Categories
AROUND CHIANG RAI CULTURE

ตักบาตรพระขี่ม้า แม่จันปลุกพลังศรัทธา ฟื้นวิถีล้านนา สู่นวัตกรรมวัฒนธรรม

ตักบาตรพระขี่ม้า แม่จันปลุกพลังศรัทธา ฟื้นวิถีล้านนาโบราณ สู่นวัตกรรมวัฒนธรรมที่ชุมชนร่วมสร้าง

เชียงราย, 18 สิงหาคม 2568 – ประเพณี “ตักบาตรพระขี่ม้า” ที่วัดถ้ำป่าอาชาทอง ต.ศรีค้ำ อ.แม่จัน จ.เชียงราย กลับมาเป็นข่าวเด่นอีกครั้ง เพราะไม่ใช่เพียงภาพงามตาของพระสงฆ์บนหลังม้า หากแต่เป็น “แบบฝึกหัดร่วมสมัย” ของสังคมท้องถิ่นในการชุบชีวิตภูมิปัญญาล้านนา สร้างพื้นที่เรียนรู้ข้ามรุ่น และต่อยอดเศรษฐกิจชุมชนอย่างพอเพียง กิจกรรมครั้งนี้จัดเป็นครั้งที่ 4 ของปีงบประมาณ 2568 อยู่ภายใต้โครงการ “เข้าวัดปฏิบัติธรรมวันธรรมสวนะ ศรัทธาอิ่มบุญ อุดหนุนชุมชน” โดยสำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงรายร่วมกับวัดถ้ำป่าอาชาทอง จุดสังเกตที่ควรจับตา ได้แก่ (1) การใช้ “วันธรรมสวนะ” เป็นจุดศูนย์ถ่วงให้ชุมชนกลับมาพบกันในวัด (2) การแปะป้าย “อุดหนุนชุมชน” ควบคู่การทำบุญ สื่อถึงแนวทางวัฒนธรรมที่เกื้อกูลเศรษฐกิจฐานราก และ (3) การเล่าเรื่อง “พระขี่ม้า” ในฐานะสัญลักษณ์การเข้าถึงพื้นที่ห่างไกลของศาสนา ซึ่งมีนัยต่อการออกแบบบริการสาธารณะในปัจจุบันอย่างน่าคิด ปมหัวข้อสำคัญที่บทความนี้จะพาไปคลี่คลาย คือ เหตุผลที่ประเพณีนี้ยังทรงพลังในยุคดิจิทัล, ผลลัพธ์เชิงสังคม–การศึกษา–เศรษฐกิจที่เกิดกับชุมชน, และ เงื่อนไขความยั่งยืน ของการสืบสานให้สอดรับมาตรฐานความปลอดภัยและสวัสดิภาพสัตว์ ตลอดจนบทบาทของหน่วยงานรัฐ–ศาสนา–สังคมในฐานะหุ้นส่วนทางวัฒนธรรม

เช้าตรู่วันธรรมสวนะ กลิ่นอายล้านนากลับมาเคลื่อนไหว

เชียงราย, 15 สิงหาคม 2568 – ดอยเขียวชอุ่มของแม่จัน เสียงสาธุการแผ่วเบาไหลรวมกับจังหวะก้าวเท้าม้าบนลานวัดถ้ำป่าอาชาทอง ผู้คนหลากวัยยืนเรียงรายอย่างสงบ มือประคองปิ่นโต ข้าวปลาอาหาร และผลไม้ตามฤดูกาล ขณะพระครูบาเหนือชัย โฆสิโต เจ้าอาวาส ขี่ม้านำหน้าพระภิกษุออกบิณฑบาต ภาพที่เคยพบเห็นในหน้าประวัติศาสตร์ท้องถิ่นกลับปรากฏอีกครั้ง—ไม่ใช่เพื่อ “ย้อนอดีต” แบบพิธีกรรมตัวอย่าง หากแต่เพื่อย้ำว่า “ความหมาย” ของศาสนาและชุมชน ยังเดินทางมาถึงผู้คนได้เสมอ เมื่อมีช่องทางและภาษาที่เหมาะสม

