Categories
AROUND CHIANG RAI FEATURED NEWS

สีสันแห่งดอยตุง ครั้งที่ 12 ชวนผจญภัยกับ Monsters’ Journey กระตุ้นเศรษฐกิจการท่องเที่ยวเชียงรายยั่งยืน

สีสันแห่งดอยตุง ครั้งที่ 12 เปิดฤดูหนาวเชียงราย “The Monsters’ Journey – Blooming Inspiration” ผสานวัฒนธรรม 6 ชนเผ่า เศรษฐกิจชุมชน และการท่องเที่ยวยั่งยืน

เชียงราย, 3 ธันวาคม 2568 – สายหมอกยามเช้าและลมหนาวปลายปีที่โอบล้อมยอดดอยตุง กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง เมื่อมูลนิธิแม่ฟ้าหลวง ในพระบรมราชูปถัมภ์ ร่วมกับพันธมิตรภาครัฐและเอกชน เปิดม่านเทศกาล “สีสันแห่งดอยตุง ครั้งที่ 12” อย่างเป็นทางการ ภายใต้แนวคิด The Monsters’ Journey “Blooming Inspiration” ชวนผู้คนออกเดินทางผจญภัยไปกับ “ผู้พิทักษ์ป่าดอยตุง” ท่ามกลางสวนดอกไม้ลายชนเผ่า ศิลปวัฒนธรรมบนดอยสูง และกิจกรรมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ที่เชื่อมโยงกับชีวิตชุมชนอย่างลึกซึ้ง

เทศกาลจัดขึ้นระหว่างวันที่ 2 ธันวาคม 2568 – 25 มกราคม 2569 ทุกวันเสาร์–อาทิตย์ และวันหยุดนักขัตฤกษ์ เวลา 08.00–18.00 น. ณ โครงการพัฒนาดอยตุงอันเนื่องมาจากพระราชดำริ อำเภอแม่ฟ้าหลวง จังหวัดเชียงราย โดยเปิดให้เข้าร่วมงานได้โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย ยกเว้นการเข้าชมพระตำหนักดอยตุง สวนแม่ฟ้าหลวง และสวนรุกขชาติแม่ฟ้าหลวง (ดอยช้างมูบ) ซึ่งมีการจัดเก็บค่าบำรุงสถานที่ตามปกติ

ดอยตุง จากพื้นที่ปลูกฝิ่น สู่ต้นแบบการพัฒนา “คนอยู่กับป่า”

ตลอดกว่า 37 ปีของการดำเนินงาน โครงการพัฒนาดอยตุงฯ เปลี่ยนพื้นที่ภูเขาสูงซึ่งเคยเป็นแหล่งปลูกฝิ่นและไร่เลื่อนลอย ให้กลายเป็นผืนป่าต้นน้ำอันอุดมสมบูรณ์ และเป็นพื้นที่ตัวอย่างของการพัฒนาคนไปพร้อมกับการฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติ

นายพิสันต์ จันทร์ศิลป์ วัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย อธิบายถึงความหมายทางวัฒนธรรมว่า ดอยตุงไม่ใช่เพียงแหล่งท่องเที่ยว หากแต่เป็น “เวทีมีชีวิต” ของชาติพันธุ์หลากหลาย ทั้งอาข่า ลาหู่ ไทใหญ่ ไทลื้อ ไทลัวะ และจีนยูนนาน ที่ยังคงสืบสานประเพณีและพิธีกรรมดั้งเดิม โดยเฉพาะประเพณีกินข้าวใหม่และประเพณีขอบคุณธรรมชาติหลังการเก็บเกี่ยว ซึ่งสะท้อนความผูกพันระหว่างคน ชุมชน และผืนป่า

“สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงรายทำงานร่วมกับเครือข่ายชาติพันธุ์บนดอยตุง เพื่อรวบรวม ถ่ายทอด และต่อยอดประเพณีเหล่านี้ ไม่ให้เป็นเพียงการจัดแสดงให้ดู แต่ให้คนในชุมชนเป็นผู้เล่าเรื่องของตนเอง” นายพิสันต์กล่าว พร้อมย้ำว่าข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับความเชื่อและภูมิปัญญาของแต่ละเผ่า ยังสามารถเรียนรู้จากคนในพื้นที่โดยตรง เพื่อให้การท่องเที่ยวไม่ตัดขาดจากรากวัฒนธรรม

