Categories
AROUND CHIANG RAI ECONOMY

เวนคืน 95% เสร็จสิ้น! รถไฟทางคู่ 322 กม. เชื่อมแพร่-พะเยา-เชียงราย วิ่งเร็วกว่าแผน รับบทศูนย์กลางโลจิสติกส์

รฟท.เดินหน้าเมกะโปรเจกต์รถไฟทางคู่ ‘เด่นชัย–เชียงราย–เชียงของ’ 7.2 หมื่นล้าน เปิดใช้ปี 2571 สัญญาเชียงรายวิ่งแซงแผน หนุนเหนือสู่ศูนย์กลางโลจิสติกส์อาเซียน

เชียงราย, 15 ธันวาคม 2568 – เสียงสว่านเจาะทะลุผนังอุโมงค์สองในอำเภอสอง จังหวัดแพร่ ดังสะท้อนก้องไปตามหุบเขาเมื่อต้นเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา ภาพทีมวิศวกรและคนงานยืนปรบมือท่ามกลางฝุ่นหินที่ยังฟุ้งกระจาย ถูกถ่ายทอดผ่านสื่อของการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ไปทั่วประเทศ เหตุการณ์เล็ก ๆ ในสายตาคนเมือง กลับมีความหมายใหญ่ในฐานะ “หมุดหมายสำคัญ” ของโครงการรถไฟทางคู่สายใหม่ เด่นชัย–เชียงราย–เชียงของ มูลค่าลงทุนรวม 72,835 ล้านบาท ที่กำลังจะเปลี่ยนภูมิทัศน์การคมนาคมของภาคเหนือและชายแดนไทย–ลาว–จีนไปอย่างสิ้นเชิง

โครงการรถไฟสายประวัติศาสตร์เส้นนี้ ไม่ได้เป็นเพียงโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคม หากแต่เป็น “โครงข่ายเศรษฐกิจ” ที่จะเชื่อมเส้นเลือดการค้าและการท่องเที่ยวระหว่างจังหวัดแพร่ พะเยา เชียงราย ไปจนถึงด่านพรมแดนเชียงของ สู่ตลาดจีนและอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง (GMS) ล่าสุด ภาพรวมความก้าวหน้าทั้งโครงการคืบหน้าสะสมเฉลี่ยราวร้อยละ 46–47 และ รฟท.คาดว่าจะสามารถเปิดให้บริการเชิงพาณิชย์ได้ภายในปี 2571 ตามกรอบเวลาในสัญญาจ้าง 71 เดือน นับจากวันที่เริ่มงาน 15 กุมภาพันธ์ 2565

ภาพรวมโครงการ 3 สัญญา 322 กิโลเมตร กับความคืบหน้าที่ต่างจังหวะ

โครงการรถไฟทางคู่สายเด่นชัย–เชียงราย–เชียงของมีระยะทางรวมประมาณ 322–323 กิโลเมตร เริ่มต้นที่สถานีเด่นชัย จังหวัดแพร่ (กม. 533+900) และสิ้นสุดที่อำเภอเชียงของ จังหวัดเชียงราย (กม. 857+000) แบ่งงานก่อสร้างออกเป็น 3 สัญญาหลัก ดังนี้

  • สัญญาที่ 1 ช่วงเด่นชัย–งาว ระยะทาง 103 กิโลเมตร วงเงินก่อสร้าง 26,560 ล้านบาท ผู้รับจ้างคือกิจการร่วมค้า ไอทีดี–เนาวรัตน์ ปัจจุบันความก้าวหน้าร้อยละ 45.746 ล่าช้ากว่าแผนราวร้อยละ 5.461 โดยอยู่ระหว่างเร่งงานโครงสร้างทางยกระดับและสะพานข้ามแม่น้ำยม พร้อมกับปรับแผนการทำงานให้สอดรับปัญหาเวนคืนในบางช่วง
  • สัญญาที่ 2 ช่วงงาว–เชียงราย ระยะทาง 132 กิโลเมตร วงเงินก่อสร้าง 26,890 ล้านบาท ผู้รับจ้างคือกิจการร่วมค้า ซีเคเอสที–ดีซี2 ความคืบหน้าก่อสร้างร้อยละ 52.280 เร็วกว่าแผนถึงร้อยละ 4.147 สะท้อนศักยภาพการบริหารงานโครงการและการส่งมอบพื้นที่ที่เป็นไปอย่างราบรื่นในจังหวัดพะเยาและเชียงราย
  • สัญญาที่ 3 ช่วงเชียงราย–เชียงของ ระยะทาง 87 กิโลเมตร วงเงินก่อสร้าง 19,385 ล้านบาท ผู้รับจ้างคือกิจการร่วมค้า ซีเคเอสที–ดีซี3 ความก้าวหน้าร้อยละ 40.812 เร็วกว่าแผนร้อยละ 3.222 โดยเน้นงานดิน งานสะพาน และอุโมงค์ดอยหลวงซึ่งเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญก่อนเข้าสู่ด่านชายแดนเชียงของ

เมื่อถ่วงน้ำหนักตามระยะทาง ทั้งสามสัญญาส่งผลให้โครงการมีความก้าวหน้าสะสมเฉลี่ยราวร้อยละ 46–47 ขณะเดียวกัน หากพิจารณาจากอินโฟกราฟิกความคืบหน้าประจำเดือนพฤศจิกายน 2568 ของ รฟท. จะพบว่าค่าความก้าวหน้าเฉลี่ยยังเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยมี “ความก้าวหน้ารวมทั้งโครงการ” ราวร้อยละ 48.620 สูงกว่าแผนการก่อสร้างสะสมเล็กน้อย แสดงให้เห็นว่าความล่าช้าในบางสัญญาเริ่มถูกชดเชยด้วยความก้าวหน้าที่เร็วกว่าแผนในสัญญาอื่น

นัยสำคัญที่ไม่อาจมองข้ามคือ งานก่อสร้างในพื้นที่จังหวัดเชียงราย ซึ่งครอบคลุมสัญญาที่ 2 และ 3 มีความคืบหน้ารวม “เร็วกว่ากรอบแผน” รวมกันมากกว่า 7 จุดเปอร์เซ็นต์ สัญญาณนี้สะท้อนว่า “ภาคเหนือปลายทาง” กำลังจะพร้อมรับบทบาทใหม่ในฐานะศูนย์กลางโลจิสติกส์ของภูมิภาค ก่อนหัวขบวนรถไฟจะออกจากเด่นชัยเสียอีก

พิชิตภูเขาและร่องมรสุม ความท้าทายอุโมงค์ 4 แห่ง และสุดยอดทางยกระดับ

ภูมิประเทศที่เป็นเทือกเขาสลับซับซ้อนของแพร่ พะเยา และเชียงราย ทำให้การออกแบบเส้นทางรถไฟสายนี้เต็มไปด้วยความท้าทายด้านวิศวกรรม รฟท.ต้องก่อสร้างอุโมงค์รถไฟรวม 4 แห่ง ระยะทางรวม 13.90 กิโลเมตร ควบคู่กับทางยกระดับและสะพานขนาดใหญ่จำนวนมาก

ในส่วนของอุโมงค์ ความคืบหน้าสำคัญเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายน 2568 เมื่อทีมวิศวกรสามารถขุดเจาะทะลุ “อุโมงค์สอง” ในอำเภอสอง จังหวัดแพร่ ระยะทาง 1.059 กิโลเมตร ถือเป็นอุโมงค์แห่งแรกของสัญญาที่ 1 และเป็นอุโมงค์ลำดับที่ 3 จาก 4 แห่งของโครงการที่เจาะทะลุสำเร็จ ต่อจากอุโมงค์ดอยหลวง จังหวัดเชียงราย และอุโมงค์แม่กา จังหวัดพะเยา

เหลือเพียง “อุโมงค์งาว” ความยาว 6.211 กิโลเมตร ที่กำลังถูกจับตามองในฐานะอุโมงค์รถไฟที่ยาวที่สุดในประเทศไทย คาดว่าจะเจาะทะลุได้ภายในเดือนกันยายน 2569 อุโมงค์ทุกแห่งออกแบบเป็นอุโมงค์คู่ทางเดี่ยว (Single-Track Tunnel) มีโครงสร้างรองรับแรงสั่นสะเทือนจากแผ่นดินไหว ระบบระบายน้ำ และอุโมงค์หลบภัยทุกระยะ 240 เมตร เพื่อให้การเดินรถในพื้นที่ภูเขาและร่องมรสุมของภาคเหนือมีความปลอดภัยสูงสุด

นอกจากงานอุโมงค์ โครงการยังมี “สุดยอดทางยกระดับ” ที่ถูกยกให้เป็นไฮไลต์เชิงวิศวกรรมและการท่องเที่ยวในอนาคต ตั้งแต่

  • สะพาน RB35 ประตูล่องแม่น้ำยม ในสัญญาที่ 1 ช่วงเด่นชัย–งาว ซึ่งทอดยาวข้ามแม่น้ำยมและพื้นที่ชุ่มน้ำหลายกิโลเมตร ด้วยความยาวรวมกว่า 2.5 กิโลเมตร รองรับน้ำหลากในฤดูฝน และเปิดทัศนียภาพกว้างของลำน้ำยมจากบนขบวนรถไฟ
  • สะพาน RB144 ข้ามทางหลวงหมายเลข 144 ในสัญญาที่ 2 ช่วงงาว–เชียงราย ที่ออกแบบเป็นสะพานคอนกรีตโค้งข้ามแนวถนนสายหลักและลำน้ำ พร้อมโครงสร้างแบบ Portal Frame เชื่อมทางขึ้นลง การรถไฟมองว่าสะพานแห่งนี้จะกลายเป็นแลนด์มาร์กใหม่ทางด้านวิศวกรรมของจังหวัดพะเยา
  • ทางยกระดับ RB321–333 ช่วงทางเข้าสู่อุโมงค์ดอยหลวง ในสัญญาที่ 3 ช่วงเชียงราย–เชียงของ ที่เส้นทางรถไฟเลื้อยโค้งไปตามไหล่เขาเหนือแม่น้ำกก เป็นส่วนผสมระหว่างวิศวกรรมโครงสร้างและภูมิทัศน์ธรรมชาติที่คาดว่าจะกลายเป็น “จุดชมวิวบนรางเหล็ก” ที่สวยที่สุดแห่งหนึ่งของไทย

ด้วยองค์ประกอบเหล่านี้ รถไฟสายเด่นชัย–เชียงราย–เชียงของ จึงไม่ได้เป็นเพียงโครงข่ายคมนาคมใหม่ แต่ยังถูกคาดหวังให้เป็น “เส้นทางท่องเที่ยวเชิงภูมิทัศน์” ที่เปิดมุมมองใหม่ของภาคเหนือให้ทั้งชาวไทยและนักท่องเที่ยวต่างชาติได้สัมผัสในอนาคต

เวนคืน 9,661 ไร่ ปมเอกสารคลาดเคลื่อนและคำชี้แจงจากกรมที่ดิน

ด้านที่ถูกจับตามองไม่แพ้งานก่อสร้างคือ “กระบวนการเวนคืนที่ดิน” ซึ่งครอบคลุมพื้นที่ประมาณ 9,661 ไร่ รวมกว่า 8,000 แปลง ใน 4 จังหวัด ได้แก่ แพร่ พะเยา เชียงราย และลำปาง ช่วงที่ผ่านมา มีรายงานข่าวระบุว่าการออกเอกสารรูปแผนที่กระดาษบาง (ร.ว.9) ของกรมที่ดินมีความล่าช้า จากความคลาดเคลื่อนของข้อมูลในเอกสารสัญญา ส่งผลต่อการจ่ายเงินชดเชยให้ประชาชนผู้ถูกเวนคืน

กรมที่ดินจึงออกแถลงชี้แจงว่า การดำเนินการรังวัดและจัดทำ ร.ว.9 เป็นภารกิจที่ดำเนินมาตั้งแต่ปี 2565–2566 และโครงการเวนคืนในส่วนที่กรมที่ดินรับผิดชอบได้ “ปิดงาน” แล้วตั้งแต่ปี 2566 พร้อมจัดส่งรูปแผนที่รังวัดและเอกสารทั้งหมดให้การรถไฟแห่งประเทศไทย เพื่อนำไปใช้ทำสัญญาเวนคืนและจดทะเบียนกันเขตในสำนักงานที่ดินพื้นที่ต่าง ๆ

ข้อมูลล่าสุดจากกรมที่ดินระบุว่า

  1. งานเวนคืนกว่า 8,000 แปลง แบ่งเป็นการดำเนินงานจากส่วนกลางร้อยละ 90 และดำเนินการที่สำนักงานที่ดินในพื้นที่ร้อยละ 10
  2. จังหวัดแพร่และเชียงราย ดำเนินการจดทะเบียนแบ่งเวนคืนแล้วเป็นส่วนใหญ่ ไม่พบปัญหาติดขัด ส่วนจังหวัดพะเยายังคงรอจดทะเบียนราว 200 แปลง และจังหวัดลำปาง (สาขางาว) ประมาณ 10 กว่าแปลง
  3. ภาพรวมการจ่ายเงินชดเชยและการจดทะเบียนเสร็จสิ้นแล้วคิดเป็นประมาณร้อยละ 95 ของจำนวนแปลงทั้งหมด

กรมที่ดินยืนยันว่าได้ปฏิบัติตามขั้นตอนและกฎหมายอย่างครบถ้วน และพร้อมประสานรฟท.เพื่อจัดการข้อเข้าใจคลาดเคลื่อนที่อาจเกิดขึ้น ขณะที่ฝั่งรฟท.เองได้เร่งประชุมร่วมกับสำนักมาตรฐานและส่งเสริมการรังวัด (สมส.) เพื่อปรับปรุงข้อมูลในสัญญาและเร่งรัดขั้นตอนที่เหลือ รวมถึงเปิดช่องทางให้ประชาชนผู้ถูกเวนคืนยื่นอุทธรณ์ราคาประเมินได้ตามสิทธิ หากเห็นว่าได้รับค่าชดเชยไม่เป็นธรรม

สถานีเชียงรายและสะพานลอย Universal Design เมืองท่องเที่ยวที่ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง

หนึ่งในภาพที่ถูกเผยแพร่ในช่วงปลายปี 2568 คือ การยกคานสะพานลอยคนเดินข้ามชานชาลาตัวแรกของโครงการ ณ สถานีรถไฟเชียงราย สถานีขนาดใหญ่ที่ถูกออกแบบให้เป็น “หน้าบ้านใหม่” ของเมืองท่องเที่ยวสำคัญของภาคเหนือ

