Categories
WORLD PULSE

ญี่ปุ่นเผชิญปัญหาผู้เสียชีวิตโดดเดี่ยว พุ่งสูงเกือบ 4 หมื่นคนในครึ่งปีแรก

 

เมื่อวันที่ 31 สิงหาคม 2567 ประเทศญี่ปุ่นกำลังเผชิญกับวิกฤตทางสังคมที่น่ากังวล เมื่อรายงานจากสำนักข่าวเอ็นเอชเค (NHK) ของญี่ปุ่นเปิดเผยว่า ในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2567 มีผู้เสียชีวิตในบ้านอย่างโดดเดี่ยวสูงถึง 37,227 คน จากจำนวนศพทั้งหมด 102,965 ศพที่ถูกส่งมาชันสูตร ซึ่งคิดเป็นกว่า 30% ของจำนวนผู้เสียชีวิตทั้งหมด โดยศพเหล่านี้เป็นผู้ที่ใช้ชีวิตตามลำพัง ไม่มีครอบครัวหรือผู้ดูแล และบางรายใช้เวลามากกว่า 1 เดือนกว่าจะมีผู้มาพบศพ

รายงานระบุว่ากว่า 70% ของผู้เสียชีวิตอย่างโดดเดี่ยวเหล่านี้เป็นผู้สูงอายุ โดยเฉพาะผู้ที่มีอายุมากกว่า 85 ปี ขึ้นไป จำนวน 7,498 คน และผู้ที่มีอายุระหว่าง 75 ถึง 79 ปี อีก 5,920 คน และอายุระหว่าง 70 ถึง 74 ปีอีก 5,635 คน ทั้งนี้ สถิติที่น่าตกใจเพิ่มเติมคือจำนวนผู้เสียชีวิตกว่า 3,936 คน ถูกพบหลังจากผ่านไปมากกว่า 1 เดือน และยังมีอีกไม่ต่ำกว่า 130 คน ที่ศพถูกพบหลังจากเสียชีวิตไปแล้วอย่างน้อย 1 ปี

การเพิ่มขึ้นของจำนวนผู้เสียชีวิตอย่างโดดเดี่ยวสะท้อนถึงปัญหาสังคมผู้สูงอายุในญี่ปุ่น ซึ่งเป็นประเทศที่มีประชากรสูงอายุมากที่สุดในโลก จากรายงานของสหประชาชาติ แม้ว่ารัฐบาลญี่ปุ่นจะพยายามแก้ไขปัญหานี้มาอย่างต่อเนื่อง แต่การจัดการกลับเป็นเรื่องที่ท้าทายและยากลำบาก

นอกจากปัญหาผู้สูงอายุที่เสียชีวิตอย่างโดดเดี่ยวแล้ว ญี่ปุ่นยังเผชิญกับปัญหาอัตราการเกิดที่ลดลงอย่างต่อเนื่อง ซึ่งยิ่งทำให้วิกฤตสังคมผู้สูงอายุนั้นรุนแรงขึ้น โดยผลสำรวจของรัฐบาลญี่ปุ่นเผยว่า ในช่วงเดือนมกราคมถึงมิถุนายนของปีนี้ มีทารกเกิดใหม่เพียง 350,074 คน ลดลง 5.7% จากช่วงเวลาเดียวกันเมื่อปีที่แล้ว นับว่าเป็นอัตราที่ต่ำที่สุดเป็นประวัติการณ์

สถานการณ์นี้ยิ่งสร้างความกังวลต่ออนาคตของญี่ปุ่น โดยสถาบันวิจัยประชากรและความมั่นคงทางสังคมแห่งชาติของญี่ปุ่นได้คาดการณ์ว่า จำนวนผู้สูงอายุที่มีอายุ 65 ปีขึ้นไป จะเพิ่มขึ้นเป็น 10.8 ล้านคนภายในปี 2050 หรืออีกประมาณ 26 ปีข้างหน้า และในปีเดียวกัน คาดว่าจะมีผู้ใช้ชีวิตอย่างโดดเดี่ยวเพิ่มขึ้นถึง 23.3 ล้านคน

นอกจากญี่ปุ่นแล้ว ประเทศเพื่อนบ้านอย่างจีนและเกาหลีใต้ก็กำลังเผชิญกับปัญหาลักษณะเดียวกัน โดยจีนพบว่าประชากรลดลงสวนทางกับอัตราการเกิดเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 1961 ขณะที่เกาหลีใต้ในขณะนี้ได้กลายเป็นประเทศที่มีอัตราการเกิดต่ำที่สุดในโลกแล้ว

รายงานจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติของญี่ปุ่นเตรียมที่จะยื่นเรื่องไปถึงรัฐบาลญี่ปุ่นเพื่อใช้เป็นข้อมูลในการหาแนวทางแก้ไขปัญหาผู้สูงอายุที่เสียชีวิตอย่างโดดเดี่ยวนี้ และหวังว่ารายงานนี้จะช่วยสร้างความตระหนักถึงวิกฤตประชากรสูงอายุที่กำลังทวีความรุนแรงขึ้นในญี่ปุ่น

ทั้งนี้ ปัญหาการเกิดของประชากรและการเสียชีวิตอย่างโดดเดี่ยวไม่เพียงแต่เป็นปัญหาของญี่ปุ่นเท่านั้น แต่ยังเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นทั่วโลก โดยเฉพาะในประเทศที่มีสังคมสูงอายุและอัตราการเกิดที่ลดลง ซึ่งส่งผลกระทบต่อทั้งด้านสังคมและเศรษฐกิจในระยะยาว

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักข่าวเอ็นเอชเค (NHK)

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
MOST POPULAR
FOLLOW ME
Categories
AROUND CHIANG RAI NEWS UPDATE

เชียงรายติดอันดับที่ 11 ของประเทศ หลังไทยเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ

 

เมื่อวันที่ 27 กรกฎาคม 2567 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลายประเทศทั่วโลกกำลังเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุเต็มรูปแบบ ซึ่งหมายถึงการมีสัดส่วนผู้สูงอายุมากกว่า 20% ของจำนวนประชากรทั้งหมด เช่นเดียวกับประเทศไทยที่ได้เข้าสู่สังคมผู้สูงอายุมาหลายปีแล้ว โดยทางกรมกิจการผู้สูงอายุ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) ได้รวบรวมสถิติมาจากกรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย ซึ่งสรุปข้อมูล ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2567 พบว่าประชากรไทยมีทั้งหมด 64,989,504 คน ในจำนวนนี้แบ่งเป็นผู้สูงอายุ อายุ 60 ปีขึ้นไป 13,450,391 คน หรือคิดเป็นสัดส่วน 20.70%

 

เมื่อจำแนกตามช่วงวัย พบว่ามีกลุ่มอายุ 60 – 69 ปี จำนวน 7,593,731 คน กลุ่มอายุ 70-79 ปี มีจำนวน 3,987,082 คน กลุ่มอายุ 80 – 89 ปี มีจำนวน 1,516,689 คน กลุ่มอายุ 90 – 99 ปี จำนวน 311,470 คน และกลุ่มอายุ 100 ปีขึ้นไป มีจำนวน 41,419 คน โดยจังหวัดที่มีผู้สูงอายุ อายุ 100 ปีขึ้นไปมากที่สุดคือ กรุงเทพมหานคร จำนวน 7,470 คน ตามด้วยนนทบุรี 1,729 คน ชลบุรี 1,310 คน เชียงใหม่ 1,296 คน นราธิวาส 1,232 คน สงขลา 1,132 คน นครศรีธรรมราช 1,131 คน นครราชสีมา 1,130 คน ยะลา 1,099 คน และปัตตานี 1,078 คน

สำหรับ 10 จังหวัดที่มีสัดส่วนผู้สูงอายุ (60 ปีขึ้นไป) สูงที่สุดเมื่อเทียบกับประชากรในพื้นที่ พบว่า

