Categories
SOCIETY & POLITICS

พายุ “วิภา” จ่อเชียงราย! ผู้ว่าฯ นำทัพตรวจน้ำ มทบ.37 เตรียมพร้อมรับมือ 24 ชม.

เชียงรายเฝ้าระวังน้ำ “วิภา” ไม่ประมาท! ผู้ว่าฯ ลงพื้นที่แม่น้ำกก-อิง ยันระดับน้ำลด – มทบ.37 เตรียมกำลังพลพร้อมรับมือ 24 ชั่วโมง

เชียงราย, 18 กรกฎาคม 2568 – ติดตามสถานการณ์อย่างเข้มข้นรับมือพายุ “วิภา” ฝนหนักกลางเดือนกรกฎาคม จังหวัดเชียงรายยังคงเดินหน้าติดตามสถานการณ์น้ำอย่างต่อเนื่อง หลังจากที่กรมอุตุนิยมวิทยาออกประกาศเตือนอิทธิพลของพายุโซนร้อน “วิภา” ซึ่งคาดว่าจะส่งผลกระทบให้ภาคเหนือมีฝนตกหนักระลอกใหม่ โดยเฉพาะในช่วงกลางเดือนกรกฎาคม 2568 ที่สถานการณ์น้ำเป็นสิ่งที่ต้องจับตามองเป็นพิเศษ เพราะเชียงรายมีแม่น้ำสายหลักหลายสายไหลผ่านใจกลางเมือง และเคยประสบเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่ในอดีต

ในภาวะเสี่ยงนี้ นายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย จึงนำคณะเจ้าหน้าที่ลงพื้นที่สำรวจและติดตามระดับน้ำในแม่น้ำกกและแม่น้ำอิงด้วยตนเอง เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับประชาชนว่ารัฐบาลจังหวัดไม่ประมาทและเตรียมพร้อมอย่างเต็มที่ ขณะที่ มณฑลทหารบกที่ 37 หรือ มทบ.37 ได้สั่งตรวจความพร้อมกำลังพลและยุทโธปกรณ์ สนับสนุนการบรรเทาสาธารณภัยตลอด 24 ชั่วโมง

แม่น้ำกก ระดับน้ำลดต่อเนื่อง สัญญาณบวกต่อเมืองเชียงราย

เมื่อเวลา 13.00 น. วันที่ 18 กรกฎาคม 2568 นายชรินทร์ ทองสุข พร้อมด้วยนายทวีชัย โค้วตระกูล ผู้อำนวยการโครงการชลประทานเชียงราย และเจ้าหน้าที่สำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดเชียงราย ได้ร่วมลงพื้นที่ตรวจสอบสถานการณ์ระดับน้ำในแม่น้ำกก บริเวณใต้สะพานขัวพญามังราย เขตเทศบาลนครเชียงราย ซึ่งเป็นหนึ่งในจุดยุทธศาสตร์สำคัญของระบบเฝ้าระวังน้ำหลาก

จากการตรวจสอบพบว่า ระดับน้ำแม่น้ำกกยังคงลดลงอย่างต่อเนื่อง โดยที่สถานีสะพานพ่อขุนเม็งราย ต.แม่ยาว อ.เมืองเชียงราย ระดับน้ำวัดได้ 4.72 เมตร (ณ เวลา 12.00 น.) ต่ำกว่าเกณฑ์วิกฤติที่ 5.50 เมตร ส่วนที่สถานีสะพานขัวพญามังราย (ชุมชนบ้านใหม่) ต.ริมกก วัดได้ 3.30 เมตร ต่ำกว่าเกณฑ์วิกฤติที่ 5.00 เมตร เช่นกัน

นายชรินทร์ ทองสุข เปิดเผยว่า “จังหวัดเชียงรายได้ติดตามสถานการณ์น้ำอย่างใกล้ชิดและมีการประชุมร่วมทุกวัน พร้อมกับแจ้งเตือนประชาชนในพื้นที่เสี่ยง โดยเฉพาะริมแม่น้ำกกให้เฝ้าระวัง แต่ไม่ควรตื่นตระหนก และขอให้ติดตามข้อมูลจากทางราชการเป็นหลัก”

ด้านนายทวีชัย โค้วตระกูล ผู้อำนวยการโครงการชลประทานเชียงราย ระบุว่า ขณะนี้ได้เปิดบานประตูระบายน้ำทั้ง 11 บานเต็มที่ และใช้ระบบติดตามน้ำ 24 ชั่วโมง หากพบว่าน้ำจากต้นน้ำ (อำเภอแม่อาย) มีปริมาณมากขึ้น จะสามารถคำนวณเวลาและแจ้งเตือนล่วงหน้าได้ทัน (ประมาณ 10–12 ชั่วโมงถึงตัวเมืองเชียงราย)

นอกจากนี้ ยังได้ดำเนินการขุดลอกลำน้ำกกในจุดวิกฤติ เพื่อขจัดเนินทรายที่ขวางทางน้ำ ทำให้การไหลของน้ำในช่วงสะพานฮ่องอ้อถึงหาดเชียงรายคล่องตัวมากขึ้น ลดความเสี่ยงจากน้ำล้นตลิ่งในพื้นที่ลุ่มต่ำ ช่วยเพิ่มความมั่นใจในการป้องกันน้ำท่วม

แม่น้ำอิง ระดับน้ำยังต่ำกว่าค่าวิกฤติ แต่คงเฝ้าระวังอย่างเข้มข้น

ในช่วงบ่ายวันเดียวกัน นายชรินทร์ ทองสุข พร้อมคณะ ได้ออกตรวจติดตามสถานการณ์น้ำในแม่น้ำอิง เขตอำเภอเทิง โดยลงพื้นที่สถานีเตือนภัยบ้านสันทรายงาม ตำบลสันทรายงาม อำเภอเทิง ซึ่งเป็นหนึ่งในพื้นที่เฝ้าระวังสำคัญ

จากการตรวจวัดระดับน้ำในแม่น้ำอิง พบว่าอยู่ที่ 8.462 เมตร ซึ่งต่ำกว่าระดับวิกฤติ แต่ยังต้องจับตาอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะในช่วงวันที่ 19-24 กรกฎาคม ที่กรมอุตุนิยมวิทยาคาดการณ์ว่าจะมีฝนตกหนักจากอิทธิพลของพายุ “วิภา” ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงรายจึงสั่งการให้เจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน และผู้นำองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นร่วมมือกันเฝ้าระวัง พร้อมเตรียมความพร้อมอุปกรณ์และบุคลากรสำหรับให้ความช่วยเหลือทันทีหากเกิดสถานการณ์ฉุกเฉิน