“พี่โต–หมานหมาน” ผู้พิทักษ์ป่าดอยตุง เมื่อมาสคอตกลายเป็นครูของคนรุ่นใหม่

หนึ่งในไฮไลต์สำคัญของเทศกาลปีนี้ คือการสร้างสรรค์คาแรกเตอร์ “พี่โต” และ “เหล่าหมานหมาน” สี่ผู้พิทักษ์จากเชียงแสน ผ่านความร่วมมือของมูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ และมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง เพื่อทำให้เรื่องราวภูเขา ป่าไม้ และชุมชนชาติพันธุ์ ถูกเล่าในภาษาที่คนรุ่นใหม่เข้าถึงได้ง่ายขึ้น

พี่โต ได้แรงบันดาลใจจาก “รำนกรำโต” การแสดงของชาวไทใหญ่ กลายเป็นตัวแทนแห่งความหลากหลายทางชีวภาพบนดอยตุง เปรียบเสมือนเจ้าป่าที่ใจดี คอยดูแลสรรพชีวิตบนภูเขาสูง ขณะที่ “หมานหมาน” ทั้งสี่ตัวทำหน้าที่แบ่งปันบทเรียนด้านสิ่งแวดล้อมและวัฒนธรรมในรูปแบบน่ารักร่วมสมัย ได้แก่

  • นาคา ผู้พิทักษ์ผืนดิน ผืนน้ำ และอากาศ สัญลักษณ์ของความสมดุลระหว่างธรรมชาติและวัฒนธรรม
  • มาลี ผู้แทนแห่งความหลากหลายและสันติภาพ มองโลกด้วยสายตาแห่งความเท่าเทียม
  • อัคคี พลังแห่งไฟจากครัวเชียงแสน ตัวแทนภูมิปัญญาเรื่องอาหารและวิถีชีวิตชุมชน
  • สะหลีเมือง ผู้พิทักษ์หัวใจเมืองเชียงแสน คอยต้อนรับผู้มาเยือนด้วยไมตรีและพรแห่งความสุข

คาแรกเตอร์เหล่านี้ไม่ได้อยู่เพียงบนป้ายหรือของที่ระลึก แต่กระจายตัวอยู่ทั่วสวนแม่ฟ้าหลวง ผ่านงานจัดสวนดอกไม้ลายผ้าปักชนเผ่า จุดถ่ายภาพ และภารกิจตามหา “ผู้พิทักษ์ป่า” ในกิจกรรม The Monsters’ Journey Quest ที่เปิดโอกาสให้ผู้มาเยือนเรียนรู้เรื่องดอยตุงไปพร้อมกับสนุกกับการท่องเที่ยว

นายรุจติศักดิ์ รังษี รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย

นายรุจติศักดิ์ รังษี รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย กล่าวว่า

  “ผมขอเน้นย้ำว่า การท่องเที่ยวและบริการเป็นกลไกทางเศรษฐกิจที่สำคัญที่สุดของจังหวัดเชียงรายอย่างแท้จริงครับ เรามีผลิตภัณฑ์มวลรวมจังหวัด (GPP) อยู่ที่ประมาณ 116,580 ล้านบาท และในจำนวนนี้ 65,000 ล้านบาท หรือ 65% มาจากรายได้ภาคการท่องเที่ยวและบริการ นี่จึงเป็นเหตุผลที่เราต้องวางยุทธศาสตร์การท่องเที่ยวให้เป็นเสาหลักทางเศรษฐกิจ

เราได้กำหนดนโยบาย เที่ยวทั้งปี” หรือ “เที่ยว 12 เดือน” ขึ้นมา เพื่อให้การท่องเที่ยวของเชียงรายไม่จำกัดอยู่แค่ช่วงฤดูท่องเที่ยวเท่านั้น โดยเราได้ขับเคลื่อนกิจกรรมที่สอดคล้องกับวิถีชีวิต ศิลปะ และวัฒนธรรมท้องถิ่น ครอบคลุมทั้ง 18 อำเภอ และ 124 องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น กิจกรรมเหล่านี้มีเป้าหมายเพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวในทุกมิติ ไม่ว่าจะเป็นการแต่งกาย การแสดง ความเป็นอยู่ หรือแม้แต่อาหารท้องถิ่น และในทุกพื้นที่ เรายืนยันว่าได้ดำเนินการดูแลแหล่งท่องเที่ยวให้มีความเป็นระเบียบเรียบร้อย พร้อมประสานงานกับตำรวจภูธรจังหวัดเพื่อดูแลความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของนักท่องเที่ยวอย่างเข้มงวด

