Categories
AROUND CHIANG RAI NEWS UPDATE

เชียงรายเร่งอบรมดูแลสุขภาพจิต ผู้ใช้ยา รับมือปัญหาชุมชน

เชียงรายเปิดอบรมดูแลสุขภาพจิตผู้ใช้สารเสพติดในชุมชน เสริมศักยภาพบุคลากรรับมือปัญหา

เชียงราย, 7 กุมภาพันธ์ 2568 –    โรงแรม เอ็ม บูทีค รีสอร์ท เชียงราย นายญาณาฤทธิ์ หนสมสุข รองปลัดองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย รักษาราชการแทนปลัดองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย เป็นประธานในพิธีเปิดการอบรมการดูแลสุขภาพจิตสำหรับผู้ใช้สารเสพติดในชุมชนอย่างเหมาะสม ภายใต้โครงการพัฒนาศักยภาพบุคลากรเพื่อการปฏิบัติงานในศูนย์คัดกรองยาเสพติด โดยมีบุคลากรผู้รับผิดชอบงานยาเสพติดและสุขภาพจิตจากสถานีอนามัยเฉลิมพระเกียรติ 60 พรรษา และโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลในพื้นที่จังหวัดเชียงรายเข้าร่วม

ปัญหายาเสพติดในเชียงราย: ความท้าทายที่ต้องรับมือ

นายญาณาฤทธิ์กล่าวว่า สถานการณ์ปัญหายาเสพติดในจังหวัดเชียงรายยังคงเป็นเรื่องสำคัญ โดยปัจจุบันมีจำนวนผู้ใช้ยาเสพติดมากกว่าผู้ติดยาเสพติด ซึ่งเมื่อมีการเสพยาเสพติดในปริมาณมากและต่อเนื่องเป็นเวลานาน อาจทำให้เกิดอาการประสาทหลอน คลุ้มคลั่ง ขาดสติ หวาดระแวง และไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ ซึ่งอาจนำไปสู่การทำร้ายตัวเองและผู้อื่น

อบจ.เชียงราย มุ่งมั่นแก้ไขปัญหายาเสพติดอย่างบูรณาการ

องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย (อบจ.เชียงราย) ได้เล็งเห็นถึงความสำคัญของปัญหายาเสพติด จึงมีนโยบายในการส่งเสริมการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติดอย่างจริงจัง โดยได้ร่วมลงนามบันทึกความเข้าใจ (MOU) โครงการประสานความร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น หน่วยงานทางการแพทย์ สถานพยาบาล หน่วยงานทางปกครอง หน่วยงานท้องถิ่น และหน่วยงานในกระบวนการยุติธรรม ตามประมวลกฎหมายยาเสพติด เพื่อให้การแก้ไขปัญหายาเสพติดเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและครอบคลุม

อบจ.เชียงราย มุ่งเน้นการดูแลสุขภาพผู้ป่วยแบบบูรณาการ โดยคำนึงถึงสิทธิมนุษยชนอย่างครอบคลุม เพื่อให้เกิดความสงบสุขแก่ประชาชน การอบรมบุคลากรที่ดูแลสุขภาพจิตสำหรับผู้ใช้สารเสพติดในชุมชนในครั้งนี้ ถือเป็นส่วนสำคัญในการติดตามดูแลผู้ป่วยอย่างต่อเนื่อง และให้การช่วยเหลือหลังการบำบัดรักษา โดยการประคับประคอง ให้คำแนะนำ คำปรึกษา เสริมสร้างกำลังใจและสร้างแรงจูงใจ ทั้งผู้ป่วยและครอบครัว ให้สามารถใช้ชีวิตอยู่ในสังคมได้อย่างปกติ

