Categories
AROUND CHIANG RAI FEATURED NEWS

อาหารอาข่า Soft Power! ดอยผาหมีคว้า รองแชมป์โลก SISTA 2025 การท่องเที่ยวโดยชุมชน

ดอยผาหมี” คว้ารองแชมป์โลก SISTA 2025 เมื่อกาแฟ-อาหารอาข่า กลายเป็น Soft Power ที่วัดผลได้

เชียงราย, 27 กันยายน 2568 — หมอกเช้าคลอเส้นสันดอย เสียงครกตำสมุนไพรดังสลับกลิ่นกาแฟคั่วใหม่ “ผาหมี” ตื่นตัวเหมือนทุกวัน—ทว่าที่แตกต่าง คือเสียงเฮจากชุมชนเล็ก ๆ บนแนวภูเขาแม่สายที่ไปสะท้อนบนเวทีโลก ชุมชนบ้านดอยผาหมีคว้า “รางวัลรองชนะเลิศ” จากเวที Skål International Sustainable Tourism Awards (SISTA) 2025 ในปีที่มีผู้สมัคร 106 โครงการจาก 30 ประเทศ โปยความภาคภูมิใจกลับสู่ครัวอาข่าและโรงคั่วกาแฟท้องถิ่นอีกครั้ง

ข่าวดีครั้งนี้ ไม่ได้เป็นเพียง “ถ้วยรางวัล” แต่คือ “หลักฐาน” ว่าการท่องเที่ยวโดยชุมชนของไทย—เมื่อวางบนฐานวัฒนธรรมที่จริงแท้และการจัดการที่เป็นระบบ—สามารถแข่งขันในมาตรฐานสากลได้อย่างแท้จริง

จากสันดอยชายแดน สู่รางวัลโลก CBT ที่ยืดหยุ่นและเป็นสากล

โมเดลความสำเร็จของ วิสาหกิจชุมชนกลุ่มท่องเที่ยวดอยผาหมี มีแกนกลางชัดเจน—สร้างรายได้สองขาเพื่อเสถียรภาพ (dual engines):

  1. กาแฟอาราบิก้าแบรนด์ “กาแฟผาหมี” ที่ชุมชนครอบคลุมห่วงโซ่คุณค่าตั้งแต่ปลูก–แปรรูป–ดริปเสิร์ฟเอง จนถึงหน้าร้าน และ
  2. การท่องเที่ยวเชิงประสบการณ์ ที่ “ให้ชุมชนเป็นครู” พาเรียนรู้วิถีกาแฟ พิธี–ภาษา–การแต่งกาย–และ “ครัวอาข่า” ที่พาผู้มาเยือนลงมือทำ

ผลลัพธ์คือรายได้ที่ไม่ผันผวนตามฤดูกาลท่องเที่ยวเพียงอย่างเดียว ช่วยให้ชุมชน “ไม่ยอมจำนน” ต่อจำนวนนักท่องเที่ยว แต่มุ่งไปให้สุดที่ “คุณภาพประสบการณ์” และ “ศักดิ์ศรีทางวัฒนธรรม”

คุณผกากานต์ รุ่งประชารัตน์ (“แมว”) ประธานวิสาหกิจชุมชนฯ เล่าให้ฟังบ่อยครั้งว่า อาหารอาข่าไม่ใช่เพียงเมนูอิ่มท้อง แต่คือ “วัฒนธรรมที่กินได้”—เรื่องเล่าของภูมิปัญญาป่า สมุนไพรพื้นบ้าน ข้าวดอย และรสที่เรียบง่ายจากเกลือกับสมุนไพร มากกว่าจะเร่งรสด้วยเครื่องปรุงเข้ม ๆ ทว่าให้ความสุขยืนยาวกับร่างกาย

“ทุกจานคือเรื่องเล่าของบ้านเรา—หมูผัดรากชู ลาบดอย ยำผักอาข่า ปลานิลหมกสิม๊ะแชะ… ใครได้ลอง จะจำรสชาติผาหมีไปนาน” — ผกากานต์ รุ่งประชารัตน์ ประธานวิสาหกิจชุมชนฯ

Soft Power จาก “ครัวอาข่า” เมื่อกาสะลองกลิ่นสมุนไพรกลายเป็นเศรษฐกิจสร้างสรรค์

ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา “อาหารอาข่า” กลายเป็น Soft Power ที่ทรงพลังของผาหมี ทั้งในฐานะ กิจกรรมเรียนรู้เชิงประสบการณ์ (Cooking Class/Experiential Tourism) และการต่อยอดสู่ Chef’s Table/Delivery ในเมืองใหญ่ ภายใต้แนวคิด “Local Aroi” นำวัตถุดิบ–เรื่องเล่าจากชุมชนสู่คนเมือง โดยยังยึดสูตรดั้งเดิมและความดีต่อสุขภาพเป็นความแตกต่าง