นอกจากนี้ เราตระหนักดีถึงความท้าทายด้านสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะปัญหา ฝุ่นละออง PM 2.5 ดังนั้น จังหวัดจึงให้ความสำคัญอย่างยิ่งกับการท่องเที่ยวแบบ Responsible/Sustainable Tourism เรามุ่งเน้นการจัดการและลดปัจจัยที่ก่อให้เกิดมลพิษทางอากาศ และให้ความสำคัญกับการจัดการ ขยะมูลฝอย ในทุกแหล่งท่องเที่ยว เพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและดูแลสุขอนามัยของพื้นที่

สำหรับกิจกรรมในช่วง High Season นี้ เรามี เทศกาล “สีสันแห่งดอยตุง” เป็นแม่เหล็กสำคัญ ซึ่งเรามั่นใจว่าเทศกาลนี้ได้ช่วยสร้างรายได้เพิ่มขึ้นอย่างเป็นรูปธรรมให้กับ พี่น้องชาติพันธุ์ที่อยู่ดอยตุง นอกจากจะดึงดูดนักท่องเที่ยวไปยังสวนแม่ฟ้าหลวงและพระตำหนักดอยตุงแล้ว ยังมีการแสดงศิลปวัฒนธรรมเพิ่มเติมเพื่อสร้าง ‘โปรโมชั่นความสุขทางใจ’ ด้วย ที่สำคัญคือ เมื่อนักท่องเที่ยวเดินทางมาถึงเชียงราย พวกเขา ไม่ได้มาเที่ยวที่เดียว’ แต่จะกระจายตัวไปเที่ยวแหล่งท่องเที่ยวสำคัญอื่น ๆ ทั่วทั้ง 18 อำเภอ ทำให้เกิด การสร้างรายได้เป็นเครือข่ายชุมชน ที่กว้างขวาง ทั้งธุรกิจที่พัก โฮมสเตย์ และโรงแรมต่างก็ได้รับอานิสงส์ไปด้วย

ท้ายที่สุดนี้ ผมอยากจะเชิญชวนพี่น้องชาวไทยและชาวต่างประเทศให้มาสัมผัส สิ่งมหัศจรรย์ ของเชียงรายในช่วง High Season นี้ครับ ไม่ว่าจะเป็นเทือกเขา ภูผาที่สวยสง่าอุดมสมบูรณ์ หรือลำธารแม่น้ำ ตลอดจนอารยธรรมศิลปะ เพราะเราคือเมืองแห่งความหลากหลายทางชาติพันธุ์และวัฒนธรรม ผมรับรองว่าท่านมาเชียงรายแล้วจะประทับใจและมีความสุขกลับไปอย่างแน่นอนครับ”

เทศกาลที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจเชียงราย เมื่อการท่องเที่ยวคือ 65% ของจีพีพี

ในมิติเศรษฐกิจ นายรุจติศักดิ์ รังษี รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย ระบุว่า การท่องเที่ยวถือเป็นกลไกสำคัญที่สุดในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจจังหวัด โดยมูลค่าผลิตภัณฑ์มวลรวมจังหวัด (GPP) อยู่ที่ประมาณ 116,580 ล้านบาท ในจำนวนนี้เป็นรายได้จากการท่องเที่ยวและบริการราว 65,000 ล้านบาท หรือคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 65% ของเศรษฐกิจทั้งหมด

“เมื่อเราพูดถึงการสร้างรายได้ให้คนเชียงราย เราต้องมองการท่องเที่ยวเป็นฐานหลัก เทศกาลสีสันแห่งดอยตุงไม่เพียงดึงคนขึ้นมาเที่ยวบนดอยเท่านั้น แต่ยังช่วยกระจายรายได้ไปสู่เครือข่ายชุมชน บ้านพัก โฮมสเตย์ ร้านอาหาร และผู้ประกอบการในทั้ง 18 อำเภอ 124 อปท. อย่างต่อเนื่อง” รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงรายกล่าว

เขาย้ำด้วยว่า จังหวัดให้ความสำคัญกับการท่องเที่ยวที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โดยมีการดูแลปัญหา PM2.5 และการจัดการขยะในทุกแหล่งท่องเที่ยว ควบคู่ไปกับการรักษาความปลอดภัยและความเป็นระเบียบเรียบร้อย เพื่อให้ภาพลักษณ์เชียงรายในฐานะ “เมืองศิลปะ วัฒนธรรม และธรรมชาติ” เดินหน้าควบคู่ไปกับคุณภาพชีวิตของคนท้องถิ่น

ธุรกิจเพื่อสังคมบนดอยสูง รายได้หมุนเวียนกลับสู่ชุมชน

ด้านนายประเสริฐ ตรงเจริญเกียรติ ประธานสายปฏิบัติการธุรกิจเพื่อสังคม มูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ อธิบายว่า เทศกาลสีสันแห่งดอยตุงเป็นส่วนสำคัญของภารกิจ “ธุรกิจเพื่อสังคม” ที่มุ่งสร้างงาน สร้างอาชีพ และสร้างความมั่นคงให้คนในพื้นที่

