
“วัดไร่เชิญตะวัน” ขึ้นสถานะเป็นวัดอย่างเป็นทางการ หมุดหมายใหม่ของศาสนสถานร่วมสมัย สะท้อนพลังศรัทธา การบริหารจัดการที่โปร่งใส ขับเคลื่อนบทบาทศูนย์กลางธรรมะสู่สาธารณะ
เชียงราย, 12 สิงหาคม 2568 – “วิหารดิน” วิปัสสนาคารนานาชาติ อันเป็นหัวใจของ “ไร่เชิญตะวัน” ที่ผู้คนคุ้นในฐานะศูนย์วิปัสสนาสากลก่อตั้งโดยพระเมธีวชิโรดม (ว.วชิรเมธี) วันนี้บรรยากาศเคร่งขรึมกว่าทุกคราว เมื่อ “ตราตั้งวัด” ถูกส่งมอบอย่างเป็นทางการต่อหน้าคณะสงฆ์ ข้าราชการฝ่ายบ้านเมือง และพุทธศาสนิกชนที่ร่วมเป็นสักขีพยานจารึกอีกหน้าประวัติศาสตร์ของศาสนสถานร่วมสมัยในภาคเหนือ
ตามข้อมูลจากหน่วยงานประชาสัมพันธ์ของจังหวัด ระบุว่า ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงรายเป็นประธานมอบ “ใบตราตั้งวัด” แก่ “วัดไร่เชิญตะวัน” เมื่อช่วงบ่ายวันที่ 12 สิงหาคม 2568 การมอบตราตั้งมีความหมายเชิงนิติกรรมทางศาสนาและกฎหมาย เพราะคือขั้นตอนยืนยันว่า “ศูนย์ปฏิบัติธรรม” ที่ทำงานสาธารณะมาเนิ่นนาน ได้รับการรับรองเป็น “วัดในพระพุทธศาสนา” สมบูรณ์พร้อมด้วยสิทธิ หน้าที่ และความรับผิดชอบตามพระธรรมวินัยและกฎหมายบ้านเมือง โดยมีหน่วยงานกำกับดูแลคือสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) และคณะสงฆ์ในพื้นที่กำกับติดตามด้านการปกครองคณะสงฆ์ต่อไป
จุดเปลี่ยนจาก “ศูนย์วิปัสสนา” สู่ “วัด” นัยสำคัญต่อสังคมและการบริหารจัดการ
ทำไม “การเป็นวัดอย่างเป็นทางการ” จึงสำคัญ? ในทางปฏิบัติ การได้รับตราตั้งวัดคือการรับรองสถานะตามพระราชบัญญัติคณะสงฆ์และกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ทำให้ศาสนสถานมีกรอบอำนาจหน้าที่ชัดเจนในการจัดการศาสนสมบัติ การแต่งตั้งภิกษุผู้ปกครองวัด การอนุญาตก่อสร้างซ่อมแซมถาวรวัตถุ ไปจนถึงการจัดระเบียบกิจกรรมทางศาสนาและงานเผยแผ่ธรรมะให้สอดคล้องกับกฎหมายและธรรมวินัย ซึ่งทั้งหมดพ่วงมากับ “ความโปร่งใสตรวจสอบได้” ที่ภาครัฐและสาธารณะคาดหวัง
“ไร่เชิญตะวัน” โดดเด่นบนสองเสาหลักงานจิตภาวนาและงานศิลปวัฒนธรรมที่ถูกออกแบบให้เข้าถึงผู้คนยุคใหม่ ผ่านสถาปัตยกรรมร่วมสมัย การจัดค่ายเยาวชน นิทรรศการศิลปะ และเวทีสาธารณะว่าด้วยพุทธปัญญาสันติภาพ อันเป็นลายเซ็นทางความคิดของพระเมธีวชิโรดมตั้งแต่ช่วงเริ่มก่อตั้งเมื่อกว่าทศวรรษก่อน
จากการจัดสรรที่ดินเขตวัด สู่ความพร้อมด้านกายภาพ
ก่อนมาถึงวันนี้ มี “งานหลังบ้าน” จำนวนมากที่ต้องเดินบนกติกา เช่น การจัดสรรพื้นที่เป็น “เขตสังฆาวาส–เสนาสนะ” และการกำหนดขอบเขตวัดภายใต้การเห็นชอบของหน่วยงานรัฐระดับจังหวัดและส่วนกลาง โดยในปี 2567 มีข่าวความคืบหน้าสำคัญว่าหน่วยงานเกี่ยวข้องผลักดันการกำหนดเขตวัดและพื้นที่ศูนย์ปฏิบัติธรรมของไร่เชิญตะวัน เพื่อเตรียมความพร้อมต่อการเป็น “วัด” ในอนาคต ซึ่งเป็นไปตามครรลองงานศาสนสถานรัฐสงฆ์ร่วมกำกับ
การมีเขตวัดชัดเจนไม่เพียงช่วยให้การสร้างซ่อมแซมอาคารเสนาสนะเป็นระบบ แต่ยังเอื้อต่อการวางแผนผังพื้นที่รองรับกิจกรรมสาธารณะ การดูแลทรัพย์สินของวัดอย่างถูกต้อง และการเชื่อมต่อบริการสาธารณูปโภคของรัฐในฐานะ “สถานที่ราชการทางศาสนา” ที่ได้รับการรับรอง
มองผ่านมุมประชาชน ได้อะไรเมื่อวัดมี “สถานะครบ”
