Categories
SOCIETY & POLITICS

รมว.พาณิชย์แก้ราคาข้าว ชดเชยไร่ละพัน เร่งส่งออกข้าว

รัฐบาลเร่งแก้ปัญหาราคาข้าวตกต่ำ พร้อมวางแนวทางยกระดับรายได้เกษตรกร

เชียงราย, 4 มีนาคม 2568 – นายพิชัย นริททะพันธ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยถึงแนวทางการแก้ปัญหาราคาข้าวตกต่ำ โดยยืนยันว่ารัฐบาลได้ติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด และตระหนักถึงความเดือดร้อนของชาวนา โดยให้ความสำคัญกับการแก้ไขปัญหาทั้งในระยะสั้นและระยะยาว

รมว.พาณิชย์ระบุว่า สาเหตุหลักที่ทำให้ราคาข้าวในตลาดโลกลดลงเกิดจาก ประเทศอินเดียกลับมาส่งออกข้าวอีกครั้ง หลังจากที่ก่อนหน้านี้ได้ระงับการส่งออกบางส่วน ส่งผลให้ปริมาณข้าวในตลาดโลกล้นเกินและกดดันราคาข้าวไทย อย่างไรก็ตาม รัฐบาลได้มีมาตรการรองรับโดยการผลักดันการส่งออกข้าวไทยไปยังตลาดต่างประเทศที่มีศักยภาพ

แนวทางเร่งด่วนในการช่วยเหลือชาวนา

  1. ผลักดันการส่งออกข้าวไทย
    กระทรวงพาณิชย์ได้เร่งขยายตลาดส่งออก โดยขณะนี้ได้มีการ เจรจาขายข้าวปริมาณ 280,000 ตันให้กับจีน และอีก 370,000 ตันให้กับตลาดแอฟริกา ซึ่งจะช่วยเพิ่มปริมาณการส่งออกและลดผลกระทบจากราคาข้าวที่ตกต่ำ
  2. มาตรการชดเชยรายได้ชาวนา
    รัฐบาลได้อนุมัติ มาตรการช่วยเหลือเกษตรกรโดยการจ่ายเงินชดเชยไร่ละ 1,000 บาท ไม่เกิน 10 ไร่ต่อครัวเรือน ตามข้อเรียกร้องของกลุ่มเกษตรกรที่ต้องการความช่วยเหลืออย่างเร่งด่วน ซึ่งมาตรการดังกล่าวถือเป็นการช่วยเหลือในระยะสั้นเพื่อบรรเทาความเดือดร้อน

แนวทางระยะยาวเพื่อความมั่นคงทางเศรษฐกิจของชาวนา

รมว.พาณิชย์กล่าวว่า รัฐบาลไม่ต้องการให้เกษตรกรพึ่งพาเพียงมาตรการชดเชยระยะสั้นเท่านั้น แต่ต้องการให้ ชาวนามีรายได้ที่มั่นคงและยั่งยืน ผ่านการปรับปรุงพันธุ์ข้าวและการเพิ่มมูลค่าให้กับผลิตภัณฑ์ข้าวไทย โดยมีแนวทางดังนี้

  • พัฒนาเมล็ดพันธุ์ข้าวคุณภาพสูง เพื่อให้ผลผลิตต่อไร่เพิ่มขึ้น และสามารถแข่งขันในตลาดโลกได้ดียิ่งขึ้น
  • ส่งเสริมการแปรรูปข้าว เช่น การผลิตข้าวออร์แกนิก ข้าวเพื่อสุขภาพ และผลิตภัณฑ์จากข้าวที่มีมูลค่าสูง
  • กระจายตลาดส่งออกข้าวไทยไปยังประเทศใหม่ๆ โดยเฉพาะตลาดที่มีศักยภาพสูง เช่น ตะวันออกกลาง แอฟริกา และยุโรป
  • พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการเกษตร เช่น ระบบชลประทาน การเก็บรักษาข้าว และระบบโลจิสติกส์ เพื่อลดต้นทุนการผลิต

