Categories
ECONOMY

ส่งออกไทย 7 เดือนแรกปี 67 ไทย ยังขาดดุลการค้าที่ 231,556.5 ล้านบาท

 

เมื่อวันที่ 27 สิงหาคม 2567 นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) เผย ภาวะการค้าระหว่างประเทศของไทยเดือนกรกฎาคม และ 7 เดือนแรกของปี 2567 โดยชี้ข้อมูลระบุว่า การส่งออกของไทยในเดือนกรกฎาคม 2567 ฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่ง มีมูลค่า 25,720.6 ล้านเหรียญสหรัฐ (938,285 ล้านบาท) ขยายตัว 15.2% มากกว่าที่คาดการณ์ไว้ที่ 5-8% นับเป็นอัตราการเติบโตสูงสุดในรอบ 28 เดือน นับตั้งแต่เดือนมีนาคม 2565 

โดยการส่งออก 7 เดือนแรก (ม.ค.-ก.ค. 2567) ขยายตัว 3.8% มูลค่า 171,010.6 ล้านเหรียญสหรัฐ ขยายตัว 3.8% ขณะที่การนำเข้า 7 เดือนแรก มูลค่า 177,626.5 ล้านเหรียญสหรัฐ ขยายตัว 4.4%  โดยรวม ไทยยังขาดดุลการค้าที่ 6,615.9 ล้านเหรียญสหรัฐ

อย่างไรก็ตาม นายพูนพงษ์ ยังมั่นใจว่า การส่งออกของไทยในปีนี้ จะอยู่ในกรอบเป้าหมายที่ตั้งไว้ 1-2% และมีโอกาสสูงที่จะขยายตัวได้ในกรอบบน ซึ่งจะทยอยฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป ตามภาวะเศรษฐกิจและการค้าโลกที่กำลังปรับตัวดีขึ้น แม้ยังมีปัจจัยเสี่ยง เช่น สถานการณ์ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาตร์ที่ยืดเยื้อ และความไม่แน่นอนของนโยบายเศรษฐกิจและการค้า หลังการเลือกตั้งในปลายประเทศสำคัญ

“ส่งออกเดือนกรกฎาคม ขยายตัวในทุกกลุ่มสินค้า ทั้งเกษตร ตสาหกรรมการเกษตร และอุตสาหกรรม ปัจจัยสนับสนุนสำคัญมาจากการฟื้นตัวของความต้องการซื้อสินค้ากลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ในตลาดโลก ตามเทคโนโลยีดิจิทัล และการส่งออกสินค้าเกษตรที่สำคัญ ที่จะได้รับประโยชน์ในด้านราคาที่สูงขึ้น จากภาวะอุปทาน (Supply) ในตลาดโลกที่น้อยลง แต่ยังคงมีปัจจัยกดดัน ได้แก่ ค่าระวางเรือของโลกสูงขึ้นจากเดือนมิถุนายน และสินค้าส่งออกสำคัญบางรายการ ได้รับผลกระทบจากการแข่งขันของสินค้าใหม่ที่เข้ามาทดแทนสินค้าเดินชมในตลาดโลกมากขึ้นเรื่อยๆ” นายพูนพงษ์ กล่าว

สำหรับสินค้าเกษตร มีมูลค่าการส่งออก 2,245.6 ล้านดอลล่าร์ กลับมาขยายตัว 3.7% โดยสินค้าที่ขยายตคัวดีได้แก่ ยางพารา, ข้าว, ไก่สด แช่เย็น-แช่แข็ง และแปรรูป ส่วนอุตสาหกรรมเกษตร มีมูลค่าส่งออก 2,118.3 ล้านดอลล่าร์ กลับมาขยายตัว 14.6% โดยสินค้าที่ขยายตัวดีได้แก่ ไขมันและน้ำมันจากพืชและสัตว์, อาหารสัตว์เลี้ยง, อาหารทะเลกระป๋อง-แปรรูป และสินค้าอุตสาหกรรม มีมูลค่าส่งออก 20,254.2 ล้านดอลล่าร์ ขยายตัว 15.6% ขยายตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 4 โดยสินค้าที่ขยายตัวดี ได้แก่ เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ เครื่องโทรศัพท์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ สินค้าที่เกี่ยวเนื่องกับน้ำมัน เครื่องปรับอากาศและส่วนประกอบ และผลิตภัณฑ์ยาง 

ขณะที่การส่งออกไปตลาดสำคัญส่วนใหญ่ ขยายตัวได้ดี ตามภาพรวมเศรษฐกิจคู่ค้าที่มีสัญญาณปรับตัวดีขึ้น โดยเฉพาะตลาดหลัก อาทิ สหรัฐฯ, จีน, อาเซียน (5), กลุ่ม CLMV และสหภาพยุโรป ส่วนตลาดสวิสเซอร์แลน์ ขยายตัวสูงที่สุด 517.5% ตามด้วยเอเชียใต้ ขยายตัว 29.5% และสหรัฐ ขยายตัว 26.3% ส่วนจีน อยู่อันดับสิบ ที่ขยายตัว 9.9%

