Categories
CULTURE

คนไทยจำวันสำคัญ พุทธศาสนาได้แค่ไหน?

นิด้าโพลเผย คนไทยส่วนใหญ่ไม่รู้ความหมายวันสำคัญทางพุทธศาสนา

สำรวจการรับรู้วันสำคัญทางพระพุทธศาสนาในกลุ่มคนไทย

ประเทศไทย,12 พฤษภาคม 2568 – ข้อมูลศูนย์สำรวจความคิดเห็น “นิด้าโพล” จากสถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) เปิดเผยผลสำรวจในหัวข้อ “จำวันสำคัญทางพระพุทธศาสนาได้ไหม” โดยเก็บข้อมูลจากประชาชนชาวไทยที่มีอายุ 15 ปีขึ้นไป และนับถือศาสนาพุทธ รวมจำนวนทั้งสิ้น 1,310 หน่วยตัวอย่าง ระหว่างวันที่ 2-5 พฤษภาคม 2568 ครอบคลุมทุกระดับการศึกษา อาชีพ และรายได้จากทั่วประเทศ โดยใช้การสุ่มตัวอย่างแบบหลายขั้นตอน (Multi-stage Sampling) และกำหนดค่าความคลาดเคลื่อนไม่เกิน 0.05 ที่ระดับความเชื่อมั่นร้อยละ 97.0

ประชาชนส่วนใหญ่ไม่ทราบความสำคัญวันมาฆบูชา

จากผลสำรวจพบว่า เมื่อสอบถามประชาชนถึงการรับรู้ถึงความสำคัญของวันมาฆบูชา ซึ่งถือเป็นหนึ่งในวันสำคัญที่มีประวัติศาสตร์และความหมายสำคัญในพุทธศาสนา พบว่ามีประชาชนเพียงร้อยละ 40.38 ที่ตอบว่าทราบถึงความสำคัญ ขณะที่อีกร้อยละ 59.62 ระบุว่า ไม่ทราบถึงที่มาและความสำคัญของวันนี้แต่อย่างใด ซึ่งสะท้อนถึงการขาดความตระหนักรู้ในระดับประชาชนทั่วไปที่ยังอยู่ในเกณฑ์ต่ำมาก

วันวิสาขบูชายังไม่เป็นที่รู้จักในวงกว้าง

เมื่อสำรวจในหัวข้อของวันวิสาขบูชา ซึ่งเป็นวันสำคัญที่ระลึกถึงการประสูติ ตรัสรู้ และปรินิพพานของพระพุทธเจ้า ถือเป็นวันสำคัญระดับสากลที่ได้รับการรับรองจากสหประชาชาติ ผลสำรวจปรากฏว่า มีประชาชนร้อยละ 47.94 ระบุว่าทราบความหมายของวันวิสาขบูชา ในขณะที่ร้อยละ 52.06 ตอบว่าไม่ทราบ สะท้อนให้เห็นว่า แม้วันวิสาขบูชาจะมีความสำคัญและได้รับการเผยแพร่ในวงกว้างแล้ว แต่ยังไม่สามารถทำให้ประชาชนส่วนใหญ่เข้าใจถึงแก่นแท้ของวันดังกล่าวได้

วันอาสาฬหบูชา ประชาชนรับรู้น้อยที่สุด

ด้านวันอาสาฬหบูชา ซึ่งเป็นวันที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงปฐมเทศนาและเกิดพระสงฆ์รูปแรกในพุทธศาสนา กลับพบว่า ประชาชนมีการรับรู้ต่ำที่สุดเมื่อเทียบกับวันสำคัญอื่น ๆ มีประชาชนเพียงร้อยละ 26.87 เท่านั้นที่ตอบว่าทราบ ขณะที่ร้อยละ 73.13 ไม่ทราบถึงที่มาและความสำคัญของวันนี้เลย ถือว่าเป็นประเด็นที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องให้ความสนใจอย่างเร่งด่วนเพื่อให้ประชาชนเข้าใจและตระหนักถึงความสำคัญมากขึ้น