ภาพรวมเศรษฐกิจไทยและแนวทางการฟื้นฟูเศรษฐกิจ

รมว.พาณิชย์กล่าวเพิ่มเติมว่า เศรษฐกิจไทยกำลังอยู่ในช่วงขยายตัว โดยปี 2567 ที่ผ่านมา การส่งออกของไทยเติบโต 5.4% และในเดือนมกราคม 2568 การส่งออกขยายตัวขึ้นอีก 13.6% ซึ่งแสดงให้เห็นว่าการค้าระหว่างประเทศยังเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของไทย

นอกจากนี้ การลงทุนจากต่างประเทศและการท่องเที่ยวก็มีแนวโน้มฟื้นตัวต่อเนื่อง แต่ปัญหาหลักที่ยังต้องเร่งแก้ไขคือ ภาวะหนี้สินในประเทศ ซึ่งเป็นปัจจัยที่ทำให้เงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจลดลง

แนวทางแก้ปัญหาหนี้สินเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ

รมว.พาณิชย์เสนอว่า การแก้ไขปัญหาหนี้สินของประชาชนจะเป็นปัจจัยสำคัญในการฟื้นฟูเศรษฐกิจ โดยรัฐบาลมีแนวทางในการช่วยเหลือ เช่น

  • มาตรการปรับโครงสร้างหนี้ โดยให้ธนาคารแห่งประเทศไทยพิจารณาขยายระยะเวลาการชำระหนี้สำหรับประชาชนที่มีภาระหนี้สูง
  • กระตุ้นเงินลงทุนจากต่างประเทศ เพื่อนำเม็ดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจไทย
  • สนับสนุนธุรกิจ SME และเศรษฐกิจฐานราก ให้สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนและปรับตัวรับการแข่งขันในตลาด

รมว.พาณิชย์ระบุว่า หากสามารถดำเนินมาตรการเหล่านี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เศรษฐกิจไทยมีโอกาสเติบโตในระดับ 4-5% ต่อปี

ความคิดเห็นจากสองมุมมอง

ฝ่ายที่สนับสนุน
กลุ่มที่เห็นด้วยกับแนวทางของรัฐบาลมองว่า การช่วยเหลือเกษตรกรผ่านการชดเชยรายได้เป็นมาตรการที่เหมาะสมในระยะสั้น ขณะที่การพัฒนาสายพันธุ์ข้าวและกระจายตลาดส่งออกในระยะยาว จะช่วยให้ชาวนามีรายได้ที่มั่นคงมากขึ้น

ฝ่ายที่เห็นต่าง
บางฝ่ายมองว่า มาตรการชดเชยไร่ละ 1,000 บาท เป็นเพียงการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า และอาจไม่สามารถช่วยให้เกษตรกรพ้นจากปัญหาราคาข้าวตกต่ำได้ในระยะยาว นอกจากนี้ ยังมีข้อกังวลว่ามาตรการส่งออกข้าวไปยังประเทศจีนและแอฟริกา อาจไม่สามารถชดเชยความต้องการที่ลดลงของตลาดโลกได้ทั้งหมด

สถิติที่เกี่ยวข้องกับสถานการณ์ข้าวไทย

  • ปริมาณการส่งออกข้าวไทย ปี 2567 – ประมาณ 5 ล้านตัน
  • ราคาข้าวขาว 5% ของไทย (ก.พ. 2568) – ประมาณ 560 ดอลลาร์สหรัฐต่อตัน
  • ราคาข้าวอินเดีย (ก.พ. 2568) – ประมาณ 520 ดอลลาร์สหรัฐต่อตัน
  • การชดเชยรายได้เกษตรกร – ไร่ละ 1,000 บาท (ไม่เกิน 10 ไร่)
  • อัตราการเติบโตของการส่งออกข้าวไทย6% ในเดือนมกราคม 2568

