Categories
NEWS UPDATE

ผลโพลล่าสุด ปชช. พอใจรัฐบาล 6 เดือน “โอกาสไทยทำได้จริง”

นายกฯ ขอบคุณประชาชน พอใจผลงานรัฐบาล 6 เดือนแรก มั่นใจ “2568 โอกาสไทยทำได้จริง”

ประเทศไทย, 16 มีนาคม 2568 – นายกรัฐมนตรีขอบคุณผลสำรวจความคิดเห็นของประชาชน ซึ่งระบุว่าคนส่วนใหญ่พอใจต่อผลงานการบริหารประเทศในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา ภายใต้แคมเปญ “2568 โอกาสไทยทำได้จริง” พร้อมย้ำว่า รัฐบาลจะทำงานหนักขึ้นเพื่อให้เศรษฐกิจดีขึ้น และประชาชนมีคุณภาพชีวิตที่ดียิ่งขึ้นในอนาคตอันใกล้

ผลสำรวจระบุประชาชนพึงพอใจรัฐบาล 52.7%

นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ผลสำรวจความคิดเห็นประชาชนในหัวข้อ ประเมินผลงานรัฐบาล แพทองธาร รอบ 6 เดือน” โดย นอร์ทกรุงเทพโพล มหาวิทยาลัยนอร์ทกรุงเทพ พบว่า ประชาชน 52.7% มีความพึงพอใจต่อผลงานของรัฐบาล โดยแบ่งเป็น พอใจมาก 21.2% และพอใจ 31.5% ในขณะที่ ไม่พอใจ 29.8% และไม่พอใจมาก 11.5%

นายกรัฐมนตรีกล่าวขอบคุณทุกความคิดเห็น พร้อมย้ำว่า “2568 โอกาสไทยทำได้จริง” ไม่ใช่แค่สโลแกน แต่เป็นเป้าหมายที่รัฐบาลมุ่งมั่นเพื่อให้ประชาชนเห็นผลลัพธ์และได้รับประโยชน์โดยตรง”

โครงการที่ประชาชนพอใจมากที่สุด

ผลสำรวจยังสอบถามถึง โครงการของรัฐบาลที่ประชาชนชื่นชอบมากที่สุด โดยผลลัพธ์เรียงลำดับจากมากไปน้อย ได้แก่:

  1. โครงการดิจิทัลวอลเล็ต – 25.2%
  2. การปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์ – 22.4%
  3. การปราบปรามยาเสพติด – 10.6%
  4. การจัดการปัญหาน้ำท่วม-น้ำแล้ง – 10.6%
  5. โครงการ 30 บาทรักษาทุกที่ – 9.7%
  6. นโยบายรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย – 8.8%
  7. มาตรการลดหมอกควัน PM 2.5 – 3.2%
  8. การแก้ไขปัญหาหนี้ครัวเรือน – 2.7%
  9. การปราบปรามบุหรี่ไฟฟ้า – 2.2%
  10. โครงการอื่น ๆ – 4.6%

นายกรัฐมนตรีระบุว่า รัฐบาลพร้อมรับฟังทุกข้อเสนอแนะ และจะนำไปปรับปรุงการบริหารประเทศให้ตอบโจทย์ประชาชนได้มากที่สุด

กระทรวงที่มีผลงานโดดเด่นมากที่สุด

จากผลสำรวจ ประชาชนมองว่า 5 กระทรวงที่มีผลงานโดดเด่นมากที่สุด ได้แก่:

  1. กระทรวงคมนาคม – 16.2%
  2. กระทรวงกลาโหม – 12.6%
  3. กระทรวงการคลัง – 9.6%
  4. กระทรวงมหาดไทย – 9.4%
  5. กระทรวงศึกษาธิการ – 8.1%

ในขณะที่กระทรวงอื่น ๆ ก็มีผลงานที่ได้รับความสนใจจากประชาชน เช่น กระทรวงพลังงาน กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม

เสียงสะท้อนจากประชาชน – มุมมองที่แตกต่าง

ฝ่ายสนับสนุน

  • ประชาชนที่พอใจมองว่า รัฐบาลสามารถดำเนินนโยบายสำคัญได้อย่างมีประสิทธิภาพ เช่น ดิจิทัลวอลเล็ต และ การปราบปรามอาชญากรรมออนไลน์
  • มีความพึงพอใจต่อการบริหารจัดการปัญหาเร่งด่วน เช่น การลดภาระค่าครองชีพ และการพัฒนาระบบสาธารณสุข

ฝ่ายที่มีข้อกังวล

  • บางส่วนเห็นว่า ยังมีปัญหาด้านเศรษฐกิจ และค่าครองชีพที่สูงขึ้น ซึ่งต้องการให้รัฐบาลเร่งแก้ไข
  • มีกลุ่มที่มองว่า มาตรการบางอย่าง เช่น ดิจิทัลวอลเล็ต ควรมีรายละเอียดที่ชัดเจนและโปร่งใสกว่านี้

สถิติและข้อมูลอ้างอิง

  • แหล่งที่มาของผลสำรวจ: นอร์ทกรุงเทพโพล มหาวิทยาลัยนอร์ทกรุงเทพ (สำรวจวันที่ 15 มีนาคม 2568)
  • จำนวนกลุ่มตัวอย่าง: 1,500 ราย จากทั่วประเทศ
  • อัตราความพึงพอใจของประชาชนต่อรัฐบาล: 52.7% พอใจ, 29.8% ไม่พอใจ, 11.5% ไม่พอใจมาก
  • โครงการรัฐบาลที่ได้รับความนิยมมากที่สุด: ดิจิทัลวอลเล็ต (25.2%)
  • กระทรวงที่ประชาชนมองว่ามีผลงานโดดเด่นมากที่สุด: กระทรวงคมนาคม (16.2%)

