Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

ปากแบง HPP ชี้แจง โครงการลาวเดินหน้า ชี้ผลกระทบข้ามพรมแดน

โครงการโรงไฟฟ้าพลังน้ำปากแบง เดินหน้าสื่อสาร-รับฟังชาวบ้าน 8 หมู่บ้านริมโขง เชียงราย แจงผลศึกษา TbEIA–CIA ย้ำมาตรการบรรเทาผลกระทบข้ามพรมแดน

เชียงราย, 30 มิถุนายน 2568 – บริษัท ปากแบง พาวเวอร์ จำกัด ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจาก สปป.ลาว จัดประชุมชี้แจงความคืบหน้าโครงการโรงไฟฟ้าพลังน้ำปากแบง (Pak Beng HPP) กับชาวบ้าน 8 หมู่บ้านริมแม่น้ำโขง กลุ่มรักษ์เชียงของ กลุ่มนักวิชาการอิสระในพื้นที่ ตัวแทนโรงเรียน หน่วยงานท้องถิ่น และสื่อมวลชนกว่า 500 คน จากอำเภอเวียงแก่นและเชียงของ จังหวัดเชียงราย ระหว่างวันที่ 18-21 มิถุนายน 2568 เพื่ออัปเดตสถานะการก่อสร้าง กำหนดมาตรการบรรเทาผลกระทบข้ามพรมแดน พร้อมสร้างความเข้าใจ กระตุ้นการมีส่วนร่วมของประชาชนในพื้นที่

สาระสำคัญของโครงการ

ดร.วรวิทย์ ผดุงบวรศิลป์ รองผู้อำนวยการฝ่ายบริหารโครงการ บริษัท ปากแบง พาวเวอร์ จำกัด เปิดเผยว่า โรงไฟฟ้าพลังน้ำปากแบงเป็นเขื่อนแบบทดน้ำ (run off river) มีจุดเด่นที่ควบคุมปริมาณน้ำท้ายน้ำอย่างสมดุล (Inflow = Outflow) เพื่อลดผลกระทบต่อระบบนิเวศและชุมชนในลุ่มน้ำโขงตอนล่างทั้งลาว ไทย กัมพูชา และเวียดนาม โดยเน้นย้ำถึงการดำเนินงานตามมาตรการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมข้ามพรมแดน (TbEIA) และผลกระทบสะสม (CIA) อย่างรอบคอบ รวมถึงมีแผนช่องทางเดินเรือ ทางผ่านปลา ระบบระบายตะกอน และกำหนดแผนก่อสร้างในหน้าแล้ง ตุลาคม 2568

การศึกษา TbEIA–CIA และข้อกังวลชุมชน

คุณเยาวภา ชูวงศ์ จากบริษัทที่ปรึกษา ระบุว่า การศึกษาผลกระทบข้ามพรมแดนเน้นความโปร่งใสตามแนวทาง MRC (คณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง) มีการศึกษาข้อมูลพื้นฐาน ครอบคลุมระบบนิเวศ เศรษฐกิจ และชุมชน ก่อนกำหนดมาตรการป้องกันและแก้ไขปัญหา ทั้งนี้ ยังมีการดำเนินการตามขั้นตอนกระบวนการ PNPCA อย่างครบถ้วน โดยผลการจำลองคณิตศาสตร์ชี้ให้เห็นว่า ระดับน้ำจะเปลี่ยนแปลงน้อยมาก (ผาไดถึงบ้านดอนมหาวัน 10 กม.) จากนั้นระดับน้ำจะคงที่

รับฟังเสียงชุมชน–เยียวยาอย่างต่อเนื่อง

ในเวทีรับฟังความคิดเห็น ชาวบ้านแสดงความกังวลเรื่องระดับน้ำโขงที่อาจส่งผลต่อพื้นที่ทำกิน น้ำเท้อเข้าลำน้ำสาขา เกษตรกรสวนส้มโอ และประมง พร้อมสอบถามมาตรการเยียวยา การฟื้นฟูอาชีพ และกลไกพิจารณาการชดเชย ด้านผู้พัฒนาโครงการยืนยันจะเร่งสำรวจข้อมูลเศรษฐกิจ-สังคม เจรจาแนวทางเยียวยา พร้อมเปิดเวทีชี้แจงปีละ 2 ครั้ง ตลอด 29 ปีของโครงการ โดยลงพื้นที่ศึกษาข้อมูลร่วมกับเกษตรกรในลำน้ำงาวหลังประชุม เพื่อคลายความกังวลของชุมชน

โอกาส–ความท้าทาย

โครงการโรงไฟฟ้าพลังน้ำปากแบงสะท้อนการพัฒนาเศรษฐกิจภูมิภาคอาเซียนและความรับผิดชอบข้ามพรมแดน ทั้งในมิติสังคม สิ่งแวดล้อม และความโปร่งใส แม้โครงการจะวางแผนบรรเทาผลกระทบและเยียวยาอย่างเป็นรูปธรรม แต่การรับฟังและแก้ไขข้อห่วงใยของชุมชนยังต้องเดินหน้าอย่างต่อเนื่อง การมีส่วนร่วมจริงของชาวบ้านจะเป็นตัวชี้ขาดความสำเร็จของโครงการนี้

สรุปและทิศทางต่อไป

ผู้พัฒนาโครงการยืนยันความมุ่งมั่นร่วมกับภาคส่วนต่าง ๆ ในการรับฟังความเห็นและเดินหน้าโครงการด้วยความรับผิดชอบ เปิดกว้างต่อข้อเสนอแนะ พร้อมสัญญาจะรายงานความคืบหน้าและมาตรการเพิ่มเติมแก่ชุมชนอย่างต่อเนื่อง

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
  • บริษัท ปากแบง พาวเวอร์ จำกัด
  • ทีม คอนซัลติ้ง เอนจิเนียริ่งแอนด์แมนเนจเมนท์ จำกัด (มหาชน)
  • คณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง (MRC)
  • ประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
  • กลุ่มรักษ์เชียงของ
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI WORLD PULSE

เชียงรายประกาศปิด “ภูชี้ฟ้า” ชายแดนเดือด ‘ลาว’ ปะทะหนัก

อุทยานแห่งชาติภูชี้ฟ้าประกาศปิดจุดชมวิวชั่วคราว หลังเหตุปะทะชายแดนฝั่งลาว

เชียงราย, 5 พฤษภาคม 2568 – สำนักข่าวนครเชียงรายนิวส์รายงานว่า อุทยานแห่งชาติภูชี้ฟ้า (เตรียมการ) ได้ประกาศปิดแหล่งท่องเที่ยวจุดชมวิวภูชี้ฟ้าในพื้นที่ตำบลปอ อำเภอเวียงแก่น และตำบลตับเต่า อำเภอเทิง จังหวัดเชียงราย เป็นการชั่วคราว ตั้งแต่วันที่ 5 พฤษภาคม 2568 เป็นต้นไป จนกว่าสถานการณ์จะกลับสู่ภาวะปกติ การตัดสินใจดังกล่าวเกิดขึ้นหลังจากเหตุการณ์ความรุนแรงในฝั่งสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป.ลาว) บริเวณเมืองปากทา แขวงบ่อแก้ว ซึ่งอยู่ตรงข้ามอำเภอเวียงแก่น จังหวัดเชียงราย โดยมีการปะทะกันระหว่างกองกำลังติดอาวุธไม่ทราบฝ่ายกับทหารลาว ส่งผลให้มีกระสุนปืนตกลงในฝั่งไทยและสร้างความเสียหายต่อบ้านเรือนประชาชน

เหตุการณ์นี้เริ่มต้นตั้งแต่วันที่ 3 พฤษภาคม 2568 และต่อเนื่องจนถึงวันที่ 4 พฤษภาคม 2568 โดยมีรายงานเสียงปืนและการปะทะอย่างรุนแรงในพื้นที่ภูผาหม่นและบ้านเชียงตอง เมืองปากทา ซึ่งส่งผลกระทบต่อความปลอดภัยของประชาชนและนักท่องเที่ยวในพื้นที่ชายแดนไทย-ลาว การปิดจุดชมวิวภูชี้ฟ้าถือเป็นมาตรการเร่งด่วนเพื่อปกป้องชีวิตและทรัพย์สินของนักท่องเที่ยว รวมถึงป้องกันความเสี่ยงจากสถานการณ์ที่ยังไม่คลี่คลาย

ความตึงเครียดชายแดนไทย-ลาว

จังหวัดเชียงราย โดยเฉพาะอำเภอเวียงแก่น เป็นพื้นที่ที่มีพรมแดนติดกับสปป.ลาว โดยมีแม่น้ำโขงและแนวเขตแดนธรรมชาติเป็นตัวแบ่งเขตแดนระหว่างสองประเทศ พื้นที่ดังกล่าวเป็นที่รู้จักในด้านความงามของธรรมชาติ โดยเฉพาะจุดชมวิวภูชี้ฟ้า ซึ่งเป็นแหล่งท่องเที่ยวยอดนิยมที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างชาติ อย่างไรก็ตาม ความใกล้ชิดกับชายแดนทำให้พื้นที่นี้มีความอ่อนไหวต่อสถานการณ์ความไม่สงบในฝั่งลาว โดยเฉพาะในแขวงบ่อแก้ว ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีประวัติความขัดแย้งและการค้ายาเสพติด

ตั้งแต่วันที่ 3 พฤษภาคม 2568 ชาวบ้านในพื้นที่บ้านร่มฟ้าผาหม่น หมู่ 15 และบ้านผาตั้ง หมู่ 14 ตำบลปอ อำเภอเวียงแก่น เริ่มรายงานว่าได้ยินเสียงคล้ายปืนดังขึ้นเป็นระยะจากฝั่งลาว บริเวณเมืองปากทา แขวงบ่อแก้ว รายงานดังกล่าวได้รับการยืนยันจากแหล่งข่าวด้านความมั่นคงชายแดน ซึ่งระบุว่าเกิดการปะทะกันระหว่างกองกำลังติดอาวุธไม่ทราบฝ่ายกับทหารลาว โดยมีการยึดฐานปฏิบัติการทหารลาวบริเวณภูผาหม่นได้ 3 จาก 4 แห่ง นอกจากนี้ ยังมีรายงานว่ากระสุนปืนขนาด 7.62 มม. ตกลงในฝั่งไทย สร้างความเสียหายให้กับหลังคาบ้านของนางพิมพ์ใจ อนุชิตวรการ และนางสาวมรกต แซ่โซ้ง ในหมู่บ้านร่มฟ้าผาหม่น

