Categories
AROUND CHIANG RAI CULTURE EDITORIAL

ศิลปะปลุกจิตสำนึก! “Crooked River” สะท้อนวิกฤตแม่น้ำกกที่กำลังถูกปีศาจสารพิษที่มองไม่เห็นหลอกหลอน

นิทรรศการ “Crooked River แม่น้ำกก” เปิดเสียงศิลปินชาวเชียงราย สะท้อนวิกฤตสารพิษข้ามพรมแดน 5 ศิลปินร่วมถ่ายทอดเรื่องราวแม่น้ำสายชีวิต ผ่านงานจิตรกรรม ภาพถ่าย เสียงธรรมชาติ และงานไม้ มอบรายได้ 50% สนับสนุนภารกิจฟื้นฟูแม่น้ำ ท่ามกลางวิกฤตมลพิษที่ยืดเยื้อมาเกือบปี

เชียงราย, 5 ธันวาคม 2568 — ในช่วงบ่ายของวันศุกร์ที่ 5 ธันวาคม 2568 ณ บ้านสิงหไคล มูลนิธิมดชนะภัย จังหวัดเชียงราย บรรยากาศเต็มไปด้วยแขกผู้มีเกียรติ นักวิชาการ และชาวเชียงรายที่แห่มาร่วมงานเปิดนิทรรศการศิลปะที่มีความหมายเป็นพิเศษ ภายใต้ชื่อ “Crooked River แม่น้ำกก” ซึ่งจัดแสดงผลงานของศิลปิน 5 ท่าน ที่พยายามบอกเล่าเรื่องราวของแม่น้ำกก สายน้ำแห่งความทรงจำและชีวิตของชาวเชียงราย ที่กำลังเผชิญกับวิกฤตการปนเปื้อนสารพิษครั้งรุนแรง

คุณเตือนใจ ดีเทศน์ อดีตสมาชิกวุฒิสภาจังหวัดเชียงราย ผู้ก่อตั้งมูลนิธิพัฒนาชุมชนและเขตภูเขา (พชภ.) ในฐานะประธานในพิธีเปิดงาน กล่าวถึงความสำคัญของนิทรรศการครั้งนี้ว่า เป็นการแสดงความรับผิดชอบของศิลปินที่มีต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะปัญหาแม่น้ำที่เป็นประเด็นเร่งด่วนของจังหวัดเชียงรายและพื้นที่ภาคเหนือตอนบน ซึ่งกำลังเผชิญกับภัยคุกคามจากการทำเหมืองแร่ข้ามพรมแดน

จุดเริ่มต้นของวิกฤต เมื่อแม่น้ำสงบกลายเป็นน้ำโคลนพิษ

เรื่องราวของนิทรรศการครั้งนี้เริ่มต้นจากคำถามง่ายๆ แต่ทรงพลัง อังกฤษ อัจฉริยโสภณ หนึ่งในศิลปินหลักของนิทรรศการตั้งขึ้นว่า “เกิดอะไรขึ้นกับแม่น้ำของเรา?” คำถามนี้ก่อตัวขึ้นหลังจากที่เขายืนอยู่ริมแม่น้ำกกและสังเกตเห็นว่า แม้แม่น้ำจะยังคงไหลและผิวน้ำสองข้างทางยังดูเหมือนเดิม แต่มี “บางอย่าง” ที่มองไม่เห็นแต่สัมผัสได้ว่ากำลังเปลี่ยนแปลงไป

“มันเหมือนกับผีหรือปีศาจที่หลอกหลอนเรา ทำให้เรากลัว ทำให้เรากังวล ทำให้เราไม่มั่นคงในการมีชีวิตอยู่ แต่เรามองไม่เห็นตัวมัน” อังกฤษกล่าวในพิธีเปิดงาน ด้วยน้ำเสียงที่สะท้อนถึงความกังวลที่คนในพื้นที่ต่างรับรู้ร่วมกัน

ความรู้สึกนี้ไม่ใช่เพียงแค่ความวิตกกังวลไร้เหตุผล แต่มีรากฐานมาจากเหตุการณ์จริงที่เกิดขึ้นตั้งแต่เดือนกันยายน 2567 เมื่อน้ำท่วมครั้งใหญ่พัดเอาน้ำโคลนสีเทาขุ่นข้นจากต้นน้ำในรัฐฉาน ประเทศเมียนมา เข้าท่วมพื้นที่อำเภอแม่สาย และหลายพื้นที่ในจังหวัดเชียงราย ชาวบ้านต้องใช้เวลาหลายเดือนในการขุดโคลนและล้างบ้านเรือน เพราะตะกอนดินที่ถูกพัดมามีปริมาณมหาศาล

ตัวเลขที่น่าตกใจ สารหนูเกินมาตรฐานเกือบ 5 เท่า

หลังเหตุการณ์น้ำท่วม กรมควบคุมมลพิษได้เข้ามาดำเนินการตรวจสอบคุณภาพน้ำทุก 2 สัปดาห์ ผลการตรวจวิเคราะห์กลับชี้ให้เห็นภาพที่น่าตระหนกยิ่งกว่าที่คาดไว้ จากข้อมูลของสำนักงานสิ่งแวดล้อมและควบคุมมลพิษที่ 1 เชียงใหม่ ที่เก็บตัวอย่างระหว่างวันที่ 1-2 พฤษภาคม 2568 พบว่า แม่น้ำกก แม่น้ำสาย และแม่น้ำโขง ในพื้นที่จังหวัดเชียงราย มีการปนเปื้อนของสารโลหะหนัก โดยเฉพาะ “สารหนู” และ “ตะกั่ว” เกินค่ามาตรฐานในหลายจุด

ที่บริเวณสบกกบ้านแซว ตำบลบ้านแซว อำเภอเชียงแสน จุดที่แม่น้ำกกไหลลงสู่แม่น้ำโขง ผลการตรวจวัดพบว่าค่าสารหนูอยู่ที่ 0.036 มิลลิกรัมต่อลิตร ขณะที่มาตรฐานกำหนดไว้ว่าต้องไม่เกิน 0.01 มิลลิกรัมต่อลิตร หมายความว่าเกินค่ามาตรฐานถึง 3.6 เท่า ในบางจุดพบว่าสารหนูเกินมาตรฐานเกือบ 5 เท่า ซึ่งถือว่าสูงมากและอาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชนในพื้นที่

เพียรพร ดีเทศน์ ผู้อำนวยการฝ่ายรณรงค์ องค์กรแม่น้ำนานาชาติ (International Rivers) ระบุว่า “เกินมาเกือบ 5 เท่า ซึ่งมันสูงมาก” และยังกล่าวเสริมว่า ในการตรวจสอบตะกอนดินพบสารหนูเกินมาตรฐาน 10 จุดจาก 17 จุดตรวจ โดย 4 จุดอยู่ในระดับที่ไม่ปลอดภัยต่อสัตว์หน้าดิน (มากกว่าหรือเท่ากับ 33 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัมน้ำหนักแห้ง)