ประชาชนรู้จักวันเข้าพรรษามากที่สุด

ในทางตรงกันข้าม เมื่อสำรวจเกี่ยวกับวันเข้าพรรษา ผลสำรวจพบว่า มีประชาชนสูงถึงร้อยละ 77.94 ตอบว่าทราบถึงความสำคัญของวันเข้าพรรษา ซึ่งถือเป็นวันสำคัญที่ชาวพุทธส่วนใหญ่มีกิจกรรมที่ชัดเจน เช่น การถวายเทียนพรรษา และพิธีกรรมต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง ขณะที่มีเพียงร้อยละ 22.06 เท่านั้นที่ตอบว่าไม่ทราบ จึงแสดงให้เห็นถึงความสำเร็จของการเผยแพร่และสืบทอดประเพณีที่เกี่ยวข้องกับวันเข้าพรรษาได้อย่างมีประสิทธิภาพมากกว่าวันสำคัญอื่นๆ

การทำงานของสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติยังไม่โดดเด่น

นอกจากนี้ ยังมีการสำรวจความคิดเห็นเกี่ยวกับความพึงพอใจของประชาชนต่อการทำงานของสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ซึ่งมีหน้าที่หลักในการส่งเสริมและอนุรักษ์พุทธศาสนาในประเทศไทย ผลสำรวจพบว่า ประชาชนร้อยละ 43.12 ระบุว่า ค่อนข้างพอใจกับผลงานของสำนักงาน รองลงมาร้อยละ 29.85 ตอบว่าไม่ค่อยพอใจ ขณะที่ร้อยละ 15.73 ตอบว่าพอใจมาก และร้อยละ 11.30 ตอบว่าไม่พอใจเลย

วิเคราะห์สถานการณ์และแนวทางแก้ไข

ผลสำรวจที่ออกมาในครั้งนี้ชี้ให้เห็นถึงปัญหาการขาดความตระหนักรู้ของประชาชนเกี่ยวกับวันสำคัญทางพระพุทธศาสนาอย่างชัดเจน ซึ่งมีแนวโน้มลดลงต่อเนื่องจากอดีต การที่ประชาชนส่วนใหญ่ไม่ทราบที่มาและความสำคัญของวันสำคัญทางศาสนา ส่งผลให้วัฒนธรรมและประเพณีที่เกี่ยวข้องกับพุทธศาสนาเสื่อมถอยลง และอาจส่งผลกระทบต่อคุณค่าทางจริยธรรมและคุณธรรมในสังคมไทยได้ในระยะยาว

หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ และกระทรวงวัฒนธรรม ควรร่วมมือกันจัดกิจกรรมเผยแพร่ข้อมูลความรู้เกี่ยวกับวันสำคัญทางศาสนาให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ผ่านช่องทางที่เข้าถึงประชาชนกลุ่มต่าง ๆ ได้ง่ายขึ้น เช่น สื่อออนไลน์ โซเชียลมีเดีย และสถานศึกษา เพื่อสร้างการรับรู้ที่กว้างขวางและลึกซึ้งมากขึ้น

สถิติที่เกี่ยวข้อง

ข้อมูลจากสำนักงานสถิติแห่งชาติ (2567) ระบุว่า ประเทศไทยมีประชากรที่นับถือศาสนาพุทธประมาณ 93% ของประชากรทั้งประเทศ แต่กลับมีประชากรที่สามารถอธิบายความหมายวันสำคัญทางพุทธศาสนาอย่างถูกต้องและชัดเจนน้อยกว่า 50% โดยเฉลี่ย ซึ่งสะท้อนถึงปัญหาด้านการสื่อสารและการให้ความรู้ที่ยังไม่มีประสิทธิภาพเพียงพอ (ที่มา: รายงานสำรวจทางสังคมและวัฒนธรรม สำนักงานสถิติแห่งชาติ, 2567)

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) 
  • ายงานสำรวจทางสังคมและวัฒนธรรม สำนักงานสถิติแห่งชาติ, 2567
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
NEWS UPDATE