เมนูเด่นอย่าง หมูผัดรากชู ใช้ “หอมชู/รากชู” เป็นตัวเอก—สมุนไพรพื้นถิ่นที่ชาวอาข่าคุ้นมือ ลาบดอย ที่เน้นเครื่องสมุนไพรและกลิ่นหอมไม่ซ้ำใคร ยำผักอาข่า (ห่อปะโซะ) ที่เบาแต่เปี่ยมคุณค่า และ ปลานิลหมกสิม๊ะแชะ ที่ชูผลไม้ป่ากับเครื่องเทศท้องถิ่น—ทุกคำคือเรื่องเล่าความสัมพันธ์ระหว่างคนกับป่า และคือ “รหัสวัฒนธรรม” ที่จับต้องได้ของอาข่า

เกณฑ์ SISTA–Biosphere ชี้ทางสู่มาตรฐานสากล

เวที Skål International ให้ความสำคัญกับผลลัพธ์เชิงสังคม สิ่งแวดล้อม และธรรมาภิบาล โดยเฉพาะ “โครงการที่มีส่วนร่วมหลายภาคส่วนและเกิดผลต่อชุมชนจริง” ผู้ได้รับรางวัลยังได้รับสิทธิ์ใช้งานแพลตฟอร์ม Biosphere Sustainable ฟรี 1 ปี—ซึ่งไม่ได้เป็นเพียง “ของรางวัล” แต่คือ “เครื่องมือวางแผนและวัดผล” ที่ผลักให้โครงการต้องกำหนดยุทธศาสตร์ความยั่งยืนส่วนบุคคล (Personalized Sustainability Plan) สอดรับเป้าหมาย SDGs

สำหรับดอยผาหมี นี่คือจังหวะสำคัญในการ “แปลงความสำเร็จภาคสนาม” ให้เป็น “มาตรฐานที่ตรวจสอบได้” ผ่านตัวชี้วัด เช่น การจัดการของเสียในโฮมสเตย์ การประเมินผลกระทบทางวัฒนธรรมของกิจกรรมใหม่ ๆ หรือการติดตามผลกระทบสิ่งแวดล้อมตลอดห่วงโซ่กาแฟ—จากไร่จนถึงถ้วย

บทพิสูจน์หลัง “ถ้ำหลวง 2561” ถึง “อุทกภัย 2567”

ย้อนไปปี 2561 หลังเหตุการณ์ “ถ้ำหลวง–ขุนน้ำนางนอน” ความสนใจจากทั่วโลกหลั่งไหลสู่เชียงราย—และกระทบชุมชนชายดอยโดยรอบอย่างไม่ทันตั้งตัว ดอยผาหมีถูกทดสอบด้วย “ดีมานด์พุ่งสูง” ในเวลาอันสั้น ชุมชนตอบโจทย์ด้วยการปรับปรุงการบริการ คุมคุณภาพโฮมสเตย์ กำหนดบทบาทสมาชิก และสร้างกิจกรรมเรียนรู้ที่ “จริงและปลอดภัย” จนความพึงพอใจนักท่องเที่ยวอยู่ระดับ “มากที่สุด” อย่างสม่ำเสมอ

ข้ามมาปี 2567 อุทกภัยและดินโคลนถล่มสร้างความเสียหายสำคัญต่อชุมชนในช่วง High Season แต่แทนที่จะ “รอ” งบเยียวยา ชุมชนจับมือกับ อพท.เชียงราย จัดกิจกรรม ขันโตกอาข่า ท้าลมหนาว ณ ดอยผาหมี” เชิญนักท่องเที่ยวกลับมาสนับสนุนโดยตรง รายได้ถูกนำไปฟื้นฟูภูมิทัศน์–โครงสร้างพื้นฐาน และเยียวยาครัวเรือนที่ได้รับผลกระทบ—นี่คือ Self-Financed Recovery ที่สะท้อน “ความยืดหยุ่นและวุฒิภาวะ” ของธรรมาภิบาลชุมชน และสอดรับเกณฑ์ “ความรับผิดชอบต่อสังคม” ของ SISTA อย่างเป็นรูปธรรม

3 เสาหลักที่ทำให้ผาหมี “ชนะใจ” คณะกรรมการ

(1) เศรษฐกิจสองขา: กาแฟคุณภาพ + ประสบการณ์คุณค่า
แบรนด์ “กาแฟผาหมี” ทำให้ชุมชนถือกุญแจทั้งห่วงโซ่ ตั้งแต่ไร่ถึงแก้ว เกิดรายได้ต่อเนื่องตลอดปี ลดความผันผวนของรายได้จากนักท่องเที่ยวที่ขึ้นลงตามฤดูกาล และเปิดพื้นที่ให้การท่องเที่ยวมุ่งสู่ “คุณภาพ/ราคาที่สะท้อนคุณค่า” มากกว่า “ปริมาณผู้มาเยือน”