นายแพทย์วีรวุฒิ อิ่มสำราญ รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข เมื่อวันที่ 21 พฤษภาคม 2568 ได้ออกมาแถลงถึงสถานการณ์ โดยระบุว่า กระทรวงสาธารณสุขได้จัดตั้งหน่วยแพทย์เฉพาะกิจร่วมกับกรมควบคุมโรคและกรมอนามัย ลงพื้นที่ตรวจหาสารหนูในห่วงโซ่อาหารเป็นระยะเวลา 4 เดือน พร้อมเฝ้าระวังอาการผิดปกติที่เกี่ยวกับพิษโลหะหนัก แม้ว่าในขณะนั้นยังไม่พบผู้ป่วยจากพิษสารหนูเรื้อรัง แต่ความเสี่ยงยังคงอยู่

ต้นตอจากเหมืองข้ามพรมแดน ทุนจีนกับเหมืองแร่ในรัฐฉาน

รากเหง้าของปัญหานี้สืบย้อนไปถึงการทำเหมืองแร่ทองคำและเหมืองแร่แรร์เอิร์ธ (Rare Earth) ขนาดใหญ่ในพื้นที่ต้นน้ำแม่น้ำกกในรัฐฉาน ประเทศเมียนมา โดยเฉพาะบริเวณเมืองสาด เมืองยอน และเมืองกก ซึ่งเป็นแหล่งต้นกำเนิดของแม่น้ำกก

จากข้อมูลการสำรวจโดยองค์กรภาคประชาสังคมและนักวิชาการพบว่า บริเวณต้นน้ำแม่น้ำกกมีการทำเหมืองแร่อย่างน้อย 3 จุดใหญ่ การทำเหมืองดังกล่าวใช้สารเคมีในกระบวนการสกัดแร่ รวมถึงสารหนูที่ใช้ในการแยกทองคำออกจากแร่ เมื่อมีฝนตกหรือเกิดการชะล้างดิน สารพิษเหล่านี้จะไหลลงสู่แม่น้ำกก แล้วเคลื่อนตัวเข้าสู่ประเทศไทย

นายแพทย์วรัญญู จำนงประสาทพร นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดเชียงใหม่ ระบุว่า การทำเหมืองแร่แรร์เอิร์ธในรัฐคะฉิ่น ทำให้เกิดดินถล่มเพราะใช้การละลายแร่ใต้ดิน สร้างมลพิษต่อน้ำใต้ดินและน้ำผิวดิน ส่งผลกระทบต่อสัตว์น้ำและสัตว์ป่าจนถึงแก่ชีวิต ตลอดจนพบการปนเปื้อนในพืชอาหารอีกด้วย

แม่น้ำกกมีความยาวประมาณ 300 กิโลเมตร ไหลจากรัฐฉานเข้าประเทศไทยที่อำเภอแม่อาย จังหวัดเชียงใหม่ ก่อนจะไหลผ่านตัวเมืองเชียงราย อำเภอเวียงชัย แม่จัน เวียงเชียงรุ้ง และดอยหลวง แล้วไหลลงสู่แม่น้ำโขงที่อำเภอเชียงแสน ส่งผลกระทบต่อชาวบ้านในพื้นที่กว่า 6 อำเภอของจังหวัดเชียงราย

ผลกระทบต่อวิถีชีวิต เกษตรกร-ชาวประมงรับผลโดยตรง

การปนเปื้อนสารพิษในแม่น้ำกกส่งผลกระทบโดยตรงต่อวิถีชีวิตของชาวบ้านริมแม่น้ำ โดยเฉพาะเกษตรกรและชาวประมงที่พึ่งพาแม่น้ำกกในการประกอบอาชีพ จากการสำรวจเบื้องต้นเฉพาะในอำเภอเวียงชัย และอำเภอเวียงเชียงรุ้ง พบว่ามีพื้นที่ปลูกข้าวกว่า 58,000 ไร่ที่ยังคงใช้น้ำจากแม่น้ำกก

ชาวประมงเริ่มประสบปัญหาปลาที่จับได้จากแม่น้ำกกไม่เป็นที่นิยม และถูกกดราคาจากตลาด ด้วยความกังวลเรื่องความปลอดภัยในการบริโภค แม้ว่าจะยังไม่มีการยืนยันว่าปลามีสารพิษในระดับที่เป็นอันตรายหรือไม่ แต่ความไม่แน่ใจนี้ส่งผลต่อรายได้และการดำรงชีพของชาวประมง

นอกจากนี้ ชาวบ้านริมแม่น้ำกกกว่า 100 หลังคาเรือนได้รับผลกระทบจากน้ำท่วมในปี 2567 โดยบ้านเรือนประมาณ 10 หลังถูกน้ำพัดไป ไม่เพียงแต่สูญเสียที่อยู่อาศัย แต่ยังสูญเสียที่ดินทำกินด้วย เพราะน้ำที่มีความเชี่ยวกรากพัดเอาหน้าดินไปด้วย

องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงรายได้วางแผนสุ่มตรวจน้ำประปาหมู่บ้านที่อยู่ริมแม่น้ำกกตลอดสายจนถึงเดือนกันยายน 2568 โดยส่งตรวจวิเคราะห์ที่ศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ที่ 1-1 เชียงราย เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับประชาชนว่าน้ำประปายังปลอดภัย

ศิลปะกับการปลุกจิตสำนึก 5 ศิลปิน 5 มุมมอง

ท่ามกลางวิกฤตที่ยืดเยื้อมาเกือบปี กลุ่มศิลปิน 5 ท่าน ได้รวมตัวกันเพื่อสร้างสรรค์ผลงานที่สะท้อนถึงความเป็นแม่น้ำกกผ่านมุมมองและสื่อที่หลากหลาย นิทรรศการ “Crooked River แม่น้ำกก” จึงกลายเป็นพื้นที่สำหรับการเปิดบทสนทนาเกี่ยวกับอนาคตของแม่น้ำและชุมชนริมฝั่ง

วันชัย พุทธวารินทร์ ช่างภาพชาวเชียงราย ซึ่งบ้านอยู่ทางแม่ข้าวต้ม ได้ใช้โดรนบินถ่ายภาพมุมสูงของแม่น้ำกกในหลายโค้ง หลายมุม และหลายฤดูกาล ภาพเหล่านี้แสดงให้เห็นความงามของแม่น้ำที่คดเคี้ยวไปตามธรรมชาติ พร้อมกับความสัมพันธ์ระหว่างแม่น้ำกับผู้คน ทุ่งนา แปลงเกษตร และเหมืองทราย ภาพถ่ายของเขาเผยให้เห็น “ภาพใหญ่” ที่คนบนพื้นดินไม่สามารถมองเห็นได้

อังกฤษ อัจฉริยโสภณ จิตรกรชาวเชียงรายที่มีชื่อเสียงในระดับนานาชาติ ได้สร้างสรรค์ผลงานจิตรกรรม 40 ชิ้น โดยใช้ภาพถ่ายของวันชัยเป็นแรงบันดาลใจ เขาใช้สีสันแต่งเติมเรื่องราวและมุมมองของศิลปินเกี่ยวกับแม่น้ำกกลงไปในภาพวาด แต่ละชิ้นถูกแยกส่วนออกมา สะท้อนถึงความเชื่อที่ว่า “เรามิอาจจะเข้าถึงความจริงของแม่น้ำกกได้เพียงภาพเดียวหรือจากความจริงที่เรามีเพียงชิ้นเดียว”

