Categories
AROUND CHIANG RAI EDITORIAL

“อวดเมือง 2568” เจาะกลยุทธ์ 3 จังหวัดอีสานผงาดเวที Soft Power เชียงรายสู้ต่อ

เปิดม่าน “อวดเมือง 2568”  เจาะลึกกลยุทธ์ 3 จังหวัดอีสานผงาดเวที Soft Power พร้อมถอดบทเรียน “เชียงราย” สู่การพัฒนาที่ยั่งยืน

กรุงเทพมหานคร, 10 กรกฎาคม 2568 – ท่ามกลางบรรยากาศอันคึกคักของงาน SPLASH – Soft Power Forum 2025 ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ กิจกรรมไฮไลต์ที่ได้รับความสนใจอย่างล้นหลามคือการนำเสนอ City Showcase ในโครงการ “อวดเมือง 2568 The Pitching” ซึ่งเฟ้นหา 2 จังหวัดต้นแบบที่จะได้รับการยกระดับเป็นเมืองที่ “น่าลงทุน น่าอยู่ น่าเที่ยว” จากผู้เข้าร่วม 51 จังหวัดทั่วประเทศ และในรอบ 12 จังหวัดสุดท้ายที่ผ่านการคัดเลือก ได้แก่ กาญจนบุรี, ขอนแก่น, จันทบุรี, เชียงราย, นครราชสีมา, พิษณุโลก, เพชรบุรี, แพร่, เลย, ศรีสะเกษ, สุโขทัย และอุบลราชธานี มี 3 จังหวัดจากภาคอีสานอย่าง ขอนแก่น นครราชสีมา และศรีสะเกษ ที่สามารถตีตั๋วเข้าสู่รอบสุดท้ายได้อย่างน่าจับตา ขณะที่เชียงราย แม้จะไม่ได้ไปต่อในรอบนี้ แต่ก็แสดงให้เห็นถึงศักยภาพและแนวทางในการพัฒนาตนเองอย่างยั่งยืน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพิจารณาถึงความท้าทายด้านทรัพยากรน้ำที่จังหวัดต้องเผชิญ

การที่ 3 จังหวัดอีสานอย่างขอนแก่น นครราชสีมา และศรีสะเกษ สามารถก้าวเข้าสู่รอบสุดท้ายของโครงการ “อวดเมือง 2568 The Pitching” ไม่ได้เป็นเพียงเรื่องของความบันเทิงหรือเทศกาลดนตรีเท่านั้น หากแต่เป็นการแสดงให้เห็นถึงวิสัยทัศน์อันกว้างไกลในการนำ Soft Power มาเป็นเครื่องมือขับเคลื่อนการพัฒนาเมืองในมิติที่หลากหลาย ทั้งเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม โดยมีเป้าหมายสูงสุดคือการยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้คนในท้องถิ่นให้ดียิ่งขึ้น

ถอดรหัสความสำเร็จของ 3 จังหวัดอีสาน เมื่อ Soft Power สร้างมูลค่าที่จับต้องได้

การวิเคราะห์โครงการของทั้ง 3 จังหวัดที่ผ่านเข้ารอบสุดท้าย ชี้ให้เห็นถึงกลยุทธ์ที่เฉียบคมในการนำเสนออัตลักษณ์ท้องถิ่น ผสมผสานกับแนวคิดสมัยใหม่ เพื่อสร้างความน่าสนใจและโอกาสในการลงทุนอย่างยั่งยืน

  1. ขอนแก่น “เทศกาลม่วน เมื่อผืนไหมขับร้อง และหัวใจเต้นไปกับจังหวะหมอลำ”

ขอนแก่นนำเสนอ “เทศกาลม่วน” ที่ถักทออัตลักษณ์สองสายเข้าด้วยกันอย่างลงตัว คือ “ม่วนไหม” ที่ยกระดับผ้าไหมมัดหมี่จากผืนผ้าสู่ภาษาแห่งอีสานและนวัตกรรม และ “ม่วนหมอลำ” ที่ขับขานเรื่องราวชีวิตผ่านเสียงดนตรีและบทกลอน สิ่งที่ทำให้ขอนแก่นโดดเด่นคือการมองไปข้างหน้าด้วยแนวคิด MICE และการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมอย่างยั่งยืน โดยเน้นกระบวนการทอผ้าแบบลดขยะ (Zero-Waste Weaving) เทศกาลไร้กระดาษ (Paperless Festival) และการร่วมสร้างจากชุมชนอย่างแท้จริง