(2) มรดกจับต้องไม่ได้: อาหาร–พิธี–ภาษา คือหัวใจ
ชุมชนเลือกเน้น “การถ่ายทอดวัฒนธรรมผ่านการลงมือทำ” (learning by doing) มากกว่า “ขายของที่ระลึก” แยกส่วน นักท่องเที่ยวจึงได้ สัมผัส–ลิ้มรส–เรียนรู้ โดยตรง เกิดความเข้าใจและเคารพในวัฒนธรรมอาข่าอย่างแท้จริง

(3) ธรรมาภิบาลและความยืดหยุ่น
วิสาหกิจชุมชนทำหน้าที่ “ศูนย์กลางกำกับดูแล” ที่เปิดให้สมาชิกมีส่วนร่วมสูง จัดสรรบทบาท–ผลประโยชน์โปร่งใส จัดคิวโฮมสเตย์–มาตรฐานบริการ และมี “แผนจัดการวิกฤต” จากประสบการณ์จริง—แสดงความพร้อมบนสันดอยที่ท้าทายทั้งภูมิอากาศและภูมิประเทศ

เสียงสะท้อนจากหน่วยงานสนับสนุน อพท.ชี้ “จากหมู่บ้านกาแฟ สู่แลนด์มาร์ก Gastronomy Tourism”

องค์การบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน (อพท.) แสดงความยินดีพร้อมระบุว่า โมเดลดอยผาหมีสอดคล้องกับทิศทางการขับเคลื่อน เชียงราย เมืองสร้างสรรค์ยูเนสโก (UCCN) ด้านการออกแบบ” ที่ได้รับรองในปี 2566 และสอดคล้องการพัฒนา “อุทยานธรณีเชียงราย” ที่เชื่อมโยงเส้นทางท่องเที่ยวเชิงนิเวศ–วัฒนธรรม ชี้เป้าอนาคตชัดเจนว่า ดอยผาหมี ไม่ควรหยุดอยู่เพียง “หมู่บ้านกาแฟ” หากกำลัง “ยกครัวอาข่า” สู่ Gastronomy Tourism ที่วางมาตรฐานการเรียนรู้จากเจ้าของภูมิปัญญา—ดูของจริง—ลงมือทำจริง

จากรางวัลสู่แผนที่เดินต่อ ทำ “Playbook ผาหมี” ให้ประเทศนำไปใช้

ชัยชนะระดับโลกครั้งนี้จะมีความหมายสูงสุด เมื่อ “ต่อยอดได้จริง” บน 3 เส้นทางหลัก

ทำมาตรฐานให้ตรวจสอบได้ (Biosphere Plan) ใช้สิทธิ์แพลตฟอร์ม Biosphere Sustainable ฟรี 1 ปี จัดทำแผนความยั่งยืนรายหมู่บ้าน–รายกิจกรรม กำหนดตัวชี้วัดที่ชัดเจน ทั้งด้านสิ่งแวดล้อม (ของเสีย น้ำ พลังงาน) สังคม (การกระจายรายได้/การจ้างงานในท้องถิ่น) และวัฒนธรรม (การถ่ายทอด–ประเมินผลกระทบทางวัฒนธรรมของกิจกรรมใหม่) ปรับตำแหน่งสู่ High-Value/Niche Market สื่อสารสถานะ “รองชนะเลิศ SISTA 2025” ในทุกจุดสัมผัส—ตั้งแต่สื่อออนไลน์–ป้ายหน้างาน–สคริปต์ไกด์–เมนูอาหาร—เพื่อย้ำความแตกต่างจากการท่องเที่ยวชาติพันธุ์แบบผิวเผิน ดึงดูดนักเดินทางคุณภาพสูงที่ให้คุณค่ากับความรับผิดชอบและความแท้จริง เขียน “คู่มือผาหมี” (Replication Playbook) ถอดบทเรียนการตั้งกลไกวิสาหกิจชุมชน การจัดสรรบทบาท การจัดคิวโฮมสเตย์ การออกแบบกิจกรรมเรียนรู้–Storytelling ครัวอาข่า และการบูรณาการเกษตรมูลค่าสูง (กาแฟ) กับการท่องเที่ยว—เพื่อให้ชุมชนชาติพันธุ์–พื้นที่สูงอื่น ๆ ทำซ้ำได้รวดเร็วและปลอดภัยต่อวัฒนธรรม