  1. ลำปาง ผู้สูงอายุคิดเป็น 28.83 % หรือจำนวน 203,111 คน จากจำนวนประชากร 704,473 คน
  2. แพร่ ผู้สูงอายุคิดเป็น 28.18 % หรือจำนวน 119,225 คน จากจำนวนประชากร 423,758 คน
  3. ลำพูน ผู้สูงอายุคิดเป็น 28.00 % หรือจำนวน 110,397 คน จากจำนวนประชากร 397,345 คน
  4. สิงห์บุรี ผู้สูงอายุคิดเป็น 27.60 % หรือจำนวน 55,251 คน จากจำนวนประชากร 200,190 คน
  5. พะเยา ผู้สูงอายุคิดเป็น 26.89% หรือจำนวน 122,050 คน จากจำนวนประชากรในพื้นที่ 456,572 คน
  6. ชัยนาท ผู้สูงอายุคิดเป็น 26.38 % หรือจำนวน 82,961 คน จากประชากรไทยในพื้นที่ 314,839 คน
  7. สมุทรสงคราม ผู้สูงอายุคิดเป็น 26.30 หรือจำนวน 48,875 คน จากจำนวนประชากรในพื้นที่ 187,394 คน
  8. อ่างทอง ผู้สูงอายุคิดเป็น 25.70 % หรือจำนวน 69,199 คน จากจำนวนประชากร ในพื้นที่ 269,274 คน
  9. อุตรดิตถ์ ผู้สูงอายุคิดเป็น 25.64% หรือจำนวน 112,031 คนจากประชากรในพื้นที่ 438,060 คน
  10. เชียงใหม่ ผู้สูงอายุคิดเป็น 25.50 % หรือจำนวน 416,884 คน จากจำนวนประชากรไทยในพื้นที่ 1,797,138 คน

จังหวัดเชียงรายที่ติดอันดับที่ 11 ในการมีสัดส่วนผู้สูงอายุมากที่สุดของประเทศ คิดเป็นผู้สูงอายุ 25.44% หรือจำนวน 295,987 คน จากประชากร ในพื้นที่ 1,297,666 คน

เป็นผลมาจากหลายปัจจัย ได้แก่

  1. **สภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อสุขภาพ**: เชียงรายมีอากาศที่บริสุทธิ์และภูมิประเทศที่งดงาม ทำให้ผู้สูงอายุสามารถใช้ชีวิตอย่างสุขสงบและมีคุณภาพชีวิตที่ดี
  2. **การสนับสนุนจากชุมชนและครอบครัว**: ชุมชนในเชียงรายมีความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้น และครอบครัวมักให้การดูแลผู้สูงอายุอย่างใกล้ชิด ทำให้ผู้สูงอายุรู้สึกอบอุ่นและมีความสุข
  3. **การเข้าถึงบริการสาธารณสุข**: เชียงรายมีการจัดการและบริการสาธารณสุขที่ดี โดยเฉพาะการดูแลผู้สูงอายุ ซึ่งรวมถึงการมีศูนย์บริการสุขภาพที่สามารถให้บริการได้อย่างครบวงจร

สรุปแล้ว การที่จังหวัดเชียงรายมีสัดส่วนผู้สูงอายุมากเป็นผลมาจากปัจจัยหลายอย่าง ทั้งสภาพแวดล้อมที่ดี การสนับสนุนจากครอบครัวและชุมชน และการเข้าถึงบริการสาธารณสุขที่มีคุณภาพ สิ่งเหล่านี้ทำให้เชียงรายเป็นจังหวัดที่เหมาะสมสำหรับการใช้ชีวิตของผู้สูงอายุ และเป็นตัวอย่างที่ดีสำหรับการดูแลผู้สูงอายุในประเทศไทย

 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ทีมข่าวนครเชียงรายนิวส์

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
NEWS UPDATE

วิจัยกสิกรฯ เผยว่า ปี 2029 ผู้สูงอายุไทยพุ่ง 18 ล้านคน

 

เมื่อวันที่ 9 กรกฎาคม 2567 ศูนย์วิจัยกสิกรไทย เปิดเผยว่า ปี 2029 คาดการณ์ว่ามูลค่าการใช้จ่ายของผู้สูงอายุไทยจะอยู่ที่ 2.2 ล้านล้านบาท โตเฉลี่ย 5.3% ต่อปี (CAGR 2024-2029) ตามจำนวนผู้สูงอายุที่เพิ่มขึ้น (ปี 2024 อยู่ที่ 1.7 ล้านล้านบาท) โดยในปี 2029 ไทยจะเข้าสู่สังคมสูงวัยขั้นสุดยอด (Super-aged Society) ซึ่งคาดว่าจะมีผู้สูงวัยในไทยราว 18 ล้านคน จากปัจจุบันที่อยู่ราว 14 ล้านคน ทั้งนี้ ธุรกิจที่คาดว่าจะได้อานิสงส์จากการขยายตัวของสังคมสูงวัย อาจแบ่งเป็น 2 กลุ่มหลัก ดังนี้

 

    1) ธุรกิจที่เน้นด้านสุขภาพ ได้แก่ ธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม และธุรกิจการดูแลสุขภาพ โดยการใช้จ่ายใน 2 หมวดนี้มีสัดส่วนรวมกันกว่า 37% ของการใช้จ่ายทั้งหมดของผู้สูงอายุ ซึ่งสูงกว่าการใช้จ่ายในหมวดเดียวกันของช่วงวัยหรือ Generation อื่นๆ ราว 3% สอดคล้องไปกับผลสำรวจของศูนย์วิจัยกสิกรไทยที่พบว่าผู้สูงอายุไทยมีความสนใจซื้อสินค้าและบริการที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพมากกว่าช่วงวัยอื่นๆ โดยคิดเป็นสัดส่วนราว 65% ของผู้สูงอายุที่ตอบแบบสำรวจทั้งหมด

 

    ขณะที่สินค้าและบริการที่น่าจะเป็นโอกาสในกลุ่มนี้ ได้แก่ ศูนย์โรคเฉพาะทาง ยาและเวชภัณฑ์ บริการดูแลผู้สูงอายุ (Nursing Home และ Care Giver) ท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ เป็นต้น โดยมีปัจจัยหนุนจากเทรนด์รักสุขภาพ ความเสี่ยงเจ็บป่วยต่างๆ โดยเฉพาะโรคติดต่อไม่เรื้อรังของผู้สูงอายุ สำหรับในหมวดอาหาร ได้แก่ อาหารและเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพสำหรับผู้สูงอายุและอาหารทางการแพทย์ แต่ทั้งนี้รูปแบบของอาหารควรเคี้ยวง่าย ย่อยง่าย มีขนาดที่พอเหมาะ และมีโภชนาการครบถ้วน

 

    2) ธุรกิจอื่นๆ ที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของผู้สูงอายุ คิดเป็นสัดส่วนราว 63% ของการใช้จ่ายทั้งหมดของผู้สูงอายุ ซึ่งการใช้จ่ายต่อครั้งจะมีมูลค่าสูง แต่มีความถี่ในการใช้จ่ายน้อยกว่าการบริโภคสินค้าในกลุ่มแรก (อาหารและสุขภาพ) อาทิ

        – ธุรกิจนวัตกรรมต่างๆ โดยเฉพาะกลุ่ม Smart Home Devices เช่น ระบบสั่งการด้วยเสียง อุปกรณ์แจ้งเตือนเมื่อเกิดอุบัติเหตุในบ้าน กล้องติดตามการเคลื่อนไหว ไม้เท้าอัจฉริยะ เครื่องช่วยฟัง เป็นต้น

        – ธุรกิจเกี่ยวกับสัตว์เลี้ยง จากปัจจุบันผู้สูงอายุที่อาศัยอยู่ในบ้านเพียงลำพังมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น รวมถึงความนิยมเลี้ยงสัตว์ของผู้สูงอายุเพื่อช่วยในการบำบัดรักษา (Pet Healing) ส่งผลให้สินค้าและบริการที่น่าจะได้ประโยชน์ เช่น อาหารสัตว์เลี้ยง อุปกรณ์เกี่ยวกับสัตว์เลี้ยง และบริการดูแลสัตว์เลี้ยง

        – ธุรกิจที่อยู่อาศัยสำหรับผู้สูงอายุ ที่ปัจจุบันโครงการที่อยู่อาศัยสำหรับผู้สูงอายุ ในปี 2023 ยังมีอยู่น้อยเพียง 728 แห่งทั่วประเทศ รองรับผู้สูงอายุที่ได้เพียงราว 19,490 คนเท่านั้น คาดว่าต่อไปจะเพิ่มมากขึ้น จากมาตรการหนุนให้ชาวต่างชาติมีอาศัยที่ไทย รวมถึงธุรกิจการปรับปรุงที่อยู่อาศัยน่าจะช่วยรองรับความต้องการของผู้สูงอายุที่มีรายได้น้อยได้

        – ธุรกิจบริการอื่นๆ เช่น บริการทางการเงิน โดยเฉพาะในกลุ่มสินเชื่อเพื่อผู้สูงอายุ และ Reverse Mortgage สำหรับผู้สูงอายุที่ต้องการเงินไว้ใช้หลังเกษียณ แต่ไม่มีลูกหลานดูแล รวมถึงบริการ Entertainment ต่างๆ สำหรับผู้สูงอายุทั้งรูปแบบออฟไลน์และออนไลน์ อาทิ เกมช่วยบริหารสมองและช่วยป้องกันภาวะสมองเสื่อม (Dementia) และเกมช่วยฝึกความไวของสายตา เป็นต้น 