คานสะพานลอยทั้งสองตัว – ตัวแรกยาว 13.23 เมตร และตัวที่สองยาว 9.03 เมตร – ถูกยกติดตั้งอย่างแม่นยำและปลอดภัยบนเสามาตรฐาน ท่ามกลางการคุมงานอย่างใกล้ชิดของวิศวกร รฟท. การยกคานครั้งนี้เป็นเพียงจุดเริ่มต้นของโครงข่ายสะพานลอยคนข้ามชานชาลารวม 12 ตัวตลอดโครงการ แบ่งเป็นแบบ 2 คานสะพานสำหรับสถานีขนาดใหญ่ 3 แห่ง (อย่างละหนึ่งตัวในแต่ละสัญญา) และแบบ 1 คานสะพานสำหรับสถานีขนาดเล็กอีก 9 แห่ง

จุดร่วมสำคัญของสะพานลอยทุกแห่งคือ การออกแบบตามหลัก Universal Design เพื่อให้ทุกกลุ่มประชาชนเข้าถึงระบบขนส่งสาธารณะได้อย่างเท่าเทียม ภายในสะพานลอยจะติดตั้งลิฟต์โดยสารรองรับผู้พิการ ผู้สูงอายุ และผู้ใช้รถเข็น พร้อมด้วยทางลาด ราวจับที่ได้มาตรฐาน และระบบพื้นนำทางสำหรับผู้พิการทางสายตา (Tactile Paving) แนวคิด “ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง” ถูกบรรจุไว้ในระดับโครงสร้างตั้งแต่วันแรกของการออกแบบ

เมื่อโครงการแล้วเสร็จ เส้นทางนี้จะมีสถานีรถไฟ 12 สถานี จุดหยุดรถ 13 แห่ง และลานขนถ่ายสินค้า (Container Yard – CY) รวม 5 แห่งที่เด่นชัย พะเยา ป่าแดด เชียงราย และเชียงของ สถานีเชียงของปลายทางจะทำหน้าที่เป็นประตูเชื่อมการค้าและการขนส่งสินค้าทางรางสู่อาเซียนแผ่นดินใหญ่และจีนตอนใต้ โดยเชื่อมต่อกับสะพานมิตรภาพไทย–ลาว แห่งที่ 4 และโครงข่ายถนนสายเศรษฐกิจ R3A

จากรางเหล็กสู่ศูนย์กลางโลจิสติกส์ โอกาสและความเสี่ยงของเศรษฐกิจเหนือ

ความหมายของรถไฟทางคู่สายเด่นชัย–เชียงราย–เชียงของ จึงไม่ได้จำกัดอยู่ที่ “เวลาเดินทาง” ระหว่างจังหวัดเท่านั้น หากแต่เชื่อมโยงกับโครงสร้างเศรษฐกิจภาคเหนือและยุทธศาสตร์ความเชื่อมโยงระดับภูมิภาคอย่างใกล้ชิด

ในมิติด้านโลจิสติกส์ การมีเส้นทางรถไฟเชื่อมจากเด่นชัยซึ่งเป็นจุดบรรจบของสายเหนือ–สายตะวันออกเฉียงเหนือ ไปยังเชียงรายและเชียงของ จะเปิดทางให้ผู้ประกอบการสามารถขนส่งสินค้าเกษตร ผลไม้แปรรูป สินค้าอุตสาหกรรมเบา และสินค้าเพื่อการท่องเที่ยวจากลุ่มน้ำกก–โขง ลงสู่ศูนย์กลางโลจิสติกส์ในภาคกลางได้ด้วยต้นทุนที่ต่ำกว่าการขนส่งทางถนน ขณะเดียวกัน สินค้าจากนิคมอุตสาหกรรมลำพูนและพื้นที่ตอนใน ก็สามารถส่งออกผ่านด่านเชียงของไปยังจีนตอนใต้ได้สะดวกขึ้น

อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์เศรษฐกิจเตือนว่า การเป็น “ศูนย์กลางโลจิสติกส์” ไม่ได้เกิดขึ้นโดยอัตโนมัติจากการมีโครงสร้างพื้นฐาน แต่ต้องอาศัยการวางผังเมือง พื้นที่อุตสาหกรรมคลังสินค้า และนโยบายสนับสนุนภาคเอกชนควบคู่กันไป หากพัฒนาพื้นที่รอบสถานีและลาน CY อย่างไร้ทิศทาง อาจเกิดปัญหาการจราจรแออัด การใช้ที่ดินไม่เหมาะสม และผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมตามมา

อีกด้านหนึ่ง ปัญหาเวนคืนและการยอมรับของชุมชนยังเป็นโจทย์สำคัญ แม้กรมที่ดินจะระบุว่าการจ่ายเงินชดเชยเสร็จสิ้นไปแล้วราวร้อยละ 95 แต่ผู้ถูกเวนคืนบางส่วนยังอยู่ระหว่างกระบวนการอุทธรณ์ราคา ความโปร่งใสในการประเมินมูลค่าและการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนจะเป็นตัวชี้วัดสำคัญว่ารถไฟสายใหม่จะได้รับความไว้วางใจจากผู้คนในพื้นที่มากเพียงใด

หมุดหมายปี 2571 บททดสอบความพร้อมของระบบรางไทย

หากทุกอย่างเป็นไปตามแผน โครงการรถไฟทางคู่สายเด่นชัย–เชียงราย–เชียงของ จะก่อสร้างแล้วเสร็จภายในเดือนมกราคม 2571 และเข้าสู่ช่วงทดสอบระบบ ก่อนเปิดให้บริการเชิงพาณิชย์ตลอดเส้นทางในปีเดียวกัน นั่นหมายความว่าภายในเวลาไม่ถึงสามปีข้างหน้า ภาคเหนือของไทยจะมีเส้นทางรถไฟสายใหม่ที่เชื่อมจากด่านชายแดนเชียงของสู่โครงข่ายรถไฟประเทศได้อย่างเต็มรูปแบบ

อย่างไรก็ดี ระหว่างทางยังมีงานท้าทายอีกหลายด้าน ทั้งการเจาะอุโมงค์งาวให้ทะลุภายในกำหนด การติดตั้งระบบรางและระบบอาณัติสัญญาณที่ต้องสอดรับกับมาตรฐานความปลอดภัยระดับสากล รวมถึงการเตรียมบุคลากร ชุมชน และภาคธุรกิจให้พร้อมใช้ประโยชน์จากโครงสร้างพื้นฐานนี้อย่างสูงสุด

สำหรับคนเชียงรายและจังหวัดใกล้เคียง ภาพของขบวนรถไฟวิ่งลัดเลาะเหนือแม่น้ำยม ผ่านอุโมงค์ดอยหลวง ข้ามแม่น้ำกก และมุ่งหน้าสู่ชายแดนเชียงของ อาจเคยเป็นเพียง “ภาพในอินโฟกราฟิก” ของการรถไฟ แต่วันนี้เสียงเครื่องจักรที่ก้องอยู่ตามแนวเขาและทุ่งนากำลังบอกเราว่า เมกะโปรเจกต์นี้ได้เดินหน้ามาเกินครึ่งทางแล้ว

คำถามสำคัญจึงไม่ใช่เพียงว่า “รถไฟจะมาถึงเมื่อไร” หากแต่เป็นว่า “เราเตรียมตัวพร้อมแค่ไหน” ที่จะใช้โอกาสจากรางเหล็กสายใหม่ เปลี่ยนภาคเหนือให้เป็นศูนย์กลางการค้า การท่องเที่ยว และโลจิสติกส์ของอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขงอย่างแท้จริง

สำนักข่าวนครเชียงรายนิวส์

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.)
  • กระทรวงคมนาคม
  • กรมที่ดิน
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
MOST POPULAR
FOLLOW ME
Categories
AROUND CHIANG RAI ECONOMY

พลิกเมืองโลจิสติกส์ แรงงานเชียงราย ต้อง Upskill รับ รถไฟเด่นชัย-เชียงของ ปี 2571

ภารกิจเร่งด่วน ‘คนไทยต้องมีงานทำ’ เมื่อเชียงรายเผชิญวิกฤตแรงงานคู่ขนาน ท่ามกลางเมกะโปรเจกต์ 8.5 หมื่นล้าน พลิกเมืองสู่ศูนย์กลางโลจิสติกส์ลุ่มน้ำโขง

เชียงราย, 26 พฤศจิกายน 2568 – ท่ามกลางความผันผวนของเศรษฐกิจโลก เสียงย้ำของนโยบาย “คนไทยต้องมีงานทำ” ที่ประกาศโดยกระทรวงแรงงาน ไม่ได้เป็นเพียงสโลแกนสวยหรู หากแต่สะท้อน “ภารกิจระดับชาติ” ในการปกป้องความมั่นคงของประชาชน จากปัญหาการว่างงาน ความไม่มั่นคงทางรายได้ และความเสี่ยงจากรูปแบบอาชญากรรมใหม่ ๆ ที่กำลังกัดกินสังคมไทย

ในขณะที่รัฐบาลกลางเร่งเดินหน้าจัดหาตำแหน่งงาน 150,000 อัตรา ภายใน 4 เดือน เชียงราย–ในฐานะประตูเศรษฐกิจชายแดนตอนบน–กำลังยืนอยู่บนจุดตัดสำคัญของประวัติศาสตร์แรงงานจังหวัดหนึ่งด้านคือ “การเติบโตเชิงเร่ง” ของการจ้างงานและเมกะโปรเจกต์โครงสร้างพื้นฐานมูลค่ากว่า 8.5 หมื่นล้านบาท แต่อีกด้านคือ “โครงสร้างแรงงานที่เปราะบาง” แรงงานนอกระบบสูง ปรากฏการณ์แรงงานชายแดนช็อกแบบฉับพลัน และเงื่อนไข Skills Mismatch ที่อาจรุนแรงขึ้นในอนาคตอันใกล้

คำถามสำคัญจึงไม่ใช่แค่ว่า “เชียงรายจะมีงานเพิ่มขึ้นเท่าไร” แต่คือ “คนเชียงราย พร้อมแค่ไหนที่จะได้งานที่มั่นคงและมีคุณภาพ” เมื่อรถไฟ รถบรรทุก และเครื่องบิน ขนสินค้าและผู้โดยสารหลั่งไหลเข้ามาเต็มศักยภาพในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า

วิกฤตแรงงานระดับชาติ และคำประกาศ ‘คนไทยต้องมีงานทำ’

นโยบาย “คนไทยต้องมีงานทำ” ถูกเปิดตัวอย่างเป็นทางการโดย นางสาวตรีนุช เทียนทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน พร้อมเป้าหมายจัดหาตำแหน่งงานมากกว่า 150,000 อัตรา ภายใน 4 เดือน ผ่านความร่วมมือจากทุกภาคส่วนและโครงข่ายศูนย์จัดหางานทั่วประเทศ

รัฐมนตรีแรงงานย้ำว่า ปัญหาการตกงานไม่ใช่เพียงตัวเลขทางสถิติ แต่คือรากเหง้าของวิกฤตทางสังคมหลายมิติ – ตั้งแต่ความรุนแรงในครอบครัว ปัญหายาเสพติด ไปจนถึงการถูกล่อลวงโดยแก๊งสแกมเมอร์ที่โยกย้ายฐานปฏิบัติการตามช่องโหว่ของเศรษฐกิจชายแดน

“งานต้องการคน และคนก็ต้องการงาน หน้าที่ของรัฐคือทำให้สมการนี้ลงตัว โดยใช้ข้อมูลจริงจากตลาดแรงงาน เชื่อม นายจ้าง–ทักษะ–ความต้องการของประชาชน ให้เดินไปด้วยกัน”
– นางสาวตรีนุช เทียนทอง

ปฏิบัติการนี้ขับเคลื่อนผ่าน ศูนย์บริการจัดหางานเพื่อคนไทย” 87 แห่ง ทั้งส่วนกลางและสำนักงานจัดหางานจังหวัดทั่วประเทศ โดยมีตำแหน่งงานว่างรองรับทันที 61,399 อัตรา ครอบคลุมภาคการผลิต การค้า โลจิสติกส์ ดิจิทัล ท่องเที่ยว และบริการ พร้อมตั้ง KPI ผลักดันการบรรจุงานเฉลี่ย วันละ 1,000 อัตรา

ในเชิงผลลัพธ์เชิงปริมาณ ตั้งแต่ตุลาคม 2568 ถึงปัจจุบัน กรมการจัดหางานบรรจุแรงงานในประเทศไปแล้ว 42,000 คน สร้างรายได้เฉลี่ยปีละ 7,560 ล้านบาท และส่งแรงงานไทยไปทำงานต่างประเทศกว่า 17,000 คน สร้างรายได้เข้าประเทศปีละราว 12,240 ล้านบาท สะท้อนบทบาทเชิงรุกของรัฐในการดึงประชาชนกลับเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจและลดความเสี่ยงด้านความมั่นคงในระยะยาว

อย่างไรก็ดี เบื้องหลังตัวเลขที่ขยับดีขึ้น ยังมี “โจทย์เชิงคุณภาพ” ที่ต้องแก้ – โดยเฉพาะในจังหวัดเสี่ยงเชิงโครงสร้างอย่างเชียงราย

เชียงราย เมืองโตเร็วแต่ฐานแรงงานเปราะบาง

ข้อมูลการวิเคราะห์ภาวะการจ้างงานของ สำนักงานคลังจังหวัดเชียงราย ชี้ให้เห็นภาพที่ชัดเจนว่า ตลาดแรงงานเชียงรายกำลัง “ฟื้นตัวและขยายตัวในอัตราเร่ง”

  • ปี 2566 คาดมีผู้มีงานทำรวม 609,306 คน เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 7,601 คน (เติบโต 1.3%)
  • ปี 2567 คาดผู้มีงานทำเพิ่มเป็น 622,534 คน เพิ่มขึ้น 13,228 คน – เกือบ สองเท่า ของการเพิ่มขึ้นในปี 2566

การเร่งตัวของการจ้างงานครั้งนี้ สอดคล้องกับการคาดการณ์การเติบโตของผลผลิตภาคบริการที่ 9.1% และภาคอุตสาหกรรมที่ 9.5% ขณะที่ค่าแรงขั้นต่ำจังหวัดอยู่ที่ 340 บาท/วัน ช่วยให้เชียงรายยังรักษาความสามารถแข่งขันด้านต้นทุนแรงงาน เมื่อเทียบกับจังหวัดที่มีค่าแรงสูงกว่ามากในประเทศ