เอกพงษ์ ใจบุญ ศิลปินและนักออกแบบอิสระ สร้างสรรค์ประติมากรรมไม้ตะเคียนที่จัดวางบนก้อนหินจากกลางแม่น้ำ เปรียบเหมือนคลื่นผิวน้ำที่ไหลอย่างสงบ แต่ภายใต้ความสงบนั้นกลับมีปัญหาที่ทับถม ยากแก้ไข งานของเขาใช้เป็นฐานสำหรับวางชิ้นงานจิ๊กซอว์ร่วมของอังกฤษและวันชัย

วรพจน์ บุญความดี นักธรรมชาติวิทยาอิสระและนักบันทึกเสียงธรรมชาติ ผู้เคยทำงานในการจัดตั้งและบริหารจัดการ “พื้นที่อนุรักษ์น้ำคำ” อำเภอเชียงแสน จังหวัดเชียงราย ระหว่างปี 2549-2559 ได้นำเสนอ “เสียงจากแม่น้ำ” ที่เราอาจไม่เคยตั้งใจรับฟัง อยากสื่อสารถึงเสียงของชีวิตอื่นๆ ที่อาศัยอยู่กับแม่น้ำกก ทั้งเสียงนก เสียงแมลง เสียงแพลงก์ตน และเสียงปลา ซึ่งกำลังจะหายไปจากสายน้ำนี้

สมชาย ชื่นทรวงจิต นักบุปผากร ผู้ทำงานไฟฟ้าควบคู่กับการจัดดอกไม้ที่อุทยานศิลปวัฒนธรรมแม่ฟ้าหลวง (ไร่แม่ฟ้าหลวง) ได้นำเสนองานจัดดอกไม้ที่แสดงความเรียบง่ายของการใช้วัสดุธรรมชาติ กิ่งไม้ ใบไม้ ทั้งสดและแห้ง พร้อมกรวดทรายและหินในแม่น้ำกก เพื่อนำความงามมาเยียวยาใจท่ามกลางความเศร้าที่เกิดจากวิกฤตน้ำท่วมและสารพิษ

ข้อความจากผู้ใหญ่ใจ “ศิลปินคือผู้นำทาง”

ศาสตราจารย์นคร ทองน้อย ผู้อำนวยการไร่แม่ฟ้าหลวง ซึ่งมาร่วมให้กำลังใจศิลปิน กล่าวด้วยน้ำเสียงที่ทรงพลังว่า “แม่น้ำกกเราเนี่ยจะพึ่งใคร เทศบาลเหรอ ข้าราชการเหรอ ตำรวจหรือทหารหรอ พวกคุณนี่แหละที่จะต้องช่วยกันดูแลแม่น้ำกก ไม่ใช่คนอื่น การเป็นศิลปินหมายถึงการเป็นผู้ให้ การเป็นผู้เผื่อแผ่ การเป็นผู้ชี้ทาง การเป็นผู้ให้กำลังใจ ให้กำลังความคิด เป็นผู้ที่จะนำพาคนชาวเชียงราย”

เขากล่าวต่อว่า “เมืองไหนก็ตาม ถ้ามีแม่น้ำเป็นพิษแล้วเมืองนั้นอยู่ไม่ได้ มันง่ายแค่นั้นเอง” คำพูดที่ตรงไปตรงมานี้สะท้อนถึงความจริงจังของปัญหาที่เกิดขึ้น และเป็นการเตือนสติให้ทุกฝ่ายตื่นตัวและร่วมมือกันแก้ไขปัญหา

คุณเตือนใจ ดีเทศน์ ในฐานะประธานเปิดงาน กล่าวถึงบทบาทของมูลนิธิพัฒนาชุมชนและเขตภูเขา ว่า ปัจจุบันได้มีความร่วมมือกับองค์กรต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นมหาวิทยาลัยทั้ง 3 แห่งของเชียงราย ได้แก่ มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย และมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา พร้อมด้วยสื่อมวลชนและองค์กรระหว่างประเทศ

ท่านยังเปิดเผยว่า ในวันที่ 15 ธันวาคม 2568 จะมีองค์กรระหว่างประเทศ ได้แก่ สหภาพยุโรป (EU) และโครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ (UNDP) เข้ามาพูดคุยกับชาวเชียงรายและภาคส่วนต่างๆ เกี่ยวกับการแก้ปัญหาสารพิษในแม่น้ำกก แม่น้ำสาย และแม่น้ำโขง

“ตอนนี้ปัญหาไม่ใช่เฉพาะแม่น้ำกกแล้ว แต่ลามไปถึงแม่น้ำโขงซึ่งจะส่งผลต่อภาคอีสานของเราด้วย และที่แม่น้ำสาละวินเราก็พบว่ามีเหมืองจำนวนมากถึง 5 เท่าของเกณฑ์มาตรฐาน” คุณเตือนใจกล่าวพร้อมเน้นย้ำว่า “ถ้าไม่มีธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์ เราก็จะอยู่ไม่ได้ แต่ถ้าไม่มีมนุษย์ ธรรมชาติอยู่ได้อย่างดีเลย เพราะมนุษย์นี่แหละคือผู้ที่ทำลาย ถ้าเราไม่มีความอ่อนน้อม ความเคารพ ความกตัญญูต่อธรรมชาติ”

เปิดพื้นที่แห่งบทสนทนาและความหวัง

นิทรรศการ “Crooked River แม่น้ำกก” เปิดให้ผู้ชมได้สำรวจ สัมผัส มอง ฟัง และรู้สึก ปะติดปะต่อความหมายผ่านประสบการณ์เกี่ยวกับแม่น้ำจากมุมมองที่แตกต่างกัน พจวรรณ พันธ์จินดา ภัณฑารักษ์ของนิทรรศการ อธิบายว่า การจัดแสดงครั้งนี้ต้องการเปิดพื้นที่ให้เกิดบทสนทนาถึงแม่น้ำกกผ่านงานศิลปะและจากผู้ชม เพื่อช่วยประกอบความเป็นแม่น้ำกกให้ชัดเจนและกว้างไกลขึ้น พร้อมทั้งฉายภาพความจริง ความหวัง และความฝันในการเปลี่ยนแปลงที่เป็นไปได้

“เราไม่อาจจะเห็นแม่น้ำทั้งสายได้ เมื่อเรายืนอยู่ที่ริมฝั่ง” คือข้อความที่สะท้อนแนวคิดของนิทรรศการ ที่ต้องการเชื้อเชิญให้ผู้ชมเปิดมุมมองและเข้าใจแม่น้ำกกในมิติที่หลากหลาย ไม่ใช่เพียงแค่สายน้ำที่ไหลผ่านหน้าบ้าน แต่คือระบบนิเวศที่เชื่อมโยงชีวิตของผู้คน สัตว์ พืช และสิ่งแวดล้อม

การจัดนิทรรศการครั้งนี้ยังมีจุดมุ่งหมายเพื่อระดมทุนสนับสนุนการทำงานด้านสิ่งแวดล้อม โดยศิลปินทั้ง 5 ท่านยินยอมบริจาครายได้ 50% จากการจำหน่ายผลงานทุกชิ้น รวมถึงงานจัดดอกไม้และจิ๊กซอว์ ให้กับมูลนิธิพัฒนาชุมชนและเขตภูเขา เพื่อใช้ในโครงการรณรงค์เกี่ยวกับแม่น้ำของเครือข่ายประชาชนปกป้องแม่น้ำกก สาย รวก และโขง