กิจกรรมครั้งนี้คือครั้งที่ 4 ของปีงบประมาณ 2568 จัดโดย สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย ร่วมกับ วัดถ้ำป่าอาชาทอง ภายใต้กรอบ โครงการเข้าวัดปฏิบัติธรรมวันธรรมสวนะ ศรัทธาอิ่มบุญ อุดหนุนชุมชน จุดมุ่งหมายคือให้พุทธศาสนิกชนได้ทำบุญ ฟังธรรม เจริญจิตภาวนา และมองเห็น “ดีเอ็นเอวัฒนธรรม” ของตนเองอย่างเป็นรูปธรรม พร้อมเชื่อมโยงกับเศรษฐกิจชุมชนอย่างพอดีพองาม

ความหมายร่วมสมัยของ “พระขี่ม้า” สัญลักษณ์การเข้าถึงผู้คนในพื้นที่ยากลำบาก

อดีตล้านนาคือภูมิประเทศของดอยสูง ป่าลึก ลำห้วยซับซ้อน จึงไม่แปลกที่ ม้า จะเป็นพาหนะคู่ชีวิตของทั้งชาวบ้านและพระสงฆ์ การบิณฑบาตด้วยม้าจึงเกิดจาก “ความจำเป็น” มากกว่าความแปลกประหลาด และยังทำให้ศาสนา “ไปถึง” บ้านเรือนที่อยู่ห่างไกล—นี่คือเหตุผลที่ประเพณีนี้ฝังรากในจิตใจผู้คน และยังทำหน้าที่เป็น “สื่อกลาง” ระหว่างพระกับโยมอย่างทรงพลัง

ในปัจจุบัน ความจำเป็นด้านภูมิประเทศอาจลดลง แต่ สัญลักษณ์ ของการเข้าถึงยังคงทำงาน โดยเฉพาะในยุคที่ชุมชนกระจัดกระจายและคนรุ่นใหม่เติบโตกับหน้าจอ การเห็นพระออกบิณฑบาตบนหลังม้าไม่เพียงสร้างความประทับใจ หากยัง ตั้งคำถามชวนคิด ว่า “เราจะทำอย่างไรให้ศาสนาเข้าถึงหัวใจผู้คนได้รวดเร็วและตรงบริบท เหมือนที่ม้าเคยทำหน้าที่นั้นในอดีต” นี่คือบทสนทนาที่ประเพณีเก่าแก่กำลังก่อรูปให้เกิดขึ้นใหม่

วันธรรมสวนะ เข็มทิศเวลาเชิงวัฒนธรรมของชุมชน

วันธรรมสวนะ คือวันฟังธรรม–รักษาศีล–เจริญภาวนาในแต่ละเดือนจันทรคติ (โดยมากตรงกับขึ้น/แรม 8 ค่ำ และ 15 ค่ำ) ถือเป็น “จังหวะเวลา” ที่ทำให้ผู้คนมีช่วงหยุดเพื่อชำระใจและทบทวนการดำเนินชีวิต การผูกกิจกรรม “ตักบาตรพระขี่ม้า” เข้ากับวันธรรมสวนะ จึงเป็นการ “ตั้งวงจร” ที่หล่อเลี้ยงทั้งศรัทธาและชุมชน—เมื่อมีรอบเวลา ชุมชนก็มีจุดนัดพบ เมื่อมีจุดนัดพบ การมีส่วนร่วมก็เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนกลายเป็นวัฒนธรรมร่วม

ในเช้าวันนี้ ภายหลังพิธีตักบาตร มีการฟังธรรมเทศนาและเจริญจิตภาวนาตามลำดับ ผู้มาร่วมงานตั้งใจเงียบสงบ หลายคนปิดโทรศัพท์ วางงานด่วนไว้ข้างกาย เพื่อ “อยู่กับลมหายใจ” และ “ฟังเสียงของตัวเอง” อีกครั้ง—ความเรียบง่ายเช่นนี้คือความซับซ้อนในยุคดิจิทัล ซึ่งมักหาได้ยากในวันธรรมดา