สรุป

รัฐบาลภายใต้การนำของ นางสาวแพทองธาร ชินวัตร ได้ดำเนินนโยบายสำคัญและเห็นผลเป็นรูปธรรมในช่วง 6 เดือนแรก ซึ่งสะท้อนจากผลสำรวจประชาชนที่พึงพอใจถึง 52.7% อย่างไรก็ตาม ยังมีประชาชนบางส่วนที่มองว่า ยังต้องมีการพัฒนาในบางจุด โดยเฉพาะด้านเศรษฐกิจและค่าครองชีพ

นายกรัฐมนตรีย้ำว่า รัฐบาลจะมุ่งมั่นพัฒนาประเทศต่อไป เพื่อให้ “2568 โอกาสไทยทำได้จริง” เป็นปีที่ประชาชนมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น และเศรษฐกิจไทยก้าวหน้าอย่างมั่นคง

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : นอร์ทกรุงเทพโพล มหาวิทยาลัยนอร์ทกรุงเทพ

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
NEWS UPDATE

“เราเที่ยวด้วยกัน” คัมแบ็ก! รัฐจ่ายครึ่ง เที่ยวคุ้ม พ.ค.-ก.ย.

เราเที่ยวด้วยกัน” กลับมาอีกครั้ง! รัฐช่วย 50% กระตุ้นท่องเที่ยวช่วงโลว์ซีซั่น

กรุงเทพฯ, 28 กุมภาพันธ์ 2568 – ข่าวดีสำหรับนักท่องเที่ยวไทย! โครงการ เราเที่ยวด้วยกัน” กำลังจะกลับมาอีกครั้ง โดยปรับโฉมใหม่ในรูปแบบ รัฐจ่าย 50% และประชาชนจ่ายอีก 50% ซึ่งจะช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายของนักเดินทาง และกระตุ้นอุตสาหกรรมท่องเที่ยวในช่วงโลว์ซีซั่น ระหว่าง พฤษภาคม – กันยายน 2568

โครงการนี้จะมี เฟสแรกจำนวน 1 ล้านสิทธิ์ ครอบคลุม ค่าใช้จ่ายโรงแรมและร้านอาหาร ส่วนค่าโดยสารเครื่องบินกำลังอยู่ระหว่างการพิจารณาเพิ่มเติม คาดว่าการเปิดลงทะเบียนจะได้รับการตอบรับอย่างล้นหลามจากนักท่องเที่ยวทั่วประเทศ

ภาครัฐอัดงบ 3,500 ล้านบาท กระตุ้นท่องเที่ยวช่วงกลางปี

นาย สรวงศ์ เทียนทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เปิดเผยว่า รัฐบาลกำลังเตรียม เสนอของบประมาณกลาง 3,500 ล้านบาท เพื่อดำเนินโครงการนี้ โดยได้รับความร่วมมือจากกระทรวงการคลังในการพิจารณารายละเอียดของมาตรการ

เงื่อนไขของโครงการ “เราเที่ยวด้วยกัน” โฉมใหม่ มีรายละเอียดดังนี้:

  • รัฐสนับสนุนค่าใช้จ่าย 50% และประชาชนจ่ายเอง 50%
  • สามารถใช้สิทธิ์กับโรงแรมที่พัก และร้านอาหาร ที่เข้าร่วมโครงการ
  • เปิดให้ จองสิทธิ์ล่วงหน้า 1 ล้านสิทธิ์
  • ใช้สิทธิ์ได้ระหว่าง พฤษภาคม – กันยายน 2568

ส่วนของ ตั๋วเครื่องบิน ขณะนี้กระทรวงการท่องเที่ยวฯ และกระทรวงการคลังกำลังหารือว่ารัฐจะสามารถสนับสนุนได้หรือไม่ ซึ่งคาดว่าจะมีความชัดเจนเร็ว ๆ นี้

ระบบการจองผ่านแพลตฟอร์มกลาง พร้อมดึง OTA และโรงแรมเข้าร่วม

เพื่อความสะดวกของนักท่องเที่ยว กระทรวงการท่องเที่ยวฯ มีแผนพัฒนา แพลตฟอร์มกลาง เพื่อให้สามารถจองสิทธิ์ได้อย่างง่ายดาย โดยคาดว่าจะมีการเปิดรับ บริษัทท่องเที่ยวออนไลน์ (OTA) เช่น Agoda, Booking.com, Traveloka และโรงแรมโดยตรงให้เข้าร่วมโครงการ นักท่องเที่ยวสามารถเลือกจองห้องพักและบริการได้สะดวกขึ้น

รัฐคาดหวังว่าโครงการนี้จะช่วยกระตุ้นการท่องเที่ยวภายในประเทศ โดยเฉพาะในช่วงกลางปีที่มักเป็นช่วง โลว์ซีซั่น ของการท่องเที่ยวไทย ช่วยให้โรงแรม ร้านอาหาร และสถานที่ท่องเที่ยวสามารถฟื้นตัวจากภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว

ผลกระทบและความคาดหวังของโครงการ

  • ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจภาคการท่องเที่ยว ซึ่งเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมหลักของประเทศไทย
  • ส่งเสริมการเดินทางในช่วงโลว์ซีซั่น ให้ธุรกิจโรงแรมและร้านอาหารมีรายได้มากขึ้น
  • ลดภาระค่าใช้จ่ายของประชาชน ที่ต้องการเดินทางท่องเที่ยวในประเทศ
  • ส่งเสริมให้เกิดการจ้างงานในภาคท่องเที่ยว ที่ได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว

สถิติที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทย

  • จำนวนนักท่องเที่ยวไทยในประเทศ ปี 2567: 135 ล้านคน (ที่มา: ททท.)
  • รายได้จากการท่องเที่ยวภายในประเทศ ปี 2567: 650,000 ล้านบาท (ที่มา: กระทรวงการท่องเที่ยวฯ
  • โรงแรมที่เข้าร่วมโครงการ “เราเที่ยวด้วยกัน” ปี 2566: กว่า 10,000 แห่ง (ที่มา: ททท.)
  • ค่าใช้จ่ายเฉลี่ยต่อทริปของนักท่องเที่ยวไทย: 5,200 บาท/ทริป (ที่มา: ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจการท่องเที่ยว)

บทสรุป

โครงการ เราเที่ยวด้วยกัน” โฉมใหม่ ได้รับการออกแบบมาเพื่อ ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจท่องเที่ยวภายในประเทศ ในช่วงโลว์ซีซั่น โดยภาครัฐเพิ่มสัดส่วนการสนับสนุนเป็น 50% และเปิดให้จอง 1 ล้านสิทธิ์ นักท่องเที่ยวที่ต้องการใช้สิทธิ์ควรติดตามข่าวสารและเตรียมตัวให้พร้อมเมื่อโครงการเปิดรับลงทะเบียน เพราะสิทธิ์อาจหมดอย่างรวดเร็ว

รัฐบาลคาดว่า โครงการนี้จะมีผลช่วยเพิ่มการเดินทางภายในประเทศ และสร้างรายได้ให้กับผู้ประกอบการในภาคการท่องเที่ยวได้เป็นอย่างดี

เตรียมแพลนเที่ยวได้เลย! พฤษภาคม – กันยายนนี้ เราเที่ยวด้วยกัน กลับมาแล้ว!

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :  กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา / การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) / สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) / ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจ / ธุรกิจการท่องเที่ยว

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
ECONOMY

รถเก่าแลกใหม่! รัฐหารือค่ายรถ ฟื้นฟูอุตสาหกรรม

ไทยหารือโครงการรถเก่าแลกรถใหม่ กระตุ้นอุตสาหกรรมยานยนต์ หลังยอดผลิต-ขายลดลงต่อเนื่อง

กรุงเทพฯ, 27 กุมภาพันธ์ 2568 – รัฐบาลไทยอยู่ระหว่างการหารือกับผู้ผลิตรถยนต์เพื่อออกมาตรการ รถเก่าแลกรถใหม่” ซึ่งเป็นโครงการที่คาดว่าจะช่วย กระตุ้นอุตสาหกรรมยานยนต์ หลังจากยอดการผลิต ยอดขาย และการส่งออกของไทยลดลงอย่างต่อเนื่องมานานกว่า 1 ปี

แหล่งข่าวในอุตสาหกรรมยานยนต์เปิดเผยกับ สำนักข่าวรอยเตอร์ ว่า มาตรการนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาใน ระยะเริ่มต้น และอาจเปิดให้ประชาชนนำรถยนต์เก่ามาแลกเป็น ส่วนลดสำหรับซื้อรถใหม่ โดยรถเก่าที่นำมาแลกจะถูกทำลาย ซึ่งเป็นแนวทางที่รัฐบาลไทยหารือร่วมกับ โตโยต้าและผู้ผลิตรถยนต์รายอื่นๆ

ภาวะอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยที่ซบเซา

ประเทศไทย ซึ่งเป็น ศูนย์กลางการผลิตยานยนต์ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ กำลังเผชิญกับปัญหาหลายด้านในภาคอุตสาหกรรมนี้ ไม่ว่าจะเป็น

  • การชะลอตัวของการส่งออก ซึ่งกระทบโดยตรงต่อยอดผลิตของภาคอุตสาหกรรม
  • ยอดขายในประเทศที่ลดลง เนื่องจากประชาชนขาดกำลังซื้อ และเผชิญปัญหาหนี้ครัวเรือนที่พุ่งสูง
  • เงื่อนไขการปล่อยสินเชื่อที่เข้มงวดขึ้น ทำให้ประชาชนเข้าถึงสินเชื่อรถยนต์ยากขึ้น

ในปี 2567 การผลิตรถยนต์ของไทยลดลง 10% ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 4 ปี ขณะที่ยอดขายในประเทศลดลง 26% และการส่งออกหดตัวลง 8.8% โดยในเดือนมกราคม 2568 การผลิตรถยนต์ของไทยลดลง ติดต่อกันเป็นเดือนที่ 18 ลดลงมากกว่า 24% เมื่อเทียบรายปี

โตโยต้าผลักดันแผนการกำจัดรถยนต์เก่า ลดมลพิษ และกระตุ้นยอดขาย

โตโยต้าประเทศไทย ออกแถลงการณ์ต่อรอยเตอร์ว่า บริษัทผู้ผลิตรถยนต์ญี่ปุ่น รวมถึงโตโยต้า กำลังหารือเกี่ยวกับโครงการกำจัดรถยนต์ที่หมดอายุการใช้งาน ภายใต้แนวทางของรัฐบาลไทย เพื่อลดจำนวน รถเก่าที่มีแนวโน้มปล่อยมลพิษสูง