ความเสี่ยงที่ต้องเฝ้า ปกป้อง “ความแท้” ให้คงอยู่กับการเติบโต

เมื่อความนิยมเพิ่มขึ้น ความเสี่ยง กัดกร่อนทางวัฒนธรรม” ก็เพิ่มตาม ชุมชนและหน่วยงานต้องร่วมกันวาง Cultural Impact Assessment (CIA) สำหรับกิจกรรม/สินค้าใหม่ ไม่ให้แรงกดดันทางพาณิชย์ทำให้ความหมายทางวัฒนธรรมถอยหาย ตลอดจนวางแผนโครงสร้างพื้นฐานให้ “ทนทานสภาพภูมิอากาศ” มากขึ้น ลดความเสี่ยงซ้ำรอยอุทกภัย–ดินถล่มในปีที่ผ่านมา

มาตรวัดที่มากกว่า “ยอดเช็กอิน” เพราะการเปลี่ยนแปลงเริ่มที่ครัวอาข่า

รางวัล SISTA 2025 ส่งสัญญาณสำคัญว่ามาตรฐานสากล “ให้คะแนน” กับความจริงแท้และผลลัพธ์ที่ชุมชนมีส่วนกำหนด มิใช่เพียงยอดผู้มาเยือนหรือภาพสวยบนอินสตาแกรม ความสำเร็จของผาหมีจึงเป็น ชัยชนะของวิธีคิด—ว่าความยั่งยืนต้องวัดผลได้ด้วยตัวชี้วัด และต้องเล่าได้ด้วยเรื่องราวของคนในพื้นที่

บนกระดาษประกาศรางวัล อาจเขียนเพียง “รองชนะเลิศ” แต่ในสายตานักเดินทางและผู้กำหนดนโยบาย นี่คือ “แชมป์ใจ” ที่ทำให้เราเห็นว่าหมู่บ้านเล็กบนสันดอยสามารถเป็นห้องเรียนความยั่งยืนของประเทศ—และเป็น “พิมพ์เขียว” ให้ชุมชนอื่นเดินตาม

ดอยผาหมีชนะ เพราะไม่เคยพยายามเป็น “ของฝาก” ให้เมืองใหญ่ แต่เลือกเป็น “ครัว” ให้โลกเรียนรู้—จากเมล็ดกาแฟถึงสมุนไพรในครก, จากพิธีโล้ชิงช้า ถึงยำผักอาข่าที่ทุกคนทำเองได้ ในวันที่โลกถามหาการท่องเที่ยวที่รับผิดชอบ—ผาหมีตอบด้วยการทำให้เห็น และวันนี้โลกตอบกลับด้วยรางวัล

ภารกิจต่อจากนี้ คือ ยกระดับจาก “รางวัล” สู่ “มาตรฐาน” ใช้ Biosphere สร้างแผนวัดผลที่เข้มแข็ง ทำ Playbook เพื่อขยายผล และปกป้องความแท้ของวัฒนธรรมด้วยเครื่องมือประเมินผลกระทบทางวัฒนธรรม เมื่อทำครบวงจร—ผาหมีจะไม่เพียงเป็น “ที่เที่ยวดัง” แต่จะเป็น “สถาบันเรียนรู้การท่องเที่ยวยั่งยืน” ของไทยบนเวทีโลก

ใครมาเชียงราย—อย่าลืมขึ้นดอยผาหมี ชิมกาแฟ ลองยำผักอาข่า และฟังเรื่องเล่าจากเจ้าของครัวเอง เพราะที่นี่ “ไม่ได้เสิร์ฟแค่ความอร่อย แต่เสิร์ฟวัฒนธรรมที่กินได้”

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • Skål International – Sustainable Tourism Awards (SISTA) 2025
  • Biosphere Sustainable Platform
  • องค์การบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน (อพท.)
  • วิสาหกิจชุมชนกลุ่มท่องเที่ยวดอยผาหมี (Doi Pha Mee Community Enterprise
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI NEWS UPDATE

บอลลูนเชียงรายคว้า Gold Award IFEA! จุดไฟ Festival Economy นำร่องเศรษฐกิจชุมชน

เชียงรายผงาดเวทีโลก “Gold Award” IFEA จุดไฟ Festival Economy—ททท.ชู “อาหารถิ่น” เป็น Soft Power กอบกู้รายได้ท่องเที่ยว ขณะที่ “แกงแคไก่เมือง” นำร่องเศรษฐกิจชุมชน

