Categories
AROUND CHIANG RAI FEATURED NEWS

ประวัติศาสตร์วงการโรงแรมไทย เดอะ ริเวอร์รีฯ คว้า Hall of Fame รางวัลสูงสุด “กินรี”

ประวัติศาสตร์วงการโรงแรมไทย เดอะ ริเวอร์รี บาย กะตะธานี’ คว้า Hall of Fame รางวัลสูงสุด ‘กินรี’ ตอกย้ำเชียงรายคือต้นแบบบริการระดับโลก

เชียงราย, 5 ตุลาคม 2568 – ยามเย็นริมแม่น้ำกกมักจะนิ่งและงดงาม แต่ในค่ำคืนนี้ ชื่อของโรงแรม เดอะ ริเวอร์รี บาย กะตะธานี คอลเล็คชั่น ไม่ได้สะท้อนเพียงประกายจากผิวน้ำ หากเปล่งประกายบนเวทีระดับประเทศ เมื่อโรงแรมจากจังหวัดเชียงราย “จารึก” ประวัติศาสตร์หน้าใหม่ให้แก่วงการโรงแรมไทย ด้วยการคว้ารางวัล Hall of Fame ซึ่งเป็นเกียรติยศสูงสุดของเวที Thailand Tourism Awards 2025 หรือที่รู้จักในนาม “รางวัลกินรี” ที่จัดโดยการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.)

ความสำเร็จครั้งนี้ไม่ได้หยุดแค่หนึ่ง แต่เป็น “ทริปเปิลรางวัล” ที่ชี้ชัดว่า “มาตรฐาน” และ “ความยั่งยืน” เดินคู่กันแบบจับต้องได้ ได้แก่

  1. Hall of Fame Awards – รางวัลเกียรติยศสูงสุด ประเภทที่พักนักท่องเที่ยว ซึ่งปีนี้มีเพียง 6 สถานประกอบการ จากทั่วประเทศที่ได้รับ และ เดอะ ร riverรี เป็นหนึ่งเดียวของประเภทที่พักที่ก้าวขึ้นสู่หอเกียรติยศจากการชนะต่อเนื่อง 3 ครั้ง,
  2. Thailand Tourism Excellence Awards – รางวัลยอดเยี่ยมด้านความเป็นเลิศการท่องเที่ยวไทย และ
  3. Thailand Tourism Sustainability Awards – รางวัลยืนยันการดำเนินงานสู่ความยั่งยืนอย่างเป็นรูปธรรม

พิธีมอบรางวัลซึ่งได้รับการขนานนามว่า “ออสการ์แห่งวงการท่องเที่ยวไทย” จัดขึ้นเมื่อวันที่ 5 ตุลาคม 2568 ณ อาคารอิมแพ็ค ฟอรั่ม เมืองทองธานี ท่ามกลางสายตาร่วมยินดีของผู้บริหารภาครัฐ เอกชน และตัวแทนอุตสาหกรรมท่องเที่ยวจากทั่วประเทศ

คุณนันทิดา อติเศรษฐ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร โรงแรมในเครือกะตะธานี คอลเล็คชั่น

รางวัลกินรีคือความภาคภูมิใจสูงสุดของผู้ประกอบการท่องเที่ยวไทย และคือผลลัพธ์จากความตั้งใจจริงของเราในการสร้างสรรค์คุณภาพ มาตรฐาน และการบริการที่ดีที่สุดเพื่อผู้มาเยือนเชียงรายและนักท่องเที่ยวจากทั่วโลก”
คุณสมบัติ อติเศรษฐ์ กล่าวในช่วงกล่าวต้อนรับ (5 ต.ค. 2568 เวลา 17.39 น.)

ด้าน คุณนันทิดา อติเศรษฐ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร โรงแรมในเครือกะตะธานี คอลเล็คชั่น เสริมว่า

“ความสำเร็จในครั้งนี้ไม่ใช่เพียงรางวัล แต่คือแรงผลักดันให้เราก้าวเดินต่อไปด้วยความมุ่งมั่นสู่ความยั่งยืน และการเป็นส่วนหนึ่งในการยกระดับการท่องเที่ยวไทยสู่ระดับสากล”

สามรางวัล” ที่สะท้อนระบบ มากกว่าความงามปลายทาง

รางวัลกินรีเกิดขึ้นตั้งแต่ปี พ.ศ. 2539 โดย ททท. เพื่อยกระดับคุณภาพการท่องเที่ยวไทย—ทั้งมิติประสบการณ์และความไว้วางใจของนักท่องเที่ยวทั่วโลก Hall of Fame จึงไม่ใช่รางวัลที่ได้จาก “ภาพลักษณ์สวยงาม” เพียงชั่วครู่ แต่เป็นเครื่องหมายว่าผู้ประกอบการรายนั้น รักษามาตรฐาน “ยอดเยี่ยม” อย่างสม่ำเสมอต่อเนื่อง 3 ครั้ง จนสมควรได้รับการยกขึ้นสู่ “หอเกียรติยศ”