 

ทั้งนี้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทยมองว่า แม้ตลาดผู้สูงอายุมีแนวโน้มน่าสนใจมากขึ้น แต่ธุรกิจอาจมีความเสี่ยงจาก 2 เรื่องหลัก ได้แก่

    1. ตลาดแข่งขันรุนแรง เพื่อแย่งชิงลูกค้าที่มีศักยภาพ แม้ตลาดผู้สูงอายุจะมีแนวโน้มเร่งตัวขึ้น แต่ในช่วง 2-3 ปีแรกของการเจาะตลาดผู้สูงอายุ ขนาดตลาดจะยังไม่ใหญ่มากตามจำนวนผู้สูงอายุไทยที่คาดว่าจะอยู่ที่ราว 23% ของจำนวนประชากรทั้งหมด และส่วนใหญ่เป็นกลุ่มที่มีรายได้น้อย ส่งผลต่อกำลังซื้อที่จำกัด

    ขณะที่ ผู้สูงอายุที่มีรายได้สูงส่วนใหญ่ พบว่ามักกระจุกตัวอยู่ในพื้นที่กรุงเทพฯ และภาคกลาง ทำให้ธุรกิจที่จะเข้ามาเป็นผู้เล่นในตลาดนี้อาจต้องเผชิญการแย่งชิงส่วนแบ่งตลาดที่เข้มข้นจากคู่แข่งทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยเฉพาะจากจีน และญี่ปุ่น

    นอกจากการปรับตัวของธุรกิจเพื่อตอบโจทย์ความต้องการของผู้สูงอายุแล้ว อีกหนึ่งประเด็นที่ต้องคำนึงถึง คือ การทำกลยุทธ์การตลาด (Marketing) ไปที่ลูก-หลาน ซึ่งส่วนหนึ่งอาจเป็นผู้ตัดสินใจซื้อสินค้าและบริการแทนผู้สูงอายุ โดยเน้นที่คุณภาพ/มาตรฐานของสินค้าและบริการ รวมถึงความคุ้มค่าด้านราคาเป็นหลัก

 

    2. ธุรกิจมีต้นทุนในการปรับตัวรองรับสังคมสูงวัย ทั้งต้นทุนหลักที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น โดยช่วงแรกของการเปลี่ยนผ่าน ธุรกิจจะมีต้นทุนส่วนเพิ่มจากการปรับไลน์การผลิต/พัฒนารูปแบบสินค้าให้ตอบโจทย์ผู้สูงอายุ เช่น สินค้ากลุ่มอาหารและเครื่องดื่มก็อาจต้องเพิ่มสารอาหารที่เหมาะสมกับวัยและโรคของผู้สูงอายุ ปรับบรรจุภัณฑ์ให้ใช้เปิด-ปิดง่าย เป็นต้น รวมถึงบางธุรกิจที่มีการใช้แรงงานเข้มข้น (Labor-intensive) ในภาคเกษตร การผลิต และการค้า ที่อาจต้องมีการนำเทคโนโลยีมาช่วยแก้ปัญหาขาดแคลนแรงงานที่จะรุนแรงในระยะข้างหน้า

    การปรับตัวเหล่านี้อาจกระทบผู้ประกอบการ SMEs ที่มีข้อจำกัดด้านเงินทุน ทั้งนี้ ปัจจุบันไทยมีจำนวนผู้ประกอบการ SMEs ทั้งหมดราว 3.18 ล้านราย โดยธุรกิจที่มีสัดส่วน SMEs สูง ได้แก่ ค้าส่ง/ค้าปลีก การผลิต ก่อสร้าง และธุรกิจการเกษตร คิดเป็นสัดส่วนรวมกันราว 63% ของจำนวน SMEs ทั้งหมด (รูปที่ 6) ทำให้ผู้ประกอบการ SMEs ในธุรกิจเหล่านี้มีแนวโน้มเผชิญแรงกดดันด้านต้นทุนเพิ่มขึ้น

