Categories
AROUND CHIANG RAI NEWS UPDATE

ผู้สูงอายุ 114 คนต่อ 1 เตียง! วิกฤตสุขภาพจิต-เตียงตึงตัวในเชียงราย เร่งใช้ Universal Design และธนาคารเวลาแก้ปัญหา

เชียงรายเผชิญสังคมสูงวัยบนสมรภูมิใหม่ ภาคเหนือ “เปราะบางสุด” ด้านสุขภาพผู้สูงอายุ ระบบเตียง–จิตเวชตึงตัว แข่งกับเวลาออกแบบเมืองที่ไม่ทิ้งคนแก่ไว้ข้างหลัง

เชียงราย, 16 ธันวาคม 2568 – ในขณะที่โลกทั้งใบกำลังก้าวเข้าสู่ยุคที่ “หนึ่งในห้าของประชากรโลกอายุเกิน 65 ปี” ตามการคาดการณ์ขององค์การอนามัยโลก (WHO) ภายในปี 2593 ประเทศไทยเองก็ไม่ได้อยู่ไกลจากภาพนั้นมากนัก ตรงกันข้าม ไทยถูกจัดว่าเป็น “สังคมผู้สูงอายุโดยสมบูรณ์” ไปแล้วอย่างเป็นทางการ เมื่อปี 2567 ที่ผ่านมา จากตัวเลขผู้สูงอายุอายุ 60 ปีขึ้นไปกว่า 14 ล้านคน หรือคิดเป็นร้อยละ 20 ของประชากรทั้งประเทศ

เบื้องหลังตัวเลขระดับชาติที่ดูเป็น “ภาพใหญ่ของประเทศ” หากซูมลงมาที่ภาคเหนือ และลึกลงมาที่เชียงราย เมืองชายแดนที่กำลังผลักดันตัวเองสู่ศูนย์กลางโลจิสติกส์ การท่องเที่ยว และเศรษฐกิจสร้างสรรค์ จะพบภาพอีกด้านหนึ่งที่สำคัญไม่แพ้กัน นั่นคือ “ความเปราะบางของผู้สูงอายุ” ที่กำลังก่อตัวและรอวันปะทุ หากทุกภาคส่วนไม่เร่งปรับตัวทันการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างประชากรในครั้งนี้

สังคมสูงวัย จากนิยามระดับโลกสู่โจทย์ใหญ่ของประเทศไทย

องค์การสหประชาชาติให้นิยาม “ผู้สูงอายุ” ว่าคือประชากรทั้งเพศชายและหญิงที่มีอายุมากกว่า 60 ปีขึ้นไป และจัดระดับ “สังคมผู้สูงอายุ” ออกเป็น 3 ระดับ ได้แก่

  1. การก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ (Aging Society) – เมื่อประชากรอายุ 60 ปีขึ้นไปเกินร้อยละ 10 ของทั้งประเทศ หรืออายุ 65 ปีขึ้นไปเกินร้อยละ 7
  2. สังคมผู้สูงอายุโดยสมบูรณ์ (Complete Aged Society) – เมื่อประชากรอายุ 60 ปีขึ้นไปเพิ่มเป็นร้อยละ 20 หรือประชากรอายุ 65 ปีขึ้นไปเพิ่มเป็นร้อยละ 14
  3. สังคมผู้สูงอายุระดับสุดยอด (Super-Aged Society) – เมื่อประชากรอายุ 65 ปีขึ้นไปมากกว่าร้อยละ 20 ของประชากรทั้งประเทศ

ปัจจุบัน ประเทศไทยอยู่ในขั้น “สังคมผู้สูงอายุโดยสมบูรณ์” แล้วเรียบร้อย โดยในปี 2567 มีผู้สูงอายุ 14,027,411 คน คิดเป็น 20% ของประชากรทั้งประเทศ และยังมีแนวโน้มจะเพิ่มเป็นราว 28% ภายในปี 2578 นั่นหมายความว่า “เกือบหนึ่งในสามของคนไทยจะเป็นผู้สูงอายุ” ในเวลาไม่ถึง 10 ปีข้างหน้า