นาย สมพล ธนาดำรงศักดิ์ ประธานสมาคมผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ไทย (TAPMA) เปิดเผยว่า ผู้ผลิตรถยนต์กำลังผลักดันโครงการนี้อย่างหนัก เนื่องจากต้องการเพิ่มยอดขายรถยนต์ใหม่” โดยอายุขั้นต่ำของรถที่สามารถเข้าร่วมโครงการอาจกำหนดไว้ที่ 10 ปีขึ้นไป

การดำเนินการและแนวทางของรัฐบาลไทย

แหล่งข่าวจากรัฐบาลไทยที่ไม่ประสงค์ออกนามระบุว่า ขณะนี้มีการหารือเกี่ยวกับ โครงการรถเก่าแลกรถใหม่” แต่ยังไม่มีการสรุปรายละเอียด เนื่องจากมีหน่วยงานหลายฝ่ายที่เกี่ยวข้อง

ขณะเดียวกัน กระทรวงอุตสาหกรรมและโตโยต้าได้จัดประชุมเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาเพื่อหาแนวทางในการกระตุ้นอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย แต่ยังไม่มีการประกาศอย่างเป็นทางการเกี่ยวกับโครงการทำลายรถยนต์

โครงการแลกรถเก่า อุตสาหกรรมยานยนต์ และการเติบโตของ EV

อุตสาหกรรมยานยนต์ของไทยกำลังเผชิญกับการแข่งขันจาก ผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้า (EV) รายใหญ่จากจีน อาทิ BYD และ Great Wall Motors ซึ่งได้ลงทุนในไทยกว่า 3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เพื่อตั้งโรงงานผลิตรถยนต์ไฟฟ้า และกำลังผลักดันราคาขายให้ต่ำลง ทำให้ตลาดรถยนต์ไทยเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว

นายสุรพงษ์ ไพสิฐพัฒนพงษ์ โฆษกฝ่ายยานยนต์ของสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยว่า มีการหารือเกี่ยวกับมาตรการนี้แล้ว แต่ยังไม่มีข้อสรุป เนื่องจากเกี่ยวข้องกับหลายหน่วยงาน”

ผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยและอุตสาหกรรมยานยนต์

อุตสาหกรรมยานยนต์มีความสำคัญต่อเศรษฐกิจไทย เนื่องจากเป็นหนึ่งในภาคการผลิตที่ใหญ่ที่สุด และคิดเป็น ประมาณ 10% ของ GDP ประเทศ ซึ่งมาตรการรถเก่าแลกรถใหม่อาจช่วย

  • กระตุ้นยอดขายรถยนต์ใหม่
  • ลดปริมาณรถยนต์เก่าที่ปล่อยมลพิษสูง
  • กระตุ้นการลงทุนในภาคอุตสาหกรรมรีไซเคิลยานยนต์

นาย สุวิทย์ โชติประดู่ รองประธานสมาคมรถยนต์ใช้แล้วแห่งประเทศไทย กล่าวเสริมว่า หากมีโครงการทำลายรถยนต์เก่า จะช่วยสร้างงานใหม่ และกระตุ้นการลงทุนด้านรีไซเคิลในไทย ซึ่งปัจจุบันมีโรงงานรีไซเคิลรถยนต์เพียงไม่กี่แห่ง เช่น บริษัท กรีน เมทัลส์ ของโตโยต้า”

สถิติที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย

  • ยอดผลิตรถยนต์ไทย ปี 2567 ลดลง 10% ต่ำสุดในรอบ 4 ปี (ที่มา: สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย)
  • ยอดขายรถยนต์ในประเทศ ปี 2567 ลดลง 26% (ที่มา: สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย)
  • ยอดส่งออกรถยนต์ ปี 2567 ลดลง 8.8% (ที่มา: กระทรวงพาณิชย์)
  • ตลาด EV ไทยเติบโตขึ้น 400% ในปี 2567 (ที่มา: สมาคมยานยนต์ไฟฟ้าไทย)
  • หนี้ครัวเรือนไทย พุ่งสูงกว่า 90% ของ GDP (ที่มา: ธนาคารแห่งประเทศไทย)

บทสรุป

โครงการ รถเก่าแลกรถใหม่” ที่อยู่ระหว่างการหารืออาจกลายเป็นหนึ่งในมาตรการสำคัญในการกระตุ้นอุตสาหกรรมยานยนต์ของไทยในปี 2568 อย่างไรก็ตาม ความท้าทายยังคงอยู่ที่การจัดหาเงินทุน โครงสร้างพื้นฐานในการรีไซเคิล และการบริหารจัดการซากรถเก่า ซึ่งต้องรอการสรุปแนวทางจากภาครัฐและเอกชนต่อไป

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักข่าวรอยเตอร์ (Reuters) / กระทรวงอุตสาหกรรม / สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) / สมาคมผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ไทย (TAPMA) / สมาคมยานยนต์ไฟฟ้าไทย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
NEWS UPDATE

เพื่อไทยปะทะภูมิใจไทย ปชช.เชื่อสุดท้ายจบลงดี

นิด้าโพลเผย ปชช. เชื่อเพื่อไทยและภูมิใจไทยจะยุติความขัดแย้งได้

ประเทศไทย, 23 กุมภาพันธ์ 2568 – ศูนย์สำรวจความคิดเห็น นิด้าโพล” สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) เปิดเผยผลการสำรวจความคิดเห็นของประชาชนเกี่ยวกับ ความขัดแย้งระหว่างพรรคเพื่อไทยและพรรคภูมิใจไทย ซึ่งดำเนินการระหว่างวันที่ 17-18 กุมภาพันธ์ 2568 โดยเก็บข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่างทั่วประเทศจำนวน 1,310 คน

