลายทาง
  5. ติดตามประเมินผลแบบโปร่งใส เผยแพร่ความคืบหน้าฟื้นฟูรายตำบล เปิดข้อมูลให้สาธารณชนติดตามได้

หากทำครบวงจร “ที่ดินมั่นคง–ดินแข็งแรง–ทุนเข้าถึงง่าย–ตลาดรองรับ” จะช่วยยกระดับรายได้ต่อไร่ ลดการโยกย้ายแรงงาน และสร้างภูมิคุ้มกันให้เกษตรกรเวียงป่าเป้าผ่านฤดูกาลที่ผันผวน

ทำให้ “โฉนด” มีชีวิต

โฉนดเพื่อการเกษตร และ โฉนดต้นไม้ เป็นเอกสารที่สัมผัสได้ แต่ “ชีวิต” ของมันเริ่มต้นเมื่อถูกนำไปใช้จริง แปลเป็นเครดิตน้ำ แปลเป็นระบบสูบน้ำพลังงานสะอาด แปลเป็นคันนาขั้นบันไดที่ลดการชะล้าง หรือแปลเป็นโรงเรือนที่ต่อยอดรายได้แกนที่สองของครัวเรือน เมื่อบวกกับกระบวนการฟื้นฟูดินอย่างเป็นวิทยาศาสตร์ ภาพใหญ่ที่เห็นคือ ความมั่นคงสามชั้น ของเกษตรกร คือ สิทธิในที่ดิน–การเข้าถึงทุน–ความอุดมสมบูรณ์ของดิน ซึ่งจะหนุนคุณภาพชีวิตอย่างยั่งยืน

สุดท้าย พิธีวันนี้ไม่เพียง “มอบกระดาษ” หากคือการส่งมอบความเชื่อมั่น เกษตรกรในเวียงป่าเป้าไม่ได้เดินลำพัง แต่มีรัฐ สหกรณ์ ท้องถิ่น และวิทยาศาสตร์ดินเดินไปด้วยกัน บนถนนสายยาวของการฟื้นฟูหลังพายุและการอยู่ร่วมกับภูมิอากาศที่ผันผวน

 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
  • กระทรวงเกษตรและสหกรณ์
  •  สำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม (ส.ป.ก.)
  • กรมพัฒนาที่ดิน
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI CULTURE

ความเชื่อปะทะกฎหมาย เชียงรายคลี่คลายปมสุสานลาหู่ในที่ดิน ส.ป.ก. ชั่วคราว

ความเชื่อปะทะกฎหมาย “สุสานบนที่ทำกิน” ปมฝังศพลาหู่ในที่ดิน ส.ป.ก. แม่จัน คลี่คลายชั่วคราวด้วยคำมั่นตั้งสุสานสาธารณะ

เชียงราย, 8 กันยายน 2568 –ที่ว่าการอำเภอแม่จันเต็มไปด้วยคนกว่า 300 คนที่ยืนแน่นในเช้าวันจันทร์อึมครึม ฝนพรำเบาๆ แต่ป้ายผ้ากลับชัดเจน พวกเขามาเรียกร้อง “หยุดขุดหลุมศพบรรพบุรุษ” และขอให้รัฐ “มองเห็นความเชื่อ” ของชุมชนชาติพันธุ์บนดอยบ้านเล่าชีก๋วย ตำบลป่าตึง อำเภอแม่จัน เหตุเริ่มจากคำสั่งทางปกครองให้ย้ายร่าง “พ่อเฒ่าจะแก จิตเอื้ออังกูร” ผู้อาวุโสชาวลาหู่ ที่ครอบครัวฝังไว้ในสวน 15 ไร่ซึ่งเป็นที่ดิน ส.ป.ก. และ ส.ท.ก. ตามคำสั่งเสียของผู้ตายเมื่อเมษายน 2567 ก่อนเกิดข้อพิพาทยืดเยื้อเกือบสองปี