ภายในงาน ร้านค้าชุมชนกว่า 35 ร้าน ที่กาดชนเผ่าและกาดดอยตุง นำเสนออาหารท้องถิ่นและฟิวชัน เช่น พิซซ่าหน้าหมูดำดอยตุง เมนูจากหมูดำที่เกิดจากโครงการส่งเสริมอาชีพเกษตรกรบนดอย, ร้าน “ใฝ่ดีคาเฟ่” ที่เปิดพื้นที่ให้เยาวชนฝึกฝนทักษะบาริสต้า และร้านผักผลไม้ท้องถิ่นที่จำหน่ายบัวหิมะ สับปะรดภูแล งาขี้ม้อน รากชู ฯลฯ ในราคายุติธรรม

ขณะที่ “ร้านดอยตุงไลฟ์สไตล์” และ “บ้านหัตถกรรมชนเผ่า” เป็นพื้นที่ให้กลุ่มช่างฝีมือ 6 ชนเผ่าจำหน่ายผ้าทอมือ งานปัก เครื่องประดับ และงานคราฟต์ร่วมสมัย ด้วยแนวคิดต่อยอดภูมิปัญญาดั้งเดิมสู่ผลิตภัณฑ์ที่คนเมืองใช้ได้จริง เช่น กระเป๋าผ้าจากเส้นใยพลาสติกรีไซเคิล (Upcycling) และผ้าทอที่ผสมผสานลายดั้งเดิมกับการออกแบบยุคใหม่

“ทุกชิ้นงานที่ขายในเทศกาลนี้มีคนทำอยู่เบื้องหลัง และคนส่วนใหญ่มาจากชุมชนบนดอยตุง รายได้ที่เกิดขึ้นไม่เพียงทำให้ครอบครัวมีความมั่นคงมากขึ้น แต่ยังส่งลูกหลานไปเรียนต่อ มีโอกาสกลับมาพัฒนาบ้านเกิดต่อไปในอนาคต นี่คือหัวใจของธุรกิจเพื่อสังคมที่มูลนิธิฯ ยึดถือ” นายประเสริฐกล่าว

Carbon Neutral Event เทศกาลที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็น “ศูนย์”

จุดเด่นอีกประการของเทศกาลสีสันแห่งดอยตุง คือการเป็น “Carbon Neutral Event” หรืองานที่ชดเชยการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ โดยใช้บรรจุภัณฑ์ที่ย่อยสลายได้จากวัสดุธรรมชาติ ลดและเลิกใช้ถุงพลาสติกแบบใช้ครั้งเดียว รวมถึงมีระบบจัดการขยะอย่างเป็นระบบ ร่วมมือกับกลุ่ม “Eco Crew” ที่ให้บริการภาชนะยืม–คืนภายในงาน เพื่อลดปริมาณขยะจากแพ็กเกจจิงอาหารและเครื่องดื่ม

ด้านการสื่อสารเรื่องสิ่งแวดล้อม ภายในงานมีนิทรรศการ “Nature Snap” แสดงภาพถ่ายธรรมชาติจากชาวดอยตุงกว่า 30 ภาพ และบูธสิ่งแวดล้อมที่มีเครือข่ายเยาวชน Young Guardian เป็นผู้บรรยายข้อมูล เพื่อให้ผู้เข้าชมได้เห็นภาพการเปลี่ยนแปลงของดอยตุงจากพื้นที่เสื่อมโทรมสู่ผืนป่าต้นน้ำ และตระหนักว่าการท่องเที่ยวในวันนี้สัมพันธ์กับอนาคตของทรัพยากรธรรมชาติอย่างไร

นายประเสริฐ ตรงเจริญเกียรติ ประธานสายปฏิบัติการธุรกิจเพื่อสังคม มูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ

นายประเสริฐ ตรงเจริญเกียรติ ประธานสายปฏิบัติการธุรกิจเพื่อสังคม มูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ กล่าวว่า

“มูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ ได้นำหลักการของ ธุรกิจเพื่อสังคม (Social Enterprise) มาใช้ในการขับเคลื่อนการพัฒนาพื้นที่ดอยตุงมาโดยตลอดครับ ซึ่งเรามุ่งเน้นการสร้างความยั่งยืนในสามมิติ ทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม และสำหรับ เทศกาลสีสันแห่งดอยตุง ครั้งที่ 12 ที่กำลังจะจัดขึ้นนี้ ไม่ได้เป็นเพียงงานฉลองปลายปี แต่เป็นกลไกหลักในการสร้างเศรษฐกิจหมุนเวียนและการสร้างงานสร้างอาชีพที่สำคัญให้กับคนในท้องถิ่นอย่างแท้จริง