ไทยร่วง ความสุขโลกอันดับ 49 ฟินแลนด์แชมป์ 8 ปีซ้อน

ฟินแลนด์ครองแชมป์ประเทศมีความสุขที่สุดในโลก ไทยรั้งอันดับ 49 ในดัชนีความสุขโลก 2568

ประเทศไทย, 20 มีนาคม 2568 – รายงานดัชนีความสุขโลก (World Happiness Report) ประจำปี 2568 ซึ่งเผยแพร่ในวันที่ 20 มีนาคม เนื่องในวันความสุขสากลขององค์การสหประชาชาติ (United Nations International Day of Happiness) ระบุว่า ประเทศไทยอยู่ในอันดับที่ 49 ซึ่งแม้จะเป็นการขยับขึ้นจากอันดับ 54 ของปีก่อนหน้า แต่ยังคงตามหลังประเทศในภูมิภาค เช่น สิงคโปร์ (อันดับ 34) และเวียดนาม (อันดับ 46) ทำให้เกิดข้อกังวลเกี่ยวกับคุณภาพชีวิตโดยรวมของประชากรไทย

ขณะที่ ฟินแลนด์ ยังคงรักษาตำแหน่ง ประเทศที่มีความสุขที่สุดในโลก เป็นปีที่ 8 ติดต่อกัน ตามมาด้วย เดนมาร์ก ไอซ์แลนด์ สวีเดน และเนเธอร์แลนด์ ซึ่งเป็นประเทศในกลุ่มนอร์ดิกที่ขึ้นชื่อด้านรัฐสวัสดิการและคุณภาพชีวิตที่ดีเยี่ยม ส่วนประเทศที่ติด 10 อันดับแรกที่น่าสนใจ ได้แก่ คอสตาริกา (อันดับ 6) และเม็กซิโก (อันดับ 10) ซึ่งเป็นครั้งแรกที่ประเทศจากละตินอเมริกาสามารถติดอันดับต้น ๆ ได้สำเร็จ

อย่างไรก็ตาม ประเทศมหาอำนาจทางเศรษฐกิจอย่าง สหรัฐอเมริกาและสหราชอาณาจักร กลับมีคะแนนความสุขลดลง โดยสหรัฐฯ ตกลงมาอยู่ที่อันดับ 24 ซึ่งเป็นอันดับต่ำสุดเท่าที่เคยมีมา ขณะที่สหราชอาณาจักรอยู่ที่ อันดับ 23 โดยแนวโน้มที่ลดลงนี้สะท้อนให้เห็นถึงปัญหาสังคมและความเชื่อมั่นที่ลดลงของประชาชนในประเทศเหล่านี้

การจัดอันดับดัชนีความสุขโลก และปัจจัยที่ใช้ประเมิน

รายงานนี้จัดทำโดยความร่วมมือระหว่าง Gallup, Oxford Wellbeing Research Centre, เครือข่ายการแก้ปัญหาเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development Solutions Network – SDSN) และคณะบรรณาธิการ World Happiness Report โดยอ้างอิงข้อมูลจากแบบสำรวจ Gallup World Poll ซึ่งเก็บข้อมูลจากประชาชนในกว่า 140 ประเทศทั่วโลก และใช้หลักเกณฑ์ 6 ประการเป็นตัวชี้วัด ได้แก่

  1. ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศต่อหัว (GDP per capita)
  2. การสนับสนุนทางสังคม (Social support)
  3. อายุขัยที่แข็งแรง (Healthy life expectancy)
  4. เสรีภาพในการใช้ชีวิต (Freedom to make life choices)
  5. ความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ (Generosity)
  6. การรับรู้ถึงการทุจริต (Perceptions of corruption)

ข้อมูลที่ได้จะถูกนำมาคำนวณเป็นคะแนนเฉลี่ยของแต่ละประเทศในช่วง ปี 2565 – 2567 และนำมาจัดอันดับ

ประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และแนวโน้มที่เปลี่ยนแปลง

ในการจัดอันดับครั้งนี้ ประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่ได้รับคะแนนสูงสุด ได้แก่ สิงคโปร์ (อันดับ 34) เวียดนาม (อันดับ 46) และไทย (อันดับ 49) โดยเวียดนามมีพัฒนาการที่โดดเด่นโดยขยับขึ้นมาหลายอันดับจากปีที่ผ่านมา ขณะที่ไทยยังคงต้องเผชิญกับปัจจัยหลายด้านที่ส่งผลต่อคะแนนความสุขของประชากร

ในขณะที่ประเทศไทยมีคะแนนเพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้า แต่ยังคงเผชิญกับ ความท้าทายสำคัญ เช่น ความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ ความเหลื่อมล้ำทางรายได้ ปัญหาคอร์รัปชัน และระบบสวัสดิการสังคมที่ยังมีข้อจำกัด ซึ่งเป็นปัจจัยที่ส่งผลต่อระดับความสุขของประชาชนโดยรวม

บทเรียนจากประเทศนอร์ดิก และแนวทางปรับปรุงคุณภาพชีวิตในไทย

หนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ทำให้ ฟินแลนด์และประเทศในกลุ่มนอร์ดิก สามารถรักษาระดับความสุขสูงได้อย่างต่อเนื่องคือ ระบบรัฐสวัสดิการที่มีคุณภาพสูง ซึ่งรวมถึง ระบบการศึกษา การดูแลสุขภาพ และการสนับสนุนทางสังคม ที่ครอบคลุมทุกกลุ่มประชากร ทำให้ประชาชนมี ความเชื่อมั่นในระบบของประเทศ และส่งเสริมความเป็นอยู่ที่ดีในระยะยาว

อิลานา รอน-เลวีย์ กรรมการผู้จัดการของ Gallup กล่าวว่าประเทศเหล่านี้มีความเหลื่อมล้ำทางสังคมต่ำ มีระบบดูแลสุขภาพและการศึกษาที่เข้าถึงได้ง่าย และมีสภาพแวดล้อมทางสังคมที่สนับสนุนให้ประชาชนมีปฏิสัมพันธ์และช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยส่งเสริมคุณภาพชีวิตโดยรวม

สำหรับประเทศไทย แนวทางในการยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนและเพิ่มระดับความสุขของประเทศ อาจต้องให้ความสำคัญกับ การลดปัญหาความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ การปรับปรุงระบบสวัสดิการ การสร้างความเชื่อมั่นในรัฐบาล และการเสริมสร้างความเข้มแข็งของชุมชนท้องถิ่น

มุมมองของผู้เชี่ยวชาญ และแนวโน้มในอนาคต

จอห์น เฮลลิเวลล์ หนึ่งในบรรณาธิการผู้ก่อตั้งรายงานความสุขโลก ให้ความเห็นว่า ปัจจัยสำคัญที่ทำให้ประเทศหนึ่งมีความสุข ไม่ได้ขึ้นอยู่กับความมั่งคั่งเพียงอย่างเดียว แต่ขึ้นอยู่กับความเชื่อมั่นในเพื่อนมนุษย์ และระดับความไว้เนื้อเชื่อใจที่ประชาชนมีต่อกัน” ซึ่งหมายความว่าการสร้างสังคมที่มีความสามัคคีและเชื่อถือซึ่งกันและกันเป็นสิ่งสำคัญสำหรับการยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน

ในขณะเดียวกัน รายงานยังระบุว่า คนหนุ่มสาวทั่วโลกกำลังเผชิญกับปัญหาความเครียดที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในประเทศตะวันตกอย่างสหรัฐฯ และสหราชอาณาจักร ซึ่งมีแนวโน้มความสุขลดลง เนื่องจากปัญหาทางเศรษฐกิจและความไม่แน่นอนในอนาคต

สำหรับประเทศไทย การสร้างชุมชนที่เข้มแข็ง การลดความขัดแย้งทางการเมือง และการส่งเสริมสังคมที่มีความเห็นอกเห็นใจซึ่งกันและกัน อาจเป็นแนวทางที่ช่วยส่งเสริมระดับความสุขของประชาชนให้สูงขึ้นในอนาคต