ความร่วมมือระดับนานาชาติ ก้าวสำคัญในการแก้ปัญหา

เมื่อวันที่ 5 มิถุนายน 2568 ซึ่งเป็นวันสิ่งแวดล้อมโลก มูลนิธิพัฒนาชุมชนและเขตภูเขาได้จัดกิจกรรมรณรงค์เรื่องของสารพิษในแม่น้ำทั้ง 4 สาย ได้แก่ แม่น้ำกก แม่น้ำสาย แม่น้ำรวก และแม่น้ำโขง โดยมีศิลปินเข้าร่วมและให้การสนับสนุนอย่างเต็มที่ ทำให้การรณรงค์มีสีสัน มีชีวิตชีวา และมีพลังมาก

ขณะนี้มีความร่วมมือกับมหาวิทยาลัยทั้ง 3 แห่งในจังหวัดเชียงราย ได้แก่ มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย และมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา ในการศึกษาวิจัยและติดตามสถานการณ์ นอกจากนี้ยังมีองค์กรระหว่างประเทศให้ความสนใจเข้ามาสนับสนุน อาทิ องค์การสหภาพยุโรป (EU) โครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ (UNDP) และสหภาพสากลเพื่อการอนุรักษ์ธรรมชาติ (IUCN) ซึ่งได้เปิดสำนักงานในพื้นที่

การเข้ามามีส่วนร่วมขององค์กรระหว่างประเทศถือเป็นก้าวสำคัญ เนื่องจากปัญหาต้นตอมาจากการทำเหมืองแร่ข้ามพรมแดน จึงจำเป็นต้องมีการประสานงานและเจรจาในระดับนานาชาติ ไม่สามารถแก้ไขได้เพียงในระดับประเทศเดียว

ทางออกที่รอคอย จากความตระหนักสู่การลงมือ

แม้ว่าสถานการณ์จะยังคงน่ากังวล แต่การที่มีหลายฝ่ายเข้ามาให้ความสนใจและร่วมมือกันถือเป็นสัญญาณที่ดี นายแพทย์วรัญญู จำนงประสาทพร นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดเชียงใหม่ ระบุว่า การแก้ปัญหาต้องทำหลายแนวทาง ทั้งการติดตามตรวจสอบคุณภาพน้ำอย่างต่อเนื่อง การให้ความรู้แก่ประชาชนในการดูแลสุขภาพ และที่สำคัญคือการหยุดการทำเหมืองแร่ที่ต้นน้ำ

องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงรายได้วางแผนในการติดตามตรวจสอบคุณภาพน้ำอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะน้ำประปาหมู่บ้านที่อยู่ริมแม่น้ำกก รวมถึงการเฝ้าระวังสุขภาพของประชาชนที่อาจได้รับผลกระทบจากสารพิษ

สำหรับแนวทางระยะยาว มูลนิธิพัฒนาชุมชนและเขตภูเขาพร้อมด้วยเครือข่ายภาคประชาสังคมกำลังผลักดันให้มีการเจรจาระหว่างรัฐบาลไทยและรัฐบาลเมียนมาเพื่อหยุดการทำเหมืองแร่ที่ก่อให้เกิดมลพิษ และมีการกำกับดูแลสิ่งแวดล้อมอย่างเข้มงวด นอกจากนี้ยังมีการผลักดันให้มีกฎหมายและกลไกในการควบคุมการลงทุนจากต่างประเทศที่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมในภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง

ข้อคิดจากศิลปะ เมื่อภาพวาดกลายเป็นเสียงเรียกร้อง

นิทรรศการ “Crooked River แม่น้ำกก” ไม่ใช่เพียงแค่การแสดงศิลปะทั่วไป แต่เป็นการใช้ศิลปะเป็นเครื่องมือในการสื่อสารและสร้างความตระหนักรู้ให้กับสังคม อังกฤษ อัจฉริยโสภณ กล่าวว่า “เราทำอะไรได้บ้างกับสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นอยู่ในปัจจุบันนี้” คือคำถามที่ศิลปินทุกคนถามตัวเอง และนิทรรศการครั้งนี้คือคำตอบหนึ่งที่พวกเขาหาเจอ

การที่ศิลปิน 5 ท่านจากหลากหลายสาขา ไม่ว่าจะเป็นจิตรกรรม ภาพถ่าย การบันทึกเสียง ประติมากรรม และงานจัดดอกไม้ มาร่วมกันสร้างสรรค์ผลงานที่มีจุดร่วมเดียวกันคือ “แม่น้ำกก” แสดงให้เห็นว่าศิลปะสามารถเป็นสื่อกลางที่ทรงพลังในการนำเสนอประเด็นสังคม และเชื่อมโยงผู้คนที่มีความห่วงใยร่วมกัน

นิทรรศการครั้งนี้ยังเป็นตัวอย่างของการทำงานแบบสหสาขาวิชา (Interdisciplinary) ที่นำเอาศาสตร์ต่างๆ มาผสมผสานกัน ตั้งแต่ศิลปะ วิทยาศาสตร์สิ่งแวดล้อม ชีววิทยา และสังคมศาสตร์ เพื่อนำเสนอภาพรวมของปัญหาที่ซับซ้อนให้เข้าใจได้ง่ายและสร้างแรงบันดาลใจให้ผู้คนตื่นตัวและเข้ามามีส่วนร่วมในการแก้ปัญหา

แขกผู้มีเกียรติและการสนับสนุนจากทุกภาคส่วน

ในพิธีเปิดงานมีแขกผู้มีเกียรติเข้าร่วมงานจำนวนมาก อาทิ คุณจันทร์ นคร ทองน้อย ผู้อำนวยการไร่แม่ฟ้าหลวง คุณกิตติวัฒน์ ไลย์ศิริพันธ์ ตัวแทนจากองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย คุณพิศาล จันทร์สิน จากสำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย นายกสมาคมศิลปินแห่งประเทศไทย รวมถึงตัวแทนจากองค์กรระหว่างประเทศอย่าง IUCN และแขกจากภูเก็ต

การที่มีผู้คนจากหลากหลายภาคส่วนเข้าร่วมงานแสดงให้เห็นว่าปัญหาแม่น้ำกกเป็นประเด็นที่ได้รับความสนใจอย่างกว้างขวาง และมีผู้คนพร้อมที่จะร่วมมือกันแก้ไข ไม่ใช่เพียงแค่ศิลปิน นักวิชาการ หรือเจ้าหน้าที่ภาครัฐเท่านั้น แต่รวมถึงประชาชนทั่วไปที่เห็นความสำคัญของการรักษาแม่น้ำและสิ่งแวดล้อม

คุณยุวนิต เตชะไพบูลย์ แขกจากภูเก็ต ที่เดินทางมาร่วมงาน แสดงให้เห็นว่าปัญหาสิ่งแวดล้อมเป็นประเด็นที่เชื่อมโยงผู้คนจากทั่วทุกภูมิภาค และการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างพื้นที่ที่เผชิญกับปัญหาคล้ายกันสามารถนำไปสู่แนวทางการแก้ปัญหาที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น

รายละเอียดการจัดแสดงและการเข้าชม

นิทรรศการ “Crooked River แม่น้ำกก” จัดแสดงระหว่างวันที่ 29 พฤศจิกายน 2568 ถึง 31 มกราคม 2569 ณ บ้านสิงหไคล มูลนิธิมดชนะภัย จังหวัดเชียงราย เปิดให้เข้าชมตั้งแต่เวลา 10.00-16.00 น. ปิดทุกวันจันทร์ การเข้าชมไม่มีค่าใช้จ่าย แต่ผู้สนใจสามารถบริจาคหรือซื้อผลงานศิลปะเพื่อสนับสนุนการทำงานด้านสิ่งแวดล้อมได้