ช่วงบ่าย วันเดียวกัน รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย นายประเสริฐ จิตต์พลีชีพ เข้าพบชาวบ้านและให้คำมั่น “ระงับการขุดย้ายศพ” พร้อมเร่งวางแผน “ตั้งสุสานสาธารณะ” เพื่อเป็นทางออกเฉพาะพื้นที่ ชาวบ้านจึงแยกย้ายด้วยความหวัง แต่รู้ว่าศึกหลักยังอยู่ในชั้นกฎหมายและศาลปกครองเชียงใหม่ที่เริ่มรับเรื่องร้องทุกข์ไว้พิจารณาแล้ว ซึ่งเหตุการณ์ชุมนุมครั้งนี้มีรายงานโดยสื่อท้องถิ่นหลายสำนัก เมื่อวันที่ 8 กันยายน 2568 เช่น สยามรัฐ และมติชนออนไลน์ ซึ่งสะท้อนแรงกดดันของสังคมต่อการจัดการศพในพื้นที่เกษตรกรรมปฏิรูปของรัฐอย่างชัดเจน

ปมขัดแย้ง 3 ชั้น ที่ดิน ส.ป.ก., กฎหมายสุสาน และความเชื่อชาติพันธุ์

แก่นเรื่องไม่ได้มีเพียง “หลุมศพหนึ่งหลุม” แต่คือการทับซ้อนกันของกฎหมายที่ดินเพื่อเกษตรกรรม, กฎหมายสาธารณสุขด้านสุสาน, และสิทธิทางวัฒนธรรมของกลุ่มชาติพันธุ์

ที่ดิน ส.ป.ก. 4-01 เป็นสิทธิทำกินเพื่อเกษตรกรรม ห้ามใช้ผิดวัตถุประสงค์ และห้ามโอนเว้นมรดก การใช้เพื่อกิจการอื่นต้องอยู่ภายใต้หลักเกณฑ์ของ ส.ป.ก. และหน่วยงานท้องถิ่นที่เกี่ยวข้อง ข้อเท็จจริงนี้ชี้ว่าการตั้งสุสานถาวรในที่ ส.ป.ก. ต้องผ่านการพิจารณาและอนุญาตตามขั้นตอน ไม่ใช่เพียงความยินยอมของชุมชนฝ่ายเดียว  การฝังศพนอกสุสานที่ได้รับอนุญาตเป็นเรื่องอ่อนไหวตาม พระราชบัญญัติสุสานและฌาปนสถาน พ.ศ. 2528 ซึ่งกำหนดให้การเก็บ ฝัง หรือเผาศพ ต้องทำในสุสานสาธารณะหรือเอกชนที่ได้รับอนุญาต เว้นแต่ได้รับอนุญาตเป็นกรณีเฉพาะจากเจ้าพนักงานท้องถิ่น (มาตรา 10) อำนาจอนุญาตอยู่ที่ผู้ว่าราชการจังหวัด นายกเทศมนตรี หรือองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นตามพื้นที่ หากฝ่าฝืนมีโทษตามกฎหมาย และสิทธิทางวัฒนธรรมของกลุ่มชาติพันธุ์เป็นหัวใจที่รัฐต้องรับฟัง ชาวลาหู่มีธรรมเนียมฝังศพในที่ทำกินของตนเอง โดยประกอบพิธี “เสี่ยงทายไข่” เพื่อขอความยินยอมจากวิญญาณผู้ตาย และมีพิธี “ส่งผี” เพื่อให้ดวงวิญญาณไม่กลับมารบกวนคนเป็น ขณะเดียวกัน ชาวเมี่ยน (อิ้วเมี่ยน) ให้ความสำคัญกับชัยภูมิแบบจีน หรือ “เขาหัว–หางมังกร” ตามหลักฮวงจุ้ย เพื่อความสวัสดิมงคลของสายตระกูล ความเชื่อทั้งสองชุดล้วนจริงจัง และมีฐานทางมานุษยวิทยารองรับ

เสียงจากสองฟากความเชื่อ “วิญญาณต้องพัก” ปะทะ “พลังชี่ของหมู่บ้าน”

ฝั่งครอบครัวผู้ตายยืนยันว่าการฝังในสวนตามคำสั่งเสียและพิธีกรรมชุมชนคือ “การส่งคนกลับบ้าน” เป็นวิถีสืบทอดหลายชั่วอายุคน และไม่ได้กระทบสิ่งแวดล้อมหรือความสงบสุขของใคร ขณะที่ฝ่ายคัดค้านซึ่งเป็นชาวเมี่ยนในพื้นที่ใกล้เคียงมองว่า จุดฝังอยู่ในแนว “หัว–หางมังกร” และ “หมอนหมู่บ้าน” ซึ่งเป็นตำแหน่งค้ำชูพลังของชุมชน การมีหลุมศพ ณ จุดนั้นเท่ากับรบกวนกระแส ชี่ ที่เกื้อหนุนลูกหลาน