เราสนับสนุนการสร้างรายได้ผ่านสองช่องทางหลักครับ คือการส่งเสริม ร้านค้าของชุมชน ซึ่งสินค้าของพวกเขาพัฒนามาจากภารกิจด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมของมูลนิธิฯ และอีกส่วนหนึ่งคือการจ้างงานคนในชุมชนให้มาผลิตสินค้าภายใต้ แบรนด์ดอยตุง (Doi Tung Lifestyle) แล้วนำมาจำหน่ายในร้านของเราเอง สิ่งเหล่านี้ส่งผลโดยตรงให้คนในชุมชนมีรายได้ มีความมั่นคงในอาชีพและครอบครัว สามารถส่งบุตรหลานเรียนต่อ มีความรู้เพิ่มขึ้น ซึ่งสอดคล้องกับเจตนารมณ์ของเราที่ต้องการพัฒนาและสร้างความยั่งยืนให้กับทั้งคนและชุมชน

ในด้านการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม ซึ่งเป็นภารกิจหลักที่เราทำมานานกว่า 30 ปี จนดอยตุงเกิดความยั่งยืน มีป่าต้นน้ำ มีพืชเศรษฐกิจสำคัญอย่างกาแฟและแมคคาเดเมีย เราได้นำ องค์ความรู้ด้านศิลปะและการออกแบบ เข้ามาช่วยสื่อสารภารกิจนี้ โดยร่วมมือกับมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวงในการสร้างสรรค์ตัวละครอย่าง พี่โต” และ “น้องหม่านหม่าน” ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของ ผู้พิทักษ์ป่า” รุ่นใหม่ ตัวละครเหล่านี้ทำหน้าที่เป็นกิมมิกในงาน เพื่อสื่อสารกับนักท่องเที่ยว โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ ให้เห็นถึงความสำคัญของการดูแลป่าและสิ่งแวดล้อม การใช้ศิลปะและการออกแบบนี้ช่วยให้นักท่องเที่ยวได้รับทั้งความสุข ความสนุกสนาน ควบคู่ไปกับการได้รับความรู้และเกิดจินตนาการด้านการดูแลสิ่งแวดล้อม

นอกจากนี้ เรายังมีการเตรียมความพร้อมสำหรับคนรุ่นใหม่เพื่อเป็นผู้สืบสานงานในอนาคต โดยมีแผนงานที่ชัดเจนและเป็นระบบ เริ่มตั้งแต่การ ส่งเสริมการศึกษาพื้นฐาน ให้กับชุมชน การจัดค่ายเด็กใฝ่ดีที่หน่วยงาน KLC (Knowledge Center) เพื่อให้นักเรียนเข้ามาศึกษาและค้นพบความถนัดของตนเอง รวมถึงการมอบ ทุนการศึกษา ให้กับเด็กที่เติบโตในพื้นที่ได้เรียนต่อในระดับมหาวิทยาลัย และเมื่อพวกเขาสำเร็จการศึกษา หากมีความตั้งใจ เราก็เปิดโอกาสให้กลับมาทำงานร่วมกันที่มูลนิธิแม่ฟ้าหลวงหรือโครงการพัฒนาโดยตุงได้เลยครับ

เทศกาลสีสันแห่งดอยตุง ครั้งที่ 12 นี้ จะจัดขึ้นตั้งแต่วันที่ 2 ธันวาคม 2568 ถึง 25 มกราคม 2569 เรามุ่งหวังให้นักท่องเที่ยวทุกวัยได้ขึ้นมาสัมผัสความสุข สนุกสนาน และได้รับความรู้ องค์ความรู้ที่จะสามารถนำกลับไปเป็นประโยชน์ต่อตนเองและครอบครัวได้ครับ”

นายพิสันต์ จันทร์ศิลป์ วัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย

นายพิสันต์ จันทร์ศิลป์ วัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย กล่าวว่า

“ในฐานะสำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย เราได้เข้ามามีบทบาทในการสนับสนุนและสานสัมพันธ์วัฒนธรรมชาติพันธุ์บนดอยตุงร่วมกับมูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ ครับ สิ่งที่เราเห็นว่ามีความสำคัญอย่างยิ่งคือการเชิดชูวัฒนธรรมรากฐาน ซึ่งในปีนี้เราได้นำประเพณีเก่าแก่อย่าง กินข้าวใหม่” เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของเทศกาลสีสันแห่งดอยตุง