ด้านนายชัยชาญ เจริญสุข ประธานสภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย (สรท.) กล่าวว่า ภาพรวมส่งออกไทยปีนี้ คาดว่า จะทำได้ตามเป้าหมาย 1-2% แม้ว่า เงินบาทแข็งอาจมีผลกระทบกับคำสั่งซื้อใหม่ในช่วงปลายปีนี้ ถึงต้นปีหน้าอยู่บ้าง ซึ่งผู้ส่งออกต้องพิจารณาปัจจัยค่าเงินให้ดี ก่อนตกลงทำสัญญาซื้อขายสินค้า

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
MOST POPULAR
FOLLOW ME
Categories
FEATURED NEWS

สนค. จัดสัมมนาการแยกห่วงโซ่อุปทาน สหรัฐ-จีน และนัยต่อเศรษฐกิจไทย

นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (ผอ.สนค.) เป็นประธานเปิดงานสัมมนาเผยแพร่ผลการศึกษา “โครงการศึกษาการแยกห่วงโซ่อุปทาน (Decoupling) ของอุตสาหกรรมสำคัญระหว่างสหรัฐอเมริกาและจีน และนัยต่อเศรษฐกิจการค้าไทย” ร่วมกับมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ในวันที่ 19 กรกฎาคม 2566 ณ โรงแรมอีสติน แกรนด์ พญาไท โดยภายในงานมีผู้แทนภาคเอกชนจาก
สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย สภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย หอการค้าไทยในจีน และบริษัท
วิสอัพ จำกัด ร่วมในเวทีสัมมนา

 

            นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ เปิดเผยว่า สงครามการค้าของสองมหาอำนาจทางเศรษฐกิจอย่างสหรัฐอเมริกากับจีนที่เริ่มตั้งแต่ปี พ.ศ. 2561 ที่สหรัฐฯ จำกัดการส่งออกสินค้าที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีไปจีน และได้เพิ่มความรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ ส่งผลกระทบต่อประเทศต่าง ๆ ในโลกอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้  โดยเฉพาะไทยซึ่งเป็นประเทศที่มีระบบเศรษฐกิจเปิดกับการค้าการลงทุนของโลกอย่างต่อเนื่องยาวนาน จุดเปลี่ยนสำคัญของสงครามการค้าและทำให้เกิดการแยกห่วงโซ่อุปทาน คือ สหรัฐฯ ได้ผ่านกฎหมาย Chip and Science

 
Act 2022 เพื่อจูงใจให้เกิดการผลิตเซมิคอนดักเตอร์ภายในสหรัฐฯ โดยการให้เงินอุดหนุนอย่างมหาศาล และผ่านกฎหมาย Inflation Reduction Act 2022 ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นมาตรการในการส่งเสริมอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า การใช้นโยบายดังกล่าวของสหรัฐฯ ทำให้เกิดแรงกระเพื่อมไปยังประเทศพัฒนาแล้วอื่น ๆ ต้องออกมาตรการในการดึงดูดการลงทุน รวมถึงป้องกันไม่ให้เม็ดเงินลงทุนไหลออกจากประเทศตน โดยเฉพาะประเทศที่มีการผลิตชิป ซึ่งเป็นชิ้นส่วนที่ทวีความสำคัญในแทบทุกสินค้า ความพยายามแบ่งแยกอุปทานดังกล่าวจึงน่าจะส่งผลกระทบในวงกว้างกับโครงสร้างการผลิต การค้า และการลงทุนของโลก ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ไทยควรติดตาม ประเมิน และเตรียมแนวทางดำเนินการเพื่อให้เกิดประโยชน์มากที่สุด  เรื่องดังกล่าวเป็นโจทย์ของโครงการศึกษาวิจัยนี้ 

 

            ผลการศึกษา พบว่า decoupling ที่เกิดขึ้น ทำให้สหรัฐฯ และจีน มีบทบาทในฐานะประเทศคู่ค้า
ต่อกันและกันลดลง  โดยเฉพาะส่วนแบ่งตลาดของจีนในตลาดสหรัฐฯ ลดลงอย่างชัดเจน เนื่องจากสหรัฐฯ
หันมานำเข้าสินค้าจากไทยและเวียดนามเพิ่มขึ้นแทนที่  สินค้าที่ไทยมีส่วนแบ่งตลาดในสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นในช่วงปี
พ.ศ. 2561-2565 เช่น เครื่องปรับอากาศ กล้องบันทึกรูป ฮาร์ดดิสก์ไดรฟ์ อุปกรณ์กึ่งตัวนำแบบไวแสง วงจรอิเล็กทรอนิกส์ และชิ้นส่วนยานยนต์  ในขณะที่ไทยยังไม่สามารถเข้าตลาดจีนได้เพิ่มมากนัก โดยส่วนแบ่งตลาด
ของไทยในตลาดจีนทรงตัวที่ประมาณร้อยละ 2 ในช่วงเวลาดังกล่าว ซึ่งขยายตัวช้ากว่าประเทศอื่น ๆ อย่างเวียดนาม และมาเลเซีย