ข้อมูลทางชาติพันธุ์แสดงว่า ชาวเมี่ยนรับอิทธิพลลัทธิเต๋าและศาสตร์ฮวงจุ้ยอย่างเข้มข้น การเลือกทำเลสุสานจึงเป็นการ “ลงทุนทางจิตวิญญาณ” ระยะยาว เพื่อความรุ่งเรืองของตระกูล ในบางพื้นที่ยังใช้การเสี่ยงทายประกอบการพิจารณาชัยภูมิด้วย ขณะเดียวกัน เอกสารภาคสนามเกี่ยวกับชาวลาหู่ระบุพิธีกรรมเสี่ยงทายไข่และชุดพิธี “กักกันวิญญาณ” หลังฝังศพไว้อย่างละเอียด ซึ่งทำให้เข้าใจแรงผลักดันของทั้งสองชุมชนได้ดีขึ้น

ทำไม “ย้ายศพ” จึงกลายเป็นชนวนใหญ่

ปัญหาขยายตัวเมื่อคำสั่งทางปกครองให้ “ขุดย้ายศพ” ถูกมองว่าเป็นการละเลยกระบวนการมีส่วนร่วมและความเชื่อท้องถิ่น อีกทั้งอาจกลายเป็น “บรรทัดฐาน” ให้ใครก็ตามใช้กฎหมายกดดันกันในอนาคต หากฝ่ายหนึ่งถือข้อกฎหมายที่แข็ง อีกฝ่ายย่อมยึด “สิทธิทางวัฒนธรรม” ที่ยืนยาวกว่าในความทรงจำรวมหมู่

ตาม พ.ร.บ.วิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. 2539 คำสั่งทางปกครองต้องชอบด้วยกฎหมายและเป็นธรรม มีเหตุผล สนองประโยชน์สาธารณะ และคู่กรณีมีสิทธิอุทธรณ์ได้ ขณะเดียวกัน ศาลปกครอง มีอำนาจออกมาตรการคุ้มครองชั่วคราวเพื่อบรรเทาทุกข์ก่อนพิพากษา หากการบังคับตามคำสั่งจะก่อให้เกิดความเสียหายยากแก่การเยียวยาภายหลัง กลไกนี้มักถูกใช้ในคดีชุมชนและสิ่งแวดล้อมที่มี “ความเสียหายถาวร” เป็นเดิมพัน ซึ่งเข้ากรอบคดีนี้อย่างชัดเจน

 “เบรกชั่วคราว” แต่โจทย์ใหญ่ยังอยู่

คำมั่นของรองผู้ว่าฯ ที่จะระงับการขุดย้าย และผลักดัน “สุสานสาธารณะ” เป็นทางออกระยะสั้นที่ลดแรงปะทะทันที แต่การตั้งสุสานต้องผ่านการอนุญาตและการจัดสรรพื้นที่ตามกฎหมายสุสาน อีกทั้งต้องดู ฐานสิทธิ ของที่ดิน หากอยู่ในเขต ส.ป.ก. การใช้เพื่อกิจการสาธารณะอาจทำได้ แต่ต้องผ่านการเห็นชอบและจัดกระบวนการตามระเบียบที่เกี่ยวข้อง เพื่อไม่ให้ผิดวัตถุประสงค์หลักด้านเกษตรกรรม

ในทางปฏิบัติ จังหวัดจำเป็นต้องวางขั้นตอน 3 ช่วง คือ จัดพื้นที่, จัดสิทธิ, และ จัดการ

  1. จัดพื้นที่ คัดเลือกที่เหมาะสมโดยใช้เกณฑ์ด้านสาธารณสุข ภูมิประเทศ และผลกระทบสิ่งแวดล้อม รวมทั้งรับฟังความเชื่อของชุมชนโดยตรงผ่านวงปรึกษาหารือหลายชาติพันธุ์
  2. จัดสิทธิ ตรวจฐานสิทธิที่ดิน หากใช้ที่ ส.ป.ก. ต้องขอความเห็นชอบตามระเบียบ และออกใบอนุญาตสุสานตาม พ.ร.บ.สุสานฯ ให้ครบถ้วน
  3. จัดการ กำหนดระเบียบการใช้สุสานร่วม วางแนวทางพิธีกรรมที่เคารพความหลากหลาย แต่ไม่กระทบสาธารณสุข