จากตัวเลขผลสำรวจของ นิด้าโพล พบว่า ประชาชนส่วนใหญ่รับรู้ถึงความขัดแย้งระหว่างพรรคเพื่อไทยและพรรคภูมิใจไทย แต่ไม่ได้มองว่าเป็นความขัดแย้งรุนแรงถึงขั้นแตกหัก โดยมีเพียง ร้อยละ 10.38 ที่เห็นว่าความขัดแย้งเป็นเรื่องจริงจังมาก ขณะที่ ร้อยละ 38.85 มองว่าเป็นเพียงความขัดแย้งที่ไม่รุนแรงมากนัก

ในแง่ของ แนวโน้มการยุติความขัดแย้ง พบว่า ร้อยละ 38.09 เชื่อว่าท้ายที่สุดทั้งสองพรรคจะตกลงกันได้ และ ร้อยละ 37.40 มองว่าแม้จะมีความขัดแย้ง แต่ทั้งสองพรรคจะยังคงร่วมรัฐบาลกันต่อไป ซึ่งสะท้อนว่าประชาชนส่วนใหญ่ไม่ได้มองว่าวิกฤตครั้งนี้จะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองครั้งใหญ่

อย่างไรก็ตาม มีประชาชน ร้อยละ 17.40 ที่มองว่าอาจมีการ ยุบสภา และ ร้อยละ 10.31 เชื่อว่าอาจมีการ ปรับคณะรัฐมนตรี โดยดึงกระทรวงสำคัญออกจากพรรคภูมิใจไทย ซึ่งสะท้อนถึงความกังวลว่าอาจมีการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างภายในรัฐบาล

ในภาพรวม ประชาชนส่วนใหญ่มองว่าความขัดแย้งนี้จะได้รับการแก้ไขในที่สุด และไม่ได้คาดหวังให้เกิดการเปลี่ยนแปลงขนาดใหญ่ เช่น การถอนตัวของพรรคภูมิใจไทยหรือการยุบสภา ซึ่งมีผู้สนับสนุนเพียง ร้อยละ 2.52 และ 7.10 ตามลำดับ

ในแง่ของประชากรกลุ่มตัวอย่าง กลุ่มอายุที่มีสัดส่วนมากที่สุดคือ 46-59 ปี (26.64%) และ กลุ่มที่มีรายได้เฉลี่ยต่อเดือน 10,001-20,000 บาท (34.50%) ซึ่งสะท้อนว่ากลุ่มประชากรวัยกลางคนที่มีรายได้ปานกลางให้ความสนใจและแสดงความคิดเห็นต่อประเด็นนี้เป็นอย่างมาก

โดยสรุป ตัวเลขเหล่านี้สะท้อนว่า ประชาชนส่วนใหญ่ไม่ได้มองว่าความขัดแย้งระหว่างสองพรรคจะรุนแรงถึงขั้นเปลี่ยนแปลงโครงสร้างทางการเมืองอย่างสิ้นเชิง และคาดว่าทั้งสองพรรคจะสามารถหาทางออกร่วมกันได้ในที่สุด

การรับรู้ของประชาชนต่อความขัดแย้งทางการเมือง

จากการสำรวจพบว่า ประชาชนส่วนใหญ่รับรู้ถึงความขัดแย้งระหว่างสองพรรค โดย:

  • ร้อยละ 38.85 ระบุว่า มีความขัดแย้งกันแต่ไม่รุนแรงมาก
  • ร้อยละ 32.91 เชื่อว่า มีความขัดแย้งกันอย่างจริงจังพอสมควร
  • ร้อยละ 17.40 มองว่า ไม่มีความขัดแย้งกันเลย
  • ร้อยละ 10.38 เห็นว่า มีความขัดแย้งกันอย่างรุนแรง
  • ร้อยละ 0.46 ไม่สนใจหรือไม่ตอบคำถาม

บทสรุปที่เป็นไปได้ของความขัดแย้ง

เมื่อถามถึงบทสรุปของความขัดแย้งระหว่างพรรคเพื่อไทยและพรรคภูมิใจไทย ประชาชนให้ความเห็นดังนี้:

  • ร้อยละ 38.09 เชื่อว่า ทั้งสองพรรคจะตกลงกันได้และยุติความขัดแย้ง
  • ร้อยละ 37.40 เชื่อว่า ความขัดแย้งจะดำเนินต่อไปแต่ยังอยู่ร่วมรัฐบาลกัน
  • ร้อยละ 10.31 คาดว่า จะมีการปรับคณะรัฐมนตรีและดึงกระทรวงสำคัญออกจากพรรคภูมิใจไทย
  • ร้อยละ 7.10 เชื่อว่านายกรัฐมนตรีอาจ ประกาศยุบสภาผู้แทนราษฎร
  • ร้อยละ 2.52 มองว่า พรรคภูมิใจไทยอาจถอนตัวจากรัฐบาล
  • ร้อยละ 2.21 เชื่อว่า พรรคภูมิใจไทยจะยอมถอยให้พรรคเพื่อไทย
  • ร้อยละ 1.30 คิดว่า พรรคเพื่อไทยจะยอมถอยให้พรรคภูมิใจไทย
  • ร้อยละ 1.07 เห็นว่า พรรคภูมิใจไทยอาจถูกปรับออกจากรัฐบาล