แต่เมื่อเจาะลึกลงไปใน “โครงสร้าง” จะพบอีกด้านของเหรียญที่น่ากังวลไม่แพ้กัน

  • การโตที่ “ผูกกับร้านเล็กรายย่อย”

โครงสร้างการจ้างงานของเชียงรายยังผูกติดอยู่กับ ภาคการค้าปลีกและบริการ อย่างเหนียวแน่น

  • ภาคการค้าปลีกมีคนทำงานรวม 55,206 คน ลูกจ้าง 21,707 คน
  • ภาคบริการมีคนทำงาน 54,690 คน ลูกจ้าง 24,347 คน

แต่ “หัวใจ” ของการจ้างงานกลับอยู่ที่ สถานประกอบการขนาดเล็กมาก (MICRO) ซึ่งมีคนทำงานและลูกจ้างรวมกันถึง 99,189 คน และสร้างมูลค่าตอบแทนแรงงานสูงสุดถึง 3,347.8 ล้านบาท

เมื่อลองรวมกับธุรกิจขนาดเล็ก (S) จะพบว่าแรงงานส่วนใหญ่ในจังหวัดทำงานอยู่ในธุรกิจขนาดเล็กและนอกระบบ ซึ่งมักขาดหลักประกันทางสังคม รายได้ผันผวน และรับแรงกระแทกจากวิกฤตได้รุนแรงกว่าธุรกิจขนาดใหญ่

 “Growth with Fragility” – โตพร้อมความเปราะบาง

ภาวะ “โตแต่เปราะบาง” (Growth with Fragility) ของตลาดแรงงานเชียงรายยิ่งชัดเจน เมื่อพิจารณาร่วมกับข้อเท็จจริงว่า จังหวัดมีสัดส่วนแรงงานนอกระบบสูงกว่าค่าเฉลี่ยประเทศ แรงงานกลุ่มนี้เมื่อเผชิญกับความผันผวนทางเศรษฐกิจ หรือความเปลี่ยนแปลงจากนโยบายความมั่นคงชายแดน จึงตกหล่นจากระบบคุ้มครองอย่างรวดเร็ว

ภาพนี้ปูพื้นให้เห็นว่า แม้ “จำนวน” ผู้มีงานทำจะเพิ่มขึ้น แต่ “คุณภาพ” ของงานและเสถียรภาพชีวิตแรงงานยังเป็นโจทย์ที่ท้าทายอย่างยิ่ง

แรงสั่นสะเทือนจากชายแดน และมลพิษข้ามพรมแดน เมื่อความมั่นคงกระแทกตลาดแรงงาน

นอกจากโครงสร้างที่เปราะบางจากภายใน เชียงรายยังรับแรงกระแทกจากปัจจัยภายนอกอย่างรุนแรง ทั้งจากมาตรการความมั่นคงชายแดน และวิกฤตสิ่งแวดล้อมข้ามพรมแดน

  • ‘Mae Sai Shock’: การช็อกด้านลบของแรงงานชายแดน

เดือนกุมภาพันธ์ 2568 รัฐไทยดำเนินมาตรการตัดกระแสไฟฟ้าและระงับการส่งออกน้ำมันเชื้อเพลิงไปยังฝั่งท่าขี้เหล็ก เมียนมา เพื่อปราบปรามอาชญากรรมออนไลน์และบ่อนพนันข้ามชาติ

ผลลัพธ์ในฝั่งแรงงานคือ บ่อนคาสิโนและธุรกิจสีเทาหลายแห่งต้องหยุดดำเนินการทันที แรงงานจำนวนมากที่เคยเดินทางจากแม่สายไปทำงานในท่าขี้เหล็กต้อง “หยุดงานแบบฉับพลัน” มาตรการที่ได้ผลในเชิงความมั่นคง กลับสร้าง “Negative Supply Shock” ต่อแรงงานชายแดน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นแรงงานนอกระบบและอยู่นอกสายตาระบบประกันสังคม

แรงงานกลุ่มนี้จำเป็นต้องถูก “ดึงกลับเข้าระบบเศรษฐกิจถูกกฎหมาย” ภายในจังหวัด – ไม่ว่าจะเป็นภาคบริการ ท่องเที่ยว โลจิสติกส์ หรืออุตสาหกรรม – หากไม่มีมาตรการเปลี่ยนถ่ายทักษะและรองรับอย่างเป็นระบบ การว่างงานเชิงโครงสร้างอาจลุกลามเป็นปัญหาสังคมในระยะยาว

  • มลพิษแม่น้ำกก–สารหนู–โลหะหนัก: ซ้ำเติมวิถีชีวิตเกษตร

อีกฟากหนึ่งของจังหวัด แรงงานภาคเกษตรและชุมชนริมลุ่มน้ำกำลังเผชิญกับวิกฤตสิ่งแวดล้อมจาก การปนเปื้อนสารหนูและโลหะหนักในแม่น้ำกกและลำน้ำสาขา ซึ่งเกี่ยวโยงกับการทำเหมืองแร่ทองคำและแร่หายากต้นน้ำในรัฐฉาน ประเทศเมียนมา

แม้ การประปาส่วนภูมิภาค (กปภ.) เชียงราย จะยืนยันว่า น้ำประปาหลังการบำบัดมีค่าการตรวจสารหนูต่ำกว่า 0.001 มิลลิกรัมต่อลิตร ต่ำกว่ามาตรฐานกรมอนามัยที่กำหนดไม่เกิน 0.01 มิลลิกรัมต่อลิตร แต่ความเชื่อมั่นของประชาชนกว่า 120,000 คน ในเขตเทศบาลนครเชียงรายกลับถดถอยลงอย่างหนัก

ประชาชนจำนวนมากเลิกดื่มน้ำประปา หันไปพึ่งพาน้ำดื่มบรรจุขวด เพิ่มภาระค่าครองชีพ ส่วนชุมชนเกษตรกรกว่า 750 ครัวเรือน ในลุ่มน้ำกกกังวลทั้งราคาผลผลิตที่ตกต่ำ และความเสี่ยงจากการสะสมของสารพิษในดินและพืชผล

เสียงสะท้อนของเกษตรกรและผู้นำชุมชนจึงผลักดันให้ปัญหาน้ำกลายเป็น “โจทย์ความมั่นคงด้านแรงงาน” เพราะเมื่อแหล่งน้ำปนเปื้อน วิถีชีวิตที่พึ่งพาเกษตรกรรม การประมงพื้นบ้าน และการท่องเที่ยวเชิงนิเวศ ย่อมถูกกระทบพร้อมกัน

เมกะโปรเจกต์ 8.5 หมื่นล้าน โอกาสทองหรือกับดักใหม่ของตลาดแรงงานเชียงราย

ท่ามกลางความเปราะบางดังกล่าว เชียงรายกำลังก้าวเข้าสู่ยุคการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานครั้งใหญ่ในประวัติศาสตร์ ทั้งในกรอบ ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคเหนือ (NEC) และ เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษชายแดน (SEZ)

จัดบทบาทเมืองชายแดน: Trading City – Port City – Logistic City

จังหวัดกำหนดบทบาทเชิงยุทธศาสตร์ของ 3 อำเภอชายแดนไว้อย่างชัดเจน

  • แม่สาย – Trading City: ศูนย์กลางการค้า การเงิน และบริการชายแดนที่ถูกกฎหมาย
  • เชียงแสน – Port City: เมืองท่าแม่น้ำโขง เชื่อมการท่องเที่ยว วัฒนธรรม และหัตถกรรม
  • เชียงของ – Logistic City: ศูนย์โลจิสติกส์ บก–น้ำ–ราง และอุตสาหกรรมแปรรูปเกษตรเชิงนิเวศ

การจัดตำแหน่งเชิงยุทธศาสตร์เช่นนี้ จะสร้างความต้องการแรงงานโลจิสติกส์ ท่องเที่ยว บริการ และอุตสาหกรรมแปรรูปในระดับสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง

รถไฟทางคู่เด่นชัย–เชียงราย–เชียงของ เส้นเลือดใหญ่สู่จีนตอนใต้

หัวใจสำคัญของการเปลี่ยนผ่าน คือ โครงการรถไฟทางคู่สายเด่นชัย–เชียงราย–เชียงของ มูลค่า 85,345 ล้านบาท ซึ่งถูกวางให้เป็นเส้นทางยุทธศาสตร์ เชื่อมโครงข่ายรถไฟของไทยกับลาวและจีนตอนใต้ รองรับทั้งผู้โดยสารและขนส่งสินค้าในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง

ข้อมูลล่าสุดระบุว่า โครงการมีความคืบหน้ารวม 46.112% เร็วกว่าแผน และมีกำหนดเปิดเดินรถใน เดือนมกราคม 2571 โดยสถานีเชียงของจะถูกพัฒนาเป็น ย่านกองเก็บและบรรทุกตู้สินค้า บนพื้นที่ราว 150 ไร่ รองรับการค้าผ่านแดนมูลค่าสูงในอนาคต

เมื่อทางคู่เปิดใช้จริง ความต้องการแรงงานสายโลจิสติกส์–ขนส่ง–ซ่อมบำรุง จะเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ทั้งในภาคเอกชนและรัฐวิสาหกิจที่เกี่ยวข้อง

สนามบินแม่ฟ้าหลวง – จากสนามบินภูมิภาคสู่ Aviation & MRO Hub

การขยายขีดความสามารถของ ท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย ไปสู่การรองรับผู้โดยสาร 6–8 ล้านคนต่อปี ภายในปี 2575 ควบคู่กับแนวคิดการพัฒนา ศูนย์ซ่อมบำรุงอากาศยาน (MRO) และกิจกรรมเชิงพาณิชย์รอบสนามบิน จะสร้าง “ดีมานด์แรงงานทักษะสูง” ในตำแหน่งช่างเทคนิคการบิน ช่างซ่อมบำรุงโลจิสติกส์ และบริการผู้โดยสารอย่างต่อเนื่อง

หากรวมเมกะโปรเจกต์ด้านราง–ถนน–อากาศทั้งหมดเข้าด้วยกัน เม็ดเงินลงทุนโครงสร้างพื้นฐานในเชียงรายถูกประเมินว่าแตะระดับมากกว่า 8.5 หมื่นล้านบาท ในช่วงไม่กี่ปีข้างหน้า พร้อมจะผลักดันเมืองจาก “ศูนย์กลางการค้าชายแดนแบบดั้งเดิม” ไปสู่ Logistic City & Aviation Hub ของลุ่มน้ำโขงตอนบน

แต่คำถามที่สำคัญกว่า คือ “แรงงานท้องถิ่น พร้อมแค่ไหนที่จะก้าวขึ้นมารับตำแหน่งเหล่านี้”

วิกฤต Skills Mismatch เมื่อโครงสร้างอาชีพไม่ตรงกับอนาคต

แม้ตัวเลขการจ้างงานจะเพิ่มขึ้น และโครงการลงทุนจะเร่งตัว แต่ข้อมูลจากการรับสมัครงานในพื้นที่สะท้อนชัดว่า เชียงรายกำลังเผชิญ ความไม่สมดุลของทักษะ (Skills Mismatch)

อาชีพมูลค่าสูงที่ยังขาดคน

ในภาคสาธารณสุข มีการเปิดรับสมัครบุคลากรอย่างต่อเนื่อง ทั้งพนักงานกระทรวงสาธารณสุขอย่างน้อย 17 อัตรา ตำแหน่งเภสัชกร ผู้ช่วยทันตแพทย์ และบุคลากรทางการแพทย์เฉพาะทาง สะท้อนความต้องการแรงงานทักษะสูงด้านสุขภาพที่ยังไม่เพียงพอ

ในภาคเอกชน มีการประกาศรับ ที่ปรึกษาการขาย ในธุรกิจตัวแทนจำหน่ายรถยนต์ และตำแหน่งในธุรกิจบริการเฉพาะทาง เช่น บาริสต้าในร้านกาแฟคุณภาพ ซึ่งต้องอาศัยทักษะการขายและการบริการที่แตกต่างจากแรงงานบริการพื้นฐานทั่วไป

ตำแหน่งเหล่านี้เป็น “งานมูลค่าสูงและมั่นคงกว่า” แต่กลับพบปัญหาขาดแคลนแรงงานที่มีทักษะตรงตามความต้องการ ขณะที่แรงงานจำนวนมากยังถูกดูดซับอยู่ในร้านค้าเล็ก ๆ ธุรกิจครัวเรือน และภาคบริการที่ไม่เป็นทางการ

เมื่อการเติบโตไม่แปลว่าทุกคนจะได้งานดีขึ้น

ในด้านหนึ่ง เชียงรายกำลังเปลี่ยนผ่านจากเศรษฐกิจเกษตร–บริการพื้นฐาน ไปสู่เศรษฐกิจที่ใช้เทคโนโลยีและทักษะมากขึ้น ผ่านอุตสาหกรรมโลจิสติกส์ การท่องเที่ยวคุณภาพสูง และโครงสร้างพื้นฐานระบบราง–การบิน

แต่อีกด้านหนึ่ง ฐานแรงงานเดิมจำนวนมากยังไม่มีโอกาสเข้าถึงการฝึกอบรม Upskill–Reskill อย่างเป็นระบบ โดยเฉพาะแรงงานนอกระบบ แรงงานชายแดนที่ได้รับผลกระทบจาก “Mae Sai Shock” และเกษตรกรในลุ่มน้ำกกที่ต้องเผชิญความเสี่ยงด้านสิ่งแวดล้อม

หากไม่มี “สะพานเชื่อมทักษะ” ที่แข็งแรง เมกะโปรเจกต์และนโยบาย “คนไทยต้องมีงานทำ” อาจกลายเป็น “โอกาสที่คนในพื้นที่เข้าไม่ถึง” ขณะที่ตำแหน่งงานคุณภาพสูงอาจตกไปอยู่ในมือแรงงานจากจังหวัดอื่นหรือแรงงานต่างชาติที่มีทักษะพร้อมกว่า

ทางออกเชิงโครงสร้าง ลงทุนในคนควบคู่ลงทุนในทางรถไฟ

เพื่อลดความเปราะบางและเปลี่ยนวิกฤตแรงงานคู่ขนานให้เป็น “หน้าต่างโอกาส” เชียงรายจำเป็นต้องขับเคลื่อนมาตรการเชิงโครงสร้างควบคู่ไปกับการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานอย่างจริงจัง

  • กลไกเปลี่ยนถ่ายทักษะ: จากชายแดนสู่โลจิสติกส์ และบริการคุณภาพสูง

ภาครัฐ หน่วยงานท้องถิ่น และสถาบันการศึกษาในพื้นที่ เช่น มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง และสถาบันอาชีวศึกษา ควรเร่งจัดทำหลักสูตรฝึกอบรมระยะสั้นที่มุ่งเป้าชัดเจนไปที่อุตสาหกรรมอนาคตของเชียงราย ได้แก่