เรื่องเล่าจากชายแดน เมื่อ “สุสาน” คือแผนที่ของชุมชน

ผู้เฒ่าชาวลาหู่เคยสรุปสั้นๆ ว่า “ฝังศพไว้ที่ดินกิน ที่ดินจะจำเรา” ประโยคเดียวบอกความหมาย “สุสานบนที่ทำกิน” ว่าไม่ใช่แค่หลุมฝังศพ แต่เป็นหมุดหมายของสายตระกูล เป็นบันทึกเชิงพื้นที่ของความเป็นเจ้าของและการสืบสาน การย้ายศพจึงถูกมองว่าเป็นการตัดราก “ตัวตน” ของครอบครัว ขณะที่ชาวเมี่ยนมองภูเขาเป็น “สรีระของมังกร” สุสานที่วางถูกตำราไม่เพียงคุ้มครองผู้จากไป แต่ส่งพลังเกื้อหนุนลูกหลาน นี่จึงไม่ใช่เพียงข้อพิพาทเรื่องตำแหน่งทางกายภาพ หากคือ “ภูมิทัศน์จิตวิญญาณ” ที่สองวัฒนธรรมอ่านต่างกัน

เอกสารชาติพันธุ์ยืนยันความซับซ้อนนี้ เช่น ฐานข้อมูลชาติพันธุ์ของศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร ที่แสดงรากวัฒนธรรมเมี่ยนและบทบาทพิธีกรรมตามคติเต๋า รวมถึงงานวิชาการและบันทึกภาคสนามที่อธิบายพิธีศพลาหู่ตั้งแต่การเสี่ยงไข่จนถึงพิธี “ส่งผี” หลังการฝัง ซึ่งทำให้การออกแบบทางออกจำเป็นต้องให้ “ความรู้วัฒนธรรม” เป็นข้อมูลตั้งต้น ไม่ใช่เพียงภาคผนวก

นโยบาย “สามวงแหวน” เพื่อคลี่คลายอย่างยั่งยืน

วงแหวนที่ 1: กฎหมายต้องชัด
จังหวัดควรตั้งคณะทำงานกฎหมายแบบบูรณาการ ระหว่าง ส.ป.ก., อปท., สาธารณสุข, ที่ดิน และฝ่ายปกครอง เพื่อถอดบทเรียนคดีนี้เป็น “แนวปฏิบัติ” สำหรับพื้นที่ ส.ป.ก. ที่มีสุสานชุมชนดั้งเดิมอยู่ก่อน พร้อมจัดทำคู่มืออนุญาตกรณีสุสานในหรือใกล้เขต ส.ป.ก. ให้สอดคล้องทั้ง พ.ร.บ.สุสานฯ และระเบียบ ส.ป.ก. ลดดุลพินิจที่เสี่ยงต่อความขัดแย้ง

วงแหวนที่ 2: วัฒนธรรมต้องนำ

ให้มี “เวทีพิธีกรรมร่วม” ระหว่างผู้นำลาหู่และเมี่ยน เพื่อออกแบบวิธีปฏิบัติที่เคารพกัน เช่น แนวกันชนทางพิธีกรรม, พื้นที่เซ่นไหว้ร่วม, หรือการย้ายหลุมในกรณีจำเป็นตามคติแต่ละฝ่าย โดยรัฐรับรองพิธีกรรมเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการอนุญาต ไม่ใช่ขั้นตอนนอกแบบ

วงแหวนที่ 3: การสื่อสารต้องจริงใจ
สื่อสารข้อกฎหมายและผลกระทบอย่างตรงไปตรงมา ตั้งศูนย์ข้อมูลชุมชนภาคสนามที่แปลภาษากฎหมายเป็นภาษาเข้าใจง่าย พร้อมสายด่วนประสานศูนย์ดำรงธรรม สนับสนุนการไกล่เกลี่ยเชิงวัฒนธรรมเพื่อลดการปะทุในอนาคต