มณฑลทหารบกที่ 37 ปลุกศักยภาพ “บรรเทาสาธารณภัย” เตรียมเคลื่อนกำลังภายใน 1 ชั่วโมง

ในช่วงบ่ายวันเดียวกัน ที่กองบัญชาการมณฑลทหารบกที่ 37 ค่ายเม็งรายมหาราช พลตรี จักรวีร์ เสนีย์วรยุทธ์ ผู้บัญชาการมทบ.37 ได้สั่งตรวจความพร้อมของชุดปฏิบัติการบรรเทาสาธารณภัย นำโดยพันเอก บุรฉัตร ภูนาเมือง หัวหน้าฝ่ายกิจการพลเรือน ซึ่งประกอบด้วยเจ้าหน้าที่ 36 นาย จากหลายหน่วยงาน เช่น โรงพยาบาลค่ายเม็งรายมหาราช กองร้อยทหารสารวัตร และแผนกยุทธโยธา พร้อมยานพาหนะปฏิบัติการ 5 คัน

การตรวจความพร้อมในครั้งนี้ เพื่อให้แน่ใจว่าหากได้รับคำสั่ง หน่วยจะสามารถเคลื่อนย้ายกำลังพล ยานพาหนะ และยุทโธปกรณ์ไปช่วยเหลือประชาชนได้ภายใน 1 ชั่วโมง พลตรี จักรวีร์ เน้นย้ำว่า “กำลังพลทุกนายต้องคำนึงถึงความปลอดภัยในการปฏิบัติงาน พร้อมสนับสนุนการบูรณาการทำงานกับจังหวัดและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องตลอด 24 ชั่วโมง”

เชียงราย “ไม่ประมาท” บูรณาการทุกภาคส่วน รับมือสถานการณ์น้ำ

เหตุการณ์ครั้งนี้ชี้ให้เห็นถึงความพร้อมและความเข้มแข็งของจังหวัดเชียงราย ในการบริหารจัดการภัยพิบัติและตอบสนองต่อสถานการณ์ฉุกเฉินในยุคที่สภาพอากาศเปลี่ยนแปลงบ่อยขึ้นอย่างรวดเร็ว
จุดแข็งที่เห็นได้ชัด ได้แก่

  • การติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด: ผู้ว่าราชการจังหวัดลงพื้นที่ตรวจสอบด้วยตนเองและประชุมร่วมกับหน่วยงานต่างๆ อย่างต่อเนื่อง
  • การบริหารจัดการน้ำ: โครงการชลประทานใช้วิธีบริหารประตูระบายน้ำ ขุดลอกแม่น้ำ และใช้ระบบเตือนภัยแบบเรียลไทม์
  • การสื่อสารกับประชาชน: มีการแจ้งเตือนผ่านสื่อท้องถิ่น และเน้นย้ำให้ประชาชนไม่ตื่นตระหนกแต่ควรเตรียมพร้อม
  • ความพร้อมของหน่วยทหาร: มทบ.37 สามารถระดมกำลังเข้าช่วยเหลือภายในเวลา 1 ชั่วโมงหลังรับแจ้ง
  • การประสานงานทุกภาคส่วน: จากฝ่ายจังหวัด ชลประทาน ปภ. กำนัน-ผู้ใหญ่บ้าน จนถึงกองทัพ สะท้อนความเข้าใจในบทเรียนอดีต และมุ่งเน้นการป้องกันมากกว่าการเยียวยา

ข้อควรจับตา:

  • การเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศที่คาดเดาได้ยาก อาจเปลี่ยนสถานการณ์ได้อย่างรวดเร็ว
  • พื้นที่เสี่ยงน้ำป่า ดินถล่ม และลุ่มต่ำริมแม่น้ำยังคงต้องเฝ้าระวัง
  • การนำข้อมูลและเทคโนโลยีใหม่ๆ มาพัฒนา “ระบบแจ้งเตือนภัยล่วงหน้า” ให้มีประสิทธิภาพสูงสุด

บทเรียนจากอดีตคือการ “ไม่ประมาท” และการบูรณาการทุกภาคส่วนอย่างมีแผนงาน จะเป็นหัวใจสำคัญในการปกป้องชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนเชียงรายอย่างแท้จริง

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
  • สำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดเชียงราย
  • โครงการชลประทานเชียงราย
  • ส่วนอุทกวิทยาที่ 2 เชียงราย สำนักงานทรัพยากรน้ำที่ 1 กรมทรัพยากรน้ำ
  • มณฑลทหารบกที่ 37
  • กรมอุตุนิยมวิทยา
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI TOP STORIES

ไทม์ไลน์ระบุเงินช่วย ‘ค่าล้างโคลน’ “เชียงราย” รับเงินก่อน 10 เม.ย. นี้

จังหวัดเชียงรายเร่งจัดสรรเงินทดรองราชการช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วม ปี 2568

เชียงราย, 21 มีนาคม 2568 – จังหวัดเชียงรายได้ดำเนินการจัดสรรเงินทดรองราชการเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยจากเหตุอุทกภัยในพื้นที่อำเภอแม่สายและอำเภอเมืองเชียงราย ตามระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยเงินทดรองราชการเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน พ.ศ. 2562 โดยมีวงเงินรวมทั้งสิ้น 292,147,249 บาท แบ่งเป็นเงินช่วยเหลือสำหรับอำเภอแม่สาย จำนวน 134,776,273 บาท และอำเภอเมืองเชียงราย จำนวน 157,770,976 บาท การจัดสรรครั้งนี้เกิดขึ้นตามคำสั่งด่วนจากนายประเสริฐ จิตต์พลีชีพ รองผู้ว่าราชการจังหวัด รักษาราชการแทนผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย ซึ่งได้ลงนามในหนังสือด่วนที่สุด ที่ ชร 0021/ว 749 ลงวันที่ 20 มีนาคม 2568 เพื่อให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยอย่างทันท่วงที

การจัดสรรเงินทดรองราชการครั้งนี้มีเป้าหมายเพื่อสนับสนุนการฟื้นฟูชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วม โดยครอบคลุมค่าใช้จ่ายด้านการดำรงชีพตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดในระเบียบกระทรวงการคลัง พ.ศ. 2563 รวมถึงค่าใช้จ่ายในการล้างทำความสะอาดดินโคลนและซากวัสดุบริเวณที่อยู่อาศัยของผู้ประสบภัยที่เป็นเจ้าของบ้าน โดยกำหนดวงเงินช่วยเหลือครัวเรือนละ 10,000 บาท เงินจำนวนนี้เป็นส่วนหนึ่งของวงเงินขยายเพิ่มเติม 300 ล้านบาท ซึ่งได้รับการอนุมัติตามระเบียบกระทรวงการคลัง ข้อ 8 (8) และข้อ 8 วรรคสอง เพื่อให้การช่วยเหลือเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและครอบคลุมความเสียหายที่เกิดขึ้น

ความเป็นมาของการจัดสรรเงินช่วยเหลือ

เหตุอุทกภัยในจังหวัดเชียงรายเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วงฤดูฝนของปี 2567 โดยเฉพาะในพื้นที่อำเภอแม่สายและอำเภอเมืองเชียงราย ซึ่งเป็นเขตที่มีความเสี่ยงสูงต่อน้ำท่วมเนื่องจากตั้งอยู่ใกล้ลุ่มน้ำสำคัญ เช่น แม่น้ำโขงและแม่น้ำสายอื่น ๆ ที่ไหลผ่านจังหวัด ความเสียหายที่เกิดขึ้นไม่เพียงแต่ส่งผลกระทบต่อบ้านเรือนประชาชนเท่านั้น แต่ยังรวมถึงโครงสร้างพื้นฐานสาธารณะ เช่น ถนน ระบบระบายน้ำ และสถานที่ราชการบางแห่งด้วย อำเภอแม่สายและอำเภอเมืองเชียงรายได้ยื่นขอรับการสนับสนุนงบประมาณเพิ่มเติมจากจังหวัดเชียงราย ตามหนังสือด่วนที่สุดจากอำเภอแม่สาย ที่ ชร 1018.3/1105 และ ชร 1018.3/1106 รวมถึงจากอำเภอเมืองเชียงราย ที่ ชร 0118.3/1460 ลงวันที่ 20 มีนาคม 2568 เพื่อนำไปใช้ในการช่วยเหลือประชาชนที่เดือดร้อน

จากการสำรวจเบื้องต้น พบว่ามีครัวเรือนจำนวนมากในทั้งสองอำเภอที่ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วม โดยเฉพาะในพื้นที่ลุ่มต่ำและบริเวณใกล้แหล่งน้ำ ซึ่งดินโคลนและซากวัสดุที่ถูกน้ำพัดพามาได้สร้างความเสียหายต่อที่อยู่อาศัยและทรัพย์สินของประชาชน ด้วยเหตุนี้ จังหวัดเชียงรายจึงได้เร่งดำเนินการจัดสรรเงินทดรองราชการเพื่อให้ความช่วยเหลืออย่างเร่งด่วน โดยมอบหมายให้นายอำเภอทั้งสองอำเภอดำเนินการตามขั้นตอนที่กำหนด

รายละเอียดการจัดสรรและขั้นตอนการเบิกจ่าย

ตามหนังสือที่ส่งถึงนายอำเภอแม่สายและนายอำเภอเมืองเชียงราย จังหวัดเชียงรายได้กำหนดให้มีการจัดส่งเอกสารที่เกี่ยวข้องกับการจ่ายเงินทดรองราชการ เช่น ใบสำคัญรับเงินและรายงานการใช้จ่าย ไปยังสำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดเชียงราย (ปภ.จ.เชียงราย) ภายใน 15 วันนับจากวันที่ได้รับเงินจากคลังจังหวัด เพื่อให้สามารถติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายได้อย่างโปร่งใส นอกจากนี้ ยังขอให้ทั้งสองอำเภอรายงานผลการใช้จ่ายเงินดังกล่าวกลับมาที่จังหวัด เพื่อประเมินผลกระทบและความครอบคลุมของการช่วยเหลือ

วงเงินที่จัดสรรทั้งหมด 292,147,249 บาท ถือเป็นส่วนหนึ่งของงบประมาณขยายเพิ่มเติม 300 ล้านบาท ซึ่งได้รับการอนุมัติเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยในกรณีฉุกเฉิน โดยเงินจำนวนนี้จะถูกนำไปใช้ตามหลักเกณฑ์ที่ระบุในระเบียบกระทรวงการคลัง พ.ศ. 2563 ซึ่งครอบคลุมหมวดหมู่ต่าง ๆ เช่น การช่วยเหลือด้านการดำรงชีพ (ข้อ 5.1.4 ถึง 5.1.16) และการอนุมัติการปฏิบัติที่นอกเหนือจากหลักเกณฑ์ในกรณีจำเป็น โดยเฉพาะการล้างทำความสะอาดดินโคลนและซากวัสดุ ซึ่งเป็นปัญหาเร่งด่วนที่ประชาชนในพื้นที่เผชิญอยู่

แผนการเบิกจ่ายเงินช่วยเหลือ

เพื่อให้การช่วยเหลือถึงมือผู้ประสบภัยได้อย่างรวดเร็ว จังหวัดเชียงรายได้กำหนดกรอบระยะเวลาการเบิกจ่ายเงินทดรองราชการ โดยคาดการณ์ว่าจะใช้เวลา 13 วันทำการ (ไม่รวมวันหยุดราชการ) ดังนี้

  • 20 มีนาคม 2568: ประชุมคณะกรรมการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติจังหวัดเชียงราย (กชภจ.) เพื่อพิจารณาแผนการช่วยเหลือ
  • 21 มีนาคม 2568: ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงรายอนุมัติการจัดสรรเงินให้อำเภอแม่สายและอำเภอเมืองเชียงราย
  • 22-24 มีนาคม 2568: สำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดเชียงราย (ปภ.จ.เชียงราย) เสนอขออนุมัติเงินยืมจากคลังจังหวัด
  • 24-25 มีนาคม 2568: ผู้ว่าราชการจังหวัดอนุมัติเงินยืมให้ทั้งสองอำเภอ
  • 26-27 มีนาคม 2568: ปภ.จ.เชียงรายดำเนินการเบิกเงินและโอนให้อำเภอ
  • 27-28 มีนาคม 2568: อำเภอรับเงินยืมจากจังหวัด
  • 29 มีนาคม – 10 เมษายน 2568: อำเภอเริ่มจ่ายเงินช่วยเหลือให้ผู้ประสบภัยตามรายชื่อที่ได้รับการสำรวจและอนุมัติ

กรอบระยะเวลานี้แสดงถึงความพยายามของจังหวัดในการเร่งรัดกระบวนการเพื่อให้ประชาชนได้รับเงินช่วยเหลือโดยเร็วที่สุด อย่างไรก็ตาม หากความเสียหายในพื้นที่มีมูลค่าเกินกว่าวงเงินที่จัดสรร อำเภอสามารถยื่นขอรับการสนับสนุนเพิ่มเติมจากจังหวัดได้ตามความจำเป็น

ความสำคัญของการช่วยเหลือครั้งนี้

เหตุอุทกภัยในจังหวัดเชียงรายไม่ใช่เรื่องใหม่ เนื่องจากจังหวัดนี้ตั้งอยู่ในภูมิภาคที่มีความเสี่ยงต่อภัยพิบัติทางธรรมชาติ โดยเฉพาะน้ำท่วมและน้ำป่าไหลหลากในช่วงฤดูฝน การช่วยเหลือผู้ประสบภัยในครั้งนี้จึงมีจุดมุ่งหมายเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนในระยะสั้น และฟื้นฟูคุณภาพชีวิตของประชาชนให้กลับสู่ภาวะปกติโดยเร็ว เงินช่วยเหลือครัวเรือนละ 10,000 บาทสำหรับการล้างดินโคลนและซากวัสดุ ถือเป็นมาตรการที่ตอบโจทย์ความต้องการพื้นฐานของผู้ประสบภัย ซึ่งส่วนใหญ่ต้องเผชิญกับบ้านเรือนที่เต็มไปด้วยโคลนและสิ่งสกปรกหลังน้ำลด