ประเพณีนี้เป็นประเพณีการเก็บเกี่ยวผลผลิตของพี่น้องชาติพันธุ์ต่าง ๆ ที่อาศัยอยู่บนดอยตุง ไม่ว่าจะเป็นชาว อาข่า, ลาหู่, หรือไทใหญ่ ซึ่งมีความหมายเชิงวัฒนธรรมที่ลึกซึ้งมากครับ คือการแสดงความกตัญญูต่อ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ บรรพบุรุษ และธรรมชาติ ที่ได้มอบความอุดมสมบูรณ์และทำให้ผลผลิตเก็บเกี่ยวได้อย่างบริบูรณ์ สำนักงานวัฒนธรรมของเราเองก็จะเข้ามาประสานงานกับเครือข่ายชาติพันธุ์เหล่านี้ เพื่อเก็บรวบรวมและรักษาประเพณีดั้งเดิมอันทรงคุณค่าเหล่านี้ไว้ให้คงอยู่

นอกจากประเพณีดั้งเดิมแล้ว สิ่งที่น่าสนใจมากคือการผนวกภูมิปัญญาชาติพันธุ์เข้ากับศิลปะสมัยใหม่ โดยได้มีการออกแบบ สวนดอกไม้ ในเทศกาล โดยใช้แรงบันดาลใจจาก ลวดลายผ้าปัก ของชาติพันธุ์ในพื้นที่ นี่คือการสื่อสารข้ามมิติที่สวยงามครับ เป็นการผสานระหว่างธรรมชาติของสวนดอกไม้ เข้ากับภูมิปัญญาของชาติพันธุ์ที่ถ่ายทอดผ่านลวดลายผ้าปัก

ผลลัพธ์ที่ได้ไม่ใช่เพียงแค่ความสวยงามรื่นรมย์เท่านั้น แต่ยังส่งผลในเชิงของ เศรษฐกิจสร้างสรรค์ (Creative Economy) เป็นการยกระดับคุณค่าทางวัฒนธรรมให้กลายเป็นสินค้าทางการท่องเที่ยวที่น่าสนใจ ผู้เข้าชมงานไม่เพียงแต่ได้รับแรงบันดาลใจจากความสวยงาม แต่ยังสามารถเรียนรู้เชิงลึกเกี่ยวกับความแตกต่างทางวัฒนธรรมและภูมิปัญญาของแต่ละชาติพันธุ์ได้ด้วย โดยสามารถค้นหาข้อมูลเพิ่มเติม หรือสอบถามจาก พี่น้องชาติพันธุ์ ที่อยู่ภายในงานโดยตรง ซึ่งพวกเขาพร้อมที่จะถ่ายทอดภูมิปัญญาของตนเองได้อย่างละเอียดลึกซึ้ง

ผมจึงขอเชิญชวนนักท่องเที่ยวทุกท่าน ให้มาเที่ยวชมสวนอันงดงามในช่วงฤดูหนาวนี้ครับ มา สัมผัสบรรยากาศหนาว ๆ, ชมดอกไม้สวย ๆ, และสัมผัสสีสันแห่งชาติพันธุ์ บนดอยตุง ซึ่งเป็นการผสมผสานอย่างลงตัวระหว่างการอนุรักษ์วัฒนธรรมเก่าแก่เข้ากับรูปแบบการนำเสนอสมัยใหม่ที่ดึงดูดใจครับ”

The Monsters’ Journey Quest เมื่อภารกิจล่ารางวัลเชื่อมโลกออฟไลน์–ออนไลน์

สำหรับผู้ที่ต้องการผจญภัยไปกับผู้พิทักษ์ดอยตุงแบบเต็มรูปแบบ เทศกาลปีนี้มีภารกิจ “The Monsters’ Journey Quest” ให้ร่วมสนุก เริ่มจากการซื้อบัตร Happy Journey Ticket หรือบัตรชมสวนและพระตำหนัก จากนั้นผู้ร่วมกิจกรรมจะถ่ายรูปเช็กอินที่จุด “ปล่อยพลังมอนส์เตอร์” และจุดตัวละครทั้ง 5 ได้แก่ นาคา มาลี อัคคี สะหลีเมือง และพี่โต ท่ามกลางสวนดอกไม้ลายชนเผ่า

เมื่อเก็บครบ 6 จุด ผู้ร่วมกิจกรรมต้องโพสต์ภาพลง Facebook หรือ Instagram ตั้งค่าเป็นสาธารณะ พร้อมแฮชแท็ก #สีสันแห่งดอยตุงครั้งที่12 และ #TheMonstersJourney เพื่อชิงรางวัลตั๋วเครื่องบินไป–กลับ กรุงเทพฯ–เชียงราย พร้อมที่พัก Doi Tung Lodge รวมถึงของที่ระลึกพิเศษอีกหลายรายการ