ทางออกเฉพาะหน้า “พักคำสั่ง – ตั้งสุสานร่วม – ทำข้อตกลงชุมชน”

ระยะสั้น ควร “พักการบังคับคำสั่งย้ายศพ” จนกว่าศาลจะมีคำสั่งชั่วคราวหรือมีผลคำพิพากษา และเดินหน้ากระบวนการตั้ง “สุสานสาธารณะ” ที่ได้รับอนุญาตตามกฎหมายพร้อมแผนบริหารจัดการ หมุดหมายนี้ต้องเกิดจากข้อตกลงที่รับรองพิธีกรรมของทั้งสองกลุ่ม มีแผนบำรุงรักษา และระบบอนุญาตรายกรณีในอนาคต เพื่อไม่ปล่อยให้ความขัดแย้งกลับมาซ้ำเดิม

ภาพรวมในเชิงสังคม คดีเล็กที่สะท้อนโจทย์ใหญ่ของประเทศ

ปมแม่จันสะท้อนโจทย์ใหญ่ที่ไทยกำลังเผชิญ นั่นคือการจัดการความหลากหลายทางวัฒนธรรมบนฐานสิทธิและกฎหมายสมัยใหม่ กฎหมายที่ออกแบบเพื่อความเป็นระเบียบ เช่น พ.ร.บ.สุสานฯ และระบบที่ดิน ส.ป.ก. มีเหตุผลเชิงสาธารณสุขและยุทธศาสตร์เกษตร แต่เมื่อปะทะกับความทรงจำยาวนานของชุมชน ชุดกฎหมายเดียวกันอาจกลายเป็น “ความไม่ยุติธรรมที่มองไม่เห็น” หากไม่มีเวทีรับฟังและกระบวนการปรับใช้ให้สอดคล้องกับบริบท

ดังนั้น ทางออกจึงไม่ใช่ “ชนะ–แพ้” หากคือการยอมรับว่าพื้นที่เกษตรก็เป็นพื้นที่จิตวิญญาณของผู้คน และสุสานก็เป็นสาธารณูปโภคอย่างหนึ่ง ที่ต้องวางแผนเชิงระบบไม่ต่างจากถนนหรือโรงเรียน

วันนี้ คำมั่น “ระงับการขุดหลุมศพ” และแนวคิด “ตั้งสุสานสาธารณะ” ทำให้ความตึงเครียดคลี่ตัวลง แต่โจทย์ใหญ่ยังคงอยู่ ระหว่างกฎหมายที่ดิน, กฎหมายสุสาน, และสิทธิทางวัฒนธรรม การขับเคลื่อนแบบ “สามวงแหวน” ที่ชัดเจน จะช่วยให้เชียงรายสร้างแบบอย่างการอยู่ร่วมต่างวัฒนธรรมที่เป็นธรรม และส่งสัญญาณไปยังพื้นที่อื่นที่มีชุมชนหลากหลายว่า ประเทศไทยสามารถจัดการ “แผนที่จิตวิญญาณ” ของผู้คนได้ด้วยกฎหมายที่เข้าใจมนุษย

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
  • พระราชบัญญัติสุสานและฌาปนสถาน พ.ศ. 2528
  • แนวทางการใช้ประโยชน์ที่ดิน ส.ป.ก.
  • กฎหมายปกครองและศาลปกครอง
  • ฐานข้อมูลชาติพันธุ์และพิธีกรรมงานศพ: ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (อิ้วเมี่ยน/เมี่ยน) และเอกสารภาคสนามเกี่ยวกับพิธีศพลาหู่และการเสี่ยงทายไข่
  • Jatenipat JKboy Ketpradit
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI ECONOMY

ครม.อนุมัติ ใช้ที่ดิน ส.ป.ก.ก่อสร้างทาง รถไฟสายเด่นชัย-เชียงราย-เชียงของ 1,537 ไร่

 

เมื่อวันที่ 23 กรกฎาคม 2567 ที่ทำเนียบรัฐบาล น.ส.เกณิกา อุ่นจิตร์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติอนุมัติการใช้ที่ดินในเขตปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม (ส.ป.ก.) เพื่อดำเนินโครงการก่อสร้างทางรถไฟสายเด่นชัย-เชียงราย-เชียงของ เนื้อที่รวมประมาณ 1,537-3-04 ไร่ และโครงการก่อสร้างทางรถไฟ สายบ้านไผ่-มหาสารคาม-ร้อยเอ็ด-มุกดาหาร-นครพนม เนื้อที่รวมประมาณ 1,917-3-75 ไร่ของการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) 