สถิติที่เกี่ยวข้องกับระดับความสุขของประชากรโลก

  • 10 ประเทศที่มีความสุขที่สุดในปี 2568
    1. ฟินแลนด์
    2. เดนมาร์ก
    3. ไอซ์แลนด์
    4. สวีเดน
    5. เนเธอร์แลนด์
    6. คอสตาริกา
    7. นอร์เวย์
    8. อิสราเอล
    9. ลักเซมเบิร์ก
    10. เม็กซิโก
  • 5 ประเทศที่มีความสุขน้อยที่สุดในปี 2568
    1. อัฟกานิสถาน (อันดับ 147)
    2. เซียร์ราลีโอน (อันดับ 146)
    3. เลบานอน (อันดับ 145)
    4. มาลาวี (อันดับ 144)
    5. ซิมบับเว (อันดับ 143)

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : Gallup World Poll (2568) / Oxford Wellbeing Research Centre (2568) / Sustainable Development Solutions Network (SDSN, 2568) / รายงานดัชนีความสุขโลก (World Happiness Report, 2568) / CNN

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
NEWS UPDATE

คนโสดไทยพุ่งสูง สศช.ชี้แนวทางแก้ไขหาคู่เพิ่ม

ไทยเข้าสู่ยุคสังคมคนโสด สภาพัฒน์เผยคนโสดวัยเจริญพันธุ์พุ่งสูง แนะพัฒนาแพลตฟอร์มหาคู่

เมื่อวันที่ 27 พฤษภาคม 2567 สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) หรือสภาพัฒน์ เปิดเผยข้อมูลที่ชี้ว่า ประเทศไทยกำลังเข้าสู่สังคมคนโสดมากขึ้น โดยจำนวนคนไทยในวัยเจริญพันธุ์ (อายุ 15-49 ปี) ที่ยังโสดเพิ่มขึ้นเป็น 40.5% จากการสำรวจภาวะเศรษฐกิจและสังคมของครัวเรือน (SES) ปี 2566 สะท้อนถึงปัญหาที่เกี่ยวข้องกับการแต่งงานและการสร้างครอบครัวที่ลดลงอย่างต่อเนื่อง

จำนวนคนโสดในไทยเพิ่มขึ้น สอดคล้องกับอัตราการแต่งงานที่ลดลง

นายดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการสภาพัฒน์ ระบุว่า อัตราการแต่งงานของคนไทยลดลงต่อเนื่อง จากระดับ 57.9% ในปี 2560 เหลือเพียง 52.6% ในปี 2566 ขณะที่อัตราการหย่าร้างกลับเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน โดยคนโสดส่วนใหญ่พบได้ในพื้นที่เขตเมือง โดยเฉพาะในกรุงเทพมหานครที่มีสัดส่วนคนโสดสูงถึง 50.4%

ปัจจัยที่ทำให้คนไทยโสดเพิ่มขึ้น แบ่งออกเป็น 4 ด้านหลัก

  1. ค่านิยมและทัศนคติที่เปลี่ยนไป
    การเป็นโสดในยุคใหม่ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มที่เรียกว่า SINK (Single Income, No Kids) ที่มุ่งเน้นการใช้จ่ายเพื่อตนเอง และ PANK (Professional Aunt, No Kids) ซึ่งเป็นกลุ่มผู้หญิงโสดอายุ 30 ปีขึ้นไปที่มีรายได้ดีและมุ่งเน้นการดูแลหลานแทนการมีลูก

  2. ความคาดหวังที่ไม่สอดคล้องกันในการหาคู่
    ข้อมูลจากบริษัท Meet & Lunch ในปี 2564 พบว่าผู้หญิงกว่า 76% จะไม่เดทกับผู้ชายที่มีรายได้น้อยกว่า และ 83% ไม่คบกับผู้ชายที่มีส่วนสูงน้อยกว่า ขณะที่ผู้ชาย 59% จะไม่คบกับผู้หญิงที่ตัวสูงกว่าและอีกกว่า 60% ไม่เดทกับผู้หญิงที่เคยหย่าร้าง