นอกจากนี้ การจัดสรรเงินทดรองราชการยังสะท้อนถึงความพยายามของรัฐบาลในการบริหารจัดการภัยพิบัติอย่างเป็นระบบ ตามที่ระบุในระเบียบกระทรวงการคลัง ซึ่งกำหนดให้การช่วยเหลือต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่ชัดเจนและตรวจสอบได้ เพื่อป้องกันการใช้จ่ายที่ไม่เหมาะสมและให้ความช่วยเหลือถึงมือผู้เดือดร้อนอย่างแท้จริง

บริบทของน้ำท่วมในประเทศไทยและจังหวัดเชียงราย

น้ำท่วมเป็นภัยพิบัติที่เกิดขึ้นซ้ำซากในประเทศไทย โดยเฉพาะในช่วงฤดูฝนระหว่างเดือนมิถุนายนถึงตุลาคมของทุกปี เหตุการณ์น้ำท่วมครั้งใหญ่ในปี 2554 ซึ่งส่งผลกระทบต่อ 65 จังหวัด และสร้างความเสียหายมูลค่ากว่า 1.43 ล้านล้านบาท ได้กลายเป็นจุดเปลี่ยนที่ทำให้รัฐบาลตระหนักถึงความสำคัญของการบริหารจัดการน้ำอย่างเป็นระบบ ส่งผลให้มีการออกพระราชบัญญัติทรัพยากรน้ำ พ.ศ. 2561 และจัดทำแผนแม่บทการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำของประเทศ (พ.ศ. 2561-2580) เพื่อกำหนดแนวทางการป้องกันและแก้ไขปัญหาน้ำท่วมในระยะยาว

สำหรับจังหวัดเชียงราย อุทกภัยในปี 2567 ได้สร้างความเสียหายอย่างหนักในหลายพื้นที่ โดยเฉพาะอำเภอแม่สาย ซึ่งเป็นจุดที่มีชายแดนติดกับประเทศเมียนมา และมักเผชิญกับน้ำท่วมจากแม่น้ำสายและแม่น้ำโขงที่เอ่อล้น รวมถึงอำเภอเมืองเชียงราย ซึ่งเป็นศูนย์กลางการปกครองและเศรษฐกิจของจังหวัด การที่ทั้งสองอำเภอนี้ได้รับเงินช่วยเหลือจำนวนมาก แสดงถึงความรุนแรงของความเสียหายที่เกิดขึ้น และความจำเป็นในการฟื้นฟูอย่างเร่งด่วน

การบริหารจัดการงบประมาณน้ำท่วมในอดีต

หากย้อนดูงบประมาณที่เกี่ยวข้องกับการจัดการน้ำท่วมในประเทศไทย จะพบว่ารัฐบาลได้จัดสรรเงินจำนวนมหาศาลเพื่อรับมือกับภัยพิบัตินี้ ในปีงบประมาณ 2566 ซึ่งเป็นปีล่าสุดที่มีข้อมูลครบถ้วน งบประมาณทั้งหมดของประเทศอยู่ที่ 3.185 ล้านล้านบาท โดยมีงบประมาณที่เกี่ยวข้องกับน้ำท่วมรวม 53,377.55 ล้านบาท คิดเป็นประมาณ 1.68% ของงบประมาณทั้งหมด งบประมาณส่วนใหญ่ถูกใช้ไปกับการก่อสร้างโครงสร้างป้องกันน้ำท่วม เช่น เขื่อนป้องกันตลิ่ง (19,821.42 ล้านบาท) ระบบระบายน้ำและประตูระบายน้ำ (6,899.69 ล้านบาท) และฝายต่าง ๆ (5,441.61 ล้านบาท) ซึ่งดำเนินการโดยกระทรวงมหาดไทยและกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เป็นหลัก

นอกจากนี้ ยังมีงบกลางที่ถูกนำมาใช้ในกรณีฉุกเฉิน โดยในช่วงปี 2560-2566 มีการอนุมัติงบกลางเพื่อน้ำท่วมรวม 97,832.80 ล้านบาท โดยปี 2566 เป็นปีที่มีการเบิกจ่ายสูงเป็นอันดับ 3 ซึ่งส่วนใหญ่ถูกใช้ไปกับการก่อสร้างและซ่อมแซมโครงสร้างพื้นฐาน (8,171.60 ล้านบาท) การช่วยเหลือผู้ประสบภัย (6,258.54 ล้านบาท) และการฟื้นฟูถนนที่เสียหาย (3,786.55 ล้านบาท) การจัดสรรเงินทดรองราชการในครั้งนี้จึงสอดคล้องกับแนวทางการบริหารจัดการภัยพิบัติของรัฐบาลที่ผ่านมา ซึ่งเน้นทั้งการป้องกันและการเยียวยา

ความท้าทายและข้อกังวล

ถึงแม้ว่าการจัดสรรเงินทดรองราชการครั้งนี้จะเป็นการตอบสนองต่อความเดือดร้อนของประชาชนอย่างทันท่วงที แต่ก็ยังมีความท้าทายหลายประการที่อาจส่งผลต่อประสิทธิภาพของการช่วยเหลือ หนึ่งในนั้นคือความล่าช้าในกระบวนการเบิกจ่าย ซึ่งอาจเกิดจากขั้นตอนการตรวจสอบเอกสารหรือการประสานงานระหว่างหน่วยงานต่าง ๆ แม้ว่าจะมีการกำหนดกรอบระยะเวลา 13 วันทำการ แต่หากเกิดปัญหาในทางปฏิบัติ เช่น การขาดแคลนบุคลากรหรือความล่าช้าในการสำรวจผู้ประสบภัย อาจทำให้เงินถึงมือประชาชนช้ากว่าที่คาดการณ์ไว้

อีกประเด็นหนึ่งคือความเพียงพอของวงเงินช่วยเหลือ เงินครัวเรือนละ 10,000 บาทอาจเพียงพอสำหรับการล้างดินโคลนและซากวัสดุในบางครัวเรือน แต่สำหรับบ้านที่มีความเสียหายหนักหรือมีพื้นที่กว้างขวาง อาจไม่เพียงพอต่อการฟื้นฟูทั้งหมด ผู้ประสบภัยบางรายอาจต้องใช้เงินส่วนตัวเพิ่มเติม ซึ่งอาจสร้างภาระให้กับครัวเรือนที่มีรายได้น้อยอยู่แล้ว