ผศ.ดร.ดลฤทัย โกวรรธนะกุล ผู้อำนวยการโครงการ กล่าวอย่างชัดเจนว่า “เราไม่ได้แค่แสดงวัฒนธรรม แต่เรากำลังออกแบบอนาคตของมัน” นี่คือหัวใจสำคัญที่คณะกรรมการมองเห็น ขอนแก่นไม่ได้หยุดอยู่แค่การอนุรักษ์ แต่ต่อยอดด้วยนวัตกรรม มีเวิร์กช็อปสำหรับคนรุ่นใหม่ในการแปลงลายผ้าท้องถิ่นเป็นดิจิทัล ดีไซเนอร์รุ่นใหม่สร้างแฟชั่นจากไหมพื้นบ้าน และวงหมอลำร่วมสมัยเตรียมออกสู่เวทีนานาชาติ สิ่งเหล่านี้แสดงให้เห็นถึงระบบนิเวศทางวัฒนธรรมที่ครบวงจร ซึ่งไม่เพียงแต่สร้างความสนุกสนาน แต่ยังสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจและอาชีพให้กับคนในท้องถิ่นอย่างยั่งยืน การนำเสนอที่เชื่อมโยงวัฒนธรรมเข้ากับเศรษฐกิจสร้างสรรค์และการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน ทำให้ขอนแก่นมีศักยภาพที่จะเป็นเมืองที่ “น่าลงทุน น่าอยู่ น่าเที่ยว” ได้อย่างแท้จริง

  1. นครราชสีมา “K-BATTLE International HIPHOP Festival” เทศกาลที่จะอวดเมืองโคราชให้โลกรู้ ด้วยการเต้น เสียงดนตรี และศิลปะ

โคราชเลือกหยิบยกวัฒนธรรมฮิปฮอปที่หยั่งรากลึกในพื้นที่มานานกว่าสิบปี มายกระดับเป็นเทศกาลระดับนานาชาติ “K-BATTLE International HIPHOP Festival” ซึ่งเป็นศูนย์กลางของผู้คนที่สนใจศิลปะและวัฒนธรรมร่วมสมัย ทั้งการเต้น ดนตรี กราฟฟิตี้ และสตรีทอาร์ต สิ่งที่น่าสนใจคือการเชื่อมโยง Soft Power นี้เข้ากับปรากฏการณ์ระดับโลก เช่น MILLI บนเวที Coachella หรือ LISA กับมิวสิกวิดีโอที่เยาวราช

เทศกาลนี้ไม่ได้มุ่งเน้นเพียงความบันเทิง แต่ตั้งใจที่จะสร้างและผลักดันบุคลากรที่มีศักยภาพในการเป็นตัวแทน Soft Power ไทยอย่างต่อเนื่อง ทั้งในด้านดนตรี ศิลปะ และวัฒนธรรม มีกิจกรรมที่เสริมสร้างแรงบันดาลใจแก่เยาวชน ไม่ว่าจะเป็นเวิร์กช็อป งานดีไซน์ ไปจนถึงการแข่งขันในศิลปะหลากหลายแขนง การผนึกกำลังกันของหลายภาคส่วน ทั้งภาครัฐและเอกชนที่มีเป้าหมายร่วมกันในการสร้างแรงดึงดูดผู้คนจากทั่วทุกมุมโลกด้วยความสุขและความสนุกในศิลปะที่เป็นสากล แสดงให้เห็นถึงความพร้อมในการเป็น Destination ระดับโลกที่น่าลงทุน น่าเที่ยว และน่าอยู่ การนำเสนอที่จับกระแสความนิยมของคนรุ่นใหม่และมีแผนการพัฒนาบุคลากรอย่างต่อเนื่อง ทำให้โคราชมีจุดแข็งที่ชัดเจนในการดึงดูดการลงทุนและสร้างภาพลักษณ์เมืองที่ทันสมัย

  1. ศรีสะเกษ “Sound of Sisaket: ซาวสีเกด” มากกว่าเทศกาลดนตรี เพราะที่นี่ทุกท่วงทำนองคือพลัง