เหตุการณ์ดังกล่าวสร้างความตื่นตระหนกให้กับชุมชนท้องถิ่นและนักท่องเที่ยว โดยเฉพาะในพื้นที่ภูชี้ฟ้า ซึ่งตั้งอยู่ใกล้กับจุดปะทะ อำเภอเวียงแก่นจึงออกหนังสือด่วนที่สุด (ที่ ชร 1318.3/1165 ลงวันที่ 4 พฤษภาคม 2568) เพื่อแจ้งเตือนประชาชนให้งดทำกิจกรรมในพื้นที่ตามแนวชายแดนและติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด การตัดสินใจปิดจุดชมวิวภูชี้ฟ้าของอุทยานแห่งชาติภูชี้ฟ้าจึงเป็นผลสืบเนื่องจากความกังวลด้านความปลอดภัยและความจำเป็นในการปกป้องชีวิตของนักท่องเที่ยว

การปะทะในฝั่งลาวและผลกระทบต่อประเทศไทย

การปะทะในฝั่งสปป.ลาวเริ่มต้นเมื่อวันที่ 3 พฤษภาคม 2568 เวลาประมาณ 10.00 น. และต่อเนื่องจนถึงวันที่ 4 พฤษภาคม 2568 โดยแหล่งข่าวด้านความมั่นคงระบุว่า กองกำลังติดอาวุธไม่ทราบฝ่าย ซึ่งคาดว่าเป็นกลุ่มชาติพันธุ์ม้งที่ร่วมมือกับเครือข่ายนอกประเทศ ได้โจมตีฐานปฏิบัติการทหารลาวบริเวณภูผาหม่นและบ้านเชียงตอง เมืองปากทา แขวงบ่อแก้ว การโจมตีครั้งนี้ใช้ยุทธวิธีที่ผ่านการวางแผนอย่างรอบคอบ โดยมีการแบ่งกำลังออกเป็นหลายกลุ่มเพื่อล่อและโจมตีทหารลาวที่เข้ามาสนับสนุน ส่งผลให้ทหารลาวเสียชีวิตอย่างน้อย 5 ราย รวมถึงนายทหารระดับหัวหน้า 1 ราย และมีผู้บาดเจ็บจำนวนมากที่ยังติดค้างอยู่ในพื้นที่ปะทะ

สถานการณ์ยิ่งทวีความรุนแรงเมื่อกองกำลังติดอาวุธขุดหลุมและอุโมงค์เพื่อสกัดกั้นการเคลื่อนไหวของทหารลาว ทำให้ทหารลาวไม่สามารถเข้าถึงฐานที่ถูกยึดได้ การใช้รถหุ้มเกราะและเฮลิคอปเตอร์ของทหารลาวก็เผชิญกับข้อจำกัด เนื่องจากภูมิประเทศที่เป็นป่าและมีถ้ำจำนวนมากในพื้นที่ภูผาหม่น นอกจากนี้ ยังมีรายงานว่าเด็กหญิงวัย 7 ขวบ ซึ่งติดตามพ่อที่เป็นทหารไปยังฐานปฏิบัติการ ติดอยู่ในพื้นที่ปะทะ สร้างความกังวลให้กับทางการลาวที่พยายามเข้าไปช่วยเหลือ

ในฝั่งไทย หน่วยทหารพรานที่ 3104 (ทพ.3104) และฝ่ายปกครองอำเภอเวียงแก่นได้ตรึงกำลังตามแนวชายแดนตั้งแต่ผาตั้ง ภูชี้ดาว ภูชี้เดือน ไปจนถึงภูชี้ฟ้า เพื่อป้องกันผลกระทบจากเหตุการณ์ในลาว นายสุพจน์ ลังกาวีระนันท์ นายอำเภอเวียงแก่น ระบุว่า ได้ออกตรวจพื้นที่เสี่ยงและสั่งการให้ผู้นำชุมชนจัดชุดเวรยามเพื่อเฝ้าระวังสถานการณ์ รวมถึงขอความร่วมมือจากประชาชนให้แจ้งเบาะแสหากพบบุคคลต้องสงสัยในพื้นที่

ด้านสถานีเรือเชียงของได้จัดชุดลาดตระเวนทางน้ำเพื่อรักษาความปลอดภัยบริเวณแม่น้ำโขง ซึ่งเป็นจุดที่อาจได้รับผลกระทบจากการปะทะในฝั่งลาว การปิดจุดชมวิวภูชี้ฟ้าถือเป็นมาตรการสำคัญในการลดความเสี่ยงจากกระสุนปืนที่อาจตกลงในฝั่งไทย และปกป้องนักท่องเที่ยวจากสถานการณ์ที่ยังไม่แน่นอน

สถานการณ์ล่าสุดและมาตรการรับมือ

จนถึงวันที่ 5 พฤษภาคม 2568 สถานการณ์ในฝั่งลาวเริ่มสงบลง โดยไม่มีรายงานการปะทะเพิ่มเติมตั้งแต่ช่วงเช้า อย่างไรก็ตาม ทางการลาวยังไม่สามารถควบคุมพื้นที่ภูผาหม่นได้ทั้งหมด และยังคงเผชิญกับความท้าทายในการช่วยเหลือผู้บาดเจ็บและเด็กหญิงที่ติดอยู่ในฐานปฏิบัติการ มีรายงานว่าทางการลาวจับกุมสมาชิกกองกำลังติดอาวุธได้ 2 ราย ซึ่งให้การว่าเป็นกลุ่มชาติพันธุ์ม้งที่มีการวางแผนโจมตีมานาน โดยอาจเกี่ยวข้องกับขบวนการค้ายาเสพติดในพื้นที่สามเหลี่ยมทองคำ

ก่อนหน้านี้ ตำรวจเมืองต้นผึ้ง แขวงบ่อแก้ว ได้ยึดยาบ้า 20.2 ล้านเม็ด ซึ่งถือเป็นการจับกุมครั้งใหญ่ในพื้นที่ ชาวบ้านในลาวจึงเชื่อว่าเหตุปะทะครั้งนี้อาจเป็นการตอบโต้จากกลุ่มค้ายาเสพติดที่สูญเสียผลประโยชน์จากการปราบปรามของทางการลาว อย่างไรก็ตาม สาเหตุที่แท้จริงยังคงอยู่ระหว่างการสืบสวน และทางการลาวยังไม่เปิดเผยข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับกลุ่มกองกำลังดังกล่าว

ในฝั่งไทย อำเภอเวียงแก่นได้ออกหนังสือสอบถามไปยังเมืองปากทา ซึ่งได้รับคำตอบว่าเหตุการณ์ดังกล่าวเป็นเรื่องภายในของลาว และจะแจ้งความคืบหน้าเมื่อสถานการณ์คลี่คลาย นายสุพจน์ ลังกาวีระนันท์ กล่าวว่า “ขณะนี้เราเน้นการเฝ้าระวังและปกป้องความปลอดภัยของประชาชนเป็นหลัก โดยเฉพาะในพื้นที่เสี่ยงตามแนวชายแดน” ทางการไทยยังคงประสานงานกับหน่วยงานความมั่นคงในลาวเพื่อติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด

การปิดจุดชมวิวภูชี้ฟ้าจะยังคงมีผลจนกว่าสถานการณ์จะกลับสู่ภาวะปกติ โดยอุทยานแห่งชาติภูชี้ฟ้าได้ประชาสัมพันธ์ผ่านเพจ “อุทยานแห่งชาติภูชี้ฟ้า-Phu Chi Fa National Park” เพื่อแจ้งนักท่องเที่ยวให้งดเดินทางมายังพื้นที่ดังกล่าว นอกจากนี้ ทางการได้แนะนำให้ประชาชนในพื้นที่ติดตามข่าวสารจากหน่วยงานอย่างสม่ำเสมอ และหลีกเลี่ยงการเข้าใกล้แนวชายแดนเพื่อความปลอดภัย

ความท้าทายและโอกาส

เหตุการณ์ปะทะในฝั่งลาวและผลกระทบต่อประเทศไทยสะท้อนถึงความซับซ้อนของสถานการณ์ชายแดน ซึ่งเกี่ยวข้องกับทั้งความมั่นคง การค้ายาเสพติด และความขัดแย้งทางชาติพันธุ์ ดังนี้:

มิติด้านความมั่นคง

การปะทะในฝั่งลาวเผยให้เห็นถึงความเปราะบางของพื้นที่ชายแดนไทย-ลาว โดยเฉพาะในพื้นที่สามเหลี่ยมทองคำ ซึ่งเป็นจุดยุทธศาสตร์สำหรับการค้ายาเสพติดและกิจกรรมข้ามชาติ การที่กระสุนปืนตกลงในฝั่งไทยแสดงถึงความจำเป็นในการเสริมสร้างความร่วมมือด้านความมั่นคงระหว่างสองประเทศ รวมถึงการพัฒนาระบบแจ้งเตือนภัยล่วงหน้า

มิติด้านการท่องเที่ยว

การปิดจุดชมวิวภูชี้ฟ้าส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมการท่องเที่ยวในจังหวัดเชียงราย ซึ่งเป็นแหล่งรายได้สำคัญของชุมชนท้องถิ่น ผู้ประกอบการในพื้นที่ เช่น โรงแรมและร้านอาหาร อาจเผชิญกับรายได้ที่ลดลงในช่วงที่สถานการณ์ยังไม่แน่นอน อย่างไรก็ตาม การปิดชั่วคราวนี้เป็นการแสดงถึงความรับผิดชอบของหน่วยงานในการปกป้องนักท่องเที่ยว ซึ่งอาจช่วยรักษาความเชื่อมั่นในระยะยาว