    แต่ในระยะข้างหน้า การปรับตัวรองรับสังคมสูงวัย โดยเฉพาะการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีต่างๆ ที่แม้จะใช้เงินลงทุนสูงในช่วงแรก แต่คาดว่าจะสร้างความคุ้มค่าในระยะกลาง-ยาวจากราคาเริ่มถูกลง เช่น ราคาหุ่นยนต์ (Robot Price) ที่ใช้ในอุตสาหกรรม (Robot Arms, Industrial Robots) จะลดลงเฉลี่ยปีละ 11% (CAGR 2017-2025) และการใช้ AI ในธุรกิจจะมีต้นทุนลดลงจากการแข่งขันกันพัฒนาโมเดล/ความสามารถใหม่ๆ โดยเฉพาะ Gen AI (ChatGPT, Gemini, Claude-3 ฯลฯ) ซึ่งคงจะช่วยผู้ประกอบการ SMEs ให้เข้าถึงเทคโนโลยีได้ง่ายขึ้น

 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ศูนย์วิจัยกสิกรไทย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

‘วันชัย’ ดันกลไกชุมชนแก้ปัญหา”จากล่างขึ้นบน” คือ “ชุมชนสู่ระดับประเทศ”

 

เมื่อวันที่ 3 กรกฎาคม 2567 ที่อาคารอิมแพ็ค ฟอรั่ม เมืองทองธานี สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ร่วมกับ ภาคีเครือข่ายร่วมสร้างชุมชนท้องถิ่นน่าอยู่ จัดเวที “สานพลัง สร้างนวัตกรรม สู่สุขภาวะชุมชนที่ยั่งยืน ปี 2567” วาระ: ชุมชนท้องถิ่นร่วมแก้ปัญหาประเทศ” มุ่งเสริมสร้างความเข้มแข็งของชุมชนท้องถิ่น ร่วมแก้ไขปัญหาจากชุมชนสู่ระดับประเทศ โดยมี ดร.วันชัย จงสุทธานามณี นายกเทศมนตรีนครเชียงราย  ดร.นุชากร มาศฉมาดล รองนายกเทศมนตรีเมืองร้อยเอ็ด นายประทุม ไทรแช่มจันทร์ ประธานชุมชนหน้าสมาคมธรรมศาสตร์ กทม. นายประภัสสร ผลวงษ์ ผู้อำนวยการกองสาธารณสุขสิ่งแวดล้อม เทศบาลเมืองสุพรรณบุรี และ นางเยาวลักษณ์ บุญตามชู นักวิชาการสาธารณสุขเทศบาลหาดใหญ่ ร่วมเสวนาในหัวข้อ “อัตลักษณ์การเสริมสร้างความเข็มแข็งของชุมชนท้องถิ่นร่วมแก้ปัญหาประเทศ”

 

ดร.วันชัย จงสุทธานามณี นายกเทศมนตรีนครเชียงราย  กล่าวว่า เชียงรายเป็นเมืองที่มีปัญหาน้ำเสีย ปัญหาสิ่งแวดล้อมต่างๆมากมาย การที่มาทำงานจากการสัมผัสด้วยตัวเอง มองว่าการจะแก้ปัญหาสู่การพัฒนาสิ่งสำคัญที่สุดคือเป็นการสร้างภาคีเครือข่ายสร้างมุมมองคนร่วมคิดร่วมทำ การที่เราจะสะท้อนปัญหาและแก้ไขที่ชัดเจนหรือภาคประชาชนสร้างมุมมองสู่ท้องถิ่น รวมถึงการจัดวางแผนงบประมาณ เชื่อมั่นว่ากระทรวง ทบวง กรม ต่างมีงบประมาณค่อนข้างมากและกระบวนการที่เราจะคิดและปัญหาที่เราจะแก้ไขได้ เราจะเชิญชวนดึงมาปรับแผนเข้าหากัน มองว่าอยากสร้างให้เป็นชุมชนท้องถิ่นที่ยั่งยืนชุมชนที่เป็นเมืองแห่งความสุขเป็นเมืองสุขภาพดี ดังนั้นการขับเคลื่อนรวมถึงการร่วมมือกับหน่วย อสม.จึงสำคัญ

 