การอบรม: เพิ่มศักยภาพบุคลากรดูแลผู้ใช้สารเสพติดในชุมชน

การอบรมในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาศักยภาพบุคลากรให้มีความรู้ความสามารถในการดูแลสุขภาพจิตสำหรับผู้ใช้สารเสพติดในชุมชนอย่างเหมาะสม โดยจะมีการให้ความรู้เกี่ยวกับการวิเคราะห์จำแนกระดับความรุนแรงของผู้ป่วย การวางแผนการดูแล หรือการส่งต่อที่เหมาะสม รวดเร็ว และปลอดภัย รวมถึงการเพิ่มศักยภาพสำหรับบุคลากรในการปฏิบัติงานในศูนย์คัดกรองยาเสพติด

การอบรมนี้ไม่เพียงแต่เป็นการเพิ่มพูนความรู้และทักษะให้กับบุคลากร แต่ยังเป็นการสร้างเครือข่ายความร่วมมือระหว่างหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้การดูแลผู้ป่วยเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและต่อเนื่อง ซึ่งจะช่วยลดปัญหาการกลับไปเสพยาเสพติดซ้ำ ก่อความรุนแรงซ้ำ รวมถึงปัญหาด้านสังคมที่เกี่ยวข้องกับการติดยาเสพติด และสร้างความสงบสุขให้แก่ชุมชน

อบจ.เชียงราย หวังเป็นอย่างยิ่งว่า การอบรมในครั้งนี้ จะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อบุคลากรที่ปฏิบัติงานด้านการดูแลสุขภาพจิตผู้ใช้สารเสพติดในชุมชน และเป็นก้าวสำคัญในการแก้ไขปัญหายาเสพติดในจังหวัดเชียงรายอย่างยั่งยืน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : อบจ.เชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
NEWS UPDATE

รัฐบาลไทยเร่งปราบ ‘พอตเค’ ปกป้องเยาวชนจากภัยยาเสพติดรูปแบบใหม่

รัฐบาลเดินหน้าปราบปรามยาเสพติด ย้ำ! ‘พอตเค’ ระบาดหนักในกลุ่มนักเที่ยวกลางคืน

เมื่อวันที่ 19 มกราคม 2568 นายอนุกูล พฤกษานุศักดิ์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า รัฐบาลได้สั่งการให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) หน่วยงานทางปกครอง และกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ให้ความสำคัญต่อการป้องกัน ปราบปราม และแก้ไขปัญหายาเสพติดอย่างเร่งด่วน เพื่อสร้างความมั่นคงและปลอดภัยให้กับสังคมไทย

ยาเสพติดแฝงตัวในรูปแบบใหม่

รายงานล่าสุดชี้ให้เห็นถึงการแพร่ระบาดของยาเสพติดในรูปแบบใหม่ที่เรียกว่า ‘พอตเค’ หรือหัวน้ำยาบุหรี่ไฟฟ้าผสมยาเค (เคตามีน) โดยเฉพาะในกลุ่มนักเที่ยวกลางคืน ซึ่งสร้างความกังวลให้กับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยยาเคตามีนเป็นวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท 2 ที่ถูกควบคุมอย่างเข้มงวด การใช้ในทางที่ผิดกฎหมายมีบทลงโทษรุนแรง เช่น โทษจำคุกสูงสุดถึง 15 ปี และปรับสูงสุด 1.5 ล้านบาท

ผลกระทบของการใช้เคตามีนในทางที่ผิด

ยาเคตามีนถูกนำไปใช้ในทางการแพทย์ แต่ในปัจจุบันพบการลักลอบนำไปใช้ในทางที่ผิด เช่น การสูดดมและสูบควันเพื่อหวังผลในการหลอนประสาท ผู้ใช้ที่เสพติดต่อกันเป็นเวลานานจะเสี่ยงต่อการติดยาทั้งทางร่างกายและจิตใจ นอกจากนี้ ยังมีผลข้างเคียงที่อันตราย เช่น การอาเจียน ชัก สมองและกล้ามเนื้อขาดออกซิเจน และในบางกรณีอาจถึงขั้นเสียชีวิต

รัฐบาลเข้มงวดปราบปรามการแพร่ระบาด

นายอนุกูลกล่าวเพิ่มเติมว่า การปราบปรามยาเสพติด โดยเฉพาะการใช้เคตามีนในทางที่ผิด เป็นหนึ่งในนโยบายหลักของรัฐบาล ซึ่งได้เร่งดำเนินการร่วมกับทุกภาคส่วนในการหยุดยั้งการลักลอบผลิต นำเข้า และจำหน่ายยาเสพติดทุกประเภท

นอกจากนี้ ยังมีการรณรงค์ป้องกันและให้ความรู้แก่ประชาชนเกี่ยวกับโทษและผลกระทบของการใช้ยาเสพติด รวมถึงการเฝ้าระวังการแพร่ระบาดในพื้นที่ต่างๆ ทั่วประเทศ หากประชาชนพบเห็นการกระทำผิดสามารถแจ้งข้อมูลได้ที่สถานีตำรวจทั่วประเทศ หรือผ่านช่องทางสายด่วน อย. 1556 กด 3 หรือโทร 0 2590 7343 รวมถึงผ่าน Facebook: FDA Thai

มาตรการเฝ้าระวังและแจ้งเตือน

รัฐบาลยังได้เน้นย้ำถึงความร่วมมือจากประชาชนในการเป็นหูเป็นตา ช่วยเฝ้าระวังการแพร่ระบาดของ ‘พอตเค’ และสารเสพติดรูปแบบอื่นๆ ที่อาจเข้ามาในพื้นที่ โดยการร่วมมือกันระหว่างภาครัฐและประชาชนเป็นกุญแจสำคัญในการสร้างความปลอดภัยให้กับสังคมไทย

การปราบปรามยาเสพติดและป้องกันการแพร่ระบาดของสารเสพติดรูปแบบใหม่ยังคงเป็นเป้าหมายสำคัญที่รัฐบาลให้ความสำคัญอย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างความปลอดภัยและเสริมสร้างคุณภาพชีวิตให้กับคนไทยทุกคน

 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักนายกรัฐมนตรี

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
LIFESTYLE

ThaiHealth Watch 2025 เจาะลึก 7 เทรนด์สุขภาพปี 2568

สสส. เปิดตัว ThaiHealth Watch 2025 นำเสนอ 7 ประเด็นทิศทางสุขภาพคนไทย ปี 2568

เมื่อวันที่ 17 ธันวาคม 2567 ที่อาคารศูนย์เรียนรู้สุขภาวะ กรุงเทพฯ นพ.พงศ์เทพ วงศ์วัชรไพบูลย์ ผู้จัดการกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) เป็นประธานเปิดงาน “จับตาทิศทางสุขภาพคนไทย 2568 (ThaiHealth Watch 2025)” โดยมีเป้าหมายสำคัญในการนำเสนอ 7 ประเด็นสุขภาพสำคัญของคนไทยในปี 2568 เพื่อสร้างการรับรู้และร่วมขับเคลื่อนสังคมด้วยข้อมูล (Data-Driven Society)