ในเชิงการจัดการ นี่เทียบได้กับการทำ “ออดิตคุณภาพ” ข้ามเวลา ปีแรกอาจยาก, ปีที่สองเริ่มสร้างวัฒนธรรมองค์กร, ปีที่สามคือการพิสูจน์ว่าระบบทั้งหมด—ตั้งแต่แนวคิดบริการ การดูแลบุคลากร การบริหารซัพพลายเชน ไปจนถึงการเชื่อมโยงกับชุมชนและสิ่งแวดล้อม—อยู่ในราง จนเป็นเนื้อเดียวกับองค์กร

ความสำเร็จอันดับแรกก็มาจากทีมงานที่แข็งแกร่ง ที่ช่วยผลักดันโรงแรมให้พัฒนามาตรฐานและบริการระดับสากล… ลูกค้า คู่ค้า มหาวิทยาลัย ซัพพลายเออร์ ตลอดจนหน่วยงานราชการ ล้วนเป็น ‘ทุกฟันเฟือง’ ที่สำคัญในการผลักดันโรงแรม”
คุณนันทิดา อติเศรษฐ์ อธิบายถึงหัวใจเบื้องหลัง

เชียงรายในภาพใหญ่ บทพิสูจน์ของ “ปลายทางประสบการณ์”

เชียงรายเป็นหนึ่งในจังหวัดเป้าหมายของนักเดินทางที่มองหา ธรรมชาติ–วัฒนธรรม–ศิลปะ–และความสงบ การที่โรงแรมสัญลักษณ์ริมแม่น้ำกกคว้ารางวัลสูงสุดของประเทศ ตอกย้ำ ว่าเมืองแห่งนี้ไม่เพียง “สวย” แต่ “สุกงอม” ด้วยมาตรฐานบริการระดับสากล ซึ่งแปลความเป็นเศรษฐกิจได้ว่า ปลายทางมีความพร้อมรองรับนักท่องเที่ยวคุณภาพสูง ทั้งกลุ่มครอบครัว คู่รัก และตลาดไมซ์ขนาดกลางที่ให้ความสำคัญกับความยั่งยืน (Sustainability) และบริการที่ไว้ใจได้

นายรัฐพล นราดิศร ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย กล่าวแสดงความยินดี พร้อมชี้นัยสำคัญทางเศรษฐกิจอย่างตรงไปตรงมา

“การจะได้รับรางวัล Hall of Fame ได้นั้น โรงแรมต้องได้รับ Thailand Tourism Awards ต่อเนื่อง 3 ปีซ้อน ซึ่งสะท้อนถึงความทุ่มเท มุ่งมั่น และมาตรฐานการให้บริการที่ยอดเยี่ยม… ความสำเร็จนี้เป็นแบบอย่างที่ชัดเจนในการยกระดับมาตรฐานการท่องเที่ยวให้ก้าวไกลถึงระดับสากล”

ผู้ว่าราชการจังหวัดยังย้ำว่า การท่องเที่ยวคือกลไกขับเคลื่อนเศรษฐกิจ สร้างรายได้–กระจายโอกาส–สร้างงาน–ยกระดับคุณภาพชีวิต ของประชาชน ความสำเร็จของโรงแรมจึงไม่ได้หยุดอยู่ที่องค์กร แต่ “ไหลต่อ” ไปสู่ธุรกิจท้องถิ่นรอบข้าง ตั้งแต่ร้านอาหาร ช่างฝีมือ ไปจนถึงผู้ประกอบการนำเที่ยวชุมชน

Sustainability in Process ยุทธศาสตร์ที่อ่านออกในรางวัล

เบื้องหลังคำว่า “ความยั่งยืน” ของเดอะ ริเวอร์รี ไม่ได้เป็นเพียงนโยบายบนกระดาษ แต่ปรากฏเป็น “รางวัลด้านความยั่งยืน” ควบคู่กับ “ความเป็นเลิศ” เป้าหมายคือการทำให้ความยั่งยืน เป็นกระบวนการประจำวัน ตั้งแต่แผนพัฒนามาตรฐานงานบริการ, ระบบฝึกอบรมบุคลากร, การจัดซื้อที่คำนึงถึงชุมชน–สิ่งแวดล้อม, ไปจนถึงการใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ

รูปธรรมที่สะท้อนวิธีคิดดังกล่าวคือ ความร่วมมือ (Partnership) กับทุกภาคส่วน—ลูกค้าประจำ, คู่ค้า, มหาวิทยาลัย, ซัพพลายเออร์, หน่วยงานราชการ—เพื่อให้ทุกล้อเฟืองหมุนไปในทิศทางเดียวกัน เมื่อทุกฝ่ายมีส่วนได้ส่วนเสียร่วม จึงเกิด “ภูมิคุ้มกันเชิงระบบ” ทำให้องค์กรสามารถยืนระยะยาว และรักษามาตรฐานที่สูงไว้อย่างคงเส้นคงวา

จากรางวัล…สู่การออกแบบฤดูหนาว “Life of Light” 1 ธ.ค.–28 ก.พ.