ศรัทธาอิ่มบุญ อุดหนุนชุมชน” วัด–โรงเรียน–เครือข่ายวัฒนธรรม ร้อยมือเป็นหนึ่ง

ความโดดเด่นของงานครั้งนี้ คือการทำงานแบบบูรณาการระหว่างหน่วยงานรัฐ ศาสนา การศึกษา และภาคประชาสังคม สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย ทำหน้าที่เป็นแกนกลางด้านนโยบายและงบประมาณ วัดถ้ำป่าอาชาทอง เป็นเจ้าภาพเชิงพื้นที่ โรงเรียนบ้านหนองแหย่ง นำโดยนางสาวสุภาภรณ์ ธรรมสอน พร้อมทั้งคณะครูและนักเรียน ร่วมเรียนรู้เชิงปฏิบัติการด้านศิลปวัฒนธรรม ขณะที่ เครือข่ายสภาวัฒนธรรม ในพื้นที่ระดมพลังจิตอาสาและทุนทางสังคม ทั้งหมดนี้สะท้อน “โมเดลสามเหลี่ยม” ที่ให้วัด–ชุมชน–โรงเรียนหนุนเสริมกัน

สโลแกน “อุดหนุนชุมชน” ไม่ได้ตั้งเพื่อความไพเราะ หากแต่ตอกย้ำ วงจรเศรษฐกิจวัฒนธรรม ระดับฐานราก—ผู้คนมาทำบุญ ฟังธรรม และในขณะเดียวกันก็สนับสนุนสินค้าและบริการจากชาวบ้านในละแวกวัด เกิดการหมุนเวียนรายได้เล็กๆ ที่สัมผัสได้จริง ไม่ฟุ้งฝันเกินไป และเดินไปพร้อมกับศรัทธา

สถิติที่ชี้ทิศ จาก “ครั้งที่ 1–4” ไปสู่ “ปฏิทินวัฒนธรรมประจำปี”

ปีงบประมาณ 2568 กิจกรรม “ตักบาตรพระขี่ม้า” จัดแล้ว 4 ครั้ง ภายใต้กรอบโครงการเดียวกัน การทำซ้ำอย่างสม่ำเสมอสร้าง “ความคุ้นชิน” และเปิดโอกาสให้ทีมปฏิบัติงานปรับระบบหลังบ้านให้ดีขึ้นเรื่อยๆ ไม่ว่าจะเป็น แผนจราจร, จุดนัดหมาย, พื้นที่พักม้า, แนวทางสื่อสารกับสาธารณะ, หรือ ขั้นตอนสั้นๆ สำหรับผู้ร่วมงานครั้งแรก เมื่อครบรอบปี ข้อมูลจาก 4 ครั้งนี้จะกลายเป็น ฐานวิชาการ สำหรับออกแบบ “ปฏิทินวัฒนธรรม” ที่เท่าทันความเสี่ยงและความต้องการของคนในพื้นที่จริง

ตัวเลขชวนคิด
• วันธรรมสวนะในหนึ่งเดือนโดยทั่วไปมี 4 ครั้ง (ขึ้น/แรม 8 ค่ำ และ 15 ค่ำ)
• การจัดกิจกรรมปีละหลายรอบ ทำให้เกิด “กราฟการเรียนรู้” (learning curve) ของทั้งทีมงานและชุมชน
• เมื่องานวัฒนธรรมผูกกับปฏิทินที่ชัดเจน การมีส่วนร่วม–การสื่อสาร–งบประมาณ จะบริหารง่ายและคุ้มค่าขึ้น

เมื่อ “ประเพณี” เป็น “ห้องเรียน” เด็กและเยาวชนเรียนรู้จากพื้นที่จริง

การมีส่วนร่วมของโรงเรียนและเครือข่ายเยาวชนคือภาพน่าชื่นใจ นักเรียนบางส่วนมีหน้าที่ช่วยประสานจุดบริการน้ำดื่ม แนะนำเส้นทางให้ผู้สูงอายุ หรือร่วมทำความสะอาดพื้นที่ภายหลังพิธี—งานเล็กๆ ที่แปลงเป็นบทเรียนเรื่อง ความรับผิดชอบ, วินัย, และ มารยาทสาธารณะ แบบไม่ต้องขึ้นกระดานดำ เด็กๆ ยังได้เรียนรู้ภูมิความหมายของการสงบ รู้จักคำว่า “สมถะ” ผ่านการเจริญภาวนา และที่สำคัญ คือเข้าใจว่า วัดมิใช่ที่ไกลตัว แต่เป็น “ศูนย์กลางชุมชน” ที่มีชีวิตอยู่จริง