น.ส.เกณิกากล่าวว่า  คณะกรรมการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม (คปก.) รายงานว่าการดำเนินโครงการก่อสร้างทางรถไฟสายเด่นชัย-เชียงราย-เชียงของ และโครงการก่อสร้างทางรถไฟสายบ้านไผ่-มหาสารคาม-ร้อยเอ็ด-มุกดาหาร-นครพนม ของรฟท. ทั้ง 2 โครงการ เป็นโครงการที่ครม.ได้เคยมีมติอนุมัติให้ดำเนินการแล้ว โดยมีสาระสำคัญสรุปได้ดังนี้

1.โครงการก่อสร้างทางรถไฟสายเด่นชัย-เชียงราย-เชียงของ เป็นโครงการก่อสร้างทางรถไฟทางคู่สายใหม่ ซึ่งครอบคลุมพื้นที่ 4 จังหวัด 17 อำเภอ 59 ตำบล แบ่งเป็นทางรถไฟระยะทาง 323.10 กิโลเมตร อุโมงค์รถไฟจำนวน 4 แห่ง รวม 14.415 กิโลเมตร

คันทางคู่สูงเฉลี่ย 4 เมตร ป้ายหยุดรถไฟจำนวน 13 แห่ง สถานีรถไฟขนาดเล็ก จำนวน 9 แห่ง และสถานีรถไฟขนาดใหญ่ จำนวน 4 แห่ง รวมทั้งทั้งสิ้น 6 สถานี ลานบรรทุกตู้สินค้าจำนวน 5 แห่ง ถนนยกข้ามทางรถไฟ จำนวน 39 แห่ง ถนนลอดใต้ทางรถไฟจำนวน 103 แห่ง พร้อมการติดตั้งระบบอาณัติสัญญาณและโทรคมนาคม และสร้างรั้วสองแนวข้างทางตลอดเส้นแนวทางรถไฟ

ต่อมา รฟท. ได้ลงนามสัญญาจ้างก่อสร้างโครงการดังกล่าวจำนวน 3 สัญญา ได้แก่ สัญญาที่ 1 ช่วงเด่นชัย-งาว สัญญาที่ 2 ช่วงงาว-เชียงราย และสัญญาที่ 3 เชียงราย-เชียงของ พื้นที่ของโครงการที่ต้องขอความยินยอมหรือขออนุญาตใช้ประโยชน์ที่ดินในเขตปฏิรูปที่ดิน 1,537-3-04 ไร่

2.โครงการก่อสร้างทางรถไฟ สายบ้านไผ่-มหาสารคาม-ร้อยเอ็ด-มุกดาหาร-นครพนม เป็นโครงการก่อสร้างทางรถไฟใหม่จำนวน 2 เส้นทาง ซึ่งครอบคลุมพื้นที่ 6 จังหวัด 19 อำเภอ 70 ตำบล โดยแบ่งเป็น 1. ทางรถไฟระดับดินระยะทาง 346 กิโลเมตร คันทางรถไฟสูงเฉลี่ย 4 เมตรและ 2. เป็นโครงสร้างทางรถไฟยกระดับ 9 กิโลเมตร ก่อสร้างป้ายหยุดรถไฟจำนวน 12 แห่ง สถานีรถไฟขนาดเล็ก จำนวน 9 แห่ง สถานีรถไฟขนาดกลาง จำนวน 5 แห่ง และสถานีรถไฟขนาดใหญ่ จำนวน 4 แห่ง รวมทั้งทั้งสิ้น 18 สถานี