เชียงราย, 25 กันยายน 2568 — ท่ามกลางแรงท้าทายของภาคท่องเที่ยวไทยที่รายได้โดยรวม หดตัว -5% ในช่วง 8 เดือนแรกปี 2568 หรือราว 1 ล้านล้านบาท ประเทศไทยได้รับข่าวดีที่ส่งพลังใจไปทั่วภูมิภาค เมื่อ จังหวัดเชียงราย ก้าวขึ้นคว้า Gold Award สาขา Best Event จากเวทีระดับโลก 2025 IFEA/Haas & Wilkerson Pinnacle Award ด้วยผลงาน “Singha Park Chiangrai International Balloon Fiesta 2025” ขณะที่ เชียงใหม่ คว้า Silver Award สาขา Best Parade จากขบวนรถบุปผชาติใน “มหกรรมไม้ดอกไม้ประดับเชียงใหม่ 2568” เหตุการณ์นี้ ไม่เพียงบันทึกความสำเร็จของ “สองเมืองเหนือ” บนแผนที่อีเวนต์โลก หากยังเป็นภาพสะท้อนยุทธศาสตร์ Festival Economy ที่ สำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) — ทีเส็บ ขับเคลื่อนอย่างต่อเนื่อง เพื่อยกระดับ งานเทศกาลฝีมือไทย (homegrown) ให้สร้างมูลค่าเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน

จากบอลลูนสู่บัลลังก์ทองทำไมเชียงราย “ชนะใจโลก”

จุดเปลี่ยนสำคัญของเชียงรายเกิดขึ้น 13 กันยายน 2568 เมื่อผลงานเทศกาลบอลลูนนานาชาติเชียงรายคว้ารางวัลสูงสุดบนเวที IFEA — องค์กรวิชาชีพเทศกาลและอีเวนต์นานาชาติที่ยกย่อง “ความคิดสร้างสรรค์ + มาตรฐานการจัดงาน + ผลกระทบเชิงเศรษฐกิจและสังคม” การตัดสินดังกล่าวสะท้อน จุดแข็งเชิงพื้นที่ ของเชียงรายอย่างครบถ้วน:

  • ทุนธรรมชาติ ของสิงห์ปาร์คฯ ที่โอบด้วยภูเขา–ไร่ชา–อากาศเย็น
  • ความพร้อมด้านโครงสร้างพื้นฐาน สำหรับอีเวนต์ขนาดใหญ่ (การจราจร–ความปลอดภัย–บริการทางการแพทย์)
  • การมีส่วนร่วมของชุมชนและเอกชน ทำให้เทศกาล “มีชีวิต” ไม่ใช่ “งานโชว์” เพียงครั้งคราว

ควบคู่กัน เชียงใหม่ ตอกย้ำ “เมืองแห่งวัฒนธรรมและศิลปะ” ผ่านรางวัล Best Parade (Silver Award) จาก “มหกรรมไม้ดอกไม้ประดับฯ” ที่ยืนระยะความนิยมมานาน—เทศกาลที่สร้างอัตลักษณ์เมืองอย่างมีชั้นเชิง และสอดรับกับสถานะ MICE City ของเชียงใหม่ซึ่งได้รับการรับรองจาก IFEA ตั้งแต่ปี 2565

สารตั้งต้นเดียวกันของทั้งสองเมืองคือ “ความเป็น Homegrown”—เทศกาลที่เติบโตจากทุนวัฒนธรรม–วิถีชุมชน ส่งต่อการเล่าเรื่อง (storytelling) ให้โลกเข้าใจ “ตัวตน” ของภาคเหนือ

ทีเส็บกับยุทธศาสตร์ “Festival Economy” เมื่ออีเวนต์กลายเป็นโครงสร้างพื้นฐานทางเศรษฐกิจ

ความสำเร็จบนเวที IFEA ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ ทีเส็บ วางหมุดหมาย ยกระดับงานไทยสู่สากล” ผ่านการคัดสรรเทศกาลศักยภาพ ให้คำปรึกษา–มาตรฐานการจัดงาน–การตลาด–สื่อสารต่างประเทศ ตลอดจนสนับสนุนค่าใช้จ่าย “การส่งผลงานเข้าประกวด” เพื่อพา งานไทยทำ (homegrown) ก้าวสู่สายตานานาชาติ เมื่อ เทศกาลได้รางวัล เมืองก็ได้ ตรารับรองความน่าเชื่อถือ ดึงดูดทั้ง นักเดินทางเชิงประสบการณ์ (experience seekers) และ นักลงทุนกิจการบริการ เข้ามาเสริมโครงสร้างเศรษฐกิจเมือง

ในระดับพื้นที่ เชียงราย ถูกยกเป็น เมืองไมซ์ดาวรุ่ง” จากการคว้ารางวัล Gold ซึ่งทำให้สมการ “ดึงงาน–ดึงเงิน–สร้างงาน” เด่นชัดยิ่งขึ้น—ตั้งแต่อุตสาหกรรมท่องเที่ยว–โรงแรม–ขนส่ง–อาหาร–คราฟต์–ดนตรี–ศิลปะ ไปจนถึงซัพพลายเชน SME ที่เกี่ยวเนื่อง