มิติด้านการค้ายาเสพติด

การสันนิษฐานว่าเหตุปะทะเกี่ยวข้องกับขบวนการค้ายาเสพติดชี้ให้เห็นถึงความท้าทายในการปราบปรามยาเสพติดในภูมิภาคสามเหลี่ยมทองคำ การจับกุมยาบ้า 20.2 ล้านเม็ดในแขวงบ่อแก้วแสดงถึงความเข้มงวดของทางการลาว แต่ก็อาจกระตุ้นให้เกิดการตอบโต้จากกลุ่มค้ายา การแก้ไขปัญหานี้ต้องอาศัยความร่วมมือระหว่างไทย ลาว และประเทศอื่นๆ ในภูมิภาค

โอกาสในการพัฒนา

วิกฤตครั้งนี้เป็นโอกาสให้ไทยและลาวพัฒนาความร่วมมือด้านความมั่นคงและการจัดการชายแดน การจัดตั้งกลไกประสานงานฉุกเฉินและการแลกเปลี่ยนข้อมูลจะช่วยลดผลกระทบจากความขัดแย้งในอนาคต นอกจากนี้ การส่งเสริมแหล่งท่องเที่ยวอื่นๆ ในจังหวัดเชียงราย เช่น วัดร่องขุ่นหรือดอยช้าง อาจช่วยชดเชยผลกระทบจากการปิดจุดชมวิวภูชี้ฟ้า

ทัศนคติเป็นกลางต่อความเห็นทั้งสองฝั่ง

  • หน่วยงานความมั่นคงและทางการไทย หน่วยงานความมั่นคงและทางการไทยมองว่าการปิดจุดชมวิวภูชี้ฟ้าและการตรึงกำลังตามแนวชายแดนเป็นมาตรการที่จำเป็นเพื่อปกป้องความปลอดภัยของประชาชนและนักท่องเที่ยว การแจ้งเตือนและการประสานงานกับฝั่งลาวแสดงถึงความรับผิดชอบในการจัดการสถานการณ์ที่อยู่นอกเหนือการควบคุมของไทย
  • ชุมชนท้องถิ่นและผู้ประกอบการ ชุมชนท้องถิ่นและผู้ประกอบการในพื้นที่อาจรู้สึกกังวลต่อผลกระทบทางเศรษฐกิจจากการปิดแหล่งท่องเที่ยวและความเสียหายจากกระสุนปืนที่ตกลงในฝั่งไทย พวกเขาต้องการให้ทางการแก้ไขสถานการณ์อย่างรวดเร็วและให้การสนับสนุนผู้ที่ได้รับผลกระทบ

การปิดจุดชมวิวภูชี้ฟ้าและการตรึงกำลังตามแนวชายแดนเป็นมาตรการที่สมเหตุสมผลเพื่อปกป้องความปลอดภัย อย่างไรก็ตาม ทางการควรพิจารณามาตรการเยียวยาผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบ และสื่อสารข้อมูลอย่างชัดเจนเพื่อลดความตื่นตระหนกของประชาชน การประสานงานกับฝั่งลาวเพื่อแก้ไขปัญหาที่ต้นตอจะเป็นกุญแจสำคัญในการป้องกันเหตุการณ์ซ้ำในอนาคต

สถิติที่เกี่ยวข้อง

  1. จำนวนนักท่องเที่ยวที่ภูชี้ฟ้า: ในปี 2567 จุดชมวิวภูชี้ฟ้ามีนักท่องเที่ยวประมาณ 500,000 คน สร้างรายได้ให้ชุมชนท้องถิ่นประมาณ 1,000 ล้านบาท
    ที่มา: สำนักงานการท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดเชียงราย, รายงานประจำปี 2567
  2. การจับกุมยาเสพติดในแขวงบ่อแก้ว: ตำรวจเมืองต้นผึ้ง แขวงบ่อแก้ว จับกุมยาบ้า 20.2 ล้านเม็ดในปี 2568 ถือเป็นการจับกุมครั้งใหญ่ที่สุดในรอบ 5 ปี
    ที่มา: สำนักข่าวชายขอบ, รายงานสถานการณ์ชายแดน, 5 พฤษภาคม 2568
  3. ความเสียหายจากกระสุนปืน: มีบ้านเรือนในหมู่บ้านร่มฟ้าผาหม่นเสียหายจากกระสุนปืน 2 หลัง โดยกระสุนขนาด 7.62 มม. ตกในพื้นที่เมื่อวันที่ 3-4 พฤษภาคม 2568
    ที่มา: อำเภอเวียงแก่น, รายงานสถานการณ์ชายแดน, 4 พฤษภาคม 2568
  4. จำนวนผู้เสียชีวิตในฝั่งลาว: การปะทะที่ภูผาหม่นและบ้านเชียงตอง ส่งผลให้ทหารลาวเสียชีวิตอย่างน้อย 5 ราย และมีผู้บาดเจ็บจำนวนมาก
    ที่มา: สำนักข่าวชายขอบ, รายงานจากแหล่งข่าวความมั่นคง, 5 พฤษภาคม 2568
  5. ความถี่ของเหตุการณ์ชายแดน: ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา (2564-2568) มีรายงานเหตุการณ์ความไม่สงบตามแนวชายแดนไทย-ลาวในจังหวัดเชียงรายอย่างน้อย 10 ครั้ง ส่วนใหญ่เกี่ยวข้องกับการค้ายาเสพติด
    ที่มา: กองกำลังผาเมือง, รายงานความมั่นคงชายแดน, 2567

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : 

  • สำนักงานการท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดเชียงราย, รายงานประจำปี 2567
  • สำนักข่าวชายขอบ, รายงานสถานการณ์ชายแดน, 5 พฤษภาคม 2568
  • อำเภอเวียงแก่น, รายงานสถานการณ์ชายแดน, 4 พฤษภาคม 2568
  • สำนักข่าวชายขอบ, รายงานจากแหล่งข่าวความมั่นคง, 5 พฤษภาคม 2568
  • กองกำลังผาเมือง, รายงานความมั่นคงชายแดน, 2567
  • อุทยานแห่งชาติภูชี้ฟ้า (เตรียมการ)
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI NEWS UPDATE

ยึด 2,800 กล้าทุเรียน เตรียมส่งข้ามโขง สปป.ลาว

นรข.เชียงรายตรวจยึดต้นกล้าทุเรียนกว่า 2,800 ต้น ลักลอบส่งออกข้ามแดนปลายทาง สปป.ลาว ผ่านแม่น้ำโขง

การขยายตัวของพืชเศรษฐกิจและความเคลื่อนไหวในพื้นที่ชายแดน

ประเทศไทย, 4 พฤษภาคม 2568 – เจ้าหน้าที่หน่วยเรือรักษาความสงบเรียบร้อยตามลำแม่น้ำโขง (นรข.) เขตเชียงราย ได้ดำเนินการตรวจยึดต้นกล้าทุเรียนจำนวนกว่า 2,800 ต้น ที่ถูกลักลอบขนส่งผ่านแม่น้ำโขงเพื่อส่งออกไปยัง สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป.ลาว) โดยไม่ได้รับอนุญาตตามกฎหมายศุลกากรและกฎหมายควบคุมพืชพรรณของประเทศ

เหตุการณ์นี้สะท้อนให้เห็นถึงความเคลื่อนไหวที่มีความซับซ้อนมากขึ้นของขบวนการลักลอบค้าพืชเศรษฐกิจข้ามพรมแดน ซึ่งมีแนวโน้มสูงขึ้นตามความต้องการของตลาดประเทศเพื่อนบ้าน โดยเฉพาะในฤดูเพาะปลูกและฤดูแล้งที่การขนส่งทางน้ำมีความสะดวกมากกว่าช่วงอื่น

ปฏิบัติการตรวจยึดของกลางริมแม่น้ำโขง

เจ้าหน้าที่ทหารเรือจากสถานีเรือเชียงของ นำโดย ร.ท.สัญญา จันจี รักษาราชการแทนหัวหน้าสถานีฯ ได้รับแจ้งจากแหล่งข่าวในพื้นที่ว่า จะมีการลักลอบนำต้นกล้าทุเรียนออกนอกราชอาณาจักรโดยไม่ผ่านพิธีการศุลกากร บริเวณริมแม่น้ำโขง พื้นที่บ้านดอนมหาวัน หมู่ 9 ตำบลเวียง อำเภอเชียงของ จังหวัดเชียงราย

หลังได้รับแจ้งดังกล่าว หน่วยลาดตระเวนจึงจัดกำลังพลพร้อมเรือจู่โจมทางน้ำออกปฏิบัติหน้าที่ทันที ต่อมาในช่วงค่ำ เจ้าหน้าที่ได้ตรวจพบเรือยนต์ขนาดเล็กหรือ “เรือกาบ” สีดำ ลอยลำและจอดอยู่บริเวณดอนกรวด ใกล้หมู่บ้านที่ได้รับแจ้ง โดยมีชายผู้ต้องสงสัย 1 คนกำลังควบคุมเรือ

เมื่อเจ้าหน้าที่เข้าใกล้จุดตรวจสอบ ชายคนดังกล่าวได้ไหวตัวทันและหลบหนีขึ้นฝั่งไปอย่างรวดเร็ว เจ้าหน้าที่จึงเข้าตรวจค้นภายในเรือ และพบตะกร้าบรรจุต้นกล้าทุเรียนจำนวนมาก คาดว่าทั้งหมดมีจำนวนกว่า 2,800 ต้น บรรจุอยู่ในตะกร้าพลาสติกสีแดงรวม 21 ตะกร้า

ส่งของกลางให้ด่านศุลกากรเชียงของดำเนินคดีตามกฎหมาย

หลังการตรวจยึดเสร็จสิ้น เจ้าหน้าที่ได้นำเรือและต้นกล้าทุเรียนของกลางทั้งหมด ส่งมอบให้ด่านศุลกากรเชียงของเพื่อดำเนินการตามกฎหมายที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2560 และพระราชบัญญัติกักพืช พ.ศ. 2507