ผลงานที่จัดแสดงประกอบด้วย ภาพถ่ายมุมสูงของแม่น้ำกกกว่า 20 ภาพโดยวันชัย พุทธวารินทร์ ภาพจิตรกรรม 40 ชิ้นโดยอังกฤษ อัจฉริยโสภณ จิ๊กซอว์ที่ผสมผสานระหว่างภาพถ่ายและจิตรกรรม ประติมากรรมไม้ตะเคียนโดยเอกพงษ์ ใจบุญ การบันทึกเสียงธรรมชาติจากแม่น้ำโดยวรพจน์ บุญความดี และงานจัดดอกไม้โดยสมชาย ชื่นทรวงจิต

พจวรรณ พันธ์จินดา ภัณฑารักษ์ของนิทรรศการ ระบุว่า การจัดวางผลงานได้ออกแบบให้ผู้ชมได้สัมผัสแม่น้ำกกผ่านประสาทสัมผัสทั้งห้า ตั้งแต่การมอง การฟัง การสัมผัส และการรับรู้ทางอารมณ์ เพื่อสร้างประสบการณ์ที่สมบูรณ์และทำให้เข้าใจถึงความเป็นแม่น้ำกกในมิติที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้น

บทเรียนสำหรับอนาคต จากแม่น้ำกกสู่แม่น้ำอื่นๆ

ปัญหาของแม่น้ำกกไม่ใช่กรณีเฉพาะ แต่เป็นสัญญาณเตือนถึงความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นกับแม่น้ำสายอื่นๆ ในภูมิภาค ข้อมูลจากกรมควบคุมมลพิษและมูลนิธิพัฒนาชุมชนและเขตภูเขาชี้ให้เห็นว่า แม่น้ำสาย แม่น้ำรวก และแม่น้ำสาละวิน ล้วนมีความเสี่ยงจากการทำเหมืองแร่ในพื้นที่ต้นน้ำเช่นกัน

คุณเตือนใจ ดีเทศน์ กล่าวว่า ที่แม่น้ำสาละวินซึ่งขณะนี้เป็นสายเดียวที่ไม่มีเขื่อนกั้นน้ำและยังคงสภาพธรรมชาติ กลับพบว่ามีเหมืองที่ต้นน้ำแล้ว และค่าสารพิษบางชนิดสูงถึง 5 เท่าของเกณฑ์มาตรฐาน สิ่งนี้แสดงให้เห็นว่าปัญหามีแนวโน้มขยายวงกว้างขึ้น และจำเป็นต้องมีการดำเนินการอย่างเร่งด่วน

การแก้ปัญหาในระยะยาวต้องอาศัยความร่วมมือในหลายระดับ ตั้งแต่ระดับท้องถิ่น ระดับชาติ และระดับนานาชาติ ต้องมีการบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มงวด การกำกับดูแลการลงทุนที่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และที่สำคัญคือการสร้างความตระหนักรู้ให้กับประชาชนทุกภาคส่วน

เสียงจากศิลปิน “อย่างน้อยเราได้เริ่มต้นบทสนทนา”

อังกฤษ อัจฉริยโสภณ กล่าวปิดท้ายในพิธีเปิดงานว่า “อย่างน้อยศิลปะได้นำพาพวกเรามามาอยู่ร่วมกัน และเป็นจุดเริ่มต้นเล็กเล็กที่เราจะเริ่มพูดคุยกันเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นในบ้านเมืองของเรา” คำพูดนี้สะท้อนถึงความหวังของกลุ่มศิลปินที่ต้องการใช้ศิลปะเป็นสื่อกลางในการสร้างการรับรู้และปลุกจิตสำนึกของผู้คน

การจัดนิทรรศการครั้งนี้อาจเป็นเพียงก้าวเล็กๆ ในการแก้ปัญหาขนาดใหญ่ แต่เป็นก้าวที่สำคัญในการแสดงให้เห็นว่าศิลปินและภาคประชาสังคมพร้อมที่จะเป็นส่วนหนึ่งของการเปลี่ยนแปลง และยินดีที่จะสนับสนุนการทำงานเพื่อสิ่งแวดล้อมอย่างเต็มที่

สำหรับผู้ที่สนใจเข้าชมนิทรรศการหรือต้องการสนับสนุนการทำงานด้านสิ่งแวดล้อม สามารถติดต่อได้ที่บ้านสิงหไคล มูลนิธิมดชนะภัย หรือมูลนิธิพัฒนาชุมชนและเขตภูเขา นิทรรศการจัดแสดงถึงวันที่ 31 มกราคม 2569 และหวังว่าจะเป็นแรงบันดาลใจให้ผู้คนหันมาให้ความสำคัญกับปัญหาสิ่งแวดล้อมมากขึ้น

สำนักข่าวนครเชียงรายนิวส์

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • เขียนโดย : กันณพงศ์ ก.บัวเกษร
  • เรียบเรียงโดย : มนรัตน์ ก.บัวเกษร
  • ภาพ : กีรติ ชุติชัย
  • กรมควบคุมมลพิษ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
  • สำนักงานสิ่งแวดล้อมและควบคุมมลพิษที่ 1 เชียงใหม่
  • กระทรวงสาธารณสุข
  • มูลนิธิพัฒนาชุมชนและเขตภูเขา (พชภ.)
  • องค์การแม่น้ำนานาชาติ (International Rivers)
  • องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย
  • สหภาพสากลเพื่อการอนุรักษ์ธรรมชาติ (IUCN) สำนักงานประเทศไทย
  • มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง
  • บ้านสิงหไคล มูลนิธิมดชนะภัย
  • เครือข่ายประชาชนปกป้องแม่น้ำกก สาย รวก และโขง
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
MOST POPULAR
FOLLOW ME
Categories
AROUND CHIANG RAI ENVIRONMENT

วิกฤตแม่น้ำกก-โขงปนเปื้อนพิษเหมืองแร่หายากเมียนมา ภัยคุกคามมูลค่า 1.3 พันล้านบาท

วิกฤตการณ์ข้ามพรมแดน แม่น้ำกก-โขงปนเปื้อนพิษเหมืองแร่หายากเมียนมา ภัยคุกคาม 1.3 พันล้านบาท และคำถามถึงความรับผิดชอบในห่วงโซ่อุปทานโลก

เชียงราย, 21 ตุลาคม 2568 –  ท่ามกลางกระแสการเปลี่ยนผ่านสู่ยุคเศรษฐกิจดิจิทัลและพลังงานสะอาด ที่ขับเคลื่อนด้วย ‘แร่หายาก’ (Rare Earth Minerals) ซึ่งเป็นวัตถุดิบยุทธศาสตร์สำคัญ ภาคเหนือของประเทศไทย โดยเฉพาะในพื้นที่จังหวัดเชียงรายและเชียงใหม่ กำลังเผชิญหน้ากับวิกฤตสิ่งแวดล้อมข้ามพรมแดนครั้งร้ายแรงที่สุดในประวัติศาสตร์สมัยใหม่ การเร่งรัดการทำเหมืองแร่หายากอย่างขาดการควบคุมดูแลในรัฐฉานและรัฐกะฉิ่นของประเทศเมียนมา ได้ส่งผลให้แม่น้ำสายหลักของชาติ อาทิ แม่น้ำกก แม่น้ำสาย และแม่น้ำรวก ปนเปื้อนด้วยสารพิษและโลหะหนักในระดับอันตราย สร้างความเสียหายทางเศรษฐกิจแก่ประเทศไทยแล้วกว่า 1.3 พันล้านบาท (40 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) และนำมาซึ่งความกังวลอย่างยิ่งยวดต่อความมั่นคงทางสุขภาพและความมั่นคงทางอาหารของชุมชนปลายน้ำในประเทศไทย ลาว กัมพูชา และเวียดนาม