มีลานบรรทุกตู้สินค้า จำนวน 3 แห่ง มีย่านกองเก็บตู้สินค้า จำนวน 3 แห่ง ถนนยกข้ามทางรถไฟ จำนวน 81 แห่ง ถนนลอดใต้ทางรถไฟ จำนวน 245 แห่ง พร้อมการติดตั้งระบบอาณัติสัญญาณและโทรคมมนาคม และสร้างรั้วสองแนวข้างทางตลอดเส้นแนวทางรถไฟ ซึ่งต่อมา รฟท.ได้ลงนามสัญญาจ้างก่อสร้างโครงการดังกล่าวจำนวน 2 สัญญา ได้แก่ สัญญาที่ 1 บ้านไผ่-หนองพอก และสัญญาที่ 2 หนองพอก-สะพานมิตรภาพ 3 พื้นที่ของโครงการที่ต้องขอความยินยอมหรือขออนุญาตใช้ประโยชน์ที่ดินในเขตปฏิรูปที่ดิน 1,917-3-75 ไร่

น.ส.เกณิกากล่าวว่า การดำเนินโครงการก่อสร้างทางรถไฟของ รฟท. ทั้ง 2 เส้นทางจะต้องเข้าดำเนินการในพื้นที่เขตปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมเนื้อที่รวมประมาณ 3,455-2-79 ไร่ โดย รฟท.ซึ่งเป็นผู้ประสงค์จะใช้ที่ดินจะต้องยื่นคำขอรับความยินยอมหรือขออนุญาตใช้ประโยชน์ที่ดินในเขตปฏิรูปที่ดินต่อ คปก.ก่อนส่งมอบพื้นที่ให้แก่ผู้รับจ้างเข้าดำเนินการก่อสร้าง

ทั้งนี้ ก่อนที่ คปก. จะพิจารณาให้ความยินยอมหรืออนุญาตให้ใช้ที่ดินในเขตปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมจะต้องดำเนินการเสนอต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อมีมติอนุมัติให้ใช้ที่ดินในเขตปฏิรูปที่ดินเพื่อดำเนินโครงการดังกล่าวก่อน เพื่อให้ คปก.สามารถพิจารณาให้ความยินยอมหรืออนุญาตให้ รฟท.ใช้ที่ดินตามที่กฎหมายกำหนดให้ดำเนินโครงการดังกล่าวสัมฤทธิ์ผลและเป็นไปตามแนวนโยบายของรัฐต่อไป

น.ส.เกณิกากล่าวว่า จากการดำเนินโครงการดังกล่าวส่งผลให้รัฐต้องสูญเสียที่ดินเพื่อการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมบางส่วน และส่งผลต่อเกษตรกรผู้ได้รับการจัดที่ดินจากการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม แต่ในขณะเดียวกัน สำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม จะให้ รฟท. ซึ่งเป็นผู้ขอใช้ประโยชน์ที่ดิน เยียวยาหรือจ่ายค่าชดเชยการสูญเสียโอกาสจากการใช้ที่ดินเพื่อก่อสร้างทางรถไฟให้แก่เกษตรกรที่ได้รับการจัดสรรที่ดินจาก ส.ป.ก.ตามข้อตกลงระหว่าง รฟท.กับเกษตรกรผู้ได้รับผลกระทบ

น.ส.เกณิกากล่าวว่า ซึ่งกำหนดเป็นจำนวนเงินหรือประโยชน์อย่างอื่นเพื่อค่าทดแทนความเสียหายจากการรอนสิทธิเกษตรกร หรือการสูญเสียโอกาสในการใช้ที่ดินของเกษตรกรบรรดาผู้มีสิทธิในที่ดินนั้น และเมื่อได้รับอนุญาตให้ใช้ที่ดินตามกฎหมายแล้ว รฟท. จะต้องนำส่งค่าตอบแทนใช้ประโยชน์ที่ดินให้กับ ส.ป.ก. เพื่อนำเข้ากองทุนการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมตามกฏหมายว่าด้วยการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม

น.ส.เกณิกากล่าวว่า โดยไม่ต้องนำส่งคลังเป็นรายได้แผ่นดิน ตามระเบียบ คปก. ว่าด้วยหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไข ในการใช้และค่าตอบแทนการใช้ประโยชน์ที่ดินในเขตปฏิรูปที่ดินพ.ศ. 2561 และที่แก้ไขเพิ่มเติม โดย ส.ป.ก. จะนำค่าตอบแทนดังกล่าวมาใช้เพื่อเป็นทุนหมุนเวียนในการดำเนินการปฏิรูปที่ดินเพื่อเป็นประโยชน์ต่อเกษตรกรและประชาชนในเขตปฏิรูปที่ดินต่อไป

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : คณะกรรมการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News