ทั้งนี้ การส่งออกต้นกล้าพันธุ์พืชจะต้องมีการตรวจสอบและได้รับใบอนุญาตจากกรมวิชาการเกษตร และผ่านพิธีการศุลกากรอย่างถูกต้องก่อน จึงจะสามารถเคลื่อนย้ายข้ามแดนได้ หากไม่ปฏิบัติตามจะเข้าข่ายเป็นการลักลอบนำออกนอกราชอาณาจักรโดยผิดกฎหมาย

ความเคลื่อนไหวของตลาดทุเรียนในภูมิภาค

ทุเรียนถือเป็นหนึ่งในพืชเศรษฐกิจหลักของไทย โดยเฉพาะในตลาดส่งออก ซึ่งมีความต้องการเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทั้งในประเทศจีน เวียดนาม และ สปป.ลาว โดยในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เกษตรกรในพื้นที่ลุ่มแม่น้ำโขงของลาวเริ่มหันมาปลูกทุเรียนเชิงพาณิชย์มากขึ้น ส่งผลให้เกิดความต้องการต้นกล้าคุณภาพสูงจากฝั่งไทย ซึ่งขึ้นชื่อในด้านสายพันธุ์และการเพาะเลี้ยง

ขบวนการลักลอบนำเข้าต้นกล้าทุเรียนจึงมีแนวโน้มขยายตัวเพิ่มขึ้นตามการเติบโตของตลาดทุเรียนในลาวและภูมิภาคอาเซียน ซึ่งนับเป็นช่องทางที่มิจฉาชีพใช้เป็นโอกาสในการแสวงหาผลประโยชน์โดยไม่สนใจผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจและความมั่นคงของพรมแดน

ผลกระทบต่อเศรษฐกิจ พันธุกรรมพืช และความมั่นคงด้านเกษตร

การลักลอบส่งออกต้นกล้าพันธุ์พืช นอกจากจะเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมายแล้ว ยังอาจนำไปสู่ปัญหาการสูญเสียพันธุกรรมพืชท้องถิ่น ซึ่งเป็นทรัพยากรทางเกษตรที่มีมูลค่าทางเศรษฐกิจและวิทยาศาสตร์สูง หากสายพันธุ์พืชสำคัญตกไปอยู่ในมือของผู้ไม่หวังดี หรือไม่มีการควบคุมที่ดี อาจส่งผลกระทบต่อความสามารถในการแข่งขันของเกษตรกรไทยในอนาคต

นอกจากนี้ หากมีการนำต้นกล้าปลอม หรือมีเชื้อโรคแฝงออกไป อาจสร้างปัญหาด้านสุขอนามัยพืชในภูมิภาค และทำให้ไทยถูกลดอันดับมาตรฐานการส่งออกในตลาดโลก ซึ่งจะส่งผลกระทบในวงกว้างต่อระบบเกษตรกรรมไทย

ความพยายามร่วมของหน่วยงานความมั่นคงชายแดน

หน่วยเรือรักษาความสงบเรียบร้อยตามลำแม่น้ำโขง (นรข.) เป็นหน่วยงานหลักที่ทำหน้าที่ดูแลรักษาความสงบเรียบร้อยในลำน้ำโขง โดยเฉพาะในเขตภาคเหนือที่ติดกับชายแดนลาว การลาดตระเวนเชิงรุกและการประสานข่าวกรองกับชุมชนในพื้นที่ จึงมีความสำคัญอย่างยิ่งในการสกัดกั้นการลักลอบค้าของผิดกฎหมาย รวมถึงสินค้าการเกษตร

การจับกุมในครั้งนี้จึงถือเป็นอีกหนึ่งตัวอย่างของความร่วมมือระหว่างเจ้าหน้าที่รัฐกับชุมชน ที่ช่วยแจ้งเตือนภัยและร่วมกันเฝ้าระวัง เพื่อป้องกันไม่ให้ประเทศไทยกลายเป็นแหล่งต้นทางของการกระทำผิดกฎหมายข้ามชาติ

ข้อมูลสถิติที่เกี่ยวข้อง

  • ข้อมูลจาก กรมวิชาการเกษตร (2566) ระบุว่า ประเทศไทยมีการขออนุญาตส่งออกต้นกล้าทุเรียนไปยังประเทศเพื่อนบ้านอย่างถูกต้องเฉลี่ยเพียง 9,400 ต้นต่อปี ในขณะที่พบการลักลอบนำออกกว่า 3,000-5,000 ต้น/ปี
  • ศูนย์บัญชาการป้องกันชายแดนภาคเหนือ (2567) รายงานว่าในรอบปีงบประมาณ 2567 มีการตรวจยึดต้นกล้าทุเรียนลักลอบส่งออกในภาคเหนือรวม 12 ครั้ง คิดเป็นมูลค่าของกลางกว่า 3.2 ล้านบาท
  • สำนักงานศุลกากรภาคที่ 3 เปิดเผยว่า การลักลอบส่งออกพืชเศรษฐกิจโดยไม่ผ่านพิธีการศุลกากรในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา เพิ่มขึ้นเฉลี่ยปีละ 17% ซึ่งเป็นอัตราการเติบโตสูงสุดในรอบทศวรรษ

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : 

  • กรมวิชาการเกษตร
  • ศูนย์บัญชาการป้องกันชายแดนภาคเหนือ
  • สำนักงานศุลกากรภาคที่ 3
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI NEWS UPDATE

สปป.ลาว ปะทะหนัก กระสุนข้ามแดนตกบ้านเชียงราย

ความตึงเครียดชายแดนไทย-ลาว ฐานทหาร สปป.ลาว ถูกโจมตี กระสุนทะลุบ้านเรือนในฝั่งไทย

สถานการณ์ชายแดนไทย-ลาวตึงเครียด หลังเกิดเสียงปืนหลายจุดในฝั่ง สปป.ลาว

ประเทศไทย, 4 พฤษภาคม 2568 – เกิดเหตุการณ์ตึงเครียดบริเวณชายแดนไทย-ลาว ด้านอำเภอเวียงแก่น จังหวัดเชียงราย หลังมีเสียงปืนดังเป็นระยะจากฝั่ง สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป.ลาว) บริเวณเมืองปากทา แขวงบ่อแก้ว ซึ่งอยู่ตรงข้ามกับพื้นที่บ้านร่มฟ้าผาหม่น หมู่ 15 ตำบลปอ อำเภอเวียงแก่น โดยเสียงปืนดังขึ้นหลายจุดติดต่อกันและกินเวลาหลายชั่วโมง สร้างความตื่นตระหนกให้กับประชาชนในพื้นที่ใกล้เคียงของฝั่งไทย

พลตรีกิดากร จันทรา ผู้บัญชาการกองกำลังผาเมือง ได้มอบหมายให้พันเอกไพรัช ศรีไชยวาล ผู้บังคับหน่วยเฉพาะกิจกรมทหารพรานที่ 31 เข้าตรวจสอบสถานการณ์อย่างใกล้ชิด โดยพบว่าเสียงปืนดังกล่าวมาจากพื้นที่บ้านพูผามน เมืองปากทา แขวงบ่อแก้ว ซึ่งอยู่ห่างจากชายแดนไทยไม่มาก และยังได้ยินเสียงในหลายจุดที่อยู่ตรงกันข้ามกับตำบลปอ อำเภอเวียงแก่น ตลอดแนวพื้นที่ตั้งแต่ผาตั้งไปจนถึงภูชี้ฟ้า

ผลกระทบข้ามแดน กระสุนปืนทะลุหลังคาบ้านชาวบ้านฝั่งไทย

ในช่วงเกิดเหตุปะทะกัน มีรายงานว่าหัวกระสุนปืนขนาด 7.62 มม. จำนวน 1 นัด ตกลงมาในพื้นที่ฝั่งไทย โดยกระสุนทะลุหลังคาบ้านของชาวบ้านในหมู่บ้านร่มฟ้าผาหม่น ตำบลปอ โชคดีที่ไม่มีผู้ใดได้รับอันตราย อย่างไรก็ตาม เหตุการณ์นี้ได้สร้างความวิตกกังวลอย่างมากให้แก่ประชาชนในพื้นที่ และทำให้เจ้าหน้าที่ทหารของกองกำลังผาเมืองต้องวางกำลังเฝ้าระวังตลอดแนวชายแดนอย่างเข้มงวด

หน่วยทหารได้ยืนยันว่ากระสุนที่ตกลงมานั้นน่าจะมาจากการปะทะกันระหว่างกองกำลังติดอาวุธไม่ทราบฝ่ายกับกองกำลังของ สปป.ลาว โดยบริเวณที่เกิดเสียงปะทะนั้นอยู่ห่างจากแนวชายแดนประมาณ 2 กิโลเมตร และยังคงมีเสียงดังต่อเนื่องในบางช่วง

ไทยขอความร่วมมือ สปป.ลาว เร่งตรวจสอบและป้องกันเหตุซ้ำ

พลตรีกิดากร จันทรา ได้มีหนังสือประสานไปยังหัวหน้าชุดประสานงานประจำพื้นที่ชายแดนลาว-ไทย แขวงบ่อแก้ว เพื่อขอให้ตรวจสอบเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นโดยละเอียด พร้อมทั้งแสดงความห่วงใยต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในฝั่งไทย ซึ่งส่งผลต่อความปลอดภัยและความรู้สึกของประชาชนบริเวณแนวชายแดน

ในหนังสือดังกล่าว ยังได้ขอความร่วมมือจากทางการ สปป.ลาว ให้แจ้งเตือนล่วงหน้าหากมีความเคลื่อนไหวหรือเหตุการณ์สำคัญ เพื่อให้ฝ่ายไทยสามารถเตรียมการป้องกันและแจ้งเตือนประชาชนได้ทันท่วงที ทั้งนี้ ไทยให้ความสำคัญต่อการรักษาความสัมพันธ์อันดีระหว่างประเทศและการเคารพในอธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดนของทั้งสองฝ่ายอย่างสูงสุด