นอกจากนี้ ยังมีการเสริมสร้างสุขภาพและพัฒนาในเรื่องของอาหารปลอดภัย “เชื่อมั่นว่าถ้าเราปลอดภัยแข็งแรงไม่เจ็บไข้ได้ป่วยไม่ทำให้ไม่มีค่าใช้จ่าย” ทำให้คนในครอบครัวไม่ต้องกังวลใจในภาระต่างๆ เชียงรายโชคดีเมื่อทำงานเรามีภาคีเครือข่ายที่เป็นท้องถิ่นต่างๆรวมถึงเทศบาลและโรงพยาบาลเชียงราย โรงพยาบาลภาคเอกชน รวมถึงกระทรวงสาธารณสุข การที่มีสุขภาพวะตามทิศทางของนโยบาย กลยุทธ์ของผู้ว่าราชการจังหวัดสิ่งต่างๆสะท้อนออกมาเมื่อขับเคลื่อนไปจะทำให้เกิดภาคประชาชนแข็งแรง

 

ดร.นุชากร มาศฉมาดล รองนายกเทศมนตรีเมืองร้อยเอ็ด จังหวัดร้อยเอ็ด กล่าวว่า การทำงานคือคิดจากข้างล่างไปข้างบน เพราะการทำงานจากข้างล่างไปข้างบนชุมชนมีส่วนร่วมความยั่งยืนเกิดขึ้นแน่นอน  ร้อยเอ็ดทำ 8 เรื่อง ทั้ง สิ่งแวดล้อม ผู้สูงอายุ เด็กและเยาวชน เศรษฐกิจ เป็นต้น อย่างเรื่องปัญหาเด็กและเยาวชนเป็นสิ่งสำคัญ เพราะปัจจุบันพบมีเด็กออกนอกระบบการศึกษาประมาณ 1,025,115 คน แต่ปี 66 ออกนอกระบบประมาณ 1,000,000 คน  โดยจังหวัดร้อยเอ็ดมีเด็กออกนอกระบบ 6,000 คน ซึ่งเรามีการพาเด็กกลุ่มนี้ไปเรียนฝึกอาชีพซึ่งผลปรากฎว่า เด็กกลุ่มนี้สามารถเปิดร้านเสริมสวยได้ เปิดร้านซ่อมรถได้ ฯลฯ ทุกวันนี้เด็กไม่อยากไปโรงเรียนเพราะไม่รู้เรียนไปแล้วจะทำอาชีพอะไร ฉะนั้นชุมชนจึงสำคัญ  และต้องมาคิดว่าจะทำอย่างไรให้เด็กกับชุมชนอยู่ด้วยกันได้ 

 

นายประทุม ไทรแช่มจันทร์ ประธานชุมชนหน้าสมาคมธรรมศาสตร์ กทม. กล่าวว่า ตอนนี้ในประเทศไทย กลุ่มผู้สูงอายุมีเยอะมาก ในพื้นที่เรามีการประชาสัมพันธ์กับผู้สูงอายุว่า “การชราภาพเป็นเรื่องปกติ แต่เราจะชราภาพให้มีคุณภาพอย่างไร” ซึ่งเรามีการทำกิจกรรมออกกำลังกาย ไม่ว่าจะเป็นการพบปะสังสรรค์ ใช้แบบสังคมบำบัด นอกจากนี้ยังมีการพูดคุยกัน 5-10 นาที และสำหรับกลุ่มเปราะบางกับผู้ป่วยติดเตียงหรือผู้พิการจะออกกำลังกายในกลุ่มของเราไม่ได้ เราก็ต้องให้ผู้สูงอายุมาเยี่ยมพบปะพูดคุย

 

อีกเรื่องคือกลุ่มเยาวชน กลุ่มเยาวชนในชุมชนปทุมธานีเป็นพื้นที่สีแดงรองจากคลองเตย เป็นชุมชนที่ยาเสพติดค่อนข้างรุนแรงจนไม่มีใครเอาอยู่คณะกรรมการไม่มีใครเอาอยู่ จึงมีการเข้าห้ามปรามได้ผลบ้างไม่ได้ผลบ้าง เยาวชนเก่าหายไปหมดติดคุกบ้างไปเล่นยาบ้าง ตอนนี้มีการสร้างเยาวชนรุ่นใหม่เป็นเยาวชนของชุมชนและมีการประชุมการบอกโทษของยาเสพติดหลายชนิด ไม่ว่าจะเป็น ยาบ้า กัญชา กระท่อม เฮโรอีน ยาไอซ์ เรามีการประชาสัมพันธ์เรียกกลุ่มเยาวชนมาประชุมเพื่อให้ห่างไกลยาเสพติด เพราะยาเสพติดอันตรายไม่ใช่อันตรายกับชุมชนไม่ใช่อันตรายกับครอบครัวแต่อันตรายต่อประเทศชาติ เราจึงจำเป็นต้องให้เขารับรู้ว่าเป็นสิ่งไม่ดี  จึงเปิดพื้นที่เขาสร้างกิจกรรมเอง ไม่ว่าจะเป็น การทาสีกำแพงบ้าน เป็นต้น