  • โลจิสติกส์และซัพพลายเชน (พื้นที่เชียงของ–เชียงแสน–แม่สาย)
  • งานบริการและการท่องเที่ยวคุณภาพสูง
  • ทักษะดิจิทัลที่เกี่ยวข้องกับการค้าชายแดนและอีคอมเมิร์ซ
  • ทักษะด้านสุขภาพ สาธารณสุขชุมชน และการดูแลผู้สูงอายุ

แรงงานที่ได้รับผลกระทบจากธุรกิจสีเทาชายแดน และแรงงานนอกระบบควรถูกออกแบบให้เป็น “กลุ่มเป้าหมายหลัก” ของหลักสูตร Retraining เหล่านี้ เพื่อดึงเข้ามาสู่ภาคเศรษฐกิจที่ถูกกฎหมายและมีเสถียรภาพมากขึ้น

ยกระดับคุณภาพการจ้างงานในธุรกิจขนาดเล็ก

ในเมื่อธุรกิจขนาด MICRO เป็นหัวใจของการจ้างงานและมูลค่าตอบแทนแรงงาน การพัฒนาคุณภาพชีวิตของแรงงานเชียงรายจึงต้องเริ่มที่ “ฐาน” ไม่ใช่ปลายยอด

มาตรการเชิงนโยบายอาจรวมถึง

  • เงินอุดหนุนหรือสิทธิประโยชน์ทางภาษีให้ธุรกิจขนาดเล็กที่ขึ้นทะเบียนลูกจ้างเข้าสู่ระบบประกันสังคม
  • โปรแกรมให้คำปรึกษาทางธุรกิจ–บัญชี–ดิจิทัล สำหรับผู้ประกอบการรายย่อย เพื่อเพิ่มผลิตภาพ ลดการพึ่งพาแรงงานไร้ทักษะจำนวนมาก
  • การสนับสนุนให้ธุรกิจบริการ–ค้าปลีกในชุมชนเชื่อมต่อกับห่วงโซ่อุปทานใหม่ที่มาจากโครงการโลจิสติกส์และการท่องเที่ยว

ปรับนโยบายค่าแรงสู่ “ค่าแรงตามทักษะ”

ในระยะยาว การพัฒนาตลาดแรงงานเชียงรายอาจต้องขยับจากการถกเถียงเรื่อง “ขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ” เพียงอย่างเดียว ไปสู่การสร้างระบบ ค่าแรงตามทักษะ (Skill-based Wages) ที่เชื่อมโยงรายได้กับการพัฒนาฝีมือของแรงงาน

ค่าจ้างที่สะท้อนทักษะที่สูงขึ้นจะกระตุ้นให้แรงงานสนใจเข้าร่วมโครงการฝึกอบรม Upskill–Reskill ในขณะเดียวกันก็ช่วยให้ผู้ประกอบการได้รับแรงงานที่มีศักยภาพเหมาะสมกับโครงสร้างเศรษฐกิจใหม่ของจังหวัด

ก่อนรถไฟจะมาถึง เมืองต้องลงทุนในคนให้ทัน

ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า เมื่อรถไฟทางคู่เด่นชัย–เชียงราย–เชียงของเปิดเดินรถเต็มรูปแบบ สนามบินแม่ฟ้าหลวงขยายความจุ และ NEC/SEZ เดินหน้าเต็มกำลัง เชียงรายจะกลายเป็น “ประตูโลจิสติกส์” สำคัญของอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

เมกะโปรเจกต์เหล่านี้พร้อมแล้วที่จะขับเคลื่อนมูลค่าทางเศรษฐกิจมหาศาล แต่การจะเปลี่ยนเม็ดเงินลงทุน 8.5 หมื่นล้านบาทให้กลายเป็น “ความมั่นคงในชีวิต” ของคนเชียงราย จำเป็นต้องมี “การลงทุนในมนุษย์” ที่เข้มข้นไม่แพ้กัน – ตั้งแต่การฝึกทักษะแรงงาน การปกป้องสิทธิแรงงานนอกระบบ การจัดการวิกฤตชายแดนและมลพิษข้ามพรมแดน ไปจนถึงการปรับโครงสร้างค่าจ้างให้สะท้อนทักษะและผลิตภาพที่แท้จริง

นโยบายระดับชาติ “คนไทยต้องมีงานทำ” จึงไม่ใช่เพียงการเพิ่มจำนวนตำแหน่งงาน แต่คือบททดสอบว่า เชียงรายจะสามารถออกแบบ “ระบบรองรับ” ที่ทำให้คนตัวเล็ก ๆ ในร้านค้า ชายแดน และชุมชนลุ่มน้ำ ได้ก้าวขึ้นมาร่วมขบวนเศรษฐกิจใหม่ได้อย่างเท่าเทียมเพียงใด

ก่อนรถไฟขบวนแรกจะแล่นเข้าสู่สถานีเชียงของในปี 2571 คำถามสำคัญที่เชียงรายต้องตอบให้ได้ คือ เราลงทุนในคนทันกับทางรถไฟหรือไม่” เพราะหากคำตอบคือ “ใช่” เมืองนี้จะไม่ได้เป็นเพียงจุดผ่านของสินค้าและผู้โดยสาร หากแต่จะกลายเป็น “เมืองที่คนมีงานทำอย่างมีศักดิ์ศรี” อย่างแท้จริง

สำนักข่าวนครเชียงรายนิวส์

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานคลังจังหวัดเชียงราย
  • กระทรวงแรงงาน และกรมการจัดหางาน
  • กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน
  • ข้อมูลเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษชายแดน (SEZ) และระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคเหนือ (NEC) – จังหวัดเชียงราย และเอกสารมติคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
MOST POPULAR
FOLLOW ME
Categories
AROUND CHIANG RAI ECONOMY

แม่สาย-เชียงแสน-เชียงของ 3 บทบาทชัดเจน หนุนเชียงรายสู่ประตูการค้าชายแดน

เชียงรายเร่งเครื่อง NEC–SEZ ปักหมุด “ประตูการค้าและศูนย์กลางโลจิสติกส์ลุ่มน้ำโขง”

เชียงราย, 24 พฤศจิกายน 2568 – ที่ห้องประชุมธรรมลังกา ชั้น 3 ศาลากลางจังหวัดเชียงราย บรรยากาศการประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนการดำเนินงานระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคเหนือ (Northern Economic Corridor – NEC) และเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษชายแดน (Special Economic Zone – SEZ) เต็มไปด้วยความคาดหวัง

ภายใต้การเป็นประธานของนายนรศักดิ์ สุขสมบูรณ์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย การประชุมครั้งนี้ไม่ได้เป็นเพียงการตรวจงานเชิงเอกสาร หากแต่เป็นการ “จัดวางหมาก” เชิงยุทธศาสตร์ เพื่อผลักดันเชียงรายจากจังหวัดชายแดน ให้กลายเป็นศูนย์กลางโลจิสติกส์และการค้าชายแดนที่เชื่อมไทยกับจีน สปป.ลาว และเมียนมา ในระดับอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง (GMS) อย่างแท้จริง

จากมติระดับชาติ สู่การลงมือจริงในพื้นที่ชายแดน

เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษเชียงราย (SEZ) ถือกำเนิดจากมติคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษตั้งแต่ปี 2558 โดยกำหนดพื้นที่ครอบคลุม 3 อำเภอชายแดน คือ แม่สาย เชียงแสน และเชียงของ รวมพื้นที่กว่า 916 ตารางกิโลเมตร

หลังจากผ่านเวลากว่าหนึ่งทศวรรษ การประชุมครั้งนี้จึงเป็นเหมือน “จุดทบทวนและเร่งเครื่อง” เพื่อประเมินผลการดำเนินงานที่ผ่านมา และจัดวางทิศทางใหม่ให้สอดคล้องกับบริบทเศรษฐกิจภูมิภาคที่เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว

ที่ประชุมได้รับทราบคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการขับเคลื่อน NEC และ SEZ จังหวัดเชียงรายอย่างเป็นทางการ รวมทั้งสรุปผลการดำเนินงานเขตเศรษฐกิจพิเศษเชียงรายตลอดช่วงที่ผ่านมา ทั้งในมิติพื้นที่ โครงสร้างพื้นฐาน และการเตรียมความพร้อมรองรับการค้า การลงทุน และการเชื่อมโยงกับประเทศเพื่อนบ้าน

3 อำเภอ 3 บทบาท: แม่สาย–เชียงแสน–เชียงของ ในยุทธศาสตร์ SEZ เชียงราย

จุดเด่นของการออกแบบ SEZ เชียงราย คือ “บทบาทเชิงยุทธศาสตร์” ที่ชัดเจนของแต่ละอำเภอ ซึ่งไม่ได้เน้นการแข่งขันกันเอง แต่เน้นเสริมกันเป็น “คลัสเตอร์ชายแดน” ที่เชื่อมโยงกันทั้งระบบ

อำเภอแม่สาย – Trading City
แม่สายถูกวางให้เป็น “เมืองการค้า” หรือ Trading City เต็มรูปแบบ ทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางการค้า การเงิน และบริการครบวงจร รองรับทั้งร้านค้าปลอดภาษี ศูนย์แสดงสินค้า และศูนย์ข้อมูลการค้าระหว่างประเทศ จุดแข็งสำคัญคือการเป็นด่านชายแดนสำคัญที่เชื่อมโยงการค้าระหว่างไทย–เมียนมา และต่อเนื่องไปสู่จีนตอนใต้

การเสริมบทบาทแม่สายจึงไม่ได้หมายถึงการเพิ่มร้านค้าเพียงอย่างเดียว แต่รวมถึงการยกระดับมาตรฐานโครงสร้างพื้นฐานการค้าชายแดน การอำนวยความสะดวกด้านพิธีการศุลกากร และการพัฒนาบริการทางการเงินและโลจิสติกส์ให้มีความทันสมัยมากขึ้น

อำเภอเชียงแสน – Port City ริมโขง
เชียงแสนถูกกำหนดบทบาทเป็น “เมืองท่า” หรือ Port City โดยใช้ศักยภาพท่าเรือแม่น้ำโขงเป็นหัวใจหลัก ทั้งเพื่อการขนส่งสินค้าและการท่องเที่ยวทางน้ำ ควบคู่กับการพัฒนาเมืองให้เป็นเมืองท่องเที่ยวคุณภาพ ศูนย์วัฒนธรรม และแหล่งหัตถกรรมของเชียงราย

บทบาทนี้ทำให้เชียงแสนไม่ได้เป็นเพียงเมืองโบราณหรือพื้นที่ประวัติศาสตร์เท่านั้น แต่ยังทำหน้าที่เป็น “ประตูน้ำ” ริมโขง ที่เชื่อมเส้นทางการค้าสินค้าจากจีนตอนใต้ผ่านแม่น้ำโขงลงมาสู่ไทย และเชื่อมต่อไปยังตลาดอื่น ๆ ในภูมิภาค

อำเภอเชียงของ – Logistic City และอุตสาหกรรมเชิงนิเวศ
เชียงของได้รับการออกแบบให้เป็น “Logistic City” ศูนย์กลางโลจิสติกส์และอุตสาหกรรมเชิงนิเวศ รวมถึงการแปรรูปสินค้าเกษตร โดยใช้จุดแข็งด้านทำเลที่มีสะพานมิตรภาพไทย–ลาว เชื่อมสู่ สปป.ลาว และจีนตอนใต้ และเป็นปลายทางสำคัญของโครงข่ายคมนาคมใหม่ เช่น โครงการรถไฟทางคู่สายเด่นชัย–เชียงราย–เชียงของ

เป้าหมายคือการทำให้เชียงของกลายเป็น “จุดเปลี่ยนถ่ายสินค้าและศูนย์ขนส่งมวลชนในอนาคต” ที่เชื่อมโยงระบบขนส่ง บก–น้ำ–ราง ไว้ด้วยกันในจุดเดียว ลดต้นทุนโลจิสติกส์ของผู้ประกอบการ และเปิดโอกาสให้เกิดอุตสาหกรรมต่อเนื่องที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

NEC – ระเบียงเศรษฐกิจเหนือเชื่อม GMS มากกว่าชายแดน แต่คือพื้นที่ยุทธศาสตร์ระดับภูมิภาค

นอกจาก SEZ แล้ว การประชุมยังให้ความสำคัญกับ “ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคเหนือ (NEC)” ซึ่งเป็นกรอบการพัฒนาที่มองเชียงรายไม่ใช่เพียงจังหวัดชายแดน แต่เป็นส่วนหนึ่งของระเบียงเศรษฐกิจที่เชื่อมโยงโครงข่ายเมือง เศรษฐกิจ และโครงสร้างพื้นฐานในอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง

ที่ประชุมรับทราบสรุปผลการประชุมเชิงปฏิบัติการยกระดับความร่วมมือในการขับเคลื่อน NEC รวมทั้งรายงานการประชุมคณะกรรมการความร่วมมือระหว่างประเทศของจังหวัดเชียงราย ซึ่งเป็นกลไกสำคัญในการเชื่อมโยงนโยบายระดับชาติ เข้ากับข้อเท็จจริงในพื้นที่และความต้องการของภาคเอกชน

NEC จึงทำหน้าที่เหมือน “โครงร่างใหญ่” ที่กำหนดทิศทางการพัฒนา ขณะที่ SEZ เป็น “พื้นที่นำร่อง” ที่ลงมือทำจริงในระดับพื้นที่ หากทั้งสองกลไกทำงานสอดประสานกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ ก็จะช่วยให้เชียงรายเดินหน้าไปในทิศทางที่ชัดเจนและต่อเนื่องมากขึ้น

เชื่อมเมือง เชื่อมคน เชื่อมทุน Sister City – ประชุม 4 ประเทศ 10 ฝ่าย – GMS

อีกหนึ่งประเด็นสำคัญที่ที่ประชุมได้รับทราบ คือ รายงานการระดมความคิดเห็นเพื่อจัดทำแผนความร่วมมือเมืองพี่เมืองน้อง (Sister City) ซึ่งเป็นเครื่องมือสร้างความสัมพันธ์ระยะยาวกับเมืองสำคัญในจีน สปป.ลาว และเมียนมา

Sister City ไม่ใช่เพียงพิธีลงนาม หากแต่เป็นกรอบความร่วมมือที่เปิดโอกาสให้เกิดการแลกเปลี่ยนทั้งด้านการค้า การลงทุน การศึกษา วัฒนธรรม และการท่องเที่ยว หากเชียงรายสามารถออกแบบความร่วมมือในเชิง “เมืองคู่ขนาน” ที่มีบทบาทเกื้อหนุนกัน เช่น เมืองโลจิสติกส์–เมืองอุตสาหกรรม–เมืองท่องเที่ยว ก็จะช่วยให้การดึงดูดนักลงทุนและนักท่องเที่ยวมีเป้าหมายชัดเจนมากขึ้น

ในเวลาเดียวกัน จังหวัดยังเตรียมแผนจัดการประชุมสัมมนาความร่วมมือ 4 ประเทศ 10 ฝ่าย เขตชายแดน ครั้งที่ 11 ซึ่งเป็นเวทีสำคัญของความร่วมมือด้านเศรษฐกิจชายแดนในอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง การมีเวทีเช่นนี้อย่างต่อเนื่อง ช่วยให้ภาครัฐและเอกชนสามารถแลกเปลี่ยนข้อมูล ปัญหา และโอกาสทางเศรษฐกิจได้อย่างใกล้ชิด

การลงทุนเชิงโครงสร้าง รถไฟทางคู่ – สนามบิน – การค้าชายแดน

การขับเคลื่อน NEC และ SEZ จะไม่สมบูรณ์ หากปราศจากโครงสร้างพื้นฐานที่รองรับการเติบโตในระยะยาว ที่ประชุมจึงเน้นย้ำความเชื่อมโยงกับโครงการลงทุนสำคัญ ทั้งทางบก ทางน้ำ และทางอากาศ

รถไฟทางคู่สายเด่นชัย–เชียงราย–เชียงของ
โครงการรถไฟทางคู่สายเด่นชัย–เชียงราย–เชียงของ ที่มีรายงานความคืบหน้าเร็วกว่าแผน และมีกำหนดแล้วเสร็จในปี 2571 ถูกมองว่าเป็น “เส้นเลือดใหญ่สายใหม่” ที่จะเชื่อมระบบขนส่งทางรางเข้ากับศูนย์โลจิสติกส์เมืองเชียงของโดยตรง ช่วยลดต้นทุนการขนส่งสินค้า เพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันของผู้ประกอบการชายแดน และเชื่อมโยงการค้าไทยกับตลาดจีนตอนใต้และลุ่มน้ำโขงได้สะดวกยิ่งขึ้น

ท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย (CEI)
แผนพัฒนา SEZ ยังสอดคล้องกับแนวทางขยายท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวงเชียงราย เพื่อเพิ่มขีดความสามารถการรองรับผู้โดยสารสู่ระดับ 6–8 ล้านคนต่อปี พร้อมการพัฒนาพื้นที่เชิงพาณิชย์รอบสนามบิน การยกระดับสนามบินให้เป็น “ฮับการเดินทางและโลจิสติกส์ทางอากาศ” จะช่วยดึงดูดทั้งสายการบิน นักท่องเที่ยว และนักลงทุนให้เลือกเชียงรายเป็นประตูเข้าสู่ภาคเหนือและ GMS มากขึ้น

การค้าชายแดนแม่สาย–เชียงของ
ด้านการค้าชายแดน แม่สายในฐานะ Trading City ยังคงเป็นด่านการค้าที่มีมูลค่าสูง แม้จะเผชิญความผันผวนจากสถานการณ์ในเมียนมา ขณะที่เชียงของยังคงทำหน้าที่เป็นเส้นทางการค้าผ่านแดนที่มีมูลค่าสูงที่สุดของจังหวัด การกำหนดบทบาทเมืองให้ชัดเจน และเชื่อมโยงกับระบบโลจิสติกส์ใหม่ จะช่วยเสริมความแข็งแกร่งของ “ห่วงโซ่มูลค่า” ตลอดแนวชายแดน

ดึงดูดนักลงทุนจีน จากเวทีประชุม สู่ Business Matching หน้างานจริง

อีกหนึ่งกลไกสำคัญที่ถูกหยิบยกขึ้นในที่ประชุม คือ แผนการจัดกิจกรรมต้อนรับคณะผู้แทนนักลงทุนจากประเทศจีน ที่จะเดินทางมาเยี่ยมชมพื้นที่ จัดประชุม และจับคู่ธุรกิจ (Business Matching) ในจังหวัดเชียงรายโดยตรง

กิจกรรมในลักษณะนี้เป็นมากกว่าการนำเสนอข้อมูลเชิงเอกสาร เพราะเปิดโอกาสให้นักลงทุนได้เห็น “พื้นที่จริง ศักยภาพจริง และเครือข่ายจริง” ของเชียงราย ทั้งในเขต SEZ และพื้นที่โดยรอบ หัวใจสำคัญอยู่ที่การเตรียม “ข้อมูลพื้นที่และโครงการลงทุน” ให้ชัดเจน สอดคล้องกับยุทธศาสตร์จังหวัด และตอบโจทย์ความต้องการของผู้ลงทุนในปัจจุบันที่มองหาโลเคชันเชื่อมโยงจีน–ลาว–เมียนมา–ไทยในจุดเดียว

การมี Business Matching ยังช่วยให้ผู้ประกอบการท้องถิ่นได้พบกับคู่ค้าและพันธมิตรใหม่ ๆ เปิดช่องให้เกิดการร่วมทุน การแลกเปลี่ยนเทคโนโลยี และการต่อยอดสินค้า–บริการที่มีรากฐานในเชียงราย แต่มีโอกาสเติบโตในตลาดกว้างระดับอนุภูมิภาค

โอกาสและความท้าทาย เมื่อศูนย์กลางโลจิสติกส์หมายถึงคน–ชุมชน–สิ่งแวดล้อม

แม้ยุทธศาสตร์การพัฒนา NEC และ SEZ จะสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจมหาศาล แต่ก็ต้องยอมรับว่ามี “โจทย์ท้าทาย” ตามมาด้วย ทั้งในมิติชุมชน สิ่งแวดล้อม และความเหลื่อมล้ำ

การผลักดันเชียงของให้เป็น Logistic City หรือการพัฒนาอุตสาหกรรมเชิงนิเวศ จำเป็นต้องออกแบบอย่างรอบคอบ เพื่อไม่ให้การขยายตัวของระบบโลจิสติกส์และอุตสาหกรรม กลายเป็นภาระต่อทรัพยากรธรรมชาติและคุณภาพชีวิตของชุมชนชายแดน การกำหนดมาตรการคุมเข้มมลพิษ มาตรฐานโรงงาน และระบบโครงสร้างพื้นฐานด้านสิ่งแวดล้อมจึงเป็นเรื่องสำคัญ

ในขณะเดียวกัน การเติบโตของเมืองการค้าและเมืองท่า อาจทำให้ราคาที่ดินและค่าครองชีพในบางพื้นที่สูงขึ้น หากไม่มีการวางแผนด้านผังเมือง และการกระจายประโยชน์อย่างเป็นธรรม ความเหลื่อมล้ำระหว่างกลุ่มทุนกับชุมชนพื้นถิ่นอาจขยายกว้าง ดังนั้น การออกแบบนโยบายจำเป็นต้องคำนึงถึง “คนตัวเล็ก” และเศรษฐกิจฐานรากควบคู่ไปกับเม็ดเงินลงทุนขนาดใหญ่

จากห้องประชุมสู่อนาคตเชียงราย การตัดสินใจวันนี้ กำหนดทิศทางหลายทศวรรษข้างหน้า

การประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อน NEC–SEZ ในวันนี้ อาจมองภายนอกเป็นเพียงการประชุมหนึ่งในหลายวาระของจังหวัด แต่แท้จริงแล้ว การกำหนดวิสัยทัศน์ให้เชียงรายเป็น “ประตูการค้าและศูนย์กลางโลจิสติกส์ของอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง” คือการตัดสินใจที่มีผลยาวไกลต่อโครงสร้างเศรษฐกิจและสังคมของจังหวัดในอีกหลายทศวรรษข้างหน้า

หากกลไก NEC, SEZ, Sister City, การประชุม 4 ประเทศ 10 ฝ่าย และการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน สามารถเดินไปในทิศทางเดียวกัน เชียงรายจะไม่ใช่เพียงจังหวัดชายแดนปลายทาง แต่จะกลายเป็น “จุดเชื่อม” ที่ผู้คน สินค้า ทุน และความร่วมมือจากหลายประเทศต้องผ่าน

ในทางกลับกัน หากขาดการบูรณาการ ขาดการมีส่วนร่วมของชุมชน และขาดการบริหารจัดการที่โปร่งใส ยุทธศาสตร์เหล่านี้อาจกลายเป็นเพียงแผนงานบนกระดาษ ที่ไม่สามารถเปลี่ยนคุณภาพชีวิตประชาชนได้จริง

เชียงรายบนเส้นทางสู่ศูนย์กลางโลจิสติกส์ GMS – โอกาสที่ต้องบริหารอย่างรอบด้าน

การขับเคลื่อนระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคเหนือ (NEC) และเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษชายแดน (SEZ) ในจังหวัดเชียงราย กำลังยกระดับบทบาทของจังหวัดจาก “ชายแดนตอนบนของไทย” สู่ “ศูนย์กลางโลจิสติกส์และประตูการค้าของอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง”

ด้วยการกำหนดบทบาทเชิงยุทธศาสตร์ของแม่สาย–เชียงแสน–เชียงของ การเชื่อมโยงโครงสร้างพื้นฐานทางราง ทางอากาศ และทางน้ำ ตลอดจนกลไกความร่วมมือระดับอนุภูมิภาคอย่าง Sister City และการประชุม 4 ประเทศ 10 ฝ่าย เชียงรายกำลังเดินอยู่บนเส้นทางที่เต็มไปด้วยทั้งโอกาสและความท้าทาย

คำถามสำคัญจึงไม่ใช่เพียงว่า “เชียงรายจะเป็นฮับได้หรือไม่” แต่คือ “เชียงรายจะเป็นฮับแบบไหน และใครจะได้ประโยชน์จากการเป็นฮับนั้นบ้าง” หากการพัฒนาสามารถรักษาสมดุลระหว่างการเติบโตทางเศรษฐกิจ การคุ้มครองสิ่งแวดล้อม และการยกระดับคุณภาพชีวิตของคนในชุมชนชายแดนได้พร้อมกัน NEC และ SEZ เชียงรายอาจกลายเป็นต้นแบบการพัฒนาชายแดนไทยในยุคใหม่ ที่ไม่ได้มองชายแดนเป็นเพียงเส้นแบ่ง แต่เป็น “สะพาน” ที่เชื่อมโอกาสของทั้งภูมิภาคเข้ามาสู่คนในพื้นที่อย่างแท้จริง

สำนักข่าวนครเชียงรายนิวส์

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
MOST POPULAR
FOLLOW ME
Categories
AROUND CHIANG RAI ECONOMY

รฟท.เร่ง “รถไฟทางคู่เด่นชัย–เชียงราย–เชียงของ” คืบ 41.99% เปิดใช้ปี 2571

รฟท.เร่ง “รถไฟทางคู่เด่นชัย–เชียงราย–เชียงของ” คืบ 41.99% เดินหน้าทะลุปมอุโมงค์–น้ำหลาก ลั่นเปิดใช้ปี 2571 หนุนเศรษฐกิจเหนือ–การค้าชายแดนสู่ลาว–จีน

เชียงราย, 20 กันยายน 2568 – ในจังหวะที่ภาคเหนือกำลังมองหากลไกฟื้นเศรษฐกิจหลังเผชิญความท้าทายจากสภาพอากาศสุดขั้วและการแข่งขันระดับภูมิภาค “รถไฟทางคู่เด่นชัย–เชียงราย–เชียงของ” โครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ของประเทศ ได้เดินหน้าแตะ ความก้าวหน้างานรวม 41.986% โดยเฉพาะงานโยธาคืบ 40.656% (เร็วกว่าแผนราว 1.3%) ขณะที่กรอบเวลาเปิดให้บริการ ภายในปี 2571 ยังยืนยันตามเดิม – นี่คือสัญญาณว่าระบบรางเส้นใหม่ที่ถูกวางบทบาทให้เป็น “เส้นเลือดเศรษฐกิจ” ของเหนือตอนบน กำลังใกล้วิ่งเข้าจังหวะสุดท้ายของงานติดตั้งระบบและทดสอบเดินรถ

ภาพรวมโครงการมูลค่า ประมาณ 85,345 ล้านบาท ระยะทาง 323.10 กิโลเมตร ครอบคลุม 4 จังหวัด ได้แก่ แพร่ ลำปาง พะเยา และเชียงราย รวม 17 อำเภอ 59 ตำบล มีสถานีและที่หยุดรถ 26 แห่ง พร้อม ลานกองเก็บและขนถ่ายตู้สินค้า (CY) 4 แห่ง เพื่อรองรับสินค้าทางรางและการเชื่อมต่อพาณิชย์สมัยใหม่ตามเป้าหมายของกระทรวงคมนาคมในการยกระดับการขนส่งและโลจิสติกส์ของชาติ

แผนงาน 3 สัญญา เร่งเครื่อง–กระจายความเสี่ยง

เพื่อบริหารความซับซ้อนของพื้นที่และโครงสร้าง โครงการแบ่งการก่อสร้างออกเป็น 3 สัญญา โดยมีสถานะล่าสุดดังนี้

  • สัญญาที่ 1 ช่วงเด่นชัย–งาว (104 กม.): ภาพรวมสะสม 41.234% แต่ช้ากว่าแผนเล็กน้อยจากเงื่อนไขพื้นที่และการปรับแบบจุดตัดสำคัญ อย่างไรก็ดี ฝ่ายก่อสร้างรายงานว่ามาตรการเร่งรัดได้ถูกนำมาใช้เต็มที่เพื่อดึงงานให้กลับเข้าเป้า
  • สัญญาที่ 2 ช่วงงาว–เชียงราย (132 กม.): สะสม 44.64% เร็วกว่าแผน 3.415% ถือเป็นโซนที่ “ลากกราฟ” งานรวมให้ก้าวหน้า โดยเฉพาะองค์ประกอบดินทาง–สะพาน–และโครงระบายน้ำในช่วงพื้นที่เนินสลับลุ่ม
  • สัญญาที่ 3 ช่วงเชียงราย–เชียงของ (86 กม.): สะสม 34.325% เร็วกว่าแผน 3.42% แม้มีข้อจำกัดด้านพื้นที่ชุมชนและงานทางข้ามลำน้ำ แต่กำลังเร่งเครื่องในหมวดสะพานและทางยกระดับ

การกระจายสัญญาเช่นนี้ ไม่เพียงช่วย “เฉลี่ยความเสี่ยง” เชิงพื้นที่ แต่ยังเอื้อให้ โหนดเศรษฐกิจหลัก ตลอดแนวเส้นทาง – ตั้งแต่เด่นชัย (จุดบรรจบโครงข่ายภาคเหนือ–ภาคกลาง) พะเยา–เชียงราย (เมืองท่องเที่ยว–การเกษตร–บริการ) ไปจนถึง เชียงของ (ประตูการค้าชายแดน) – ถูกเตรียมความพร้อมรับการขยายตัวของสินค้าและผู้โดยสารได้แบบ ไล่ระลอก ก่อนเปิดเต็มรูปแบบปี 2571

อุโมงค์ 4 แห่ง ผ่านดอย–ข้ามปม

งานอุโมงค์ นับเป็น “หัวใจทางวิศวกรรม” ของโครงการ เส้นทางนี้ต้องเจาะและก่อสร้างอุโมงค์ 4 แห่ง ได้แก่ อุโมงค์สอง, อุโมงค์งาว, อุโมงค์แม่กา และอุโมงค์ดอยหลวง ซึ่งปัจจุบันมีความก้าวหน้าระหว่าง 50–87% (แต่ละแห่งเผชิญเงื่อนไขธรณี–ชั้นดิน–น้ำใต้ดินต่างกัน) ทำให้กลยุทธ์การเจาะ–ค้ำยัน–ระบายน้ำ และการตรวจความมั่นคงเชิงธรณีวิทยาต้อง “ออกแบบเฉพาะพื้นที่” ขณะเดียวกัน ทีมงานโยธาได้ใช้บทเรียนจากช่วงฝนหนัก–น้ำหลาก ปีที่ผ่านมา ปรับปรุง ระบบระบายน้ำและปากอุโมงค์ ให้ทนทานขึ้น พร้อมเสริมแผน อพยพ–ซ้อมรับเหตุ ร่วมกับชุมชน

ด่วน–ปรับ–ตาม” สูตรรับมือภัยพิบัติของ รฟท.