7 ประเด็นสุขภาพสำคัญในปี 2568

  1. ยิ่งเปราะบาง ยิ่งเดือดร้อน วิกฤตโลกเดือด
    ผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศทำให้ประเทศไทยเผชิญความเสี่ยงอันดับ 9 ของโลก โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบางที่ได้รับผลกระทบมากที่สุด สสส. เน้นสร้างทักษะคนรุ่นใหม่เพื่อลดผลกระทบจากปัญหานี้
  2. ชีวิตอมฝุ่น ตัวเลขผู้ป่วยก้าวกระโดด นโยบายก้าวไม่ทัน
    คุณภาพอากาศของประเทศไทยเฉลี่ยรายปีสูงกว่ามาตรฐานองค์การอนามัยโลกถึง 5 เท่า ส่งผลให้ผู้ป่วยทางเดินหายใจเพิ่มกว่า 11 ล้านคน/ปี สสส. ชวนจับตาร่างกฎหมายอากาศสะอาดที่จะเข้าสภาฯ ในต้นปี 2568
  3. เยียวยาจิตใจ ปรับพฤติกรรมใหม่ เข้าถึงการดูแลได้ทุกคน
    ผู้ป่วยจิตเวชในประเทศไทยเพิ่มขึ้นเป็น 2.9 ล้านคนในปี 2566 โดย สสส. ได้พัฒนานวัตกรรม “ประสบการณ์” เพื่อสร้างความเข้าใจและลดช่องว่างระหว่างวัย
  4. ต่างวัยต่างติดจอ เผชิญปัญหาต่าง กระทบชีวิตไม่แตกต่าง
    คนไทยใช้อินเทอร์เน็ตเฉลี่ย 7.04 ชั่วโมง/วัน แต่ยังมีความรู้เท่าทันภัยออนไลน์ต่ำ ส่งผลให้เกิดปัญหา เช่น การพนันออนไลน์ การคุกคามทางเพศ สสส. จึงผลักดันกลไกเครือข่ายเฝ้าระวังภัยออนไลน์
  5. เด็กอ้วนเพิ่ม ผู้ใหญ่ความดันพุ่ง ทำสุขภาพทรุด เศรษฐกิจโทรม
    เด็กอ้วนมีแนวโน้มป่วยโรค NCDs สูงขึ้น เช่น เบาหวานที่คาดการณ์ว่าจะเพิ่มจาก 4.8 ล้านคนในปี 2566 เป็น 5.3 ล้านคนในปี 2583 สสส. เร่งสร้างความร่วมมือระหว่างภาคีเพื่อลดพฤติกรรมเสี่ยงด้านสุขภาพ
  6. โรคติดต่อจะไม่ติดต่อ เติมความรู้ให้แน่น ก่อนจะเล่นกับความรัก
    ผู้ป่วยโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์เพิ่มขึ้นเป็น 53 คน/แสนประชากรในปี 2566 สสส. พัฒนาเว็บไซต์ www.คุยเรื่องเพศ.com เพื่อให้ความรู้แก่ทุกกลุ่มวัย
  7. การตลาดบุหรี่ไฟฟ้า ภาพหวานเหมือนขนม ซ่อนพิษขมสำหรับเด็ก
    เด็กไทยสูบบุหรี่ไฟฟ้าเพิ่มขึ้นเป็น 9.1% โดยส่วนหนึ่งมาจากการตลาดที่ดึงดูดนักสูบหน้าใหม่ สสส. เน้นผลักดันนโยบายและสร้างความตระหนักถึงอันตรายของบุหรี่ไฟฟ้า

พัฒนานวัตกรรม ThaiHealth Watch

นพ.พงศ์เทพ วงศ์วัชรไพบูลย์ ผู้จัดการกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) กล่าวเปิดงาน จับตาทิศทางสุขภาพคนไทย 2568 (ThaiHealth Watch 2025) ว่า “สสส. ร่วมกับภาคีเครือข่ายขับเคลื่อนสังคมด้วยข้อมูล (Data-Driven Society) พัฒนานวัตกรรม ThaiHealth Watch เพื่อนำเสนอแนวทางลดปัจจัยเสี่ยงสุขภาพที่มีแนวโน้มเกิดขึ้นใหม่ต่อเนื่องเป็นปีที่ 6 โดยรวบรวมองค์ความรู้จากสถานการณ์สุขภาพคนไทย ปี 2567 ประกอบกับความคิดเห็นเรื่องสุขภาพยอดนิยมบนสื่อออนไลน์ และข้อแนะนำทั้งระดับปัจเจกบุคคลและนโยบายต่อสังคม เกิดเป็นประเด็นกระแสสังคม 7 ประเด็น 1.ยิ่งเปราะบาง ยิ่งเดือดร้อน วิกฤตโลกเดือด สำนักบริการด้านสภาพแวดล้อมของสหภาพยุโรป พบปี 2566 เป็นปีที่โลกมีอุณหภูมิร้อนที่สุด โลกร้อนขึ้นทำให้เกิดความเสี่ยงต่อความหลากหลายทางระบบนิเวศ ระบบสิ่งแวดล้อม และสุขภาพ ไทยเสี่ยงจากผลกระทบสภาพภูมิอากาศเป็นอันดับ 9 ของโลก โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบางคือกลุ่มเสี่ยงที่สุด สสส. จึงร่วมกับภาคีเครือข่าย สร้างทักษะคนรุ่นใหม่สามาร