ทัศนคติเป็นกลาง: มุมมองทั้งสองฝั่ง

จากมุมมองของผู้สนับสนุนการจัดสรรเงินทดรองราชการ การดำเนินการครั้งนี้แสดงถึงความรับผิดชอบของรัฐบาลในการดูแลประชาชนในยามวิกฤต การกำหนดวงเงินช่วยเหลือครัวเรือนละ 10,000 บาท และการจัดสรรเงินเกือบ 300 ล้านบาทให้สองอำเภอที่ได้รับผลกระทบหนัก เป็นหลักฐานถึงความพยายามในการแก้ไขปัญหาอย่างเร่งด่วน นอกจากนี้ การกำหนดกรอบระยะเวลาและขั้นตอนที่ชัดเจนยังช่วยเพิ่มความโปร่งใสและลดความเสี่ยงต่อการทุจริต ผู้ที่เห็นด้วยอาจมองว่านี่เป็นจุดเริ่มต้นที่ดีในการฟื้นฟู และหากวงเงินไม่เพียงพอ อำเภอยังสามารถขอรับการสนับสนุนเพิ่มเติมได้ ซึ่งแสดงถึงความยืดหยุ่นของระบบ

ในทางกลับกัน ผู้ที่วิพากษ์วิจารณ์อาจมองว่าการช่วยเหลือครั้งนี้เป็นเพียงการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ โดยไม่มีการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานหรือระบบป้องกันน้ำท่วมที่มีประสิทธิภาพในระยะยาว เงิน 10,000 บาทต่อครัวเรือนอาจดูเหมือนเป็นจำนวนที่น้อยเมื่อเทียบกับความเสียหายที่เกิดขึ้นจริง และการที่ต้องรอถึงวันที่ 29 มีนาคมถึง 10 เมษายน 2568 กว่าผู้ประสบภัยจะได้รับเงิน อาจช้าเกินไปสำหรับบางครอบครัวที่ต้องการความช่วยเหลือทันที นอกจากนี้ การที่งบประมาณส่วนใหญ่ในอดีตถูกใช้ไปกับการก่อสร้างมากกว่าการพัฒนาระบบเตือนภัยหรือการจัดการน้ำอย่างยั่งยืน อาจทำให้เกิดคำถามถึงประสิทธิภาพของนโยบายการจัดการน้ำท่วมโดยรวมของรัฐบาล

ทั้งสองมุมมองมีเหตุผลในตัวเอง การช่วยเหลือฉุกเฉินเป็นสิ่งจำเป็นและควรได้รับการชื่นชมในแง่ของความรวดเร็วในการตอบสนอง แต่การป้องกันภัยพิบัติในอนาคตและการแก้ไขปัญหาที่ต้นเหตุก็มีความสำคัญไม่แพ้กัน การสร้างสมดุลระหว่างการเยียวยาระยะสั้นและการลงทุนระยะยาวจึงเป็นสิ่งที่จังหวัดเชียงรายและรัฐบาลต้องพิจารณาต่อไป

สถิติที่เกี่ยวข้อง

จากข้อมูลของสำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ (ปภ.) และสำนักงบประมาณ:

  • ปี 2567: อุทกภัยในประเทศไทยระหว่างวันที่ 4 สิงหาคม – 2 กันยายน 2567 ส่งผลให้มีพื้นที่น้ำท่วมรวม 1,231,323 ไร่ ครอบคลุม 11 จังหวัด และมีผู้ได้รับผลกระทบ 241,875 ครัวเรือน (ที่มา: ระบบสนับสนุนการตัดสินใจเพื่อการบริหารจัดการพื้นที่น้ำท่วม, GISTDA)
  • ปี 2566: งบประมาณที่เกี่ยวข้องกับน้ำท่วมทั้งหมด 53,377.55 ล้านบาท โดยงบก่อสร้างเขื่อนป้องกันตลิ่งสูงสุดที่ 19,821.42 ล้านบาท คิดเป็น 37.13% ของงบน้ำท่วมทั้งหมด (ที่มา: รายงานงบประมาณลงพื้นที่จังหวัด ปีงบประมาณ 2566, สำนักงบประมาณ)
  • ปี 2554: มหาอุทกภัยสร้างความเสียหายมูลค่า 1.43 ล้านล้านบาท พื้นที่เกษตรกรรมเสียหาย 11,798,241 ไร่ และกระทบประชาชนกว่า 13 ล้านคน (ที่มา: กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย)

สถิติเหล่านี้สะท้อนถึงความรุนแรงและความถี่ของปัญหาน้ำท่วมในประเทศไทย รวมถึงความพยายามของรัฐบาลในการจัดสรรงบประมาณเพื่อรับมือกับภัยพิบัติ ซึ่งข้อมูลดังกล่าวได้รับการรวบรวมและวิเคราะห์โดยหน่วยงานที่น่าเชื่อถือ เช่น GISTDA และสำนักงบประมาณ

การดำเนินการครั้งนี้ถือเป็นก้าวสำคัญในการช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วมในจังหวัดเชียงราย แต่ยังคงต้องติดตามผลอย่างใกล้ชิดเพื่อให้มั่นใจว่าความช่วยเหลือจะถึงมือผู้เดือดร้อนอย่างทั่วถึงและทันเวลา

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดเชียงราย (ปภ.จ.เชียงราย)
  • สำนักงบประมาณ
  • กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.)
  • สำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (GISTDA)
  • Rocket Media Lab
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

ผู้ว่าฯ เชียงรายลงพื้นที่ ช่วยผู้ประสบภัยพายุแม่ลาว

เชียงรายวิกฤต พายุถล่มหนัก รพ.เสียหาย ผู้ว่าฯ เร่งช่วยเหลือ


เชียงราย, 19 มีนาคม 2568 – พายุฤดูร้อนพัดถล่มหลายอำเภอในเชียงราย ส่งผลให้บ้านเรือนและสถานที่ราชการเสียหายหนัก นายรุ่งโรจน์ ตันวุฒิ นายอำเภอแม่ลาว ได้นำเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จิตอาสา และประชาชนในพื้นที่ เร่งช่วยเหลือผู้ประสบภัย จากเหตุพายุฤดูร้อนที่พัดถล่ม อำเภอแม่ลาว จังหวัดเชียงราย โดยมุ่งเน้น การรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างที่เสียหายและซ่อมแซมบ้านเรือนประชาชน รวมถึงสถานที่ราชการ เช่น โรงเรียนอนุบาลป่าก่อดำ ตำบลป่าก่อดำ ซึ่งได้รับผลกระทบอย่างหนัก อาคารอเนกประสงค์และอาคารเรียนได้รับความเสียหายหลายจุด

พายุที่เกิดขึ้นเมื่อช่วงเย็นของวันที่ 18 มีนาคม 2568 เวลาประมาณ 18.20 น. ทำให้เกิดฝนตกหนักและพายุลูกเห็บพัดถล่มในพื้นที่อย่างรุนแรง หลายครอบครัวกำลังเร่งซ่อมแซมหลังคาบ้านเรือนที่ได้รับความเสียหายจากแรงลมที่พัดกระหน่ำ