คำถามสำคัญไม่ใช่เพียงว่า “คนแก่จะมีมากขึ้นเท่าไร” แต่คือ “ผู้สูงอายุเหล่านี้อยู่ที่ไหน สุขภาพเป็นอย่างไร มีรายได้พอหรือไม่ และบ้านที่อยู่ปลอดภัยแค่ไหน” ข้อมูลที่ Rocket Media Lab ร่วมกับสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) รวบรวมและวิเคราะห์ในระดับจังหวัดทั่วประเทศ จึงกลายเป็น “สัญญาณเตือนเชิงพื้นที่” ที่สำคัญอย่างยิ่งสำหรับการวางนโยบายท้องถิ่น โดยเฉพาะจังหวัดปลายทางอย่างเชียงราย

ภาคเหนือ แชมป์เปราะบาง “สุขภาพกาย–สุขภาพจิต” ผู้สูงอายุ

จากการวิเคราะห์ข้อมูลระดับจังหวัดทั้งด้านโรคไม่ติดต่อ (NCDs) และทรัพยากรสาธารณสุข พบว่า ภาคเหนือคือภาคที่ผู้สูงอายุมี “ความเปราะบางด้านสุขภาพกาย” สูงที่สุดของประเทศ เมื่อผูกรวมทั้งภาระโรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง โรคหัวใจและหลอดเลือด โรคระบบทางเดินหายใจ รวมถึงศักยภาพของระบบบริการ ทั้งจำนวนอายุรแพทย์ พยาบาล และเตียง

ตัวเลขที่สะท้อนสถานการณ์ได้ชัดคือ

  • ผู้สูงอายุไทยที่ป่วยเป็นโรคเบาหวานประมาณ 2.33 ล้านคน หรือ 16.61% ของผู้สูงอายุทั้งหมด โดยภาคเหนือมีสัดส่วนอยู่ที่ 17.60% สูงกว่าค่าเฉลี่ยประเทศ
  • ผู้สูงอายุที่ป่วยเป็นโรคความดันโลหิตสูงรวม 4.89 ล้านคน หรือ 34.92% ของผู้สูงอายุทั้งหมด โดยภาคเหนือขึ้นอันดับหนึ่งด้วยสัดส่วนสูงถึง 44.63%
  • เมื่อรวมโรคไม่ติดต่อหลัก 5 โรค และเปรียบเทียบกับทรัพยากรสาธารณสุข ภาคเหนือได้คะแนน “ความเปราะบางด้านสุขภาพกาย” ต่ำที่สุด คือราว 61.85 คะแนน ต่ำกว่าภาคอื่นทั้งหมด

ในด้านสุขภาพจิต ภาคเหนือก็ยังเป็นภาคที่ผู้สูงอายุมีความเปราะบางสูงที่สุดเช่นกัน โดย

  • ผู้สูงอายุที่ป่วยเป็นโรคจิตเวช 13 กลุ่มโรค มีจำนวนรวม 271,499 คน หรือ 1.94% ของผู้สูงอายุทั้งหมด แต่ในภาคเหนือสัดส่วนนี้สูงถึง 2.79%
  • เมื่อประเมินร่วมกับทรัพยากรด้านจิตเวช ได้แก่ จำนวนจิตแพทย์ นักจิตวิทยา และเตียงจิตเวช พบว่าภาคเหนือได้คะแนน “ความเปราะบางด้านสุขภาพจิต” ต่ำที่สุดเช่นกัน คือราว 69.95 คะแนน

เมื่อนำสองมิตินี้มารวมกัน ภาคเหนือจึงถูกจัดให้เป็นภาคที่ผู้สูงอายุมีความเปราะบางด้านสุขภาพ “ทั้งกายและจิต” สูงที่สุดของประเทศ โดยมีหลายจังหวัดในภาคเหนือ เช่น แพร่ พะเยา ลำปาง สุโขทัย และกำแพงเพชร ติดอันดับจังหวัดที่มีสัดส่วนผู้สูงอายุต่อประชากรสูง และเผชิญทั้งภาระโรค NCDs สูงและทรัพยากรสาธารณสุขตึงตัว