ลาวเตรียมการรับมือ-สั่งเฝ้าระวังตลอดแนวชายแดน

ภายหลังเหตุการณ์ สปป.ลาว ได้มีการสั่งการในระดับพื้นที่ โดยเจ้าเมืองต่างๆ ได้ส่งหนังสือแจ้งเตือนไปยังเจ้าหน้าที่ตำรวจ ผู้นำชุมชน และผู้ใหญ่บ้านในพื้นที่เสี่ยง โดยเน้นย้ำให้เฝ้าระวังกลุ่มคนไม่หวังดีและกองกำลังติดอาวุธที่อาจเข้ามาก่อความไม่สงบเพิ่มเติม

คำสั่งยังรวมถึงการเตรียมความพร้อมทั้งกำลังพล อาวุธ และแผนเฝ้าระวังตลอด 24 ชั่วโมง โดยเฉพาะบริเวณป้อมชายแดนที่อาจตกเป็นเป้าหมายการโจมตี

วิเคราะห์สถานการณ์ ความมั่นคงของชายแดนไทย-ลาวในบริบทความเปลี่ยนแปลง

เหตุการณ์นี้ถือเป็นอีกหนึ่งสัญญาณที่สะท้อนถึงความเปราะบางของสถานการณ์ชายแดนไทย-ลาว แม้ทั้งสองประเทศจะมีความสัมพันธ์ที่ดีและให้ความร่วมมือในหลายด้าน แต่ภัยคุกคามจากกองกำลังนอกระบบหรือกลุ่มติดอาวุธที่ไม่ชัดเจนทางฝ่าย อาจกลายเป็นชนวนของความขัดแย้งที่กระทบต่อประชาชนและการค้าชายแดนได้อย่างไม่คาดคิด

การที่กระสุนตกมายังฝั่งไทยแม้เพียงหนึ่งนัด ย่อมเป็นสัญญาณเตือนที่ต้องรับมือด้วยความรอบคอบ และไม่ควรมองข้ามความเสี่ยงที่อาจลุกลาม

ข้อเสนอเชิงนโยบายและการดำเนินการต่อไป

เพื่อป้องกันเหตุการณ์ลักษณะนี้ในอนาคต จำเป็นอย่างยิ่งที่ไทยและลาวจะต้องมีการประสานงานอย่างใกล้ชิดในระดับท้องถิ่นและระดับรัฐ ร่วมกันวางแนวทางป้องกันที่ครอบคลุมทั้งทางทหารและการข่าว พร้อมทั้งเปิดช่องทางสื่อสารที่รวดเร็วและมีประสิทธิภาพในยามฉุกเฉิน

ควรมีการจัดเวทีหารือหรือคณะกรรมการร่วมชายแดน (Joint Border Committee – JBC) เพื่อประเมินความเสี่ยงและปรับแผนการรับมือในสถานการณ์ชายแดนร่วมกันเป็นระยะ

ผลกระทบต่อประชาชนและความเชื่อมั่นในความมั่นคงของพื้นที่

ประชาชนในพื้นที่ใกล้เคียงกับจุดเกิดเหตุส่วนใหญ่อาศัยอยู่กับธรรมชาติและการค้าชายแดน การเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ซ้ำ ๆ อาจทำให้ประชาชนขาดความมั่นใจในความปลอดภัย และส่งผลต่อเศรษฐกิจฐานรากของพื้นที่ที่พึ่งพาความสงบในการดำเนินชีวิต

หน่วยงานภาครัฐควรให้ความสำคัญกับการสื่อสารกับชุมชนในแนวชายแดน เพื่อสร้างความเข้าใจ ลดความตื่นตระหนก และรักษาเสถียรภาพทางสังคม

ข้อมูลสถิติที่เกี่ยวข้องกับข่าว

  • ข้อมูลจากศูนย์วิจัยเพื่อความมั่นคงภาคเหนือ (2566) พื้นที่แนวชายแดนไทย-ลาวในภาคเหนือมีจุดเสี่ยงด้านความมั่นคงมากกว่า 36 จุด โดยเฉพาะในเขตจังหวัดเชียงรายและน่าน
  • รายงานจากศูนย์สันติภาพและความมั่นคง (Peace & Security Studies Center) ระบุว่าในช่วงปี 2565-2567 มีเหตุการณ์กระสุนข้ามแดนในภูมิภาคลุ่มน้ำโขงถึง 14 ครั้ง แม้ไม่มีผู้เสียชีวิต แต่ส่งผลต่อจิตวิทยาชุมชนชายแดน
  • สำนักงานความมั่นคงแห่งชาติ (สมัยรัฐบาลปี 2567) มีข้อเสนอให้เพิ่มงบประมาณสนับสนุนหน่วยเฉพาะกิจชายแดน เพื่อการลาดตระเวนและเฝ้าระวังเหตุการณ์ในช่วงเวลาที่มีความเปราะบางสูง

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • ศูนย์วิจัยเพื่อความมั่นคงภาคเหนือ

  • Peace & Security Studies Center

  • สำนักความมั่นคงแห่งชาติ

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
WORLD PULSE

มิติใหม่สื่ออาเซียน ไทย-ลาว ร่วมมือพัฒนาศักยภาพ

กรมประชาสัมพันธ์ผนึกกำลังสมาคมนักข่าวไทย-ลาว เสริมศักยภาพสื่อมวลชนรับมือยุคดิจิทัล

กรุงเทพมหานคร,10 กุมภาพันธ์ 2568 –  กรมประชาสัมพันธ์ โดยสถาบันการประชาสัมพันธ์ ร่วมมือกับสมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย และสมาคมนักข่าวแห่ง สปป. ลาว จัดกิจกรรมฝึกอบรมเชิงปฏิบัติการสำหรับสื่อมวลชนจาก สปป.ลาว ระหว่างวันที่ 10 – 21 กุมภาพันธ์ 2568 ณ กรุงเทพมหานคร

พิธีเปิดและการลงนามบันทึกความเข้าใจ (MOU)

พิธีเปิดจัดขึ้นในวันนี้ โดยมีนายคเชนทร์ กรรณิกา นางสาวอรัญญา เกตุแก้ว รองอธิบดีกรมประชาสัมพันธ์ พร้อมด้วยนายชวรงค์ ลิมป์ปัทมปาณี ประธานสภาการสื่อมวลชนแห่งชาติ นายสะหวันคอน ราชมนตรี ประธานสมาคมนักข่าวแห่ง สปป.ลาว และคณะกรรมการสมาคมฯ เข้าร่วมเป็นเกียรติ

ในโอกาสนี้ สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย และสมาคมนักข่าวแห่ง สปป. ลาว ได้ร่วมกันลงนามในบันทึกความเข้าใจ (MOU) ซึ่งเป็นบันทึกความเข้าใจฯ ที่ปรับปรุงให้สอดรับกับยุคสมัยมากขึ้น โดยจะเพิ่มการป้องกันแก้ไขปัญหาข่าวปลอม (Fake news) การรับมือกับข่าวสารในยุคปัญญาประดิษฐ์ (AI) การมีส่วนร่วมในการแก้ปัญหาภัยจากการหลอกลวงทางออนไลน์ และเพิ่มกิจกรรมพัฒนาศักยภาพและทักษะของบุคลากรสื่อ

วัตถุประสงค์ของการฝึกอบรม

การฝึกอบรมเชิงปฏิบัติการนี้ ถือเป็นหนึ่งในกิจกรรมที่มุ่งสร้างสัมพันธ์อันดีระหว่างภาคสื่อมวลชนไทยและ สปป. ลาว อีกทั้งส่งเสริมการแลกเปลี่ยนสนับสนุนการทำงานด้านข่าวระหว่างกัน โดยตัวแทนสื่อมวลชนทั้ง 7 คน มาจากหน่วยสื่อชั้นนำทั้งสื่อหลักและสื่อออนไลน์ทั่วประเทศลาว จะเข้ารับการฝึกอบรมและฝึกงานในหน่วยสื่อชั้นนำของไทย รวมทั้งสถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทย (NBT)

เนื้อหาของการฝึกอบรมที่ครอบคลุมและทันสมัย

การฝึกอบรมครั้งนี้ครอบคลุมเนื้อหาที่หลากหลายและเป็นประโยชน์ต่อการปฏิบัติงานของสื่อมวลชนในยุคปัจจุบัน อาทิ

  • หลักการพื้นฐานและจริยธรรมของสื่อมวลชน: เน้นย้ำความสำคัญของความถูกต้อง แม่นยำ เป็นกลาง และเป็นธรรมในการนำเสนอข่าวสาร
  • การผลิตข่าวคุณภาพในยุคดิจิทัล: สอนเทคนิคการเขียนข่าว การถ่ายภาพ การตัดต่อวิดีโอ และการใช้สื่อสังคมออนไลน์ในการเผยแพร่ข่าวสาร
  • การใช้เทคโนโลยีและเครื่องมือใหม่ๆ ในการสื่อสาร: แนะนำการใช้เครื่องมือและแพลตฟอร์มต่างๆ ในการผลิตและเผยแพร่ข่าวสารอย่างมีประสิทธิภาพ
  • การตรวจสอบข่าวสารและต่อต้านข่าวปลอม: สอนทักษะการตรวจสอบข่าวสารจากแหล่งต่างๆ และการแยกแยะข่าวจริงออกจากข่าวปลอม
  • การรับมือกับภัยคุกคามทางออนไลน์: สอนแนวทางการป้องกันตนเองจากการถูกโจมตีทางไซเบอร์ การถูกกลั่นแกล้งทางออนไลน์ และการหลอกลวงทางออนไลน์
  • การมีส่วนร่วมในการพัฒนาสังคม: ส่งเสริมให้สื่อมวลชนมีบทบาทในการสะท้อนปัญหาและนำเสนอแนวทางแก้ไขปัญหาของสังคม

ความร่วมมือที่เข้มแข็งระหว่างสื่อมวลชนไทย-ลาว

การจัดกิจกรรมฝึกอบรมเชิงปฏิบัติการในครั้งนี้ เป็นการแสดงให้เห็นถึงความร่วมมืออันดีระหว่างสื่อมวลชนไทยและ สปป. ลาว ในการพัฒนาศักยภาพของบุคลากรและยกระดับมาตรฐานของวงการสื่อมวลชนในภูมิภาค