ผู้ว่าฯ เชียงราย ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมและให้กำลังใจผู้ประสบภัย

นายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย พร้อมด้วย นางสินีนาฏ ทองสุข นายกเหล่ากาชาดจังหวัดเชียงราย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้ลงพื้นที่เพื่อตรวจเยี่ยม โรงพยาบาลแม่ลาว ซึ่งได้รับความเสียหายหนักจากพายุ อาคารผู้ป่วยในไม่สามารถรองรับผู้ป่วยเพิ่มเติมได้ โครงสร้างหลังคาของห้องปฏิบัติการทางการแพทย์ (ห้องแล็บ) เสียหายจนไม่สามารถให้บริการได้ และมีน้ำรั่วซึมในหลายจุด

มาตรการเร่งด่วนของโรงพยาบาลแม่ลาว

เพื่อความปลอดภัยของผู้ป่วย โรงพยาบาลแม่ลาวได้ออกประกาศให้ผู้ป่วยที่มีอาการดีขึ้นสามารถกลับบ้านได้ก่อนกำหนด พร้อมทั้ง ประสานโรงพยาบาลเครือข่าย เพื่อรองรับผู้ป่วย ดังนี้:

  • โรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์ รับผู้ป่วยที่มีภาวะฉุกเฉิน
  • โรงพยาบาลสมเด็จพระญาณสังวร รับผู้ป่วยที่ต้องนอนพักรักษาตัวและมีอาการคงที่
  • โรงพยาบาลพาน ให้บริการตรวจเลือดเร่งด่วน

ทางโรงพยาบาลยังได้เคลื่อนย้าย อุปกรณ์ทางการแพทย์ที่มีมูลค่าสูง ออกจากพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากน้ำฝนและไฟฟ้าลัดวงจร พร้อม ประสานเทศบาลตำบลป่าก่อดำ ในการจัดการกับสิ่งกีดขวางที่ส่งผลกระทบต่อการเดินทางเข้าออกโรงพยาบาล ทั้งนี้ ได้มีการ ตั้งศูนย์รายงานการบาดเจ็บ ณ ห้องฉุกเฉินของโรงพยาบาลแม่ลาว เพื่อรับแจ้งเหตุและดูแลผู้ได้รับบาดเจ็บจากพายุฤดูร้อน

แผนฟื้นฟูและการช่วยเหลือจากภาครัฐ

นายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย กล่าวว่า อำเภอแม่ลาวได้รับผลกระทบหนักที่สุด และทางจังหวัดพร้อมให้การช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบอย่างเต็มที่ โดยได้สั่งการให้ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เร่งสำรวจความเสียหายและดำเนินการแจกจ่ายวัสดุก่อสร้าง เช่น กระเบื้องและอุปกรณ์ซ่อมแซมบ้านเรือน ให้แก่ผู้ประสบภัย

ในส่วนของ โรงพยาบาลแม่ลาว จะเสนอของบประมาณจาก เขตตรวจสุขภาพ เพื่อเร่งซ่อมแซม ขณะที่ สถานศึกษา จะเสนอของบประมาณจาก สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา และ วัดที่ได้รับผลกระทบ จะได้รับการสนับสนุนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

นอกจากนี้ จังหวัดเชียงรายได้เปิดให้ประชาชน ลงทะเบียนผู้ประสบภัยผ่านแอปพลิเคชัน “พ้นภัย” เพื่อขอรับความช่วยเหลือเพิ่มเติมจาก สภากาชาดไทย

รายงานความเสียหายจากสำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดเชียงราย

สำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดเชียงราย (ปภ.) รายงานว่าพายุครั้งนี้เกิดขึ้นในพื้นที่ อำเภอแม่ลาว เป็นหลัก ครอบคลุม 4 ตำบล ได้แก่ ตำบลจอมหมอกแก้ว, ตำบลป่าก่อดำ, ตำบลบัวสลี และตำบลดงมะดะ โดยส่งผลกระทบต่อ:

  • โรงพยาบาลแม่ลาว เสียหายหนักในหลายจุด
  • โรงเรียนอนุบาลจอมหมอกแก้ว หลังคาหอประชุมพังเสียหาย
  • ศาลาการเปรียญวัดดอนจั่น และห้องน้ำวัด ได้รับความเสียหาย
  • ป้ายปั๊ม ปตท. ถูกแรงลมพัดจนได้รับความเสียหาย

มี ผู้ได้รับบาดเจ็บ 1 ราย จากการถูกป้ายเวทีล้มทับบริเวณหัวไหล่

พายุยังส่งผลกระทบในพื้นที่ อำเภอพาน, อำเภอป่าแดด, อำเภอเวียงเชียงรุ้ง, อำเภอเมืองเชียงราย และเทศบาลนครเชียงราย โดยมีบ้านเรือนเสียหาย รวมอย่างน้อย 15 หมู่บ้านใน 8 ตำบล และมีหน่วยงานราชการเสียหาย 2 แห่ง รวมถึงวัดอีก 1 แห่ง ขณะนี้อยู่ระหว่างการสำรวจเพิ่มเติม

สถิติที่เกี่ยวข้องกับพายุฤดูร้อนในภาคเหนือ

  • พายุฤดูร้อนในภาคเหนือมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น 15% ต่อปี เนื่องจากสภาพอากาศแปรปรวน
  • เชียงรายเป็นหนึ่งในจังหวัดที่ได้รับผลกระทบจากพายุฤดูร้อนบ่อยที่สุดในภาคเหนือ โดยเฉลี่ย 5-7 ครั้งต่อปี
  • ในปี 2567 พายุฤดูร้อนสร้างความเสียหายคิดเป็นมูลค่ารวมกว่า 500 ล้านบาททั่วประเทศ

สรุป

พายุฤดูร้อนที่พัดถล่มจังหวัดเชียงรายส่งผลให้หลายพื้นที่ได้รับความเสียหายอย่างหนัก โดยเฉพาะ อำเภอแม่ลาว ที่ได้รับผลกระทบหนักที่สุด ทางจังหวัดเชียงรายและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้เร่งเข้าช่วยเหลือประชาชนและดำเนินมาตรการฟื้นฟูพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบ เพื่อให้ประชาชนสามารถกลับมาใช้ชีวิตตามปกติได้โดยเร็ว

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย / กรมอุตุนิยมวิทยา ปี 2567

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI TOP STORIES

ฝนตกต่อเนื่อง ส่งผลให้เชียงราย ทุกอำเภออยู่ระดับเฝ้าระวังสถานการณ์

 