เหตุการณ์ พายุ “วิภา” และฝนหลากที่กระทบภาคเหนือก่อนหน้านี้ ทำให้ รฟท.ต้องสั่ง ชะลอ/หยุดงานชั่วคราว บางจุดเพื่อความปลอดภัย โดยเฉพาะงานสะพานและระบบระบายน้ำบนพื้นที่เสี่ยง แนวทางแก้ปัญหาที่ รฟท.นำมาใช้ถูกสรุปเป็น 3 ขั้นตอน ด่วน–ปรับ–ตาม” (React–Improve–Forecast) ได้แก่

  1. แก้เร่งด่วน (React & Monitor) – เฝ้าระวังน้ำหลาก ประกาศเตือนพื้นที่เสี่ยง จัดชุดเครื่องจักร–บุคลากรเข้าพื้นที่ทันทีเมื่อสัญญาณเตือนถึงเกณฑ์
  2. เรียนรู้–ปรับปรุง (Adapt & Improve) – ปรับแบบ/เพิ่มขนาดท่อและรางระบายน้ำ เสริมคันทาง–ชั้นทางและปกป้องคอสะพาน รวมถึงวางระบบกัก–ผันน้ำเฉพาะจุด
  3. ติดตาม–พยากรณ์ (Prevent & Forecast) – ประสานองค์กรปกครองท้องถิ่น/หน่วยน้ำ เพื่อ แลกเปลี่ยนข้อมูลเรียลไทม์ ใช้ระบบแจ้งเตือนฝน–น้ำ และจัดเวทีสื่อสารกับชุมชนเป็นระยะ

ความเคลื่อนไหวดังกล่าวสอดคล้องกับแนวโน้มหน่วยงานกำกับอย่าง กรมการขนส่งทางราง ที่ลงพื้นที่ตรวจงานและเน้นมาตรฐานโครงสร้างระบายน้ำของโครงการทางคู่สายนี้ เพื่อป้องกันความเสี่ยงจากภัยพิบัติในระบบรางระยะยาว

เมื่อ “ราง” เปลี่ยนภูมิศาสตร์เศรษฐกิจของเหนือ

ตัวเลขชวนคิดที่สะท้อนผลเชิงระบบหลังเปิดบริการคือ เวลาเดินทาง ที่คาดว่าจะ ร่นลงจากรถยนต์ราว 1–1.30 ชั่วโมง บนหลายคู่เมืองสำคัญ ขณะที่ในฝั่งโลจิสติกส์ การมี CY 4 แห่ง และสถานี 26 แห่ง ทำให้เกิด โหนดรวบ–กระจายสินค้า แบบใกล้แหล่งผลิต โดยเฉพาะสินค้าทางการเกษตรแปรรูป กาแฟ ชา และอุตสาหกรรมท้องถิ่นของแพร่–พะเยา–เชียงราย ที่ต้องการความ ตรงเวลา–คาดการณ์ได้ ของการขนส่ง ซึ่งรางสามารถตอบโจทย์ได้ดีกว่ารถบรรทุกในหลายกรณี

ยิ่งไปกว่านั้น ปลายทางที่ เชียงของ เปิดประตู เชื่อม “สะพานมิตรภาพไทย–ลาว แห่งที่ 4 (เชียงของ–ห้วยทราย)” เข้าสู่ เส้นทาง R3A และต่อเชื่อม รถไฟลาว–จีน ซึ่งเป็นโครงข่ายระดับภูมิภาค – ภาพใหญ่จึงไม่ใช่แค่ “ขนส่งภายในประเทศ” แต่คือ ห่วงโซ่ราง” สู่จีนตอนใต้ สินค้าจากภาคเหนือสามารถเข้าสู่ตลาดใหม่หรือย่นเวลาขนส่งด้วยโหมดผสมผสานราง–ถนน–รางข้ามแดนได้อย่างมีนัยสำคัญ (กรอบยุทธศาสตร์การเชื่อมโยงดังที่ระบุในงานวิชาการของธนาคารแห่งประเทศไทย/ข้อมูลทางการ)

ท่องเที่ยวเชิงรางจาก “วิวเหนือ” สู่ “ประสบการณ์เหนือระดับ”

เมื่อทางคู่เปิดใช้ “การเดินทางเชิงทัศนียภาพ” จะเป็นอีกสินทรัพย์ใหม่ให้ภาคเหนือ เส้นทางเลาะไหล่ดอย–ตัดทุ่งนา–ข้ามลำน้ำ จะถูก “แพ็คเกจ” เป็น สินค้า ของผู้ประกอบการท่องเที่ยว–โรงแรม–คาเฟ่–โฮมสเตย์บนชุมชนเส้นทางราง** การเข้าถึงสะดวก–คงที่–ปลอดภัย ช่วยเพิ่มโอกาสเก็บรายได้จากนักท่องเที่ยว แบบพำนักนานขึ้น” และกระจายรายได้ไปยังอำเภอที่ไม่ใช่เมืองหลัก

แรงส่งของท่องเที่ยวเชิงรางยังต่อยอดสู่ อีเวนต์ซับคัลเจอร์ เช่น ปั่นจักรยาน–วิ่งเทรล–วัฒนธรรมชนเผ่า ที่สามารถผูกกับจังหวะเวลาเดินรถ–จุดลง–เส้นทางเชื่อมได้ เช่นกัน ผู้ประกอบการโลจิสติกส์ขนาดเล็ก–กลาง (SMEs) จะเห็นทางเลือกส่งสินค้าแบบ “กึ่งพาณิชย์–กึ่งท่องเที่ยว” (เช่น ผลิตภัณฑ์ท้องถิ่น) วิ่งเข้าตลาดใหม่ในกรุงเทพฯ/หัวเมือง ผ่าน โครงข่ายรางที่ตั้งเวลาได้ มากกว่า “ลุ้นเส้นทางถนน” ในฤดูฝน

ด้านเทคนิค มาตรฐานความเร็ว–ความปลอดภัย

กรอบออกแบบของสายนี้ถูกวางที่ ความเร็วออกแบบสูงสุด 160 กม./ชม. สำหรับรถโดยสาร (ความเร็วใช้งานขึ้นกับข้อกำกับการเดินรถ/ระบบอาณัติสัญญาณ) โครงสร้างพื้นฐานประกอบด้วยทางคู่–สะพาน–อุโมงค์–ทางยกระดับ รวมถึงการยกระดับ จุดตัดทางรถไฟ–ถนน เพื่อลดอุบัติเหตุและเพิ่มความต่อเนื่องของขบวน ทั้งหมดนี้อยู่ภายใต้มาตรฐานความปลอดภัยของการรถไฟฯ และหน่วยงานกำกับ พร้อมระบบอาณัติสัญญาณ/สื่อสารที่จะติดตั้งในช่วงโค้งสุดท้ายก่อนทดสอบเดินรถ (ข้อมูลสเป็กและกรอบทางวิศวกรรมจากแหล่งข้อมูลทางการ/วิชาการ)

เสียงจากพื้นที่ “งานเดิน–เมืองเดิน”

ในแนวเส้นทาง หลายชุมชนได้เห็นโครงสร้างรูปเป็นร่าง—ตั้งแต่ ตอม่อสะพาน–คันทาง–ปากอุโมงค์ ไปจนถึงทางเบี่ยงเบนการจราจรชั่วคราว แม้ในบางจุดชาวบ้านต้อง “เรียนรู้” กับเสียงเครื่องจักรและการปิด–เปิดทางสลับ แต่การสื่อสาร เชิงรุก ที่ รฟท. ระบุว่าเป็นส่วนหนึ่งของ “Prevent & Forecast” (การประชุม–เวทีชุมชน–แจ้งเตือนล่วงหน้า) ทำให้ “ความไว้เนื้อเชื่อใจ” ค่อย ๆ เติบโต

ผู้ประกอบการท้องถิ่นสะท้อนมุมมองตรงกันว่า เส้นนี้คือโอกาส” – ตลาดสินค้าชุมชนจะ “เข้าเมือง” ได้ไวและแน่นอนขึ้น ขณะโรงแรม–ร้านอาหาร–คาเฟ่ แถบเมืองรองมีโอกาส “จับลูกค้าใหม่” ที่มาเยือนแบบไม่นอนค้างได้บ่อยขึ้น เพราะขึ้น–ลงรถสะดวก ตรงเวลา

“โครงสร้างใหญ่” ทำอย่างไรให้อยู่รอดในยุคภูมิอากาศสุดขั้ว

โครงการทางคู่สายเด่นชัย–เชียงราย–เชียงของสะท้อน บทเรียนรุ่นใหม่ ของการสร้างโครงสร้างพื้นฐานไทย – ไม่ใช่เพียง สร้างให้เสร็จ” แต่ต้อง สร้างให้สู้สภาพอากาศ” ด้วย มาตรการอย่างการเพิ่มหน้าตัดทางระบายน้ำ ปรับโครงสร้างคอสะพาน เสริมคันทาง และวางระบบตรวจวัดฝน–น้ำแบบเรียลไทม์ สามารถลดความเสี่ยงทั้ง ระหว่างก่อสร้าง และ หลังเปิดบริการ ขณะที่การประสานข้อมูลกับท้องถิ่นช่วยให้เห็น ภาพน้ำทั้งลุ่มน้ำ” ไม่ใช่แค่จุดก่อสร้าง

ท่ามกลางความไม่แน่นอนของภูมิอากาศ แนวทาง “ด่วน–ปรับ–ตาม” ของ รฟท. จึงเป็น โมเดลปฏิบัติ ที่โครงการรางอื่น ๆ ในประเทศสามารถหยิบไปใช้ได้

ไทม์ไลน์–ก้าวต่อไป จากโยธา สู่อาณัติสัญญาณ และทดสอบเดินรถ

ด้วย แกนโยธา ที่รุดหน้า (บางสัญญาเร็วกว่าแผน) ขั้นต่อไปคือการเร่ง งานโครงสร้างพิเศษ (สะพาน/อุโมงค์) ให้ผ่านจุดวิกฤต พร้อมเปิดทางให้เข้าสู่ งานระบบ (Signalling & Telecom), งานราง, และ ทดสอบวิ่ง (Trial Run) ตามลำดับ ภาพรวมจึงยังคงยึดกรอบ เปิดบริการภายในปี 2571 ตามที่ตั้งเป้า ซึ่งเมื่อถึงวันนั้น ตั๋วรถไฟใบใหม่ของภาคเหนือ จะไม่ใช่เพียงการเดินทาง แต่คือ บัตรผ่านเศรษฐกิจ ที่พาผู้คน–สินค้า–โอกาส เชื่อมจาก ใจกลางภาคเหนือ สู่ ชายแดนแม่น้ำโขง และต่อไปยัง ลาว–จีน อย่างเป็นรูปธรรม

กล่องข้อมูลโครงการ (สรุปย่อ)

  • ชื่อโครงการ: รถไฟทางคู่สายใหม่ เด่นชัย–เชียงราย–เชียงของ
  • ระยะทาง: ~323.10 กม. / จังหวัด: แพร่–ลำปาง–พะเยา–เชียงราย / สถานี–ที่หยุดรถ: 26 แห่ง
  • มูลค่าโครงการ: ~85,345 ล้านบาท
  • สัญญาก่อสร้าง: 3 สัญญา (เด่นชัย–งาว / งาว–เชียงราย / เชียงราย–เชียงของ)
  • งานอุโมงค์หลัก: อุโมงค์สอง, งาว, แม่กา, ดอยหลวง
  • CY (ลานกองเก็บ/ขนถ่ายตู้สินค้า): 4 แห่ง
  • ความเร็วออกแบบสูงสุด (โดยสาร): 160 กม./ชม.
  • เป้าหมายเปิดบริการ: ภายในปี 2571

มุมมองเชิงนโยบาย ทำไม “ราง” ถูกเลือกในเวลานี้

  1. ลดต้นทุน–เพิ่มขีดความสามารถ: รางช่วยลดต้นทุนต่อตัน–กม. และลดการพึ่งพาน้ำมันในขนส่งถนน ซึ่งสำคัญต่อภาคเหนือที่มีสินค้าเกษตร–แปรรูปจำนวนมาก
  2. สิ่งแวดล้อม–ภูมิอากาศ: ระบบรางปล่อยคาร์บอนต่อผู้โดยสาร/ตันสินค้าน้อยกว่า โยงเข้าสู่เป้าหมาย Net Zero ระยะยาวของประเทศ
  3. การเชื่อมภูมิภาค: ปลายทางเชียงของเชื่อม R3A–รถไฟลาว–จีน ยกระดับไทยเป็น สะพานการค้า สู่จีนตอนใต้/อนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง
  4. พัฒนาเมือง–ชุมชน: สถานีคือ ศูนย์กลางบริการ ใหม่ของเมืองรอง สร้างงาน–ธุรกิจต่อเนื่อง (ที่พัก–บริการ–โลจิสติกส์ชุมชน)

คำถามสุดท้ายก่อนขึ้นราง ประชาชนจะได้อะไร “ในมือ” ตั้งแต่วันแรก?