ความคาดหวังและผลลัพธ์ที่จับต้องได้

ผู้จัดงานคาดหวังว่า สื่อมวลชนลาวที่เข้าร่วมการฝึกอบรมในครั้งนี้ จะได้รับความรู้และประสบการณ์ที่เป็นประโยชน์ในการนำไปพัฒนาการทำงานของตนเอง และมีส่วนร่วมในการพัฒนาวงการสื่อมวลชนของ สปป. ลาว ให้ก้าวหน้ายิ่งขึ้น

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI TOP STORIES

ไทยประชุมบูรณาการ สปป.ลาว ปราบแก๊งคอลเซ็นเตอร์คิงส์โรมัน

 

เมื่อวันที่ 15 ส.ค.2567 ที่ห้องประชุม สภ.เชียงแสน จ.เชียงราย พล.ต.ท.ธัชชัย ปิตะนีละบุตร ผช.ผบ.ตร.ได้ประชุมบูรณาการร่วมหน่วยงานความมั่นคงชายแดน แก้ไขปัญหาอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ไทย-สปป.ลาว-เขตเศรษฐกิจพิเศษสามเหลี่ยมทองคำ” โดยมี เจ้าหน้าที่กองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ด่านตรวจคนเข้าเมือง (ตม.) ฝ่ายปกครอง ทหาร คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) โดยมีท่านคำเพ็ง กุมพัน หัวหน้าห้องว่าการเมืองต้นผึ้ง ท่านบุญถี ยัดทะวง รองหัวหน้ากองบัญชาการ ปกส.(ตำรวจ) เมืองต้นผึ้ง ท้าวอุ่นเรือน วิไซพัน หัวหน้าห้องการเทคโนโลยีและการสื่อสารเมืองต้นผึ้ง และท่านดาวเพ็ด วันมะแสง หัวหน้าหน่วยงานประสานชายแดนเมืองต้นผึ้ง เข้าร่วมแลกเปลี่ยนในการประชุมด้วย ซึ่งที่ประชุมมีการหารือเรื่องเดียวคือการปราบปรามขบวนการหลอกลวงหรือแก๊งคอลเซ็นเตอร์ในเขตเศรษฐกิจพิเศษสามเหลีย่มทองคำ เมืองต้นผึ้ง ร่วมกัน

โดยมีมติร่วม 2 ข้อคือ 1.ทางการ สปป.ลาว จะไม่ยินยอมให้มีขบวนการหลอกลวงหรือแก๊งคอลเซ็นเตอ์ในเขตเศรษฐกิจพิเศษสามเหลี่ยมทองคำโดยเด็ดขาด โดยหลังจากวันที่ 25 ส.ค.เป็นต้นไปหากพบผู้เข้าไปลักลอบตั้งแก๊งคอลเซ็นเตอร์รวมถึงคนไทยจะถูกดำเนินคดีตามกฎหมายของ สปป.ลาว อย่างเช้มงวด 2.เพื่อให้มีการแก้ไขปัญหาอย่างต่อเนื่องจึงจะมีการศึกษาและกำหนดแนวทางในการตั้ง “คณะทำงานปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์ตามเขตแนวชายแดนระหว่างไทย-สปป.ลาว” ซึ่งในส่วนของฝ่ายไทยทาง พล.ต.ท.ธัชชัย ได้มอบหมายให้ตำรวจไซเบอร์และ ภ.5 ได้ศึกษาในการตั้งคณะกรรมการ โดยหากมีการแจ้งความดำเนินคดีในฝ่ายไทยก็จะมีการแจ้งข้อมูลต่อให้กับคณะกรรมการถ้าเป็นคนไทยก็นำมาลงโทษในประเทศไทยหรือหากมีหมายจับก็จะควบคุมดำเนินคดีตามกฎหมาย

พล.ต.ท.ธัชชัย กล่าวว่า การหารือครั้งนี้มีเพียงเรื่องการปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์โดยเฉพาะ เพราะถือเป็นปัญหาใหม่สำหรับการพูดคุยหารือกันระหว่างประเทศเพราะเราต้องการความมั่นใจว่าต่อไปนี้จะต้องไม่มีพื้นที่ให้แก๊งคอลเซ็นเตอร์ตามแนวชายแดนและมาหลอกลวงคนไทยอีก หลังจากที่ก่อนหน้านี้ทางเจ้าหน้าที่ไทยได้มีการตัดสัญญานอินเตอร์เน็ตที่ส่งไปยังประเทศเพื่อนบ้าน ผลคือมีการใช้สัญญานโทรศัพท์จากฝั่งประเทศเพื่อนบ้านมากขึ้นจนเกิดการโทรศัพท์ที่มีหมายเลขจำนวนมาหาคนไทย แสดงให้เห็นว่าแก๊งนี้ทำไม่ได้เหมือนเดิม และในช่วง 2-3 สัปดาห์ที่ผ่านมาแก๊งที่ตั้งอยู่ในประเทศกัมพูชาหลบหนีเข้ามายังฝั่งไทยที่ จ.ชลบุรี ซึ่งถูกตำรวจไทยจับกุมดำเนินคดีได้แล้วที่ อ.ศรีราชา ในที่สุด

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : หน่วยงานความมั่นคงชายแดน

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SPORT

นักวิ่งทีมชาติไทย คว้ารองแชมป์ มาราธอนครั้งที่ 4 สามเหลี่ยมทองคำ

 

เมื่อวันที่ 26 มิถุนายน 2567 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นักวิ่งชาวไทยจำนวนมากได้เดินทางเข้าร่วมการแข่งขันวิ่งมาราธอนครั้งที่ 4 เนื่องในโอกาสเฉลิมฉลองวันต้านยาเสพติดสากล ครบรอบ 37 ปี ที่เขตเศรษฐกิจพิเศษสามเหลี่ยมทองคำ บริเวณเกาะดอนซาว เมืองต้นผึ้ง แขวงบ่อแก้ว สปป.ลาว และถือว่าเป็นรายการวิ่งต่างประเทศที่อยู่ใกล้ประเทศไทยมากที่สุด ซึ่งนักวิ่งยังรวมถึง “เบล ณัฐวัฒน์ อินนุ่ม” นักวิ่งทีมชาติไทย ก็เข้าร่วมการแข่งขันด้วย 

 

พิธีเปิดการแข่งขันมี พลตรี คำกิ่ง ผุยหล้ามะนีวง รองรัฐมนตรีกระทรวงป้องกันความสงบ สปป.ลาว ปริญญาเอก ทองจัน มะนีไช เจ้าแขวง แขวงบ่อแก้ว นำคณะผู้บริหารทุกฝ่าย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จาก 6 ประเทศลุ่มแม่น้ำโขง ร่วมกันปล่อยตัวนักกีฬาวิ่งวิ่งมาราธอนครั้งที่ 4 เนื่องในโอกาสเฉลิมฉลองวันต้านยาเสพติดสากลครบรอบ 37 ปี

 

โดยการแข่งขันในครั้งนี้แบ่งเป็น 2 ประเภทคือ ประเภท ฮาล์ฟมาราธอน 21.0975 กิโลเมตร และวิ่งระยะสั้น 6.26 กิโลเมตร โดยเริ่มวิ่งจากเกาะดอนซาว ไปตามถนนภายในเขตเศรษฐกิจพิเศษสามเหลี่ยมทองคำ และกลับมาเข้าเส้นชัยจุดเดิมที่ออกสตาร์ท

 

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า การแข่งขันในครั้งนี้มีนักวิ่งเข้าร่วมจากหลากหลายประเทศ โดยมาจากประเทศในกลุ่มเอเชีย โดยมีนักวิ่งเข้าร่วมกว่า 1,500 คน โดยเฉพาะนักวิ่งจากประเทศไทยได้เข้าร่วมวิ่งในครั้งนี้จำนวนมาก และลงวิ่งแข่งขันครบทุกรุ่นทั้งชายและหญิง 

 

การแข่งขันวิ่งประเภท ฮาล์ฟมาราธอน 21.0975 กิโลเมตร รองแชมป์ Overall ชาย เป็นของ “เบล ณัฐวัฒน์ อินนุ่ม” นักวิ่งทีมชาติไทย ได้รับเงินรางวัล 150 ล้านกีบ (ประมาณ 250,000 บาท) ส่วนอันดับ 1 และ 3 เป็นของนักวิ่งชาวจีน 

 

ขณะที่ รุ่นชายระยะทาง 6.26 กิโลเมตร นักกีฬาจากประเทศไทย ได้ที่ 1-3 Overall ทั้งรับเงินรางวัลรวมกันมากกว่า 63 ล้านกีบ (ประมาณ 100,000 บาท) โดย นายคฑาสิทธิ์ เนื่องหล้า นายอำเภอเชียงแสน จ.เชียงราย ได้เข้าร่วมแสดงความยินดีและกล่าวชื่นชมกับนักกีฬาจากประเทศไทยทั้ง 3 คน.