วิกฤตรายได้ท่องเที่ยว -5% ทำไมต้อง “อาหารถิ่น” เป็นหัวหอก

แม้ข่าวดีจากเวทีโลก แต่ “ภาพใหญ่” ยังน่าห่วง—KResearch ประเมินรายได้ท่องเที่ยว 8 เดือนแรกปี 2568 ลดลง -5% (ประมาณ 1 ล้านล้านบาท) และคาดทั้งปีรายได้จากนักท่องเที่ยวต่างชาติราว 1.5 ล้านล้านบาท หดตัว 6% จากปีก่อน เป็นครั้งแรกในรอบ 3 ปี ท่ามกลางพฤติกรรมจับจ่ายที่ระมัดระวังและภูมิรัฐศาสตร์ผันผวน

การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) จึงเปิดแคมเปญ “Local Taste Local Thai: ชิมไทยให้ถึงถิ่น” เจาะ กลุ่ม expat ซึ่ง อาศัยและทำงานในไทย ประมาณ 3.3 ล้านคน (ข้อมูลสำนักบริหารแรงงานต่างด้าว ก.แรงงาน) กลุ่มนี้ “รู้ค่าใช้จ่าย–เข้าใจวัฒนธรรม–พร้อมเดินทางซ้ำ” ททท.ชู “อาหาร” เป็น Soft Power เชื่อมการเดินทาง—ร่วมพันธมิตรเอกชนตั้งแต่สายการบิน โรงแรม ร้านอาหาร แพลตฟอร์มสะสมแต้ม (Taste Pass) เพื่อเปลี่ยน “มื้ออาหาร” ให้เป็น “ทริป” และต่อยอดเป็น “เศรษฐกิจท้องถิ่น”

TasteAtlas ยังช่วย “คิวเรตความอยาก” ผ่าน 100 จานแห่งปี—ตั้งแต่ โรตีจาไน–ข้าวเหนียวมะม่วง–ไก่ย่าง–ขนมครก–ทอดมันกุ้ง–ปลาทอด—ยืนยัน “ความหลากหลายที่เข้าถึงง่าย” ของอาหารไทยสำหรับต่างชาติ

แกงแคไก่เมือง” เชียงราย มรดกกินได้—โมเดลเศรษฐกิจชุมชน

ภาพของ Soft Power มิได้หยุดที่แคมเปญ ทว่า “ลงดิน” เป็นรูปธรรมในงาน เทศกาลอาหารถิ่น “ไทยฟุ้ง ปรุงไทย” ปี 3 (12–14 ก.ย. 2568) โดย กระทรวงวัฒนธรรม/กรมส่งเสริมวัฒนธรรม ภายใต้แนวคิด “1 จังหวัด 1 เมนู เชิดชูอาหารถิ่น รสชาติ…ที่หายไป (The Lost Taste)” ซึ่ง แกงแคไก่เมือง” ของเชียงราย กลายเป็น ดาวเด่น ต่อเนื่องเป็นปีที่ 3

ทำไมแกงแคถึง “ปัง” บนเวทีชาติ?

  • เมนูสุขภาพ–อายุยืน ใช้ผักสมุนไพรพื้นบ้าน >10 ชนิด และ ไก่บ้านวัยเหมาะ (ราว 2–3 เดือน) จากชุมชน—ลดสารเคมี–ต่อยอดเศรษฐกิจฐานราก
  • พริกแกงตำมือ–เรียงลำดับการใส่ผัก คือภูมิปัญญาที่บอกเล่า “ความรักในวัตถุดิบ” ของล้านนา
  • โครงการ “ผักสวนครัว รั้วกินได้” ทำให้ supply ผักพื้นบ้าน “สด–ปลอดภัย–มีเรื่องราว” เชื่อมผู้ปลูก–ครัว–ผู้บริโภค

ผลลัพธ์ มากกว่าอาหาร: งานเทศกาลปีก่อนมีผู้ร่วมงาน >50,000 คน/ปี สร้างมูลค่าเศรษฐกิจท้องถิ่น >10 ล้านบาท จากการจำหน่ายผลิตภัณฑ์อาหารถิ่น ผู้ผลิตชุมชน เพิ่มขึ้น 25% เทียบปีแรก และผลสำรวจพบผู้ร่วมงาน 85% ประทับใจรสชาติ “ที่เคยลืม” และ 78% แสดงความตั้งใจ เดินทางตามรอย” ไปจังหวัดต้นทาง—นี่คือ วงจรเศรษฐกิจใหม่ ที่เริ่มจาก “ครัว” แล้วจบลงที่ “ทริป”