ศรีสะเกษนำเสนอ “Sound Of Siaket” ซึ่งไม่ใช่แค่เทศกาลดนตรี แต่เป็นเทศกาลประจำเมืองที่รวบรวมความหลากหลายของท่วงทำนอง ทั้งแบบดั้งเดิมและร่วมสมัย ความโดดเด่นอยู่ที่ไอเดียการเปลี่ยนย่านเมืองเก่าให้กลายเป็นพื้นที่สร้างสรรค์ มีเวทีร้อง เต้น เล่นดนตรี สนามประลองความยิ่งใหญ่ของวงโยธวาทิตระดับโลก โดยมีหมุดหมายในการเข้าสู่เครือข่ายเมืองสร้างสรรค์ด้านดนตรีของยูเนสโก

สิ่งที่ทำให้ “ซาวสีเกด” แตกต่างคือการที่ทุกตรอก ซอก ซอย บ้านเก่า หรือแม้แต่ธุรกิจคาเฟ่ และร้านอาหารในย่าน ยังกลายเป็นสตูดิโอมีชีวิต อัดแน่นด้วยกิจกรรม อาทิ เวิร์กช็อป เสวนา พื้นที่แสดงผลงานของคนในพื้นที่ การรวมพลังสร้างสรรค์จากหลากหลายกลุ่มคน ตั้งแต่ผู้บริหารท้องถิ่น ศิลปิน ครูอาจารย์ ไปจนถึงชาวบ้านทุกวัยที่ร่วมมือร่วมใจกันสร้างบทบาท แสดงให้เห็นถึงการมีส่วนร่วมของชุมชนอย่างแท้จริง เทศกาลนี้ไม่ได้มีดีแค่ “เรื่องเที่ยว” แต่เป็นงานที่ชวนทุกคนมาร่วมสร้างเมืองน่าลงทุน น่าอยู่ และน่าภาคภูมิใจไปด้วยกัน การที่ศรีสะเกษมีเป้าหมายชัดเจนในการเป็นเมืองสร้างสรรค์ด้านดนตรีของยูเนสโก และมีการขับเคลื่อนจากทุกภาคส่วนในท้องถิ่น ทำให้โครงการมีความแข็งแกร่งและมีวิสัยทัศน์ระยะยาว

จากการวิเคราะห์ทั้งสามจังหวัด จะเห็นได้ว่า แม้หัวข้อหลักจะเป็นเรื่องของ “ดนตรี” หรือ “เทศกาล” แต่เนื้อหาและเป้าหมายของแต่ละโครงการล้วนเชื่อมโยงไปสู่การพัฒนาเศรษฐกิจสร้างสรรค์ การยกระดับคุณภาพชีวิต การสร้างโอกาสในการลงทุน และการดึงดูดนักท่องเที่ยวในระยะยาว ไม่ได้เป็นเพียงความบันเทิงฉาบฉวยอย่างที่บางคนอาจเข้าใจผิด

เมื่อความท้าทายกลายเป็นโอกาสด้วยพลังแห่งความร่วมมือ

สำหรับจังหวัดเชียงราย แม้จะไม่ได้ผ่านเข้ารอบสุดท้ายในโครงการ “อวดเมือง 2568 The Pitching” ด้วยเทศกาล “Chiang Rai BREW Festival” แต่การเดินทางมาได้ไกลถึงรอบ 12 จังหวัดสุดท้าย ถือเป็นเครื่องพิสูจน์ถึงความพยายามและการทำการบ้านอย่างหนักของทีมงาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อจังหวัดต้องประสบกับปัญหาด้านน้ำ ซึ่งเป็นความท้าทายที่สำคัญ

“Chiang Rai BREW Festival” นำเสนอจุดแข็งของเชียงรายในฐานะเมืองแห่งชาและกาแฟคุณภาพระดับโลก ที่เปี่ยมด้วยอัตลักษณ์ทางวัฒนธรรมและศักยภาพทางเศรษฐกิจ ด้วยระบบโลจิสติกส์ที่เชื่อมโยงประเทศเพื่อนบ้าน กำลังผลิตบุคลากรที่มีคุณภาพจาก 3 มหาวิทยาลัยเลื่องชื่อ และทรัพยากรธรรมชาติที่หลากหลาย เทศกาลนี้ออกแบบมาเพื่อต่อยอดมูลค่าของชาและกาแฟจากผลผลิตท้องถิ่น สู่การพัฒนาผลิตภัณฑ์และการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม ด้วยแนวคิดเศรษฐกิจสร้างสรรค์ โดยเชื่อมโยงเส้นทางจากแหล่งผลิตถึงปลายน้ำผ่านกิจกรรมตลอดปี เพื่อสร้างประสบการณ์ใหม่และเปิดโอกาสในการลงทุนบนเส้นทางชา-กาแฟ