พ.พงศ์เทพ กล่าวต่อว่า 2.ชีวิตอมฝุ่น ตัวเลขผู้ป่วยก้าวกระโดด นโยบายก้าวไม่ทัน รายงานคุณภาพอากาศปี 2566 พบไทยมีมลพิษมากเป็นอันดับที่ 36 ของโลก เฉลี่ยรายปีอยู่ที่ 23.3 มคก./ลบ.ม. มากกว่าค่าเฉลี่ยรายปีที่องค์การอนามัยโลกกำหนดถึงเกือบ 5 เท่า โดยเฉพาะคนกรุงเทพฯ ได้รับผลกระทบเทียบเท่ากับสูบบุหรี่ 1,224 มวน ส่งผลให้มีผู้ป่วยทางเดินหายใจกว่า 11 ล้านคนต่อปี สสส. ชวนจับตาร่าง พ.ร.บ.บริหารจัดการเพื่ออากาศสะอาด พ.ศ. … ที่จะเข้าสู่การพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎรในวาระที่ 2-3 ในต้นปี 2568 3.เยียวยาจิตใจ ปรับพฤติกรรมใหม่ เข้าถึงการดูแลได้ทุกคน พบผู้ป่วยจิตเวชเพิ่มขึ้นจาก 1.3 ล้านคนในปี 2558 เป็น 2.9 ล้านคน ในปี 2566 สสส. ร่วมกับภาคีพัฒนานวัตกรรมดูแลสุขภาพจิต ภายใต้โครงการ “ประสบการณ์” เพื่อลดช่องว่างและทัศนคติระหว่างวัย 4.ต่างวัยต่างติดจอ เผชิญปัญหาต่าง กระทบชีวิตไม่แตกต่าง พฤติกรรมของผู้ใช้อินเทอร์เน็ตในประเทศไทย 2565 โดยสำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ พบคนไทยใช้อินเทอร์เน็ต 7.04 ชม./วัน แต่กลับมีความรู้ด้านการป้องกันภัยออนไลน์ต่ำ ส่งผลให้เสพติดพนันออนไลน์ โดนกลั่นแกล้ง คุกคามทางเพศ สสส. ได้ผลักดันกลไกเครือข่ายสร้างทักษะรู้เท่าทันสื่อทุกกลุ่มวัย เพื่อเฝ้าระวังและลดภัยออนไลน์ทุกรูปแบบ

1 ในสิ่งสำคัญที่ สสส. มุ่งเน้นการขับเคลื่อน

          น.ส.สุพัฒนุช สอนดำริห์ ผู้อำนวยการอาวุโส สำนักสื่อสารการตลาดเพื่อสังคม สสส. กล่าวว่า ปัจจัยที่เป็นตัวแปรสำคัญส่งผลให้การลดโรค NCDs ทำได้ยาก คือ 1.นวัตกรรม ที่สร้างการเปลี่ยนแปลงสังคม และพฤติกรรมของคน เช่น การสั่งอาหารเดลิเวอรี่ อาหารแปรรูป 2.การตลาดที่กระตุ้นการบริโภค 3.บุหรี่ไฟฟ้าและกัญชา เข้าถึงได้ง่าย 4.ปัญหาสิ่งแวดล้อม เช่น มลพิษทางอากาศ PM2.5 ทำให้ออกกำลังกายนอกอาคารไม่ได้ 5.ปัญหาความเครียด สุขภาพจิต 6.รางวัลที่ให้ตัวเอง ส่วนใหญ่เป็นเรื่องของการกินเกินพอดี