ความคิดเห็นของประชาชนเกี่ยวกับทางออกของปัญหา

เมื่อถามถึง ความต้องการของประชาชน เกี่ยวกับบทสรุปของความขัดแย้ง ผลสำรวจระบุว่า:

  • ร้อยละ 44.73 ต้องการให้ ทั้งสองพรรคตกลงกันได้และยุติความขัดแย้ง
  • ร้อยละ 21.60 เห็นว่าความขัดแย้งควรดำเนินต่อไปแต่ยังอยู่ร่วมรัฐบาล
  • ร้อยละ 17.40 สนับสนุนให้ นายกรัฐมนตรีประกาศยุบสภาผู้แทนราษฎร
  • ร้อยละ 9.24 ต้องการให้ มีการปรับคณะรัฐมนตรี
  • ร้อยละ 2.82 เห็นว่าพรรคภูมิใจไทยควรถอนตัวจากรัฐบาล
  • ร้อยละ 1.68 คิดว่าพรรคภูมิใจไทยควรยอมถอยให้พรรคเพื่อไทย
  • ร้อยละ 1.53 เห็นว่าพรรคภูมิใจไทยควรถูกปรับออกจากรัฐบาล
  • ร้อยละ 1.00 มองว่าพรรคเพื่อไทยควรยอมถอยให้พรรคภูมิใจไทย

ลักษณะทั่วไปของกลุ่มตัวอย่าง

  • เพศ: ร้อยละ 48.09 เป็นเพศชาย และร้อยละ 51.91 เป็นเพศหญิง
  • อายุ:
    • ร้อยละ 12.37 อายุ 18-25 ปี
    • ร้อยละ 17.94 อายุ 26-35 ปี
    • ร้อยละ 18.24 อายุ 36-45 ปี
    • ร้อยละ 26.64 อายุ 46-59 ปี
    • ร้อยละ 24.81 อายุ 60 ปีขึ้นไป
  • ภูมิลำเนา:
    • กรุงเทพฯ 8.55%
    • ภาคกลาง 18.63%
    • ภาคเหนือ 17.86%
    • ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 33.35%
    • ภาคใต้ 13.82%
    • ภาคตะวันออก 7.79%

สถิติที่เกี่ยวข้องกับข่าว

  • จำนวนกลุ่มตัวอย่าง: 1,310 ราย (ที่มา: นิด้าโพล)
  • ค่าความเชื่อมั่นของการสำรวจ: 97.0% (ที่มา: นิด้าโพล)
  • อัตราส่วนเพศของกลุ่มตัวอย่าง: ชาย 48.09% หญิง 51.91% (ที่มา: นิด้าโพล)
  • อัตราการรับรู้ของประชาชนต่อความขัดแย้ง: ร้อยละ 71.76 เชื่อว่ามีความขัดแย้งกันในระดับหนึ่ง (ที่มา: นิด้าโพล)
  • ความคิดเห็นของประชาชนเกี่ยวกับการตกลงกันได้: ร้อยละ 38.09 เชื่อว่าท้ายที่สุดทั้งสองพรรคจะยุติความขัดแย้ง (ที่มา: นิด้าโพล)

คำถามที่พบบ่อย (FAQs)

  1. การสำรวจนี้เชื่อถือได้หรือไม่?
    การสำรวจนี้มีค่าความเชื่อมั่น 97.0% และดำเนินการโดย นิด้าโพล ซึ่งเป็นหน่วยงานที่มีความน่าเชื่อถือ
  2. ประชาชนส่วนใหญ่มีความคิดเห็นอย่างไรเกี่ยวกับอนาคตของพรรคเพื่อไทยและภูมิใจไทย?
    ร้อยละ 38.09 เชื่อว่าท้ายที่สุดทั้งสองพรรคจะตกลงกันได้ และร้อยละ 37.40 มองว่าความขัดแย้งจะดำเนินต่อไปแต่ยังอยู่ร่วมรัฐบาล
  3. ผลสำรวจนี้มีผลต่อการเมืองไทยหรือไม่?
    แม้ว่าผลสำรวจนี้สะท้อนความคิดเห็นของประชาชน แต่ขึ้นอยู่กับพรรคการเมืองและรัฐบาลว่าจะดำเนินนโยบายอย่างไร
  4. การสำรวจนี้จัดทำขึ้นอย่างไร?
    ใช้การสุ่มตัวอย่างจากบัญชีรายชื่อฐานข้อมูลหลัก (Master Sample) และเก็บข้อมูลทางโทรศัพท์
  5. ผลสำรวจนี้มีการเปรียบเทียบกับการสำรวจก่อนหน้าหรือไม่?
    ผลสำรวจนี้เป็นการสำรวจล่าสุดและแสดงแนวโน้มของความคิดเห็นของประชาชนต่อความขัดแย้งทางการเมืองในปัจจุบัน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า)

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
NEWS UPDATE

รัฐบาลไทยเร่งปราบ ‘พอตเค’ ปกป้องเยาวชนจากภัยยาเสพติดรูปแบบใหม่

รัฐบาลเดินหน้าปราบปรามยาเสพติด ย้ำ! ‘พอตเค’ ระบาดหนักในกลุ่มนักเที่ยวกลางคืน

เมื่อวันที่ 19 มกราคม 2568 นายอนุกูล พฤกษานุศักดิ์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า รัฐบาลได้สั่งการให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) หน่วยงานทางปกครอง และกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ให้ความสำคัญต่อการป้องกัน ปราบปราม และแก้ไขปัญหายาเสพติดอย่างเร่งด่วน เพื่อสร้างความมั่นคงและปลอดภัยให้กับสังคมไทย