ความสำเร็จที่เวทีมอบรางวัลไม่ใช่ “เส้นชัย” สำหรับเดอะ ริเวอร์รี แต่เป็น “จุดเริ่มต้น” ของการต่อยอดประสบการณ์ โดยเฉพาะเมื่อเชียงรายกำลังเข้าสู่ช่วง ไฮซีซันฤดูหนาว โรงแรมประกาศจัดกิจกรรมใหญ่ภายใต้ธีม “Life of Light” รูปแบบ สวนสนุกแห่งแสง นำไฟมาประดับกับเครื่องเล่นและจุดถ่ายภาพภายในพื้นที่ริมแม่น้ำกกอย่างต่อเนื่อง ยาว 3 เดือน ตั้งแต่ 1 ธันวาคม–28 กุมภาพันธ์ และจะสอดประสานกับเทศกาลในปฏิทิน เช่น ลอยกระทง–คริสต์มาส–ปีใหม่

แนวคิดนี้สะท้อน “วิธีคิดปลายทาง” 3 ข้อพร้อมกัน

  1. ช่วยกระตุ้นดีมานด์ระยะยาว ให้เชียงรายมีสีสันตลอดฤดูหนาว ไม่ใช่เพียงพีคเฉพาะสัปดาห์ปีใหม่,
  2. ต่อยอดแบรนด์ปลายทางริมแม่น้ำ ทำให้แม่น้ำกกเป็น “ฉาก” ของประสบการณ์ (ไม่ใช่แค่ทิวทัศน์), และ
  3. สร้างกิจกรรมครอบครัว–คู่รัก–ไมซ์ขนาดย่อม ที่ใช้เวลามากขึ้นในพื้นที่โรงแรมและย่านโดยรอบ เกิดการจับจ่าย–การจ้างงานแบบเป็นลูกโซ่

ตัวเลข–เกณฑ์–ภาพจำ” เหตุผลที่รางวัลกินรีถูกเรียกว่าออสการ์

รางวัลกินรีไม่ได้มอบให้จากความสวยงามภายนอก หากต้องผ่านเกณฑ์ที่สะท้อนสามเหลี่ยมคุณค่า ได้แก่ คุณภาพบริการ, ความปลอดภัย–ความเชื่อมั่น, และ ความยั่งยืน ที่ททท.วางไว้เพื่อสอดรับเป้าหมายยกระดับประเทศไทยสู่ปลายทางคุณภาพ นักเดินทางทั่วโลกจึงยอมรับอย่างกว้างขวางว่ารูปปั้น นางกินรี” บนฉากรับรางวัลคือสัญลักษณ์ของ ความงาม–คุณธรรม–การบริการด้วยหัวใจแบบไทยแท้

ในภาพของผู้บริโภคสมัยใหม่ ยิ่งปลายทางมี “รางวัลที่วัดผลได้–ตรวจสอบย้อนกลับได้” ความเสี่ยงของการเลือกที่พักก็ยิ่งลดลง จากมุมมองเชิงธุรกิจ “ตรากินรี” จึงมี มูลค่าทางการตลาด โดยตัวมันเอง เพราะทำหน้าที่เป็น ตราประทับคุณภาพ บนสื่อทุกชนิด ตั้งแต่เว็บไซต์โรงแรม โปสเตอร์ แพลตฟอร์มจองห้อง ไปจนถึงงานโรดโชว์ต่างประเทศ

คลี่ภาพ “ผลกระทบต่อระบบนิเวศท่องเที่ยวเชียงราย”

  1. การยกระดับมาตรฐานโดยรวม – เมื่อโรงแรมเรือธงของเมืองได้รับ Hall of Fame ผู้ประกอบการรายอื่นย่อม “ตั้งเข็ม” ตามมาตรฐานเดียวกัน เกิดการแข่งขันเชิงคุณภาพ (ไม่ใช่สงครามราคา)
  2. Multipliers ทางเศรษฐกิจ – กิจกรรมฤดูหนาวและการสื่อสารความสำเร็จใหม่ ๆ จะเพิ่มอัตราเข้าพัก (Occupancy) และค่าใช้จ่ายเฉลี่ยต่อทริป (Average Spend) ให้กับธุรกิจรอบข้าง
  3. ภาพจำปลายทาง – เชียงรายจะถูกมองเป็น “เมืองประสบการณ์” ที่นักท่องเที่ยวสามารถวางแผน 2–3 คืนเพื่อเสพธรรมชาติ–ศิลปะ–ชิมกาแฟพิเศษ–เดินริมกก–และพักในโรงแรมมาตรฐานสูงได้ในทริปเดียว