 

            อีกทั้งไทยยังได้รับอานิสงค์จากการย้ายฐานการผลิตออกจากจีน โดยเฉพาะกลุ่มเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ ขณะที่การลงทุนจากจีนในกลุ่มยานยนต์ในไทยเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะชิ้นส่วนยานยนต์และยางรถยนต์ แต่มูลค่าการลงทุนในไทยน้อยว่าประเทศอื่น ๆ ในอาเซียนส่วนใหญ่

 

            บทวิเคราะห์แผนที่การลงทุนของบริษัทข้ามชาติ พบว่า บริษัทจำนวนมากชะลอการลงทุนในจีน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ต้นน้ำที่เป็นเทคโนโลยีสำคัญท่ามกลางการแยกห่วงโซ่อุปทาน การลงทุนใหม่ส่วนใหญ่เป็นการลงทุนในการผลิตชิป ไม่ใช่เครื่องมือ อุปกรณ์ หรือสารเคมีพื้นฐาน  และการลงทุนที่ผ่านมาเป็นการลงทุนในประเทศกำลังพัฒนาเพียงไม่กี่ประเทศ

 

            ที่ผ่านมา Decoupling ยังไม่ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงขนานใหญ่ในห่วงโซ่อุปทานในลักษณะที่ทำให้เกิดการหันเหแหล่งนำเข้าชิ้นส่วนและวัตถุดิบจากจีน ส่วนหนึ่งน่าจะเป็นเพราะบทบาทของจีนที่มีอยู่ก่อน การปรับเปลี่ยนต่าง ๆ อาจต้องใช้เวลา โดยเฉพาะชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ ในทางกลับกันชิ้นส่วนอื่น ๆ (ที่ไม่ใช่อิเล็กทรอนิกส์) ซัพพลายเออร์ในจีนพยายามเข้าสู่ตลาดอื่น ๆ เพื่อทดแทนตลาดสหรัฐฯ  

 

            ในอุตสาหกรรมยานยนต์ Decoupling ส่งผลดีต่อชิ้นส่วนรถยนต์ระบบเครื่องยนต์สันดาปภายใน โดยสามารถขยายตัวในตลาดชิ้นส่วนทดแทน (Aftermarket) ได้มากขึ้น แต่ไม่มีผลกระทบในส่วนรถยนต์ ทั้งนี้ เพราะรถยนต์ระบบเครื่องยนต์สันดาปภายในมีการแบ่งเขตการขาย ไทยอยู่ในโซนอาเซียนและโอเชียเนีย
จึงไม่ได้อานิสงส์ในการเข้าตลาดสหรัฐฯ แต่อย่างใด  ในส่วนของรถยนต์ไฟฟ้า การผลิตในประเทศยังอยู่ในระยะเริ่มต้นจึงยังไม่เห็นแนวโน้มที่ชัดเจน

 

            นายพูนพงษ์ กล่าวเสริมว่า ผลการศึกษานี้ ชี้ให้เห็นว่า ไทยต้องเตรียมการเพื่อเพิ่มศักยภาพทาง
ด้านการผลิตโดยเฉพาะประเด็นการเตรียมความพร้อมด้านแรงงานเพื่อตักตวงประโยชน์จาก decoupling
ที่เกิดขึ้น เรื่องดังกล่าวต้องทำอย่างเป็นระบบที่มีแผนระยะสั้นและระยะยาวที่สอดรับกัน  นอกจากนั้นไทยจำเป็นต้องเดินหน้ากระจายตลาดส่งออกเพื่อลดความเสี่ยงจากโครงสร้างตลาดส่งออกของไทยที่มีแนวโน้มกระจุกตัวสูง รวมถึงเพิ่มประสิทธิภาพการส่งเสริมการลงทุนจากต่างประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการลด
ความสลับซับซ้อนของกฎระเบียบ และมียุทธศาสตร์ใหม่ ๆ ที่ไม่ใช่เพียงการให้สิทธิประโยชน์การลงทุน รวมไปถึงการดึงดูดบุคลากรผู้เชี่ยวชาญให้เข้ามาทำงานในประเทศ  สุดท้ายหัวใจสำคัญที่ต้องทำอย่างต่อเนื่อง คือ การเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน ซึ่งต้องมีเจ้าภาพที่ชัดเจนในการขับเคลื่อน มีอุตสาหกรรมเป็นศูนย์กลางของการออกแบบนโยบายที่ตั้งอยู่บนความสมเหตุสมผลสอดคล้องกับศักยภาพของประเทศ (เราทำอะไรได้ เราต้องระวังอะไร เราพร้อมอะไร) และดำเนินการอย่างต่อเนื่องเพื่อให้เกิดการพัฒนาในระยะยาว

 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News