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
WORLD PULSE

ไทย-จีน-ลาว-พม่า-กัมพูชา-เวียดนาม 6 ประเทศ แม่น้ำโขง ปราบยาเสพติด

 

เมื่อวันที่ 25 มิถุนายน 2567 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สปป.ลาว เป็นเจ้าภาพจัดการประชุมความร่วมมือปราบปรามยาเสพติดในประเทศลุ่มแม่น้ำโขง 6 ประเทศ ที่เขตเศรษฐกิจพิเศษสามเหลี่ยมทองคำ เมืองต้นผึ้ง แขวงบ่อแก้ว ซึ่งได้เชิญทางป.ป.ส.ประเทศไทย เข้าร่วม พร้อมกับผู้แทน ประเทศจีน เมียนมา เวียดนาม และ ประเทศกัมพูชา

 

พลตรี คำกิ่ง ผุยหล้ามะนีวง รองรัฐมนตรีกระทรวงป้องกันความสงบ สปป.ลาว เป็นประธานกล่าวต้อนรับและเปิดประชุม
โดยการจัดการประชุมครั้งนี้เพื่อแสดงความร่วมมือของประเทศต่างๆ ในภูมิภาคลุ่มน้ำโขงในการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด ซึ่งจัดขึ้นเนื่องในโอกาสวันต่อต้านยาเสพติดสากล 26 มิถุนายน 2567 และเป็นการกระชับมิตรภาพ ความสามัคคี และความร่วมมือในการต่อต้านยาเสพติด ในกลุ่มประเทศลุ่มแม่น้ำโขงทั้ง 6 ประเทศ
 
 
พลตรี คำกิ่ง ผุยหล้ามะนีวง กล่าวว่า เมื่อเดือนที่ผ่านมา การประชุมเจ้าหน้าที่อาวุโสของประเทศต่างๆ ได้ร่วมกันจัดทำบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือในการควบคุมยาเสพติดในอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 27-31 พฤษภาคม 2567 ที่นครเวียงจันทน์ สปป. ลาว และ มีคณะผู้แทนของเราเข้าร่วมรับฟังและแลกเปลี่ยนความคิดเห็นในการประชุมด้วย ซึ่งเป็นที่ทราบกันดีว่าปัญหายาเสพติดถือเป็นอันตรายร้ายแรงและได้แพร่กระจายไปอย่างกว้างขวางจากเมืองสู่ชนบทในระดับต่างๆ
 
 
จนเป็นสาเหตุของเกิดปัญหาความยากจนและอาชญากรรมประเภทต่างๆ ในสังคม จำนวนคดียาเสพติด นักโทษ ผู้ติดยา รวมทั้งจำนวนยาเสพติดแต่ละประเภทมีเพิ่มขึ้นอย่างมาก ขณะเดียวกันการเคลื่อนย้าย ขนส่ง ค้าขาย และผลิตยามีลักษณะเป็นเครือข่ายมีวิธีการหลายรูปแบบที่ซับซ้อน
 
 
“สปป.ลาวและประเทศที่อยู่ในพื้นที่ลุ่มน้ำของเราได้รับผลกระทบโดยตรงและเผชิญกับปัญหายาเสพติด ปัจจุบันยาเสพติดมีผลกระทบร้ายแรงต่อทุกเพศทุกวัยและทุกชนชั้นทั่วทั้งสังคม ตั้งแต่นักเรียนนักศึกษา ผู้ค้า คนงาน คนว่างงาน ไปจนถึงข้าราชการจำนวนหนึ่งซึ่งเป็นต้นเหตุของปรากฏการณ์ที่ทำให้การพัฒนาเศรษฐกิจ วัฒนธรรม และสังคมถดถอย ส่งผลต่อเสถียรภาพทางการเมือง ตลอดจนความสงบเรียบร้อยและความปลอดภัยของสังคม” พลตรี คำกิ่ง กล่าว
 
 
หลังจากนั้นที่ประชุมได้ให้ผู้แทนทั้ง 6 ประเทศ ได้กล่าวถึงปัญหาและแนวทางการแก้ไขปัญหายาเสพคิดของตนเอง และจะได้รวบรวมข้อมูลของแต่ล่ะประเทศเพื่อนำไปสู่การร่วมมือกันแก้ไขปัญหายาเสพติดต่อไป
 
 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
NEWS UPDATE

ครม.ไทยอนุมัติเงิน 1,833 ล้านบาทช่วยลาว ปรับปรุงเส้นทางหมายเลข 12 – R12

 
เมื่อวันที่ 18 เมษายน 2567 ที่ผ่านมาทำเนียบรัฐบาล นางสาวเกณิกา อุ่นจิตร์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเห็นชอบการให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่รัฐบาลสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป.ลาว) ในการปรับปรุงเส้นทางหมายเลข 12 (R12) ช่วงเมืองท่าแขก – จุดผ่านแดนนาเพ้า สปป. ลาว (โครงการ R12) จำนวน 1,833,747,000 บาท 

นางสาวเกณิกากล่าวว่า การดำเนินโครงการ R12 เริ่มต้นจากเมืองท่าแขก แขวงคำม่วน บริเวณจุดเชื่อมต่อกับถนนหมายเลข 13 ห่างจากจุดผ่านแดนถาวรนครพนม ประมาณ 17 กิโลเมตร (ผ่านสะพานมิตรภาพไทย – ลาว แห่งที่ 3) เชื่อมต่อไปยังเมืองยมมะลาด เมืองบัวพะลา สิ้นสุดที่บริเวณจุดผ่านแดนสากลนาเพ้า สปป. ลาว ซึ่งอยู่ตรงข้ามกับจุดผ่านแดนสากลจาลอ กวางบิงห์ สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม ระยะทางประมาณ 147 กิโลเมตร ประกอบด้วย

1.ปรับปรุงสายทางตามมาตรฐานทางหลวงสายเอเชีย (Asian Highway) 2.ปรับปรุงจุดผ่านแดน อาคารสำนักงานต่าง ๆ สถานีขนถ่ายสินค้าและลานกองเก็บ ระบบสาธารณูปโภค และสิ่งอำนวยความสะดวกภายในบริเวณด่าน 3.ปรับปรุงระบบไฟฟ้าส่องสว่าง บริเวณทางร่วมทางแยกในชุมชนระบบระบายน้ำและติดตั้งอุปกรณ์เพื่อความปลอดภัยบริเวณจุดเสี่ยงอันตราย4.พัฒนาสิ่งอำนวยความสะดวกแหล่งท่องเที่ยว โดยมีเงื่อนไขและรูปแบบการให้ความช่วยเหลือทางการเงิน ดังนี้ 

เงื่อนไขการให้ความช่วยเหลือทางการเงิน
  • อัตราดอกเบี้ย ร้อยละ 1.75 ต่อปี 
  • อายุสัญญา 30 ปี (รวมระยะเวลาปลอดหนี้ 7 ปี)
  • ค่าธรรมเนียมบริหารของ สพพ.ร้อยละ 0.15 ของวงเงินกู้
  • ระยะเวลาการเบิกจ่าย 6 ปี นับจากวันที่ลงนามในสัญญา
  • ผู้ประกอบการงานก่อสร้างและที่ปรึกษานิติบุคคลสัญชาติไทย
  • การใช้สินค้าและบริการจากประเทศไทย ไม่น้อยกว่าร้อยละ 50 ของมูลค่าสัญญา
  • ผู้รับเหมาก่อสร้างและที่ปรึกษานิติบุคคลสัญชาติไทย
  • กฎหมายที่ใช้บังคับกฎหมายไทย
รูปแบบการให้ความช่วยเหลือทางการเงิน

วงเงินให้ความช่วยเหลือในรูปแบบเงินกู้เงื่อนไขผ่อนปรน1 (Concessional Loan) วงเงินรวมทั้งสิ้น 1,833,747,000 บาท แบ่งออกเป็น

  • วงเงินให้กู้ (จากแหล่งเงินงบประมาณร้อยละ 50 และเงินกู้จากสถาบันการเงินในประเทศร้อยละ 50) 1,742,684,000 บาท 
  • วงเงินให้เปล่า (จากแหล่งเงินงบประมาณ) 91,063,000 บาท 
แหล่งที่มาของเงินทุนโครงการ R12 ประกอบด้วย
  • เงินงบประมาณ แบ่งเป็น วงเงินให้เปล่า จำนวน 91,063,000 บาท และ วงเงินให้กู้ (ร้อยละ 50 ของวงเงินให้กู้) จำนวน 871,342,000 บาท รวมวงเงินทั้งสิ้น 962,405,000 บาท โดยขอรับการจัดสรรเงินงบประมาณจาก สงป. เป็นรายปี ตั้งแต่ปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 – 2570 รวมระยะเวลา 3 ปี 
  • เงินกู้จากสถาบันการเงินภายในประเทศ (เงินนอกงบประมาณ) คิดเป็นร้อยละ 50  ในส่วนของเงินกู้ รวมวงเงิน 871,342,000 บาท ซึ่ง สพพ. จะกู้เงินระยะเวลา 5 ปี โดยใช้วิธีการประมูลเพื่อหาผู้เสนอเงื่อนไขที่ดีที่สุด โดยในช่วง 5 ปีแรก ใช้ประมาณการอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ที่ร้อยละ 3.50 ต่อปี ซึ่งภายหลังจะดำเนินการปรับโครงสร้างหนี้โดยการออกพันธบัตรระยะเวลา 10 ปี สำหรับปีที่ 6 – 15 และออกพันธบัตรระยะเวลา 15 ปี สำหรับปีที่ 16 – 30 โดยใช้ประมาณการอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 4.00 ต่อปี โดย สพพ. เป็นผู้รับภาระส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยตลอดอายุสัญญา

ทั้งนี้ กรณีที่ สปป. ลาว ผิดนัดชำระหนี้ สพพ. จะพิจารณาใช้เงินสะสมของ สพพ. ไปก่อน หาก สพพ. ไม่สามารถดำเนินการได้หรือมีสภาพคล่องไม่เพียงพอจะขอให้รัฐบาลจัดสรรเงินงบประมาณเพื่อเสริมสภาพคล่องและเมื่อ สพพ. สามารถเรียกเก็บหนี้ได้จะนำเงินดังกล่าวส่งคืนคลังต่อไป

รายละเอียดค่าใช้จ่ายภายใต้วงเงินให้ความช่วยเหลือ
  • ค่าก่อสร้าง ประกอบด้วย งานก่อสร้างภายใต้วงเงินกู้ 1,584,937,000 บาท 
  • งานก่อสร้างภายใต้วงเงินให้เปล่า ได้แก่ งานปรับปรุงเส้นทางเข้าสู่แหล่งท่องเที่ยว 44,212,000 บาท งานสร้างจุดพักรถ 6,454,000 บาท งานปรับปรุงด่านนาเพ้า 40,397,000 บาท 
  • ค่าที่ปรึกษา 51,000,000 บาท 
  • ค่าบริหารจัดการ 20,000,000 บาท
  • ค่าเผื่อเหลือเผื่อขาด 84,000,000 บาท 
  • ค่าธรรมเนียมบริหารของ สพพ. 2,747,000 บาท 