น้ำเสียงจากภาครัฐ รางวัลที่ไปไกลกว่าโล่ห์

“การท่องเที่ยวยังคงเป็นกลไกสำคัญของจังหวัดเชียงรายและประเทศ สร้างรายได้ กระจายโอกาส สร้างงาน และยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน… ความสำเร็จของเดอะ ริเวอร์รีคือแบบอย่างที่ชัดเจน” — ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย

เมื่อคำกล่าวของผู้ว่าฯ สะท้อนวิสัยทัศน์ระดับจังหวัด และคำกล่าวของผู้บริหารโรงแรมสะท้อนพันธกิจระดับองค์กร ภาพที่เห็นตรงกันคือ “การเติบโตที่มีมาตรฐาน” และ “ความยั่งยืนที่อยู่ในกระบวนการ” ซึ่งจะเป็นฐานให้เชียงรายยืนระยะในตลาดโลกได้ในระยะยาว

คำถามที่ตอบแล้วในเวทีรางวัล ทำอย่างไรให้ “ชนะซ้ำได้ 3 ครั้ง”

หากสรุปบทเรียนที่ถอดได้จากเดอะ ร riverรี ในกรอบคิดเป็นกลาง มี 4 ข้อหลักที่องค์กรบริการใด ๆ ก็ปรับใช้ได้จริง

  • ทำให้มาตรฐานกลายเป็นกิจวัตร จากคู่มือสู่พฤติกรรมทีมงาน ต้องฝึกจนเป็นธรรมชาติ
  • สร้างพันธมิตรในเมือง นักท่องเที่ยวที่ประทับใจ “ย่าน” จะรัก “โรงแรม” โดยปริยาย
  • ออกแบบฤดูกาล ปฏิทินกิจกรรมล่วงหน้ายาว ๆ ทำให้ตลาดวางแผนเดินทางได้
  • สื่อสารอย่างโปร่งใส การเล่าเรื่องรางวัล–แนวทางยั่งยืน–พันธมิตรท้องถิ่น ช่วยเพิ่มความไว้วางใจ

ก้าวต่อไป จาก “หอเกียรติยศ” สู่ “เรือธงการท่องเที่ยวฤดูหนาว”

ภายใต้ธีม Life of Light ที่จะเริ่ม 1 ธันวาคม นี้ เดอะ ริเวอร์รีกำลังแปลงพื้นที่ริมแม่น้ำกกให้เป็น “สวนสนุกแห่งแสง” เชื่อมโยงกับวัฒนธรรม–เทศกาลไทยในฤดูหนาว แนวทางนี้ไม่เพียงเติม เหตุผลใหม่ให้กลับมาเชียงราย หากยังสื่อสารให้เห็นว่าแบรนด์โรงแรมไม่ได้หยุดอยู่กับถ้วยรางวัล แต่ เคลื่อนไหวอยู่บนเวทีจริง ทุกคืนที่เปิดไฟ ทุกกิจกรรมที่เชื่อมกับชุมชน และทุกรอยยิ้มของผู้มาเยือน

“เราจะไม่หยุดอยู่เพียงแค่นี้ แต่จะเดินหน้าต่อเพื่อยกระดับมาตรฐานการท่องเที่ยวไทยอย่างยั่งยืน” — แถลงปิดท้ายของผู้บริหาร

สำหรับเชียงราย นี่ไม่ใช่เพียงชัยชนะของโรงแรมเดียว แต่เป็น สัญญาณเชิงระบบ ว่าเมืองพร้อมเดินหน้าสู่การเป็น ต้นแบบปลายทางบริการระดับโลก ที่ผสานคุณภาพ–วัฒนธรรม–ความยั่งยืน เข้าด้วยกันอย่างลงตัว

สรุปสาระสำคัญ (Key Takeaways)