  • เวลา: การเดินทางเมืองหลักเร็วขึ้นราว 1–1.30 ชม. (ตามคู่เมือง)
  • เงินในกระเป๋า: ต้นทุนโลจิสติกส์ของผู้ประกอบการลดลง มีผลต่อราคาสินค้า/รายได้เกษตรกร
  • โอกาส: การท่องเที่ยวเชิงราง–สินค้า OTOP–เกษตรแปรรูปเข้าเมือง–ออกชายแดนสะดวกขึ้น
  • ความปลอดภัย: จุดตัดลดลง ระบบอาณัติสัญญาณ–สื่อสารสมัยใหม่เพิ่มความปลอดภัยการเดินรถ

ความคืบหน้า 41.986% ของ “เด่นชัย–เชียงราย–เชียงของ” ไม่ใช่แค่ตัวเลขบนกระดาษ แต่มันหมายถึง โครงร่างเศรษฐกิจใหม่ ของภาคเหนือที่กำลังก่อตัว – โครงร่างที่วางอยู่บนรางเหล็ก อุโมงค์ 4 แห่ง สะพานนับสิบ และโมเดลบริหารความเสี่ยงที่เรียนรู้จากฝนหลาก–น้ำท่วม เพื่อส่งมอบการเดินทางที่ ตรงเวลา–ปลอดภัย–คุ้มค่า ให้ประชาชน และเปิดพรมแดนเศรษฐกิจให้ผู้ประกอบการไทยก้าวไกลไปอีกขั้น

เมื่อรถไฟสายนี้ทดลองวิ่งและเปิดบริการในปี 2571 เสียงหวูดจะไม่ได้ดังเพียงเพื่อประกาศ “เปิดเดินรถ” เท่านั้น หากแต่เป็นสัญญาณว่า ภาคเหนือ ได้ก้าวขึ้นขบวนเศรษฐกิจใหม่ที่พร้อมเชื่อม บ้านเรา เข้ากับ ภูมิภาค อย่างมั่นคงและยั่งยืน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • ธนาคารแห่งประเทศไทย (สายนโยบายภาคเหนือ)
  • ประชาชาติธุรกิจ
  • มติชนออนไลน์
  • กรมการขนส่งทางราง/สำนักข่าว MCOT (TNA)
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

ติดตามความคืบหน้ารถไฟทางคู่ สู่เศรษฐกิจยั่งยืนภาคเหนือตอนบน

การติดตามความคืบหน้าการก่อสร้างรถไฟทางคู่และผลักดันเศรษฐกิจกลุ่มภาคเหนือตอนบน 2

เมื่อวันที่ 23 มกราคม 2568 นายรัฐพล นราดิศร ผู้ว่าราชการจังหวัดพะเยา พร้อมด้วยนายบำรุง สังข์ขาว รองผู้ว่าราชการจังหวัดพะเยา นายนรศักดิ์ สุขสมบูรณ์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย นายชัยสิทธิ์ ชัยสัมฤทธิ์ผล รองผู้ว่าราชการจังหวัดแพร่ และผู้แทนจากจังหวัดน่าน พร้อมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐและเอกชน ลงพื้นที่ติดตามความคืบหน้าการก่อสร้างรถไฟทางคู่ ณ อุโมงค์แม่กา ต.แม่กา อ.เมืองพะเยา

ความก้าวหน้าของโครงการรถไฟทางคู่

ตามรายงานความคืบหน้า ณ เดือนธันวาคม 2567 พบว่า การดำเนินงานก่อสร้างโดยรวมมีความก้าวหน้าที่ร้อยละ 23.99 ต่ำกว่าแผนที่วางไว้ซึ่งอยู่ที่ร้อยละ 29.838 ทำให้โครงการช้ากว่าแผน -5.848 อย่างไรก็ตาม ในส่วนของอุโมงค์แม่กา จ.พะเยา ซึ่งเป็นหนึ่งในอุโมงค์หลัก 4 แห่งของโครงการ มีความคืบหน้าอย่างโดดเด่น ด้วยผลงานสะสมร้อยละ 38.7 เร็วกว่าแผนร้อยละ 10.92

ข้อมูลอุโมงค์ที่สำคัญในโครงการ

  1. อุโมงค์ดอยหลวง จ.เชียงราย ยาว 3.4 กม.
  2. อุโมงค์แม่กา จ.พะเยา ยาว 2.7 กม.
  3. อุโมงค์งาว จ.ลำปาง ยาว 6.2 กม.
  4. อุโมงค์สอง จ.แพร่ ยาว 1.2 กม.

ทั้งนี้ โครงการรถไฟทางคู่สายเด่นชัย-เชียงราย-เชียงของ มีกำหนดเปิดให้บริการในปี 2571 ซึ่งจะเป็นเส้นทางคมนาคมสำคัญที่จะช่วยพัฒนาศักยภาพด้านการคมนาคมขนส่งในภาคเหนือตอนบน

ประชุมคณะกรรมการ กรอ. กลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน 2

ในช่วงบ่าย คณะผู้แทนได้เข้าร่วมประชุมคณะกรรมการร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจ (กรอ.) กลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน 2 ที่ห้องประชุมโรงพยาบาลมหาวิทยาลัยพะเยา โดยในที่ประชุมได้มีการแนะนำผู้บริหารใหม่ในกลุ่มจังหวัด พร้อมติดตามและรายงานความคืบหน้าของโครงการสำคัญ

หัวข้อที่สำคัญในการประชุม ได้แก่:

  1. การผลักดันและพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคเหนือ (NEC) ให้ครอบคลุมพื้นที่กลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน 2
  2. รายงานความคืบหน้าโครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่สายเด่นชัย-เชียงราย-เชียงของ
  3. การวิจัยแนวทางส่งเสริมการลงทุนในธุรกิจการท่องเที่ยวมูลค่าสูง เพื่อพัฒนาล้านนาตะวันออกเป็นพื้นที่พัฒนาพิเศษ
  4. การติดตามมติคณะรัฐมนตรีนอกสถานที่ครั้งที่ 2/2567

ผลกระทบและเป้าหมายการพัฒนา

โครงการรถไฟทางคู่เด่นชัย-เชียงราย-เชียงของ คาดว่าจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจในพื้นที่และส่งเสริมการพัฒนาเศรษฐกิจท้องถิ่นให้มีศักยภาพในการแข่งขันระดับประเทศและระดับนานาชาติ

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI ECONOMY

รถไฟทางคู่สายใหม่เหนือ-อีสาน เปิดบริการปี 2571 เชื่อมเศรษฐกิจไทย-ชายแดน

รถไฟทางคู่สายใหม่เหนือ-อีสาน คืบหน้า! เตรียมเปิดบริการปี 2571

เมื่อวันที่ 4 มกราคม 2568 การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) เปิดเผยความคืบหน้าโครงการก่อสร้าง รถไฟทางคู่สายใหม่ 2 เส้นทางสำคัญ คือ สายเด่นชัย – เชียงราย – เชียงของ และ สายบ้านไผ่ – มหาสารคาม – ร้อยเอ็ด – มุกดาหาร – นครพนม ซึ่งเป็นโครงการที่มุ่งพัฒนาโครงข่ายระบบรางให้ครอบคลุมพื้นที่ใหม่ๆ และเพิ่มศักยภาพในการขนส่งและการค้าระหว่างประเทศ

โครงการก่อสร้างรถไฟสายเด่นชัย – เชียงราย – เชียงของ

  • ระยะทาง 323 กิโลเมตร วงเงิน 72,921 ล้านบาท
  • สัญญา 1: เด่นชัย-งาว ระยะทาง 103 กม. ผลงาน 18.64% (เร็วกว่าแผน 4.75%)
  • สัญญา 2: งาว-เชียงราย ระยะทาง 132 กม. ผลงาน 25.08% (ช้ากว่าแผน 6.30%)
  • สัญญา 3: เชียงราย-เชียงของ ระยะทาง 87 กม. ผลงาน 20.74% (ช้ากว่าแผน 16.70% เนื่องจากติดปัญหาการเวนคืนที่ดิน)

โครงการก่อสร้างรถไฟสายบ้านไผ่ – มหาสารคาม – ร้อยเอ็ด – มุกดาหาร – นครพนม

  • ระยะทาง 355 กิโลเมตร วงเงิน 66,848 ล้านบาท
  • สัญญา 1: บ้านไผ่-หนองพอก ระยะทาง 180 กม. ผลงาน 16.05% (ช้ากว่าแผน 21.40%)
  • สัญญา 2: หนองพอก-สะพานมิตรภาพ 3 ระยะทาง 175 กม. ผลงาน 0.33% (ช้ากว่าแผน 33.31% เนื่องจากติดปัญหาการเวนคืนที่ดิน)

เป้าหมายเปิดบริการปี 2571

นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า โครงการนี้จะช่วยพัฒนาโครงข่ายรถไฟในพื้นที่ที่ไม่เคยมีรถไฟมาก่อน พร้อมเชื่อมโยงเศรษฐกิจชายแดน โดยโครงการสายเด่นชัย – เชียงราย – เชียงของ จะรองรับการขนส่งสินค้าและนักท่องเที่ยวเชื่อมชายแดนไทย-ลาว ขณะที่โครงการสายบ้านไผ่ – นครพนม จะเชื่อมเศรษฐกิจภาคอีสานตอนบนไปยังท่าเรือแหลมฉบังและศูนย์ขนส่งชายแดน

จุดเด่นของโครงการ

  • สายเด่นชัย – เชียงราย – เชียงของ
    • อุโมงค์รถไฟยาวที่สุดในประเทศไทย
    • มี 26 สถานี (สถานีขนาดใหญ่ 4 สถานี สถานีขนาดเล็ก 9 สถานี และป้ายหยุดรถ 13 แห่ง)
    • สะพานรถไฟและถนนลอดรวม 254 จุด พร้อมลานขนถ่ายสินค้าและพื้นที่กองเก็บตู้สินค้าที่สถานีเชียงของ
  • สายบ้านไผ่ – นครพนม
    • มี 30 สถานี และย่านบรรทุกตู้สินค้า 3 แห่ง
    • ถนนยกข้ามทางรถไฟ 81 แห่ง และถนนลอดใต้ทางรถไฟ 245 แห่ง
    • เชื่อมโยงเศรษฐกิจแนวระเบียงเศรษฐกิจตะวันออก-ตะวันตก

ประโยชน์ที่คาดหวัง

โครงการรถไฟทางคู่สายใหม่จะช่วยพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ เพิ่มศักยภาพด้านโลจิสติกส์ รองรับการขยายตัวของการค้าชายแดนและเศรษฐกิจในอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง พร้อมเพิ่มโอกาสด้านการท่องเที่ยวและยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนในพื้นที่

โครงการนี้ถือเป็นก้าวสำคัญในการพัฒนาระบบรางของประเทศไทย และจะเป็นเส้นทางยุทธศาสตร์ที่เชื่อมต่อเศรษฐกิจในระดับภูมิภาคอย่างยั่งยืน.

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.)

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

รถไฟเด่นชัย-เชียงราย-เชียงของ พัฒนาใหม่ มุ่งสร้างมาตรฐานระบบราง

ความคืบหน้าโครงการรถไฟเด่นชัย-เชียงราย-เชียงของ เพิ่มมาตรฐานระบบระบายน้ำ ป้องกันภัยธรรมชาติ

กรมรางเผยโครงการรถไฟเด่นชัย-เชียงราย-เชียงของ คืบหน้ากว่า 20% พร้อมพัฒนาระบบระบายน้ำและมาตรการป้องกันภัยธรรมชาติในระบบราง

เมื่อวันที่ 28 พฤศจิกายน 2567 นายพิเชฐ คุณธรรมรักษ์ อธิบดีกรมการขนส่งทางราง อัปเดตความคืบหน้าโครงการรถไฟทางคู่สายใหม่ เด่นชัย-เชียงราย-เชียงของ ซึ่งเป็นเส้นทางสำคัญเชื่อมโยงภาคเหนือของไทยเข้าสู่ประเทศเพื่อนบ้าน ได้แก่ สปป.ลาว เมียนมา และจีน โดยโครงการดังกล่าวแบ่งการก่อสร้างออกเป็น 3 สัญญา ครอบคลุมระยะทางรวม 323.1 กิโลเมตร มีสถานีรถไฟทั้งหมด 26 สถานี และระบบทางวิ่งที่ครอบคลุมทั้งระดับพื้นดิน ทางยกระดับ และอุโมงค์คู่ทางเดี่ยว รวม 4 แห่ง ได้แก่ อุโมงค์สอง อุโมงค์งาว อุโมงค์แม่กา และอุโมงค์ดอยหลวง

การพัฒนาระบบระบายน้ำและมาตรการป้องกันภัยธรรมชาติ

โครงการนี้เผชิญกับความท้าทายจากปริมาณน้ำฝนที่สูงในเขตภาคเหนือของไทย ซึ่งส่งผลกระทบต่อโครงสร้างระบบรางในบางพื้นที่ กรมการขนส่งทางรางจึงได้ดำเนินการศึกษามาตรฐานโครงสร้างระบบระบายน้ำและมาตรการลดความเสี่ยงต่อภัยธรรมชาติ เช่น น้ำท่วม ดินถล่ม และทางทรุด โดยได้วิเคราะห์ตัวอย่างภัยพิบัติในระบบรางจากหลายประเทศ อาทิ สหภาพยุโรป สหราชอาณาจักร สหรัฐอเมริกา และจีน พร้อมทั้งนำไปออกแบบระบบโครงสร้างป้องกัน เช่น ระบบระบายน้ำบริเวณอุโมงค์ ระบบแจ้งเตือนภัยล่วงหน้า และมาตรฐานโครงสร้างเพื่อรองรับแผ่นดินไหว

นายพิเชฐกล่าวเพิ่มเติมว่า ขณะนี้กำลังดำเนินการออกแบบมาตรฐานใน 3 ส่วนหลัก ได้แก่ โครงสร้างระบบระบายน้ำสำหรับพื้นที่เสี่ยงภัย มาตรฐานโครงสร้างที่จะเกิดขึ้นในอนาคต และระบบแจ้งเตือนภัยพิบัติ (DRT Alert) เพื่อลดผลกระทบจากภัยพิบัติ