เชียงราย เมืองชายแดนที่ผู้สูงอายุเกินร้อยคนต้องแบ่งกันใช้เตียงหนึ่งเตียง

แม้ชื่อ “เชียงราย” จะไม่ได้ปรากฏในอันดับหนึ่งของจังหวัดเปราะบางด้านสุขภาพกายเหมือนกำแพงเพชร หรือด้านสุขภาพจิตเหมือนแพร่ แต่ข้อมูลเชิงโครงสร้างกลับสะท้อนสัญญาณเตือนชัดเจนว่า จังหวัดชายแดนแห่งนี้กำลังอยู่ในจุดเสี่ยงที่ต้องจับตาอย่างใกล้ชิด

จากข้อมูลทรัพยากรสาธารณสุขปี 2567 ของกระทรวงสาธารณสุข เมื่อเปรียบเทียบจำนวนผู้สูงอายุกับจำนวนเตียงโรงพยาบาล พบว่า

  • เชียงรายมีผู้สูงอายุเฉลี่ยประมาณ 114 คนต่อเตียงโรงพยาบาล 1 เตียง
  • ตัวเลขนี้จัดให้เชียงรายเป็นหนึ่งใน 10 จังหวัดที่ผู้สูงอายุต่อเตียงสูงที่สุดของประเทศ

ในทางปฏิบัติ หมายความว่า หากเกิดสถานการณ์โรคระบาดรอบใหม่ หรือมีภาระโรคเรื้อรังสะสมมากขึ้น ผู้สูงอายุเชียงรายจำนวนมากอาจต้องรอเตียงนานขึ้น หรือจำเป็นต้องเดินทางออกนอกจังหวัดเพื่อรับการรักษาในบางกรณี โดยเฉพาะผู้สูงอายุในอำเภอห่างไกลที่ต้องเดินทางเป็นชั่วโมงกว่าจะถึงโรงพยาบาลศูนย์หรือโรงพยาบาลทั่วไป

ยิ่งไปกว่านั้น ในมิติสุขภาพจิต ข้อมูลด้าน “เตียงจิตเวชสำหรับผู้สูงอายุ” ชี้ให้เห็นว่าจังหวัดเชียงรายอยู่ในกลุ่มจังหวัดที่มีผู้สูงอายุเฉลี่ย เกือบ 30,000 คนต่อเตียงผู้ป่วยจิตเวช 1 เตียง ซึ่งเป็นหนึ่งในสัดส่วนที่สูงที่สุดของประเทศ สะท้อนให้เห็น “ช่องว่างขนาดใหญ่” ระหว่างความต้องการดูแลด้านสุขภาพจิตของผู้สูงวัย กับทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจำกัดในระบบ

เมื่อเชื่อมกับตัวเลขระดับประเทศที่ระบุว่า ไทยมีแพทย์จิตเวชศาสตร์ผู้สูงอายุเฉพาะทางเพียง 8 คน กระจุกตัวในกรุงเทพฯ ราชบุรี และนครราชสีมา จังหวัดชายแดนภาคเหนืออย่างเชียงรายจึงแทบไม่มีโอกาสเข้าถึงผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านนี้โดยตรง จำเป็นต้องพึ่งพาแพทย์จิตเวชทั่วไป พยาบาล และเครือข่ายชุมชนเป็นหลัก

ตัวเลข “ต่ำ” ที่ชวนตั้งคำถาม ทำไมเชียงรายมีผู้สูงอายุที่ “ต้องการผู้ดูแล” เพียง 2.06%?