- ความเชื่อมั่นและความปลอดภัยของผู้ใช้บริการสาธารณะ ผู้มาปฏิบัติธรรมร่วมกิจกรรมย่อมมั่นใจในมาตรฐานการจัดการและการกำกับดูแลของวัด ทั้งด้านความปลอดภัย กฎระเบียบ และจริยธรรมของบุคลากรในวัด
- ความโปร่งใสทางการเงินและทรัพย์สิน โครงสร้างบัญชีทรัพย์สินของวัดต้องอยู่ภายใต้กติกาและการตรวจติดตามของหน่วยงานรัฐและคณะสงฆ์ ลดช่องว่างความคลุมเครือ
- การพัฒนาพื้นที่และเศรษฐกิจชุมชน วัดที่เป็นจุดหมายทางศาสนาวัฒนธรรมมีอานิสงส์ต่ออุตสาหกรรมท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมสุขภาวะ ส่งเสริมผู้ประกอบการท้องถิ่น โรงแรมโฮมสเตย์สินค้าโอทอป ฯลฯ
- บทบาทด้านการศึกษาเยาวชน การมีสถานะวัดช่วยจัดหลักสูตรกิจกรรมเยาวชนได้เป็นระบบ เช่น ค่ายพุทธบุตร การเรียนรู้ศิลปะพุทธศิลป์ ภายใต้กรอบความร่วมมือกับโรงเรียนและหน่วยงานรัฐในพื้นที่
- ความเชื่อมโยงเครือข่ายศาสนาวัฒนธรรม วัดสามารถทำเอ็มโอยูกับสถาบันการศึกษาวัฒนธรรมในต่างประเทศได้คล่องตัวขึ้น ดึงทุนความรู้ใหม่ ๆ มาช่วยออกแบบกิจกรรมสาธารณะ
สองความคาดหวังใหญ่หลัง “ได้ตราตั้ง”
ยกระดับมาตรฐานธรรมาภิบาลวัด
ปัจจุบัน ประเทศไทยเผชิญโจทย์ “วัดร้างวัดขาดคนดูแล” และการบริหารทรัพย์สินวัดที่ต้องเพิ่มความโปร่งใส ข้อมูลภาครัฐระบุว่ามี “วัดร้าง” หลายพันแห่งทั่วประเทศ ซึ่งสะท้อนความท้าทายด้านทรัพยากรบุคคลของคณะสงฆ์และชุมชนในบางพื้นที่ การที่วัดไร่เชิญตะวันลุกขึ้นมาเป็น “วัดร่วมสมัยที่มีระบบจัดการเข้ม” จะเป็นต้นแบบวัดที่เข้มแข็งและทำงานเชิงรุกกับสังคมได้
ใช้ทุนทางศิลปะสื่อสารสาธารณะขยายความหมายของพุทธปัญญา
ไร่เชิญตะวันก่อรูปแบรนด์ “ธรรมะร่วมสมัย” ผ่านสื่อนิทรรศการกิจกรรมสาธารณะมาโดยตลอด เมื่อขึ้นสถานะเป็นวัด ความร่วมมือด้านวิชาการ ศิลปะ และนวัตกรรมเพื่อสังคมสามารถขยายผลในนาม “วัด” ที่มีภารกิจชัดเจน มีระบบกำกับดูแล และเชื่อมโยงเครือข่ายในต่างประเทศได้ง่ายขึ้น
บทเรียนความโปร่งใสเดินบนข้อเท็จจริงและกติกาเดียวกัน
ปีที่ผ่านมา พื้นที่สาธารณะถกเถียงประเด็นวัดร่วมสมัยที่ดินการก่อสร้างอาคารเสนาสนะในหลายกรณี สะท้อนความคาดหวังของสังคมต่อ “วัดแบบใหม่” ที่ต้องยึดความโปร่งใสทั้งในชั้นเอกสาร ระเบียบกฎหมาย และการสื่อสารชี้แจงต่อสาธารณะ การเดินหน้าด้วยข้อมูลและกรอบกฎหมายเดียวกันของรัฐ–สงฆ์–ประชาชนจึงเป็นคำตอบสำคัญ การมีตราตั้งวัดทำให้ “กลไกตรวจสอบกำกับดูแล” ทำงานได้จริงยิ่งขึ้น และลดความคลุมเครือเชิงสถานะ
จาก “ความศรัทธา” สู่ “สาธารณประโยชน์ที่จับต้องได้”
“ตราตั้งวัด” ของวัดไร่เชิญตะวันคือสัญญะของสมการใหม่ “ศรัทธา + ธรรมาภิบาล” การก้าวสู่สถานะวัดอย่างเป็นทางการช่วยยกระดับความโปร่งใสและความเชื่อมั่น ขณะที่ทุนทางความคิดศิลปะการสื่อสารของวัดสามารถขยายผลสาธารณะได้ไกลขึ้น หากหลังจากนี้ วัดสามารถวางระบบข้อมูลเปิด การมีส่วนร่วม และความร่วมมือกับภาครัฐ–ท้องถิ่น–วิชาการอย่างจริงจัง ย่อมทำให้ “วัดร่วมสมัย” แห่งเชียงรายนี้ กลายเป็นกรณีศึกษาเชิงบวกของศาสนสถานไทยในศตวรรษที่ 21ที่ไม่เพียงพึ่งศรัทธา แต่ยืนอยู่บนหลักฐาน กติกา และผลลัพธ์ที่จับต้องได้

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :
- สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ
- สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
- วัดไร่เชิญตะวัน