  • เดอะ ริเวอร์รี บาย กะตะธานี คว้า Hall of Fame จากรางวัลกินรี 2025 หลังรักษามาตรฐานยอดเยี่ยม 3 ครั้งต่อเนื่อง พร้อมคว้า Excellence และ Sustainability รวม 3 รางวัลใหญ่
  • ผู้บริหารย้ำ “Sustainability in Process” และความร่วมมือทุกฟันเฟือง—ลูกค้า คู่ค้า มหาวิทยาลัย ซัพพลายเออร์ หน่วยงานรัฐ—คือหัวใจความสำเร็จ
  • จังหวัดตอกย้ำว่า การท่องเที่ยวคือเครื่องยนต์เศรษฐกิจ—รางวัลที่ได้จึง “กระจายผลดี” สู่ทั้งระบบนิเวศธุรกิจท้องถิ่น
  • โรงแรมต่อยอดด้วยเทศกาลฤดูหนาว Life of Light ช่วง 1 ธ.ค.–28 ก.พ. ผสานลอยกระทง–คริสต์มาส–ปีใหม่ เพื่อยืดดีมานด์และสร้างประสบการณ์ริมแม่น้ำกก
  • ผลรวมทั้งหมดสะท้อนว่า เชียงราย กำลังวางตัวเป็น “ปลายทางประสบการณ์และบริการคุณภาพ” ที่ยืนระยะได้ยั่งยืน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.)
  • Thailand Tourism Awards 2025
  • โรงแรม เดอะ ริเวอร์รี บาย กะตะธานี คอลเล็คชั่น (The Riverie by Katathani Collection)
  • สำนักประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย/จังหวัดเชียงราย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI FEATURED NEWS

อาหารอาข่า Soft Power! ดอยผาหมีคว้า รองแชมป์โลก SISTA 2025 การท่องเที่ยวโดยชุมชน

ดอยผาหมี” คว้ารองแชมป์โลก SISTA 2025 เมื่อกาแฟ-อาหารอาข่า กลายเป็น Soft Power ที่วัดผลได้

เชียงราย, 27 กันยายน 2568 — หมอกเช้าคลอเส้นสันดอย เสียงครกตำสมุนไพรดังสลับกลิ่นกาแฟคั่วใหม่ “ผาหมี” ตื่นตัวเหมือนทุกวัน—ทว่าที่แตกต่าง คือเสียงเฮจากชุมชนเล็ก ๆ บนแนวภูเขาแม่สายที่ไปสะท้อนบนเวทีโลก ชุมชนบ้านดอยผาหมีคว้า “รางวัลรองชนะเลิศ” จากเวที Skål International Sustainable Tourism Awards (SISTA) 2025 ในปีที่มีผู้สมัคร 106 โครงการจาก 30 ประเทศ โปยความภาคภูมิใจกลับสู่ครัวอาข่าและโรงคั่วกาแฟท้องถิ่นอีกครั้ง

ข่าวดีครั้งนี้ ไม่ได้เป็นเพียง “ถ้วยรางวัล” แต่คือ “หลักฐาน” ว่าการท่องเที่ยวโดยชุมชนของไทย—เมื่อวางบนฐานวัฒนธรรมที่จริงแท้และการจัดการที่เป็นระบบ—สามารถแข่งขันในมาตรฐานสากลได้อย่างแท้จริง

จากสันดอยชายแดน สู่รางวัลโลก CBT ที่ยืดหยุ่นและเป็นสากล

โมเดลความสำเร็จของ วิสาหกิจชุมชนกลุ่มท่องเที่ยวดอยผาหมี มีแกนกลางชัดเจน—สร้างรายได้สองขาเพื่อเสถียรภาพ (dual engines):

  1. กาแฟอาราบิก้าแบรนด์ “กาแฟผาหมี” ที่ชุมชนครอบคลุมห่วงโซ่คุณค่าตั้งแต่ปลูก–แปรรูป–ดริปเสิร์ฟเอง จนถึงหน้าร้าน และ
  2. การท่องเที่ยวเชิงประสบการณ์ ที่ “ให้ชุมชนเป็นครู” พาเรียนรู้วิถีกาแฟ พิธี–ภาษา–การแต่งกาย–และ “ครัวอาข่า” ที่พาผู้มาเยือนลงมือทำ

ผลลัพธ์คือรายได้ที่ไม่ผันผวนตามฤดูกาลท่องเที่ยวเพียงอย่างเดียว ช่วยให้ชุมชน “ไม่ยอมจำนน” ต่อจำนวนนักท่องเที่ยว แต่มุ่งไปให้สุดที่ “คุณภาพประสบการณ์” และ “ศักดิ์ศรีทางวัฒนธรรม”

คุณผกากานต์ รุ่งประชารัตน์ (“แมว”) ประธานวิสาหกิจชุมชนฯ เล่าให้ฟังบ่อยครั้งว่า อาหารอาข่าไม่ใช่เพียงเมนูอิ่มท้อง แต่คือ “วัฒนธรรมที่กินได้”—เรื่องเล่าของภูมิปัญญาป่า สมุนไพรพื้นบ้าน ข้าวดอย และรสที่เรียบง่ายจากเกลือกับสมุนไพร มากกว่าจะเร่งรสด้วยเครื่องปรุงเข้ม ๆ ทว่าให้ความสุขยืนยาวกับร่างกาย