รายงานข่าวเชิงลึกฉบับนี้ จะพาไปสำรวจถึงความรุนแรงของวิกฤตการณ์ที่กำลังคุกคามชีวิตและระบบนิเวศในอนุภูมิภาค พร้อมทั้งวิเคราะห์ถึงแรงกดดันจากภาคประชาชนต่อรัฐบาลไทยที่ยังคง “ไร้ความคืบหน้า” ในการแก้ไขปัญหาอย่างเป็นรูปธรรม

การขยายตัวของภัยพิบัติที่พุ่งสูง 513 แหล่งเหมืองที่คุกคามลุ่มน้ำโขง

ข้อมูลล่าสุดจากศูนย์วิจัย Stimson Center ซึ่งเป็นคลังสมองที่ไม่แสวงหาผลกำไร เผยให้เห็นภาพความรุนแรงของการขยายตัวของการทำเหมืองแร่หายากในเมียนมาอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน ข้อมูลภาพถ่ายดาวเทียมระบุว่า ตลอดช่วง 10 ปีที่ผ่านมา มีการค้นพบ แหล่งเหมืองแร่หายากมากถึง 513 แห่ง กระจายตัวอยู่ในลุ่มน้ำสาขาที่ไหลลงสู่แม่น้ำโขง แม่น้ำสาละวิน และแม่น้ำอิรวดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งในปี 2568 เพียงปีเดียว มีการประเมินว่ามีแหล่งเหมืองใหม่เปิดเพิ่มขึ้นถึง 40 แห่ง ตัวเลขดังกล่าวถือว่าสูงกว่าที่เคยมีการคาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้อย่างมาก และสะท้อนถึงความเสี่ยงของการปนเปื้อนข้ามพรมแดนที่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ

การขยายตัวของเหมืองแร่เหล่านี้มีปัจจัยหลักมาจากความต้องการแร่หายากของโลกที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับมาตรการควบคุมที่เข้มงวดขึ้นของรัฐบาลจีนต่อเหมืองภายในประเทศ ทำให้เมียนมาซึ่งอยู่ภายใต้ภาวะความขัดแย้งและการกำกับดูแลที่หย่อนยานนับตั้งแต่การรัฐประหารในปี 2564 กลายเป็นแหล่งวัตถุดิบสำคัญในการเติมเต็มช่องว่างในห่วงโซ่อุปทานของจีน

ต้นทุนที่มองไม่เห็น ของเสียพิษ 2,000 ตันต่อแร่ 1 ตัน

กระบวนการสกัดแร่หายากในรัฐฉานและรัฐกะฉิ่นของเมียนมานั้น ส่วนใหญ่ใช้วิธีที่เรียกว่า การชะล้างเฉพาะที่ (in-situ leaching) ซึ่งมีลักษณะคล้ายกับการทำแฟรกกิง (fracking) คือการฉีดสารละลายเคมีเข้มข้นลงไปใต้ดินผ่านบ่อชะล้าง เพื่อละลายแร่ธาตุที่ผสมอยู่ในดินให้กลายเป็นสารละลายแล้วจึงสูบขึ้นมาเก็บไว้

กระบวนการนี้ก่อให้เกิดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมที่รุนแรงอย่างไม่อาจยอมรับได้

  • มีรายงานที่น่าตกใจว่า การสกัดแร่หายากทุก 1 ตัน จะก่อให้เกิดของเสียที่เป็นพิษโดยเฉลี่ย 2,000 ตัน ซึ่งรวมถึงน้ำเสียที่เป็นกรดประมาณ 200 ลูกบาศก์เมตร (ราว 53,000 แกลลอน) หรือ 75 ลูกบาศก์เมตร (เกือบ 20,000 แกลลอน) และกากของเสียที่ปนเปื้อนกัมมันตรังสีได้ถึง 1–1.4 ตัน
  • เมื่อการทำเหมืองในภูเขาลูกหนึ่งเสร็จสิ้นลงในระยะเวลาประมาณสามปี บ่อเก็บน้ำเสียที่เต็มไปด้วยสารเคมีอันตรายเหล่านี้ก็จะถูกทอดทิ้งไว้ ในช่วงฤดูมรสุม ปริมาณน้ำฝนที่เพิ่มขึ้นจะทำให้น้ำเสียล้นออกจากบ่อและไหลเข้าสู่ลำธารและแม่น้ำสายหลักในบริเวณด้านล่าง มลพิษเหล่านี้จึงถูกพัดพาข้ามพรมแดนลงสู่พื้นที่ปลายน้ำของประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง
  • สารพิษที่ถูกตรวจพบ ได้แก่ สารหนู (Arsenic), ไซยาไนด์ (Cyanide), ปรอท (Mercury), ตะกั่ว (Lead), แคดเมียม (Cadmium) และโลหะหนักอื่น ๆ

นายไบรอัน ไอยเลอร์ (Brian Eyler) ผู้อำนวยการโครงการเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ของ Stimson Center ผู้ทำการวิจัยเรื่องนี้ ได้กล่าวเน้นย้ำถึงอันตรายของการปนเปื้อนในพื้นที่ภาคเหนือของไทยว่า “โคลนเหนียว ๆ ที่ท่วมพื้นที่บางส่วนของภาคเหนือของไทยหลังฝนตกหนัก คือสิ่งแรกที่ทีมของผมพบว่ามีการปนเปื้อนในแม่น้ำกก” และเสริมว่า แม่น้ำสายมีระดับมลพิษที่รุนแรงที่สุดเมื่อเทียบกับแม่น้ำกก

แผลพุพองและปลาตาย ผลกระทบต่อชีวิตและสุขภาพในเชียงราย

ผลกระทบทางนิเวศวิทยาจากเหมืองเมียนมาได้แปรเปลี่ยนเป็นวิกฤตสาธารณสุขและความเดือดร้อนทางเศรษฐกิจที่รุนแรงในชุมชนไทย