ความปลอดภัย–สวัสดิภาพสัตว์ เงื่อนไขที่ทำให้การสืบสานน่าเชื่อถือ

ประเพณีที่มี “ม้า” เป็นตัวแสดงสำคัญ ต้องให้ความสำคัญกับ สวัสดิภาพสัตว์ อย่างรอบคอบ ตั้งแต่การคัดเลือกม้า การตรวจสุขภาพโดยสัตวแพทย์ การควบคุมน้ำหนักบรรทุก การกำหนดเส้นทางและระยะเวลาเหมาะสม ไปจนถึงการจัดพื้นที่พักและน้ำสะอาด งานครั้งนี้ยืนยันว่าฝ่ายจัดงานและวัดให้ความสำคัญกับประเด็นดังกล่าว เพื่อให้ศรัทธาเดินคู่กับ ความรับผิดชอบต่อชีวิตอื่น อย่างไม่ขาดตกบกพร่อง

เศรษฐกิจวัฒนธรรม ทำบุญแล้วชุมชนต้องอยู่ได้

แม้กิจกรรมศาสนาจะไม่ควรถูกตัดทอนเป็น “มูลค่าเงิน” อย่างเดียว แต่มิติทางเศรษฐกิจมีความสำคัญต่อ ความยั่งยืน การวางสโลแกน “อุดหนุนชุมชน” ทำให้ผู้มาร่วมงานตระหนักรู้ว่า การจับจ่ายเล็กๆ กับร้านชุมชน—ข้าวเหนียว, ของพื้นบ้าน, งานหัตถกรรม—คือการต่อชีวิตเศรษฐกิจครัวเรือน การจัดระบบให้ผู้ค้าในชุมชนมี “มาตรฐานสุขอนามัย” และ “ราคายุติธรรม” จะช่วยให้วงจรบุญ–คุณค่าทางเศรษฐกิจไหลเวียนได้จริง โดยไม่เกิดผลข้างเคียงเชิงพาณิชย์ที่เกินควร

 “การสื่อสาร” จากภาพสวยสู่ความเข้าใจที่ลึก

ภาพ “พระขี่ม้า” งดงามและดึงดูดสายตา แต่หากมีเพียงภาพ อาจทำให้ประเพณีถูกเข้าใจแบบผิวเผิน ฝ่ายจัดงานจึงสื่อสาร “ความหมาย” คู่ไปกับ “ความงาม” ตั้งแต่ที่มา–เหตุผลเชิงพื้นที่ในอดีต–ความเชื่อมโยงกับวันธรรมสวนะ–ความหมายของทานและศีล–ไปจนถึงข้อควรระวังและมารยาทในการร่วมพิธี การทำให้คน “เข้าใจ” มากกว่า “เห็น” คือหัวใจที่ทำให้กิจกรรมไม่กลายเป็นเพียงคอนเทนต์ชั่ววูบในโลกออนไลน์

รัฐ–ศาสนา–สังคม คือหุ้นส่วน ไม่ใช่ผู้สั่ง–ผู้ตาม

โมเดลที่เกิดขึ้นในแม่จันสะท้อนบทเรียนสำคัญ 3 ประการ

  1. วัฒนธรรมจังหวัด เป็น “ผู้จัดกระบวนการ” (process owner) ที่เชื่อมงบประมาณ นโยบาย และมาตรฐานการทำงานให้เข้ากับพื้นที่จริง
  2. วัด เป็น “เจ้าภาพพื้นที่” ที่รู้จังหวะชุมชน เข้าใจภูมิประเทศและศรัทธา จึงบริหารความละเอียดอ่อนของพิธีกรรมได้
  3. ชุมชน–โรงเรียน–เครือข่ายประชาสังคม เป็น “แรงขับเคลื่อน” ที่ทำให้กิจกรรมมีชีวิต มีผู้คนหลากวัย และกลายเป็นพื้นที่เรียนรู้ร่วมกันอย่างแท้จริง