สิ่งที่เชียงรายเน้นย้ำคือการไม่เพียงมุ่งเน้นด้านการบริโภค แต่ขยายไปสู่การจับคู่ธุรกิจระหว่างผู้ประกอบการท้องถิ่น นักวิชาการ นักเศรษฐกิจสร้างสรรค์ กับนักลงทุนรุ่นใหม่ เพื่อการยกระดับ Local Business to International Business และการสร้างมูลค่าเพิ่มในอุตสาหกรรมภาคเกษตร ภาคการท่องเที่ยว การพัฒนานวัตกรรม โดยเฉพาะกลุ่ม Specialty ที่ให้ความสำคัญกับเศรษฐกิจสร้างสรรค์เพื่อความยั่งยืน เทศกาลนี้สะท้อนพลังของทั้งภาครัฐ เอกชน ภาคการศึกษา และประชาชน ที่มาร่วมกันออกแบบอนาคตของเมืองด้วยเครื่องมือที่เรียบง่ายแต่ทรงพลังผ่านเครื่องดื่มอัตลักษณ์ของเมือง

แม้ปัญหาด้านน้ำจะเป็นอุปสรรคสำคัญที่อาจส่งผลกระทบต่อภาคเกษตรและอุตสาหกรรมชา-กาแฟของเชียงรายได้ แต่การที่ทีมงานยังคงมุ่งมั่นนำเสนอศักยภาพของจังหวัดผ่านเทศกาลนี้ แสดงให้เห็นถึงความเข้าใจในแก่นแท้ของ Soft Power นั่นคือการสร้างมูลค่าจากสิ่งที่มีอยู่ และการสร้างความร่วมมือเพื่อก้าวข้ามความท้าทาย

จุดวิเคราะห์ผลลัพธ์ของ การที่เชียงรายสามารถมาได้ไกลขนาดนี้ แม้จะมีปัญหาเรื่องน้ำ แสดงให้เห็นว่าศักยภาพของจังหวัดในด้าน Soft Power และเศรษฐกิจสร้างสรรค์นั้นมีสูงมาก และปัญหาเรื่องน้ำไม่ได้บั่นทอนความพยายามของทีมงาน การที่จังหวัดไม่ผ่านเข้ารอบ ไม่ได้หมายความว่าโครงการนี้ล้มเหลว แต่เป็นโอกาสให้เชียงรายได้กลับมาทบทวนและปรับปรุงแผนงานให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งการผนึกกำลังกันทั้งจังหวัดเพื่อแก้ไขปัญหาน้ำอย่างยั่งยืน และนำจุดแข็งด้านชา-กาแฟมาเป็นหัวหอกในการพัฒนาเศรษฐกิจสร้างสรรค์ต่อไป

การร่วมมือกันทั้งจังหวัดกุญแจสำคัญสู่ความสำเร็จของเชียงราย

แนวคิดที่ว่า “เชียงรายต่อให้ไม่เข้ารอบแต่เราสามารถทำเองได้โดยต้องร่วมมือกันทั้งจังหวัด” เป็นประเด็นที่สำคัญและเป็นไปได้จริง ปัญหาด้านน้ำในเชียงรายเป็นความท้าทายที่ต้องได้รับการแก้ไขอย่างบูรณาการ การนำเสนอ “Chiang Rai BREW Festival” เป็นเพียงจุดเริ่มต้นในการแสดงศักยภาพ แต่การจะก้าวไปข้างหน้าอย่างยั่งยืนนั้น จำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วนอย่างแท้จริง ไม่ว่าจะเป็น