วิกฤตน้ำอุปโภคบริโภค ชุมชนในอำเภอแม่อาย จังหวัดเชียงใหม่ และอำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย ต้องพึ่งพาแม่น้ำกกและแม่น้ำสายเป็นแหล่งน้ำดิบหลักในการผลิตน้ำประปาเพื่อการบริโภคและใช้ในครัวเรือน การปนเปื้อนที่เกิดขึ้นสร้างความหวาดกลัวอย่างลึกซึ้งให้กับประชาชน อาจารย์ ดร. สืบสกุล กิจนุกร จากมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง จังหวัดเชียงราย ได้เปิดเผยข้อมูลที่น่าตกใจจากการตรวจสอบน้ำเมื่อช่วงต้นปี 2568 ว่า ผลการทดสอบพบว่ามีการปนเปื้อนของ สารหนูในระดับที่เกินกว่าค่ามาตรฐานสูงสุดตามกฎหมายในทุกจุดที่เก็บตัวอย่าง โดยบางจุดเกินกว่าค่ามาตรฐานถึง 19 เท่า แม้ว่าภายหลังโรงงานผลิตน้ำประปาในเชียงรายหลายแห่งจะต้องหันไปใช้น้ำจากแหล่งน้ำภายในประเทศที่สะอาดกว่าเพื่อหลีกเลี่ยงแม่น้ำกก แต่ชุมชนที่ไม่ได้อยู่ในเขตประปาหลักยังคงต้องใช้น้ำจากแหล่งน้ำที่ปนเปื้อนเพื่อดื่ม ล้าง และว่ายน้ำ ซึ่งนำไปสู่รายงานการเกิด ผื่นคันตามผิวหนัง รวมถึงมีรายงาน ปลาตาย และปลาในแม่น้ำกกมีบาดแผลตามผิวหนัง

ภัยเงียบต่อสุขภาพระยะยาว ดร. สืบสกุล ยังได้เน้นย้ำถึงประเด็นที่ทางการอาจมองข้าม นั่นคือ การสะสมของสารพิษในร่างกายมนุษย์ “ทางการไทยยึดตามค่าสูงสุดที่อนุญาตให้มีสารหนูและโลหะหนักอื่น ๆ ในน้ำได้ หากค่าต่ำกว่าก็ถือว่าปลอดภัย แต่สารหนู ปรอท และตะกั่ว สามารถสะสมในร่างกายและในระยะยาวอาจนำไปสู่โรคมะเร็งและโรคอันตรายอื่น ๆ ได้”

การทำลายฐานเศรษฐกิจท้องถิ่น มลพิษได้สร้างผลกระทบอย่างตรงไปตรงมาต่อเสาหลักทางเศรษฐกิจของภาคเหนือ

  • อุตสาหกรรมการประมง นายเดช นวลใส (Det Nuansai) ชาวประมงวัย 57 ปีในบ้านปากอิง ริมแม่น้ำโขง กล่าวด้วยความท้อแท้ว่า “ผมอาจจะพูดได้ว่า ‘ผมเคยขายปลาของเขา’ ปลาแม่น้ำโขงเคยเป็นปลาที่คนต้องการมากที่สุดและแพงที่สุด แต่ ไม่มีใครอยากซื้อปลาจากแม่น้ำสายนี้อีกแล้ว ทุกคนกลัวว่าปลาจะเต็มไปด้วยสารหนูและสารเคมี”
  • ความมั่นคงทางอาหารและการเกษตร สารเคมีได้ไหลเข้าสู่พื้นที่เกษตรกรรมกว่า 100,000 ไร่ในจังหวัดเชียงราย ที่ทำการเกษตรโดยใช้น้ำจากแม่น้ำกก แม่น้ำสาย และแม่น้ำรวก มีความกังวลว่าโลหะหนักจะปนเปื้อนในผลผลิตทางการเกษตร โดยเฉพาะ ข้าวนาปี ที่กำลังจะเก็บเกี่ยวในช่วงปลายเดือนตุลาคมถึงพฤศจิกายนนี้
  • ผลกระทบต่อการส่งออก ญี่ปุ่นได้ดำเนินการสั่งห้ามนำเข้า ถั่วแระญี่ปุ่น (Edamame) ที่มาจากพื้นที่นี้เนื่องจากพบการปนเปื้อนสารเคมี และ พริกแดง ก็กำลังเผชิญกับความเสี่ยงที่จะถูกห้ามนำเข้าเช่นกัน

ภาครัฐกับความนิ่งเฉย เสียงเรียกร้อง 10 ข้อที่ยังไร้การตอบสนอง

ท่ามกลางวิกฤตที่ทวีความรุนแรงขึ้น ภาคประชาชนโดยการนำของ เครือข่ายประชาชนปกป้องแม่น้ำกก สาย รวก โขง ได้ก้าวเข้ามาเติมเต็มช่องว่างที่รัฐบาลยังคงตอบสนองต่อปัญหาอย่างล่าช้าและขาดการสื่อสาร โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ภายหลังจากที่รัฐบาลชุดใหม่ได้รับทราบปัญหาอย่างเป็นทางการแล้ว

เมื่อวันที่ 21 ตุลาคม 2568 อาจารย์ ดร. สืบสกุล กิจนุกร ได้ยื่นหนังสือเปิดผนึกถึงนายกรัฐมนตรี นายอนุทิน ชาญวีรกูล และรองนายกรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง โดยมีเนื้อหาสำคัญคือการวิพากษ์วิจารณ์ถึง “ความนิ่งเฉย” และ “ความไม่คืบหน้า” ในการแก้ไขปัญหานี้อย่างเป็นรูปธรรม

ไทม์ไลน์คำสัญญาที่ยังไม่เป็นจริง

เครือข่ายประชาชนฯ ได้ส่งข้อเสนอ 10 ข้อให้รัฐบาลใหม่ดำเนินการภายใน 4 เดือน ตั้งแต่วันที่ 3 ตุลาคม 2568

  1. วันที่ 9 ตุลาคม 2568 นายสุชาติ ชมกลิ่น รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้ลงพื้นที่รับฟังปัญหา พร้อมรับปากว่าจะจัดสรรงบประมาณ 1,000 ล้านบาท เพื่อจัดหาแหล่งน้ำดิบใหม่ทดแทนแม่น้ำกกในการผลิตน้ำประปา
  2. วันที่ 11 ตุลาคม 2568 ร.อ. ธรรมนัส พรมเผ่า รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ยืนยันว่าจะเจรจากับผู้ประกอบการเหมืองในรัฐฉาน และจะนำประเด็นนี้เข้าพิจารณาในที่ประชุมคณะรัฐมนตรี

อย่างไรก็ตาม จนถึงปัจจุบัน (21 ตุลาคม 2568) อาจารย์สืบสกุลชี้ว่ายังไม่มีความคืบหน้าใด ๆ ที่เป็นรูปธรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ยังไม่มีการดำเนินการตรวจสอบสารโลหะหนักในผลผลิตข้าวนาปีกว่า 100,000 ไร่ ในจังหวัดเชียงราย ซึ่งเป็นช่วงเวลาสำคัญก่อนการเก็บเกี่ยว

นอกจากนี้ การตรวจสอบสารปนเปื้อนของหน่วยงานรัฐยังจำกัดวงแคบเกินไป โดยครอบคลุมเฉพาะพื้นที่ในจังหวัดเชียงราย ทั้งที่ปัญหาแผ่ขยายไปยังจังหวัดเชียงใหม่ด้วย

ข้อเรียกร้องเชิงยุทธศาสตร์ หยุดนำเข้าแร่และเปิดโต๊ะเจรจาจีน

ในบรรดาข้อเสนอ 10 ข้อของภาคประชาชน มีประเด็นเชิงนโยบายและยุทธศาสตร์ที่สำคัญอย่างยิ่งต่อการแก้ไขปัญหามลพิษข้ามพรมแดน