สาระสำคัญ: “อาหารถิ่น” ทำหน้าที่เป็น สะพาน เชื่อม Soft Power → การเดินทาง รายได้ชุมชน และเมื่อบูรณาการกับ อีเวนต์ เมืองจะมี “จุดหมาย” ที่ชัดเจนทั้งในปฏิทินและในใจนักเดินทาง

เสียงจากนโยบายวัฒนธรรม อาหารคือการลงทุนระยะยาว

ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม นายประสพ เรียงเงิน ย้ำในพิธีเปิดว่า “มรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมเป็นส่วนสำคัญในการพัฒนาสังคม เศรษฐกิจ และสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน” พร้อมมาตรการ ยกย่อง เชิดชูเกียรติ–จัดทำฐานข้อมูล–ถ่ายทอดทักษะสู่คนรุ่นใหม่ เพื่อให้ “อาหาร” ไม่ใช่เพียงเมนู หากเป็น ระบบนิเวศ ที่ก่อรายได้และความภาคภูมิใจแก่ชุมชน

กรมส่งเสริมวัฒนธรรม ต่อจิ๊กซอว์ผ่านกิจกรรมเส้นทางเรียนรู้ อร่อยตามรอยภูมิปัญญา” (6 เส้นทาง) และ Cooking Show โดยเชฟมืออาชีพ ที่คงรสอัตลักษณ์แต่ยกระดับการนำเสนอ—ช่วย “แปลภาษา” อาหารถิ่นให้ผู้คนยุคใหม่เข้าใจได้ง่ายขึ้น

เชียงรายบนแผนที่การท่องเที่ยวใหม่: เมื่อรางวัลโลก + อาหารถิ่น = จุดหมายเศรษฐกิจ

สองเส้นเรื่อง “รางวัลอีเวนต์โลก” และ “อาหารถิ่นดาวเด่น” มาบรรจบกันที่เชียงราย—เมืองชายแดนซึ่งมีทุนธรรมชาติ–วัฒนธรรม–ครัวพื้นบ้านเข้มแข็ง เมื่อนำมาบูรณาการกับ ปฏิทินงาน (Balloon Fiesta, งานวัฒนธรรม–ศิลปะ–ดนตรี) และ เส้นทางอาหาร เมืองจะสามารถ ยืดระยะพำนัก (length of stay) และ เพิ่มค่าใช้จ่ายต่อทริป ได้อย่างเป็นรูปธรรม

ผลต่อผู้ประกอบการ:

  • โรงแรม/โฮมสเตย์วางแพ็กเกจ “ห้องพัก + ชิมแกงแค + ชมบอลลูน”
  • ร้านอาหาร–คาเฟ่ทำ “เมนูเล่าเรื่อง” ใช้วัตถุดิบชุมชน—เสิร์ฟใบรับรองแหล่งที่มา (traceability)
  • ทัวร์ชุมชนจัด workshop สมุนไพร–ทำพริกแกง ให้ expat/นักท่องเที่ยวต่างชาติได้ “ลงมือทำ–เข้าใจวิถี”

ผลต่อชุมชน: เกษตรกร–ผู้สูงอายุ–กลุ่มสตรี มี ตลาดแน่นอน เพิ่มรายได้จากผักสมุนไพร–ไก่บ้าน–งานคราฟต์ที่เชื่อมโยงกับเทศกาล—เป็นการกระจายรายได้ที่ “กินได้จริง”

โอกาสและโจทย์นโยบาย ทำอย่างไรให้ “พีก” ไม่ใช่ “พุ่งวูบ”

  1. ยึดปฏิทินอีเวนต์ให้แน่น: ประกาศล่วงหน้า 6–12 เดือน สร้างความมั่นใจตลาดต่างประเทศ ดึงสายการบิน–ทัวร์–แพลตฟอร์มมาวางแผนร่วม
  2. ยกระดับมาตรฐานงาน: ความปลอดภัย–การจราจร–การแพทย์ฉุกเฉิน–การจัดการขยะ–คาร์บอนฟุตพรินต์ เพื่อให้รางวัล “งอก” เป็นความเชื่อมั่นถาวร
  3. ทำเส้นทาง “กิน–เที่ยว–เรียนรู้”: จับมือ ททท.–ภาคเอกชน สร้างแพ็กเกจ “Festival + Local Taste” เน้นเรื่องเล่า–แหล่งวัตถุดิบ–บุคคลต้นเรื่อง
  4. บ่มเพาะแรงงานท้องถิ่น: หลักสูตรมัคคุเทศก์อาหาร/ผู้จัดการอีเวนต์/สื่อสารการเล่าเรื่อง (storytelling) ให้ชุมชนเป็น “เจ้าบ้านมืออาชีพ”
  5. ข้อมูลโปร่งใส–วัดผลได้: เก็บสถิติผู้ร่วมงาน ยอดใช้จ่าย ระยะพำนัก แรงกระเพื่อมต่อ SME เพื่อใช้ตัดสินใจงบในปีถัดไป