    “1 ในสิ่งสำคัญที่ สสส. มุ่งเน้นการขับเคลื่อนงานป้องกันและลดอัตราป่วยด้วยโรค NCDs สื่อสารรณรงค์ให้ความรู้ จุดประกายการเปลี่ยนแปลง เช่น สสส. ขับเคลื่อนเรื่องเหล้าในกลุ่มผู้หญิง เหล้ามีผลต่อมะเร็งเต้านม ทำให้อัตราการดื่มในกลุ่มผู้หญิงลดลง หรือกรณีบุหรี่ไฟฟ้า เรื่องไอบุหรี่เกาะปอดไม่สามารถล้างไม่ได้ รวมถึงจุดประกายการตั้งเป้าหมายที่สามารถทำได้ง่าย เช่น แคมเปญ “ไขมันเริ่มสลายเมื่อออกกำลังกายอย่างน้อย 10 นาที” สร้างกระแสสังคมเพื่อปรับพฤติกรรมเสี่ยง เรื่องงดเหล้าเข้าพรรษา” น.ส.สุพัฒนุช กล่าว

มุ่งแก้ปัญหาสุขภาพจิตในวัยทำงาน

ดร.เจนนิเฟอร์ ชวโนวานิช รองคณบดี คณะจิตวิทยา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า ปี 2566 คนไทยมีอัตราการฆ่าตัวตาย 7.9 คนต่อประชากรแสนคน และยังมีแนวโน้มมากขึ้นทุกปี แต่บุคลากรด้านสุขภาพจิตกลับเป็นสาขาที่มีจำนวนจำกัด มีจิตแพทย์ 1,000 คน นักจิตวิทยา 1,000 คน ซึ่งการจะเพิ่มบุคลากรด้านสุขภาพจิตให้เพียงพอต้องใช้เวลาถึง 5-10 ปี กระทรวงสาธารณสุขคาดการณ์ว่า 10 ปีข้างหน้า สุขภาพจิตจะกลายเป็นปัญหาด้านสุขภาพที่ทำให้เกิดการสูญเสียเป็นอันดับ 1 ของโรคไม่ติดต่อทั้งหมด ซึ่งกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูง คือ กลุ่มวัยทำงาน พบมีความเครียดในการทำงาน 42.7% ในจำนวนนี้มีภาวการณ์ฝืนทำงานแม้มีปัญหาสุขภาพจิต 27.5% การรักษาในโรงพยาบาลจึงอาจไม่ตอบโจทย์การแก้ไขปัญหาสุขภาพจิต

 

   “แนวทางการสร้างนโยบายการส่งเสริมสุขภาวะทางจิตที่ดีในการทำงาน 6 เรื่อง 1.เพิ่มสวัสดิการด้านการรักษาสุขภาพกายและใจ 2.อบรมให้ความรู้และจัดกิจกรรมที่ส่งเสริมสุขภาพกายและจิตใจ 3.เพิ่มสวัสดิการการลา 4.ส่งเสริมการพูดคุยสื่อสารและรับฟังปัญหา 5.สร้างบรรยากาศและวัฒนธรรมที่ดีในองค์กร 6.เพิ่มสวัสดิการทางการเงิน ช่วยให้พนักงานเข้าถึงการได้รับบริการหรือการส่งเสริมสุขภาพจิตและสุขภาพใจ” ดร.เจนนิเฟอร์ กล่าว

เป้าหมายของ ThaiHealth Watch 2025

“ThaiHealth Watch 2025” จะเป็นเครื่องมือสำคัญกระตุ้นสังคมให้พร้อมรับมือกับสถานการณ์ในอนาคต สร้างความเท่าเทียมในการเข้าถึงนวัตกรรมสุขภาพ เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนทุกคน

ติดตามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ https://resourcecenter.thaihealth.or.th/healthtrend หรือรับข้อมูลเฉพาะบุคคลได้ผ่านแอปพลิเคชัน “Persona Health”

“สุขภาพดีเริ่มได้ที่ตัวเรา” นพ.พงศ์เทพ กล่าวทิ้งท้าย

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) 

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News