  1. ยุติการนำเข้าแร่จากเมียนมา (ข้อ 5) เครือข่ายประชาชนเรียกร้องให้ ยุติการนำเข้าแร่ทุกชนิดจากเมียนมา จนกว่าผู้นำเข้าจะสามารถพิสูจน์ได้ว่าแร่ดังกล่าวไม่ได้มาจากเหมืองที่ก่อให้เกิดมลพิษในแม่น้ำ ข้อเรียกร้องนี้มีความหนักแน่นยิ่งขึ้น เมื่อรายงานจากสำนักงานศุลกากรภาค 3 เผยตัวเลขที่น่าฉงนว่า ในปี 2568 เอกชนไทยกว่า 40 ราย ได้นำเข้าสินแร่ผ่านด่านชายแดนภาคเหนือ 4 จังหวัด รวมมูลค่าสูงถึง 9,825.92 ล้านบาท ซึ่งเพิ่มขึ้นจากปี 2567 กว่า 7,714.31 ล้านบาท ขณะที่รัฐบาลกลางเมียนมาอ้างว่าไม่เคยอนุญาตให้มีการส่งออกแร่ในรัฐฉานเลย คำถามคือ แร่มูลค่าเกือบหนึ่งหมื่นล้านบาทนี้มาจากเหมืองที่ก่อมลพิษข้ามพรมแดนหรือไม่ และผู้นำเข้ามีหน้าที่ต้องแสดงแหล่งกำเนิดที่ชัดเจน
  2. เจรจาระดับภูมิภาค (ข้อ 8) เรียกร้องให้รัฐบาลไทย เปิดเวทีเจรจาอย่างเป็นทางการกับประเทศเมียนมาและจีน เพื่อเรียกร้องให้ทั้งสองประเทศตระหนักและรับผิดชอบต่อมลพิษที่ส่งผลกระทบต่อประชาชนในประเทศไทย

“ยุทธศาสตร์ย้อนรอยห่วงโซ่อุปทาน” เพื่อกดดันมหาอำนาจโลก

นักวิชาการหลายฝ่ายต่างชี้ตรงกันว่า กุญแจสำคัญในการแก้ปัญหานี้อยู่ที่ ประเทศจีน เนื่องจากจีนครอบงำตลาดแร่หายากของโลกอย่างเบ็ดเสร็จ โดยเป็นผู้สกัดแร่แรร์เอิร์ธร้อยละ 60 และเป็นผู้แปรรูปหรือกลั่นแร่ขั้นสุดท้ายถึง ร้อยละ 87 ของปริมาณแรร์เอิร์ธทั่วโลก

มีการเสนอแนะให้รัฐบาลไทยใช้ ยุทธศาสตร์ย้อนรอยห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain Traceability) เพื่อใช้เวทีการเจรจาระดับภูมิภาค เช่น การประชุมผู้นำความร่วมมือแม่โขง-ล้านช้าง (MLC Leaders’ Meeting) ซึ่งมีกำหนดจัดขึ้นที่กรุงเทพฯ ปลายปี 2568 นี้ ในการกดดันจีนให้ตรวจสอบความเสี่ยงของห่วงโซ่อุปทานแร่หายากในอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง

แม้จีนจะปฏิเสธการเกี่ยวข้องโดยตรงในพื้นที่เหมืองที่ไร้การควบคุมของเมียนมา แต่ข้อเท็จจริงทางยุทธศาสตร์คือ แร่แรร์เอิร์ธจำนวนมหาศาลที่ถูกขุดจากเมียนมานั้น จำเป็นต้องถูกส่งกลับไปกลั่นขั้นสุดท้ายในประเทศจีน เนื่องจากประเทศส่วนใหญ่ยังไม่มีศักยภาพทางเทคนิคในการแปรรูปแร่ให้กลายเป็นออกไซด์ที่พร้อมใช้งานได้

ความพยายามของจีนในการกุมอำนาจในห่วงโซ่อุปทานนี้ถูกตอกย้ำด้วยการที่จีนประกาศห้ามการส่งออกเทคโนโลยีที่ใช้ในการแปรรูปแร่เหล่านี้ตั้งแต่เดือนธันวาคม 2566 การใช้ยุทธศาสตร์ที่แข็งกร้าวของไทยในการเรียกร้องให้จีนรับผิดชอบในฐานะผู้ครอบงำตลาด (concentration risk) จึงเป็นแนวทางเดียวที่จะปกป้องสิทธิของประชาชนในการมีชีวิตในสิ่งแวดล้อมที่ดี

บทสรุปและความเร่งด่วน

วิกฤตมลพิษเหมืองแร่หายากในเมียนมามิใช่เพียงปัญหาท้องถิ่น แต่เป็นโจทย์ทางภูมิรัฐศาสตร์และเศรษฐกิจที่ซับซ้อน ซึ่งตอกย้ำถึง “ด้านมืด” ของอุตสาหกรรมเทคโนโลยีที่โลกต้องพึ่งพา การทำเหมืองแบบไร้การควบคุมได้เปลี่ยนภูมิทัศน์ของรัฐกะฉิ่นให้กลายเป็นพื้นที่ที่ถูกทำลายโดยสิ้นเชิง และส่งผลกระทบต่อเนื่องถึงปากท้องและสุขภาพของประชาชนในไทย

นางสาวเพียรพร ดีเทศ (ป้าใฝ่) ผู้อำนวยการองค์กรแม่น้ำและสิทธิ (Rivers & Rights) ได้เตือนว่า สารโลหะหนักที่ปนเปื้อนในระบบนิเวศนั้นต้องใช้เวลาอย่างน้อย 100 ปี ในการย่อยสลายโดยธรรมชาติ หากรัฐบาลไทยยังคงประวิงเวลาในการดำเนินการตามข้อเรียกร้องของภาคประชาชน ไม่ว่าจะเป็นการจัดหาแหล่งน้ำดิบใหม่ การตรวจสอบผลผลิตเกษตรกรรมกว่าแสนไร่ และการเปิดเวทีเจรจาอย่างจริงจังกับเมียนมาและจีน ความเสียหายที่เกิดขึ้นจะกลายเป็นต้นทุนที่สังคมไทยต้องแบกรับไปอีกหลายชั่วอายุคน และเป็นการยอมจำนนต่อภัยพิบัติข้ามพรมแดนที่คุกคามชีวิตคนหลายล้านคนในลุ่มน้ำโขง

การป้องกันการปนเปื้อนเพิ่มเติมจึงมีความสำคัญอย่างยิ่งเหนือกว่าการแก้ไขเยียวยา โดยมีหลักฐานชวนคิดถึงความรุนแรงของผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมในต่างประเทศ เช่น โรงงานแปรรูปในเมืองเป่าโถวของจีน ที่สร้างมลพิษสะสมมาหลายสิบปี จนเกิดทะเลสาบตะกอนพิษขนาดใหญ่ และส่งผลให้ประชาชนเจ็บป่วยด้วยโรคมะเร็งและโรคทางเดินหายใจ บทเรียนเหล่านี้เป็นเครื่องเตือนใจถึงความจำเป็นที่ไทยต้องดำเนินการอย่างเด็ดขาดและเร่งด่วนที่สุด

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • Stimson Center
  • Mongabay
  • อาจารย์ ดร. สืบสกุล กิจนุกร
  •  เครือข่ายประชาชนปกป้องแม่น้ำกก สาย รวก โขง
  • สำนักงานศุลกากรภาค 3
  • United States Geological Survey (USGS)
  • องค์กร River & Rights (Pianporn Deetes)
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News