  • ภาครัฐ: กำหนดนโยบายและแผนแม่บทในการบริหารจัดการน้ำอย่างมีประสิทธิภาพ สนับสนุนงบประมาณและโครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็น
  • ภาคเอกชน: ลงทุนในเทคโนโลยีและนวัตกรรมเพื่อการใช้น้ำอย่างประหยัดและมีประสิทธิภาพในภาคเกษตรและอุตสาหกรรม รวมถึงการพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการที่เกี่ยวข้องกับชา-กาแฟ
  • ภาคการศึกษา: วิจัยและพัฒนาสายพันธุ์ชา-กาแฟที่ทนทานต่อสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงไป รวมถึงการให้ความรู้แก่เกษตรกรและผู้ประกอบการในการบริหารจัดการน้ำและพัฒนาคุณภาพสินค้า
  • ภาคประชาชนและชุมชน: มีส่วนร่วมในการอนุรักษ์ทรัพยากรน้ำ ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้น้ำ และร่วมกันพัฒนาผลิตภัณฑ์ชุมชนจากชา-กาแฟ

การที่เชียงรายมี “Chiang Rai BREW Festival” เป็นธงนำในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจสร้างสรรค์จากฐานทุนทางวัฒนธรรมและทรัพยากรธรรมชาติ เป็นสัญญาณที่ดีว่าจังหวัดมีความพร้อมที่จะเดินหน้าต่อด้วยตัวเอง การเรียนรู้จากประสบการณ์ในโครงการ “อวดเมือง 2568” จะเป็นบทเรียนอันล้ำค่าที่ช่วยให้เชียงรายสามารถพัฒนาแผนงานให้มีความแข็งแกร่งและยั่งยืนมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งการผสาน Soft Power เข้ากับการแก้ไขปัญหาเชิงโครงสร้างอย่างปัญหาเรื่องน้ำ ซึ่งหากทำได้สำเร็จ เชียงรายจะกลายเป็นต้นแบบของการพัฒนาเมืองที่สามารถก้าวข้ามความท้าทายและสร้างมูลค่าเพิ่มได้อย่างแท้จริง

สรุปและก้าวต่อไป

โครงการ “อวดเมือง 2568 The Pitching” ได้เปิดโอกาสให้จังหวัดต่างๆ ทั่วประเทศได้นำเสนอศักยภาพและ Soft Power ของตนเอง ขอนแก่น นครราชสีมา และศรีสะเกษ ได้แสดงให้เห็นถึงความสามารถในการนำอัตลักษณ์ท้องถิ่นมาต่อยอดเป็นเทศกาลและกิจกรรมที่สร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจและสังคมอย่างยั่งยืน ไม่ใช่เพียงแค่ความบันเทิง แต่เป็นการลงทุนในอนาคตของเมือง

สำหรับเชียงราย แม้จะไม่ได้ผ่านเข้ารอบสุดท้าย แต่การเดินทางมาได้ไกลขนาดนี้พร้อมกับความท้าทายด้านสถานการณ์น้ำ แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นและศักยภาพอันมหาศาล การที่จังหวัดสามารถ “ทำเองได้โดยต้องร่วมมือกันทั้งจังหวัด” คือบทสรุปที่สำคัญที่สุด การใช้ Soft Power อย่างชาและกาแฟเป็นจุดเริ่มต้นในการพัฒนาเศรษฐกิจสร้างสรรค์ ควบคู่ไปกับการแก้ไขปัญหาเชิงโครงสร้างอย่างการบริหารจัดการน้ำ จะทำให้เชียงรายก้าวขึ้นเป็นเมืองที่ “น่าลงทุน น่าอยู่ น่าเที่ยว” ได้อย่างแท้จริงในอนาคตอันใกล้ เทศกาลนี้ไม่ใช่แค่กิจกรรมเฉพาะฤดูกาล แต่มีเป้าหมายในการยกระดับ SME และเศรษฐกิจท้องถิ่น เชื่อมโยงสายการผลิต–โลจิสติกส์–ท่องเที่ยว–วัฒนธรรม โดยมีมหาวิทยาลัย 3 แห่งรองรับองค์ความรู้ พร้อมทรัพยากรธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์ แม้ในปีนี้จังหวัดจะประสบปัญหาด้านน้ำ แต่ทีมงานได้ลงมือทำการบ้านกันอย่างหนัก สามารถขับเคลื่อนงานร่วมกับทุกภาคส่วน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (TCEB)

  • สมาคมส่งเสริมศิลปะและวัฒนธรรมสร้างสรรค์ไทย (THACCA)

  • งาน SPLASH – Soft Power Forum 2025

  • ข้อมูลสรุปโครงการอวดเมือง 2568 The Pitching

  • Facebook : Narumon Namsom Nilmanon

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News