บทสรุป

รัฐบาลพยายามแก้ไขปัญหาราคาข้าวตกต่ำผ่านมาตรการเร่งด่วน เช่น การชดเชยรายได้และการผลักดันส่งออกข้าว ขณะเดียวกันก็วางแนวทางระยะยาวเพื่อพัฒนาอุตสาหกรรมข้าวไทยให้มีความสามารถแข่งขันสูงขึ้น อย่างไรก็ตาม ยังมีข้อท้าทายหลายประการที่ต้องเผชิญ ทั้งในแง่ของปัจจัยตลาดโลกที่ไทยควบคุมไม่ได้ และปัญหาโครงสร้างหนี้ภายในประเทศที่ยังเป็นอุปสรรคต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยโดยรวม

ดังนั้น ความสำเร็จของมาตรการต่างๆ จะขึ้นอยู่กับการดำเนินนโยบายที่มีประสิทธิภาพ และความร่วมมือจากทุกภาคส่วน เพื่อให้เกษตรกรไทยสามารถยืนหยัดอยู่ได้ในระยะยาว

 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กระทรวงพาณิชย์

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
ECONOMY

พาณิชย์ปรับกฎค้าข้าว เปิดโอกาสรายย่อยส่งออกง่ายขึ้น

รัฐมนตรีพาณิชย์ปรับกฎระเบียบการค้าข้าว หนุนเกษตรกร-รายย่อย เพิ่มโอกาสส่งออกข้าวเสรี

เมื่อวันที่ 17 มกราคม 2568 นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ได้แถลงข่าวหลังเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการปฏิบัติการตามพระราชบัญญัติการค้าข้าว พ.ศ. 2489 ครั้งที่ 1/2568 ซึ่งมีเป้าหมายหลักในการลดความเหลื่อมล้ำในอุตสาหกรรมค้าข้าว เพิ่มโอกาสให้เกษตรกรและผู้ประกอบการรายย่อยสามารถแข่งขันในตลาดโลกได้ โดยมุ่งเน้นการทลายทุนผูกขาดและสร้างความยุติธรรมในอุตสาหกรรมข้าวของประเทศไทย

มติที่ประชุมเพื่อสนับสนุนการค้าข้าว

คณะกรรมการฯ ได้พิจารณาและเห็นชอบการปรับปรุงกฎระเบียบและเงื่อนไขการขออนุญาตประกอบการค้าข้าว ดังนี้:

  1. การปรับเงื่อนไขสต๊อกข้าว
    • กลุ่มเกษตรกรและสหกรณ์: ไม่ต้องมีการสต๊อกข้าว
    • ผู้ประกอบการรายย่อย: ที่มีทุนจดทะเบียนไม่เกิน 10 ล้านบาท ปรับลดเงื่อนไขการสต๊อกข้าวจาก 500 ตัน เหลือเพียง 100 ตัน
  2. การปรับค่าธรรมเนียมการขออนุญาต
    • กลุ่มเกษตรกรและสหกรณ์: ยกเว้นค่าธรรมเนียมการขออนุญาต
    • ผู้ประกอบการรายย่อย:
      • บริษัทที่มีทุนจดทะเบียนไม่เกิน 10 ล้านบาท ลดค่าธรรมเนียมจาก 50,000 บาท เหลือ 10,000 บาท
      • บริษัทที่มีทุนจดทะเบียน 10-20 ล้านบาท ลดค่าธรรมเนียมเหลือ 30,000 บาท
    • ผู้ส่งออกข้าวบรรจุหีบห่อ (ไม่เกิน 12 กิโลกรัม): ลดค่าธรรมเนียมจาก 20,000 บาท เหลือ 10,000 บาท