จุดเด่นทางเทคนิคและนวัตกรรมใหม่ในโครงการ

หนึ่งในนวัตกรรมที่ใช้ในโครงการนี้คือการก่อสร้างทางลอดใต้ทางรถไฟแบบโค้ง (Railway Arch Culvert) ซึ่งเป็นครั้งแรกในประเทศไทย โดยใช้คอนกรีตหล่อเสริมเหล็กแบบโค้งสำเร็จรูปจากโรงงาน ช่วยลดปริมาณวัสดุ ลดระยะเวลาการก่อสร้าง และเพิ่มความแข็งแรง สามารถรองรับแรงกดได้มากขึ้นเมื่อเทียบกับแบบเดิม นอกจากนี้ยังมีการก่อสร้างลานกองเก็บตู้สินค้า (Container Yard) เพื่ออำนวยความสะดวกในการกระจายสินค้าไปยังพรมแดนลาว เมียนมา และจีน

การวางแผนแก้ไขปัญหาภัยธรรมชาติในอนาคต

กรมการขนส่งทางรางยังได้วางแผนแก้ไขปัญหาระยะยาว โดยคัดเลือกพื้นที่เสี่ยง 10 จุดเพื่อนำมาปรับปรุงระบบระบายน้ำและโครงสร้างทางราง พร้อมจัดทำแผนการดำเนินงานแก้ไขในระยะเร่งด่วน ระยะกลาง และระยะยาว ซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงที่จะเกิดความเสียหายและเพิ่มความปลอดภัยในการเดินรถในอนาคต

ความสำคัญของโครงการและประโยชน์ต่อประเทศ

โครงการรถไฟเด่นชัย-เชียงราย-เชียงของ นอกจากจะช่วยพัฒนาระบบรางในประเทศแล้ว ยังเป็นส่วนสำคัญในการเชื่อมโยงโครงข่ายขนส่งในภูมิภาคอาเซียน โดยรองรับทั้งการเดินทางของประชาชนและการขนส่งสินค้า อันจะส่งเสริมเศรษฐกิจในพื้นที่และสร้างโอกาสการค้าและการลงทุนในระดับสากล

นายพิเชฐย้ำว่า กรมการขนส่งทางรางให้ความสำคัญกับการป้องกันภัยธรรมชาติและการบริหารจัดการโครงสร้างระบบราง เพื่อให้ประชาชนมั่นใจในความปลอดภัยและประสิทธิภาพของระบบราง ซึ่งโครงการนี้จะช่วยยกระดับการขนส่งของประเทศไทยสู่มาตรฐานสากลในอนาคต.

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI NEWS UPDATE

ทางลอดใต้ทางรถไฟแบบโค้ง ทางคู่ แห่งแรกของไทย! “เด่นชัย-เชียงของ”

 
เมื่อวันที่12 มีนาคม 2567  รฟท.เปิดภาพทางลอดใต้ทางรถไฟแบบโค้งแห่งแรกของไทย ไซต์ก่อสร้างทางคู่ช่วงเด่นชัย-เชียงราย-เชียงของ เป็นรูปแบบใหม่นวัตกรรมจากสวิตเซอร์แลนด์ ก่อสร้างง่าย ประหยัด ประชาชนสัญจรสะดวก เผยตลอดเส้นทางมี 37 แห่ง เผยภาพรวมก่อสร้างตามแผน เปิดบริการในปี 71
 
 
นายเอกรัช ศรีอาระยันพงษ์ หัวหน้าสำนักงานผู้ว่าการ การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) เปิดเผยว่า ตามที่ รัฐบาลและกระทรวงคมนาคมได้กำหนดยุทธศาสตร์ในการพัฒนาประเทศ โดยมุ่งเน้นการเดินหน้าลงทุนโครงสร้างพื้นฐานเพื่อขยายขีดความสามารถการคมนาคมขนส่งของประเทศให้มีศักยภาพก้าวสู่การเป็นศูนย์กลางของภูมิภาค และนายสุรพงษ์ ปิยะโชติ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม ได้มอบนโยบายให้การรถไฟฯ เร่งรัดดำเนินโครงการต่างๆ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพระบบการขนส่งทางราง การอำนวยความสะดวกการเดินทางแก่ผู้โดยสารให้เกิดการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง การเร่งรัดดำเนินโครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่ และรถไฟทางสายใหม่ให้เสร็จตามแผนที่กำหนด
 
นายนิรุฒ มณีพันธ์ ผู้ว่าการการรถไฟฯ ได้มีการขับเคลื่อนโครงการก่อสร้างระบบรางให้เดินหน้าเป็นไปตามแผนงาน ไม่ว่าจะเป็นโครงการรถไฟทางคู่ โครงการรถไฟสายใหม่ โครงการรถไฟความเร็วสูง พร้อมกับมุ่งนำนวัตกรรม เทคโนโลยีสมัยใหม่มาใช้อย่างต่อเนื่อง เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการก่อสร้างให้เกิดความคุ้มค่า รวดเร็ว เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน
 
 
ในการดำเนินโครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่ช่วงเด่นชัย-เชียงราย-เชียงของ ระยะทาง 323.10 กิโลเมตร วงเงินลงทุน 72,835 ล้านบาท ซึ่งการรถไฟฯ ได้นำนวัตกรรมเทคโนโลยีสมัยใหม่จากประเทศสวิตเซอร์แลนด์มาใช้ก่อสร้างทางลอดใต้ทางรถไฟ แบบโค้ง (Railway Arch culvert) ซึ่งเป็นรูปแบบใหม่แห่งแรกในไทยที่มีลักษณะเป็นคอนกรีตหล่อเสริมเหล็กแบบสำเร็จรูปจากโรงงาน สามารถยกไปประกอบติดตั้งได้ง่าย ช่วยลดระยะเวลาการก่อสร้าง ประหยัดค่าใช้จ่ายได้มากกว่าร้อยละ 20-25 อีกทั้งยังลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จากการใช้ซีเมนต์ และเพิ่มความสูงและความกว้างของทางลอด (Clearance) ซึ่งประชาชนสามารถสัญจรได้สะดวกมากกว่าการทำทางลอดใต้ทางรถไฟแบบเดิมอีกด้วย
 
 
สำหรับทางลอดใต้ทางรถไฟรูปแบบโค้งดังกล่าวได้สร้างขึ้นแห่งแรกในพื้นที่ตำบลปงป่าหวาย อำเภอเด่นชัย จังหวัดแพร่ ซึ่งอยู่ในสัญญาที่ 1 ช่วงเด่นชัย-งาว มีระยะช่วงสะพาน 16.5 เมตร ความยาว 33.5 เมตร มีความสูง 4.2 เมตร ปัจจุบันอยู่ระหว่างก่อสร้างคาดจะใช้เวลาประมาณ 2 เดือนในการสร้างเสร็จ จากนั้นจะมีการสร้างทางลอดใต้ทางรถไฟแบบเดียวกัน ตลอดเส้นทางโครงการฯ ไม่น้อยกว่า 37 แห่ง ซึ่งอยู่ในพื้นที่สัญญาที่ 1 ช่วงเด่นชัย-งาว จำนวน 21 แห่ง สัญญาที่ 2 ช่วงงาว-เชียงราย จำนวน 8 แห่ง และสัญญาที่ 3 ช่วงเชียงราย-เชียงของ อีก 8 แห่ง ขณะเดียวกัน การรถไฟฯ ยังได้พิจารณานำรูปแบบการสร้างทางลอดดังกล่าวไปปรับใช้กับการก่อสร้างโครงการรถไฟทางคู่ในเส้นทางอื่นๆ ซึ่งเมื่อสร้างเสร็จจะช่วยเพิ่มความคุ้มค่าทางการลงทุนเป็นอย่างมาก
 
 

ส่วนความก้าวหน้าโครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่ ช่วงเด่นชัย-เชียงราย-เชียงของ ล่าสุดมีความก้าวหน้าอย่างต่อเนื่อง โดยข้อมูล ณ เดือนกุมภาพันธ์ 2567 มีรายละเอียด ดังนี้

– สัญญาที่ 1 ช่วงเด่นชัย-งาว ระยะทาง 103.7 กิโลเมตร มูลค่าก่อสร้าง 26,560 ล้านบาท มีกิจการร่วมค้า ไอทีดี-เนาวรัตน์ ประกอบด้วย บริษัท อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ จำกัด (มหาชน) และ บริษัท เนาวรัตน์พัฒนาการ จำกัด (มหาชน) เป็นผู้รับจ้าง ปัจจุบันมีความคืบหน้าร้อยละ 6.499 ซึ่งเร็วกว่าแผนงานที่กำหนดไว้ร้อยละ 3.443

– สัญญาที่ 2 ช่วงงาว-เชียงราย ระยะทาง 132.3 กิโลเมตร มูลค่าก่อสร้าง 26,890 ล้านบาท มีกิจการร่วมค้าซีเคเอสที-ดีซี 2 ประกอบด้วย บริษัท ช.การช่าง จำกัด (มหาชน) บริษัท ซิโน-ไทย เอ็นจิเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน) และบริษัท บุรีรัมย์พนาสิทธิ์ จำกัด เป็นผู้รับจ้าง ปัจจุบันมีความคืบหน้าร้อยละ 7.766 ซึ่งเร็วกว่าแผนงานที่กำหนดไว้ร้อยละ 0.014

– สัญญาที่ 3 ช่วงเชียงราย-เชียงของ ระยะทาง 87.1 กิโลเมตร มูลค่าก่อสร้าง 19,385 ล้านบาท มีกิจการร่วมค้าซีเคเอสที-ดีซี 3 ประกอบด้วย บริษัท ช.การช่าง จำกัด (มหาชน) บริษัท ซิโน-ไทย เอ็นจิเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน) และบริษัท เชียงใหม่คอนสตรัคชั่น จำกัด เป็นผู้รับจ้าง ปัจจุบันมีความคืบหน้าร้อยละ 5.548 ช้ากว่าแผนงานที่กำหนดไว้ร้อยละ 2.913

ทั้งนี้ โครงการรถไฟทางคู่สายใหม่ ช่วงเด่นชัย-เชียงราย-เชียงของ คาดจะแล้วเสร็จสมบูรณ์พร้อมเปิดใช้บริการได้ในปี 2571 ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการเดินทางให้แก่ผู้โดยสารและการขนส่งสินค้า สามารถลดระยะเวลาเดินทางเมื่อเทียบกับรถยนต์ได้กว่า 1-1.30 ชม. อีกทั้งยังช่วยเชื่อมโยงระหว่างเศรษฐกิจแนวเหนือ-ใต้ กับอนุภาคลุ่มแม่น้ำโขง และเชื่อมต่อกับเส้นทางรถไฟของ สปป.ลาว ที่มุ่งตรงสู่เมืองคุนหมิง สาธารณรัฐประชาชนจีนได้อีกด้วย ที่สำคัญยังมีทางขนถ่ายสินค้าออกสู่ทะเลทางท่าเรือแหลมฉบัง รองรับนโยบายการจัดตั้งเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษเชียงราย (SEZ)

 
 

สำหรับโครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่ ช่วงเด่นชัย-เชียงราย-เชียงของ เป็นส่วนหนึ่งในยุทธศาสตร์การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งของไทย โดยมีจุดเริ่มต้นที่สถานีเด่นชัย จังหวัดแพร่ มุ่งไปทางทิศเหนือผ่านพื้นที่ 59 ตำบล 17 อำเภอ 4 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดแพร่ ลำปาง พะเยา และสิ้นสุดที่ด่านพรมแดนเชียงของ จังหวัดเชียงราย มีสถานีและป้ายหยุดรถทั้งสิ้น 26 แห่ง ประกอบด้วย สถานีขนาดใหญ่ 4 แห่ง สถานีขนาดเล็ก 9 แห่ง ป้ายหยุดรถ 13 แห่ง และมีย่านกองเก็บและขนถ่ายตู้สินค้า บรรทุกตู้สินค้า 1 แห่ง ที่สถานีเชียงของ บนพื้นที่ 150 ไร่ พร้อมแนวถนนเชื่อมต่อไปยังชายแดนเชียงของ

 

โครงการนี้ได้มีการออกแบบให้มีรั้วกั้นตลอดแนวเส้นทางรถไฟ ไม่มีจุดตัดทางถนนโดยทำสะพานรถยนต์ข้ามและลอดทางรถไฟ (Overpass / Underpass) รวมถึงสะพานลอยสำหรับทางเท้า และทางรถจักรยานยนต์ รวม 254 จุด ช่วยลดการเกิดอุบัติเหตุบริเวณทางผ่านเสมอระดับ ซึ่งเป็นนโยบายสำคัญประการหนึ่งของนายปิยะพงษ์ ปิยะโชติ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม รวมทั้งสามารถรักษาระดับความเร็วของขบวนรถไฟให้คงที่ มีความปลอดภัย และมีอุโมงค์ทางคู่ตามแนวเส้นทางที่พาดผ่านพื้นที่ภูเขาอีก 4 แห่ง

 

ประกอบด้วย 1. อุโมงค์สอง จังหวัดแพร่ ความยาว 1.2 กิโลเมตร 2. อุโมงค์งาว จังหวัดลำปาง ความยาว 6.2 กิโลเมตร 3. อุโมงค์แม่กา จังหวัดพะเยา ความยาว 2.7 กิโลเมตร 4. อุโมงค์ดอยหลวง จังหวัดเชียงราย ความยาว 3.4 กิโลเมตร รวมระยะทาง 13.5 กิโลเมตร โดยอุโมงค์งาวเป็นอุโมงค์ที่ยาวที่สุดในประเทศไทย

 

ทั้งนี้ เมื่อก่อสร้างเสร็จ รถไฟทางคู่ ช่วงเด่นชัย-เชียงราย-เชียงของ จะเป็นเส้นทางรถไฟที่เต็มไปด้วยเทคโนโลยีก่อสร้างอันทันสมัย มีทิวทัศน์รอบข้างสวยงามที่สุดแห่งหนึ่งของประเทศ อีกทั้งยังช่วยเติมเต็มประสิทธิภาพโครงข่ายการคมนาคมของไทยให้สมบูรณ์ นำพาให้ไทยก้าวสู่การเป็นศูนย์กลางด้านคมนาคม และโลจิสติกส์ของอาเซียนได้ในอนาคตอันใกล้ต่อไป

 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.)

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News