ยาเสพติดแฝงตัวในรูปแบบใหม่

รายงานล่าสุดชี้ให้เห็นถึงการแพร่ระบาดของยาเสพติดในรูปแบบใหม่ที่เรียกว่า ‘พอตเค’ หรือหัวน้ำยาบุหรี่ไฟฟ้าผสมยาเค (เคตามีน) โดยเฉพาะในกลุ่มนักเที่ยวกลางคืน ซึ่งสร้างความกังวลให้กับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยยาเคตามีนเป็นวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท 2 ที่ถูกควบคุมอย่างเข้มงวด การใช้ในทางที่ผิดกฎหมายมีบทลงโทษรุนแรง เช่น โทษจำคุกสูงสุดถึง 15 ปี และปรับสูงสุด 1.5 ล้านบาท

ผลกระทบของการใช้เคตามีนในทางที่ผิด

ยาเคตามีนถูกนำไปใช้ในทางการแพทย์ แต่ในปัจจุบันพบการลักลอบนำไปใช้ในทางที่ผิด เช่น การสูดดมและสูบควันเพื่อหวังผลในการหลอนประสาท ผู้ใช้ที่เสพติดต่อกันเป็นเวลานานจะเสี่ยงต่อการติดยาทั้งทางร่างกายและจิตใจ นอกจากนี้ ยังมีผลข้างเคียงที่อันตราย เช่น การอาเจียน ชัก สมองและกล้ามเนื้อขาดออกซิเจน และในบางกรณีอาจถึงขั้นเสียชีวิต

รัฐบาลเข้มงวดปราบปรามการแพร่ระบาด

นายอนุกูลกล่าวเพิ่มเติมว่า การปราบปรามยาเสพติด โดยเฉพาะการใช้เคตามีนในทางที่ผิด เป็นหนึ่งในนโยบายหลักของรัฐบาล ซึ่งได้เร่งดำเนินการร่วมกับทุกภาคส่วนในการหยุดยั้งการลักลอบผลิต นำเข้า และจำหน่ายยาเสพติดทุกประเภท

นอกจากนี้ ยังมีการรณรงค์ป้องกันและให้ความรู้แก่ประชาชนเกี่ยวกับโทษและผลกระทบของการใช้ยาเสพติด รวมถึงการเฝ้าระวังการแพร่ระบาดในพื้นที่ต่างๆ ทั่วประเทศ หากประชาชนพบเห็นการกระทำผิดสามารถแจ้งข้อมูลได้ที่สถานีตำรวจทั่วประเทศ หรือผ่านช่องทางสายด่วน อย. 1556 กด 3 หรือโทร 0 2590 7343 รวมถึงผ่าน Facebook: FDA Thai

มาตรการเฝ้าระวังและแจ้งเตือน

รัฐบาลยังได้เน้นย้ำถึงความร่วมมือจากประชาชนในการเป็นหูเป็นตา ช่วยเฝ้าระวังการแพร่ระบาดของ ‘พอตเค’ และสารเสพติดรูปแบบอื่นๆ ที่อาจเข้ามาในพื้นที่ โดยการร่วมมือกันระหว่างภาครัฐและประชาชนเป็นกุญแจสำคัญในการสร้างความปลอดภัยให้กับสังคมไทย

การปราบปรามยาเสพติดและป้องกันการแพร่ระบาดของสารเสพติดรูปแบบใหม่ยังคงเป็นเป้าหมายสำคัญที่รัฐบาลให้ความสำคัญอย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างความปลอดภัยและเสริมสร้างคุณภาพชีวิตให้กับคนไทยทุกคน

 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักนายกรัฐมนตรี

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
TOP STORIES

เปิดแผน 5 ข้อรัฐบาลไทย เร่งแก้ฝุ่น PM2.5 ปี 2568

รัฐบาลเร่งจัดการมลพิษทางอากาศ เปิดแผน 5 ข้อ รับมือฝุ่น PM2.5 ปี 2568

เมื่อวันที่ 16 พฤศจิกายน 2567 ผู้สื่อข่าวรายงานว่ารัฐบาลไทยได้เร่งขับเคลื่อนมาตรการเพื่อแก้ปัญหามลพิษทางอากาศ โดยเฉพาะฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM2.5 ซึ่งมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในปี 2568 การประชุมคณะกรรมการอำนวยการเพื่อการจัดการปัญหามลพิษทางอากาศครั้งที่ 1/2567 ได้มีมติ 5 ข้อ เพื่อให้ทุกหน่วยงานดำเนินการอย่างเข้มงวดในการรับมือสถานการณ์มลพิษอากาศ โดยมี นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุม

5 มติสำคัญในการรับมือฝุ่น PM2.5 ปี 2568

  1. ตั้งศูนย์ปฏิบัติการเฝ้าระวังและควบคุม
    รัฐบาลมีมติให้จัดตั้ง ศูนย์ปฏิบัติการเฝ้าระวัง ควบคุมไฟป่า หมอกควัน และฝุ่นละออง เพื่อเฝ้าระวัง คาดการณ์ และแจ้งเตือนประชาชนอย่างต่อเนื่อง โดยศูนย์นี้จะทำงานร่วมกับหน่วยงานท้องถิ่นทั่วประเทศในการป้องกันและรับมือสถานการณ์ฝุ่นละออง