นางสาวเกณิกากล่าวว่า ซึ่งหากคณะรัฐมนตรีมีมติให้ความเห็นชอบโครงการ R12 แล้ว สพพ. จะดำเนินการพิจารณาและกลั่นกรองโครงการเงินกู้ตามแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ซึ่งต้องได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการนโยบายและกำกับการบริหารหนี้สาธารณะเพื่อบรรลุโครงการดังกล่าวตามแผนการบริหารหนี้สาธารณะระยะปานกลาง 5 ปี ต่อไป

นางสาวเกณิกากล่าวว่า จากการศึกษาพบว่า เส้นทาง R12 จะสนับสนุนนโยบายการเชื่อมโยงคมนาคมขนส่งและระบบโลจิสติกส์ระหว่างประเทศไทย สปป. ลาว เวียดนาม และจีน รวมทั้งสร้างความเชื่อมโยงระหว่างประเทศภายใต้อนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขงอีกด้วย โดยสามารถประหยัดเวลาการขนส่งและพิธีการทางศุลกากรระหว่างประเทศได้ (Transit & Customs time) จากจุดเริ่มต้น (Origin) และจุดหมาย (Destination) เดียวกันจาก 10 ชั่วโมง เหลือ 4 ชั่วโมง เนื่องจากลดขั้นตอนการผ่านด่านศุลกากรจาก 5 จุด เหลือ 2 จุด และช่วยสนับสนุนให้ประเทศไทยเป็นฐานการค้าการลงทุนที่สำคัญของภูมิภาคและระดับโลก 

นางสาวเกณิกากล่าวว่า ตลอดจนยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศทั้งภาคการผลิตและบริการที่สำคัญ รวมถึงส่งเสริมให้มีการเดินทางและติดต่อแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมและประเพณีระหว่างกันส่งผลให้ประชาชนในพื้นที่สามารถเข้าถึงสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ ในการดำรงชีวิตได้อย่างรวดเร็วปลอดภัย และมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น

“เส้นทาง R12 เป็นเส้นทางที่สั้นที่สุดเมื่อเปรียบเทียบกับเส้นทางหมายเลข 8 (R8) และเส้นทางหมายเลข 9 (R9) ตามแนวระเบียงเศรษฐกิจตะวันออก – ตะวันตก (East – West Economic Corridor : EWEC) และคาดว่า มีโอกาสที่จะมีการเปลี่ยนการใช้เส้นทางจากเส้นทาง R9 มาใช้เส้นทางโครงการ R12 ประมาณร้อยละ 50 ซึ่งจะส่งผลให้โครงการ R12 สามารถเพิ่มมูลค่าการค้าชายชายแดนระหว่างไทย – สปป. ลาว ผ่านด่านศุลกากรนครพนมได้มากขึ้น”นางสาวเกณิกากล่าว

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักนายกรัฐมนตรี

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
ECONOMY

“ณพลเดช” หวังดัน จ.เชียงราย การเงินโลก – โมเดลสวิตฯ แห่งเอเชีย

 

เมื่อวันที่ 19 เมษายน 2567 ดร.ณพลเดช มณีลังกา คณะทำงานรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง และที่ปรึกษารัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ได้โพสต์เฟสบุ๊ค ดร.ปิง ณพลเดช มณีลังกา 李冰阳 ระบุจากที่เป็นคนเชียงรายแท้ๆ วันนี้ไม่ได้ข้ามมายังแผ่นดินลาวบริเวณสามเหลี่ยมทองคำมานาน ผมเคยมาที่นี่น่าจะเกิน 30 ปีที่ผ่านมา ตอนนี้เปลี่ยนไปมาก กลางคืนเป็นเมืองไม่หลับใหลแบบฮ่องกง กลางวันเป็นแหล่งท่องเที่ยวในหลายรูปแบบ จากที่ทราบคือ ประเทศลาวให้ นักลงทุนชาวจีนมาลงทุนระยะยาว จึงเกิดการลงทุนด้านอสังหาริมทรัพย์และ”เอ็นเตอร์เทนเมนท์คอมเพล็กซ์” รวมทั้งกาสิโน ต้องบอกว่ามีทั้งข้อดีข้อเสีย แต่ถ้ามองในสายตาของผมแล้ว หากปล่อยให้เจริญขึ้นเอง ก็คงจะใช้เวลาอีกพันปี แต่พอให้เกิดการลงทุนจากต่างชาติ 

 

ผมเห็นคนลาวที่ไม่มีงานทำ ก็มีอาชีพลืมตาอ้าปากได้ ไม่เพียงชาวลาว คนพม่าก็มาทำงานจำนวนมาก ด้วยแผ่นดินตรงนี้เชื่อม 3 ประเทศ โดยคั่นด้วยแม่น้ำโขง ประกอบด้วย ไทย-ลาว-พม่า โดยมียักษ์ใหญ่คือจีน เชื่อมโดยการเดินทางอยู่ไม่เกิน 6 ชม. ในการเดินรถไฟความเร็วสูงการเดินทางโดยเครื่องบินก็ง่ายเพราะอยู่ตรงกลาง และเชียงรายมีสนามบิน นานาชาติ น่าสนใจเข้าไปอีกมีทางเชื่อมออกทะเลทางเวียดนามและพม่า หมายความว่า สามารถจะเชื่อมทางธุรกิจขนาดใหญ่อย่างน้อย 5 ประเทศ ที่อยู่ใกล้กัน

 

การลงทุนฝั่งลาว มีการลงทุนสัมปทานพื้นที่จากกลุ่มทุนจีนชื่อ กลุ่มดอกงิ้วคำ เป็นบริษัทจดทะเบียนในฮ่องกงที่มีจ้าวเหว่ย กลุ่ม คิงส์โรมัน บริหาร ด้วยเม็ดเงินมหาศาล ในสายตาของผมเราไม่ต้องอิจฉาเขาหรือไม่ต้องไปแข่งกับเขาเลยครับ ถ้าประเทศไทยเราใช้ยุทธศาสตร์ในฐานะ อยู่กึ่งกลางของทุกประเทศข้างต้น ออกกฎหมายที่เหมาะสม เชียงรายจะกลายเป็นเมืองการค้าการลงทุนที่ใหญ่มาก 
 
 
ในภูมิภาคนี้ ไม่แน่อาจกลายเป็นศูนย์กลางทาง Finance แบบสวิตเซอร์แลนด์ ด้วยภูมิประเทศโอบล้อมด้วยแผ่นดินรอบล้อมด้วยประเทศต่างๆ ไม่ติดทะเล ปลอดภัยจากสงครามจากทางทะเล อาจนำไปสู่ศูนย์กลางทางเศรษฐกิจ ผนวกกับ เชียงราย โดยเฉพาะเชียงแสน เป็นเมืองประวัติศาสตร์ มีศิลปะและวัฒนธรรม ที่ยาวนาน เราจะสามารถขายการท่องเที่ยวขายเอกลักษณ์เฉพาะถิ่นให้ต่างชาติ มาเยี่ยมชมเราได้อีกมาก
 
 
พอเดินทางกลับจากประเทศลาว ผมจึงถือโอกาสไปรดน้ำดำหัวท่านศุลกากรเชียงของ และได้ถือโอกาสหารือกับนายด่านเชียงของ ถึงแนวคิดการ ผลักดันการค้าชายแดน ที่เชียงของที่เชื่อมกับถนน R3A ของลาวเชื่อมทางรถไฟความเร็วสูงสู่จีน นายด่านให้ข้อมูลอันเป็นประโยชน์เป็นอย่างมาก ตรงนี้ผมเริ่มเห็น โอกาสภูมิประเทศของเชียงราย ที่คล้ายกับสวิสเซอร์แลน การเชื่อมโยงระหว่างธุรกิจทั้งการเงินการธนาคาร ธุรกิจการค้าขาย แน่นอนหากมีการหมุนเม็ดเงินลงทุนมาสู่เชียงราย อาจนำไปสู่การเป็นศูนย์กลางการเงินการธนาคารใหญ่แห่งหนึ่งของโลก 
 
 
เบื้องต้นต้องผลักดันเชียงราย-เชียงใหม่ เป็นเขตเศรษฐกิจพิเศษเสียก่อน โดยออกกฎหมายเฉพาะ และเชิญชวนองค์กรสันติภาพระหว่างประเทศมาตั้งสำนักงานที่นี่ ดึงการค้าการเงินการธนาคาร เพื่อผลักดันการเป็นศูนย์กลาง ซึ่งประเทศไทยมีความมั่นคงอยู่แล้ว อีกทั้งเชื่อมโยงระบบคมนาคมทั้งทางบก ทางน้ำ ทางอากาศ ให้สะดวกขึ้น และดึงเม็ดเงินมาลงในพื้นที่ ก็อาจจะทำให้เชียงราย-เชียงใหม่ กลายเป็นสวิตเซอร์แลนด์แห่งเอเชีย อย่างไรผมจะลองเอาโมเดลนี้ไปเสนอต่อรัฐบาลต่อไปครับ
 
นอกจากความร่ำรวยระดับโลกแล้ว ฟรังก์สวิส ซึ่งเป็นสกุลเงินของประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ยังเป็นอีกหนึ่งสินทรัพย์ปลอดภัย ที่นักลงทุนทั่วโลกเชื่อมั่น และครอบครองเมื่อตลาดผันผวน
 
 
โดยปัจจัยที่ทำให้ฟรังก์สวิส เป็นสินทรัพย์ปลอดภัย มีอยู่ 4 ข้อหลัก ๆ ด้วยกัน
นั่นก็คือ
1. ระบบธนาคารที่แข็งแกร่ง และมีความน่าเชื่อถือ
2. ความมั่นคงทางเศรษฐกิจ
3. ความเป็นเอกภาพ และเสถียรภาพทางการเมือง
4. ปัจจัยสุดท้ายคือ สถานะความเป็นกลางของประเทศ

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ดร.ปิง ณพลเดช มณีลังกา 李冰阳

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News