หากปรับปรุงให้ดีขึ้นอีกขั้น การทำ ฐานข้อมูลกิจกรรมต่อรอบ, เช็กลิสต์ความปลอดภัย, และ แนวปฏิบัติเรื่องสิ่งแวดล้อม (ลดพลาสติก ใช้ภาชนะย่อยสลายได้ คัดแยกขยะหลังพิธี) จะทำให้แม้กิจกรรมจะเติบโต ก็ยังรักษา “ความพอดี” และลดภาระสิ่งแวดล้อมได้

การมีส่วนร่วมคือเครื่องยืนยัน

แม้บทความชิ้นนี้จะไม่หยิบคำพูดตรงๆ มาอ้างอิง แต่การมีส่วนร่วมของ ครู–นักเรียน–ผู้สูงอายุ–เครือข่ายสภาวัฒนธรรม ที่มา “ลงมือ” กันจริง คือหลักฐานเชิงประจักษ์ว่ากิจกรรมเชื่อมคนต่างวัยเข้าด้วยกันได้ การเห็นเด็กมัธยมยื่นขันน้ำให้คุณตาคุณยาย หรือจัดแถวให้นักท่องเที่ยวต่างถิ่นเข้าใจพิธีการ คือภาพเล็กๆ ที่บอกว่า “วัฒนธรรมไม่ใช่ของวางโชว์ หากเป็นเรื่องที่ทำร่วมกันทุกคน”

 “งดงาม” สู่ “ยั่งยืน”

เพื่อให้ “ตักบาตรพระขี่ม้า” เป็นทั้ง มรดกที่มีชีวิต และ นวัตกรรมทางวัฒนธรรม ในระยะยาว ข้อเสนอเชิงปฏิบัติที่ภาคส่วนต่างๆ อาจพิจารณา ได้แก่

  • คู่มือกิจกรรมมาตรฐานจังหวัด: ครอบคลุมความปลอดภัย สวัสดิภาพม้า การสื่อสาร การจัดการขยะ และมาตรการรองรับผู้สูงอายุ/ผู้พิการ
  • คลังความรู้ดิจิทัล: รวบรวมภาพถ่าย เรื่องเล่า บันทึกพิธี ตลอดจนบทเรียนจากแต่ละรอบ เพื่อใช้สร้างหลักสูตรท้องถิ่นในโรงเรียน
  • ปฏิทินวัฒนธรรมเชื่อมท่องเที่ยวคุณภาพ: ยึดหลัก “เล็ก–ลึก–พอดี” ไม่ไล่ตัวเลขนักท่องเที่ยว แต่เน้นประสบการณ์เรียนรู้ที่เคารพพื้นที่
  • ตัวชี้วัดร่วม: เช่น สัดส่วนครัวเรือนชุมชนที่ได้ประโยชน์ การลดขยะต่อรอบ การมีส่วนร่วมของเยาวชน และความพึงพอใจผู้สูงอายุ

เมื่อเสียงม้าคลอเสียงสวด ศรัทธาก็เดินต่อ

เมื่อพิธีจบ ผู้คนทยอยเก็บข้าวของ ลมเช้าพัดผ่านใบไม้ เสียงระฆังเบาๆ ดังก้อง พระภิกษุและม้าคู่ใจกลับสู่ศาลาวัด เด็กๆ โค้งคำนับครู ก่อนช่วยกันคัดแยกขยะ เหมือนภาพเรียบง่าย แต่หากมองให้ลึก นี่คือ ภาพสังคมที่กำลังซักซ้อมการอยู่ร่วมกัน ด้วยความเคารพ–แบ่งปัน–และรับผิดชอบต่อกัน “ตักบาตรพระขี่ม้า” จึงไม่ใช่เพียงพิธี หากคือเวทีที่ทำให้คนละบทบาทจากหลายรุ่นมา “เรียนรู้ความเป็นชุมชน” และยืนยันว่า วัฒนธรรมไม่เคยหายไปไหน—มันรอให้เราใส่ใจและทำร่วมกัน เท่านั้นเอง

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย
  • วัดถ้ำป่าอาชาทอง อำเภอแม่จัน จังหวัดเชียงราย
  • สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ
  • เครือข่ายสภาวัฒนธรรมอำเภอแม่จัน
  • โรงเรียนบ้านหนองแหย่ง
  • กรมส่งเสริมวัฒนธรรม กระทรวงวัฒนธรรม
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News