  2. เน้นลดจุดความร้อนในพื้นที่เกษตรและป่า
    รัฐบาลกำหนดเป้าหมายในการลดจุดความร้อนในพื้นที่ 14 กลุ่มป่า และพื้นที่เกษตร โดยเฉพาะพืชสำคัญ เช่น ข้าว ข้าวโพด และอ้อย พร้อมทั้งมีมาตรการไม่รับซื้อผลผลิตที่ใช้การเผาเพื่อป้องกันการเกิดหมอกควันข้ามแดน

  3. ควบคุมยานพาหนะและโรงงานอย่างเข้มงวด
    ให้ความสำคัญกับการตรวจจับยานพาหนะที่ปล่อยควันดำเกินค่ามาตรฐาน รวมถึงการตรวจสอบโรงงานอุตสาหกรรมอย่างเข้มงวด เพื่อลดการปล่อยฝุ่นละอองในเขตเมือง โดยเฉพาะกรุงเทพมหานคร

  4. เพิ่มการสื่อสารและสร้างความตระหนักรู้
    จัดตั้ง ศูนย์สื่อสารการแก้ไขปัญหามลพิษทางอากาศ (ศกพ.) เพื่อเผยแพร่ข้อมูลและสร้างการรับรู้ให้กับประชาชนและสื่อมวลชน ทั้งในช่วงภาวะปกติและในช่วงวิกฤต

  5. เร่งพัฒนาเทคโนโลยีและการบูรณาการ
    ส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลในการคาดการณ์และแจ้งเตือนสถานการณ์ฝุ่นละออง พร้อมทั้งบูรณาการความร่วมมือกับชุมชนท้องถิ่น เพื่อให้สามารถจัดการปัญหาได้อย่างมีประสิทธิภาพ

เปิดศูนย์สื่อสารการแก้ปัญหาฝุ่นละออง PM2.5

นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรี ได้ร่วมเปิด ศูนย์สื่อสารการแก้ไขปัญหามลพิษทางอากาศ (ศกพ.) เพื่อเป็นศูนย์กลางในการเฝ้าระวัง คาดการณ์ และส่งข้อมูลให้กับหน่วยงานต่าง ๆ พร้อมทั้งให้ข้อมูลที่ถูกต้องแก่ประชาชนเพื่อลดความตื่นตระหนก

มาตรการด้านการแพทย์และสาธารณสุขเพื่อดูแลกลุ่มเสี่ยง

นอกจากนี้ กระทรวงสาธารณสุขได้เตรียม 4 มาตรการรับมือสถานการณ์ฝุ่นละออง โดยเน้นการดูแลสุขภาพประชาชนเชิงรุก ได้แก่

  1. สร้างความรู้และส่งเสริมองค์กรลดมลพิษ
  2. ป้องกันผลกระทบต่อสุขภาพ
  3. จัดบริการด้านการแพทย์และสาธารณสุข
  4. เพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการ

มาตรการเหล่านี้จะถูกยกระดับตามระดับความรุนแรงของฝุ่น PM2.5 ตั้งแต่ระดับปกติจนถึงระดับวิกฤต เช่น การประกาศ Work from Home และการใช้กฎหมายควบคุมพื้นที่ที่มีฝุ่นละอองเกินมาตรฐาน

ผลกระทบต่อสุขภาพและเศรษฐกิจ

สถานการณ์ฝุ่น PM2.5 ส่งผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชน โดยเฉพาะกลุ่มเสี่ยง เช่น เด็กเล็ก ผู้สูงอายุ และผู้ที่มีโรคทางเดินหายใจ การเร่งดำเนินมาตรการแก้ไขจะช่วยลดผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นต่อเศรษฐกิจ โดยเฉพาะอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว

คำถามที่พบบ่อย (FAQs)

  1. รัฐบาลมีมาตรการอย่างไรในการแก้ปัญหาฝุ่น PM2.5?
    รัฐบาลได้ตั้งศูนย์เฝ้าระวังและควบคุม พร้อมเพิ่มการตรวจจับยานพาหนะและโรงงานที่ปล่อยฝุ่นละออง

  2. ศูนย์สื่อสารการแก้ไขปัญหามลพิษทางอากาศทำหน้าที่อะไร?
    ทำหน้าที่เฝ้าระวัง คาดการณ์ และแจ้งเตือนประชาชนเกี่ยวกับสถานการณ์ฝุ่น PM2.5

  3. กลุ่มเสี่ยงที่ได้รับผลกระทบจากฝุ่น PM2.5 คือกลุ่มใด?
    เด็กเล็ก ผู้สูงอายุ และผู้ที่มีโรคทางเดินหายใจเป็นกลุ่มที่ได้รับผลกระทบมากที่สุด

  4. มาตรการลดจุดความร้อนในพื้นที่เกษตรคืออะไร?
    รัฐบาลเน้นลดจุดความร้อนในพื้นที่เกษตรและป่า และห้ามรับซื้อผลผลิตที่ใช้การเผาเพื่อป้องกันหมอกควัน

  5. กระทรวงสาธารณสุขมีมาตรการอย่างไรในการดูแลสุขภาพประชาชน?
    เตรียมความพร้อมด้านการแพทย์และสาธารณสุข โดยใช้เทคโนโลยีแจ้งเตือนและให้บริการทางการแพทย์อย่างเข้มงวด

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ศูนย์สื่อสารการแก้ไขปัญหามลพิษทางอากาศ (ศกพ.)

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News