แผนการดำเนินงาน

การปรับลดค่าธรรมเนียมดังกล่าวจะออกเป็นกฎกระทรวง โดยต้องผ่านการอนุมัติจากคณะรัฐมนตรีและสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา คาดว่าจะดำเนินการได้ภายในเดือนมีนาคม 2568

ในอนาคต กระทรวงพาณิชย์จะดำเนินการในระยะที่ 2 และ 3 เพื่อยกเลิกการกำหนดเงื่อนไขสต๊อกและค่าธรรมเนียมทั้งหมด รวมถึงการปรับปรุงระบบการขออนุญาตให้สามารถดำเนินการจบในขั้นตอนเดียว

การมีส่วนร่วมของผู้ประกอบการ

การปรับปรุงกฎระเบียบนี้เกิดขึ้นจากการรับฟังความคิดเห็นของผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในอุตสาหกรรมข้าว ตั้งแต่เดือนธันวาคม 2567 โดยได้รับเสียงสนับสนุนจากเกษตรกร โรงสี ผู้ส่งออก ทั้งรายใหญ่ รายกลาง และรายย่อย ซึ่งมองว่าการปรับเปลี่ยนครั้งนี้จะช่วยลดต้นทุนการดำเนินงานและเปิดโอกาสให้เกษตรกรและผู้ประกอบการรายย่อยสามารถเข้าสู่ตลาดส่งออกได้สะดวกขึ้น

เป้าหมายของการปรับปรุงกฎระเบียบ

  1. ลดความเหลื่อมล้ำในอุตสาหกรรมข้าว
  2. ส่งเสริมการค้าข้าวเสรีและเพิ่มโอกาสให้เกษตรกรสามารถส่งออกข้าวได้เอง
  3. ลดภาระต้นทุนให้ผู้ประกอบการรายย่อย
  4. สร้างความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทยในตลาดโลก

นายพิชัยระบุว่า การปรับปรุงครั้งนี้จะช่วยสร้างความเข้มแข็งให้กับเกษตรกรและผู้ประกอบการรายย่อยในระยะยาว พร้อมเรียกร้องให้ทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องร่วมมือกันผลักดันนโยบายเพื่อให้เกิดผลลัพธ์ที่ยั่งยืนสำหรับอุตสาหกรรมข้าวไทย

ภาพรวมของผลประโยชน์

การแก้ไขระเบียบในครั้งนี้ไม่เพียงแต่จะช่วยลดต้นทุนการผลิต แต่ยังเพิ่มศักยภาพในการส่งออกและเสริมสร้างความเข้มแข็งของชุมชนเกษตรกรรมทั่วประเทศ ช่วยให้ประเทศไทยสามารถเป็นผู้นำในตลาดข้าวโลกได้อย่างยั่งยืน

 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กระทรวงพาณิชย์

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
ECONOMY

ส่งออกข้าวไทยพุ่งสูงสุดในรอบ 5 ปี แตะ 10 ล้านตัน

“พาณิชย์” เผยส่งออกข้าวปี 2567 แตะ 10 ล้านตัน มูลค่ากว่า 6 พันล้านดอลลาร์ สูงสุดในรอบ 5 ปี

เมื่อวันที่ 3 ธันวาคม 2567 กรมการค้าต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยตัวเลขส่งออกข้าวของไทยในช่วง 11 เดือนแรกของปี 2567 (มกราคม – พฤศจิกายน) พบว่ามีการส่งออกข้าวปริมาณรวม 9.27 ล้านตัน และคาดว่าตัวเลขทั้งปีจะสูงถึง 10 ล้านตัน คิดเป็นมูลค่าส่งออกประมาณ 6,000 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือราว 216,000 ล้านบาท ซึ่งถือเป็นตัวเลขสูงสุดในรอบ 5 ปี

ประเภทข้าวที่ส่งออกและการเติบโต

การส่งออกข้าวในปีนี้มีการเติบโตในทุกประเภท โดยประเภทข้าวที่ส่งออกมากที่สุด ได้แก่:

