เมื่อวันที่ 12 สิงหาคม 2567 สำนักข่าวนิกเกอิ เอเชียรายงานว่า จำนวนธุรกิจจากเมียนมามากขึ้นเรื่อยๆ กำลังย้ายมาตั้งร้านค้าและร้านอาหารในประเทศไทย เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้อพยพและผู้ลี้ภัยที่หลบหนีจากความขัดแย้งที่ยืดเยื้อในเมียนมา รวมถึงการบังคับใช้กฎหมายเกณฑ์ทหารที่เริ่มต้นขึ้นเมื่อช่วงต้นปีนี้
จากแหล่งข่าวที่ใกล้ชิดกับธุรกิจเมียนมา เปิดเผยว่า ในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา ธุรกิจจากเมียนมาหลายสิบรายได้เข้ามาดำเนินงานในประเทศไทย สถานการณ์ในเมียนมาทำให้ธุรกิจต่างๆ เผชิญกับความยากลำบากเพิ่มมากขึ้น เนื่องจากอัตราเงินเฟ้อและกฎระเบียบทางการเงินที่ไร้เสถียรภาพ
เจ้าของธุรกิจรายหนึ่งที่ย้ายร้านมือถือและคอมพิวเตอร์จากเมียนมามาเปิดที่กรุงเทพฯ กล่าวว่า “ประเทศไทยมีสภาพแวดล้อมที่มีเสถียรภาพมากกว่า และตลาดกำลังเติบโตสำหรับผลิตภัณฑ์และบริการของเรา” โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อไทยเป็นตลาดทางเลือกที่สำคัญสำหรับนักธุรกิจเมียนมาที่ต้องการย้ายการดำเนินงานไปยังตลาดใหม่
การขยายตัวของธุรกิจเมียนมาในไทยนั้นได้แก่การเปิดสาขาของร้าน Cherry Oo ซึ่งเป็นร้านค้าปลีกนาฬิกาที่มีประวัติยาวนานเกือบ 40 ปีในเมียนมา และได้เปิดร้านสาขาแรกในกรุงเทพฯ เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา นอกจากนี้ ร้านอาหาร Khaing Khaing Kyaw ที่มีชื่อเสียงในเมียนมา ซึ่งให้บริการอาหารพม่าดั้งเดิม ก็ได้ขยายสาขาเข้าสู่ประเทศไทยเพื่อตอบสนองความต้องการที่เพิ่มขึ้นของลูกค้าชาวเมียนมา
“เราตัดสินใจเปิดสาขาใหม่ในกรุงเทพฯ เพื่อตอบสนองความต้องการที่เพิ่มขึ้น” ผู้จัดการร้านกล่าว พร้อมเสริมว่าร้านอาหารเครือข่ายนี้เติบโตจนมีสาขามากกว่า 10 แห่งในเมียนมาในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา และเริ่มเข้าสู่ตลาดไทยครั้งแรกในเดือนพฤศจิกายนปีที่แล้ว โดยมีแผนเปิดสาขาที่พัทยาและเชียงใหม่
การขยายธุรกิจของเมียนมาเข้ามาในประเทศไทยมีเป้าหมายหลักในการปกป้องสินทรัพย์ทางการเงินมากกว่าการสร้างผลกำไรในทันที นางซู นักวิจัยจากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยกล่าวว่า “มันไม่ได้เกี่ยวกับการสร้างผลกำไรทันที แต่เป็นการสร้างรากฐานที่มั่นคงและการย้ายทรัพย์สินไปยังสถานที่ที่ปลอดภัย”
แม้ว่าไม่มีตัวเลขสถิติอย่างเป็นทางการที่แสดงจำนวนประชากรเมียนมาที่แท้จริงในประเทศไทย แต่รายงานของโครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ (UNDP) ที่เผยแพร่เมื่อเดือนพฤศจิกายนปีที่ผ่านมาคาดว่า มีผู้อพยพทั่วไปจากเมียนมาจำนวน 1.9 ล้านคนในประเทศไทย เมื่อนับจนถึงสิ้นเดือนเมษายน 2566 และคาดว่า มีผู้อพยพจากเมียนมา 5 ล้านคนทั้งที่มีเอกสารและไม่มีเอกสาร ซึ่งปัจจุบันอาศัยอยู่ในประเทศไทย
นอกจากนี้ กฎหมายบังคับเกณฑ์ทหารที่ประกาศใช้ในเดือนกุมภาพันธ์ปีนี้ ได้กระตุ้นให้คนหนุ่มสาวจำนวนมากหลบหนีออกจากเมียนมา ส่งผลให้มีการขยายตัวในชุมชนเมียนมาและฐานผู้บริโภคในประเทศไทย ธุรกิจต่างๆ ตั้งแต่ร้านอาหารแบบดั้งเดิมของเมียนมาไปจนถึงร้านโทรศัพท์มือถือ และร้านค้าปลีกอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ต่างไล่ตามลูกค้าและใช้ประโยชน์จากความต้องการความสะดวกสบายและสินค้าจำเป็นในหมู่ผู้อพยพและผู้ลี้ภัยชาวเมียนมาในประเทศไทย
เครดิตภาพและข้อมูลจาก : นิกเกอิเอเชีย