เมื่อวันที่ 16 สิงหาคม 2567 ผู้สื่อข่าวรายงานว่าสำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงรายได้แจ้งสภาพอากาศจังหวัดเชียงราย เมื่อวันที่ 15 สิงหาคม 2567 ที่่านมาว่ามีฝนปานกลาง – อ่อน ในบางพื้นที่ของจังหวัด และมีฟ้าหลัวสลับปลอดโปร่งในตอนกลางวัน ซึ่งหลังจาก 14 สิงหาคม 2567 ได้เกิดฝนตกต่อเนื่องสำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดเชียงราย รายงานพื้นที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัย 4 อำเภอ 12 ตำบล 34 หมู่บ้าน 1 เทศบาลนคร (5ชุมชน) ตลาด/ชุมชนเศรษฐกิจได้รับผลกระทบ 2 แห่ง ดังนี้ อำเภอแม่สาย ตำบลเวียงพางคำ ม.1 เมื่อเวลาประมาณ 06.00 น. แม่น้ำสายบริเวณจุดสะพานมิตรภาพแห่งที่ 1 ไทย-เมียนมา เพิ่มระดับสูงขึ้น จนล้นตลิ่งเข้าท่วมตลาดการค้าชายแดน “ตลาดสายลมจอย” และชุมชนโดยรอบ ส่วนตำบลแม่สาย ม.1 น้ำท่วมบ้านเรือนประชาชนและถนนในชุมชน อปท. และประชาชนวางแนวกระสอบทรายป้องกันน้ำท่วม และตำบลเกาะช้าง ม.6 เวลา 09.10 น. พนังดินกั้นแม่น้ำสายที่บ้านป่าซางงาม ม.6 ถูกกระแสน้ำกัดเซาะ พังทลายลง มวลน้ำทะลักเข้าท่วมพื้นที่การเกษตรด้านล่าง

อำเภอเมืองเชียงราย ตำบลแม่ยาว ม.10,14 น้ำหลากท่วมพื้นที่เกษตร อยู่ระหว่างสำรวจความเสียหาย และมีดินสไลด์ ต้นไม้ล้มทับกีดขวางถนนเป็นบางจุด ด้านตำบลนางแล ม.11 น้ำนางแลกัดเซาะพนังกั้นน้ำ ได้รับความเสียหาย ส่วนตำบลบ้านดู่ น้ำป่าดอยโป่งพระบาทไหลเข้าเขตชุมชน ได้รับผลกระทบประมาณ 5 หมู่บ้าน และน้ำท่วมผิวจราจรถนนพหลโยธินสาย 1 ฝั่งขาขึ้น (ตั้งแต่ร้านสะดวกซื้อธนพิริยะจนถึงคุ้มภูคำ) รถสัญจรได้ทางเดียว และในเขตเทศบาลนครเชียงราย จำนวน 5 ชุมชน ได้แก่ ชุมชนห้วยปลากั้ง/ชุมชนแควหวาย/ชุมชนวัดใหม่หน้าค่าย/ชุมชนสันกลาง/ชุมชนสันเมืองเหล็ก (ซอย18 มิถุนา 6/3) น้ำท่วมขัง/น้ำล้นท่อรอการระบาย/น้ำล้นจากคลองระบายน้ำ ท่วมหมู่บ้านจัดสรร บ้านเรือนประชาชน และผิวถนนเป็นบางจุด ระดับน้ำทรงตัวรถเล็กสามารถสัญจรผ่านได้ เทศบาลนครเชียงราย ออกสำรวจความเสียหาย กำจัดสิ่งกีดขวางทางน้ำ/ท่อระบายน้ำ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการระบายน้ำ
 
อำเภอแม่จัน ตำบลป่าตึง ม.1,3,4 ‘แม่น้ำจันล้นตลิ่ง ท่วมบ้านเรือนราษฎรและถนนภายในหมู่บ้าน รถเล็กยังสามารถสัญจรได้ ในขณะที่ตำบลแม่คำ (พื้นที่ 8 หมู่บ้าน) น้ำท่วมถนนในหมู่บ้านเป็นบางจุด ในพื้นที่เขตเทศบาลตำบลสายน้ำคำ
อำเภอแม่ฟ้าหลวง ตำบลแม่สลองนอก ม.10 ดินสไลด์ กำแพงศูนย์พัฒนาเด็กเล็กบ้านแม่จันหลวง ม.10 ทรุดตัวลง ไม่มีผู้ได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิต ส่วนที่ตำบลเทอดไทย ม.1,4,16 ดินสไลด์ บ้านเรือนประชาชนได้รับผลกระทบ 3 หลัง ไม่มีผู้ได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิต มีดินสไลด์และต้นไม้ล้มทับถนน 4 จุด ได้แก่ เส้นทางบ้านเทอดไทย – บ้านปางมะหัน / เส้นทางบ้านเทอดไทย – เเม่หม้อ/ เส้นทางบ้านปูนะ – บ้านจะตี/ เส้นทางบ้านห้วยหม้อ – บ้านทูหมออาเน สำหรับที่ตำบลแม่สลองใน ม.1,9,14,15 ม.1 ดินสไลด์บ้านเรือนประชาชนได้รับผลกระทบ 1 หลัง/ ม.9,14,15 มีดินสไลด์และต้นไม้ล้มทับถนน อยู่ระหว่างดำเนินการเปิดเส้นทาง รถยนต์ยังไม่สามารถสัญจรผ่านได้
 
แนวโน้มสถานการณ์ อยู่ในระดับเฝ้าระวัง ภาพรวมระดับน้ำแม่น้ำสายหลัก มีแนวโน้มทรงตัว ด้านนายพุฒิพงศ์ ศิริมาตย์ ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย สั่งการและเน้นย้ำให้ทุกอำเภอ เฝ้าระวัง ติดตามสถานการณ์ น้ำท่วมฉับพลัน น้ำป่าไหลหลากน้ำล้นตลิ่งอย่างต่อต่อเนื่อง พร้อมทั้งเตรียมความพร้อม เครื่องมืออุปกรณ์ เครื่องจักรกล ยุทโธปกรณ์ กำลังพลพร้อมให้ความช่วยเหลือทันทีตลอด 24 ชั่วโมงเมื่อได้รับการร้องขอ และเร่งสำรวจความเสียหายและให้ความช่วยเหลือตามระเบียบต่อไป
 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

ชลประทานเชียงราย ยืนยันไม่กระทบ มวลน้ำเข้าเมืองทุกสายไหลลงสู่แม่น้ำกก

 