  3. การขาดโอกาสในการพบปะผู้คน
    คนโสดในปี 2566 มีชั่วโมงการทำงานสูงกว่าค่าเฉลี่ยของทั้งประเทศ โดยเฉพาะในกรุงเทพฯ ที่ติดอันดับเมืองที่คนทำงานหนักที่สุดเป็นอันดับ 5 ของโลก ทำให้มีเวลาน้อยในการพบปะคนใหม่ ๆ

  4. นโยบายส่งเสริมการมีคู่ของภาครัฐยังไม่เพียงพอ
    แม้ว่าจะมีความพยายามส่งเสริมการแต่งงานและมีลูก แต่ยังไม่ครอบคลุมความต้องการของคนโสด ซึ่งต่างจากประเทศอื่น ๆ ที่มีการสนับสนุนทั้งด้านการเงินและการพัฒนาแพลตฟอร์มหาคู่

แนวทางการแก้ปัญหาและส่งเสริมให้คนโสดมีคู่

เพื่อแก้ปัญหานี้ สภาพัฒน์เสนอแนวทางการสนับสนุนให้คนโสดสามารถหาคู่ได้ง่ายขึ้น เช่น

  • การพัฒนา แพลตฟอร์ม Matching ที่ให้บริการโดยภาครัฐร่วมกับผู้ให้บริการเอกชน
  • ส่งเสริมการมี Work-life Balance เพื่อให้คนโสดมีเวลามากขึ้นในการทำกิจกรรมที่ชอบและพบปะผู้คนใหม่ ๆ
  • ยกระดับทักษะและเพิ่มโอกาสความก้าวหน้าในอาชีพ เพื่อให้คนโสดมีความมั่นใจในชีวิตและพร้อมที่จะสร้างความสัมพันธ์

กรณีศึกษาจากต่างประเทศที่น่าสนใจ

หลายประเทศได้ดำเนินการนโยบายส่งเสริมการแต่งงานที่ครอบคลุมมากกว่า เช่น

  • สิงคโปร์ จัดทำโครงการลดคนโสดโดยจ่ายเงินสนับสนุนการออกเดท
  • จีน ใช้แอปพลิเคชันหาคู่ที่พัฒนาจากฐานข้อมูลของคนโสดในเมือง
  • ญี่ปุ่น ใช้ระบบ AI ในการจับคู่เพื่อช่วยให้คนโสดพบคนที่เหมาะสม

สรุปสถานการณ์และแนวทางต่อไป

นายดนุชากล่าวว่า การสนับสนุนให้คนโสดมีคู่และสร้างครอบครัว เป็นเรื่องสำคัญที่จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจและลดปัญหาการเกิดน้อยลงในระยะยาว การสร้างแพลตฟอร์มหาคู่ที่เข้าถึงง่ายและส่งเสริมการใช้ชีวิตอย่างสมดุลจะช่วยให้คนโสดมีโอกาสพบคนที่เหมาะสมและสร้างครอบครัวได้ง่ายขึ้น

คำถามที่พบบ่อย (FAQs)

  1. ทำไมจำนวนคนโสดในไทยถึงเพิ่มขึ้น?
    เพราะค่านิยมที่เปลี่ยนไป การทำงานหนัก และความคาดหวังที่ไม่สอดคล้องกันในการหาคู่

  2. ภาครัฐมีแนวทางส่งเสริมการมีคู่หรือไม่?
    มีการเสนอพัฒนาแพลตฟอร์ม Matching และสนับสนุน Work-life Balance

  3. กรณีศึกษาจากประเทศอื่น ๆ มีอะไรบ้าง?
    สิงคโปร์, จีน, และญี่ปุ่นมีการพัฒนาแอปพลิเคชันและโครงการสนับสนุนการหาคู่

  4. คนโสดในไทยส่วนใหญ่อยู่ในกลุ่มไหน?
    กลุ่ม SINK และ PANK ซึ่งเน้นใช้จ่ายเพื่อตนเองและไม่มีลูก

  5. นโยบายใดที่จะช่วยให้คนโสดมีเวลาหาคู่มากขึ้น?
    การส่งเสริม Work-life Balance และการลดชั่วโมงการทำงาน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) หรือสภาพัฒน์

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE