เชียงรายยกระดับสู้ฝุ่น! จังหวัดเตรียม “ห้ามเผาในที่โล่ง” 86 วัน (14 ก.พ. – 10 พ.ค. 2569) ตั้งธงลด PM2.5 ลง 15–30% ขยายผลบทเรียน “เชียงรายฟ้าใส” – ภาคประชาชนเสนอรื้อโครงสร้างและอุดหนุน อปท.ทั่วพื้นที่เสี่ยง
เชียงราย,8 พฤศจิกายน 2568 – จังหวัดเชียงรายประชุมคณะทำงานขับเคลื่อนการป้องกันและแก้ไขปัญหาไฟป่าหมอกควัน กำหนดกรอบ “ห้ามเผาในที่โล่งทุกชนิด” ปี 2569 ตั้งแต่ 14 กุมภาพันธ์ถึง 10 พฤษภาคม (ประมาณ 86 วัน) เพื่อคุมเชื้อเพลิงตั้งแต่ต้นฤดูแล้ง ตั้งเป้าลดจำนวนวันที่ค่า PM2.5 เกินมาตรฐานลง 15–30% พร้อมลดจุดความร้อนและพื้นที่เผาไหม้ลงอย่างมีนัยสำคัญ โดยอาศัยบทเรียนปี 2568 ที่เชียงรายลดฮอตสปอตได้มากกว่า 80% ขณะเดียวกัน “สภาลมหายใจเชียงราย” ย้ำรัฐต้องรื้อโครงสร้างจากคำสั่งเฉพาะกิจเป็นระบบถาวร เพิ่มงบ อปท. ติดเซนเซอร์คุณภาพอากาศระดับตำบล และจัดการเผาอย่างโปร่งใสตามมาตรฐานเดียวกัน
ทำไม “เริ่มเร็ว–คุมเข้ม” ถึงสำคัญกับเชียงราย
ในพื้นที่สูงภาคเหนือ ไฟป่าและหมอกควันวนกลับมาเป็นวัฏจักรทุกฤดูแล้ง การเริ่ม “ห้ามเผา” ให้เร็วขึ้นคือการขังเชื้อเพลิงตั้งแต่ต้นฤดู เพื่อไม่ให้ไฟลุกลามช่วงมีลมแรงและความชื้นสัมพัทธ์ต่ำในเดือนมีนาคม–เมษายน ซึ่งเป็นหน้าวิกฤตสุดของปี การตัดสินใจของจังหวัดเชียงรายให้เริ่มช่วงห้ามเผาตั้งแต่วันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2569 จึงสะท้อนยุทธศาสตร์ “ตัดไฟแต่ต้นลม” ต่างจากปีก่อนๆ ที่เริ่มช้ากว่านี้ และสอดรับกับข้อเท็จจริงเชิงพื้นที่ที่เชียงรายเป็นจังหวัดชายแดน รับอิทธิพลฝุ่นข้ามแดนและไฟป่าปะทุในป่าสงวน/ป่าอนุรักษ์จำนวนมาก หากคุมต้นฤดูได้ ความรุนแรงปลายฤดูก็จะ “ฟุบ” ลงตามสมมติฐานแบบจำลองการลุกไหม้ที่หน่วยงานด้านภูมิสารสนเทศใช้อ้างอิง (GISTDA รายงานการติดตามพื้นที่เสี่ยงอย่างต่อเนื่องและเผยแพร่ผ่านแดชบอร์ด FireD; ข้อมูลนี้ถูกใช้ในการวางแนวกันไฟและบริหารเชื้อเพลิงในพื้นที่จริง)
บทสรุปผู้บริหาร (Executive Summary)
- กรอบเวลาใหม่ จังหวัดตั้งใจ “ห้ามเผาในที่โล่งทุกชนิด” ระหว่าง 14 ก.พ. – 10 พ.ค. 2569 (86 วัน) เพื่อคุมเชื้อเพลิงช่วงต้นฤดูแล้ง ลดการสะสมมลพิษก่อนเข้าสู่ช่วงวิกฤต โดยวางตัวชี้วัด (KPIs) เพื่อลดวันค่า PM2.5 เกินมาตรฐาน 15–30% ร่วมกับการบังคับใช้กฎหมายและการจัดการเชื้อเพลิงเชิงรุก อิงบทเรียนปีก่อนที่ทำให้ “จุดความร้อน” ของเชียงรายลดลงมากกว่า 80% ตามสรุปผลที่เผยแพร่โดยสื่อท้องถิ่นที่อ้างอิงข้อมูลจังหวัด/หน่วยงานป่าไม้และปภ.จังหวัด (ลดเหลือราว 600 จุด และพื้นที่เผาไหม้รวม ~5.2 หมื่นไร่ ลดลงจากปีก่อนราว 16%)
- กรอบกฎหมายระดับชาติ ด้านภาคการเกษตร ราชกิจจานุเบกษาเคยประกาศกำหนดช่วง “งดเผา” และบทลงโทษเชิงปกครองต่อเกษตรกรที่เผา โดยยืนยันแนวทาง “งดเผาในช่วงวิกฤต” พร้อมมาตรการตัดสิทธิประโยชน์รัฐบางประเภท ซึ่งเป็นฐานนโยบายที่จังหวัดสามารถเชื่อมต่อไปสู่การบังคับใช้ระดับพื้นที่ได้ (แม้ปี–ช่วงเวลาจะกำหนดใหม่เป็นรายปี แต่หลักการและเครื่องมือทางปกครองคงเดิม)
- ข้อเสนอภาคประชาชน “สภาลมหายใจเชียงราย” เสนอให้ รื้อโครงสร้าง จากคำสั่งเฉพาะกิจเป็นระบบถาวร, อุดหนุนงบ อปท. ครบทุกพื้นที่เสี่ยง, มาตรฐานเดียวกันเรื่อง “ชิงเผา”, และการติดตั้งเครื่องวัดคุณภาพอากาศระดับตำบล (DustBoy/Air Sensor) เปิดข้อมูลเรียลไทม์ต่อสาธารณะ ซึ่งสะท้อนการทำงานร่วมกันระหว่างรัฐ–ท้องถิ่น–ชุมชนที่ต่อเนื่องมาหลายปีในภาคเหนือ
ภาพรวมสถานการณ์ ตัวเลขเล่าเรื่อง
- ฮอตสปอต–ไฟไหม้สะสม ปี 2568 เชียงราย “กดฮอตสปอต” ลงได้มากกว่า 80% เมื่อเทียบฐานปี 2567 และพื้นที่เผาไหม้รวมลดลงราว 16% เหลือราว 52,312 ไร่ (ข้อมูลสรุปภาพรวมจากแหล่งข่าวท้องถิ่นที่อ้างข้อมูลราชการ/ป่าไม้) ตัวเลขนี้สะท้อนว่ามาตรการเชิง ป้องกันการจุดไฟ ทำงานได้ แต่ในทางยุทธศาสตร์ยังต้องเร่งเรื่อง การจัดการเชื้อเพลิง และ การกดพื้นที่ลุกลามในป่าสงวน/ไร่หมุนเวียน ให้ลึกขึ้น เพราะสัดส่วนพื้นที่ป่าที่ไหม้ยังสูง และบางหมวดพื้นที่เพิ่มขึ้นสวนทาง (เช่น ป่าสงวนฯ และพื้นที่ไร่หมุนเวียน) ตามบทวิเคราะห์ในพื้นที่เอง
- คุณภาพอากาศ มาตรฐาน PM2.5 รายวันของไทยกำหนดไว้ที่ 37.5 µg/m³ ส่วนเกณฑ์ WHO (ค่าแนะแนว) เข้มกว่ามาก เมื่อพิจารณาภาพรวมประเทศ ปัญหา PM2.5 ใน “โหมดวิกฤต” ช่วงฤดูแล้งภาคเหนือยังเกิดซ้ำ การลดวัน “เกินมาตรฐาน” จึงเป็น KPI ที่จับต้องได้สำหรับคนในพื้นที่ เพราะสัมพันธ์กับการเตือนภัยสุขภาพและการทำมาหากินของประชาชน (กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติฯ/กรมควบคุมมลพิษรายงานสถานการณ์และค่าสังเกตจุดต่อจุด ตลอดจนแนวโน้มโดยรวมอย่างต่อเนื่อง)
- การเฝ้าระวังเชิงภูมิสารสนเทศ GISTDA ยืนยันว่าข้อมูลดาวเทียม/แบบจำลองไฟป่าถูกส่งต่อให้หน่วยงานภาคสนามใช้วางแนวกันไฟ จัดการเชื้อเพลิง และบริหารความเสี่ยงเชิงรุก ซึ่งเป็นฐานข้อมูลสำคัญให้จังหวัดต่างๆ (รวมทั้งเชียงราย) ใช้กำหนดช่วง “ห้ามเผา” ให้เหมาะกับสภาพจริงแต่ละปี
จาก “บทเรียนปีที่แล้ว” สู่ยุทธศาสตร์ 2569 เริ่มเร็ว–บังคับใช้จริง–เชื่อมโยงฐานข้อมูล
การขยาย “หน้าต่างห้ามเผา” เป็น 14 ก.พ. – 10 พ.ค. 2569 ทำให้จังหวัดมีเวลาบังคับใช้ยาวพอที่จะคุมต้นฤดูและคุมปลายฤดูร่วมกัน แนวทางนี้พ้องกับหลักฐานเชิงประจักษ์ว่าการควบคุมช่วงต้นฤดูช่วยลด “คลื่นไฟ” ช่วงพีก และลดโอกาสเกิด “ซูเปอร์ไฟ” ในป่าสงวน/อนุรักษ์ (ที่ดับยากกว่าและกินพื้นที่มากกว่า) ซึ่งสอดรับกับสิ่งที่หลายจังหวัดภาคเหนือทำในช่วง 2–3 ปีที่ผ่านมา โดยอาศัยข้อมูลฮอตสปอตสดจากระบบดาวเทียม (VIIRS/FIRMS) และแดชบอร์ด FireD ของ GISTDA ในการตัดสินใจระดับปฏิบัติการแต่ละวัน
ในด้านการสื่อสารกับประชาชน การกำหนด KPI ที่ “พูดภาษาเดียวกับสาธารณะ” เช่น จำนวนวัน PM2.5 เกินมาตรฐาน ถือเป็นความคืบหน้า เพราะประชาชนเข้าใจผลกระทบได้ทันที ไม่ต้องแปลศัพท์เทคนิค ขณะเดียวกัน จังหวัดยังคงต้องสื่อสาร “ผลกระทบทางปกครอง–เศรษฐกิจ” ต่อผู้ฝ่าฝืน (โดยเฉพาะการเผาในพื้นที่เกษตรกรรมช่วงวิกฤต) ให้ชัดเจนและ “ทำจริง” เชื่อมมาตรการจังหวัดกับกรอบนโยบายระดับชาติที่เคยประกาศในราชกิจจานุเบกษา เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือด้านการบังคับใช้ (แม้ประกาศจะอัปเดตทุกปี แต่หลักคิดเรื่องช่วงงดเผาและบทลงโทษ/ตัดสิทธิ์ยังถูกใช้เป็นเครื่องมือหลัก)
เสียงภาคประชาชน “รื้อโครงสร้าง–เติมงบ–ข้อมูลโปร่งใส”
“สภาลมหายใจเชียงราย” และเครือข่ายภาคเหนือ เสนอ 7 แกนหลัก ได้แก่ (1) กำหนดแนวทางเดียว “ห้ามเผาเด็ดขาด” หรือ “จัดการเชื้อเพลิงแบบลงทะเบียน” ลดความสับสนหน่วยงาน, (2) เตรียมระบบ–คนล่วงหน้า, (3) งบบูรณาการต้องทันเวลา, (4) คุม “ชิงเผา” ด้วยมาตรฐานเดียว–ห้ามเผากลางคืน–เปิดข้อมูลต่อสาธารณะ, (5) อุดหนุนงบ อปท. ครบทุกพื้นที่เสี่ยง, (6) ขยายสถานีตรวจวัดคุณภาพอากาศระดับตำบล (DustBoy/Air Sensor) และเปิดข้อมูลเรียลไทม์, (7) ทำยุทธศาสตร์ Airshed ข้ามจังหวัด–ข้ามแดน รับมือฝุ่นข้ามพรมแดน เสนอเชิงนโยบายเหล่านี้สอดรับกับสิ่งที่เกิดขึ้นจริงในภาคสนามตลอดหลายปี ซึ่งมักติด “คอขวด” ที่งบกลางล่าช้า เครื่องมือแทนการเผายังไม่พอ และข้อมูลคุณภาพอากาศระดับหมู่บ้านยังไม่ครอบคลุมเท่าที่ควร
ความท้าทาย 3 ด้านที่เชียงรายต้องข้ามให้พ้นในฤดู 2569
1) จาก “กดจุดไฟ” สู่ “ลดพื้นที่ลุกลาม”
บทเรียน 2568 บอกชัดว่า เชียงรายทำได้ดีมากในการกดจำนวนฮอตสปอตให้ต่ำลง แต่พื้นที่เผาไหม้รวมลดลงไม่มากเท่าที่หวัง แปลว่าทุกครั้งที่ไฟเกิด มักลุกลามกินพื้นที่กว้าง โดยเฉพาะในป่าสงวน/อนุรักษ์และพื้นที่ไร่หมุนเวียน การแก้สมการนี้จึงต้องเร่ง “จัดการเชื้อเพลิงเชิงรุก” ก่อนเข้าหน้าห้ามเผา เช่น แนวกันไฟในจุดเสี่ยงของอำเภอเวียงแก่น เวียงป่าเป้า พาน การชุ่มชื้นเชื้อเพลิงด้วยฝายชะลอน้ำ และยกระดับ “ยุทธวิธีดับไฟ” ให้ลดเวลาเฉลี่ยเข้าควบคุมเพลิง พร้อมตัวชี้วัดใหม่อย่าง “พื้นที่ไหม้เฉลี่ยต่อเหตุ” (Average Burned Area/Incident) เพื่อปรับยุทธวิธีแบบรายพื้นที่แทนการใช้มาตรการเดียวทั้งจังหวัด (ข้อมูลภาพรวมปี 2568 ที่เผยแพร่ต่อสาธารณะยืนยันว่าพื้นที่ป่าเป็นสัดส่วนใหญ่ของพื้นที่ไหม้ และบางหมวดเพิ่มขึ้น)
2) บังคับใช้เชิงปกครองในภาคเกษตรอย่างจริงจัง
กรอบกฎหมายส่วนกลางเคยประกาศ “งดเผา” พร้อมบทลงโทษตัดสิทธิประโยชน์รัฐแก่ผู้ฝ่าฝืน ซึ่งเป็น “คันโยก” ทางเศรษฐศาสตร์พฤติกรรมที่สำคัญ จังหวัดควรเชื่อมเข้ากับข้อมูลฮอตสปอต–พิกัดแปลงเกษตร เพื่อให้การเตือน–บันทึก–ตัดสิทธิ์ มีน้ำหนักและเป็นธรรม เชื่อมโยงฐานข้อมูลระหว่างปภ., เกษตรจังหวัด, ป่าไม้, และกรมการค้าต่างประเทศในกรณีนโยบายการค้าเกษตรที่เกี่ยวข้อง (ในช่วงที่ผ่านมา ราชกิจจานุเบกษาได้เผยแพร่ประกาศที่วางกรอบ “งดเผา–ตัดสิทธิ์” ในภาคเกษตรไว้เป็นฐาน)
3) ขยาย “ชั้นข้อมูลสาธารณะ” ให้ถึงระดับหมู่บ้าน
ข้อเสนอให้ติดเซนเซอร์ราคาย่อมเยาระดับตำบล/หมู่บ้าน (เช่น DustBoy/Air Sensor) เป็นแนวทางที่ประจักษ์แล้วในหลายจังหวัดเหนือ เพราะทำให้คนเห็นค่าฝุ่นจริงหน้าโรงเรียน–ศูนย์เด็กเล็ก–ตลาด ซึ่งกระตุ้นให้ร่วมมือได้ดีกว่าการรายงานเชิงจังหวัดเพียงอย่างเดียว และช่วยให้หน่วยบังคับใช้กำหนดจุดลาดตระเวน–เวรยาม–แนวกันไฟแบบ “อิงข้อมูลจริง” ในวันต่อวัน (เครือข่ายสภาลมหายใจเผยแพร่ข้อเสนอมาต่อเนื่อง)
มิติข้ามแดนและโซ่อุปทาน ลด “การรั่วไหล” ของมลพิษ
เชียงรายในฐานะจังหวัดชายแดน ต้องเผชิญฝุ่นข้ามแดนจากทิศตะวันตกเฉียงเหนือและทิศตะวันออกเฉียงเหนือในบางช่วง การสร้างยุทธศาสตร์ “Airshed ภาคเหนือ” ที่มองลม–ภูมิประเทศ–รูปแบบเผาให้เป็นผืนเดียวกัน และการประสานเพื่อนบ้านในระดับจังหวัด–กลไกรัฐ เป็นหัวใจของการลด “วันที่วิกฤต” แม้จังหวัดเดียวทำดีที่สุด ตัวเลขก็ยังผันผวนเมื่อเกิดไฟป่าขนาดใหญ่ฝั่งนอก การทำข้อตกลงภาคเกษตรกับห่วงโซ่นำเข้าที่ “ไม่เอื้อต่อการเผา” (เช่น เงื่อนไขตรวจย้อนกลับวัตถุดิบ) และการเพิ่ม “แรงจูงใจราคา” ให้ผลผลิตปลอดการเผา เป็นเครื่องมือที่เครือข่ายภาคประชาชน–เอกชนผลักดันคู่ขนานกับรัฐมาโดยตลอด ขณะที่ระดับประเทศก็ขยับใช้ประกาศ–มาตรการเพื่อคุมช่วงวิกฤตภาคเกษตรเป็นการทั่วไปตามที่ประกาศในราชกิจจานุเบกษา ซึ่งจังหวัดสามารถนำไปประยุกต์ให้เหมาะกับพื้นที่ได้ (หลักการและเจตนารมณ์ในประกาศดังกล่าวอธิบายเครื่องมือรัฐที่ใช้ได้จริงในภาคสนาม)
แผนปฏิบัติการเชิงข้อเสนอ (สำหรับจังหวัด–อปท.–ชุมชน)
- จัดการเชื้อเพลิงเชิงรุกก่อน 14 ก.พ.
- เร่งทำแนวกันไฟถาวร/กึ่งถาวรใน “คอขวดลุกลาม” ของเวียงแก่น–เวียงป่าเป้า–พาน โดยอิงฮอตสปอตย้อนหลัง 3 ปี และแบบจำลองการแพร่ไฟของ GISTDA/FireD (ข้อมูลสาธารณะ) เพื่อจัดลำดับความสำคัญรายตำบล/หมู่บ้าน
- สนับสนุนเครื่องมือทดแทนการเผา (ไถกลบ ย่อยเศษพืช) พร้อมเงินอุดหนุนเชิงเป้าหมายแก่เกษตรกรใน “พื้นที่ต้นเพลิงซ้ำซาก” และสร้างเส้นทางระบายเศษพืชไปสู่เชื้อเพลิงชีวมวล/ปุ๋ยหมัก โดยบูรณาการงบท้องถิ่น–กองทุนสิ่งแวดล้อม–ภาคเอกชน (CSR)
- บังคับใช้เชิงปกครอง–อาญา “สั้น กระชับ ชัดเจน”
- ประกาศคำสั่งจังหวัดพร้อม “แนบท้าย” ขั้นตอนเตือน–บันทึก–ตัดสิทธิ์–ร้องทุกข์ ให้ อปท./กำนัน–ผู้ใหญ่บ้านใช้เป็นคู่มือเดียว เพื่อให้การดำเนินการ “เป็นธรรม–ตรวจสอบได้” ตามกรอบกฎหมายกลางที่เคยประกาศในราชกิจจานุเบกษา (งดเผาช่วงวิกฤต–ตัดสิทธิ์ผู้ฝ่าฝืน)
- สร้าง Data Hub จังหวัด
- ผูกข้อมูล ฮอตสปอต (รายวัน) × แปลงเกษตร (พิกัด) × สถานีวัดฝุ่น (ตำบล) เพื่อแจ้งเตือนเชิงรุกและวางเวรยาม/เส้นทางดับไฟให้ตรงจุด รวมถึงใช้เป็นหลักฐานประกอบการบังคับใช้เชิงปกครองต่อเกษตรกรที่เผาในช่วงห้าม
- เปิดแดชบอร์ดสาธารณะ (เบต้า) ให้ประชาชนเห็นค่าฝุ่นหน้าบ้าน–หน้าโรงเรียนแบบใกล้จริง (จากเซนเซอร์ระดับชุมชน) เพื่อยกระดับการมีส่วนร่วมและแรงกดดันทางสังคมในช่วง 86 วันห้ามเผา (ภาคประชาชนเสนอขยายเซนเซอร์ DustBoy/Air Sensor ครอบคลุมตำบล)
- สื่อสารสาธารณะ “หนึ่งเสียง”
- แพ็กข้อความ 3 ชั้น— (ก) สุขภาพ วิธีป้องกัน, จุดแจกหน้ากาก/ห้องปลอดฝุ่น, (ข) กฎหมาย ช่วงห้ามเผา–บทลงโทษ–ตัดสิทธิ์, (ค) การมีส่วนร่วม ช่องทางแจ้งเหตุ–อาสาดับไฟ–ร่วมลาดตระเวน—สื่อสารผ่านวิทยุชุมชน เสียงตามสาย โรงเรียน รพ.สต. และแพลตฟอร์มออนไลน์จังหวัด/อำเภอ
- ห้ามเผากลางคืน–ข้ามคืน (ตามข้อเสนอเครือข่าย) เพื่อไม่ให้เจ้าหน้าที่เสียเปรียบในการเฝ้าระวังและตอบสนอง และลดการจุดไฟแบบ “ซ่อนควัน” ในช่วงเวลาที่ประชาชนสังเกตการณ์น้อย
- บูรณาการข้ามแดน–ข้ามหน่วย
- ทำ “ปฏิทินลม” กับจังหวัดเพื่อนบ้าน/ประเทศเพื่อนบ้าน วางเวรยามเข้มช่วงลมพัดข้ามแดน
- ประชุมร่วมผู้ประกอบการเมล็ดพืชอาหารสัตว์–สหกรณ์เกษตรชายแดน กำหนดเงื่อนไขรับซื้อที่ไม่จูงใจการเผา (แนวคิด traceability/ปลอดการเผาในห่วงโซ่อุปทาน เกื้อหนุนการลดไฟป่าชายแดน)
มองไปข้างหน้า เป้าหมาย “ลดวันวิกฤต” ให้ประชาชนสัมผัสได้