ท่ามกลางตัวเลขเตียงที่ตึงตัว ทั้งด้านกายและจิต อีกหนึ่งตัวเลขที่น่าคิดคือ ข้อมูลจากการสำรวจประชากรสูงอายุระดับจังหวัดปี 2567 ของสำนักงานสถิติแห่งชาติ ซึ่งพบว่า

  • จังหวัดที่มีสัดส่วนผู้สูงอายุที่ “ต้องการผู้ดูแล” สูงที่สุดคือสกลนคร (18.32%)
  • ขณะที่ “เชียงราย” เป็นจังหวัดที่มีสัดส่วนผู้สูงอายุที่ต้องการผู้ดูแล “ต่ำที่สุด” ของประเทศ เพียง 2.06% หรือราว 6,062 คนของผู้สูงอายุทั้งหมดในจังหวัด

ตัวเลขนี้อาจตีความได้สองทาง

  1. เชียงรายอาจมีโครงสร้างครอบครัวและชุมชนที่ยังแข็งแรง ญาติพี่น้องช่วยดูแลกันเอง ผู้สูงอายุจำนวนมากยังช่วยตัวเองได้ในระดับหนึ่ง
  2. หรืออีกด้านหนึ่ง อาจสะท้อนปัญหา “การประเมินและการเข้าถึงระบบคัดกรอง” ที่ยังไม่ทั่วถึง ผู้สูงอายุจำนวนไม่น้อยอาจมีข้อจำกัดในการเดิน เห็น หรือทำกิจวัตรประจำวัน แต่ยังไม่ถูกจัดอยู่ในกลุ่มที่ “ต้องการผู้ดูแล” ในเชิงระบบ

สำหรับเชียงราย ซึ่งมีทั้งพื้นที่ภูเขา ชุมชนชนเผ่าพื้นเมือง และบ้านเรือนที่อยู่ห่างจากหน่วยบริการ การสำรวจและคัดกรองผู้สูงอายุให้ครอบคลุมจึงไม่ใช่เรื่องง่าย นี่คือโจทย์ท้องถิ่นที่ต้องอาศัยทั้ง องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น หน่วยงานสาธารณสุข และเครือข่ายภาคประชาสังคมลงพื้นที่ร่วมกันอย่างจริงจัง

เศรษฐกิจและรายได้ เมื่อผู้สูงอายุภาคเหนือ (รวมเชียงราย) มีรายได้ต่ำกว่า 30,000 บาทต่อปีมากที่สุดในประเทศ

แม้ข้อมูลด้านเศรษฐกิจของผู้สูงอายุจะไม่ได้ระบุเฉพาะเจาะจงถึงเชียงราย แต่หากมองในระดับภาค ภาคเหนือซึ่งรวมเชียงรายอยู่ด้วย กลับเป็นภาคที่ผู้สูงอายุมีรายได้น้อยกว่า 30,000 บาทต่อปีสูงที่สุดของประเทศ

จากการสำรวจของสำนักงานสถิติแห่งชาติปี 2567 พบว่า

  • ผู้สูงอายุไทยที่มีรายได้น้อยกว่า 30,000 บาทต่อปี มีจำนวน 2,793,351 คน หรือ 19.91% ของผู้สูงอายุทั้งหมด
  • ภาคเหนือมีสัดส่วนผู้สูงอายุรายได้น้อยกว่าปีละ 30,000 บาทสูงที่สุด คือ 25.52%
  • ในขณะที่ค่าจ้างเฉลี่ยต่อเดือนของผู้สูงอายุที่ยังทำงาน ภาคเหนือเป็นภาคที่ “ค่าจ้างเฉลี่ยต่ำสุด” ของประเทศ ราว 9,413 บาทต่อเดือน

หากเชื่อมตัวเลขเหล่านี้กับโครงสร้างเศรษฐกิจของเชียงราย ซึ่งมีผู้สูงอายุจำนวนมากอยู่ในภาคเกษตรและแรงงานรับจ้างทั่วไป รายได้ที่ไม่แน่นอน และการออมที่จำกัด ย่อมทำให้ผู้สูงวัยจำนวนไม่น้อยเสี่ยงต่อการ “แก่ตัวไปพร้อมหนี้และรายได้ไม่พอเลี้ยงชีวิต”

แม้จะมีระบบบำนาญและเบี้ยยังชีพ เช่น เบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ 600–1,000 บาทต่อเดือน หรือบำนาญจากประกันสังคมที่มีผู้ได้รับเพียงราว 7–8% ของผู้สูงอายุทั้งหมด แต่เมื่อเทียบกับค่าครองชีพจริงในจังหวัดท่องเที่ยวชายแดนที่ค่าครองชีพปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง รายได้เหล่านี้แทบไม่เพียงพอ หากไม่มีรายได้เสริมจากการทำงานต่อ หรือการอุดหนุนจากลูกหลาน