“ทุกจานคือเรื่องเล่าของบ้านเรา—หมูผัดรากชู ลาบดอย ยำผักอาข่า ปลานิลหมกสิม๊ะแชะ… ใครได้ลอง จะจำรสชาติผาหมีไปนาน” — ผกากานต์ รุ่งประชารัตน์ ประธานวิสาหกิจชุมชนฯ

Soft Power จาก “ครัวอาข่า” เมื่อกาสะลองกลิ่นสมุนไพรกลายเป็นเศรษฐกิจสร้างสรรค์

ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา “อาหารอาข่า” กลายเป็น Soft Power ที่ทรงพลังของผาหมี ทั้งในฐานะ กิจกรรมเรียนรู้เชิงประสบการณ์ (Cooking Class/Experiential Tourism) และการต่อยอดสู่ Chef’s Table/Delivery ในเมืองใหญ่ ภายใต้แนวคิด “Local Aroi” นำวัตถุดิบ–เรื่องเล่าจากชุมชนสู่คนเมือง โดยยังยึดสูตรดั้งเดิมและความดีต่อสุขภาพเป็นความแตกต่าง

เมนูเด่นอย่าง หมูผัดรากชู ใช้ “หอมชู/รากชู” เป็นตัวเอก—สมุนไพรพื้นถิ่นที่ชาวอาข่าคุ้นมือ ลาบดอย ที่เน้นเครื่องสมุนไพรและกลิ่นหอมไม่ซ้ำใคร ยำผักอาข่า (ห่อปะโซะ) ที่เบาแต่เปี่ยมคุณค่า และ ปลานิลหมกสิม๊ะแชะ ที่ชูผลไม้ป่ากับเครื่องเทศท้องถิ่น—ทุกคำคือเรื่องเล่าความสัมพันธ์ระหว่างคนกับป่า และคือ “รหัสวัฒนธรรม” ที่จับต้องได้ของอาข่า

เกณฑ์ SISTA–Biosphere ชี้ทางสู่มาตรฐานสากล

เวที Skål International ให้ความสำคัญกับผลลัพธ์เชิงสังคม สิ่งแวดล้อม และธรรมาภิบาล โดยเฉพาะ “โครงการที่มีส่วนร่วมหลายภาคส่วนและเกิดผลต่อชุมชนจริง” ผู้ได้รับรางวัลยังได้รับสิทธิ์ใช้งานแพลตฟอร์ม Biosphere Sustainable ฟรี 1 ปี—ซึ่งไม่ได้เป็นเพียง “ของรางวัล” แต่คือ “เครื่องมือวางแผนและวัดผล” ที่ผลักให้โครงการต้องกำหนดยุทธศาสตร์ความยั่งยืนส่วนบุคคล (Personalized Sustainability Plan) สอดรับเป้าหมาย SDGs

สำหรับดอยผาหมี นี่คือจังหวะสำคัญในการ “แปลงความสำเร็จภาคสนาม” ให้เป็น “มาตรฐานที่ตรวจสอบได้” ผ่านตัวชี้วัด เช่น การจัดการของเสียในโฮมสเตย์ การประเมินผลกระทบทางวัฒนธรรมของกิจกรรมใหม่ ๆ หรือการติดตามผลกระทบสิ่งแวดล้อมตลอดห่วงโซ่กาแฟ—จากไร่จนถึงถ้วย

บทพิสูจน์หลัง “ถ้ำหลวง 2561” ถึง “อุทกภัย 2567”

ย้อนไปปี 2561 หลังเหตุการณ์ “ถ้ำหลวง–ขุนน้ำนางนอน” ความสนใจจากทั่วโลกหลั่งไหลสู่เชียงราย—และกระทบชุมชนชายดอยโดยรอบอย่างไม่ทันตั้งตัว ดอยผาหมีถูกทดสอบด้วย “ดีมานด์พุ่งสูง” ในเวลาอันสั้น ชุมชนตอบโจทย์ด้วยการปรับปรุงการบริการ คุมคุณภาพโฮมสเตย์ กำหนดบทบาทสมาชิก และสร้างกิจกรรมเรียนรู้ที่ “จริงและปลอดภัย” จนความพึงพอใจนักท่องเที่ยวอยู่ระดับ “มากที่สุด” อย่างสม่ำเสมอ

ข้ามมาปี 2567 อุทกภัยและดินโคลนถล่มสร้างความเสียหายสำคัญต่อชุมชนในช่วง High Season แต่แทนที่จะ “รอ” งบเยียวยา ชุมชนจับมือกับ อพท.เชียงราย จัดกิจกรรม ขันโตกอาข่า ท้าลมหนาว ณ ดอยผาหมี” เชิญนักท่องเที่ยวกลับมาสนับสนุนโดยตรง รายได้ถูกนำไปฟื้นฟูภูมิทัศน์–โครงสร้างพื้นฐาน และเยียวยาครัวเรือนที่ได้รับผลกระทบ—นี่คือ Self-Financed Recovery ที่สะท้อน “ความยืดหยุ่นและวุฒิภาวะ” ของธรรมาภิบาลชุมชน และสอดรับเกณฑ์ “ความรับผิดชอบต่อสังคม” ของ SISTA อย่างเป็นรูปธรรม