  1. ข้าวขาว: ปริมาณ 5.18 ล้านตัน
  2. ข้าวหอมมะลิไทย: ปริมาณ 1.37 ล้านตัน
  3. ข้าวนึ่ง: ปริมาณ 1.01 ล้านตัน
  4. ข้าวหอมไทย: ปริมาณ 0.54 ล้านตัน
  5. ข้าวเหนียว: ปริมาณ 0.23 ล้านตัน
  6. ข้าวกล้อง: ปริมาณ 0.02 ล้านตัน

ราคาข้าวปรับตัวสูงขึ้น

นางอารดา เฟื่องทอง อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ กล่าวว่า การส่งออกข้าวของไทยในปีนี้ได้รับผลดีจากราคาข้าวที่ปรับตัวสูงขึ้น โดยเฉพาะในช่วง 10 เดือนแรกเมื่อเปรียบเทียบกับปีที่ผ่านมา เช่น:

  • ข้าวหอมมะลิไทย: ราคาเพิ่มขึ้น 7.59%
  • ข้าวหอมปทุมธานี: ราคาเพิ่มขึ้น 24.6%
  • ข้าวขาว: ราคาเพิ่มขึ้น 11.67%
  • ข้าวนึ่ง: ราคาเพิ่มขึ้น 10.89%
  • ข้าวเหนียว: ราคาเพิ่มขึ้น 0.62%

ตลาดส่งออกที่สำคัญ

ไทยส่งออกข้าวไปยังตลาดสำคัญทั่วโลก โดยประเทศที่นำเข้าข้าวไทยในปริมาณสูงสุด ได้แก่:

  1. อินโดนีเซีย: ปริมาณ 1.12 ล้านตัน เพิ่มขึ้น 6%
  2. อิรัก: ปริมาณ 0.95 ล้านตัน เพิ่มขึ้น 23%
  3. แอฟริกาใต้: ปริมาณ 0.72 ล้านตัน ลดลง 12%
  4. สหรัฐอเมริกา: ปริมาณ 0.70 ล้านตัน เพิ่มขึ้น 21%
  5. ฟิลิปปินส์: ปริมาณ 0.49 ล้านตัน เพิ่มขึ้น 250%

ปัจจัยสนับสนุนการส่งออก

ความสำเร็จในการส่งออกข้าวของไทยในปีนี้เกิดจากหลายปัจจัย:

  • ความต้องการบริโภคที่เพิ่มขึ้น: เพื่อรองรับเทศกาลคริสต์มาส, ปีใหม่, และตรุษจีน
  • ผลผลิตข้าวที่เพียงพอ: ไทยสามารถตอบสนองความต้องการของตลาดข้าวโลกได้อย่างต่อเนื่อง
  • ศักยภาพในการส่งมอบสินค้า: การส่งมอบข้าวให้ผู้นำเข้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ

แผนรับมือปี 2568

กรมการค้าต่างประเทศเตรียมแผนกระชับความสัมพันธ์กับประเทศคู่ค้าหลัก พร้อมเสริมความสามารถในการแข่งขันในตลาดโลก เช่น การเจรจาข้อตกลงการค้าเสรี (FTA) และส่งเสริมคุณภาพข้าวเพื่อรักษาความน่าเชื่อถือในตลาดสากล

บทสรุป

ปี 2567 ถือเป็นปีทองของการส่งออกข้าวไทย ด้วยปริมาณที่คาดว่าจะถึง 10 ล้านตัน และมูลค่ากว่า 6,000 ล้านเหรียญสหรัฐ การเติบโตครั้งนี้ไม่เพียงช่วยสร้างรายได้มหาศาลให้กับประเทศ แต่ยังเสริมความแข็งแกร่งให้กับตำแหน่งของไทยในฐานะผู้ส่งออกข้าวอันดับต้นๆ ของโลก.

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กรมการค้าต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News