บ้านที่ไม่พร้อม เมืองที่ยังไม่ทัน ความท้าทายด้านที่อยู่อาศัยของผู้สูงอายุเชียงราย

ระดับประเทศ ข้อมูลชี้ชัดว่า ผู้สูงอายุไทยกว่า 92.89% อาศัยอยู่ในบ้านที่ “ไม่เหมาะสม” กับสภาพร่างกายและความปลอดภัย ไม่ว่าจะเป็นพื้นต่างระดับ บันไดชัน ห้องน้ำลื่น หรือการขาดราวจับและสิ่งอำนวยความสะดวกพื้นฐาน ทำให้ในช่วง 6 เดือนก่อนการสำรวจ มีผู้สูงอายุหกล้มนับ เกือบ 800,000 คน ทั่วประเทศ โดยมากกว่า 80% ของการหกล้มเกิดขึ้น “ในบ้านของตนเอง”

แม้เชียงรายจะไม่ใช่จังหวัดที่มีสัดส่วนบ้านผู้สูงอายุไม่เหมาะสมสูงที่สุด แต่การเป็นจังหวัดที่มีสัดส่วนผู้สูงอายุต่อเตียงสูง และต้องดูแลผู้สูงอายุจำนวนมากในพื้นที่ชนบทและชุมชนบนดอย ยิ่งทำให้ “บ้านที่ไม่ปลอดภัย” กลายเป็นความเสี่ยงสำคัญ เพราะทุกครั้งที่ผู้สูงอายุหกล้ม กระดูกสะโพกหัก หรือบาดเจ็บรุนแรง ระบบโรงพยาบาลและเตียงที่มีอยู่จำกัดจะต้องรับภาระเพิ่มทันที

ในมุมกลับกัน ข้อมูลด้านโครงการปรับสภาพบ้านผู้สูงอายุโดยหน่วยงานรัฐกลับสะท้อนว่า หลายจังหวัด รวมถึงบางจังหวัดในภาคเหนือ ได้รับการปรับปรุงบ้านของผู้สูงอายุน้อยมากเมื่อเทียบกับจำนวนผู้สูงอายุทั้งหมด นั่นหมายความว่า “ช่องว่างระหว่างปัญหาและการตอบสนองเชิงนโยบาย” ยังมีอยู่มาก และเชียงรายในฐานะจังหวัดใหญ่ของภาคเหนือ จำเป็นต้องเร่งวางระบบการปรับปรุงที่อยู่อาศัยที่สอดคล้องกับแนวคิดการออกแบบเพื่อทุกคน (Universal Design) ให้ชัดเจนยิ่งขึ้น

จากข้อมูลสู่การลงมือ บทบาทของ สสส. และโมเดลที่เชียงรายสามารถนำมาปรับใช้

ภายใต้วิกฤตสังคมสูงวัยที่กำลังก่อตัว สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ได้พัฒนาโครงการและกลไกต้นแบบหลายด้าน ซึ่งแม้ยังไม่ปูพรมครอบคลุมทุกจังหวัด แต่ก็เป็น “แบบเรียนสำคัญ” ที่เชียงรายสามารถนำมาปรับใช้ในระดับพื้นที่ได้ เช่น

  1. โครงการ “สูงวัยให้พร้อม ต้องเตรียมก่อน 40”
    เน้นสร้างความตระหนักให้คนทำงานเริ่มดูแลสุขภาพกาย–ใจ และวางแผนการเงินก่อนอายุ 40 ปี เพื่อลดภาระโรค NCDs และปัญหาเศรษฐกิจยามชรา
  2. โครงการ ‘เดินดีไปด้วยกัน’
    พัฒนาระบบเฝ้าระวังและป้องกันกระดูกหักจากการหกล้มในผู้สูงอายุ โดยใช้โมเดล “น่านโมเดล” และขยายผลไป 11 จังหวัด พบว่าอัตราการล้มใหม่–ล้มซ้ำลดลง 10% และผู้สูงอายุ 70% ในพื้นที่นำร่องได้รับการประเมินความเสี่ยง
  3. หลักสูตร “สูงวัยรู้ทันสื่อ” และอาสาสูงวัยเฝ้าระวังสื่อ
    ทำงานใน 10 พื้นที่นำร่อง เช่น พะเยา เลย กระบี่ ตรัง และพื้นที่เมืองบางส่วน เพื่อให้ผู้สูงอายุแยกแยะข่าวปลอม รู้เท่าทันมิจฉาชีพในโลกออนไลน์ ทักษะนี้สำคัญอย่างยิ่งสำหรับผู้สูงอายุในเชียงรายที่ใช้โซเชียลมีเดียติดต่อครอบครัวต่างจังหวัดหรือต่างประเทศ
  4. ชมรมผู้สูงอายุเข้มแข็ง และ “ธนาคารเวลา”
    ใช้กลไกชุมชน–ชมรมผู้สูงอายุ เป็นศูนย์กลางดูแลกันเอง ทั้งด้านสุขภาพ เศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม พร้อมทดลองใช้แนวคิด “ธนาคารเวลา” ให้คนในชุมชนช่วยดูแลผู้สูงอายุแล้วสะสมชั่วโมง เพื่อแลกกลับเมื่อถึงเวลาที่ตนเองหรือครอบครัวต้องการความช่วยเหลือ
  5. การสนับสนุน Universal Design และเมืองที่เป็นมิตรกับผู้สูงอายุ
    ผ่านศูนย์การออกแบบเพื่อทุกคน (UDC) ในมหาวิทยาลัย 16 แห่ง โครงการขยายขนส่งมวลชนที่เข้าถึงได้ และการพัฒนาเส้นทางท่องเที่ยวเพื่อคนทั้งมวลในหลายจังหวัด

แม้บางโครงการจะยังไม่ลงลึกถึงเชียงรายโดยตรง แต่ในฐานะจังหวัดที่กำลังพัฒนาตนเองเป็นเมืองท่องเที่ยวและศูนย์กลางโลจิสติกส์ การนำหลักคิดจากโครงการเหล่านี้มาปรับใช้ ทั้งในระดับเทศบาล อบจ. อบต. และภาคเอกชน จะช่วยให้การเตรียมความพร้อมรับมือสังคมสูงวัยมีทิศทางที่ชัดเจนมากขึ้น

เชียงรายและภาคเหนือจะเดินอย่างไรในสังคมสูงวัยที่เปราะบางที่สุดด้านสุขภาพ

เมื่อรวบรวมทุกมิติ ไม่ว่าจะเป็น

  • สัดส่วนผู้สูงอายุที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง
  • ภาระโรคไม่ติดต่อและความดันโลหิตที่สูงกว่าภาคอื่น
  • สัดส่วนผู้สูงอายุต่อเตียงโรงพยาบาลและเตียงจิตเวชที่ตึงตัว
  • รายได้และการออมของผู้สูงอายุในภาคเหนือที่ต่ำที่สุดของประเทศ
  • บ้านและสภาพแวดล้อมที่ยังไม่เหมาะสมกับร่างกายผู้สูงวัย

ภาพรวมชัดเจนว่า “เชียงรายและภาคเหนือไม่ได้มีเวลาเหลือมากนัก” ในการปรับตัวรับสังคมสูงวัย

แนวทางเชิงระบบที่ควรถูกหยิบขึ้นมาพิจารณาอย่างจริงจัง อาทิ

  1. เสริมกำลังระบบสาธารณสุขระดับจังหวัดและอำเภอ
    • เพิ่มสัดส่วนเตียงและบุคลากรที่มีทักษะดูแลผู้สูงอายุโดยเฉพาะ
    • พัฒนาคลินิก NCDs และคลินิกผู้สูงอายุให้ครอบคลุมทุกอำเภอ
    • สนับสนุน telemedicine สำหรับหมู่บ้านห่างไกลในเชียงราย
  2. ลงทุนในสุขภาพจิตผู้สูงอายุอย่างเป็นระบบ
    • ขยายบริการปรึกษาทางจิตวิทยาและกิจกรรมกลุ่มในโรงพยาบาลชุมชน
    • เชื่อมโยงกับเครือข่ายวัด อสม. และผู้นำชุมชน เพื่อสังเกตสัญญาณซึมเศร้าและความเครียดในผู้สูงวัย
  3. ลดความเปราะบางทางเศรษฐกิจ
    • พัฒนางานและอาชีพเสริมที่เหมาะกับผู้สูงอายุ เช่น งานชุมชน งานท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม งานฝีมือ
    • ส่งเสริมระบบออมสมัครใจในระดับตำบล และโครงการ “ธนาคารเวลา” แบบต้นแบบของ สสส.
  4. เร่งยกระดับที่อยู่อาศัยให้เป็นมิตรกับผู้สูงอายุ
    • ตั้งเป้าปรับสภาพบ้านผู้สูงอายุในเชียงรายอย่างต่อเนื่องทุกปี โดยร่วมมือกับวิชาชีพช่างในพื้นที่และมหาวิทยาลัย
    • บูรณาการกับการพัฒนาเมือง เช่น ทางเท้า, ทางลาด, ขนส่งสาธารณะ เพื่อให้ผู้สูงอายุเดินทางได้อย่างปลอดภัย

ท้ายที่สุด การเป็น “เมืองที่พร้อมรับสังคมสูงวัย” ไม่ได้วัดที่จำนวนเตียงหรือจำนวนโครงการที่ถูกเขียนไว้ในแผนเท่านั้น แต่สะท้อนผ่านคำถามง่าย ๆ ว่า

เมื่อผู้สูงอายุคนหนึ่งในเชียงรายล้มป่วย เขาจะเข้าถึงหมอ เตียง และการดูแลได้เร็วแค่ไหน
เมื่อผู้สูงอายุคนหนึ่งเครียด ซึมเศร้า หรือถูกหลอกผ่านสื่อออนไลน์ เขาจะมีใครให้พึ่งพา
และเมื่อผู้สูงอายุคนหนึ่งต้องใช้ชีวิตในบ้านของตัวเองไปจนวันสุดท้าย บ้านหลังนั้น “ปลอดภัยและเป็นมิตร” แค่ไหน

คำตอบเหล่านี้จะเป็นตัวชี้วัดว่า เชียงรายและภาคเหนือ จะก้าวพ้นจากคำว่า “พื้นที่เปราะบางที่สุดด้านสุขภาพผู้สูงอายุ” ไปสู่การเป็น “พื้นที่ต้นแบบที่ไม่ทิ้งผู้สูงอายุไว้ข้างหลัง” ได้จริงหรือไม่

สำนักข่าวนครเชียงรายนิวส์

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • การศึกษาพื้นที่เปราะบางต่อผู้สูงอายุในประเทศไทย โดย Rocket Media Lab ร่วมกับสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)
  • สำนักบริหารการทะเบียน กรมการปกครอง
  • ระบบคลังข้อมูลด้านการแพทย์และสุขภาพ (Health Data Center – HDC) กระทรวงสาธารณสุข
  • รายงานข้อมูลทรัพยากรสาธารณสุข ประจำปี 2567 สำนักปลัดกระทรวงสาธารณสุข
  • การสำรวจประชากรสูงอายุในประเทศไทย พ.ศ. 2567 ระดับจังหวัด สำนักงานสถิติแห่งชาติ
  • รายงานสถานการณ์ผู้สูงอายุไทย ปี 2566 กรมกิจการผู้สูงอายุ และข้อมูลสนับสนุนจากสำนักงานประกันสังคม
  • เอกสารเผยแพร่ขององค์การสหประชาชาติ (UN) และองค์การอนามัยโลก (WHO) ว่าด้วยนิยามสังคมผู้สูงอายุและการคาดการณ์สัดส่วนผู้สูงอายุของประชากรโลกถึงปี 2593
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
MOST POPULAR
FOLLOW ME