3 เสาหลักที่ทำให้ผาหมี “ชนะใจ” คณะกรรมการ

(1) เศรษฐกิจสองขา: กาแฟคุณภาพ + ประสบการณ์คุณค่า
แบรนด์ “กาแฟผาหมี” ทำให้ชุมชนถือกุญแจทั้งห่วงโซ่ ตั้งแต่ไร่ถึงแก้ว เกิดรายได้ต่อเนื่องตลอดปี ลดความผันผวนของรายได้จากนักท่องเที่ยวที่ขึ้นลงตามฤดูกาล และเปิดพื้นที่ให้การท่องเที่ยวมุ่งสู่ “คุณภาพ/ราคาที่สะท้อนคุณค่า” มากกว่า “ปริมาณผู้มาเยือน”

(2) มรดกจับต้องไม่ได้: อาหาร–พิธี–ภาษา คือหัวใจ
ชุมชนเลือกเน้น “การถ่ายทอดวัฒนธรรมผ่านการลงมือทำ” (learning by doing) มากกว่า “ขายของที่ระลึก” แยกส่วน นักท่องเที่ยวจึงได้ สัมผัส–ลิ้มรส–เรียนรู้ โดยตรง เกิดความเข้าใจและเคารพในวัฒนธรรมอาข่าอย่างแท้จริง

(3) ธรรมาภิบาลและความยืดหยุ่น
วิสาหกิจชุมชนทำหน้าที่ “ศูนย์กลางกำกับดูแล” ที่เปิดให้สมาชิกมีส่วนร่วมสูง จัดสรรบทบาท–ผลประโยชน์โปร่งใส จัดคิวโฮมสเตย์–มาตรฐานบริการ และมี “แผนจัดการวิกฤต” จากประสบการณ์จริง—แสดงความพร้อมบนสันดอยที่ท้าทายทั้งภูมิอากาศและภูมิประเทศ

เสียงสะท้อนจากหน่วยงานสนับสนุน อพท.ชี้ “จากหมู่บ้านกาแฟ สู่แลนด์มาร์ก Gastronomy Tourism”

องค์การบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน (อพท.) แสดงความยินดีพร้อมระบุว่า โมเดลดอยผาหมีสอดคล้องกับทิศทางการขับเคลื่อน เชียงราย เมืองสร้างสรรค์ยูเนสโก (UCCN) ด้านการออกแบบ” ที่ได้รับรองในปี 2566 และสอดคล้องการพัฒนา “อุทยานธรณีเชียงราย” ที่เชื่อมโยงเส้นทางท่องเที่ยวเชิงนิเวศ–วัฒนธรรม ชี้เป้าอนาคตชัดเจนว่า ดอยผาหมี ไม่ควรหยุดอยู่เพียง “หมู่บ้านกาแฟ” หากกำลัง “ยกครัวอาข่า” สู่ Gastronomy Tourism ที่วางมาตรฐานการเรียนรู้จากเจ้าของภูมิปัญญา—ดูของจริง—ลงมือทำจริง

จากรางวัลสู่แผนที่เดินต่อ ทำ “Playbook ผาหมี” ให้ประเทศนำไปใช้

ชัยชนะระดับโลกครั้งนี้จะมีความหมายสูงสุด เมื่อ “ต่อยอดได้จริง” บน 3 เส้นทางหลัก

ทำมาตรฐานให้ตรวจสอบได้ (Biosphere Plan) ใช้สิทธิ์แพลตฟอร์ม Biosphere Sustainable ฟรี 1 ปี จัดทำแผนความยั่งยืนรายหมู่บ้าน–รายกิจกรรม กำหนดตัวชี้วัดที่ชัดเจน ทั้งด้านสิ่งแวดล้อม (ของเสีย น้ำ พลังงาน) สังคม (การกระจายรายได้/การจ้างงานในท้องถิ่น) และวัฒนธรรม (การถ่ายทอด–ประเมินผลกระทบทางวัฒนธรรมของกิจกรรมใหม่) ปรับตำแหน่งสู่ High-Value/Niche Market สื่อสารสถานะ “รองชนะเลิศ SISTA 2025” ในทุกจุดสัมผัส—ตั้งแต่สื่อออนไลน์–ป้ายหน้างาน–สคริปต์ไกด์–เมนูอาหาร—เพื่อย้ำความแตกต่างจากการท่องเที่ยวชาติพันธุ์แบบผิวเผิน ดึงดูดนักเดินทางคุณภาพสูงที่ให้คุณค่ากับความรับผิดชอบและความแท้จริง เขียน “คู่มือผาหมี” (Replication Playbook) ถอดบทเรียนการตั้งกลไกวิสาหกิจชุมชน การจัดสรรบทบาท การจัดคิวโฮมสเตย์ การออกแบบกิจกรรมเรียนรู้–Storytelling ครัวอาข่า และการบูรณาการเกษตรมูลค่าสูง (กาแฟ) กับการท่องเที่ยว—เพื่อให้ชุมชนชาติพันธุ์–พื้นที่สูงอื่น ๆ ทำซ้ำได้รวดเร็วและปลอดภัยต่อวัฒนธรรม