เลนส์กว้างกว่านั้น Expat 3.3 ล้านคน—ตลาด “ใกล้ตัว” ที่ลืมมอง

กลุ่ม expat คือ นักท่องเที่ยวระยะยาว” ที่อยู่ในไทยอยู่แล้ว—เข้าใจราคา–การเดินทาง–ระเบียบวัฒนธรรม หากเมืองอย่างเชียงรายสื่อสาร คาแรกเตอร์ท้องถิ่น” ผ่านอาหาร–เทศกาล–กิจกรรมเรียนรู้ภาษา–ศิลปะ ให้สอดคล้องกับฤดูกาล (เช่น ฤดูบอลลูน–ฤดูชา–ฤดูกาลผักสมุนไพร) จะเพิ่ม ทริปสั้นซ้ำ” สร้างเศรษฐกิจต่อเนื่องโดยไม่ต้องพึ่ง high season เพียงระยะเดียว

เชื่อมโยงระดับชาติ: เมื่อ ททท. เดินหน้าแคมเปญ Local Taste Local Thai พร้อมพันธมิตรการบิน–รีวอร์ด—เชียงรายสามารถเป็น Pilot City ที่ “แพ็ก” รางวัล IFEA + อาหารถิ่น + เส้นทางเรียนรู้ ออกสู่ตลาด expat และต่างชาติที่มีกำลังซื้อสูง (ญี่ปุ่น–เกาหลี–ยุโรป) โดยอาศัย การสื่อสารหลายภาษา และ เครื่องมือดิจิทัล เป็นตัวช่วย

จากหม้อแกงถึงบอลลูน

“เหนือไม่มีสูตรตายตัว” เชฟท้องถิ่นเปรย—แกงแค ดีเพราะ “ความใส่ใจและความรักในวัตถุดิบ” คล้ายกับ เทศกาลบอลลูน ที่ไม่มีสูตรสำเร็จ หากต้อง ดึงพลังชุมชน–ช่างฝีมือ–ภาคธุรกิจ ขึ้นมาโอบรับแขกทั้งเมือง ทุกปีท้องฟ้าเชียงรายระบายสีด้วยบอลลูนจากนานาชาติ ด้านล่างคือแผงอาหารที่หอมเครื่องแกง—เรื่องเล่าทั้งสองเส้นนี้กำลังค่อย ๆ ผูกเข้าหากัน และนั่นทำให้ ภาพลักษณ์เมือง คมชัด: อบอุ่น เรียบง่าย แต่มาตรฐานสูง น่ากลับมาอีกครั้ง

รางวัลคือ “ใบเบิกทาง” อาหารคือ “หัวใจ” เมืองคือ “เวที”

เชียงราย ไม่ได้ชนะเพราะโชค แต่ชนะเพราะ รู้จักตัวเอง แล้วเล่าเรื่องให้โลกฟังได้อย่างมีศิลปะ—จากทุ่งชาและบอลลูนสู่หม้อแกงแคที่มีกลิ่นเครื่องเทศสดๆ ความสำเร็จ Gold Award จาก IFEA และแรงขับเคลื่อน Festival Economy ของ ทีเส็บ เมื่อเชื่อมกับกลยุทธ์ Soft Power ด้านอาหาร ของ ททท. ทำให้เมืองและชุมชนมี “เครื่องมือสองมือ” ในการกอบกู้และยกระดับเศรษฐกิจท่องเที่ยวหลังวิกฤต

คำถามที่เหลือคือ — เราจะรักษามาตรฐานให้เสถียร และ ขยายผลสู่ความยั่งยืน อย่างไร? คำตอบคงอยู่ที่ การทำงานร่วมกัน ของภาครัฐ–เอกชน–ชุมชน–สถาบันการศึกษา: วางปฏิทินงานให้ชัด อัพสกิลคนท้องถิ่น เปิดข้อมูลโปร่งใส จับมือกันทำเส้นทางกิน–เที่ยว–เรียนรู้ให้มีชีวิต เมื่อนั้น เชียงราย จะไม่ใช่แค่ “เมืองไมซ์ดาวรุ่ง” ในรายงาน แต่คือ เมืองปลายทาง ที่ผู้คนทั่วโลกอยากกลับมา “ซ้ำแล้วซ้ำเล่า”

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สมาคมงานเทศกาลและอีเวนต์นานาชาติ (IFEA)
  • สำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) 
  • การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.)
  • KResearch (ศูนย์วิจัยกสิกรไทย)
  • กระทรวงแรงงาน 
  • กระทรวงวัฒนธรรม
  • จังหวัดเชียงราย/สิงห์ปาร์ค เชียงราย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News