กิจกรรมนี้ไม่เพียงสร้างประสบการณ์สนุกบนดอยตุง แต่ยังเปลี่ยนผู้เข้าร่วมให้กลายเป็น “สื่อกลาง” ในการประชาสัมพันธ์งานและเชียงรายสู่โลกออนไลน์ ช่วยขยายฐานนักท่องเที่ยวทั้งในประเทศและต่างประเทศไปพร้อมกัน

มุมชิล มุมอร่อย มุมสนุก สีสันที่มากกว่าดอกไม้

เทศกาลสีสันแห่งดอยตุงขึ้นชื่อเรื่องสวนดอกไม้เมืองหนาวที่จัดเต็มทุกปี โดยเฉพาะโซน “สวนดอกไม้ลายผ้าปักชนเผ่า” บริเวณลานประติมากรรมความต่อเนื่อง ที่นำแรงบันดาลใจจากลายผ้าปักดั้งเดิม มาถ่ายทอดบนทุ่งดอกไม้นานาพันธุ์ ให้ผู้มาเยือนได้สัมผัสภูมิปัญญาชาติพันธุ์ผ่านงานจัดสวนร่วมสมัย

นักท่องเที่ยวยังสามารถแวะจิบกาแฟดริปร้อน ๆ ณ คาเฟ่ดอยตุง Slowbar บนระเบียงไม้กลางสวนแม่ฟ้าหลวง ชิมเมนูพิเศษประจำฤดูกาล เช่น Choco Strawberry Slushy และไอศกรีม Soft Serve รสวานิลลาดอยตุงและชาเขียว รวมทั้งเมนูอาหารจาก “ครัวตำหนัก” ที่ใช้วัตถุดิบจากโครงการ เช่น ลาซานญ่าไส้อั่ว ชุด “ม่วนอ๋ก ม่วนใจ๋” และสเต๊กอกไก่ซอสสะเบี๊ยะ

สำหรับสายครอบครัว มีโซน Craft Workshop ภายใต้ “ซุ้มเพลิดเพลิน” ที่เปิดโอกาสให้เด็กและผู้ใหญ่ได้ลงมือทำงานคราฟต์จากวัสดุธรรมชาติและวัสดุเหลือใช้ โดยทีมงานมูลนิธิฯ คอยให้คำแนะนำอย่างใกล้ชิด ขณะที่โซน “ชนเผ่าสตูดิโอ” เปิดบริการถ่ายภาพในชุดประจำเผ่าทั้ง 6 ให้เก็บเป็นความทรงจำพิเศษ

รายชื่อเรียงลำดับจากซ้ายไปขวา 1. คุณศุภวงศ์ เกื้อสังข์ ผู้จัดการ สำนักส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ ภาคเหนือ หรือ TCEB 2. คุณยุรีพรรณ แสนใจยา ผู้อำนวยการ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สำนักงานเชียงราย 3. คุณประเสริฐ ตรงเจริญเกียรติ ประธานสายปฏิบัติการ ธุรกิจเพื่อสังคม มูลนิธิแม่ฟ้าหลวง ในพระบรมราชูปถัมภ์ 4. คุณรุจติศักดิ์ รังษี รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย 5. คุณนคร พงษ์น้อย ผู้อำนวยการอุทยานศิลปวัฒนธรรมไร่แม่ฟ้าหลวง 6. พันเอกประณต ศิริพันธ์ เสนาธิการ ผู้บัญชาการมลฑลทหารบกที่ 37 7. คุณปวิณ ชํานิประศาสน์ ที่ปรึกษาคณะกรรมการการพัฒนาชุมชน บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน)

เชื่อมโยง 18 อำเภอ ดอยตุงในฐานะ “ประตูสู่เชียงรายทั้งจังหวัด”

รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงรายมองว่า ดอยตุงถือเป็น “สัญลักษณ์” ของจังหวัดที่นักท่องเที่ยวรู้จักมากที่สุด เมื่อใครมาถึงเชียงรายแล้วมักไม่พลาดแวะที่พระตำหนักดอยตุงและสวนแม่ฟ้าหลวง ซึ่งการจัดเทศกาลสีสันแห่งดอยตุงในช่วงไฮซีซัน เดือนธันวาคม–มกราคม ยิ่งทำให้พื้นที่บนดอยตุงกลายเป็น “จุดตั้งต้นการเดินทาง” ไปยังแหล่งท่องเที่ยวอื่นทั่วจังหวัด