ความเสี่ยงที่ต้องเฝ้า ปกป้อง “ความแท้” ให้คงอยู่กับการเติบโต

เมื่อความนิยมเพิ่มขึ้น ความเสี่ยง กัดกร่อนทางวัฒนธรรม” ก็เพิ่มตาม ชุมชนและหน่วยงานต้องร่วมกันวาง Cultural Impact Assessment (CIA) สำหรับกิจกรรม/สินค้าใหม่ ไม่ให้แรงกดดันทางพาณิชย์ทำให้ความหมายทางวัฒนธรรมถอยหาย ตลอดจนวางแผนโครงสร้างพื้นฐานให้ “ทนทานสภาพภูมิอากาศ” มากขึ้น ลดความเสี่ยงซ้ำรอยอุทกภัย–ดินถล่มในปีที่ผ่านมา

มาตรวัดที่มากกว่า “ยอดเช็กอิน” เพราะการเปลี่ยนแปลงเริ่มที่ครัวอาข่า

รางวัล SISTA 2025 ส่งสัญญาณสำคัญว่ามาตรฐานสากล “ให้คะแนน” กับความจริงแท้และผลลัพธ์ที่ชุมชนมีส่วนกำหนด มิใช่เพียงยอดผู้มาเยือนหรือภาพสวยบนอินสตาแกรม ความสำเร็จของผาหมีจึงเป็น ชัยชนะของวิธีคิด—ว่าความยั่งยืนต้องวัดผลได้ด้วยตัวชี้วัด และต้องเล่าได้ด้วยเรื่องราวของคนในพื้นที่

บนกระดาษประกาศรางวัล อาจเขียนเพียง “รองชนะเลิศ” แต่ในสายตานักเดินทางและผู้กำหนดนโยบาย นี่คือ “แชมป์ใจ” ที่ทำให้เราเห็นว่าหมู่บ้านเล็กบนสันดอยสามารถเป็นห้องเรียนความยั่งยืนของประเทศ—และเป็น “พิมพ์เขียว” ให้ชุมชนอื่นเดินตาม

ดอยผาหมีชนะ เพราะไม่เคยพยายามเป็น “ของฝาก” ให้เมืองใหญ่ แต่เลือกเป็น “ครัว” ให้โลกเรียนรู้—จากเมล็ดกาแฟถึงสมุนไพรในครก, จากพิธีโล้ชิงช้า ถึงยำผักอาข่าที่ทุกคนทำเองได้ ในวันที่โลกถามหาการท่องเที่ยวที่รับผิดชอบ—ผาหมีตอบด้วยการทำให้เห็น และวันนี้โลกตอบกลับด้วยรางวัล

ภารกิจต่อจากนี้ คือ ยกระดับจาก “รางวัล” สู่ “มาตรฐาน” ใช้ Biosphere สร้างแผนวัดผลที่เข้มแข็ง ทำ Playbook เพื่อขยายผล และปกป้องความแท้ของวัฒนธรรมด้วยเครื่องมือประเมินผลกระทบทางวัฒนธรรม เมื่อทำครบวงจร—ผาหมีจะไม่เพียงเป็น “ที่เที่ยวดัง” แต่จะเป็น “สถาบันเรียนรู้การท่องเที่ยวยั่งยืน” ของไทยบนเวทีโลก

ใครมาเชียงราย—อย่าลืมขึ้นดอยผาหมี ชิมกาแฟ ลองยำผักอาข่า และฟังเรื่องเล่าจากเจ้าของครัวเอง เพราะที่นี่ “ไม่ได้เสิร์ฟแค่ความอร่อย แต่เสิร์ฟวัฒนธรรมที่กินได้”

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • Skål International – Sustainable Tourism Awards (SISTA) 2025
  • Biosphere Sustainable Platform
  • องค์การบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน (อพท.)
  • วิสาหกิจชุมชนกลุ่มท่องเที่ยวดอยผาหมี (Doi Pha Mee Community Enterprise
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News