เมื่อวันที่ 7 สิงหาคม 67 นายทวีชัย โค้วตระกูล ผู้อำนวยการโครงการชลประทานเชียงราย พร้อมด้วย นายครรชิต ชมภูแดง หัวหน้าสำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดเชียงราย พ.อ.พักตร์พงษ์ เงสันเที๊ยะ หน. กลุ่มนโยบายแผนและการข่าว กอ.รมน.จังหวัดเชียงราย และนายประพันธ์ ช่างแก้ว หัวหน้าฝ่ายปกครอง (นักบริหารงานทั่วไป) เทศบาลนครเชียงราย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ร่วมกันตรวจสถานที่กักเก็บน้ำ / กั้นน้ำ แหล่งน้ำ และทางระบายน้ำ คลองผันน้ำอาคารควบคุมน้ำ และทิศทางการไหลของน้ำ ในเขตตัวเมืองเชียงราย โดยนำข้อมูลที่ได้มาวิเคราะห์สำหรับวางแผนการบริหารจัดการน้ำเพื่อป้องกันและบรรเทาอุทกภัยในพื้นที่เศรษฐกิจชุมชนเมืองเชียงราย

     โดยจุดแรกได้ลงพื้นที่ตรวจสอบท่อส่งน้ำบริเวณหัวสนามบิน ฝูงบิน 416 ตำบลรอบเวียง จุดที่ 2 ตรวจสอบประสิทธิภาพการผันน้ำของคลองผันน้ำแม่กรณ์สู่แม่น้ำกกที่บริเวณบ้านหัวฝาย ตำบลรอบเวียง จากนั้นได้เดินทางไปตรวจสอบทิศทางการไหลของน้ำที่ฝายชัยสมบัติ ต.ท่าสาย อ.เมืองเชียงราย และที่บริเวณอาคารควบคุมน้ำ การรับน้ำ และการระบายน้ำ ณ เขื่อนเชียงราย เดิมเรียกว่า (ฝายเชียงรายเดิม) ต.รอบเวียง อ.เมืองเชียงราย จ.เชียงราย 

ซึ่งเป็นเขื่อนขนาดใหญ่ของแม่น้ำกก ที่อยู่ในเขตตัวเมืองเชียงราย ไหลผ่านลงสู่แม่น้ำโขง เพื่อเป็นการเตรียมการป้องกันและแก้ไขปัญหาอุทกภัยในช่วงฤดูฝน ตามที่อุตุนิยมวิทยาได้ประกาศเตือนว่า ประเทศไทยสิ้นสุดฤดูร้อน และเริ่มเข้าสู่ฤดูฝนเมื่อวันที่ 20 พฤษภาคม 2567 โดยในบริเวณประเทศไทยตอนบน สภาพอากาศมีฝนตกชุกหนาแน่นครอบคลุมพื้นที่มากกว่าร้อยละ 60 และต่อเนื่อง 3 วันขึ้นไป โดยพื้นที่จังหวัดเชียงรายเกิดฝนตกหนักต่อเนื่องในระหว่างวันที่ 29 กรกฎาคม ถึง 3 สิงหาคม 2567 เป็นเหตุให้เกิดอุทกภัยและดินสไลด์ มีผลกระทบระหว่างวันที่ 2-4 สิงหาคม 2567 และอาจส่งผลต่อเนื่องไปจนถึงช่วงฤดูฝนปีนี้ โดยทางผู้อำนวยการโครงการชลประทานเชียงราย ยืนยันว่ามวลน้ำทุกสายที่ไหลผ่านเข้าสู่ตัวเมืองเชียงราย และไหลลงสู่แม่น้ำกก ผ่านไปยังแม่น้ำโขงไม่กระทบต่อชุมชนในเขตเมือง และพื้นที่อื่นๆ อย่างแน่นอน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI NEWS UPDATE

7 วันอันตรายเชียงราย สังเวยแล้ว 2 ราย อุบัติเหตุ 9 ครั้ง เจ็บ รวม 7 คน

 

เมื่อวันที่ 31 ธ.ค. 66 นายครรชิต ชมภูแดง หัวหน้าสำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดเชียงราย เป็นประธานการประชุมศูนย์ปฏิบัติการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลปีใหม่ พ.ศ.2567 จังหวัดเชียงราย ณ ห้องประชุมอูหลง ศาลากลางจังหวัดเชียงราย พร้อมคณะกรรมการศูนย์ฯ เข้าร่วมประชุม และประชุมคณะกรรมการศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนน ณ ห้องประชุม 1 ปภ. อาคาร 3 ชั้น 5 กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ผ่านจอภาพ (Video Conference) พร้อมกันทั่วประเทศ 

 

โดยมี พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง” รมว.กระทรวงยุติธรรม เป็นประธานเพื่อติดตามข้อสั่งการ และสรุปยอดผู้ประสบอุบัติเหตุทางถนนเพื่อนำมาวิเคราะห์หาสาเหตุในการวางมาตรการป้องกันเเละลดอุบัติเหตุ ในที่ประชุมคณะกรรมการศูนย์ปฏิบัติการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลปีใหม่ 2567 ข้อมูลประจำปวันที่ 30 ธันวาคม 2566 ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบถึงแนวทางในการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนตามบริบทแต่ละพื้นที่ 

 

โดยขอให้ศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนนจังหวัด ประสานศูนย์ปฏิบัติการความปลอดภัยทางถนนอำเภอ และองค์การปกครองส่วนท้องถิ่นให้มีการรายงานข้อมูลด่านชุมชนเพื่อให้สามารถนำไปใช้ประโยชน์ต่อไป และให้จังหวัดเข้มงวดในการบังคับใช้กฎหมายตาม 10 รสขม มาตรการหลักและให้ด่านชุมชนตรวจสอบพฤติกรรมการขับขี่ที่ผิดและฝ่าฝืนกฎหมายโดยให้คำแนะนำและห้ามปราม หากฝ่าฝืนประสานตำรวจบังคับใช้กฎหมายดำเนินคดีทันที พบว่าไม่สวมหมวกนิรภัย 488 ราย ไม่มีใบขับขี่ 224 ราย ดื่มแล้วขับ 87 ราย ไม่คาดเข็มขัดนิรภัย 8 ราย

 

 

สรุปข้อมูลจากศูนย์ปฏิบัติการร่วมป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนน ช่วงเทศกาลปีใหม่ พ.ศ.2567 จังหวัดเชียงราย ของวันที่ 30 ธ.ค. 66 มีอุบัติเหตุทางถนนในจังหวัดเชียงรายเกิดขึ้นรวม 9 ครั้ง มีผู้บาดเจ็บ (Admit) รวม 7 คน เป็นเพศชาย 6 คน เพศหญิง 1 คน มีผู้เสียชีวิต 2 ราย เป็นเพศชาย 2 ราย สาเหตุเกิดจากขับรถเร็วเกินกำหนด ดื่มแล้วขับ ยานพาหนะที่เกิดอุบัติเหตุสูงสุดได้แก่ รถจักรยานยนต์ โดยจังหวัดเชียงรายได้บูรณาการร่วมในการรณรงค์ลดอุบัติเหตุทางถนน ได้มีการตั้งจุดตรวจหลักทั้งหมดรวม 35 จุดตรวจ และจุดบริการหน่วยงาน / อปท. มีผู้ปฏิบัติหน้าที่ จำนวน 1,119 คน
 
 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดเชียงราย 

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News