 

นางเยาวลักษณ์ บุญตามชู นักวิชาการสาธารณสุขเทศบาลหาดใหญ่ กล่าวว่า มีชุมชนทั้งสิ้น 103 ชุมชน มีประชากร 150,000 คน รวมประชากรแฝงที่เข้ามาทำงานเข้ามาเพื่อการศึกษาการท่องเที่ยวประมาณ 150,000 คน   ในพื้นที่หาดใหญ่เป็นพื้นที่หลายวัฒนธรรม ทั้งไทย จีน เมืองหาดใหญ่จะเจอปัญหาต่างๆที่กระทบต่อคุณภาพชีวิตของประชาชนในพื้นที่เหมือนเมืองอื่นๆ ภายใต้การดำเนินนโยบายของเทศบาลนครหาดใหญ่และส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชนหรือทุนทางสังคมในพื้นที่เพื่อขับเคลื่อนสู่เมืองน่าอยู่อย่างยั่งยืน ซึ่งมีในพื้นที่มากมาย ไม่ว่าจะเป็น เรื่องของหน่วยงานภาครัฐในหน่วยงานสาธารณสุขในพื้นที่มีโรงพยาบาลเอกชน มีสถาบันการศึกษาต่างๆ

 

นางเยาวลักษณ์ กล่าวต่อว่า หาดใหญ่เข้าสู่สังคมผู้สูงอายุโดยสมบูรณ์ โดยมีผู้สูงอายุร้อยละ 19.19 ซึ่งถ้าไม่มองในเรื่องของดูแลผู้สูงอายุจะทำให้การพัฒนาด้านอื่นเป็นไปไม่ได้ด้วย ฉะนั้นเทศบาลหาดใหญ่มีนโยบายเรื่อง “แก่แต่เก๋า สูงวัยแต่ฉลาด” โดยมีกิจกรรมต่างๆเพื่อทำให้ผู้สูงอายุเป็นผู้สูงอายุที่ทรงพลังทางด้านสุขภาพและการมีความพร้อมช่วยเหลือตนเองได้ ไม่นั่งนึกถึงก่อนวัยอันควรหรือในเรื่องของการส่งเสริมการรวมกลุ่มของชมรมผู้สูงอายุเพื่อให้ดูแลการการสร้างการเรียนรู้ตลอดชีวิต การจัดตั้งมีผู้สูงอายุที่จะไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง การจัดบริการดูแลระยะยาวด้านสาธารณสุขสำหรับผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิง 

 

สิ่งที่ได้เรียนรู้จากการสร้างเพิ่มขีดความสามารถอย่างน้อยใน 6 ประการ 1. การพัฒนาภาวะผู้นำของผู้นำและบุคลากรทุกฝ่ายของเทศบาลนครหาดใหญ่และหน่วยงานองค์กรทั้งภาครัฐและภาคประชาสังคมที่เกี่ยวข้อง  2. การเพิ่มคุณภาพการจัดระบบข้อมูล  3. การพัฒนาศักยภาพระบบและกลไก 4. การสร้างการมีส่วนร่วมของเทศบาลนครหาดใหญ่   5. การนำเทคโนโลยีดิจิตอลมาใช้ในการพัฒนาและแอพพลิเคชั่นต่างๆ  6. การสร้างนวัตกรรมโดยบริหารจัดการให้เกิดรูปธรรมการพัฒนาสร้างสรรและความเชี่ยวชาญในการจัดการความรู้

 

สสส.เข้ามาสอนเราในเรื่องของการพัฒนาศักยภาพของกลุ่มและทำให้ค้นพบผู้นำรุ่นใหม่ที่จะต่อยอดการพัฒนาชุมชนซึ่งเราเน้นชุมชนเป็นฐาน นางเยาวลักษณ์ กล่าวทิ้งท้าย

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News