
วิกฤตจอสมาร์ตโฟน ผลสำรวจชี้คนใช้เวลา 88 วันต่อปีจ้องหน้าจอ สะท้อนความเหงาและความโหยหาวิถีสังคมแบบยุค 90
25 กันยายน 2568 – ลองนึกภาพถ้าคุณตื่นขึ้นมาด้วยเสียงแจ้งเตือนจากโทรศัพท์มือถือที่ดังไม่ขาดสาย ขณะที่มือยังง่วงงุน คุณคว้ามันขึ้นมากดดูข้อความจากเพื่อนในกลุ่มแชท สไลด์นิ้วผ่านฟีดข่าวสารที่ไหลทะลัก แล้วกว่าจะวางลง ก็ล่วงเลยไปเกือบชั่วโมงโดยไม่รู้ตัว จากนั้นคือการเดินทางไปทำงาน ท่ามกลางรถติดยาวเหยียด คุณเลื่อนดูวิดีโอสั้นๆ เพื่อฆ่าเวลา จนกระทั่งถึงออฟฟิศ ที่ซึ่งอีเมลและการประชุมออนไลน์รอคอยอยู่ และเมื่อค่ำคืนมาเยือน คุณนั่งลงกับมื้อเย็นคนเดียว แต่สายตายังคงจับจ้องที่หน้าจอ รอคอยไลก์และคอมเมนต์จากโพสต์ล่าสุด
นี่ไม่ใช่เรื่องแต่ง แต่เป็นภาพสะท้อนชีวิตประจำวันของผู้คนนับล้านทั่วโลกในยุคดิจิทัลที่เรากำลังเผชิญอยู่ ผลสำรวจระดับโลกฉบับล่าสุดที่เพิ่งเผยแพร่ ได้เปิดม่านให้เห็นตัวเลขที่น่าตกใจ: โดยเฉลี่ยแล้ว ผู้ใหญ่ทั่วโลกใช้เวลาไปกับการจ้องหน้าจอสมาร์ตโฟนมากถึง 5 ชั่วโมง 48 นาทีต่อวัน ซึ่งหากบวกรวมทั้งปี จะเท่ากับการสูญเสียเวลาไปถึง 88 วัน หรือเกือบหนึ่งในสี่ของปีทั้งปีไปกับการเลื่อนนิ้วบนหน้าจอเพียงอย่างเดียว ตัวเลขนี้ไม่ได้มาจากการคาดเดา แต่มาจากการศึกษาที่ครอบคลุมผู้ใหญ่ 17,000 คน จาก 9 ประเทศ ได้แก่ สหรัฐอเมริกา สหราชอาณาจักร สเปน เวียดนาม แอฟริกาใต้ บราซิล เยอรมนี อินเดีย และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ โดยมีบริษัท Heineken เป็นผู้สนับสนุนหลัก และ OnePoll บริษัทวิจัยตลาดชั้นนำเป็นผู้ดำเนินการสำรวจ
ผลสำรวจนี้ไม่เพียงชี้ให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม
ตัวเลข 88 วันนี้ ไม่ใช่แค่ตัวเลขแห้งๆ แต่เป็นสัญญาณเตือนภัยที่กำลังสั่นสะเทือนรากฐานของสังคมมนุษย์ มันชวนให้เราคิด: ถ้าเราเสียเวลาเกือบสามเดือนต่อปีไปกับการจ้องหน้าจอ แล้วเวลาที่เหลือสำหรับการสนทนาหน้าต่อหน้า การเดินเล่นในสวนสาธารณะ หรือแม้แต่การนั่งมองท้องฟ้ากับครอบครัวล่ะ? ผลสำรวจนี้ไม่เพียงชี้ให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม แต่ยังขุดลึกเข้าไปในปมปัญหาที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังความสะดวกสบายของเทคโนโลยี—ความเหงาที่เพิ่มพูน ความกดดันที่มองไม่เห็น และความโหยหาอดีตที่เคยเรียบง่ายกว่า
เพื่อให้เข้าใจให้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น เรามาเริ่มต้นจากจุดกำเนิดของเรื่องราวนี้กันเถอะ ทุกอย่างเริ่มต้นจากความตั้งใจของ Heineken ที่ต้องการสำรวจ “ความสุขที่แท้จริง” ในยุคที่โลกถูกเชื่อมโยงด้วยหน้าจอมากเกินไป บริษัทเครื่องดื่มยักษ์ใหญ่จากเนเธอร์แลนด์นี้ ซึ่งมีประวัติยาวนานกว่า 160 ปีในการส่งเสริมการสังสรรค์แบบ “IRL” (In Real Life) หรือการพบปะในชีวิตจริง ได้ร่วมมือกับ OnePoll เพื่อเก็บข้อมูลตั้งแต่ต้นปี 2568 ผลที่ได้ไม่เพียงยืนยันแนวโน้มที่เราคุ้นเคย แต่ยังเผยให้เห็นถึงความรุนแรงของมัน โดยเฉพาะในกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่เติบโตมากับสมาร์ตโฟนเป็นเพื่อนสนิท
มาดูตัวเลขหลักกันก่อน: เวลาเฉลี่ย 5 ชั่วโมง 48 นาทีต่อวัน หรือประมาณ 127,020 นาทีต่อปี นี้ สามารถแยกย่อยได้เป็นกิจกรรมหลากหลาย ตั้งแต่การเช็คโซเชียลมีเดีย การดูวิดีโอสตรีมมิง ไปจนถึงการตอบแชทที่ไม่เคยสิ้นสุด สถิติเหล่านี้ชวนให้เราหยุดนิ่งและไตร่ตรอง—นี่คือเวลาที่เราสูญเสียไปโดยไม่รู้ตัว หรือเป็นการลงทุนที่คุ้มค่าจริงๆ? ผู้เชี่ยวชาญด้านจิตวิทยาสังคมหลายคนมองว่านี่คือ “Screen Time Paradox” หรือภาวะย้อนแย้งของเวลาหน้าจอ ที่เทคโนโลยีที่ควรเชื่อมโยงเรากลับทำให้เราห่างเหินจากกันมากขึ้น
คนรุ่นใหม่ที่ควรจะเป็นพลังขับเคลื่อนอนาคต
หากเจาะลึกไปยังกลุ่ม Gen Z (ผู้ที่เกิดระหว่างปี 2538-2547) ซึ่งเป็นกลุ่มที่ใช้สมาร์ตโฟนมากที่สุด พวกเขามีเวลาหน้าจอเฉลี่ยสูงกว่า 6 ชั่วโมงครึ่งต่อวัน และที่น่าตกใจยิ่งกว่าคือ 1 ใน 10 ของกลุ่มนี้—or 10%—ยอมรับว่าติดโทรศัพท์หนักหน่วง จนใช้เวลานานถึง 12 ชั่วโมงต่อวัน นี่ไม่ใช่แค่เรื่องส่วนตัว แต่เป็นแนวโน้มที่ส่งผลกระทบต่อสังคมในวงกว้าง ลองคิดดูสิครับ ถ้าคนรุ่นใหม่ที่ควรจะเป็นพลังขับเคลื่อนอนาคต กลับใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับโลกเสมือน แล้วการพัฒนาทักษะทางสังคมและความสัมพันธ์จริงๆ จะเหลือที่ว่างให้หรือไม่?
ผลสำรวจยังเผยว่า ผู้ใหญ่ 3 ใน 5—or 59%—ยอมรับว่าการใช้เวลากับโทรศัพท์เพิ่มขึ้นในปีที่ผ่านมา สาเหตุหลักมาจากกระแสการแจ้งเตือนที่ไม่เคยหยุดนิ่ง โดย 60% รู้สึกว่าข้อความและน็อติฟิเคชันไหลเวียน “คงที่ตลอดเวลา” ขณะที่เกือบครึ่งหนึ่ง—or 47%—อธิบายตัวเองว่าเป็นคน “ออนไลน์ตลอดเวลา” สถิติเหล่านี้ไม่เพียงสะท้อนพฤติกรรม แต่ยังชี้ถึงความกดดันที่ซ่อนอยู่ ตัวอย่างเช่น ผู้ใหญ่ 52% รู้สึก “ท่วมท้น” จากแรงกดดันที่ต้องอัปเดตโซเชียลมีเดียให้ทัน ไม่ว่าจะเป็นการไลก์โพสต์เพื่อน การรีโพสต์ข่าวสาร หรือแม้แต่การตอบคอมเมนต์ที่ไม่คาดคิด
พบว่าการใช้เวลากับการสังสรรค์ในชีวิตจริงลดลงถึง 35%
จากตรงนี้ เรามาเข้าสู่ปมหลักของเรื่องราว—ความย้อนแย้งที่ทำให้หัวใจของข่าวนี้เต้นแรง: ยิ่งเชื่อมต่อกันทางออนไลน์มากเท่าไหร่ เรากลับยิ่งรู้สึกโดดเดี่ยวมากขึ้นเท่านั้น ผู้ตอบแบบสอบถามถึง 62% ยอมรับว่ารู้สึก “เหงาเป็นบางครั้ง” แม้จะมีแอปพลิเคชันสำหรับแชทและวิดีโอคอลมากมายก็ตาม มันเหมือนกับการนั่งในห้องที่เต็มไปด้วยผู้คน แต่ไม่มีใครมองตากันจริงๆ สถิติจาก Statista บริษัทวิจัยข้อมูลระดับโลก ซึ่ง Heineken อ้างอิงในรายงาน ยังเสริมน้ำหนักให้กับประเด็นนี้ โดยพบว่าการใช้เวลากับการสังสรรค์ในชีวิตจริงลดลงถึง 35% ตลอด 24 ปีที่ผ่านมา ในขณะที่เวลาบนโทรศัพท์เพิ่มขึ้นกว่า 54% นับตั้งแต่การเปิดตัวแพลตฟอร์มอย่าง Instagram ในปี 2010 และ Snapchat ในปี 2011
นี่คือจุดที่เรื่องราวเริ่มเข้มข้นขึ้น ลองนึกถึงคำกล่าวของผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพจิตที่มักพูดถึง “Social Battery” หรือ “แบตเตอรี่ทางสังคม” ซึ่งหมายถึงพลังงานที่เรามีสำหรับการโต้ตอบกับผู้อื่น ผลสำรวจพบว่าผู้ใหญ่กว่าครึ่งหนึ่ง—or 51%—รู้สึกว่าแบตเตอรี่นี้หมดลงอย่างรวดเร็วหลังจากใช้เวลาพูดคุยออนไลน์มากเกินไป และตัวเลขนี้พุ่งสูงถึง 62% ในกลุ่ม Gen Z มันชวนให้เราคิดถึงภาพเด็กวัยรุ่นที่นั่งรวมกลุ่มกันในห้อง แต่ละคนก้มหน้ากดโทรศัพท์ โดยไม่พูดคุยกันสักคำ—นี่คือความเหงาในยุคที่ “เชื่อมต่อ” มากที่สุดในประวัติศาสตร์มนุษย์
18% ยอมรับว่าถึงขั้นคิดไม่ออกว่าจะนัดเจอใคร
แต่เรื่องราวไม่ได้จบลงด้วยความมืดมนเท่านั้น มันมีแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์—ความโหยหาอดีตที่กำลังกลายเป็นพลังขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลง ผู้ใหญ่ถึง 64% ยอมรับว่าพวกเขารู้สึก “คิดถึง” ยุค 90 สมัยที่ผู้คนนัดเจอกันที่ร้านกาแฟโดยไม่ต้องเช็คอินบนเฟซบุ๊ก สมัยที่การสนทนาเกิดขึ้นแบบตัวต่อตัว ไม่ใช่ผ่านอิโมจิและสติ๊กเกอร์ นี่คือประโยคที่กระตุ้นอารมณ์จากรายงาน: “เรากำลังสูญเสียช่วงเวลาที่แท้จริงของการมีชีวิตอยู่ เพื่อแลกกับภาพลวงตาของการเชื่อมโยง” มันทำให้ผู้อ่านอย่างคุณ—ที่สนใจข่าวเชิงลึกเพื่อนำไปใช้ในชีวิตหรือการทำงาน—ต้องหยุดและไตร่ตรอง: คุณเคยเลื่อนการนัดหมายกับเพื่อนเพราะ “เหนื่อยจากออนไลน์” หรือไม่? ผลสำรวจตอบว่า 32% ของผู้คนเคยทำแบบนั้น และ 18% ยอมรับว่าถึงขั้นคิดไม่ออกว่าจะนัดเจอใคร

เพื่อคลี่คลายปมนี้ เราต้องมองไปยังตัวอย่างจริงจากต่างประเทศที่กำลังกลายเป็นต้นแบบในการแก้ปัญหา มาดูกรณีศึกษาจากญี่ปุ่นกันครับ ซึ่งเป็นประเทศที่เทคโนโลยีล้ำสมัยแต่ก็เผชิญปัญหาเดียวกันนี้อย่างหนัก เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา สภาเทศบาลเมืองโทโยอาเกะ (Toyoake) ในจังหวัดไอจิ ได้ผ่านร่างเทศบัญญัติที่เป็นประเด็นร้อนระดับชาติ โดยแนะนำให้ประชาชนทุกวัยจำกัดการใช้สมาร์ตโฟน เครื่องเล่นเกม วิดีโอคอนโซล และอุปกรณ์ดิจิทัลอื่นๆ ไม่เกิน 2 ชั่วโมงต่อวัน นอกเหนือจากเวลาทำงานและการเรียน แม้จะไม่มีบทลงโทษสำหรับผู้ฝ่าฝืน แต่กฎหมายนี้ถือเป็นมาตรการเชิงสัญลักษณ์ที่แข็งแกร่งที่สุดในญี่ปุ่น และมีกำหนดบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2568
การนอนหลับที่เพียงพอเป็นสิ่งสำคัญต่อการเติบโตทางร่างกายและจิตใจ
เทศบัญญัตินี้ไม่ได้เกิดจากอากาศธาตุ แต่มาจากความกังวลที่สะสมมานานเกี่ยวกับผลกระทบของการสัมผัสเทคโนโลยีเกินพอดี เช่น การนอนไม่หลับและการลดลงของปฏิสัมพันธ์ในครอบครัว โดยเฉพาะในเด็กและเยาวชน ข้อกำหนดหลักคือ เด็กประถมต้องงดใช้สมาร์ตโฟนหลัง 21:00 น. และเด็กมัธยมต้นขึ้นไปงดหลัง 22:00 น. โดยให้เหตุผลชัดเจนว่า “การนอนหลับที่เพียงพอเป็นสิ่งสำคัญต่อการเติบโตทางร่างกายและจิตใจของเด็กทุกคนอายุต่ำกว่า 18 ปี” นอกจากนี้ ยังเรียกร้องให้ผู้ปกครองกำหนดกฎครัวเรือนสำหรับการใช้อุปกรณ์ และเทศบาลจะตั้งระบบให้คำปรึกษาแก่พ่อแม่ที่ต้องการความช่วยเหลือ
นายกเทศมนตรีมาซาฟุมิ โคคิ (Masafumi Kouki) ได้ให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าว Kyodo News ว่า “การกำหนดเวลาจำกัด 2 ชั่วโมงต่อวันนี้ มีพื้นฐานมาจากแนวทางการนอนหลับที่ดีของกระทรวงสาธารณสุข แรงงาน และสวัสดิการของญี่ปุ่น ซึ่งคำนวณจากเวลาการใช้งานเฉลี่ยในวันธรรมดา หากเกินกว่านี้ อาจนำไปสู่ภาวะอดนอนที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพโดยรวม” คำกล่าวนี้ไม่เพียงยืนยันถึงความเป็นมืออาชีพของมาตรการ แต่ยังชูประเด็นเด่นว่าปัญหานี้ไม่ใช่เรื่องส่วนบุคคล แต่เป็นวาระระดับนโยบายที่รัฐบาลท้องถิ่นต้องรับผิดชอบ
กรณีของโทโยอาเกะนี้ เป็นจุดเปลี่ยนที่คลี่คลายปมในระดับปฏิบัติการ มันแสดงให้เห็นว่าประเทศที่เคยถูกมองว่า “ติดเทคโนโลยี” สามารถหันหลังให้กับหน้าจอได้ หากมีผู้นำที่กล้าลุกขึ้นกระทำการ แม้จะเป็นเพียงคำแนะนำ แต่ก็จุดประกายให้ชุมชนอื่นๆ ในญี่ปุ่นและทั่วโลกเริ่มถกเถียงกันมากขึ้น ในประเทศไทยเอง เราก็เห็นแนวโน้มคล้ายกัน เช่น การรณรงค์ลดเวลาหน้าจอในโรงเรียน หรือแคมเปญจากกระทรวงสาธารณสุขที่เตือนถึงผลกระทบต่อสุขภาพจิตของเยาวชน แต่ยังขาดมาตรการเชิงโครงสร้างที่ชัดเจนเท่านี้
ฟีดโซเชียลมีเดียจะว่างเปล่า
และที่น่าติดตามยิ่งกว่าคือ การตอบสนองจากภาคเอกชนที่กำลังกลายเป็นส่วนหนึ่งของการคลี่คลาย Heineken ไม่ได้หยุดอยู่แค่การสำรวจ แต่ได้เปิดตัวแคมเปญระดับโลกเพื่อส่งเสริมการสังสรรค์แบบ IRL โดยร่วมมือกับศิลปินดังอย่าง Joe Jonas และอินฟลูเอนเซอร์ชั้นนำ เช่น Dude with Sign, Lil Cherry และ Paul Olima แคมเปญนี้ใช้มุกตลกในการจินตนาการว่า “ถ้าทุกคนออกไปสนุก IRL แล้ว ฟีดโซเชียลมีเดียจะว่างเปล่า” เพื่อกระตุ้นให้ผู้คนวางโทรศัพท์ลงและหันมาพบปะกันจริงๆ มันต่อยอดจากแคมเปญก่อนหน้าอย่าง “The Boring Phone” และ “Forgotten Beers” ที่ส่งเสริมการดื่มและสนทนาแบบออฟไลน์ รวมถึงการลงทุนกว่า 39 ล้านปอนด์ในการฟื้นฟูผับเก่า 62 แห่งในสหราชอาณาจักร
ถ้าเราใช้เวลา 88 วันต่อปีกับหน้าจอ แล้วอีก 277 วันที่เหลือ
สัญญาณเชิงบวกจากผลสำรวจยังมีอีกมาก: ถึง 79% ของผู้ตอบแบบสอบถามยอมรับว่าพวกเขาดูโทรศัพท์น้อยลงเมื่ออยู่กับเพื่อนในชีวิตจริง และเกือบหนึ่งในสี่—or 25%—เคยพยายามนัดเจอเพื่อนเพื่อลดเวลาหน้าจอ นี่คือจุดที่เรื่องราวของเรามาถึงการคลี่คลาย—ไม่ใช่การต่อต้านเทคโนโลยีทั้งหมด แต่เป็นการสร้างสมดุลที่ยั่งยืน มันชวนให้เราคิด: ถ้าเราใช้เวลา 88 วันต่อปีกับหน้าจอ แล้วอีก 277 วันที่เหลือ เราจะใช้มันอย่างไรให้คุ้มค่าที่สุด?
ในท้ายที่สุด วิกฤตนี้ชี้ให้เห็นถึงบทเรียนสำคัญสำหรับทุกภาคส่วน การสร้างความตระหนักรู้ โดยเฉพาะในกลุ่ม Gen Z ผ่านการรณรงค์และการศึกษา ควรเป็นจุดเริ่มต้น จากนั้นคือการพัฒนานโยบายพื้นที่ปลอดจอ เช่น สวนสาธารณะหรือศูนย์ชุมชนที่ออกแบบมาเพื่อกระตุ้นปฏิสัมพันธ์จริงๆ และสุดท้าย ภาคธุรกิจอย่าง Heineken สามารถเป็นพันธมิตร โดยสนับสนุนกิจกรรมที่เน้น IRL เพื่อสร้างความสมดุลระหว่างโลกออนไลน์และออฟไลน์
เรื่องราวของ “88 วันที่สูญเสีย” นี้ ไม่ใช่จุดจบ แต่เป็นจุดเริ่มต้นของการตื่นตัว หากเราลุกขึ้นมาทำตามสัญญาณเหล่านี้ สังคมของเราจะกลับมาสดชื่นและเชื่อมโยงกันอย่างแท้จริง—ไม่ใช่ผ่านสายเคเบิล แต่ผ่านรอยยิ้มและการสัมผัสที่อบอุ่น
เครดิตภาพและข้อมูลจาก :
- Heineken Global Report on Screen Time and Socializing, 2025 (สนับสนุนและเผยแพร่โดย The HEINEKEN Company, ดำเนินการสำรวจโดย OnePoll)
- Statista Global Research on Socializing Trends, 2024-2025 (วิเคราะห์ข้อมูลเสริมโดย Statista GmbH)
- Kyodo News: “Toyoake City Passes Ordinance Limiting Smartphone Use” (สัมภาษณ์นายกเทศมนตรี Masafumi Kouki, เผยแพร่ 23 กันยายน 2568)
- Ministry of Health, Labour and Welfare, Japan: Healthy Sleep Guidelines, 2024