นักท่องเที่ยวจำนวนมากเลือกพักค้างคืนในเชียงราย และต่อเส้นทางไปยังดอยแม่สลอง วัดร่องขุ่น วัดร่องเสือเต้น สามเหลี่ยมทองคำ หรือเส้นทางท่องเที่ยวชุมชนในอำเภออื่น ส่งผลให้ธุรกิจที่พัก ร้านอาหาร และผู้ให้บริการท่องเที่ยวในพื้นที่ได้รับอานิสงส์ร่วมกัน

การจัดงานในลักษณะนี้จึงไม่ได้สร้างความคึกคักเฉพาะบนดอยตุง หากแต่เป็นกลไก “กระจายรายได้” ระหว่างเมืองกับภูเขา เมืองใหญ่กับชุมชนชาติพันธุ์ และคนรุ่นเก่ากับคนรุ่นใหม่ในระบบเศรษฐกิจการท่องเที่ยวเดียวกัน

ข้อมูลการเข้าชมและแพ็กเกจบัตร

เพื่ออำนวยความสะดวกแก่นักท่องเที่ยว เทศกาลสีสันแห่งดอยตุงครั้งที่ 12 มีแพ็กเกจ “Happy Journey Package” มูลค่า 734 บาท จำหน่ายในราคาเพียง 399 บาท ซึ่งรวมบัตรเข้าชมสถานที่ ของที่ระลึก และกิจกรรมต่าง ๆ ในโครงการ ขณะที่ค่าบำรุงสถานที่หากเข้าชมแยกจุดคิดจุดละ 90 บาท

มีส่วนลด 50% สำหรับผู้สูงอายุ นักเรียน นักศึกษา (ระดับปริญญาตรี) คนพิการ และนักบวชทุกศาสนา เด็กที่มีความสูงไม่เกิน 120 เซนติเมตร เข้าชมฟรี นอกจากนี้ยังมีบริการรถกอล์ฟ รถรับ–ส่งภายในพื้นที่ จุดปฐมพยาบาล และบริการรถเข็นสำหรับผู้สูงอายุหรือผู้พิการ เพื่อให้ทุกคนสามารถเข้าถึงประสบการณ์บนดอยตุงได้อย่างเท่าเทียม

เทศกาลที่สะท้อน “ความยั่งยืนที่จับต้องได้”

เมื่อมองภาพรวม เทศกาลสีสันแห่งดอยตุง ครั้งที่ 12 ไม่ได้เป็นเพียงงานชมดอกไม้ฤดูหนาว หากแต่เป็นพื้นที่แสดงให้เห็นว่า “การพัฒนาเพื่อความยั่งยืน” สามารถแปลงเป็นกิจกรรมจริงที่จับต้องได้ ตั้งแต่การใช้คาแรกเตอร์การ์ตูนสื่อเรื่องสิ่งแวดล้อม ไปจนถึงการออกแบบระบบจัดการขยะ การลดการใช้พลาสติก การสร้างรายได้ให้ชุมชนผ่านธุรกิจเพื่อสังคม และการขยายผลทางเศรษฐกิจสู่ทั้งจังหวัดเชียงราย

ในขณะเดียวกัน เทศกาลยังทำหน้าที่เป็นเวทีให้เสียงของชุมชนชาติพันธุ์ ธุรกิจท้องถิ่น ภาครัฐ และภาคเอกชนได้มาบรรจบกันบนภูเขาเดียวกัน ภายใต้เป้าหมายร่วมคือ “การอยู่ร่วมกันอย่างสมดุลระหว่างคนกับป่า”

ฤดูหนาวปีนี้ สำหรับผู้ที่มองหาทั้งความสวยงามของธรรมชาติ เรื่องเล่าทางวัฒนธรรม และตัวอย่างจริงของการท่องเที่ยวยั่งยืน เทศกาล “สีสันแห่งดอยตุง ครั้งที่ 12 – The Monsters’ Journey Blooming Inspiration” อาจเป็นจุดหมายปลายทางที่ให้อะไรมากกว่ารูปถ่ายสวย ๆ แต่คือแรงบันดาลใจใหม่ให้กับวิถีชีวิตของเราในเมืองใหญ่เช่นกัน

สำนักข่าวนครเชียงรายนิวส์

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • เขียนโดย : กันณพงศ์ ก.บัวเกษร
  • เรียบเรียงโดย : มันรัตน์ ก.บัวเกษร
  • ภาพโดย : กีรติ ชุติชัย / อังคณา ลาภา 
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
MOST POPULAR
FOLLOW ME