เป้าหมายลดวันค่า PM2.5 เกินมาตรฐานลง 15–30% อาจดูไม่หวือหวาเท่าการประกาศ “ศูนย์ฮอตสปอต” แต่เป็นเป้าหมายที่ประชาชน “รู้สึกได้” เพราะสัมพันธ์กับการปิด–เปิดโรงเรียน สาธารณสุข และเศรษฐกิจฐานราก วิธีไปให้ถึงจึงไม่ใช่เพียงการ “ห้ามเผา” แต่ต้องใส่ “ฟันเฟือง” เพิ่มในจุดคอขวด การจัดการเชื้อเพลิงในป่า, การดับไฟที่เร็วและแม่น, การบังคับใช้ในภาคเกษตรที่ยึดข้อมูล, และการเติมอุปกรณ์วัดฝุ่นระดับชุมชนให้ครอบคลุม
เชียงรายมีแต้มต่อจากบทเรียนปี 2568 ที่พิสูจน์แล้วว่า “กดไฟให้เบา” ทำได้จริง ตัวเลขฮอตสปอตที่ลดฮวบยืนยันคุณภาพการประสานงานของจังหวัด–อปท.–ชุมชน หากปี 2569 เติมดิจิทัลแพลตฟอร์มด้านข้อมูลและยกระดับมาตรการเชิงปกครองควบคู่ไปกับการสนับสนุนเครื่องมือทดแทนการเผา เป้าหมายลดวันวิกฤตก็ไม่ไกลเกินเอื้อม และจะส่งสัญญาณสำคัญสู่ทั้งประเทศว่า “ระบบถาวรแก้ฝุ่นควัน” สามารถทำได้ตั้งแต่ฐานจังหวัด
สรุปเชิงนโยบาย (Key Takeaways)
- เริ่มเร็ว–คุมเข้ม 14 ก.พ. – 10 พ.ค. 2569 คือหน้าต่างทองสำหรับคุมไฟต้นฤดู–ปลายฤดูพร้อมกัน
- วัดผลที่ประชาชนสัมผัสได้ KPI ลดวัน PM2.5 เกินมาตรฐาน 15–30% สอดรับการปกป้องสุขภาพและเศรษฐกิจฐานราก (โรงเรียน–ท่องเที่ยว–ค้าขาย)
- “ป้องกัน” ดีแล้ว แต่ต้อง “กดลุกลาม” ให้ได้ เติมเครื่องมือจัดการเชื้อเพลิง–แนวกันไฟ–ยุทธวิธีดับไฟ เพื่อลดพื้นที่ไหม้ต่อเหตุ (เฉพาะจุดเสี่ยง) อิงบทเรียนปีที่ผ่านมาในเชียงรายที่พื้นที่ไหม้ยังสูงเมื่อเทียบกับฮอตสปอตที่ลดลงมาก
- เชื่อมกฎหมายกลาง–ข้อมูลท้องถิ่น ใช้กรอบราชกิจจานุเบกษาเรื่องงดเผา/ตัดสิทธิ์เป็นฐาน บูรณาการข้อมูลฮอตสปอตกับแปลงเกษตรและเซนเซอร์ชุมชนเพื่อบังคับใช้ที่เป็นธรรม ตรวจสอบได้ และลดข้อโต้แย้ง
- รื้อโครงสร้างเชิงระบบ เดินตามข้อเสนอ “สภาลมหายใจเชียงราย”—เพิ่มงบ อปท., มาตรฐานเดียวเรื่องชิงเผา, และขยายเซนเซอร์ให้ครอบคลุมตำบล เปิดข้อมูลเรียลไทม์เพื่อให้ทุกฝ่ายร่วมรับผิดชอบร่วมกัน
เครดิตภาพและข้อมูลจาก :
- สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
- GISTDA
- กรมควบคุมมลพิษ (กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม)
- ราชกิจจานุเบกษา ประกาศกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ว่าด้วยมาตรการป้องกันและแก้ไขปัญหา PM2.5 ภาคการเกษตร
- กรมป่าไม้ (Forest Info)








